*** คงมีอะไรสูญหายไปในพุทธศาสนา ****

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย หนุมาน ผู้นำสาร, 25 พฤศจิกายน 2006.

  1. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** สารโปรดมวลมนุษย์ จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในจักรวาล ****

    ศาสนศาสตร์ในโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ แท้จริงแล้วมีเพียงหนึ่งเดียว....เพราะทุกชีวิตทุกดวงวิญญาณ จะต้องอยู่อาศัยบนโลกมนุษย์ด้วยหลักเดียวที่ปักไว้อย่างมั่นคง นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก นั้นคือ
     
  2. kirikou

    kirikou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +125
    อ้างอิง:
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ หนุมาน ผู้นำสาร
    *** อะไรหนอ ? ****

    อะไรมีเกิด มีดับ...
    แล้วอะไร ที่ไม่เกิด ไม่ดับ !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "











    ตอบ:สำหรับเรา คิดว่าน่าจะเป็นนิพพาน
    เพราะเมื่อเราไปถึงนิพพานได้แล้ว แสดงว่า จิตของเราบริสุทธิ์แล้ว
    ดวงจิตของเราจึงหลุดพ้น ไม่มีเกิดมีดับอีกต่อไป.
     
  3. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** สิ่งที่ไม่ตาย ไม่สูญสลาย คงอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ****

    พระพุทธองค์...กล่าวว่า
    " ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน "

    ประโยคนี้...เพียงประโยคเดียว....ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้น ทั่วทั้งจักรวาล
    เพราะ....ประโยคนี้ คือ "หลักเดียวที่สูงสุด" ... ปักไว้มั่นคง นิ่ง ไม่กระดุกกระดิก
    นั่นคือ... "หลักสัจจะธรรม"
    สิ่งที่มนุษย์มุ่งค้นหากัน
    ซึ่ง พระพุทธเจ้าค้นพบมานานแล้ว ... แต่เมื่อถึงยุคปัจจุบัน กลับสูญหายไป
    ไม่มีผู้ใดอธิบายได้ว่า "หลักสัจจะธรรม" คือ อะไร หมายถึงอะไร

    ดังนั้น...ผลจากการกระทำ ที่เกิดขึ้นจาก "สัจจะ"...จึงเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ประมาณค่ามิได้ !!!
    ผลที่เกิดขึ้น คือ "ตัวกระทำ"....ที่จะติดตัวไปกับจิตวิญญาณของเรา ตลอดไป
    และ นี้คือ หนทางเดียวเท่านั้น...ที่จะช่วยให้ มนุษย์สามารถเดินทางหลุดพ้นจากความทุกข์ ...เพื่อไปพบกับพระผู้เป็นเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในจักรวาลได้

    อย่า...มัวหลงการปฏิบัติที่ขัดกับ "หลักสัจจะธรรม" อยู่อีกเลย
    เวลา...ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอดีตที่ผิดพลาดได้
    วันนี้...และวันต่อๆ ไป...ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท
    ดำเนินชีวิตด้วย "สัจจะ"....กำหนดสิ่งที่ดี ตั้งใจทำ วันละข้อ วันละหนึ่งชั่วโมง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  4. eb_67

    eb_67 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +10
    ขอให้ความเห็นต่อกระทู้แรก
    สิ่งที่สูญหายไปในพุทธศาสนานั้นไม่มีหรอก
    เพราะถ้าพุทธศาสนาคือความจริงแล้ว ความจริงก็ยังคงอยู่
    เพียงแต่เราจะหาเจอหรือไม่
    และการที่เราจะพบสัจจะธรรมความจริงนี้ได้ก็ด้วยตนเอง
    พระพุทธองค์แบ่งกลุ่มคนตามดอกบัว
    เมื่อพวกบัวเหนือน้ำได้เข้าถึงสัจจะธรรม
    พวกเข้าก็จากพวกเราไปทิ้งพวกเราซึ่งเป็นบัวได้น้ำไว้
    แต่บัวใต้น้ำก็สามารถขึ้นมาเหนือน้ำได้ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา
    นี่เป็นเพียงความคิดเห็น
    เพราะบนโลกนี้ปัจจุบันถูกพัฒนาเปลี่ยนแปลงโดยยึดถือวัตถุเป็นหลัก
    จึงทำให้เกิด เส้นผมบังภูเขาได้
     
  5. buana16

    buana16 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    298
    ค่าพลัง:
    +476
    วัตถุและปัจจัยทางสังคมมีผลต่อการดำรงชีพมากขึ้น เป็นธรรมดาที่เขาเหล่านั้นต้องแสวงหาสิ่งยึดมั่นเพื่อเป็นกำลังกายกำลังใจ ใครหยุดนิ่งไม่วิ่งตามกระแสก็ถูกหาว่าแปลกหาว่าจะไม่รอด ความสงบสุขและอิ่มเอมใจอย่างแท้จริงก็หาได้ยากยิ่ง จะมีสักกี่คนที่พิจารณาเห็นคุณค่าและเพิ่มพูนความสงบสุข ความอิ่มเอมในจิตใจให้มากขึ้นได้ในโลกอันวุ่นวายนี้
     
  6. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    ไม่มีสิ่งใด คำสอนใดสูญหายในพระพุทธศาสนา
    การที่ยังมีพระอรหันต์บังเกิดขึ้นในกาลปัจจุบันเป็นเครื่องพิสูจน์

    สิ่งที่จะสูญหายคือ บุคคลที่ยังไม่เข้าถึงกระแสพระนิพพาน แต่คิดว่าถึงแล้ว
    ยังเหตุให้เกิดเป็นมิจฉาทิฐิ แสดงออกโดยการวิจารณ์พระสัทธรรมอันประเสริฐ
    ต่อไปผู้นั้นจะพลัดพรากไปจากพระพุทธศาสนา

    "บัณฑิตพึงฟังธรรมด้วยความพิจารณา"
     
  7. รัศมีธรรม

    รัศมีธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2007
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +330
    มายา... ภาพลวง

    เหมือนใช่... แต่ไม่ใช่ เหมือนดี... แต่ไม่ดี กล่าวถูกบางสิ่ง... แต่ไม่จริงบางอย่าง หากเมตตามีน้อย การคิด การพูด และการปฏิบัติ ที่ไม่ประกอบด้วยฐานของความเมตตา กรุณา จะนำพาเข้าหาความวุ่นวายไม่รู้จบ ความแข็งกระด้างและการต่อต้านด้วยใจที่ไม่เป็นธรรม จะทำให้หลงผิด ติดยโส การกล่าวคำเมื่อกลั่นกรองออกมาจากใจที่มีเมตตาบริสุทธิ์แท้จริง เป็นวาจาที่น่าฟัง เจริญหูและเจริญใจ
    การวิพากษ์วิจารณ์ให้สิ่งบริสุทธิ์กลับกลายเป็นสิ่งไม่บริสุทธิ์ เป็นความผิดบาปอย่างมหันต์
    ขอโมทนาบุญในสัมมาทิฎฐิของคุณ Nirvana ด้วยความเคารพและนอบน้อมยิ่ง
     
  8. [{เด็กใฝ่ธรรม}]

    [{เด็กใฝ่ธรรม}] เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    78
    ค่าพลัง:
    +341
    ~ใครเล่าจะรู้ได้ ถ้าหากไม่ ค้นหาเอง~

    *ค้นหา ปฏิบัติเพื่อการรู้ในสิ่งที่เป็นจริง
     
  9. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    ช่วยลองค้นหา...ความหมายของ "หลักสัจจะธรรม" .......

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  10. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    ความหมายของ... "หลักสัจจะธรรม"....อยู่ที่ไหน หายไปไหน....มีอะไรมาบดบัง !!!!!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  11. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** กรรม กำลังมา จะทำอย่างไรดี ? ****

    กรรม กำลังปรากฏชัดขึ้นเรื่อย
    ณ เวลานี้
    "การกระทำ" ....เป็นสิ่งสำคัญที่สุด มีคุณค่าประเมินค่ามิได้
    เราจะหลบหลีกจากกรรม ที่จะมาถึงได้....ต้องอาศัย ..."ผลจากการกระทำ"

    การกระทำที่ดีที่สุด...คือ "การกระทำที่สร้าง กรรมเที่ยง"
    คือ "การกระทำที่เกิดจาก สัจจะ" ... และเป็นสัมมาทิฐิ
    การปลด ปลิด ละ เลิก ...สิ่งไม่ดีในชีวิต
    กิเลส นิสัย.... ที่ยังคงมีอยู่ในจิตใจของเรา

    เราจึงต้องพึ่ง "สัจจะ"...เป็นผู้นำให้กับเรา
    นำให้เกิด ...."การกระทำใหม่"
    นำให้เกิด...สิ่งที่ยังไม่เคยทำ สิ่งที่ยังไม่ได้ทำ และสิ่งที่ดีที่ยังทำไม่ได้

    เราจึงควรระลึกอยู่เสมอว่า...
    "สัจจะ เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  12. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    สัจจะปฏิบัติ ... หายไป !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  13. ผู้พันจุ่น

    ผู้พันจุ่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,396
    ค่าพลัง:
    +2,983
    ไม่มีสิ่งใดหายไป แต่เข้าไม่ถึงพุทธธรรม เท่านั้นเอง ขอยกเอาปาฐกถาพิเศษ เรื่อง ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม แสดงโดย ภิกขุ พุทธทาส อินทปัญโญ ที่แสดง ณ พุทธสมาคม กรุงเทพฯ เมื่อ วันที่ 5 มิถุนานยน 2491 มาให้อ่าน เพื่อเป็นทางเลือกแก่ท่านผู้สนใจในธรรม ให้พิจารณาดูอีกรูปแบบของการเผยแพร่ศาสนาที่ต่างกันไป ฯลฯสิ่งกีดขวางเป็นกำแพงมหึมากั้นขวางวิถีทางแห่งการบรรลุธรรมทำให้เราเข้าถึงพุทธธรรมไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่เรามีความภักดีต่อศาสนาของเราอย่างเต็มที่เสมอ กำแพงมหึมาที่ขวางวิถีทางแห่งการเข้าถึงพุทธธรรมนั้นคืออะไร ? -ถ้าคำตอบคือ
     
  14. iofeast

    iofeast เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    4,174
    ค่าพลัง:
    +7,815
    ทั้งหมดก็อยู่ใน พระธรรมจักร (ปฐมเทศนา)แล้ว นั่นแหละ โลกกุตระธรรม
    ปัจจุบัน มีทั้ง ผสมกับฮินดู บ้าง บวงสรวงเส้นไหว้บ้าง
    สอนให้เกิดอีก ให้ไปเกิดกับตนที่กำลังบำเพ็ญบารมีอยู่บ้าง
    สอนโดยใส่ความคิดเห็นของตนลงไปบ้าง โดยแปลความหมายผิดบ้าง จึงเป็นโลกียะธรรมไป
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    ท่านได้ทำความดีอย่างจริงจัง...ด้วย "สัจจะ" แล้วหรือยัง ????
    ท่านทำ "สัจจะ" ให้เป็นประจำในชีวิต แล้วหรือยัง ???

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** ลองพิจารณา...ความจริงในธรรมชาติ ****

    จิตวิญญาณของเรา...มีตัวตน ไม่ตาย ไม่สูญสลาย
    สิ่งที่เราทำได้จริง....ก็มีตัวตน ไม่ตาย ไม่สูญสลาย...ส่งผลย้อนกลับมาเป็นกรรม
    การกระทำดีที่ทำได้....ก็ไม่ตาย ไม่สูญสลาย มีตัวตน...เป็นบารมี ติดตัวเราไปตลอดกาล
    ผลการกระทำ... ก็ไม่ตาย ไม่สูญสลาย....พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เรียกว่า "ตัวกระทำ"

    รูปสังขาร บนโลก...มีก่อเกิด มีผุผัง มีเปลี่ยนแปลง
    แต่....ก็ไม่สลายไปจากโลก...เป็นละอองธาตุต่างๆ

    การกำเนิดทุกสิ่ง
    เป็นผลมาจาก "ตัวกระทำ" จัดสรร
    การเกิดของเราในชาตินี้...เป็นใคร เป็นอะไร เพศอะไร สมบูรณ์หรือไม่ อยู่ในครอบครัวใด มีพ่อแม่เป็นอย่างไร อยู่ในถิ่นฐานแห่งใด ความเป็นอยู่เรื่องปากท้องเป็นอย่างไร
    ทั้งหมด...ล้วนเป็นการจัดสรรจาก "ตัวกระทำ" ของตัวเราเอง

    การเกิดใหม่...ในแต่ละครั้ง แต่ละชาติ
    จึงเหมือนเป็นการเริ่มต้นใหม่
    .......หาก... " เกิดเป็นสัตว์ หรือ ต้นไม้ " ....ก็คือ การชดใช้กรรม
    ต้องยอมรับ...ผลการกระทำที่เคยทำมาในอดีต
    .......หาก.... "เกิดเป็นมนุษย์"...คือ โชคดีที่สุด
    สามารถเลือกทางเดินตัวเองได้...ว่าจะทำดี ทำในสิ่งไม่ดี....ทำบุญทำกุศลได้
    แต่ สิ่งสำคัญ....ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ....คือ " นิสัยสันดาน "

    "นิสัยสันดาน" ...ส่งผลให้เกิด.... การกระทำแบบเดิมๆ
    ผลการกระทำ...จึงซ้ำๆ เหมือนเดิม เหมือนในชาติก่อน ๆ
    กรรม...จึงเป็นเป็นแบบเดิมๆ....วนเวียนซ้ำๆ อยู่บนโลกแห่งนี้

    หาก...ปรารถนาที่จะพ้นทุกข์อย่างแท้จริง
    คือ...การไม่กลับมาเกิดใหม่
    คือ....การหลุดพ้น
    หลุดพ้นไปจากโลก
    หลุดพ้นสู่นิพพาน...ที่มีอยู่จริงในธรรมชาติ

    การจะหลุดพ้นได้...เราจึงต้อง.... "ขจัดกิเลศนิสัย" ให้หมดสิ้นไปจากจิตใจ
    การจะทำให้หมดไปได้...ต้องฝึกตนเอง
    "นิสัยขี้โมโห"...จะหมดไปได้จริง
    เราจะต้อง.... "ฝึก ไม่โกรธ ไม่โมโห" ...ทุกๆ วัน
    เราฝึกตนเองทุกวัน...นิสัย อารมณ์โกรธโมโห จะลดลง เหลือน้อยลง
    พอรู้ตัว ควบคุมอารมณ์ตัวเองได้
    จนในที่สุด...นิสัย อารมณ์โกรธโมโห....จะหมดไปจากจิตใจเราเอง
    ในช่วงเวลาที่...ตัวเรา ไม่มีอารมณ์โกรธโมโห...การกระทำของเราก็จะดีขึ้น

    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์....จึงสอนให้ ตั้งใจทำความดี
    ตั้งใจละเว้นความชั่ว...ตั้งใจทำจิตใจอารมณ์ไม่ขุ่นมัว
    ด้วย "สัจจะ"
    โดยกำหนด ..."สัจจะเป็นหัวข้อปฏิบัติ" ให้กับตนเองทุกวัน

    เมื่อ...เราอยู่ในความสงบ ทำ "สติว่าง"
    เราพิจารณาตนเอง...เราจะรู้ว่านิสัยไม่ดีของตัวเรา คืออะไร
    แล้วเราจึงนำมากำหนดเป็น "สัจจะหัวข้อปฏิบัติของตนเอง"

    ฝึกทุกวัน...กิเลส นิสัย จะหมดไปได้จริง
    เราต้องพิสูจน์ด้วยตนเอง
    เราจึงจะพบว่า...สิ่งที่กล่าวมา คือ ความจริง
    คือ "สัจจะธรรม"
    ผลการกระทำที่ทำได้ จะเป็นบารมีติดตัวเราไป
    ....... ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน .......
    สิ่งนี้คือ................หลักสัจจะธรรม................

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** ลองพิจารณาทบทวน ****

    เหตุหนึ่งที่พระไตรปิฎกมาปรากฏ
    เพราะ... "หลักสัจจะธรรม" ความจริงในธรรมชาติถูกบดบังด้วยความเห็น
    คนไม่เห็นคุณค่าของ "สัจจะ"

    โลกุตตระ กล่าวไว้ว่า....ทำดีก็เป็นตน ทำชั่วก็เป็นตน ทำโดยเจตนาก็เป็นตน ทำโดยไม่เจตนาก็เป็นตน

    แต่ทุกวันนี้....ไปสอนตามความคิดเห็น ไม่ตรงกับความจริง
    สอนว่า ....ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีเขา ไม่มีเรา
    จึงตรงข้ามกับ "ความจริง"...ตรงข้ามกับ "หลักสัจจะธรรม"

    เพราะ
    หลักสัจจะธรรม... เป็นเรื่องของผลการกระทำที่ไม่ตาย ไม่สูญสลาย ติดตัวเราไป และมีผลตอบแทน
    ผลการกระทำ จากสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว ...เรียกว่า "ตัวกระทำ"
    จึงเป็นเรื่องของตัวตนทั้งสิ้น

    หาก...สิ่งนี้ไม่ตรงกับความคิดท่าน
    ขอให้ท่านลองพิจารณาถึงเหตุและผล
    หาก...ทำไปแล้วไม่มีตัว ไม่มีตน....แล้วผลตอบแทนจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
    แล้ว คนจะสะสมบารมี เป็นพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** สัจจะธรรม ****

    ทุกวันนี้...มักพูดกันแต่
    นี่คือ สัจจธรรม ....
    มันคือ สัจจธรรม ...
    เป็นไปตาม สัจจธรรม ....

    แต่
    ขาด...ความรู้ที่แท้จริง เกี่ยวกับ "สัจจะธรรม"
    ขาด....วิธี ที่จะนำ "หลักสัจจะธรรม" มาใช้ในชีวิตประจำวัน
    ....... นำมาใช้เป็นเครื่องนำทางหลุดพ้น จากความทุกข์ การเกิด การตาย

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** หลักปฏิบัติสัจจธรรม ****

    พระโลกุตตระเขตะมารัจจะ ท่านกล่าวสอนไว้ว่า......

    สาธุชนทั้งหลาย ควรตั้งอยู่ในศีลในธรรม และมีสัจจธรรม โดยมีหลัก 3 ประการ คือ ต้องมี"ใจ"อันสัจจธรรม มี"ปาก"อันสัจจธรรม และ"ปฏิบัติ"อันสัจจธรรม.....

    1.ใจอันสัจจธรรม-เมื่อใจนึกในสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้ว ก็ต้องปฏิบัติตามใจที่เป็นสัจจธรรม อย่าให้ออกนอกลู่นอกทาง คือ ไม่ให้เกิดกิเลส โลภ-หลง และไม่ให้ถืออาฆาตพยาบาทกับผู้ใด เมื่อผู้อื่นทำให้เราไม่พอใจ เราก็ถือใจสัจจธรรมว่า ไม่โต้ตอบ จะได้บรรลุศีลอันบริสุทธิ์ถึงขั้นอรหันต์ แต่ถ้าไม่ปฏิบัติตามใจสัจจธรรม ที่ได้มุ่งมั่นไว้ ก็จะทำให้เราลดบารมีศีลไป

    2.ปากอันสัจจธรรม-เมื่อเราลั่นวาจาออกมาแล้วในวาจาระหว่างนี้ เป็นวาจาสัจจธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อพูดว่า"ไป"ก็ต้องไป ถ้าเราพูดว่า"ไม่" ก็ต้องไม่ อย่าพูดออกมาโดยไม่ตรงกับใจ ซึ่งเป็นการผิดไปจากสัจจธรรม เช่น เมื่อเราตั้งใจว่า วันนี้จะขอสุขกายสุขใจ แต่เมื่อพบสิ่งไม่พอใจเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้ปากไม่สงบ คือ ผิดไปจากปากอันเป็นสัจจธรรม จะหลั่งวาจาอันไม่สมควรฟังออกมาแก่ผู้อื่น ถ้าเราถือใจสัจจธรรมและปากสัจจธรรมแล้ว จะต้องตั้งอยู่ในสมาธิ ให้ถือขันติ มีมานะอดทน มีมุทิตา มีอุเบกขา จะได้เป็นการคล้องจองกับการถือใจสัจจธรรม ปากสัจจธรรม และปฏิบัติสัจจธรรม.....

    3.ปฏิบัติอันสัจจธรรม-ต้องให้คล้องจองกับปากและใจ เช่น เมื่อใจคิดว่าสวดมนต์หนึ่งเล่มธูป ปากก็ได้สวดมนต์ ในการกระทำ ก็ต้องกระทำให้ครบเล่มธูป เป็นการคล้องจองไป จะได้มีบุญบารมีสะสมไว้ใจสัจจธรรม ปากสัจจธรรม และปฏิบัติสัจจธรรม ถ้าสามสิ่งนี้ ขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไป ก็ถือว่า"ขาดศีล"ในชีวิตครอบครัว ภรรยาเป็นหลักหนึ่งที่ช่วยค้ำจุนองค์สัจจธรรม เมื่อสามีปฏิบัติสิ่งใด ภรรยาควรใช้สายตาตรวจชี้ในสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าสามีจะออกนอกลู่นอกทาง ภรรยาก็ควรช่วยเตือนสติปัญญา ให้เขากลับมา แต่ภรรยาจะต้องถือใจปฏิบัติสัจจธรรม ปากถือปฏิบัติสัจจธรรม และตัวปฏิบัติถือสัจจธรรม จึงจะได้ผล อย่าโมโหโกรธา หน้าบึ้งหน้าบูดหน้าเบี้ยว เป็นกิริยาที่ไม่น่าดูไม่น่าชม แทนที่จะเป็นหลักช่วยกระตุ้นเตือนให้สามี กลับเป็นน้ำมันราดในกองเพลิงให้มันลุกช่วงโชติขึ้นมา เป็นการผิดนอกลู่นอกทางของสามี มิได้เป็นการเสริมสร้างบารมี แต่เป็นการทำลายบารมีของภรรยาเอง ผู้ใดปฏิบัติสามประการนี้ได้ ก็จะเป็นศรีภรรยาตามหลักขององค์สัจจธรรม ลูกหลานจะได้เจริญรุ่งเรือง อุปมาเหมือนปากกับท้อง ดังนี้ คือ :-

    สามีทั้งหลาย ให้ถือว่าเป็น"ปากเป็นเสียง" ภรรยา ให้ถือว่าเป็น"ท้อง" เมื่อสามีใช้ปากดำเนินกิจการต่างๆ ปฏิบัติงานต่างๆ เพื่อหาเงินมาเลี้ยงชีพเลี้ยงครอบครัว ภรรยาก็เป็นท้องสำหรับรองรับ เมื่อสามีปฏิบัติตามในหลักธรรมที่ถูกต้อง คือ หาเลี้ยงชีพอย่างสุจริตชน ไม่โกงเขา ไม่โลภหลง เงินทองที่ทำมาหามาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย สร้างความภูมิใจ เท่ากับว่า เป็นอาหารอันโอชา เมื่อเงินทองที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์ ก็เป็นอาหารทิพย์ เมื่อเอามาเลี้ยงท้อง ท้องก็จะอยู่ดี รับด้วยความสบาย มีพลังเข้าถึงหลักธรรมได้ ปากกับท้องนี้ ต้องอยู่คู่กันไปตลอดชาติ เมื่อท้องแข็งแรง ปากก็ดี ก็พลอยให้จิตใจของเราดีไปด้วย เมื่อจิตใจเราดี ผู้นั้นย่อมเจริญรุ่งเรืองไม่มีวันสิ้นสุด

    เมื่อปากที่ให้สมมุติฐานว่าเป็นสามี ได้เงินได้ทองมาในสิ่งที่ผิดๆ เมื่อเอามาเลี้ยงท้องแล้ว ก็จะเกิดเป็นพิษ เมื่อท้องปวดท้องเจ็บ ก็ต้องอุทธรณ์ให้สามีเลิกปฏิบัติการในสิ่งที่ผิด เมื่อปากปฏิบัติถูกต้องแล้ว ท้องก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ปากก็จะอยู่เป็นสุข ไม่เป็นพิษไม่เป็นภัยถ้าภรรยาซึ่งเป็นท้อง กินทุกสิ่งทุกอย่าง โลภไม่มีวันหยุด หลงไม่มีวันหยุด ก็พลอยให้ปากผิดไปด้วย ถ้าสามียึดมั่นอยู่ในธรรมะ ก็จะไม่ปฏิบัติตามท้อง ท้องก็จะอาละวาด ทำให้ครอบครัวไม่มีความร่มเย็นเป็นสุข แต่ถ้าสามีที่เป็นปากนี้ เกิดไปหลงผิดตามท้อง หาในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามมาป้อนให้ท้องได้สบอารมณ์หมาย แต่ในบั้นปลายผลรับจะเป็นอย่างไร ผลรับนี้ ก็จะทำให้เสียทั้งปากทั้งท้อง

    การปฏิบัติใดๆ ถ้ามีธรรมะ เมื่อเกิดหลงผิดแล้ว ก็ยังมีทางที่จะชำระได้
    บุญ- หมายถึง สิ่งอันบริสุทธิ์สดใส
    กรรมชั่ว-หมายถึง สิ่งที่ดำมืด ไม่มีให้ความสว่าง

    ขอให้สาธุชนทั้งหลาย ค่อยๆศึกษา ค่อยๆปฏิบัติกันไป ให้บรรลุถึงใจสัจจธรรม ปากสัจจธรรม และปฏิบัติสัจจธรรม ให้ครบสามประการ สิ่งใดที่เห็นว่าไม่ถูกต้อง จงใช้อารมณ์เย็นเข้าลูบ เมื่ออารมณ์เย็นเข้าสู่ร่างกายของเราแล้ว ก็จะเกิดสติปัญญาขึ้น และจะมีความสดใสชั่วกาลนาน.........

    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=89717

    -
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,680
    ค่าพลัง:
    +51,926
    *** เรื่องราวที่ขาดหายไป ****

    พราหมณ์ เกิดมาก่อนพระพุทธเจ้า
    ศีล เป็นของพราหมณ์ มีมานานแล้ว
    สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบคือ หลักสัจจะธรรม
    พระพุทธเจ้าจึงค้นคว้าหาคำสอน
    ทรงพิจารณาว่า สัจจะ คือผู้นำให้หลุดพ้นจากกเลสนิสัย หลุดพ้นทุกข์ได้จริง
    พระพุทธเจ้าจึงโปรดสอนด้วย สัจจะ ตั้งแต่นั้นมา
    ก่อนพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน พระเริ่มมีจำนวนมาก
    มีพระองค์หนึ่งเป็นห่วงสถานการณ์ ถามพระพุทธเจ้าว่าจะนำศีล ๕ มาเป็นวินัยควบคุมพระจำนวนมากได้หรือไม่
    พระพุทธเจ้าไม่ได้ปฏิเสธ จึงเริ่มมีศีลเข้ามา แต่ศีลสมัยนั้นแปลว่า การทำได้เป็นปกติ
    สมัยนั้น ผู้ที่มีศีล๕ ทำได้เป็นปกติ ก็คือ ผู้บรรลุอรหันต์แล้ว
    เพราะ ความหมายของศีลแต่ละข้อมีความละเอียดอ่อน กว่าความหมายในสมัยนี้อย่างมาก
    สมัยพุทธกาล พระและชาวพุทธไม่ได้เป็นผู้บันทึกเรื่องราวทุกย่างก้าวของพระพุทธเจ้า
    ผู้บันทึกคือพราหมณ์ แต่บันทึกแล้วเก็บไว้เฉยๆ
    เรื่องราวในพระไตรปิฎกที่ส่งต่อถึงปัจจุบัน จึงไม่ได้บันทึกไว้ทันทีในสมัยพุทธกาล
    ศีล ของพราหมณ์จึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในพุทธศาสนา
    เรื่องราวที่ส่งทอดต่อกันมานาน จึงถูกดัดแปลงไปมาก
    พระพุทธเจ้า มุ่งสอนให้หลุดพ้น จึงไม่มีพิธีกรรม ไม่ใช้วัตถุ เป็นเรื่องของจิตใจ จิตวิญญาณ
    จึงไม่มีพิธีกรรมต่างๆ ไม่มีอุปกรณ์พิศษใดๆ
    มีเพียงสัจจะที่มอบให้กับบุคคล
    เป็นหัวข้อสัจจะ สำหรับบุคคลเพื่อให้หลุดพ้นจากนิสัยและความเชื่อผิดๆ
    เช่น องค์คุลีมาลย์ รับสัจจะว่า ไม่ทำตัวเป็นพรานล่าชีวิตคน
    สิ่งสำคัญหนึ่งคือ พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้ซื้อขายพระ
    เพราะจะทำให้นำไปสู่ความเสื่อม เป็นการทำลายศาสนา เป็นได้ทั้งรู้ตัว และไม่รู้ตัว
    คือ มีเจตนาที่ดี แต่กลับส่งผลเสียต่อศาสนาในระยะยาว

    ขอให้พิจารณา
    หากสิ่งที่กล่าวเป็นจริง เราควรที่จะทำอะไรต่อไปให้กับชีวิต
    รับศีล ๑ ข้อ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
    แล้วเดินออกมาเหยียบมดโดยไม่ตั้งใจ
    มดมีจิตวิญญาณ มีความคิด
    จึงทวงถามว่าท่านบอกจะไม่ฆ่าสัตว์ แล้วท่านมาเหยียบมดอย่างฉันทำไม

    พระพุทธเจ้า จึงสอนให้เดินสายกลาง
    ตั้งใจในสิ่งที่ทำได้จริง พอหยิบพอเอื้อมได้
    เช่น สัจจะไม่ฆ่ามนุษย์ตลอดชีวิต สัจจะไม่ทำลายบิดามารดาด้วยกายวาจาใจตลอดชีวิต
    แต่เมื่ออยู่ในเวลาของสัจจะ สติจะเกิดขึ้น เกิดสมาธิพิจารณา เกิดปัญญาขึ้นมาเอง
    และผลการกระทำที่ไม่สูญสลาย ติดตัวเราไปตลอด พระพุทธเจ้าเรียกว่า ตัวกระทำ

    หลักสัจจะธรรม ที่พระพุทธเจ้าค้นพบ
    คือ ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน
    เป็นบารมี ติดตัวเราไป
    เมื่อกรรมปรากฏ จะมีตัวกระทำจากสัจจะ เบี่ยงเบนกรรมไปได้ จึงเกิดเป็นปฏิหาริย์ แคล้วคลาด
    พระพุทธเจ้า จึงสอนให้พึ่งตนเอง
    คือ พึ่งตัวกระทำ จากการกระทำที่ได้ทำไปแล้ว
    จึงเป็นที่มาของ หลักตนพึ่งตน คือตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
    ๑๐ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๑
     

แชร์หน้านี้

Loading...