คุณคิดเห็นอย่างไรกับแนวคิดของโอโชว่า "ศาสนาคือกรงขัง"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย นรมิตร, 18 กรกฎาคม 2011.

?
  1. ค่อนข้างเชื่อ

    0 vote(s)
    0.0%
  2. ไม่เชื่อเลย

    0 vote(s)
    0.0%
  3. กลางๆ ยังตัดสินใจไม่ได้

    0 vote(s)
    0.0%
  1. unim

    unim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    83
    ค่าพลัง:
    +147
    แหมนะ ไปยุ่งอะไรกับกรรมของคนอื่นนี่
    โดนหลอกกันเป็นแถวเลย
     
  2. อาจีฟา

    อาจีฟา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +307
    เคยอ่านนิทานเซ็นเรื่องหนึ่งมีพระ2รูปเห็น ผญ
    บาดเจ็บจะจมน้ำอยู่ตรงหน้า พระท่านหนึ่งเข้าไปอุ้มช่วยไว้ พอผ่านไปสักพัก
    พระอีกรูปที่ท่านถือกฎเรื่องพระกับสตรีห้ามใกล้ชิดกันก็ครุ่นคิดเรื่องที่พระเพื่อนเข้าไปอุ้ม ผญ
    เลยถามว่า เราเป็นพระทำไมท่านถึงเข้าไปอุ้ม ผญ ละมันไม่งามเลย พระท่านจึงบอกกับพระเพื่อนว่า เราวาง ผญ คนนั้นเมื่อตอนกลางวันไปแล้ว ท่านยังแบกอยู่อีกหรือ เมื่อนั้นพระเพื่อนจึงได้เข้าใจ รู้แจ้งแห่งธรรมในบัดนั้น
    ผมรู้สึกว่าแบบนี้ละครับ พุทธแท้ในความคิดผม
     
  3. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    เวลา คุณมีปัญญา จริงจริง คุณ จะไม่รู้สึกว่า ต้องพึ่ง คนอื่นที่ยกมาไม่ว่า จาก ตะวันตก ตะวันออก ธรรมของพระพุทธองค์มุ่งตรงสู่ ปัญญาญานรู้แจ้ง แล้วจะมองออกว่าอะไรเป็นอะไร
     
  4. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    จิตวิญญาณ มีอยู่มาก่อน ศาสนา

    ศาสนา เกิดขึ้นเพื่อพาคนกลับสู่ "ความเป็นจิตวิญญาณ"

    แต่แทนที่คนจะมองดูสิ่งนิ้วนั้นชี้ แต่กลับติดอยู่กับนิ้วนั้น...

    จิตวิญญาณของเราแต่ละคน ไม่ได้มีศาสนา

    หากจะมี สิ่งที่เหมือนกันก็มีเพียงความสงบ

    ร่างกายต่างหาก ที่มีศาสนา...
     
  5. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    สัจธรรม มีอยู่แล้วในธรรมชาติ

    พระพุทธเจ้า เป็นพระองค์หนึ่งที่ค้นพบสัจธรรมนั้น และประกาศสั่งสอนออกมา

    จึงอาจไม่ค่อยถูกนักหากจะกล่าวว่า "สัจธรรมของพระพุทธเจ้า" หรือของ พระเยซู ของใครก็ตาม...

    เพราะ มันมีของมันอยู่แล้ว หาได้เป็นของใครไม่...

    ผู้รู้ ตื่น และเบิกบาน ก็หาได้มีผู้เดียวในโลกไม่...
     
  6. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ทั้งนี้เพราะสัจธรรมนั้นเป็นของกลาง แม้ว่าจะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้เป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไปไม่ว่าชาติ ภาษา หรือลัทธิใด ศาสนาใด

    จากคำนำ หนังสือปรัชญาชีวิต
    โดย ระวี ภาวิไล


    http://www.olddreamz.com/bookshelf/prophet/prophet.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  7. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    แหม ที่กล่าว มาก็ถูก แต่ พอกล่าวออกมา มันก็กลายเป็น ทิฎฐิ เลือกข้างทันที
     
  8. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ชอบ ๆ :cool:
     
  9. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    ไปหาข้อมูลของโอโชมา ได้ข้อมูลเพิ่มมาว่า โอโช นั้น มีอีกชื่อนึงว่า Shree Rajneesh Zorba ภาษาไทยเขียนว่าอย่างไรไม่รู้ แต่เห็นเค้าเขียนว่า ศรี ราชนีษ ซอร์บา

    ส่วนนี่ก็เป็นข้อมูลที่เค้าว่ามา

    ตอนที่เราอยู่ในอินเดีย ได้ฟังจากคุรุเจ้าลัทธิหลายท่าน กล่าวถึง คุรุ ภควัน ศรี ราชนีษ ที่โด่งดังในโลกตะวันตกว่า ได้พยายามสร้างฐานความเชื่อด้วยการนำวิธีการของตันตระไปใช้ โดยนำไปเพียงเศษเสี้ยวและดัดแปลงใหม่ ทำให้ชาวตะวันตกตื่นเต้นกับลัทธิที่เน้นการสังวาสอย่างไม่ลืมหูลืมตา เรียกง่ายๆ ก็คือเป็นลัทธิมั่วเซ็กซ์น่ะค่ะ ไม่ได้มีปรัชญาที่เด่นชัดอะไร

    และเขาก็ได้ประโยชน์จากเงินของสาวกซึ่งทำให้เขาเป็นเศรษฐี นำไปซื้อรถโรลสรอยซ์เพื่อการสะสมได้ถึง ๙๐ คัน เครื่องบินส่วนตัว ๔ ลำ รสบัสเป็นกองทัพ และยังมีคลังสรรพาวุธส่วนตัวด้วยค่ะ

    ศรี ราชนีษ เป็นที่สนใจนับถือของเด็กวัยรุ่นตะวันตกมากมายในปี ๑๙๗๐ ซึ่งเขาได้ตั้งสำนักขึ้นในบอมเบย์ แต่มีปัญหากับรัฐบาลอินเดียโดยตลอด จนต้องย้ายสำนักออกจากบอมเบย์ไปอยู่ที่เมืองปูนาในปี ๑๙๗๔

    ต่อมาลัทธินี้ก็เข้าไปพัวพันกับยาเสพติด โดยสาวกของลัทธิทำหน้าที่ขนส่งยาเสพติดและสินค้าผิดกฎหมายเข้าไปในเมืองต่างๆ ของยุโรปและนำเงินกลับเข้าสำนัก จนถูกสถานีโทรทัศน์ BBC เปิดโปงไปทั่วโลก

    สำนักของศรี ราชนีษก็เลยต้องย้ายจากเมืองปูนาไปแอบตั้งสำนักใหม่ในทุ่งรกร้างแห่งหนึ่งในโอเรกอน สหรัฐฯ และตั้งเมืองเล็กๆ ขึ้นที่นั่นโดยไม่ขออนุญาตทางการ เมื่อทางการเข้าขัดขวาง สำนักงานของทางการก็ถูกวางระเบิด

    เมื่อถูกตามล่าจากทางการ ศรี ราชนีษจึงคิดจะหลบหนีไปอยู่เบอร์มิวด้า แต่ถูกจับได้เสียก่อนที่สนามบินแคโรไลน่าซึ่งเครื่องบินส่วนตัวของเขาแวะจอดเติมน้ำมันในปี ๑๙๘๕

    เขาถูกพิพากษาจำคุกข้อหาฉ้อโกงและทำวีซ่าปลอม หลังจากนั้นก็ถูกส่งตัวกลับอินเดียโดยต้องจ่ายเงินให้ทางการสหรัฐไปถึง ๔๐๐,๐๐๐ เหรียญ แต่รัฐบาลอินเดียปฏิเสธที่จะให้เขาเข้าประเทศ ดังนั้นเขาจึงต้องเดินทางต่อไปเนปาล และร่อนเร่พเนจรไปอีกหลายประเทศจนถึงปี ๑๙๘๗ จึงได้รับอนุญาตให้กลับอินเดียและเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองปูนาได้ จนกระทั่งเสียชีวิตในค.ศ.๑๙๙๐ โดยกล่าวกันว่าอาจเป็นผลจากการถูกวางยาพิษ หรือเป็นโรคเอดส์ค่ะ

    ปัจจุบันลัทธิของศรี ราชนีษ หรือโอโช ไม่เป็นที่ยอมรับของลัทธิศาสนาต่างๆ ในอินเดีย และคงเหลือสาขาของสำนักอยู่เพียงประมาณ ๒๐ แห่งทั่วโลก จากเดิมที่มีถึง ๖๐๐ แห่งค่ะ

    การที่ ศรี ราชนีษ สามารถกล่าวถ้อยคำที่ประทับใจสาวกชาวตะวันตกได้อย่างที่คุณจิตฯ นำมาโพสต์ ก็เพราะคนคนนี้มีการศึกษาดีมาก เขาจบมหาวิทยาลัยจามาลปุระในสาขาวิชาปรัชญา และเป็นอาจารย์บรรยายวิชาปรัชญา เป็นนักคิด นักเขียน และกวีอยู่เป็นเวลานานถึง ๑๐ ปีก่อนจะผันตัวเองไปเป็นคุรุทางจิตวิญญาณ โดยที่คำสั่งสอนในลัทธิของเขาก็ไม่ได้มีความลุ่มลึกอะไรเลย แถมยังเป็นการตีความตันตระวิธีแบบตามใจตัวเองดังกล่าวแล้ว

    แสดงให้เห็นว่าสำหรับชาวตะวันตก หรือชนชาติไหนๆ ก็ตามที่ไม่รู้เรื่องปรัชญาอินเดีย (รวมทั้งคนไทยเราด้วย) ใครเอาแค่เศษๆ ของปรัชญาอินเดียมาตั้งลัทธิสั่งสอนก็เชื่อเค้าง่ายๆ โดยไม่ต้องไปดูความถูกต้องสมควรอย่างอื่น แม้แต่การที่เขามีรถโรลซรอยซ์ ๙๐ คันขณะที่สาวกถูกบังคับให้อยู่อย่างลำบากยากไร้ ก็มีคนแก้ตัวแทนเขามาตลอด

    เอารูปตอน "ศรี ราชนีษพุทธเจ้า" ถูกจับที่สนามบินแคโรไลน่ามาให้ดูค่ะ

    [​IMG]

    ข้อมูลจากห้องศาสนา เวปพันทิปครับ
    PANTIP.COM : Y6741910 ความบ้า ของ Osho !!! (โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ)

    คคห.ที่ 13 นะครับ
     
  10. ุเพตารี

    ุเพตารี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    1,048
    ค่าพลัง:
    +800
    อ่อที่แท้ก็ลัทธิคนบ้ากาม :z6
     
  11. somemaybe

    somemaybe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2009
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +143
    คนเราเกิดมาก็ถูกครอบหรือถูกกรงคอยกักขังหน่วงเหนี่ยว
    ตั้งแต่แรก ด้วยมีความต้องการทางร่างกายในด้านต่างๆ
    ยังไม่นับมันในสมองที่ทำให้มีความคิดแตกต่างอย่างสิ้นเชิง


    ถ้ามองแต่เพียงว่าศาสนาคือกรงกักขัง มันก็สามารถใช่
    แต่หากจะมองว่าศาสนา คือสิ่งซึ่งทำให้มองเห็นกรง
    ที่มีอยู่ในรูปลักษณะหนึ่ง มันก็ใช่


    ขึ้นกับเราจะใช้สิ่งที่มี สิ่งที่เป็น สิ่งที่ได้รับการบอกต่อ
    เพื่อให้สิ่งเหล่านั้นมาเป็นกรงกักขังเรา
    หรือจะใช้ประโยชน์เพื่อให้มองเห็นสิ่งซึ่งเป็นกรง

    แต่ถ้ายังพอใจในการเกิด การกิน และการกาม
    ยังพอใจใช้ชีวิต อย่างทราบซึ้งในทุกๆความต้องการ
    ไม่ปรารถนาจะเอาชนะหรือขัดขืนในความต้องการ
    ข้อห้ามหรือคำสอนของศาสนา
    มันก็เป็นกรงที่ทำให้เกิดเก็บกดอย่างแน่นอน


    ปล!แต่ก็ยังไม่เคยอ่านหนังสือของโอโช
     
  12. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    เข้าไปอ่านในพันทิพแล้ว โอโชเลอะเทอะที่สุด
    สะดุดกับประโยคนี้


    ความคิดเห็นที่2
    ----------------------------------------------------------------------------
    We are not here to create a new religion; our every effort is to destroy all religions....

    พวกเราไม่ได้มีชีวิตอยู่เพื่อสร้างศาสนาใหม่
    แต่เราจะทุ่มเทสุดหัวใจเพื่อทำลายล้างศาสนาทั้งมวล....

    -----------------------------------------------------------------------------
     
  13. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ศาสนาเป็นเพียงแนวทางกรอบความคิดเท่านั้น บางคนไม่เข้าใจนำมาเป็นกรงขังความคิดของตนเอง อะไรก็กลัวบาปไปหมด ทั้งๆที่ตนเองก็ไม่รู้จริงๆ ด้วยซ้ำว่าอะไรคือบาปอะไรคือบุญ เข้าไม่ถึงคำสอนที่แท้จริง เช่น ศาสนาพุทธสอนให้คนรู้จักการสละ การแบ่งปันด้วยการทำทาน การทำทานนั้นคนส่วนมากก็จะมองแต่การทำบุญเลี้ยงพระ ทำสังฆทาน กฐิน ผ้าป่า คือทำบุญกับพระหรือวัดในพระพุทธศาสนา เจตนาแห่งการทำบุญทำทานนั้นเพื่อสละออก แต่หลายคนก็ขออะไรต่างๆนานามากมาย เช่น ใส่บาตรไปตอนเช้าพอใส่เสร็จก็สาธุ ขอให้ลูกรวยๆ ถูกหวยรางวัลที่หนึ่งเป็นต้น แบบนั้นเป็นการเพิ่มความโลภชัดๆ ไม่ได้เป็นการสละที่แท้จริงเลย และหากคุณอธิษฐานด้วยกิเลสสิ่งที่ได้ก็ไม่พ้นกิเลสในที่สุด
     
  14. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่ได้อ่านหนังสือของ osho
    (ไม่ครบทุกเล่ม แต่ก็หลายเล่มอยู่)

    ดิฉันมองว่าเขาเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนอย่างเราๆ นะ
    แต่มีวิธีคิดที่น่าสนใจ น่าศึกษา การเล่าเรื่องของเขาก็น่าติดตาม
    เรื่องบางเรื่อง เขาก็มีมุมมองที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างไม่น่าเชื่อ (ความเห็นส่วนตัว)

    ในสาระของหนังสือที่ดิฉันได้อ่าน ส่วนใหญ่แล้ว ดิฉันจะได้ประโยชน์นะ
    แต่ก็มีที่ไม่เห็นพ้อง ไม่ได้ยอมรับไปเสียทั้งหมด
    ก็คงเหมือนการอ่านหนังสือในอีกหลายเล่มของคนอื่นๆนั่นแหละ
    เรามิได้ถูกใจ หรือถูกจริตไปเสียทั้งหมด แต่ทำให้เราได้ขยายมุมมองใหม่ๆ

    น่าแปลกนะ ที่คนอย่างโอโช่จะทำตัวเป็นเจ้าลัทธิหรือหาสาวก!
    เพราะในหนังสือ freedom เขาก็กล่าวชื่นชมรพินทรนาถมาก และรพินทรนาถไม่เคยชื่นชมหรือนิยมการถูกบูชา

    บางตอนจากหนังสือ..v

    รพินทรนาถพูด ว่า "ข้ามีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขอได้ถูกจดจำไว้ในฐานะคนที่ร้องเพลง เป็นนักเต้นรำ เป็นกวีที่นำเสนอด้วยศักยภาพทั้งหมด นำเสนอดอกไม้แห่งการดำรงอยู่ นำเสนอสิ่งที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึงหรือไม่รู้จัก ข้าไม่ต้องการการบูชา ข้าเห็นว่ามันเป็นการดูถูก...มันเป็นสิ่งที่น่าเกลียด ทำให้คนไม่เป็นคน และดึงคนออกไปจากโลก ในคนทุกคนนั้นมีพระเจ้า ในทุกๆ ก้อนเมฆ ในต้นไม้ทุกๆ ต้น น้ำในมหาสมุทร ทุกๆ ที่มีแต่ความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ใครควรจะบูชาใครกันล่ะ?"

    รพินทรนาถไม่เคยไปวัด ไม่เคยบูชาพระเจ้าองค์ใดๆ ไม่เคยเลย ไม่เคยบูชานักบุญ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เขาเป็นหนึ่งในนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ในโลก ความเป็นนักบุญของเขาปรากฏอยู่ในแต่ละคำพูดของเขา
     
  15. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    อะไรคือกรง?

    รพินทรนาถพูดว่า "ข้ามีความปรารถนาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ขอได้ถูกจดจำไว้ในฐานะคนที่ร้องเพลง เป็นนักเต้นรำ เป็นกวีที่นำเสนอด้วยศักยภาพทั้งหมด นำเสนอดอกไม้แห่งการดำรงอยู่ นำเสนอสิ่งที่คนทั่วไปเข้าไม่ถึงหรือไม่รู้จัก ข้าไม่ต้องการการบูชา ข้าเห็นว่ามันเป็นการดูถูก...มันเป็นสิ่งที่น่าเกลียด ทำให้คนไม่เป็นคน และดึงคนออกไปจากโลก ในคนทุกคนนั้นมีพระเจ้า ในทุกๆ ก้อนเมฆ ในต้นไม้ทุกๆ ต้น น้ำในมหาสมุทร ทุกๆ ที่มีแต่ความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ใครควรจะบูชาใครกันล่ะ?"

    รพินทรนาถไม่เคยไปวัด ไม่เคยบูชาพระเจ้าองค์ใดๆ ไม่เคยเลย ไม่เคยบูชานักบุญ แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้ว เขาเป็นหนึ่งในนักบุญผู้ยิ่งใหญ่ในโลก ความเป็นนักบุญของเขาปรากฏอยู่ในแต่ละคำพูดของเขา

    ความดื้อคือเครื่องกีดขวาง หัวใจของฉันเจ็บปวดทุกครั้งที่ฉันพยายามจะทำลายมัน ถึงแม้ฉันจะใฝ่ฝันถึงอิสรภาพ แต่เมื่อนึกถึงมันฉันกลับรู้สึกละอายใจ


    รพินทรนาถกำลังพูดถึงบางสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวกับตัวเขาเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับจิตสำนึกของมนุษย์ทุกคน บุคคลเช่นนี้จะไม่พูดอะไรที่เกี่ยวกับตัวเขาเอง แต่จะพูดถึงส่วนลึกของหัวใจที่อยู่ในผู้คนทุกคน

    ความดื้อคือเครื่องกีดขวาง...มันเป็นเครื่องกีดขวางที่ยิ่งใหญ่มาก มันคือโซ่ตรวนที่ขวางกั้นอิสรภาพของฉัน...ฉันเริ่มผูกพันกับมัน มันไม่ได้เป็นโซ่ตรวนของฉันอีกต่อไป มันกลายเป็นเครื่องประดับของฉัน มันทำด้วยทองคำ มันกลายเป็นสิ่งที่มีค่า แต่หัวใจของฉันเจ็บปวดเพราะว่าด้านหนึ่งต้องการอิสรภาพ แต่อีกด้านหนึ่งไม่สามารถจะหักโซ่ที่ขัดขวางการเป็นอิสระของฉันได้ โซ่เหล่านั้น ความผูกพันเหล่านั้น ความสัมพันธ์เหล่านั้น ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉัน ฉันไม่สามารถให้กำเนิดตัวฉันได้โดยปราศจากคนรัก โดยปราศจากมิตรสหาย ฉันไม่สามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเองลำพัง ไม่สามารถเข้าถึงความเงียบได้ เพลงของฉันกลายเป็นโซ่ตรวน ดังนั้น หัวใจของฉันเจ็บปวดทุกครั้งที่ฉันพยายามจะทำลายมัน อิสรภาพคือสิ่งที่ฉันต้องการ

    นี่คือสภาวะที่เกิดขึ้นกับชีวิตทุกคน มันยากที่จะหาคนที่หัวใจไม่ต้องการจะโบยบินเหมือนนกในท้องฟ้า คนที่ไม่ต้องการจะไปให้ถึงดวงดาวที่อยู่ห่างไกลออกไป แต่เป็นผู้ที่รู้ด้วยว่าเขานั้นมีความผูกพันกับผืนแผ่นดิน รากของเขาหยั่งลึกลงไปในดิน เขาถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งผูกติดกับสิ่งที่กักขังเขา อีกส่วนหนึ่งโหยหาเพื่อให้ได้มาซึ่งอิสรภาพ เขาถูกแบ่งแยกเพราะการดึงดันกันเอง

    มันเป็นความกังวลใจ เป็นความทุกข์ทรมานอันยิ่งใหญ่ที่ท่านไม่สามารถจะตัดจากโลกที่ล่ามท่านไว้ ได้ ท่านไม่สามารถจะละทิ้งสิ่งที่เป็นอุปสรรคในชีวิตของท่าน เพราะว่ามันได้กลายเป็นความผูกพัน มันทำให้ท่านเป็นสุข มันเป็นอาหารบำรุงความภาคภูมิใจของท่าน ท่านไม่สามารถจะละทิ้งมันได้ และท่านได้ลืมไปสนิทว่าชีวิตของท่านนั้นไม่ได้อยู่ที่โลกใบนี้ บ้านที่แท้จริงของท่านนั้นอยู่ที่ไหนสักแห่ง ภาพที่อยู่ในความฝันของท่าน ท่านกำลังโบยบิน บินไปยังที่ไกลแสนไกล

    ถึงแม้ฉันจะใฝ่ฝันถึงอิสรภาพ แต่เมื่อนึกถึงมันฉันกลับรู้สึกละอายใจ ทำไมคนเราต้องรู้สึกละอายใจเมื่อเขาใฝ่ฝันถึงอิสรภาพ? ทั้งๆที่ไม่มีใครมาขัดขวางท่าน

    ท่านสามารถเป็นอิสระในขณะนี้เลยก็ได้ แต่ทว่าความผูกพันเหล่านั้น...พวกมันได้เข้าไปอยู่ลึกมากในตัวของท่าน พวกมันกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตท่าน มันอาจนำความเจ็บปวด ความทุกข์มาให้ แต่มันก็นำพาช่วงเวลาแห่งความสุขมาให้เช่นกัน ถึงจะเป็นโซ่ตรวนที่ล่ามเท้าของท่านอยู่ แต่มันก็ทำให้ท่านได้เต้นรำไปกับมันด้วย

    มันเป็นสถานการณ์ที่แปลกมากๆ มนุษย์ที่มีสติปัญญาจะต้องเผชิญหน้ากับมัน พวกเราได้หยั่งรากลึกลงไปในแผ่นดิน และเราต่างก็ต้องการจะโบยบินไปในท้องฟ้า เราไม่สามารถถอนรากออกจากโลกใบนี้ได้ มันเป็นแหล่งที่เลี้ยงดูให้อาหารแก่เรา ในขณะเดียวกันเราก็ไม่สามารถที่จะหยุดฝันที่จะมีปีกบิน เพราะนั่นเป็นจิตวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณที่แท้จริงของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้เราเป็นมนุษย์

    ไม่มีสัตว์อื่นใดที่จะมีความรู้สึกทรมานใจ สัตว์ทั้งหลายต่างก็พอใจในสิ่งที่มันเป็น มนุษย์เป็นสัตว์ชนิดเดียวเท่านั้นที่ไม่เคยรู้สึกพึงพอใจ เอาแต่รู้สึกอับอายอยู่ภายใน เพราะรู้อยู่แก่ใจเสมอว่า "ข้าสามารถจะเป็นอิสระได้"

    ข้าพเจ้ามีนิทานเก่าแก่ที่โปรดปรานอยู่เรื่องหนึ่ง...
    มีชายคนหนึ่งเป็นคนที่ดีมาก เขาเป็นนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ในวันหนึ่งขณะที่เขาเดินทางอยู่ในหุบเขา ช่วงเวลากลางคืน เขาได้เข้าไปร่วมพักอยู่กับขบวนคาราวาน

    ในที่พักของขบวนคาราวานมีนกแก้วที่สวยงามตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในกรงทอง มันชอบร้องซ้ำๆอย่างต่อเนื่องว่า "อิสรภาพ อิสรภาพ!" สถานที่ตรงนั้นเมื่อนกแก้วร้องคำว่า "อิสรภาพ อิสรภาพ!" มันก็ดังก้องและเกิดเสียงสะท้อนไปทั่วหุบเขา

    ชายผู้นี้ได้พบเห็นนกแก้วมามากมาย เขารู้ว่าพวกมันต้องการจะเป็นอิสระจากกรงเหล่านั้น...แต่เขาก็ไม่เคยเห็นนก แก้วตัวไหนเลยที่วันทั้งวันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ได้แต่ร้องเรียกหาอิสรภาพเหมือนนกแก้วตัวนี้ ในตอนกลางดึกขณะที่เจ้าของนกแก้วกำลังนอนหลับสนิท เขาได้ลุกไปเปิดประตูกรง และพูดกระซิบกับเจ้านกแก้วว่า "ออกไปได้แล้ว เจ้าเป็นอิสระแล้ว"

    แต่เขาก็ต้องประหลาดใจเพราะนกแก้วยังคงเกาะนิ่งอยู่ในกรง เขาพูดกับมันว่า "เจ้าลืมอิสรภาพที่ต้องการแล้วหรือ? รีบหนีไปซะ! ประตูกรงเปิดแล้วและเจ้าของของเจ้าก็กำลังหลับสนิท ไม่มีใครรู้เลย เจ้าเพียงแต่บินขึ้นไปบนท้องฟ้า ท้องฟ้าคืออาณาจักรของเจ้า"

    แต่นกแก้วก็คงยังเกาะเฉยอยู่ในกรง ชายคนนี้จึงพูดขึ้นอีกว่า "นี่มันเรื่องอะไรกัน? เจ้ามันบ้าไปแล้วหรือ?" เขาพยายามที่จะจับนกแก้วออกจากกรงด้วยมือของเขาเอง แต่นกแก้วกลับจิกมือของเขาพร้อมกับร้องว่า "อิสรภาพ อิสรภาพ!" เสียงร้องของมันดังสะท้อนแล้วสะท้อนอีกอยู่ในหุบเขา แต่ชายคนนี้เป็นคนที่ดื้อ เขาไม่ยอมแพ้ เขาเป็นนักต่อสู้เพื่ออิสรภาพ เขาพยายามดึงนกแก้วออกมาจนได้ และได้โยนมันขึ้นไปบนฟ้า เขาพอใจในสิ่งที่เขาทำลงไป แม้ว่ามือของเขาจะได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของนกแก้วก็ตาม เขาภูมิใจที่ได้ทำให้วิญญาณหนึ่งเป็นอิสระ และเขาจึงได้เข้านอน

    ในตอนเช้าขณะที่ชายคนนี้ตื่นขึ้นมา เขาได้ยินเสียงนกแก้วตะโกนว่า "อิสรภาพ อิสรภาพ!" เขาคิดว่ามันคงบินมาเกาะอยู่ที่ต้นไม้หรือก้อนหินแถวๆนั้น แต่พอเขาออกมากลับพบว่านกแก้วได้เข้าไปอยู่ในกรงที่มีประตูกรงเปิดอ้าค้าง ไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนั่นเอง

    ข้าพเจ้าชอบนิทานเรื่องนี้มากเพราะว่ามันเป็นความจริงอย่างที่สุด แม้ว่าเราชอบที่จะเป็นอิสระ แต่ทว่าภายในกรงเราอาจจะรู้สึกมั่นคงและปลอดภัยกว่า ตอนที่อยู่ในกรง นกแก้วไม่ต้องพะวงเรื่องอาหาร ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับศัตรู ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งใดๆ ในโลกทั้งสิ้น กรงเป็นบ้านที่อบอุ่นน่าอยู่ มันทำด้วยทอง มีนกแก้วไม่กี่ตัวที่จะได้อยู่ในกรงที่หรูหราและมีค่าขนาดนั้น

    อำนาจของท่าน ความมั่งคั่งของท่าน ชื่อเสียงของท่าน ทั้งหมดนี้คือกรงทองของท่าน วิญญาณของท่านต้องการจะเป็นอิสระ แต่อิสรภาพมันอันตราย อิสรภาพไม่มีหลักประกัน อิสรภาพไม่มีความมั่นคง มันไม่ปลอดภัย

    อิสรภาพหมายถึงการเดินบนคมมีด ทุกๆ ขณะนั้นมีอันตราย มีการต่อสู้ระหว่างทาง ทุกๆ ขณะมีความท้าทายจากสิ่งที่ไม่รู้ บางครั้งก็ร้อนเกินไป บางครั้งก็เย็นเกินไป ไม่มีใครจะอยู่ดูแลท่าน ไม่เหมือนตอนอยู่ในกรง มันเป็นความรับผิดชอบของเจ้าของ เมื่ออากาศเย็นเขาก็จะเอาผ้าห่มมาคลุมกรงให้ เมื่อมันร้อนเกินไปเขาก็เอาพัดลมมาเป่าให้

    อิสรภาพจึงเป็นความรับผิดชอบที่ใหญ่หลวง ท่านต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวได้ และท่านต้องรู้จักช่วยเหลือตัวเอง

    รพินทรนาถพูดถูกที่ว่า ถึงแม้ฉันจะใฝ่ฝันถึงอิสรภาพ แต่เมื่อนึกถึงมันฉันกลับรู้สึกละอายใจ เพราะว่ามันไม่ใช่ประเด็นคำถามเรื่องความหวัง แต่มันเป็นคำถามเรื่องความกล้าที่จะเสี่ยง

    จาก freedom : osho

    ชวนมาคิด..
    อ่านแล้ว ท่านคิดว่าอะไรคือกรงสำหรับจิตวิญญาณ?
     
  16. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    "ศาสนาเป็นกรงขัง"

    นำมาจากหนังสือเล่มไหนหรือคะ ช่วยแนะนำด้วย
    ดิฉันอาจจะยังไม่ได้อ่านเล่มนั้น หรืออ่านผ่านตาไป
    อย่างเล่ม "ปัญญาญาณ" ก็ยังไม่เคยอ่านเลย
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    เสนอแบบนี้ลองดู

    ผู้รู้ ก็ คือ ผู้รู้

    ผู้ตื่น ก็คือ ผู้รู้ ที่รู้ตัว เห็นตัวของมันเอง

    ผลจากการที่ผู้รู้เห็นตัวมันเองอย่างแจ่มแจ้งมันจึงเบิกบาน

    รวมเรียกว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
     
  18. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    ไม่จริงครับ บางคนนับถือศาสนาเดียวแต่ฉลาดก็มี บางคนไม่นับถือศาสนาอะไรเลยแต่ยังโง่อยู่ก็มี แล้วแต่เป็นคนๆไปจะมาเหมารวมกันทุกคนไม่ได้
     
  19. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    ไม่ทราบมาก่อนเลย เขาสอนอย่างนั้นจริงๆหรือคะ
    แต่เท่าที่เคยได้อ่านที่เขากล่าวถึงเกี่ยวกับเพศ ก็ไม่เป็นไปในทำนองนั้นเลยนะ
    เอาตัวอย่างมาให้ดูค่ะ

    ตัวอย่าง...


    คนที่รักกันจะปฏิบัติต่อกันอย่างผู้ที่มีปัญญาได้อย่างไร?

    เมื่อท่านได้เคลื่อนสู่ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครบางคน ท่านอาจมีความต้องการที่จะอยู่คนเดียว ท่านเริ่มรู้สึกหมดกำลังไร้เรี่ยวแรงเบื่อหน่าย มันเป็นความเบิกบานที่ทำให้ท่านหมดแรง ความสุขที่เหนื่อย ความตื่นเต้นแต่ละครั้งทำให้ท่านนั้นหมดแรง มันเป็นความงดงามอย่างยิ่งที่จะมีความสัมพันธ์ แต่ตอนนี้ท่านกลับอยากเคลื่อนไปสู่การอยู่คนเดียว เพื่อว่าท่านจะได้รวบรวมพลังในตัวท่านอีกครั้ง เพื่อว่าท่านจะได้ไหลลื่นได้อีกครั้ง เพื่อว่าท่านจะได้หยั่งรากลึกลงไปในชีวิตของท่านได้อีกครั้ง

    ในความรักท่านเคลื่อนไปในชีวิตคนอื่น ท่านสูญเสียการติดต่อกับตัวของท่านเอง ท่านเหมือนกับจมน้ำ เมามาย ตอนนี้ท่านต้องการจะหาตัวท่านเองอีกครั้ง และเมื่อท่านอยู่ตามลำพัง ท่านก็สร้างความต้องการความรักอีกครั้ง ในไม่ช้าท่านก็จะเติมเต็ม เต็มจนกระทั่งท่านอยากจะแบ่งปัน และท่านก็จะไหลล้นมากจนกระทั่งท่านอยากจะส่งผ่านตัวท่านให้กับใครบางคน ความรักเกิดขึ้นจากการโดดเดี่ยว

    ความโดดเดี่ยวทำให้ท่านเต็มจนล้น ความรักรับของขวัญจากท่าน ความรักทำให้ว่างเปล่าเพื่อท่านจะได้เติมเต็มอีกครั้ง เมื่อไรก็ตามที่ท่านว่างเปล่าโดยความรัก ความโดดเดี่ยวจะอยู่ที่นั่นเพื่อบำรุงท่าน เพื่อเชื่อมต่อท่าน มันคือจังหวะดนตรี

    จงทำให้หญิงหรือชายของท่านตื่นตัวในจังหวะดนตรีด้วย คนควรจะถูกสอนว่าไม่มีใครสามารถจะรักกันได้วันละยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ละคนต่องการช่วงเวลาพักผ่อน และไม่มีใครรักได้ตามคำสั่ง ความรักเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดอย่างเป็นธรรมชาติไม่มีใครกระตุ้น เมื่อไรก็ตามที่มันเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้น เมื่อไรก็ตามที่มันไม่เกิดมันก็ไม่เกิด ไม่สามารถจะทำอะไรกับมันได้ ถ้าหากว่าท่านทำอะไรก็ตาม ท่านจะสร้างปรากฏการณ์จอมปลอมมันคือการแสดง

    คู่รักที่แท้จริงคู่รักที่มีปัญหาจะทำให้แต่ละคนตื่นตัวกับปรากฏการณ์นั้น “เมื่อข้าพเจ้าต้องการจะอยู่คนเดียวนั่นไม่ได้หมายความว่าข้าพเจ้าปฏิเสธผลักไสท่าน จริงๆ แล้วมันเป็นเพราะความรักของท่านที่ทำให้เป็นไปได้สำหรับข้าพเจ้าที่จะอยู่คนเดียว” และถ้าผู้หญิงของท่านต้องการจะอยู่คนเดียวเป็นเวลาหนึ่งคืน หรือสองสามวัน ท่านก็ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวด ท่านจะไม่พูดว่าท่านพูกปฏิเสธ ว่าความรักของท่านไม่ได้รับการตอบรับ ท่านจะต้องเคารพการตัดสินใจของหล่อนที่จะอยู่คนเดียวสองสามวัน ในความเป็นจริงแล้วท่านควรจะมีความสุข! ความรักของท่านมีมากจนกระทั่งหล่อนเริ่มรู้สึกว่างเปล่า ตอนนี้หล่อนต้องการพักเพื่อจะได้เติมเต็มอีกครั้ง

    นี่คือเชาว์ปัญญา

    โดยปกติแล้ว ท่านอาจคิดว่าท่านถูกปฏิเสธ ท่านไปหาผู้หญิงของท่าน และถ้าหล่อนไม่เต็มใจที่จะอยู่กับท่าน หรือไม่รักท่านมากนัก ท่านรู้สึกว่าถูกปฏิเสธ อัตตาของท่านรู้สึกเจ็บปวด อัตตานี้ไม่ใช่สิ่งที่มีปัญญาเลย ทั้งหมดเป็นความโง่ ปัญญา ไม่รู้จักอัตตา ปัญญาเพียงแค่มองเห็นปรากฏการณ์เท่านั้น พยายามที่จะเข้าใจว่าทำไมผู้หญิงไม่ต้องการจะอยู่กับท่าน ไม่ใช่ว่าหล่อนปฏิเสธท่าน ท่านรู้ว่าหล่อนเคยรักท่านมาก หล่อนยังรักท่านอยู่ แต่นี่เป็นขณะที่หล่อนต้องการจะอยู่คนเดียว และหากว่าท่านรักหล่อนท่านจะต้องปล่อยให้หล่อนอยู่คนเดียว ท่านจะต้องไม่ทรมานหล่อน ท่านจะไม่บังคับให้หล่อนมีเพศสัมพันธ์กับท่าน

    และถ้าผู้ชายต้องการจะอยู่คนเดียว ผู้หญิงไม่ควรคิดว่า “เขาไม่สนใจฉันอีกต่อไปแล้ว อาจเป็นเพราะเขาไปสนใจผู้หญิงอื่น” ผู้หญิงที่มีปัญญาจะปล่อยให้ผู้ชายคนนั้นอยู่คนเดียว เพื่อที่เขาจะได้เก็บเกี่ยวชีวิตของเขาเข้าด้วยกันเพื่อว่าเขาจะได้มีพลัง ที่จะแบ่งปันได้อีก จังหวะดนตรีนั้นเหมือนกับกลางวันและกลางคืน ฤดูร้อนและฤดูหนาว มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ

    ถ้าคนสองคนเคารพนับถือกันจริงๆ ความรักเป็นสิ่งที่น่านับถือ มันจะย้อนกลับไปยังอีกฝั่งหนึ่ง มันจะเป็นการเคารพนับถือผู้อื่น มันจะเป็นสภาวะที่น่าบูชายิ่ง และมันจะทำให้ท่านเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างช้าๆ และมากขึ้นๆ และท่านจะตระหนักถึงจังหวะดนตรีของคู่ของท่านและจังหวะดนตรีของตัวท่าน และในไม่ช้าท่านจะพบกับบางสิ่งบางอย่างที่มาจากความรัก ที่มาจากความเคารพนับถือ จังหวะดนตรีของท่านจะใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อท่านรู้สึกรัก หล่อนรู้สึกรัก ทุกอย่างก็เรียบร้อย ทุกอย่างลงตัว มันเป็นคลื่นที่ประสานกัน

    ท่านเคยเฝ้าดูมาบ้างไหม? ถ้าท่านได้พบคนสองคนที่รักกันจริงๆ ท่านจะเห็นหลายสิ่งที่คล้ายกันในตัวพวกเขา คนรักที่แท้จริงจะเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกัน ท่านจะประหลาดใจ เพราะบางทีแม้แต่พี่น้องก็ไม่ได้เหมือนกันมากนัก การแสดงออกของพวกเขา ท่าทงการเดินของพวกเขา ท่าทางการพูดของพวกเขา รูปร่างของพวกเขา – คนรักสองคนมีอะไรที่คล้ายกัน แต่ก็ยังมีส่วนที่แตกต่างอยู่ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เพียงแต่มีชีวิตอยู่ด้วยกัน พวกเขาเริ่มปรับเข้าหากัน คนที่รักกันบางทีไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลย อีกคนหนึ่งก็สามารถเข้าใจได้ในทันที เป็นความเข้าใจที่ผุดขึ้นในใจ

    ถ้าหากว่าฝ่ายหญิงรู้สึกเศร้า ถึงหล่อนจะไม่พูดออกมา แต่ฝ่ายชายก็เข้าใจและให้หล่อนได้อยู่คนเดียว ถ้าหากฝ่ายชายเศร้า ฝ่ายหญิงก็เข้าใจและให้เขาได้อยู่คนเดียว – ต้องเปิดโอกาสให้เขาได้อยู่คนเดียว คนโง่จะทำตรงข้ามกัน พวกเขาจะไม่ทิ้งให้อีกฝ่ายหนึ่งอยู่คนเดียว – พวกเขาจะเผชิญหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยและเบื่อซึ่งกันและกัน ไม่เคยทิ้งช่องว่างไว้เพื่อให้อีกคนหนึ่งอยู่ตามลำพัง ความรักต้องให้อิสระภาพและความรักต้องช่วยให้อีกฝ่ายหนึ่งได้เป็นตัวของตัวเอง ความรักเป็นปรากฏการณ์ที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัว ในทางหนึ่งมันทำให้ท่านมีวิญญาณเดียวในสองร่าง ในอีกทางหนึ่งมันทำให้ท่านเป็นปัจเจกชน มีเอกลักษณ์เป็นของตน มันช่วยให้ท่านละทิ้งตัวเองที่เล็กๆ ของท่าน แต่มันช่วยให้ท่านลรรลุถึงตัวเองที่สำคัญของท่าน จากนั้นก็จะไม่มีปัญหา ความรักและการเจริญภาวนาเป็นปีก พวกมันสร้างสมดุลซึ่งกันและกัน และในระหว่างปีกทั้งสองข้างนั้นท่านก็เติบโต



    “การศึกษาไม่ได้สอนให้ท่านมีชีวิตอยู่อย่างบริบูรณ์
    ไม่ได้สอนให้ท่านรักอย่างไม่มีเงื่อนไข
    ไม่ได้สอนให้ท่านอยู่กับคุณงามความดี
    แต่ทว่าสอนให้ท่านแสวงหาประโยชน์จากผู้อื่น
    เพื่อตัวท่านเอง
    และเรามักจะคิดว่าผู้ที่ฉลาดก็คือผู้ที่ประสบความสำเร็จ
    พวกเขาอาจจะเป็นคนที่กลับกลอกปลิ้นปล้อน
    แต่เราก็เรียกพวกเขาว่าเป็นคนฉลาด
    พวกเขาไม่ใช่คนที่มีเชาวน์ปัญญา...”

    Intelligence : เป็นไปได้ด้วยปัญญา
    โดย Osho

    แปลและเรียบเรียง : ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด

    ********************************************

    'ขณะที่ท่านกำลังมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของท่าน ท่านกำลังทำอะไร?
    ท่านมีความรักที่แท้จริงหรือไม่? หลายครั้งเรามีเพศสัมพันธ์ไปเพียงเพราะความเคยชิน นั่นเป็นสิ่งน่าเกลียด และไร้คุณธรรม การแสดงออกในความรักต้องเป็นไปอย่างมีสติ รู้ตัว มันจึงเป็นสิ่งสวยงาม

    ในขณะที่ท่านมีเพศสัมพันธ์กับคู่รักของท่าน จริงแล้วท่านกำลังทำอะไรอยู่?
    ท่านใช้ร่างกายคนรักของท่านเป็นเพียงที่ระบายความอยากและพลังที่มีมากเกินไปในตัวท่านอยู่หรือ? ท่านได้แต่แสวงหาประโยชน์จากความอยากในกันและกันอยู่หรือ? นั่นนับเป็นสิ่งน่ารังเกียจ และไม่อาจเรียกว่าความรัก

    คุณค่าของการร่วมรักที่แท้ คือการแสดงความเคารพนับถือ เป็นการให้ความรักซึ่งกันและกันซึ่งท่านจะสามารถแสดงออกในความรู้สึกและการกระทำนี้เพียงกับคนรักของท่านคนเดียว (ซึ่งก็เป็นการให้เกียรติต่อกันอย่างยิ่งที่จะสงวนสิทธิ์การแสดงออกเช่นนี้ไว้เพียงเพื่อคนรักเพียงคนเดียวเท่านั้น)

    ถ้าการร่วมรักของท่านเกิดขึ้นจากความมีสติและความรัก การมีเพศสัมพันธ์ของท่านจะเป็นการภาวนาที่ยิ่งใหญ่มาก'

    เครดิต : xq28.org • View topic - จะมีไหมคู่รักที่เพิ่งรักกัน หรือรักมานานแต่ไม่เคยมีไรกัน

    ********************************************


    นำสติปัญญาเข้ามาในขณะที่ท่านกำลังมีเพศสัมพันธ์กับคู่ของท่าน ท่านกำลังทำอะไร? ท่านมีความรักที่แท้จริงอยู่หรือไม่? หลายครั้งหลายคราปรากฎว่าเรามีเพศสัมพันธ์กันไปตามความเคยชิน นั่นเป็นสิ่งที่น่าเกลียดและไร้คุณธรรม ความรักจะต้องเป็นไปอย่างมีสติ มันจึงจะสวยงาม

    ในขณะที่กำลังมีเพศสัมพันธ์อยู่กับคู่ของท่าน จริงๆ แล้วท่านกำลังทำอะไรอยู่?
    ท่านใช้ร่างกายของผู้หญิงเป็นที่ระบายพลังงานที่มีมากเกินไปในตัวท่านกระนั้นหรือ? หรือว่าท่านกำลังให้ความเคารพนับถือ กำลังให้ความรักกับผู้หญิงคนนั้น ในใจท่านให้ความเคารพให้ความนับถือกับผู้หญิงบ้างไหม?

    ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นสามีภรรยาคู่ใดให้ความเคารพนับถือกันเลย พวกเขาได้แต่แสวงหาประโยชน์จากกันและกัน ภรรยาก็ใช้ประโยชน์จากสามี ไม่มีใครเคารพซึ่งกันและกัน ถ้าในความรักไม่มีความเคารพนับถือกัน แสดงว่าสติปัญญานั้นคงจะสูญหายไปที่ไหนสักแห่ง เพราะไม่เช่นนั้นท่านจะมีความรู้สึกสำนึกคุณในผู้อื่น และการมีเพศสัมพันธ์ของท่านจะเป็นการเจริญภาวนาที่ยิ่งใหญ่มาก

    ไม่ว่าท่านจะทำอะไรก็ตาม จงนำคุณลักษณะของเชาว์ปัญญานั้นเข้ามาด้วย จงทำมันอย่างมีสติปัญญา นั่นคือความหมายของคำว่าเจริญภาวนานั่นเอง

    Intelligence : เป็นไปได้ด้วยปัญญา
    โดย Osho

    แปลและเรียบเรียง : ดร.ประพนธ์ ผาสุกยืด

    ********************************************
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  20. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    เรื่อง ซะบึมฮึม อะไรพวกนี้เนี่ยนะ

    เอาเข้าจริงๆ มัน อิสระเสรีไม่ได้หรอกครับ ถึงแม้จะไม่ถึงเนื้อถึงตัว แต่ไปเกี้ยวพาด้วยวาจา หรือการกระทำอื่น ก็อาจ กระบาลแบะได้เหมือนกัน

    เพราะ มันอาจทำให้เกิดความทุขใจของ สามีเขา ของ ภรรยาเขา ของพ่อแม่ ของเขา และหากเขาๆเหล่านั้นเป็นพวก ปืนโหด! ศาสนาไหน แนวคิดไหน ลัทธิไหน ก็เอาไม่อยู่ไม่สามารถ หยุดกระสุนได้ทั้งนั้น


    ในสมัยปัจจุบันนี้
    ซะบึมฮึม อิสระ น่ะ คิดได้ กระทำก็ได้ แต่ต้องพร้อมรับกระสุนด้วย


    เพียงแต่ทางพุทธ ห้ามไว้ จะได้ไม่มีใครต้องเปลืองกระสุน แค่นั้นเอง


    ไฮดร้าช็อก กล่องละ ห้าพันกว่าบาทแล้วนะ เดี๋ยวนี้น่ะ


    หากอ้างว่า คุณต้องใช้กรรมกับ เธอคนนั้น ด้วย Sex หรือ อะไรคาวๆแบบนั้น
    .... แฟนของสาวคนนั้น ก็จะอ้างว่า เขาต้องใช้กรรมกับคุณ ด้วยเลือด ให้เลือดออกซักหน่อย ยิ่งออกมาก ยิ่งซะล้าง กรรมได้สะอาดหมดจด.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...