มัจจุราช : หลวงปู่เทศก์

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 20 สิงหาคม 2011.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    <TABLE border=1 borderColor=#9933ff width="90%" bgColor=#fbfdd7 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#fbfdd7 borderColor=#fbfdd7>
    แสดง ณ วัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    วันที่ ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๕

    <o:p></o:p>​


    <o:p></o:p>​
    วันนี้จะเทศน์เรื่อง ความเป็นใหญ่มีอำนาจเหนือสิ่งทั้งปวงหมด ซึ่งใครๆ ไม่สามารถจะลบล้างได้ นั่นคือ “มัจจุราช” ผู้มีเสนามาก มีอยู่ในตัวของเรานี้ทั้งหมด มัจจุราชก็ไม่ใช่อื่นไกล คือ “ความตายนั่นเอง” ทุกๆ คนต้องมีความตายด้วยกันทั้งนั้น หนีความตายไม่พ้นสักคนเดียว ท่านจึงว่าเป็นใหญ่เหนือคนทั้งปวงหมดในโลกนี้ ไม่ว่าใครจะใหญ่แค่ไหนก็ตามเถอะจะต้องอยู่ในอำนาจของเขาทั้งนั้น ดังพระพุทธภาษิตที่กล่าวไว้ว่า “ขตฺติเย พราหมเณ เวสฺเส สุทฺเท จณฺฑาลปุกฺกุเส นกิญฺจิ ปริวชฺเชติ สพฺพเมวา ภิมทฺทติ” ความว่า กษัตริย์พราหมณ์ก็ดี พ่อค้าวาณิชก็ตาม คนกวาดถนนก็ชั่ง แม้แต่คนที่ต่ำทรามที่สุดในสมัยนั้น คือ คนพวกผสม เรียกว่า จันฑาล เหล่านี้ล้วนแต่อยู่ในอำนาจครอบครองของมัจจุราชด้วยกันทั้งนั้น กษัตริย์ถึงแม้มีอิทธิพลมีทแกล้วทหารทัพหลายหมู่ก็ตามจะรบราฆ่าฟันด้วยวิธีต่างๆ อย่างสมัยนี้เรียกว่า ปืนกล ปืนใหญ่ ลูกระเบิด ก็เอาเถอะ ไม่สามารถที่จะสู้มันได้
    <o:p></o:p>
    คำที่ว่ากษัตริย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี จะเล่าเรื่องความเป็นมาสักนิดหน่อย กษัตริย์ทีแรกก็เป็นคนชาวบ้านเหมือนกันกับพวกเรานี่แหละ เมื่อไม่มีหัวหน้าที่จะปกป้องรักษาหมู่เพื่อน เขาจึงได้เลือกเอาคนที่มีคุณธรรมน่าเคารพสักการะนับถือบูชา ขึ้นมาปกครองหมู่เพื่อน ดูแลความสุขทุกข์ และระงับการทะเลาะวิวาททุ่มเถียงกัน ให้มีระเบียบเรียบร้อย ชาวบ้านชาวเมืองเขาก็เก็บข้าวส่งส่วยสาอากรไม่ต้องทำไร่ทำนา จึงเรียกว่า กษัตริย์ ซึ่งแปลว่า ข้าวเปลือก ต่อมาผู้คนมากขึ้นคนก็แตกเป็นกลุ่มเล็ก กลุ่มใหญ่ และเกิดทะเลาะวิวาทกัน หัวหน้าต้องออกปราบด้วยตนเอง ที่เรียกว่า นักรบ ต่อมาก็ขยายกำลังคนออกไปจนกระทั่งตั้งเป็นกองร้อยกองพัน กองพล ใช้กันแต่สมัยโน้นจนในปัจจุบันนี้ก็ยังใช้อยู่ กษัตริย์หรือพระเจ้าแผ่นดินทรงเป็นจอมทัพเสียเอง
    <o:p></o:p>
    คำว่าพราหมณ์วงศ์ หรือ วงศ์ของพราหมณ์แท้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาก็จะต้องศึกษาเล่าเรียนคัมภีร์ไตรเภทให้จบเสียก่อน แล้วไปเที่ยวขอทาน ได้มาก็เอาไปบูชาพระคุณของอาจารย์ตามสมควร จึงออกประพฤติพรตพรหมจรรย์ เจริญฌานสมาบัติ ได้ฌานสมาบัติ เมื่อดับขันธ์แล้วก็เกิดในพรหมโลก นี่แหละพราหมณ์แท้ทีเดียว คือ พรหมนั่นเอง อีกพวกหนึ่งศึกษาเล่าเรียนจบไตรเภท ทดแทนบุญคุณอาจารย์แล้ว เข้ามารับราชการเป็นครูเป็นปุโรหิตาจารย์ สำหรับให้คำแนะนำหรือสอนพระเจ้าแผ่นดิน พวกต่ำไปกว่านี้อีก ก็เที่ยวขอทานเขากิน ตามเมืองน้อยเมืองใหญ่พราหมณ์เหล่านี้แต่งงานกันได้ ในหมู่พวกพราหมณ์ด้วยกันเองไม่ผสมกับพวกอื่น และเฉพาะนางพราหมณ์ที่มีประจำเดือนแล้วเท่านั้น อีกพวกหนึ่งสำส่อน คือว่า แต่งงานกันได้กับพวกที่ไม่ใช่พราหมณ์ด้วยกัน เขาถือกันว่าเป็นพราหมณ์ชั้นเลวที่สุด
    <o:p></o:p>
    กษัตริย์ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ในหมู่มนุษย์ด้วยกันทั้งหมดเขาถือกันว่า กษัตริย์ประเสริฐกว่า เพราะเขานิยมสมมุติบัญญัติกันมาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์ เมื่อพูดถึงสิทธิ์ของมัจจุราชแล้ว จะเป็นกษัตริย์ พราหมณ์ แพทย์ ศูทร จัณฑาล หรืออะไรก็ตามเถิด จะต้องอยู่ในอำนาจของมัจจุราชทั้งนั้น มัจจุราชจะบัญชาให้ตายวันไหนเวลาไหนก็ได้ ไม่ต้องมีคำอุทธรณ์อีกแล้วทั้งหมดนี้ถูกมัจจุราชล้อมวงไว้หมด ไม่อาจหนีออกนอกขอบข่ายของมัจจุราชได้สักคนเดียว จะทำศึกสงครามหรือจะรบรากันด้วยวิธีใด ๆ ก็ตาม จะรบกับมัจจุราชจะรบที่ไหนกัน เรากะเกณฑ์พลขึ้นมาหลายหมู่หลายเหล่า ตั้งกองทัพขึ้นมาก็ล้วนแต่อยู่ในขอบเขตของมัจจุราชทั้งนั้น เสนาของมัจจุราชก็คือ ความเจ็บ ความป่วยความแก่ ความเฒ่า ขณะที่เตรียมทัพอยู่นั่นแหละ ลองดูพวกพลเหล่านั้นแหละ มีแก่ไหม มีเจ็บไหม โรงพยาบาลก็ยังมีอยู่ ไปไหนๆ ก็มีหมอรักษาอยู่ และผลที่สุดความตายก็มาถึงยังไม่ทันรบกับพญามัจจุราช ตายเสียก่อนแล้วก็มี พญามัจจุราชนั่นนะ มีเสนามารมากเสนามัจจุราชจะต้องตีปีกซ้ายปีกขวา ทัพหน้าทัพหลังสารพัดทุกอย่าง ตัวของเราก็ลองคิดดูซี ตั้งแต่เกิดมามี เจ็บ ป่วย ปวดโน่น ปวดนี่ มีแก่ มีเฒ่ามาโดยลำดับนั่นแหละเรียกว่า เสนามัจจุราชมันตี มันไม่เข้าโจมตีทีเดียวหรอกมันตีปีกซ้าย ปีกขวา ทอนกำลังให้อ่อนลงเสียก่อน ในผลที่สุดต้องนอนอยู่กับเสื่อกับหมอน ไปไหนก็ไม่ได้ หายใจแขม็บๆ นั่นแหละพญามัจจุราชจะซ้ำ มัจจุ คือ ความตาย ไปไหนไม่รอดสักคนเดียว
    <o:p></o:p>
    เราเกิดมาในโลกนี้ จะเป็นมนุษย์หรือเป็นสัตว์ต่างๆ ก็ตามเถอะ เรียกว่าอยู่ในแวดวงของมัจจุราชทั้งนั้น หรือเปรียบเหมือนกับอยู่ในคุกในตะราง (รอความตาย) ด้วยกันทุกคน จะทำอะไรอยู่ก็ตาม จะเป็นผู้ดีวิเศษวิโสเท่าไรก็ชั่ง แม้แต่องค์สัมมาสัมพุทธเจ้า สรีระร่างกายของพระองค์ยังปล่อยให้พญามัจจุราชทำลายได้ แต่ตัวจิตของพระองค์เป็นผู้พ้นแล้ว ไม่ยอมให้มัจจุราชข่มขี่ได้เลยแล้วเราทั้งหลายล่ะ จะมามัวเพลิดเพลินลุ่มหลง อะไรกัน ประมาทอะไรกันในโลกนี้ เมื่อคิดถึงมัจจุราชความตายแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นที่ลุ่มหลง ไม่มีอะไรที่เพลิดเพลินเลย เขาจะเอาเราไปเมื่อไรก็ได้ เราอยู่ในอำนาจของเขา เขาบัญชาให้ตาย ให้เจ็บ ให้ป่วย เมื่อใดก็ได้ จะให้อยู่ให้ไปก็ได้ ชื่อว่าอยู่ในเงื้อมมือของมัจจุราช ซึ่งไม่ผิดอะไรกับโจรเรียกค่าไถ่ โจรเรียกค่าไถ่แล้วก็ยังสนุกสนานเฮฮาอยู่ ควรที่จะคิดถึงตัว หาอุบายเอาตัวรอดให้พ้นจากเงื้อมมือของโจร ด้วยการทำความดี อุบายอะไร ที่จะช่วยให้พ้นเงื้อมมือของเขา จงใช้อุบายนั้นๆ ด้วยการทำทาน รักษาศีล สมาธิภาวนา จึงจะเป็นการพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชโดยลำดับ<o:p></o:p>
    รักษาศีล จะเอาศีลห้า ศีลแปด หรือ ศีลสิบ ศีลสองร้อยยี่สิบเจ็ดก็เอา แล้วแต่ศรัทธาและความสามารถของตนรักษาศีลก็คือ งดเว้นจากโทษนั้นๆ อันเป็นเหตุให้พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราชเป็นเปลาะๆ ไป แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าเป็นอุบายให้พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช พระองค์สอนให้ปฏิบัติตนให้พ้นจากความชั่ว ความชั่วมันค่อยหมดไปจากตัวของเราโดยลำดับดังนี้ นี่แหละเรียกว่าพ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช ถ้าทำชั่วหนักเข้ายิ่งตายเร็ว ยิ่งตายไม่รู้แล้วรู้รอดไปสักที โวหารกรรมฐานพูดกันว่า กลัวตาย คือกลัวจะไม่ได้ตายหลายหนสละความตายนะ หมดห่วงหมดกังวล จิตใจใสสะอาดบริสุทธิ์จะไม่ได้กลับมาตายอีก
    <o:p></o:p>
    การทำสมาธิ ง่ายที่สุดก็คือ เราชำระจิตใจของเราไม่ให้กังวลเกี่ยวข้องสิ่งทั้งปวงหมด ไม่ข้อง ไม่ติด ปล่อยวางเฉยจิตใจว่างใสสะอาดบริสุทธิ์นั่นแหละ จะหมดจากเวร จากกรรม
    <o:p></o:p>
    เวรอันหนึ่ง กรรมอันหนึ่ง ไม่เหมือนกัน เวร คือ การกระทำสิ่งใดที่ผูกเวรกัน เกี่ยวพันกัน อย่างที่ท่านเล่าไว้เรื่อง ยักขิณี กับ นางกุลธิดาเรื่องมันยืดยาว เล่าสั้นๆ ก็คือว่าหญิงคนหนึ่ง มีลูกชายคนเดียว ปฏิบัติแม่ทุกเช้าค่ำ แม่คิดสงสารจะหาภรรยาให้ช่วยปฏิบัติแม่ ลูกชายบอกว่าอย่าเลย ปฏิบัติคนเดียวดีกว่าหลายจิตหลายใจนักปฏิบัติไม่ถูกใจกันหรอก จะทะเลาะวิวาทกัน แม่พูดอยู่สองหนสามหน ในที่สุดแม่ไม่บอกให้ลูกชายทราบ ไปหาผู้หญิงคนหนึ่งมาให้เป็นภรรยาอยู่ด้วยกันมาหลายปีก็ไม่มีลูก จึงไปหาหญิงอีกคนหนึ่งมาให้เป็นภรรยาน้อย ภรรยาคนใหม่นี้มีลูก ภรรยาหลวงคิดว่าเมื่อเขามีลูกแล้ว เขาจะเป็นใหญ่กว่าตัว อิจฉาเบียดเบียน จึงพยายามเอายาแท้งลูกใส่ในอาหาร โดยที่ภรรยาน้อยไม่รู้ ลูกจึงได้แท้งไปถึงสองครั้ง ครั้งที่สามจึงรู้ว่าภรรยาหลวงทำให้แท้ง พร้อมทั้งตัวก็ตายไปพร้อมกับลูก จึงผูกเวรกันว่าชาติหน้าขอให้กูได้ฆ่าลูกมึงถึงสองครั้ง ครั้งที่สามขอให้กูฆ่ามึงพร้อมด้วยลูกด้วย ภรรยาน้อยตายไปเป็นแมวภรรยาหลวงตายไปเป็นไก่ ออกไข่มาสองครั้ง แมวก็เอาไปกินเสีย ครั้งที่สามแมวนั้นก็เอาแม่ไปกินพร้อมทั้งไข่ แมวตายไปเกิดเป็นเสือ ส่วนไก่ตายไปเกิดเป็นกวาง พอกวางออกลูกมา เสือก็เอาไปกินถึงสองครั้ง ครั้งที่สามเลยกินไปพร้อมแม่กวางด้วย กวางตายไปเกิดเป็นนางกุลธิดา เสือตายเป็นยักขิณี นางกุลธิดาคลอดลูกมาก็ถูกนางยักขิณีมาลวงเอาไปกินถึงสองครั้ง พอคลอดลูกครั้งที่สาม ก็กลัวนางยักขิณีจะมาลวงเอาไปกินอีก เลยชวนสามีหอบลูกหนีจากบ้านไปทางที่พระองค์กำลังเทศนาอยู่ เมื่อนางยักขิณีตามหานางกุลธิดาไม่เห็น ได้ทราบข่าวว่านางหนีไปทางโน้นก็วิ่งตามไป พอดีไปเจอนางอยู่ในสำนักพระพุทธเจ้า พระองค์ได้เทศนาให้คู่เวรทั้งสองฟัง จึงได้เกิดศรัทธาเลื่อมใสในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์จึงได้ผูกมิตรให้เป็นมิตรสหายกัน เป็นอันจบเวรกันเท่านั้น พระพุทธเจ้าเทศน์ว่า เธอทั้งสองหากไม่ได้พบตถาคตแล้ว จะก่อเวรกันเป็นเอนกอนันต์ชาติทีเดียวนี่เธอทั้งสองนับว่าโชคดีได้มาพบเราตถาคตเสียก่อน เวรจึงจบลงเพียงแค่นี้ นางยักขิณีเกิดความสังเวชถึงกับน้ำตาตก เวรก็เวียนให้ผลตอบแทนซึ่งกันและกันนั่นเอง<o:p></o:p>
    กรรม คือ การกระทำด้วย กาย วาจา ใจ เพียงแค่คิดนึกอยากจะฆ่าจะแกงเขา คิดอิจฉาริษยาพยาบาทเขา อันนั้นก็เป็นมโนกรรมและเป็นบาปแล้ว แต่ไม่ถึงกับทำบาปพร้อมด้วยอาการสามยังแก้ไขด้วยตนเองได้อยู่ มโนกรรมนี้ถ้ารู้แล้วแต่ไม่กลับแก้ตัว สามารถนำบุคคลไปอบายภูมิได้เหมือนกัน ส่วนมโนกรรมอย่างที่กล่าวมาแล้ว เราคิดชั่วแล้วกลัวบาปกรรม กลับทำความดีเสีย ก็พ้นจากกรรมนั้นๆ ได้ ให้เข้าใจถึงเรื่องกรรมเรื่องเวร เวรและกรรมมันต่างกันอย่างนี้
    <o:p></o:p>
    ว่าถึงเรื่องมัจจุราชอีกที มัจจุราชนี้มองอยู่ตลอดเวลา มองเห็นเราอยู่ทุกเมื่อ ใครจะหลีกลี้ทำอะไรอยู่ก็ตาม มัจจุราชเห็นอยู่ตลอดเวลา อย่างที่ท่านว่า ทำความชั่วไม่มีที่ลับ (ที่ลับไม่มีในโลก) ทำความชั่วไม่มีการปกปิด สู้ทำความชั่วความผิดนั้นๆ เปิดเผยเสียดีกว่า อย่างเราโกรธคนอื่น เขาไม่รู้แต่มัจจุราชรู้แล้วเราไปบอกคนนั้นเสีย ฉันโกรธเธอโว้ย ให้อภัยฉันเสียเถิด คนนั้นจะหัวเราะเลยให้อภัยทันที ถ้าหากปกปิดไว้มัจจุราชตามรู้และเบียดเบียนอยู่เสมอ จึงว่าอย่าทำกรรมชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง<o:p></o:p>

    </TD><TD bgColor=#fbfdd7 borderColor=#fbfdd7 width="9%">
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    <TABLE border=1 borderColor=#9933ff width="90%" bgColor=#fbfdd7 align=center><TBODY><TR><TD bgColor=#fbfdd7 borderColor=#fbfdd7 width="9%">
    </TD><TD bgColor=#fbfdd7 borderColor=#fbfdd7><o:p></o:p>

    นั่งสมาธิ<o:p></o:p>

    <o:p></o:p>
    ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประสมกันเป็นก้อนที่เรียกว่า มนุษย์ สัตว์ เหล่านี้ เป็นที่ตั้งของมัจจุราชพร้อมด้วยเสนาของมัน เมื่อประสมกันเป็นก้อนขึ้นมาในที่ใด ก้อนอันนั้นต้องมีความเจ็บป่วย คือ เสนามัจจุราช และดับไปในที่สุดจึงเรียกว่าเป็นที่มองของมัจจุราช ก้อนอันนั้นไม่ว่าจะก้อนเล็กก้อนใหญ่ คนมี คนจน กษัตริย์ พราหมณ์มหาศาล ที่สุดแม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าสาวกของพระองค์ก็ไม่พ้นจากเงื้อมมือของมัจจุราช เพราะธาตุสี่ ขันธ์ห้า ประชุมกันในที่ใดก็เป็นวิสัยของมัจจุราชจะต้องตามผจญอยู่ตลอดเวลา ดังพระโมคคัลลานะอัครสาวกเบื้องซ้ายของพระพุทธองค์แท้ๆ ยังไม่พ้นจากถูกโจรทุบตีจนกระดูกแตกย่อยยับเป็นจุลวิจุลไปเลย แต่ยังดีที่ท่านใช้ปัญญาเป็นอาวุธ ทำยุทธวิธีต่อสู้กับมัจจุราช พิจารณาเห็นสังขาร คือ รูปนามตามความเป็นจริงอย่างไรแล้ว ปล่อยวางสังขารได้ โจรจะทุบตีก็ทุบตีไปมัจจุราชกับมัจจุราชทุบตีกันเท่านั้น ส่วนจิตใจของท่านไม่มีใครจะทุบตีได้
    <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลาย ท่านเอาชนะมัจจุราชด้วยยุทธวิธีอย่างนี้ ท่านจึงไม่เดือดร้อน ในเมื่อร่างกายยังมีอยู่ เวลาอาพาธหนักๆ หรือจะตายก็ยอมตาย สละหมดทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว แม้แต่ความตายก็ยอมให้ตายเป็นหมดเรื่องกันไม่ต้องถือว่าอันนั้นตายอันนี้ตาย ธรรมชาติมันหากเกิดตายอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไร เราเกิดมาจะถือว่าเราตายหรือไม่ ความตายมันก็ไม่ว่าอะไร เราผู้ถือหากเป็นทุกข์ต่างหาก<o:p></o:p>
    ขอทุกๆ คนจงตั้งใจทำสมาธิต่อสู้กับมัจจุราช ด้วยการสละความเจ็บปวดต่างๆ ให้ถึงที่สุด คือ ความตาย แล้วความตายจะไม่ปรากฏในสมาธิภาวนาเลย จะมีแต่ความเยือกเย็นถ่ายเดียว อันนี้เป็นวิธีเอาชนะมัจจุราช มัจจุราชอยู่ตรงไหนให้มอบมัจจุราชให้มันเสีย<o:p></o:p>​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    http://www.thewayofdhamma.org/patum/patum107.html
     
  2. anoldman

    anoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    1,950
    ค่าพลัง:
    +4,558
    สาธุๆ




    ลูกหลานขอกราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ ด้วยเคารพยิ่งขอรับ __^/|^__

    เรื่องนี้ดีจริงๆ ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ครับ ^_^


    ______________________________
    hello9
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติจังหวัดเพชรบูรณ์
    กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติจังหวัดเพชรบูรณ์มาทำงานกัน<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  3. yavoiii

    yavoiii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +65
    ขอบคุณครับ
     
  4. tharushnu

    tharushnu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    897
    ค่าพลัง:
    +1,276
    อนุโมทนาบุญทุกประการครับ...สาธุ
    _____________________________________________

    <iframe src="http://www.facebook.com/plugins/likebox.php?href=http%3A%2F%2Fwww.facebook.com%2FBuddhaPhothiyan&amp;width=500&amp;colorscheme=light&amp;show_faces=true&amp;border_color&amp;stream=true&amp;header=true&amp;height=427" scrolling="no" frameborder="0" style="border:none; overflow:hidden; width:500px; height:427px;" allowTransparency="true"></iframe>
     
  5. โลกนี้คือละคร

    โลกนี้คือละคร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +103
    อนุโมทามิ ....... ครับ
     
  6. tobetruly

    tobetruly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2009
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +427
    ขอบคุณมากๆครับ จากใจเลยจริงๆ...
     
  7. phak

    phak เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    473
    ค่าพลัง:
    +458
    Anumo..tana..satu..Jou..ka.
     
  8. makcloud

    makcloud เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    424
    ค่าพลัง:
    +535
    ขอบคุณมากนะครับ
     
  9. Aekkapat

    Aekkapat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +318
  10. toon0901

    toon0901 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    64
    ค่าพลัง:
    +17
    อนุโมทนาบุญ เทศน์ของหลวงปู่ค่ะ และขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้ด้วยค่ะ
     
  11. peny_2119

    peny_2119 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +154
    ความตายเป็นสิ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้นจริงๆ อนุโมทนา สาธุ ค่ะ
     
  12. หมี พลเสน

    หมี พลเสน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +358
    ผมโมทนาบุญด้วยครับ ขอให้ผลบุญนี้ช่วยส่งผลให้ผมเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันด้วยเถิด และถ้าหากว่าชาตินี้ผมไม่ถึงพระนิพพานเพียงไร เกิดใหม่ชาติใด ขอคำว่าไม่มีอย่าเกิดกับผมเลย สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...