ทำไม ? พระพุทธองค์มิทรงประกาศจุดตรัสรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย mossolo, 28 เมษายน 2008.

  1. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    อนุโมทนาอย่างสูง เหอๆ

    เขียนคล้องจองกันดีจัง ยังกับพราหมณ์ร่าย โองการ ....


    จะว่าไปแล้วในมุมมองของลัทธิเค้า เราก็คือมารดีๆ นี่เอง วะ 5555

    แต่ทว่า เป็นเทพ ในฝ่ายของเรา วะเหยๆ

    หนังสือ พระจี้กงพาไปทัวร์นรกนั่น ก็ไม่มั่นใจว่าของจริง เพราะบอกว่าเป็นนิมิตรของหยางเซิง ผู้บำเพ็ญคนหนึ่ง แต่ยังดีที่หนังสือไม่ค่อยกล่าวอ้างถึงอนุตรธรรมมาก อาจเป็นหนังสือที่ทางลัทธิเอามาผนวกก็เป็นได้


    "หนึ่งในห้ามหาโจรที่พระองค์ตรัสไว้ มหาโจรผู้นำพุทธธรรม ไปอ้างว่าเป็นของตนเองคิด "
     
  2. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    จะว่าไปโลกของมารไม่ต้องต้อนรับหรอก.... อยู่มานานนมเนแล้ว ...กิเลสมาร...ขันธมาร... อภิสังขารมาร ...
     
  3. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    เราต้องกอดคอกันเดินแล้วมั้ง เม ปรจิต
     
  4. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    ครับพี่ โชติยะ 5555 ต้านลัทธิอนุตรธรรม กู้พุทธสัทธรรมแท้

    ( แนวต้านชิงกู้หมิง ) มิให้คนงมงายไปกว่านี้
     
  5. มาร-

    มาร- เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    262
    ค่าพลัง:
    +487
    มันเป็นเช่นนั้นเองหนอ ท่องเอาไว้ครับ

    คุณทั้งหลายจ้องจองเวรกันมากี่ชาติ...

    ชาตินั้น ฝ่ายหนึ่งดี ฝ่ายหนึ่งมาร อีกชาติ ฝ่ายนั้นมาร ฝ่ายนี่ดี

    จองกันไม่รู้จบ รู้สิ้น

    แผ่เมตตาให้กันบ่อยๆ ครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  6. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    ก็ธรรมดาแหละน้องมารที่น่ารัก ขาวกับดำ ไฟกับน้ำ มืดกับสว่าง ฯเข้ากันไม่ได้ฉันใด เทพกับมาร พระสัทธรรมกับสัทธรรมปฏิรูป ก็เข้ากันไม่ได้ฉันนั้น มีอยู่ที่หนึ่งที่เราจะพบกันได้โดยสนิทแนบ ที่นั้นไม่มีมืดแลไม่สว่าง ไม่มีการเกิดแลไม่ตาย ไม่มีการเพิ่มขึ้นแลไม่ลดลง มันอยู่พ้นการมีแลพ้นไม่มี ไปมะ มาจูงมือกันไปที่รัก ...นิพพานไง หมดหมดหมดทั้งเทพทั้งมาร ฮี่ๆๆ
     
  7. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    หากยังหลงเชื่อกับลัทธินี้อยู่ เกรงว่าจะเข้านิพพานที่พระพุทธองค์ตรัสไม่ได้....
     
  8. Reynolds

    Reynolds เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,501
    เอ พระโพธิสัตว์ก็อยู่ทางจีน จีนก็เป็นพุทธ มีพระอรหันต์มากมาย ท่านจี้กงก็เป็นพระอรหันต์หรือไม่ก็พระโพธิสัตว์ เท่าที่ทราบท่านก็บำเพ็ญแต่ความดี ท่านเป็นของสูงใช่มั้ยนะ ฉะนั้นพระอรหันต์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นของศาสนาพุทธ งี้ของจีนมีพระอรหันต์ก็ไม่แปลก พระไตรปิฏกเล่มเดียวกัน สิ่งสำคัญของการหลุดพ้น ไม่ได้อยู่ศาสนา ไม่ได้อยู่ที่เป็นพระหรือไม่อยู่ที่การปฏิบัติ หรืออยู่ที่จิตการบวชก็เพื่อการละแต่ก็ไม่ใช่การหลุดพ้น หลุดพ้นนั้นอยู่ที่จิต ข้อดีของการบวชคือการได้ตัด ได้ละ ได้พำเพ็ญ ไม่ต้องยุ่งทางโลก แต่ทำไมสมณะไม่หลุดพ้นหมดนะ ........ ก็เพราะจิตนี่งัย จุดมุ่งหมายของพระพุทธเจ้าคืออะไรนะ อยู่ที่ไหนนะ ......... อยู่ที่จิต ไม่จำเป็นต้องบวช แต่สร้างกุศลเข้าใจการเวียนว่ายตายเกิด เห็นนรกสวรรค์ เป็นสิ่งไม่ถูก สิ่งที่ถูกคือทางสายกลางทางสาบนิพพาน สุขหรือทุกข์ หรกหรือสวรรค์ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดี สงบ นิพพาน สายกลางดีที่สุด ฉะนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้บวช แต่ให้รักษาจิต ฉะนั้นผู้ บำเพ็ญไม่จำเป็นต้องบวช บวชใจสิ รักษาจิต ดูจิตตน นรก สวรรค์ นิพพานอยู่ในใจเราทั้งนั้นอยู่ที่เราสร้างเราเลือก ดูใจตนให้ดี ดีกว่ามาโต้แย้ง ดูจุตมุ่งหมายของพระพุทธเจ้ากับอรหันต์จี้กงสิ จุดมุ่งหมายเดียวกันหรือไม่ ถ้าจุดมุ่งหมายเดียวกันก็เป็นสิ่งที่ควรกราบจุดมุ่งหมายคือ ช่วยโลก และตามหาทางหลุดพ้น ไม่ให้หลงโลกีย์ สิ่งที่สำคัญคือจิตคือการรักษาจิต ไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง ผ้าเหลืองเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราห่างโลกและได้ปฏิบัติได้ง่ายยิ่งขึ้น
    นิพพานเป็นของเดิม ป็นของปกติ เป็นของเราทุกคน แต่อยู่ที่เราจะไขว่คว้าไว้หรือไม่หรือจะไขว่คว้ากิเลส เอาไว้ นิพพานไม่เกี่ยวว่าจะเป็นคนดีหรือชั่วแต่อยู่ที่ใจ ว่าสิ่งใดควรไม่ควร คือการมีสติ เมื่อรู้ว่าไม่ดีก็หยุด นิพพานไม่มีคำว่าสาย การเป็นคนดีไม่มีคำว่าสาย เป็นการสะสม คนทำชั่ว ก็ไปสวรรค์ได้เช่นกัน เช่นเราทำชั่วเรามีกรรม เราเข้าใจสัจธรรม เราหยุดทำ สร้างความดี จิตก่อนตายเราไม่ทุกข์ ภาวะสุดท้ายจิตไม่ทุก ก็ไปสวรรค์ได้ ภาวะสุดท้ายจิต สงบได้ ไม่ทุรนทุรายรับสภาวะกฏแห่งกรรมได้ เข้าใจสัจธรรมว่าการเวียนว่ายตายเกิดไม่ดี ทุกข์ก็ไม่ดี สุขก็ไม่ดี สวรรค์ก็ไม่ดี นรกก็ไม่ดีนิพพานดีสุด สงบดีสุด ก็ไปได้ ถ้าจิตเราถูกทาง ดูอย่างองคุลีมาร ท่านทำไมถึง เข้านิพพานได้ บรรลุได้ ทั้งๆที่ไล่ฆ่าคนแบบนั้น ฉะนั้นการทำดี การปฏิบัติไม่มีคำว่าสายหากเราหยุดตั้งแต่วันนี้ ทำอารมณ์ให้เป็นอารมณ์ประเสริฐ หยุดทำชั่ว สร้างกุศล เป็นคนจิตใจดี มีเมตตา ให้อภัย ยอมรับผลกรรม แล้วไม่เฉไฉไปสร้าอกุศล มีความอดทนเป็นตบะ ตั้งใจบำเพ็ญเพียร ดูศีลให้ดีรักษาให้ดี ส่วนตัวผมแล้วคิดว่าการไปนิพพานอยู่ที่สภาวะแห่งจิต มากกว่าการบวช แต่การบวชนี้จะไปง่ายกว่าเมื่อบวชทางนิพพานทุกอย่างเป็นใจ จำทำให้ปฏิบัติง่ายกว่าสงบง่ายกว่า ฉะนั้นตั้งใจกันนะครับ

    สิ่งดีดีเอามาให้อ่านเล่นๆคับ
    BlogGang.com : :
     
  9. Casemie

    Casemie สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    เนื่องจากศึกษามาได้นิดหน่อยน่ะค่ะ ก็เลยอยากจะมาร่วมศึกษากับทุกท่าน
     
    "จริงๆ แล้ว วิถีอนุตตรธรรมนี้ไม่ได้มีในสมัยพระพุทธเจ้า แต่มีมาก่อนพระพุทธเจ้า มีมาพร้อมกับที่โลกใบนี้ได้เกิดขึ้นมา หรือมีมาก่อนที่โลกใบนี้จะเกิดขึ้นมา
    แต่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ และนำมาบอกเราเท่านั้นเอง แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้เป็นคนแรกที่รู้ถึงวิถีอนุตตรธรรมนี้
    หากแต่เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลก ที่อุบัติขึ้นในกัลป์นี้
    นั่นก็คือ พระทีปังกรพุทธเจ้า  ซึ่งจุติ และปกโปรดวิถีอนุตตรธรรมนี้ ณ แผ่นดินจีน นั่นเอง นับเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของกัลป์นี้
     
    และองค์ต่อมา คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานั่นเอง  และพระศรีอาริยเมตไตรย จะมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายในกัลป์นี้ ก่อนที่โลกของเราจะถึงกาลอวสานเช่นเดียวกับทุกอย่างบนโลกที่ต้อง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
    เขาจึงเรียกยุคนี้ว่ายุคสาม เป็นยุคสุดท้ายปลายกัลป์  (บางท่านอาจจะบอกว่ามีพระพุทธเจ้า หรือพระปัจเจกพุทธเจ้าอีกหลายองค์ แต่ทางสายวิถีอนุตตรธรรม เราไม่ได้นับ เพราะพระพุทธเจ้าหรือ
    พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น ท่านไม่ได้แบกรับภาระการปกโปรดในหมู่มวลมนุษยชาติ ไม่มีอนุตตรโองการในการเผยแพร่) เราจึงนับแค่ 3 พระองค์ที่แบกรับภาระการปกโปรดเท่านั้นค่ะ :D
     
    ประวัติภาระการปกโปรดของแต่ละองค์ คร่าว ๆ
    1. พระทีปังกรพุทธเจ้า  จุติ ณ ประเทศจีน และวิถีอนุตตรธรรมรวมทั้งหลักธรรมคำสอน ก็เผยแพร่ในจีนอยู่ถึง 1500 ปี ซึ่งเผยแพร่ในหมู่กษัตริย์เท่านั้นและสายอนุตตรธรรมในการเปิดจุดบนหน้าผากนี้ (แค่ชึ้จุดว่าจิตของเรานั้นอยู่ที่ไหน และเปิดประตู ไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้นน่ะค่ะ สัมผัสแผ่วเบาค่ะ)และท่านเหลาจื้อ ก็ได้แบกรับสืบอนุตตรโองการมาจาก พระทีปังกรพุทธเจ้า ส่งต่อให้ท่านขงจื้อ และสิ้นสุดที่ท่าน เม่งจื้อ
            ในสมัยนั้น ภาษาจีน เรียกว่า ศาสนาเต๋า (เต๋า แปลว่า ธรรมะ) คะ และนี่ก็คือต้นกำเนิด ต้นราก ต้นธาตุ ต้นธรรม ของพุทธศาสนา
     
    2. พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จุติ ณ ชมพูทวีป ท่านไม่จำกัดในหมู่กษัตริย์ เพราะกษัตริย์สมัยนั้น ไม่มีคุณสมบัติดีงาม ดำรงซึ่งธรรมะเหมือนเดิมแล้วจึงปกโปรดในหมู่พระสงฆ์สาวกที่บำเพ็ญจิตมาถึงขั้นสูงสุดแล้วเท่านั้น ส่วนที่ถามว่าพระพุทธองค์ตรัสรู้ กราบรับวิถีธรรมอย่างไรนั้น เป็นอย่างนี้ค่ะ
           ขณะที่พระพุทธองค์กำลังนั่งสมาธิเพื่อจะตรัสรู้นั้น ขณะที่ท่านเข้าฌานสมาธิอันสูงสุด แล้วท่านเห็นถึงวัฎสงสารของมนุษย์ อันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ท่านจึงได้ตั้งจตุมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่
            (คือ ปณิธาน 4ประการ คือ   " เวไนยมากสุดคณา    ปฏิญาณขอฉุดช่วย
                                             กิเลสไม่สิ้นสุด       ปฏิญาณขอขจัดตัดสิ้น
                                            ธรรมวิถีสุดประมาณ   ปฏิญาณขอเพียรเรียนรู้
                                            พุทธมรรคอันสูงสุด    ปฏิญาณขอบรรลุ ")
          ด้วยจิตอันมุ่งมั่น และมหาเมตตาของพระพุทธองค์ ทำให้สะเทือนฟ้า สะท้านปฐพี ทำให้บารมีธรรมของพระทีปังกรพุทธเจ้า บังเกิดเป็นแสงดาวส่องมาจากทางทิศเหนือ
            เปิดจุดพุทธจิตธรรมญาณของพระพุทธองค์ ก็คือ 1 จุดชี้บนหน้าผาก และเมื่อพระพุทธองค์รู้ถึงจุดนี้ ก็เปรยขึ้นมาว่า "แปลกจริงหนอ เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ต่างมีอนุตตรสัมมาสัมโพธิเช่นเดียวกันหมด
           ต่างกันแต่มีผู้รู้และไม่รู้เท่านั้น" (ผู้ที่ไม่รู้ก็คือถูก กิเลสเข้าบดบัง ทางอายตนะ 6 จนหมดสิ้น)
            และนี่แหละ ที่มาของคำว่า "ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือ พระพุทธองค์ตรัสรู้ที่สถิตของจิตญาณ เปิดประตูเข้าสู่หนทางแห่งการหลุดพ้น รู้ตื่น รู้แจ้งถึงหนทางนี้ได้แล้วนั่นเอง"
                                 
                      
                                  หลังจากที่พระพุทธองค์ทราบ ก็ได้บอกกับพระสาวก ซึ่งมีคุณสมบัติครบแล้วเท่านั้น และมอบหมายให้พระมหากัสสปะ แบกรับอนุตตรโองการ เป็นพระบรรพาจารย์รุ่นแรกแห่งชมพูทวีป
                                  และหลังจากมอบหมายให้สงฆ์สาวกเดินทางเผยแพร่ สงฆ์สาวกก็เดินทางออกจากชมพูทวีป เข้าสู่ดินแดนต่างๆ  (ทุกพระองค์ล้วนแล้วแต่ทราบถึงอนุตตรภาวะนี้ทั้งนั้น แต่ไม่สามารถบอกได้
                                  เพราะไม่ได้มีอนุตตรโองการจากพระพุทธองค์)
                                 
                                  และวิถีอนุตตรธรรมนี้ ผู้ที่สามารถบอกได้คือพระมหากัสสปะที่มีอนุตตรโองการเป็นพระบรรพจารย์ แต่สายของท่านได้เดินทางไปเผยแพร่ทางเมืองจีน (นับเป็นการกลับคืนสู่ดินแดนมาตุภูมิของพุทธ
                                  ศาสนาอย่างแท้จริง) และส่งต่อ ๆ มาจนถึงยุคสุดท้ายนี้
     
    3. พระศรีอาริย์เมตไตรย   แม้นว่าท่านจะยังไม่จุติลงมาเป็นพระศรีอาริย์เมตไตรย หากแต่ เมื่อ 100 ปีก่อน ท่านได้อวตารลงมาสืบต่อพงศาธรรมจากพระพุทธองค์ดังที่กล่าวมาแล้ว ท่านลงมาที่เมืองจีน
                                 ท่านอวตารลงมาพร้อมพระพุทธจี้กง และพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา เพื่อสืบสานต่ออนุตตรโองการนี้  (หากท่านใดสงสัย เหมือนข้าพเจ้าสมัยก่อน สามารถลองเข้าชั้นประชุมธรรม 3 วันเพื่อดู และฟัง
                                 ประจักษ์หลักฐานเหล่านี้ได้ เพราะข้าพเจ้าเคยเถียงสุดใจขาดแล้ว แต่ว่าพอลองเปิดใจศึกษาดู ทุกอย่างเข้าล็อคกันเป๊ะ แม้แต่ท่านพระพุทธทาสก็ยังทราบถึงจุดนี้ดี ลองอ่านได้ในหนังสือของท่าน)
                          
                                 และคราวนี้ ด้วยมหาเมตตาบารมีของท่านทั้ง 3 พระองค์รวมทั้งพระพุทธะ สิ่งศักดิสิทธิทั้งหลายที่ปราถนาให้สาธุชนคนบุญ ได้รอดพ้นจากภัยอันตรายทั้งปวง เลิกลุ่มหลงในโลกียโลก
                                 จึงยอมอุทิศตนช่วยงานฟ้า ช่วยกันดลจิตดลใจให้พุทธบุตร ธิดาได้เข้ามามีโอกาสรู้ตื่น รู้แจ้ง และเข้าใจในหลักธรรมมากขึ้น เพื่อปลูกกุศลพันธ์ในหมู่มนุษย์ ให้สานต่อไปยังโลกแห่งพระศรีอาริย์
                                 ของท่านในอนาคตกาลได้
     
    ดังนั้น วิถีอนุตตรธรรมนี้ หากศึกษาแล้ว จะรู้ว่าเป็นธรรมที่สานต่อมาจากพระพุทธองค์อย่างแท้จริงมิมีผิดเพี้ยน เพียงแต่เราต้องเปิดใจสักนิดนึง
    เสมือนกันครั้งแรกที่พระสาวกของพระพุทธองค์เข้ามาเผยแพร่พุทธศาสนาในเมืองไทย หากบรรพชนของเราไม่เปิดใจ ต่อว่า ต่อขาน หรือยึดติดว่านี่ภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย
    เราเหล่าชาวไทย คงไม่ได้มีโอกาสอยู่ใต้ร่ม บรมโพธิสมภารเฉกเช่นเดียวกันทุกวันนี้
     
    ดีอยู่ ที่ทุกท่านปราถนาดี กลัวว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นลัทธิมารศาสนาเถื่อน มาหลอกลูกหลานของเรา
    และยิ่งดี ที่ทุกท่านนั้น มีใจยึดมั่นในพระพุทธองค์เป็นสรณะ มีธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ยากยิ่งที่จะมีใครมาบั่นทอนความรักและศรัทธา ตรงนี้ได้ (เฉกเช่นเดียวกับข้าพเจ้า)
    แต่อยากให้ทุกท่านได้ลองเปิดใจ เข้ามาศึกษาดูว่าแท้ที่จริงแล้วเป็นอย่างไร
    มีความเป็นมาอย่างไร ท่านจะเข้าใจว่า การนับถือวิถีอนุตตรธรรมนี้ จะเสมือนที่พระพุทธองค์ได้ทำนายไว้ (คร่าวๆ  น่ะค่ะ จำไม่ได้เป๊ะ ๆ ว่า)
     
    "เมื่อ ศาสนาพุทธได้ล่วงไป 2500 ปี ศีลธรรมของคนจะเริ่มเสื่อมทรามลง บัดนั้น เมตไตรยะโพธิสัตว์จะมาสืบสานอนุตตรโองการของเราตถาคตไว้"
    "หากผู้ใดยึดถือ พระศรีอาริยเมตรไตรย เป็นสรณะ หรือเป็นที่พึ่ง ขอให้รู้ว่า บุคคลผู้นั้น จะสามารถอยู่ในวิถีอนุตตรธรรมได้โดยไม่ถอยห่างเลย"
     
    นี่แหละค่ะ ความเป็นมาที่แท้จริง ของวิธีอนุตตรธรรม หากได้ลองศึกษาแล้ว จะรู้ว่า วิถีอนุตตรธรรมนี้คือธรรมะที่พระพุทธองค์นั้นได้ตรัสรู้อย่างแท้จริง เป็นจุดสูงสุดแล้ว
    ส่วนหลักธรรมทั้งหมดทีสอน 84000 พระธรรมขันธ์ล้วนแล้วแต่เป็นการกล่อมเกลาให้ สิ้นอาสวะกิเลส และจบที่ 1 จุดชี้นี้ของการกราบขอรับวิถีอนุตตรธรรมนี้เท่านั้น
     
    หากว่าเราเหล่าพุทธศาสนิกชน ซึ่งรักและศรัทธาพระพุทธองค์อย่างแท้จริง แล้วละก็ จะต้องเดินตามให้ถึงซึ่งวิถีแห่งอนุตตรธรรม เช่นที่ท่านตรัสรู้อนุตตรธรรม เพื่อรู้ตื่น รู้แจ้ง
    แต่หากท่านใดยังไม่เชื่อ ก็ไม่เป็นไร เพราะพระพุทธองค์ได้บอกไว้อยู่แล้ว ในหลักกาลามสูตร 10 ว่าไม่ให้เชื่ออะไรง่าย ๆ  10 ประการ
    แต่ที่สำคัญ คือ อย่าไม่เชื่อ และปฏิเสธทันที แต่ให้เราได้พิสูจน์ ให้รู้จักใช้ สติปัญญา นี้ต่างหาก ที่พระพุทธองค์สรรเสริญ อย่างเช่นที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า
     
    "บุคคลใดฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว เชื่อในทันที พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญบุคคลเช่นนั้น
    บุคคลใดฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ปฏิเสธในทันที พระพุทธองค์ไม่ทรงสรรเสริญบุคคลนั้นเช่นกัน
    แต่บุคคลใดฟังสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้ว ไม่เชื่อและไม่ปฏิเสธในทันที หากแต่ใช้สติปัญญา พิจารณา ไตร่ตรอง อย่างละเอียดถี่ถ้วน
    แล้วจึงเชื่อ หรือ ปฏิเสธ  พระพุทธองค์ ทรงสรรเสริญบุคคลประเภทนี้"
     
    หากผู้ใดสนใจอยากร่วมศึกษาเพิ่มเติม หรือเข้าสู่พิธีกราบขอรับวิถีธรรมสามารถติดต่อได้ที่
    คุณ ซัน 081 626 2717
     
    ขอบคุณน่ะค่ะ ที่ให้โอกาสร่วมศึกษา หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกท่านจะเปิดใจ และเปิดใจลองดูค่ะ :D
     
     
     
  10. bhodhithas

    bhodhithas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +591
    กาลามสูตร

    1. อย่าเพิ่งเชื่อ ตามที่ฟังๆกันมา
    2. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะเป็นของเก่า เล่าสืบต่อๆกันมา
    3. อย่าเพิ่งเชื่อ ตามข่าวเล่าลือ
    4. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยการอ้างตำรา หรือคัมภีร์
    5. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยนึกเดาเอาเอง
    6. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยการคาดคะเนอนุมาน
    7. อย่าเพิ่งเชื่อ โดยคิดตรองตามภาพลักษณ์ที่ปรากฏ
    8. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะตรงกับความเห็นของตน
    9. อย่าเพิ่งเชื่อ เพราะผู้พูดน่าเชื่อถือ น่าเป็นไปได้
    10. อย่าเพิ่งเชื่อ เพียงเพราะเป็นครูบาอาจารย์ของตน

    สรุปคือ ก่อนเชื่อในสิ่งใดๆ ให้พิจารณาใคร่ครวญ ไตร่ตรองให้ดีถี่ถ้วน ใช้สติปัญญา แยกแยะรอบด้านเสียก่อน แล้วจึงค่อยเชื่อ อย่าเชื่อโดยทันที อย่าเชื่อโดยปักใจ อย่าเชื่อโดยงมงาย อย่าเชื่อโดยไม่วิเคราะห์ อย่าเชื่อโดยไร้เหตุและผล ทั้งนี้จะขอตั้งข้อสังเกตดังนี้

    "พระทีปังกรพุทธเจ้า จุติ ณ ประเทศจีน และวิถีอนุตตรธรรมรวมทั้งหลักธรรมคำสอน ก็เผยแพร่ในจีนอยู่ถึง 1500 ปี ซึ่งเผยแพร่ในหมู่กษัตริย์เท่านั้นและสายอนุตตรธรรมในการเปิดจุดบนหน้าผากนี้ (แค่ชึ้จุดว่าจิตของเรานั้นอยู่ที่ไหน และเปิดประตู ไม่ได้รุนแรงอะไรขนาดนั้นน่ะค่ะ สัมผัสแผ่วเบาค่ะ)และท่านเหลาจื้อ ก็ได้แบกรับสืบอนุตตรโองการมาจาก พระทีปังกรพุทธเจ้า ส่งต่อให้ท่านขงจื้อ และสิ้นสุดที่ท่าน เม่งจื้อ ในสมัยนั้น ภาษาจีน เรียกว่า ศาสนาเต๋า (เต๋า แปลว่า ธรรมะ) คะ และนี่ก็คือต้นกำเนิด ต้นราก ต้นธาตุ ต้นธรรม ของพุทธศาสนา"

    1. พระพุทธเจ้าสมณโคดม (องค์ปัจจุบัน) ทรงได้รับพุทธพยากรณ์จาก พระพุทธเจ้าทีปังกร ว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 ในภัทรกัปป์ ต่อจากพระพุทธเจ้ากัสสปะ ซึ่งต้องใช้เวลาบำเพ็ญเพียร สร้างบารมีผ่านการเกิดดับของพระพุทธเจ้า ที่จะมาอุบัติในระหว่างกาลนั้นอีก 24 พระองค์ กินเวลานานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่พระทีปังกรพุทธเจ้า จะส่งต่อธรรมให้กับเหลาจื้อ ขงจื้อ จนมาสิ้นสุดที่ท่านเมิ่งจื้อ ที่เป็นคนเกิดในระหว่างไม่เกิน 2 พันปีเศษเท่านั้น เวลาที่เหลือไปตกหล่นที่ไหน..???..???...

    2. องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทีปังกร – ผู้ทรงไว้ซึ่งปัญญาอันรุ่งเรือง
    สถานที่ประสูติ กรุงรัมมวดีมหานคร
    ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 8 อาสาฬหนักขัตฤกษ์
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้า นรเทวราช(พระเจ้าสุเทพ)
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางเจ้า สุเมธา
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนาง ปทุมาราชเทวี
    พระราชโอรส พระนามว่า พระอสุภขันธกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองราชย์ เมื่อพระชนมายุ 10,000 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ช้างพระที่นั่ง
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 9 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ต้นปิปผลิ
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 10 เดือน
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระสุมังคลเถร และพระติสสเถร
    พระอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสาคตเถร
    พระอัครสาวิกา ชื่อว่า พระนันทาเถรี และพระสุนันทาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ มหาอุบาสก
    อัครอุปัฎฐายิกา ชื่อว่า นางสิริมา และนางโสณา มหาอุบาสิกา
    มีพระอรหันต์เป็นพุทธบริวารแวดล้อม จำนวน 400,000 องค์
    พระวรกายสูง 80 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 10 โยชน์
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 100,000 ปี
    อายุพระศาสนา 100,000 ปี

    จะเห็นว่าศาสนาขององค์สมเด็จพระพุทธเจ้าทีปังกร ยืนยาวนานถึง 100,000 ปี แล้วถ้าเผยแผ่ในจีนเพียง 1,500 ปี ส่วนที่เหลือตกหล่นหายไปไหน???...???

    3. ถ้าการบรรลุในสายอนุตตรธรรมเชื่อว่าต้องเปิดจุดบนหน้าผากเท่านั้น จะแปลว่าพระอรหันต์ที่เราท่านทั้งหลายเข้าใจว่าบรรลุนิพพานไปแล้ว ทั้งในอดีตและปัจจุบันก็เชื่อไม่ได้เช่นนั้นหรือ เพราะไม่เคยได้อ่าน ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟัง ไม่เคยได้มีการบันทึกมาก่อนว่า พระอรหันต์ในพุทธกาลก็ดี หรือปัจจุบันกาลก็ดี เช่น พระโสณะ พระอุตตระ หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว หลวงพ่อจรัญ ต้องไปรับวิถีอนุตตรธรรมด้วยการเปิดจุดหน้าผาก ล้วนเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่ปรากฏหลักฐานความน่าเชื่อถือหรือไม่...???...???


    "จริงๆ แล้ว วิถีอนุตตรธรรมนี้ไม่ได้มีในสมัยพระพุทธเจ้า แต่มีมาก่อนพระพุทธเจ้า มีมาพร้อมกับที่โลกใบนี้ได้เกิดขึ้นมา หรือมีมาก่อนที่โลกใบนี้จะเกิดขึ้นมาแต่พระพุทธองค์ได้ตรัสรู้ และนำมาบอกเราเท่านั้นเอง แต่พระพุทธองค์ก็ไม่ได้เป็นคนแรกที่รู้ถึงวิถีอนุตตรธรรมนี้ หากแต่เป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของโลก ที่อุบัติขึ้นในกัลป์นี้นั่นก็คือ พระทีปังกรพุทธเจ้า ซึ่งจุติ และปกโปรดวิถีอนุตตรธรรมนี้ ณ แผ่นดินจีน นั่นเอง นับเป็นพระพุทธเจ้าองค์แรกของกัลป์นี้"


    4. ความเข้าใจในพระนามและลำดับพระพุทธเจ้าในภัทรกัปป์ก็ผิดเพี้ยน ดังกล่าวข้างต้นแล้ว พระพุทธเจ้าทีปังกร เกิดขึ้นก่อนพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันถึง สี่อสงไขยแสนกัปป์ พระพุทธเจ้าทีปังกรไม่ได้อยู่ในกัปป์ปัจจุบัน ส่วนพระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้จริงๆในภัทรกัปป์ก็มีตามลำดับดังนี้


    -พระพุทธเจ้ากกุสันธะ - ผู้นำสัตว์ออกจากกันดาร คือ กิเลส
    -พระพุทธเจ้าโกนาคมนะ - ผู้หักเสียซึ่งข้าศึก คือ กิเลส
    -พระพุทธเจ้ากัสสปะ - ผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ
    -พระพุทธเจ้าโคตมะ (พระสมณะโคดม) - ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากย
    -พระพุทธเจ้าเมตไตรย (ยังไม่บังเกิด ปัจจุบันเป็นพระโพธิสัตว์ในชั้นดุสิต)

    องค์สมเด็จพระพุทธโคตมะ – ผู้ประเสริฐแห่งหมู่ศากยราช
    สถานที่ประสูติ กรุงกบิลพัสดุ์
    ประสูติเมื่อ วันเพ็ญ เดือน 6
    ประสูติในตระกูล กษัตริย์ แห่งศากยวงศ์
    พระพุทธบิดา พระนามว่า พระเจ้าสุทโธทน
    พระพุทธมารดา พระนามว่า พระนางสิริมหามายา
    พระอัครมเหสี พระนามว่า พระนางยโสธรา
    พระราชโอรส พระนามว่า พระราหุลราชกุมาร
    เสด็จออกบรรพชาหลังจากครองฆราวาสอยู่ได้ 29 ปี
    พาหนะที่ทรงออกบรรพชา ม้าอัศวราช
    รัตนบัลลังก์ที่ประทับนั่งวันตรัสรู้ กว้าง-ยาว-สูง 14 ศอก
    ไม้ศรีมหาโพธิ์ที่ตรัสรู้ชื่อว่า ไม้อัสสัตถะ (ไม้ปาเป้ง)
    ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อตรัสรู้ นาน 6 ปี
    วันที่ตรัสรู้ วันเพ็ญเดือน 6 วิสาขปุณณมี
    พระอัครสาวก ได้แก่ พระติสสเถร และพระโกลิตเถร
    พระอุปัฏฐาก ได้แก่ พระอานนทเถร
    พระอัครสาวิกา ได้แก่ พระเขมาเถรี และพระอุบลวัณณาเถรี
    อัครอุปัฏฐาก ชื่อว่า จิตตะ และหัตถอาฬวก มหาอุบาสก
    อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อว่า นางนันทมาตา และนางอุตตรา มหาอุบาสิกา
    พระวรกายสูง 16 ศอก
    พระรัศมีแผ่ออกโดยรอบพระวรกาย กว้างไกล 1 วา
    ปรินิพพานเมื่อพระชนมายุ 80 ปี
    อายุพระศาสนา 5,000 ปี


    "พระศรีอาริย์เมตไตรย แม้นว่าท่านจะยังไม่จุติลงมาเป็นพระศรีอาริย์เมตไตรย หากแต่ เมื่อ 100 ปีก่อน ท่านได้อวตารลงมาสืบต่อพงศาธรรมจากพระพุทธองค์ดังที่กล่าวมาแล้ว ท่านลงมาที่เมืองจีน ท่านอวตารลงมาพร้อมพระพุทธจี้กง และพระโพธิสัตว์จันทรปัญญา เพื่อสืบสานต่ออนุตตรโองการนี้ (หากท่านใดสงสัย เหมือนข้าพเจ้าสมัยก่อน สามารถลองเข้าชั้นประชุมธรรม 3 วันเพื่อดู และฟังประจักษ์หลักฐานเหล่านี้ได้ เพราะข้าพเจ้าเคยเถียงสุดใจขาดแล้ว แต่ว่าพอลองเปิดใจศึกษาดู ทุกอย่างเข้าล็อคกันเป๊ะ แม้แต่ท่านพระพุทธทาสก็ยังทราบถึงจุดนี้ดี ลองอ่านได้ในหนังสือของท่าน)"



    5. เมื่อพระศรีอาริย์เมตไตรยยังไม่บังเกิด แล้วท่านได้พระนามนี้แล้วหรือ? เมื่อท่านยังไม่ได้แม้พระนาม จะเป็นวาระหรือธรรมกาลอะไรที่ท่านต้องมาปรกโปรดแล้วหรือ..??? ก่อนท่านจะบรรลุเป็นพระศรีอาริย์เมตไตรยนั้น ท่านต้องกลับมาเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีเป็นชาติสุดท้ายอีกหรือไม่..??? เช่นเดียวกับพระเวสสันดร เจ้าชายสิทธัตถะ ก่อนสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า..???


    ศาสนาของพระพุทธเจ้าโคตมะ มีอายุ 5,000 ปี นี่เพียงผ่านไป 2554 ปี จะรีบไปไหน ไม่เคยมีพระไตรปิฏกหรือหลักฐานที่ไหนบอกว่า ตัวเลข 5,000 ปีผิด แต่ 3,000 ปีจึงจะถูก เพราะถ้าลำดับพุทธพยากรณ์แล้ว ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่รอเกิด เช่น อายุคนสั้นลงๆจนตายตอนประมาณ 10 กว่าปี เด็กๆอายุ 5-6 ขวบก็แต่งงานมีลูก ร่างกายก็เตี้ยแคระแกร็นจนต้องปีนต้นมะเขือ ศาสนาพุทธจะเรียวเล็กลง จนการร้อยจีวรที่ใบหูก็เป็นพระสงฆ์กันได้แล้ว พุทธพยากรณ์ของพระพุทธเจ้านี้มีมานานกว่า 2,500 ปีแล้วไม่เคยมีผิด และยังตรัสถึงการนำศาสนาของพระพุทธองค์ไปบิดเบือน ปลอมปนโดยพวกนอกศาสนาในลัทธิต่างๆอีกด้วย และเท่าที่ทราบมีลัทธิหนึ่งเที่ยวป่าวประกาศให้ผู้คนแตกตื่นว่าโลกใกล้กาลวิบัติในปีค.ศ. 1999-2000 หากไม่รับธรรมต้องตกนรกแน่นอน เหตุการณ์ครั้งนั้นก็แค่ปีสองปียังพยากรณ์อะไรไม่ถูกเลย ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นภัยพิบัติบ้างสึนามิบ้าง ไม่กล้าพยากรณ์อะไรตรงๆแล้ว ซึ่งผู้ที่ศึกษามั่นคงในพุทธศาสนาก็ได้รู้ล่วงหน้าในภัยธรรมชาติก่อนหน้านานแล้ว


    ส่วนศาสนาในยุคสมัยของพระศรีอริยเมตไตรย์ เมื่อถึงวาระจริง ผู้คนจะเจริญรุ่งเรืองด้วยธรรม ไม่มีการฆ่า จี้ปล้น ลักขโมย พูดปด โกหกหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบ ทุกชีวิตมั่งคั่งด้วยความสุขที่ไม่เบียดเบียน อายุผู้คนยืนยาวถึง 80,000 ปี ถามว่า ปัจจุบันอายุเฉลี่ยประชาชนอยู่ที่กี่ปี..?? แล้วขณะนี้จะถึงยุคพระศรีอาริย์ฯจริงหรือ..??? ข้าพเจ้าก็อยากให้เป็นเช่นนั้นหรอกนะ แต่จนใจที่มันไม่ใช่......


    6. การอวตารลงมาก็ไม่เห็นหลักฐานที่ชัดเจนเป็นจริงที่พิสูจน์ได้ แต่ที่ประวัติศาสตร์จีนบันทึกไว้จริงก็คือ "ลัทธิอนุตรธรรม" มีที่มาจาก "ลัทธิหลอจู่" ผสมผสานกับ "ลัทธิบัวขาว" "ลัทธิเมตไตรย" ก่อตั้งโดย "หลิวชิงซวี่" (ธรรมาจารย์ที่ 16) แล้วมารุ่งเรืองในสมัย "ลู่จงอี" (ธรรมาจารย์ที่ 17 อ้างว่าเป็นภาคหนึ่งของพระเมตไตรย และเป็นจินกงในลัทธิเต๋า) และตายในปี พ.ศ.2468

    ขณะนั้นมีศิษย์เอกอยู่ 25 คน หนึ่งในนั้นคือ "จางจื้อหรัน" อ้างว่าได้รับบัญชาจาก "หวงหมู่" แต่งตั้งเป็น "ธรรมาจารย์ที่ 18" ในปีพ.ศ.2474 เผยแพร่ธรรมในจีนจนถึง พ.ศ.2479 ก็ถูกทางการจับขังคุกเป็นเวลาเกือบปี และตายในปี พ.ศ.2490 ตอนอายุ 58 ปี ซึ่งลูกเมียคือ "จางอิ่งอวี้" และ "หลิวส้วยเจิน" สันนิษฐานว่า "ถูกวางยาฆ่าตาย" โดยญาติที่ชื่อ "ซุนฮุ่ยหมิง" หรือ "ซุนซู่เจิน" ต่อมา "จางอิ่งอวี้" และ "หลิวส้วยเจิน" ถูกทางการจีนจับกุมและ "ตัดสินประหารชีวิต" ในปี พ.ศ.2496 พร้อมสาวกอีกร้อยกว่าคนในข้อหาแพร่ธรรมหลอกลวงผู้คน


    7. "ซุนฮุ่ยหมิง" หรือ "ซุนซู่เจิน" (จื่อซี) ประกาศไม่นับญาติกับครอบครัว "จางจื้อหรัน" "จางอิ่งอวี้" และ "หลิวส้วยเจิน" พร้อมตั้งตนเป็น "ธรรมาจารย์ที่ 18" ร่วมกับ "จางขุยเซิง" หรือ "จางกวงปี้" (กงฉัง) "ซุนซู่เจิน" (จื่อซี) หนีออกจากจีนผ่านฮ่องกง พ.ศ.2492 และไปไต้หวันปี พ.ศ.2497 จนกระทั่งตายใน พ.ศ.2518 ทางการไต้หวันประกาศรับรอง "ลัทธิอนุตรธรรม" เป็นลัทธิถูกกฏหมายในปี พ.ศ.2530 เนื่องจากผู้นำและสาวกในลัทธินี้เป็นผู้สนับสนุน "เจียงไคเช็๋ค" เมื่อครั้งจีน 2 ฝ่ายสู้รบกัน แต่ก็เป็นเพียง "ลัทธิ" หนึ่งไม่ใช่ "ศาสนา" ทางพุทธมหายานก็ปฏิเสธว่าไม่ใช่เป็น "ศาสนาพุทธ" แต่ประการใด ส่วนในจีนแผ่นดินใหญ่บ้านเกิด "ลัทธิอนุตรธรรม" ยังถือเป็นลัทธินอกกฏหมาย หลอกลวงประชาชน และเป็นอันตรายต่อการปกครองบ้านเมือง เนื่องมาจากเจ้าลัทธิต่างๆในจีนตั้งแต่ครั้งอดีตกาลนานมา ทำการก่อตั้งลัทธิเมื่อมีผู้ศรัทธามากเข้า ก็เพื่อจุดประสงค์ในการโค่นล้มอำนาจรัฐ หรือผลประโยช์แอบแฝงทั้งสิ้น ดังเช่น ลัทธิสุคนธ์ หรือ พรรคสุคนธ์ อ้างสิ้นยุคพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันแล้ว พระศรีอาริย์กำลังบังเกิด ทำการก่อกบฏในสมัยราชวงศ์ซ่ง และยังมีอีกหลายลัทธิอ้างในทำนองเดียวกัน เป็นต้น


    ในปัจจุบันยังมี "ลัทธิเมตไตรยมหามรรค" (หมีเล่อต้าเต้า-นำโดย "เฉินห้าวเต๋อ") ที่มีความเชื่อเช่นเดียวกันกับ "ลัทธิอนุตรธรรม" (อี้ก้วนเต้า) ที่เข้ามาเผยแผ่ในประเทศไทยโดยสายของ "จางเหล่าเฉียนเหยิน" ส่วน "พลังธรรมจักร" (ฝ่าหลุนกง) เป็นอีกลัทธิหนึ่ง แต่ไม่ว่าลัทธิไหนก็ไม่เป็นที่ต้อนรับในแผ่นดินจีนทั้งสิ้น (อาจโดนประหารชีวิต)


    8. ศาสนาพุทธที่แท้จริง มีการประกาศธรรมโดยเปิดเผย สอนอย่างไม่ปิดบัง มีพระไตรปิฏก ให้ทุกเชื้อชาติศาสนาเข้าไปศึกษาเรียนรู้ได้ ส่วนการปฏิบัติได้เข้าถึงหรือไม่ เป็นเรื่องปัจจัตตัง แต่ที่แน่ๆคือไม่ปิดบังความรู้ ไม่ปิดกั้นความเห็น มีอะไรยิ่งดียิ่งบอก ยิ่งประกาศให้รับรู้ ยิ่งเผยแพร่ให้ปฏิบัติตาม ส่วน "ลัทธิ...." แม้กระทั่งคาถา 5 คำ ก็เป็นความลับ บอกว่าเป็นของวิเศษต้องให้เฉพาะตน บอกใครไม่ได้แม้พ่อแม่ลูกเมียผัว ซึ่งน่าจะนับเป็น "กิเลส" อย่างหนึ่งในการมองแบบชาวพุทธหรือไม่..??.. หากเป็นกิเลสแล้ว บรรลุธรรมได้อย่างไร....?? แถมได้ตำแหน่งอะไรต่ออะไร..เอามาจากไหน..ใครตั้งให้..??


    เอวัง......
     
  11. bhodhithas

    bhodhithas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +591
    ขอเสริมอีกเรื่อง คือ

    9. ว่าที่พระศรีอาริย์ (อนาคต) มาเกิดในโลกมนุษย์ นี่เป็นเรื่องจริง แต่มิได้อวตารมาเกิดเป็นโน่นนี่ตามคำอ้างหรอกนะ ท่านมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาเพราะยังมิได้บรรลุธรรมสำเร็จ ท่านได้ออกบวชเป็นพระใหม่ในยุคพระพุทธเจ้าสมณโคดมยังดำรงพระชนม์ชีพ ขณะที่พระนางปชาบดีโคตมีคิดถวายผ้าไตรจีวรอันเลิศ แต่พระพุทธองค์ไม่ทรงรับ กลับหาโอกาสให้บรรดาสาวกผู้มีอิทธิฤทธิ์เก่งกล้าแสดงความสามารถ โดยการนำบาตรของท่านจากนภากาศมาคืนให้ได้ แต่ก็ไม่มีพระรูปใดทำได้แม้อัครสาวกพระอรหันต์โมคัลลานะก็ตาม จนสุดท้ายพระบวชใหม่ที่ไม่มีฤทธิ์เดชอะไร ใช้การกล่าวอธิษฐานบารมี บาตรของพระพุทธองค์ก็ลอยลงมาสู่มืออย่างอัศจรรย์ พระใหม่รูปนั้นมีชื่อว่า "พระอชิตะ" พระพุทธเจ้าทรงยืนยันว่า "พระอชิตะ" จะเป็นพระพุทธเจ้าต่อจากพระองค์หลังกาลสมัย เมื่อศาสนาพระพุทธองค์เสื่อมลงในอีก 5,000 ปีข้างหน้า และทรงพระนามว่า "พระเมตไตรยพุทธเจ้า"

    นี่เป็นหลักฐานอีกชิ้นหนึ่งจากพระไตรปิฏก ที่กล่าวถึง "ว่าที่พระเมตไตรยพุทธเจ้า" ซึ่งไม่มีการบรรยายถึงภาคอวตาร หรือรับช่วงธรรมกาลขาว จากธรรมกาลแดง เป็นการซ้อนยุค หรือตัดทอนปีของการเผยแผ่ธรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันอย่างใดเลย เข้าใจว่า ผู้ก่อตั้งที่คิดบิดเบือนพระพุทธศาสนาคงไม่รอบรู้ หรือรอบคอบพอ ที่จะพบเห็นการอธิบายความ และเหตุการณ์ต่างๆในพระไตรปิฏกอย่างละเอียด จึงยำกันมั่วเละเทะไปหมด เปิดประเด็นให้จับผิดได้มากมาย ดั่งเช่นนี้แล..........
     
  12. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    ไม่ได้เข้ามาเป็นปีแล้ว เข้ามาก็เจอผู้รู้เข้าอีกหนึ่ง พวกอุตริธรรมคงจะอึ้งไปเดี๋ยวหนึ่ง และก็จะทะลึ่งตะแบงไปต่อ พวกนี้ขาดการศึกษาพระไตรปิฎกในทั้งสามฝ่าย เถรวาท มหายาน วัชรยานเขาจะฟังแต่พวกอุตริธรรม ทำการเข้าทรง พล่ามมั่วไปหมด เข้าทรงได้แม้กระทั่งเจ้าชายสิทธัตถะ พระอรหันต์ ไม่รู้เลยว่านิพพานเป็นอย่างไร เวลามีใครออกมาค้านชี้แจงก็จะหาว่าไม่เชื่ออย่าลบหลู่ โถก็ปู่นี้แหละ เคยถูกเขาตั้งให้เป็น ซานเจว้เป่าฝู้ต้าเสิน เทพพิทักษ์สามโลก มาแล้ว ยังออกมาคัดง้างความมั่วของลัทธิอุตรินี้เลย ความเป็นมาก็ดั่งที่ ท่านโพธิทาสโพธิสัตว์เทศนามา รู้จักใช้เหตุผล ใช้การศึกษา มาล้างใจกันบ้างเถิด
     
  13. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    ท่านผู้อยู่ในวงการอนุตตรธรรมทั้งหลาย

    หากปรารถนาพระนิพพานจริงๆตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    จงศึกษาพระบาลีเถิด จงศึกษาพระไตรปิฎกเถิด


    แต่หากไม่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา และไม่สามารถปฎิบัติตนเป็นอุบาสกอุบาสิกาตามพุทธประสงค์จริงๆ ก็จงเป็นคนดี คิดดี ทำดี พูดดีและไม่ควรเผยแผ่ บุกเบิกธรรมที่ท่านนับถือโดยการชักชวน เชิญชวน ชักนำบุคคลที่เข้าวัด ปฎิบัติเป็นอุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้นออกจากบวรพระศาสนาเลย
     
  14. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    กระทู้เด็กสถานธรรม .....!!!!!

    ชื่อกระทู้
    " ทำไม ? พระพุทธองค์มิทรงประกาศจุดตรัสรู้ "

    สงสัย จขกท. ต้องไปเรียนวิชาพระศาสนาใหม่ ตั้งแต่ต้นแล้วมั้ง อิอิ

    ปล. เจี่ยงซือ(พิมพ์ถูกหรือป่าว ??)ในสถานธรรม ยังทะเลาะกันเลย อิอิ
     
  15. CHOTIYA

    CHOTIYA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,006
    ค่าพลัง:
    +359
    อยากรู้ความเป็นมาของลัทธิเถื่อนต่างๆ ลองเข้าไปที่ yokipedia.com เขารวมเรื่องราวไว้ได้เนี้ยบ คอรั่ม กินเจ 1-7
     
  16. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ธรรมะคืออะไรหนอ ธรรมะอยู่ที่ไหนหนอ อะไรคือธรรม อะไรไม่ใช่ธรรม ทำไมคนถึงทุ่มเถียงกันได้ขนาดนี้ เคยได้ยินแต่ว่า แพ้เป็นพระ ชนะเป็นสมภาร
     
  17. งากระจก

    งากระจก สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +1
    มีคำกล่าวไว้ว่าผู้พูดไม่รู้ผู้รู้ไม่พูด สิ่งที่ทุกท่านกำลังสนทนากันเป็นเรื่องดีเป็นแนวทางไปปฏิบัติถ้าทุกท่านสนทนากันโดยไม่ใช้ความคาดหวังในการสนทนาที่จะทำให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดยอมรับซึ่งกันและกันความเป็นกลาง(จิตที่เป็นกลางก็จะปรากฏ)ออกมาเองสาธุ
     
  18. din555

    din555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 เมษายน 2010
    โพสต์:
    520
    ค่าพลัง:
    +544
    ใครหนอจะใหญ๋เกินกรรม ใครทำกรรมอันได้ไว้ ย่อมได้รับแน่นอน บ่อมีสอง รุ้แก่ใจ
     
  19. Keua

    Keua สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    ทุกอย่างล้วนเบื้องบนคัดสรร ล้วนเป็นไปตามพระมหาเมตตาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะพูดภาษาไหน หรือจะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ไหนโปรดลงมา การประทับทิพญาณเป็นการสั่งสอนผู้ที่ได้รับการถ่ายทอดวิถีธรรม ผู้มีบุญสัมพันธ์ และเพื่อผูกบุญสัมพันธ์ ร่างที่ใช้เรียกว่า"ร่างสามคุณ" ลองไปดูครับจะได้ทราบจริงๆ ถือว่าเป็นการพิสูจน์เพื่อความกระจ่างนะ ไม่ว่ากัน
     
  20. bhodhithas

    bhodhithas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +591
    กฏแห่งกรรมนั้นมีจริง ไม่ช้า ร่างสามคุณตามลัทธิเถื่อนของประเทศจีนต้นกำเนิดนี้ จะออกมาเปิดเผยความจริงว่าเป็นอย่างไร ฝึกอย่างไร แล้วอย่าปฏิเสธกันวุ่นวายนะว่า ไม่ใช่เป็นของสำนักตน เป็นสำนักปลอม แบบที่เคยปฏิเสธเรื่องคำทำนายว่าโลกจะแตกเมื่อปี ค.ศ. 1999-2000 ทุกคนต้องรีบเข้ารับวิถีอนุตตรธรรม มิฉะนั้นต้องตายแน่ๆ (โบรชัวร์คำโฆษนานี้ยังมีเป็นหลักฐานนะ ในยุคนั้นอาจารย์มาจากไต้หวันโดยตรงด้วย)

    ทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ ลัทธิวิถีอนุตตรธรรมไม่เคยยินดีกับการพิสูจน์ เอาแต่เข้าทรงแล้วรีบถอยหนี ในระหว่างนี้ ลองจัดเวทีกลาง ให้ร่างสามคุณทำการทรงเจ้าพ่อเจ้าแม่องค์ใดก็ได้ แล้วมาสนทนาแลกเปลี่ยนธรรม หรือทำการพิสูจน์ความรู้จริงกันดีไหม

    หากมีความตั้งใจดีที่จะสอนคนให้รู้ธรรม ให้เป็นคนดี ซื่อสัตย์ กตัญญู มีเมตตา เอื้อเฟื้อต่อสัตว์โลก ก็จงทำไปเถิด แต่จงอย่ายกตนข่มท่าน ข่มพระพุทธเจ้า หรือ 5 ศาสดาเอกของโลก โดยยกเอาแม่ของลัทธิตัวเองเป็นพระเจ้าเหนือพระเจ้า ทั้งที่คำสอนส่วนมากก็ยกเอาไปจากศาสนาพุทธ เต๋า ขงจื๊อ คริสต์ อิสลาม นั่นเอง
     

แชร์หน้านี้

Loading...