คุณคิดเห็นอย่างไรกับแนวคิดของโอโชว่า "ศาสนาคือกรงขัง"

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย นรมิตร, 18 กรกฎาคม 2011.

?
  1. ค่อนข้างเชื่อ

    0 vote(s)
    0.0%
  2. ไม่เชื่อเลย

    0 vote(s)
    0.0%
  3. กลางๆ ยังตัดสินใจไม่ได้

    0 vote(s)
    0.0%
  1. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8
    โอโช มองว่าศาสนาเป็นกรงขัง
    เขายอมรับสัจธรรมอันเป็นสากล
    แต่มองว่าศาสนาเป็นกรงขวางกั้น
    สัจธรรม ทำให้คุณไม่รู้แจ้งสัจธรรม
     
  2. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8
    โอโชตายตั้งแต่อายุ ๕๙ หลายคนสงสัยว่า
    เขาถูกวางยาพิษด้วยกลุ่มที่ต่อต้านแนวคิด
    ของเขา โดยเฉพาะเรื่องการปฏิเสธศาสนา


    นอกจากนี้ โอโชชยังคิดว่าคนเราควรแสดง
    ออกอย่างเป็นธรรมชาติ มีกิเลสได้ตามปกติ
    และสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างอิสระด้วย
     
  3. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8
    "โอโช" ชายที่อันตรายที่สุดถัดจากพระเยซู
    .......................................................

    โอโชคุรุวิพากษ์คุรุ

    คอลัมน์ บุ๊กสโตร์

    ผู้สื่อข่าวหรรษา



    [​IMG]


    โอโชเป็นนักคิด นักปรัชญานอกระบบ มีชื่อเสียงโด่งดังในยุโรป อเมริกา และอินเดียมานาน เกิดเมื่อปีค.ศ.1931 เสียชีวิตเมื่อปีค.ศ.1990

    ก่อนหน้านี้ ผู้คนรู้จักเขาในนาม "ภควานศรีรัชนี" แต่เขาลบชื่อและประวัติตัวเองออกทั้งหมด เหลือไว้เพียงชื่อ "โอโช" (OSHO) ซึ่งแปลว่า Oceanic

    ผู้คนมากมายขนานนามเขาว่า Sex Guru, The Rich Man"s Guru แม้กระทั่ง The Joker!

    นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์ "ซันเดย์ ไทม์ส" แห่งลอนดอน ยังยกย่องเป็น "หนึ่งใน 1,000 ผู้สร้างสรรค์แห่งศตวรรษที่ 20"

    ขณะที่ ทอม ร็อบบินส์ นักเขียนอเมริกันให้สมญาอย่างแรงว่า "ชายที่อันตรายที่สุดถัดจากพระเยซู"

    ท่านโอโชได้รับการยอมรับในฐานะคุรุ หรือผู้นำการผสมผสานศาสตร์สมัยใหม่เข้ากับการฝึกสมาธิ ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นได้ภายในตัวผู้ปฏิบัติ โดยใช้วิธีการ "สมาธิภาวนาแบบตื่นตัว"

    ตลอดจนแนวคิดที่ปฏิเสธความเคร่งครัดและกดทับสัญชาตญาณ ซึ่งขัดแย้งกันอย่างสุดขั้วกับความเชื่อของลัทธิศาสนาทั่วไป แต่ก็ได้รับความนิยมศรัทธาจากผู้คนจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะชาวตะวันตก

    ถึงกระนั้น ตัวโอโชก็ไม่เคยยอมรับว่าเขาเป็น "คุรุ"

    ท่านบอกว่า ไม่ได้มีหน้าที่มาสั่งให้ใครทำอะไร หรือซ่อมอะไรให้ใคร แต่ตัวเราแต่ละคนต่างหากจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง ด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ จะนำมาซึ่งอิสรภาพอย่างเต็มเปี่ยม

    ในช่วงมีชื่อเสียง โอโชมีผลงานหนังสือหลายเล่มที่มีอิทธิพลต่อชาวตะวันตก หนังสือส่วนใหญ่ไม่ได้เขียนขึ้น หากใช้วิธีแปลงจากการบันทึกภาพและเสียงในการบรรยายสดให้ผู้เข้าร่วมรับฟังจากนานาชาติในระยะเวลามากกว่า 35 ปี

    "คุรุวิพากษ์คุรุ" เป็นหนังสือที่ท้าทายเล่มหนึ่ง เพราะโอโชลุกขึ้นวิพากษ์ 20 ศาสดาและนักปราชญ์ของโลก นับตั้งแต่พระเยซู พระกฤษณะ ท่านโพธิธรรม จนถึงพระพุทธเจ้า

    นักปรัชญาอย่าง นิทเช่ พิธากอรัส โสกราตีส

    กวีเช่น จวงจื่อ

    ตลอดจนนักคิดผู้ยิ่งใหญ่อย่างเช่น คาลิล ยิบราน เกอร์จิยา เป็นต้น

    แปลและเรียบเรียงโดย โตมร ศุขปรีชา

    "ว.วชิรเมธี" กล่าวถึง "โอโช" ว่า เป็นผู้หยั่งเห็นสัจธรรมในความหมายที่ลึกซึ้งที่สุดคนหนึ่ง เป็นมากกว่านักปรัชญา คุรุ หรือนักคิดสุดอันตรายอย่างที่ใครต่อใครเรียกขาน หากจะขนานนามเขาให้เหมาะสมแล้ว โอโชควรเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" คนหนึ่งของศตวรรษที่ 20 นี้ทีเดียว


    เมื่อมองโอโชในมาตรฐานที่สูงถึงเพียงนี้แล้ว ขอให้เราผู้เพียรติดตามอ่านผลงานของมหาปราชญ์ท่านนี้ ควรวางท่าทีเอาไว้ในฐานะผู้ที่อ่านผลงานเล่มนี้อย่างนัก "สังเกตการณ์" ปรีชาญาณของโอโชซึ่งนำพาเราสำรวจสืบค้นไปยังชีวประวัติ ผลงาน ปรีชาญาณของศาสดา มหาคุรุของโลกมากมายที่ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มนี้อย่างคนนอกคนหนึ่ง

    "ขอแนะนำด้วยความเจียมตนว่า ได้โปรดอย่าเผลอเอา "อัตตา" และ "สิ่งที่เนื่องด้วยอัตตา" ของตัวเอง สอดเข้าไปในสิ่งที่โอโชวิพากษ์วิจารณ์เสนอแนะเป็นอันขาด

    มีแต่การอ่านด้วยท่าทีแห่งการเป็น "ผู้ดู" โดยไม่เผลอเข้าไปเป็น "ผู้เป็น" เท่านั้น ผลงานของโอโชเล่มนี้จึงจะก่อให้เกิดปีติสุขและความรื่นรมย์ทางปัญญาและจิตวิญญาณอันใหญ่หลวงแก่ท่านตลอดไป"

    จีเอ็มบุ๊กส์, 328 หน้า, 230 บาท


    คุรุวิพากษ์คุรุ โดย " โอโช" (OSHO)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 กรกฎาคม 2011
  4. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8
    ตัวโอโชไม่เคยยอมรับว่าเขาเป็น "คุรุ"


    ท่านบอกว่า ไม่ได้มีหน้าที่มาสั่งให้ใครทำอะไร หรือซ่อมอะไรให้ใคร แต่ตัวเราแต่ละคนต่างหากจะต้องรับผิดชอบต่อชีวิตของเราเอง ด้วยความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ จะนำมาซึ่งอิสรภาพอย่างเต็มเปี่ยม
     
  5. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8
    [​IMG]


    " ความเป็นจริงนั้นอยู่ภายในตัวท่าน
    มันไม่ใช่การสร้างขึ้นมาใหม่
    เพราะว่าอะไรที่ท่านสร้างขึ้นมานั้น
    มันไม่ใช่ของจริง
    สิ่งที่สร้างขึ้นมาเป็นแค่ผลผลิตของจินตนาการ
    สิ่งที่ท่านต้องทำก็คือการก้าวล้ำเข้าไปในความเงียบ
    เฝ้ามองมัน ด้วยความตื่นตัวและรู้สึกตัว
    เพียงแค่นั้น ท่านก็จะได้เห็นถึงสิ่งที่เป็นจริง "

    - ปัญญาญาณ โดย โอโช่ -
     
  6. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8
    [​IMG]

    " ข้าพเจ้าต้องการให้ท่าน
    สร้างแดนสวรรค์ขึ้นมาบนโลกใบนี้เดี่ยวนี้
    ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องเลื่อนสิ่งดี ๆ เหล่านี้ออกไป
    ข้าพเจ้าไม่ต้องการจะผลักมันออกไปอีก
    ไม่ว่าวันพรุ่งนี้หรือวันไหนก็ตาม
    เพราะมันเป็นสิ่งที่เราสามารถมีมันได้ทันที
    ที่นี่และเดี๋ยวนี้
    ขอเพียงแต่ท่านมีจิตใต้สำนึก
    ที่สะอาดและบริสุทธิ์เท่านั้น "


    " การรู้ " คือ การนิ่งเงียบ เงียบสนิท
    จนท่านได้ยินเสียงความเงียบ เป็นเสียงเบา ๆ จากภายใน
    " การรู้ " คือ การสลัดทิ้งความคิดทั้งหลาย
    เมื่อท่านสงบนิ่งไม่ไหวติง
    ไม่มีสิ่งที่กวัดแกว่งอยู่ภายใน
    ทันใดนั้น ประตูก็จะเปิด
    ท่านจะเป็นส่วนหนึ่งของความลึกลับที่บังเกิด
    ท่านจะรู้ได้โดยการกลายเป็นส่วนหนึ่งของมัน
    ท่านได้มีส่วนร่วมอยู่ในนั้น
    และนั่นก็คือ " การรู้ "


    จงทิ้งสมองที่จ้องคิดแบบถ้อยคำ
    จงหนุนนำความคิดที่สร้างบทกลอน
    ปล่อยวางความชำนาญในการอ้างเหตุอ้างผล
    ปล่อยให้เสียงเพลงนำทางชีวิตของท่าน
    เคลื่อยย้ายจากปรีชาญาณไปสู่ปัญญาญาณ
    จากหัวคิดไปสู่จิตใจ
    เพราะจิตใจนั้นอยู่ไกล้ความลึกลับมากกว่า


    " หากท่านสามารถละทิ้งความคิดที่ยึดติดว่า
    เหตุผลคือประตูทางเดียวที่จะนำท่านไปสู่คำตอบได้
    เมื่อนั้นปัญญาญาณก็จะเริ่มเบ่งบานออกมา
    ต่อไปมันก็ไม่ได้มาเพียงแค่แป๊บเดียว
    มันจะเริ่มเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอ
    ตลอดเวลาที่เราต้องการ
    เมื่อท่านหลับตาท่านจะสามารถเข้าหามันได้
    ท่านจะได้หนทางที่ถูกต้องจากมันเสมอ "


    " เมื่อไรก็ตามที่ท่านตกอยู่ในสถานการณ์
    ที่เหตุผลใช้ไม่ได้
    จงอย่าหมดหวัง อย่างเพิ่งสิ้นหวัง
    เพราะช่วงเวลานั้น
    อาจเป็นบทพิสูจน์ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของท่าน
    เป็นช่วงที่สมองฝั่งซ้าย
    ยอมให้สมองฝั่งขวาเข้ามามีบทบาท
    มันเป็นส่วนของความเป็นหญิง
    ส่วนของเครื่องรับที่จะให้ความคิดกับท่าน
    ถ้าท่านยอมตามมันไป
    ประตูทั้งหลายก็จะเปิดออก "

    " จะต้องเปลี่ยนจากการคิดไปสู่เรื่องของความรู้สึก
    ความรู้สึกจะทำให้ท่านเข้าใกล้บางสิ่งในตัวท่าน
    ที่เรียกว่า ' ปัญญาญาณ ' ค่อนข้างมาก
    ท่านมักจะถูกสอนโดยผู้อื่น
    นั่นเป็นเรื่องของวิชาความรู้
    แต่สิ่งที่ไม่ได้ถูกสอนและเบ่งบานอยู่ในตัวของท่าน
    นั่นก็คือ ' ปัญญาญาณ ' ไม่มีใครสอนท่านได้ "

    " บางคนทำงานหนักมาเป็นเวลาหลายปี
    เพื่อต้องการหาคำตอบหรือข้อสรุปเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    แต่ก็ไม่สามารถบรรลุผลได้
    แต่พออยู่มาวันหนึ่งในทันทีทันใด
    คำตอบมันก็ปรากฏอยู่ตรงนั้น
    มันมาจากไหนก็ไม่รู้ จากที่ซึ่งอยู่ไกลโพ้น
    ท่านไม่สามารถจะบอกได้ว่ามันเป็นข้อสรุป
    มันไม่ใช่ข้อสรุปอะไรทั้งสิ้น "


    " ในสายตาชาวโลกแล้ว
    การตอบสนองต่ออัตตาตัวตนนั้นถือว่าเป็นความสำเร็จ
    แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วมันไม่ใช่
    สำหรับข้าพเจ้าแล้ว
    การได้รับความเบิกบานนั้นคือความสำเร็จ
    ไม่ว่าจะมีใครรู้จักท่านหรือไม่ก็ตาม
    ไม่ว่าท่านจะอยู่อย่างไร อยู่โดยที่ไม่มีใครรู้จัก
    ไม่เคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับท่าน
    ไม่ทันได้สังเกตุท่าน
    แต่หากท่านมีความเบิกบาน มีความสุข
    ท่านก็คือผู้ที่ประสบความสำเร็จแล้ว "


    " ใช่แล้ว ! แผนที่ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นเลย
    แรงปรารถนาอันยิ่งใหญ่
    ความต้องการอย่างแรงกล้า
    ในการค้นหาต่างหากที่เป็นสิ่งจำเป็น
    ถ้าท่านมีสิ่งดังกล่าวนี้
    ท่านก็จะสามารถย่างก้าวต่อไปได้ด้วยตัวของท่านเอง
    จงเคลื่อนไหวในที่ที่กว้างใหญ่ไพศาล
    เคลื่อนไปในที่ที่ไม่มีขอบเขต
    และจงเรียนรู้ที่จะไว้วางใจ
    ปล่อยตัวท่านให้อยู่ในอุ้งมือของชีวิต "


    " ... และแล้วโครงกลอนต่าง ๆ ก็คงจะสูญหายไป
    ความรักทั้งหลายจะเหือดแห้งไป
    ความลี้ลับทั้งหลายจะมลายไปสิ้น
    สิ่งที่น่าพิศวงต่าง ๆ จะหายไป
    จิตวิญญาณจะสิ้นสลาย
    บทเพลงจะหยุดบรรเลง
    ไม่มีการเฉลิมฉลองอีกต่อไป
    ทุกสิ่งทุกอย่างได้ถูกรู้ไปจนหมดสิ้น
    ไม่มีอะไรที่มีคุณค่า หรือมีความหมายอีกต่อไป
    ชีวิตไม่มีความสำคัญอีกแล้ว "


    - จาก Intuition ปัญญาญาณ การรู้แบบปิ๊งแว้บ -
    - เส้นทางสร้าง " ความสุข ความสำเร็จ และความสมดุล " ให้กับชีวิต - <!-- / message --><!-- sig -->
     
  7. sron2006

    sron2006 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    541
    ค่าพลัง:
    +1,202
    โอย! งง.......... ไรอ่ะ
     
  8. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    มันมาอีกแล้ว .....แว้ว แว้ว แว้ว แว้ว ...!!!!
     
  9. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8
    [​IMG]


    "ว.วชิรเมธี" กล่าวถึง "โอโช" ว่า เป็นผู้หยั่ง
    เห็นสัจธรรมในความหมายที่ลึกซึ้งที่สุดคนหนึ่ง
    เป็นมากกว่านักปรัชญา คุรุ หรือนักคิดสุดอันตราย
    อย่างที่ใครต่อใครเรียกขาน หากจะขนานนามเขาให้
    เหมาะสมแล้ว โอโชควรเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" คน
    หนึ่งของศตวรรษที่ 20 นี้ทีเดียว
     
  10. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    พระพุทธองค์ คือที่สุดอยู่แล้วมีทุกอย่างครอบคลุมในพระศาสนาอยู่แล้ว จะไปแสวงหาอะไรอีก จุดอ่อนของการสอนสั่งคือ ทุกคนมีวิบากของตนไม่เหมือนกันเป็นเรื่องปัจเจกรู้ได้เฉพาะตน พุทธศาสนาก็สอนอยู่แล้ว ง่ายง่าย สัมมาทิฎฐิ ก็มีสอนในพระศาสนา กุศล อกุศล ใครไม่เห็นค่าแห่งพระพุทธศาสนาแสดงว่ายังมีอวิชชาและมิจฉาทิฎฐิแน่นอนฟันธงครับ.......!!!
     
  11. Red people

    Red people เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +153


    ไอ้หย่า ! พระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ช่วง ๕,๐๐๐ ปี นี้ มีพระพุทธเจ้าได้ ๑ พระองค์เท่านั้น ขืนมีเพิ่มแม้เพียงอีก ๑ พระองค์ในช่วงเวลานี้ โลกธาตุใบนี้ แตก แน่นอน ................สาธุในสัจธรรม


    .
     
  12. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571



    ท่าน ว. ว่าไว้อย่างนั้นจริงๆ เหรอ หรือไปเอา ท่าน ว. มาอ้าง
    ท่าน ว. เขียนไว้ในหนังสือของท่าน

    หรือ คนอื่นเขียนหนังสือ ของเขา แล้ว เอาชื่อ ท่าน ว. ไปใส่




    แล้ว รู้ ตื่น เบิกบาน ทางด้านไหนล่ะครับ มัน รู้ ตื่น เบิกบาน ได้หลายด้านนะ

    แต่ก่อน เป็นวัยรุ่น ผมกินเหล้าเมาๆไปหลีสาว ก็

    รู้ ตื่น และสุดแสนจะเบิกบาน อิ อิ...



    รู้ ตื่น และ เบิกบาน
    ด้าน SEX ซะบึมฮึม!! เหรอครับ โอ้วแม่ หาหนังซื้อของเขามาอ่านน่าจะดี เพิ่มพลัง ซะบึมฮึม !!



    รู้ ตื่น และ หื่นกาม !!





     
  13. Red people

    Red people เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +153


    อนุโมทนาสาธุ ในความเห็นจริงแท้ถูกต้อง "พระพุทธองค์ คือที่สุดอยู่แล้วมีทุกอย่างครอบคลุมในพระศาสนาอยู่แล้ว"


    .
     
  14. Numtrn

    Numtrn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,408
    ค่าพลัง:
    +1,571
    ประโยคนี้

    โอโชชยังคิดว่าคนเราควรแสดง
    ออกอย่างเป็นธรรมชาติ มีกิเลสได้ตามปกติ
    และสามารถมีเพศสัมพันธ์ได้อย่างอิสระด้วย<!-- google_ad_section_end -->

    หากไป จิ้ม ภรรยาคนอื่น
    หากไป จิ้ม ลูกสาวของเขา

    อาจโดน ยิงกระบาลได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือโดนฟันกระบาลแบะได้อย่างอิสระ




    อย่ากินวาซะบิมากนัก มันขึ้นหัว !
     
  15. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8
    การปิดกั้นกาม ทำให้การชำระกรรมในแบบกาม ไม่เกิดขึ้น
    เมื่อชำระกรรมในรูปการมีกาม ไม่ได้ กรรมก็ยังไม่หมด
    จะหลุดพ้น นิพพาน ... ก็ยังไม่ได้
     
  16. นรมิตร

    นรมิตร สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    119
    ค่าพลัง:
    +8

    ผมก็มีนะ ภรรยาที่มีกรรมกัน แต่ปัจจุบันเป็นภรรยาคนอื่น
    แต่ผมไม่ได้ใช้กามทางกาย ในการแก้กรรม ผมแค่พูดคุย
    เหมือนเพื่อนกันเฉยๆ ไม่มีละเมิดกาม แล้วมันก็จบแค่นั้น


    แต่ถ้าเราไม่มีปฏิสัมพันธ์ ไม่มีอะไรเลย ก็ชำระกันไม่หมด
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772

    เห็นด้วยกับคำกล่าวนี้ครับ

    ...นี่คือหนึ่งความคิดเห็นจากผู้อ่านคนหนึ่ง..
    ตามเจตนารมณ์ของกระทู้นี้..ที่อยากให้แสดงความคิดเห็นหนะนะครับ

    แต่ไม่ใช่เอาความคิดเห็นมาจากเพียงเพราะได้อ่านเนื้อหาที่โพสต์ในกระทู้นี้เท่านั้นหรอกนะครับ
    แต่เพราะผมเคยอ่านหนังสือของท่านโอโชมาบ้างแล้ว

    ................
     
  18. ภูมินที

    ภูมินที เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    201
    ค่าพลัง:
    +289
    ใช้ SEX แก้กรรมหรือครับ ? แนวคิดนี้คุ้นๆเหมือนเคยดูรายการสรยุทธ ช่อง3
    เหมือนที่แม่ชีท่านหนึ่งเคยแนะนำ ให้ผู้หญิงคนหนึ่งมี SEX กับเด็กหนุ่มสองคนเพื่อเป็นการแก้กรรมรึเปล่าครับ?
     
  19. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ไม่หรอก เรา ไม่ได้พูดถึง ที่สุด ของปัญญา ว่าอะไรเป็นอะไร ปรมัตถ์สภาวะคืออะไร ในที่นี้พูดกันในหมู่ผู้ปฎบัติภาวนาใช่หรือไม่ เพื่อน้อมนำไปสู่วิเวก นิพพานหรือเปล่า อย่างเรื่อง กาม เราคนเดียวเท่านั้นที่จะรู้ว่า เรายังพอใจในกาม เราสงัดจากกามแล้ว กามผูกเราไม่ได้แล้ว(ไม่ใช่อ้างว่าพ้นแล้ว แต่ยังเสพอยู่ แล้วบอกว่า ฉันไม่ยึดติด ไม่ใช่หรอก) ต้องถามตัวเองว่าเรา โยนิโสนมสิการ ไปสู่วิเวก นิพพาน หรือเปล่า หรือยังพอใจใน วัฎฎะอยู่
     
  20. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    หากไม่ทำความเข้าใจศาสนา เข้าใจกฎอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่เรายึดถือ ก็คือ กรงขัง
    แต่หากเข้าใจ จะอยู่ในศาสนา หรือไม่อยู่ ก็มิใช่กรงขัง

    แนวคิดของโอโช ต้องทำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง

    หากเชื่อตามทั้งหมด ก็เท่ากับเราหากรงขังมาครอบไว้ สั่งหันซ้าย หันขวา เราก็จะเชื่อตามโดยขาดสติปัญญา

    หากไม่เชื่อทั้งหมด เราก็ติดกรงขังของความไม่เปิดรับของตน

    ต้องพิสูจน์จากการสำรวจกาย และใจของตน เพราะหากเข้าถึงได้ ก็จะเข้าใจความจริงได้ด้วยตนเอง

    เรื่อง sex เป็นเรื่องนึงที่ต้องทำความเข้าใจให้มาก

    หากจะบอกว่า เชื่อที่ตำราอ้าง ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่า มาจากปากผู้รู้ ท่านใดจริงๆหรือไม่ มันจะเป็นเพียงข้ออ้างของกิเลส ให้กระทำสิ่งใดๆที่ล่วงละเมิดต่อผู้อื่นโดยไม่รู้สึกผิด

    แต่ถ้าเราเข้าใจว่า มันคือการไม่ปิดกั้นภายใน คือ การทะลายกรอบที่ยึดถือออก โดยการใช้ปัญญาทำความเข้าใจถึงความเป็นธรรมชาติ จะเกิดกระบวนการ alchemy ภายใน ที่รวบรวมพลังงานทั้งมวลในร่างกาย ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือ เราเป็นผู้มิสติในกิเลส ไม่โดนกิเลสใช้

    เรื่องปัญญาญาณ ปิ๊งแว่ป คาร์ล จี จุง อธิบายได้ชัดเจน และความหมายเดียวกันกับ osho ว่าเราจะเข้าถึงปัญญาญาณได้อย่างไร

    คาร์ล จุง เป็นลูกศิษย์ของซิกมันด์ ฟรอยด์ และเป็นผู้ที่ออกมาคัดค้าน แนวคิดของฟรอยด์ที่ครอบความเชื่อของผู้คนแถบตะวันตกในยุคนั้น ลองศึกษาดูครับ ว่าคัดค้านเรื่องใด
     

แชร์หน้านี้

Loading...