Conversation with God [สนทนากับพระเจ้า]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย yogibhai2009, 10 กรกฎาคม 2011.

  1. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    [​IMG]

    ผมขอค่อยๆ พิมพ์หนังสือเล่มนี้ ให้กับทุกท่าน ผมอ่านแล้วน้ำตาไหลอย่างบอกไม่ถูก... ขออย่าเพิ่งปิดใจกับคำว่า "พระเจ้า" เพราะ "พระเจ้า" ในหนังสือเล่มนี้ ต่างจากที่เราคุ้นเคยกันมาอย่างสิ้นเชิง!!!

    คำนิยมของหนังสือเล่มนี้อันหนึ่ง...

    "นี่ไม่ใช่หนังสือเผยแผ่ศาสนา และคำว่า "พระเจ้า" ในเรื่องก็ไม่ใช่พระเจ้าแบบที่เราคุ้นเคย... ที่สำคัญมันเป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตผู้อ่านมานับล้านคน"
    1 ใน 9 Best of Book Fair, นิตยสาร GM Plus

    เสมือนหนึ่งคำนำสำนักพิมพ์

    ครั้งแรกที่เห็นหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือภาษาอังกฤษแห่งหนึ่ง ก็รู้สึกสะดุดกับชื่อไม่น้อย แต่ไม่ได้สนใจที่จะหยิบขึ้นมาอ่าน เพราะคำว่า God บนหน้าปกเป็นเหมือนเส้นกั้นไม่ให้เข้าใกล้ไปกว่านั้น สารภาพตามตรงว่าสำหรับชาวพุทธบ้านๆ อย่างผม ไม่มีอารมณ์ร่วมหรือผูกพันกับคำๆ นี้เลย แม้จะเคยเรียนในโรงเรียนที่สอนเรื่องพระเจ้าอยู่สิบกว่าปีก็ตาม

    ...หลังจากวันนั้นยังได้แวะเวียนไปร้านหนังสือแห่งนั้นอีกเป็นระยะ ทุกครั้งก็จะเห็นหนังสือเล่มนี้ตั้งอยู่ เป็นปีผ่านไปก็ยังไม่คิดจะหยิบมาเปิดอ่านเช่นเดิม...

    แม้ไม่ไยดีแต่ลึกๆ ก็รู้แก่ใจว่าชื่อหนังสือเล่มนี้รบกวนจิตใจมาตลอดนับแต่ครั้งแรกที่เห็น "คุยกับพระเจ้า? คุยอะไร? บ้าหรือเปล่า? พระเจ้าอะไรอีก?" จนวันหนึ่งได้ฤกษ์หยิบขึ้นมาพลิกๆ ดูแบบไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรดี เผยแพร่ศาสนา? ลัทธิอุบาทว์? คนเพี้ยนสติเฟื่อง? นิวเอจกำมะลอ? ฯลฯ คำถามสารพัดผุดขึ้นในหัว หยิบๆ วางๆ อยู่ห้าหกรอบ จึงตัดสินใจว่าจะลองซื้อมาอ่านดู ตอนจ่ายเงินก็ยังปลอดใจตัวเองว่าถ้าอ่านแล้วไม่มีอะไรให้จดจำก็ถือว่าฟาดเคราะห์ไปเล่มหนึ่งแล้วกัน อย่าคิดมากเลย ... แต่ถ้าเกิดมีอะไรน่าสนใจขึ้นมาล่ะ

    เริ่มอ่านด้วยอารมณ์ว่างเปล่า อ่านไปเรื่อยๆ ความรู้สึกหลายอย่างค่อยๆ ผุดขึ้น น่าเแปลกที่ไม่รู้สึกมีปัญหากับคำว่า "พระเจ้า" ที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้อย่างที่คิดไว้แต่แรก แถมหลายช่วงยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายตะวันออกในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมายาวนานเหลือเกินแล้ว สุดท้ายอ่านจบด้วยอารมณ์สะท้ายและกระเจิดกระเจิง

    หลายคนตั้งคำถามว่าตกลงนี่คือหนังสืออะไร... หรือของศาสนาไหนกันแน่

    ในที่นี้ผมคงสรุปแทนใครไม่ได้ อยากให้ผู้อ่านลองอ่านแล้วสรุปเองจะดีกว่า ส่วนคำตอบที่ผมมีให้ตัวเองหลังอ่านจบก็คือ นี่ไม่ใช่หนังสือศาสนา อีกทั้ง "พระเจ้า" ในที่นี้ก็ไม่ใช่แบบที่พวกเราคุ้นเคย หากว่า หนังสือเล่มนี้จะต้องเป็นอะไรสักอย่างให้ได้ มันก็คงเป็นได้ทุกอย่างตามแต่จริตพื้นฐานและจินตนาการของแต่ละคน ซึ่งที่จริงเราไม่จำเป็นต้องนิยามหรือระบุสังกัดให้หนังสือเล่มนี้เลยก็ได้

    ผู้อ่านย่อมมีสิทธิที่จะรับหรือไม่รับหนังสือเล่มนี้ ทว่าโปรดอย่ารีบปฏิเสธเพียงเพราะข้างในมีเนื้อหาต่างไปจากสิ่งที่เคยได้รับการสั่งสอนหรือปลูกฝังกันมา ไอสไตน์พูดไว้อย่างลึกซึ้งว่า เราไม่อาจแก้ปัญหาได้ด้วยระดับคิดเดียวกับที่เราสร้างปัญหาขึ้น ฉะนั้นอยากให้ชีวิตและโลกใบนี้ต่างไปจากเดิมบ้าง เราอาจต้องยอมเปิดรับความคิดหรือคำตอบใหม่ๆ ซึ่งต่างไปจากที่คุ้นเคยบ้างเช่นกัน.........
     
  2. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    ที่พิมพ์คำนำให้อ่าน เพราะ แค่ผมเริ่มอ่านคำนำ น้ำตาก็ไหลอย่างบอกไม่ถูก...นะครับ...

    คำนำผู้แปล

    หนังสือเล่มนี้มาสู่ชีวิตฉันอย่างแปลกประหลาด มันถูกส่งมาจากอเมริกาสำหรับอดีตสามีของฉันซึ่งกลายเป็นนักบวชไปแล้ว ส่วนฉันซึ่งเวลานั้นสนใจการปฏิบัติจิตแนวพุทธ ไม่เคยคิดที่จะหยิบมาเปิดดู สืบเนื่องจากชื่อที่มีคำว่า "พระเจ้า" ของมัน

    ฉันเกิดและเติบโตมาท่ามกลางสองความเชื่อ พ่อ-คริสต์ แม่-พุทธ ตอนเล็กๆ ฉันเข้าโบสถ์และไปวัด เมื่อย่างเข้าวัยรุ่นฉันหยุดกราบพระ แต่อธิษฐานกับพระเจ้าก่อนกินข้าวและเข้านอน ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยฉันบอกลาพระเจ้าและกล่าวกับพระองค์ว่า ถ้าพระเจ้ามีจริงและหนทางของพระองค์เป็นจริงแล้ว ขอจงเรียกฉันกลับมาด้วย

    ฉันเริ่มอ่านกฤษณมูรติ พุทธมหายาน วัชรยาน ฮินดู ซาร์ต กามูส์ นิตช์เช ฯลฯ หนังสือแนวจิตวิญญาณทั้งหลายแหล่ที่หนุ่มสาววัยแสวงหาอ่านกัน ทว่าได้เริ่มฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาเมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ช่วงเวลาเดียวกับที่ฉันได้พบหนังสือเล่มนี้

    มันร่วงลงมาจากชั้นหนังสือและพูดกับฉัน จากบรรทัด จากหน้าที่เปิดกระทบใจที่กำลังถาม สงสัย และรู้สึกต่อชีวิตขณะนั้น ฉันจึงหยิบขึ้นมาอ่าน นั่นคือบทเริ่มต้้นของเรื่องราวทั้งหมด

    จากนั้น เพราะเป็นความอยากให้คนอื่นๆ ได้อ่าน อยากให้ใครที่แสวงหาเหมือนฉันได้ยินเสียงจากชีวิตที่กล่าวแตกต่างออกไป คำสอนที่ถ่ายทอดมายาวนาน ชีวิตชีวาอาจจะเหือดหาย ไม่สามารถสัมผัสข้างในหรือประสานเข้ากับชีวิตอันเชี่ยวกรากในยุคปัจจุบันของเรา ฉันจึงตัดสินใจแปลหนังสือเล่มนี้ แม้ว่าจะยังขัดแย้งสงสัย

    มหาปัญญาแห่งจักรวาลคืออะไร? ใช่ "พระเจ้า" ในนี้หรือไม่? เกี่ยวข้องอย่างไรกับพุทธจิต? ยุคสมัยนี้เป็นยุคแห่งการเผยแจ้งอย่างนั้นหรือ? จากไหน? พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่ามีพระเจ้านี่นา และอีกหลายๆ คำถาม แต่ทั้งหมดนั้นไม่สำคัญเท่ากับว่า หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือเกี่ยวกับพระเจ้าแบบที่เราเคยรู้จัก ตรงกันข้ามอาจจะถูกกล่าวหาว่าต่อต้านพระเจ้าด้วยซ้ำ และสิ่งที่พูดคุยกันในนี้ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการปลุกให้ตื่น ตื่นขึ้นด้วยคำถามที่สามารถปลดปล่อยความคับแคบบางอย่างในความคิดของเราได้ ส่วนตัวฉัน มันยังเป็นเสมือนอ้อมกอด อ้อมกอดแห่งคำบอกที่ว่า "เธอคือพระเจ้า เธอไม่ใช่คนบาป หรือทั้งเนื้อทั้งตัวเธอคือกองกิเลสอันชั่วช้า" (โดยนัยที่ทำให้จิตใจเราชิงชังรังเกียจตัวเองและโลกย์ร่วงตากในมายาทวิภาวะ)

    สนทนากับพระเจ้า ไม่มีคำสอนหรือวิธีการปฏิบัติใดๆ เพราะไม่ใช่ลัทธิศาสนาใหม่ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของขอบฟ้าใหม่สำหรับฉันที่ช่างละม้ายกับคำสอนของมหายานที่ว่า ดอกบัวผุดจากโคลนตม ความโลภ โกรธ หลง ของเรา คือเนื้อนาดินแห่งปัญญา และวัชรยานที่มองว่ากิเลสทั้งหลายของเราคือพลังและอาจเป็นยานส่งเราไปสู่ความรู้แจ้ง แหละความรู้แจ้งนั้น สำหรับฉันคืออิสรภาพอันประภัสสร.........
     
  3. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    ฤดูใบไม้ผลิปี ค.ศ.1992 เท่าที่จำได้อยู่ราวๆ ช่วงวันอีสเตอร์ มีปรากฏการณ์มหัศจรรย์อย่างหนึ่งเกิดขึ้นในชีวิตผม พระเจ้าได้เริ่มต้นพูดกับคุณผ่านทางผม
    ให้ผมอธิบายนะ

    ช่วงเวลาดังกล่าวผมไม่มีความสุขเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว หรือเรื่องภาวะทางอารมณ์ ชีวิตดูเหมือนจะล้มเหลวไปทุกอย่าง ช่วงนั้นผมติดนิสัยระบายความคิดลงไปในจดหมายมานานหลายปีแล้ว (แต่ไม่เคยส่ง) ผมจึงหยิบสมุดฉีกสีเหลืองผู้ซื่อสัตย์ขึ้นมา แล้วก็เริ่มพรั่งพรูความรู้สึก

    ครั้งนั้นแทนที่จะเขียนจดหมายถึงใครสักคนซึ่งผมจินตนาการว่าคือคนที่ทำให้ผมต้องตกเป็นเหยือ ผมคิดว่าคราวนี้จะเขียนตรงไปยังแหล่งกำเนิดเลยดีกว่า ไปหาต้นตอใหญ่ซึ่งทำให้เราทั้งหมดต้องรับเคราะห์ ผมตัดสินใจเขียนถึงพระเจ้า
    มันเป็นจดหมายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอาฆาตและรุนแรง อัดแน่นด้วยความสับสน อารมณ์ที่บิดเบี้ยว และการกล่าวประณามต่างๆ นาๆ รวมทั้งคำถามอันโกรธเกรี้ยวกองมหึมา

    ทำไมชีวิตผมถึงไม่ได้เรื่อง? ผมต้องทำอย่างไรชีวิตถึงจะดีขึ้นเสียที? ทำไมผมถึงไม่มีความสุขในความสัมพันธ์เลย? ทำไมผมถึงมีเงินไม่พอใช้ตลอด? สุดท้ายและสำคัญที่สุด ผมทำอะไรไว้นักหนาถึงต้องมามีชีวิตที่ต้องดิ้นรนต่อสู้ไม่จบสิ้นขนาดนี้?

    แล้วผมก็ต้องประหลาดใจ เพราะทันทีที่ระบายความขมขื่นสุดท้ายจากเหล่าคำถามที่ปราศจากคำตอบจบ และเตรียมจะวางปากกาลง ก็เหมือนกับว่า มีพลังบางอย่างซึ่งมองไม่เห็นทำให้ปากกำที่กำลังจะหยุดนั้นเขียนถ้อยคำต่อไปอย่างฉับพลัน ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะเขียนอะไร ความคิดต่างๆ หลั่งไหลเข้ามาเอง ผมจึงปล่อยออกมา

    เธอต้องการคำตอบสำหรับคำถามพวกนี้จริงๆ หรือแค่จะระบาย? (ตัวอักษรแบบนี้คือพระเจ้าตอบมา)

    ผมกระพริบตา... แล้วคำตอบก็ผุดขึ้นในใจ ผมเลยเขียนลงไปว่า “ทั้งสองอย่าง” ใช่ผมอยากระบาย... แต่ถ้าคำถามพวกนี้มันมีคำตอบจริงๆ ละก็ นรกเอ๊ย ผมอยากจะฟังแน่นอนอยู่แล้ว

    เธอใช้คำว่า “นรก” กับหลายๆ อย่างนะ ไม่ดีกว่าหรือถ้าจะพูดว่า “สวรรค์เอ๊ย!” แทนน่ะ?

    ............................... (ข้ามมาช่วงนึง)

    พระเจ้าพูดอย่างไร? กับใคร? ตอนที่ถามออกไปนั้น คำตอบที่ได้รับคือ

    ฉันพูดกับทุกคนตลอดเวลา ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าฉันพูดกับใคร แต่อยู่ที่ว่ามีใครฟังบ้าง?
     
  4. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    เดี๋ยวว่างๆ มาต่อให้นะครับ...
     
  5. Alphomega

    Alphomega สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +2
    ขอขอบคุณครับ(y)

    Don't judge the book by its cover.
    อย่าเพิ่งด่วนตัดสินอะไรก่อนที่จะได้สัมผัสสิ่งนั้น

    ผมคิดว่าทุกคนบนโลกควรอ่านหนังสือชุดนี้ให้ครบทั้งสามเล่มเลยครับ เพราะทุกถ้อยคำทุกประโยคเมื่อเราได้อ่านแล้วเรามิอาจปฏิเสธได้เลยว่านั่นคือความจริงที่ไม่ถูกแบ่งด้วยศาสนา เชื้อชาติ วรรณะ ฯลฯ ขอให้ทุกคนเปิดใจและเปิดมุมมอง ขอให้เอา"เนื้อแท้"ภายในของทุกท่านพิจารณานะครับ แล้วท่านจะทราบเองครับ

    Alphomega
     
  6. wongsatron

    wongsatron สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +5
    ต่อด่วนครับ จะซื้อมาผ่านมั่ง
     
  7. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    ด้วยความฉงน ผมก็เลยขอให้พระเจ้าขยายความอีกหน่อย และนี่ก็คือสิ่งที่พระองค์กล่าว

    ก่อนอื่น ลองเปลี่ยนคำว่า "พูด" เป็นคำว่า "สื่อสาร" ดู เพราะเป็นคำที่ดีกว่า ถูกต้องและตรงเต็มความหมายมากกว่า เมื่อเราพยายามจะพูดคุยกับใครสักคน ฉันพูดกับเธอหรือเธอพูดกับฉัน เราต่างถูกกำหนดด้วยข้อจำกัดอันเหลือเชื่อของภาษาในทันที ดังนั้นฉันจะไม่สื่อสารผ่านถ้อยคำเพียงอย่างเดียว จริงๆ แล้วฉันทำอย่างนั้นน้อยมาก รูปแบบปกติที่สุดที่ฉันใช้สื่อสารก็คือ ผ่านทาง "ความรู้สึก"

    ความรู้สึกคือภาษาของจิตวิญญาณ

    หากอยากจะรู้ว่าอะไร "จรง" สำหรับเธอละก็ จงดุว่าเธอรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งนั้น

    บางครั้งความรู้สึกก็ยากจะค้นพบและมักยากขึ้นไปอีกที่จะยอมรับ แต่สิ่งที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึกลึกสุดนั้นเอง คือความจริงสูงสุดของเธอ

    สิ่งสำคัญ คือเข้าถึงความรู้สึกที่ว่านี้ให้ได้ ฉันจะบอกวิธีให้ถ้าเธออยากรู้...
     
  8. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    ผมบอกพระเจ้าว่าผมอยากรู้ แต่ตอนนี้ผมอยากได้คำตอบที่ครบถ้วนสำหรับคำถามข้อแรกของผมเสียก่อน พระเจ้าตอบว่า

    ฉันยังสื่อสารผ่าน "ความคิด" ด้วย ความคิดและความรู้สึกไม่ใช่สิ่งเดียวกันแม้จะเกิดขึ้นได้พร้อมกัน ในการสื่อสารผ่านความคิด ฉันมักใช้จินตนาการหรือมโนภาพประกอบ ฉะนั้นในฐานะเครื่องมือสื่อสารแล้ว ความคิดจึงมีพลังมากกว่าคำพูดล้วนๆ

    นอกจากความรู้สึกและความคิด ฉันยังใช้ "ประสบการณ์" เป็นพาหะสื่อสารอันทรงพลังอีกด้วย

    และสุดท้ายหากความรู้สึก ความคิด รวมทั้งประสบการณ์ล้วนไม่ได้ผล ฉันถึงจะเปลี่ยนมาใช้ "คำพูด" ถ้อยคำเป็นตัวนำสารที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุด และมักทำให้เกิดการเข้าาใจผิดหรือตีความผิดได้ง่ายที่สุด

    ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น? ก็ถ้อยคำคืออะไรล่ะ มันเป็นแค่เสียงที่เปล่งออกมาเท่านั้นเอง เสียงซึ่งใช้แทนความรู้สึก ความคิด และประสบการณ์ เป็นเพียงสัญลักษณ์ สัญญาณ หรือเครื่องหมาย ไม่ใช่ตัวความจริงเอง ไม่ใช่สิ่งที่มีตัวตนอยู่จริง

    ถ้อยคำอาจช่วยให้เธอเข้าใจบางสิ่ง แต่ประสบการณ์จะทำให้เธอรู้ แต่ก็มีบางอย่างที่เธอไม่อาจมีประสบการณ์ได้ ฉันจึงให้เครื่องมือแห่งการรู้อย่างอื่นแก่เธออีกนั่นคือ ความรู้สึกและความคิด

    ถึงตอนนี้ ที่กลับตารปัตรที่สุดก็คือ เธอให้ความสำคัญอย่างมากกับถ้อยคำของพระเจ้า แต่ให้ความสำคัญน้อยเหลือเกินกับตัวประสบการณ์


    .........(ข้ามไปหลายย่อหน้า)

    นี่คือบรรดาเครื่องมือที่ฉันใช้สื่อสาร แน่นอน มันไม่ใช่สูตรสำเร็จหรอก เพราะไม่ใช่ทุกความรู้สึก ทุกความนึกคิด ทุกประสบการณ์ และทุกถ้อยคำจะมาจากฉัน......

    นี่คือความท้าทายที่ต้องมองให้ทะลุ มันยากตรงที่เธอต้องแยกความต่างระหว่างสารที่มาจากพระเจ้ากับข้อมูลจากแหล่งอื่น ต้องอาศัยความช่างสังเกตบวกกฎพื้นฐานง่ายๆ คือ

    สิ่งที่มาจากฉัน คือความคิดสูงส่งที่สุดของเธอ คือถ้อยคำที่ชัดแจ้งที่สุด คือความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สิ่งใดก็ตามหากน้อยไปกว่านี้แสดงว่ามาจากแหล่งอื่น

    ความคิดสูงสุด แฝงความเบิกบานเสมอ คำพูดชัดแจ้งที่สุดคือคำพูดที่เปี่ยมด้วยความจริง และความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความรู้สึกที่พวกเธอเรียกว่า "ความรัก"

    ความเบิกบาน ความจริง และความรัก

    ตอนนี้เธอได้แนวทางแยกแยะแล้วว่าสิ่งไหนคือสารจากฉัน และสิ่งไหนมาจากแหล่งอื่น คำถามที่เหลือคือ เธอจะฟังสารจากฉันหรือเปล่า

    ส่วนใหญ่แล้วไม่ บ้างเป็นเพราะมันดูดีเกินกว่าจะเป็นจริงได้ บ้างก็เพราะมันยากเกินกว่าจะทำตาม และหลายครั้งก็เพียงเพราะถูกเข้าใจผิด แต่ที่เกิดขึ้นมากที่สุดคือ พวกเธอไม่ยอมรับ

    ผู้ส่งสารที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดของฉันก็คือประสบการณ์ แม้กระทั่งสิ่งนี้พวกเธอยังคงเพิกเฉย และโดยเฉพาะสิ่งนี้ที่พวกเธอไม่ใส่ใจ

    โลกของเธอจะไม่อยู่ในสภาพที่เป็นอยู่นี้ ถ้าเพียงแต่พวกเธอฟังประสบการณ์ของตัวเอง ผลจากการไม่ฟังประสบการณ์ของตัวเองก็คือ เธอต้องเจอกับมันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น เพื่อว่าจุดหมายของฉันจะไม่ถูกขัดขวางและเจตจำนงชองฉันจะไม่ถูกเพิกเฉย เธอจะได้รับสารนั้นไม่ช้าก็เร็ว

    แต่ฉันจะไม่บังคับและขู่เข็ญเธอ เพราะได้ให้เจตจำนงเสรีแก่เธอไปแล้ว เป็นสิทธิอำนาจที่จะทำตามที่เธอเลือก และฉันจะไม่ยกเลิกสิทธิ์นี้ตลอดกาล

    ดังนั้นฉันจึงเฝ้าแต่ส่งสารเดิมๆ มายังเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผ่านสหัสวรรษ สู่ทุกมุมแห่งจักรวาลที่พวกเธออาศัยอยู่ ฉันจะส่งข่าวสารอย่างไม่สุดสิ้น จนกว่าเธอจะได้รับและแนบไว้ใกล้ชิด และเรียกมันว่าของเธอ

    สารของฉันจะมาในหลายร้อยรูปแบบ ทุกห้วงพันขณะ ข้ามกาลเวลานับล้านๆ ปี เธอไม่มีางพลาดหากตั้งใจฟังอย่างแท้จริง และไม่อาจเพิกเฉยหากได้ยินจริงๆ เมื่อนั้นการสนทนาของเราจะเริ่มขึ้นอย่างจริงจัง ในอดีตพวกเธอได้แค่พูดกับฉันเพียงฝ่ายเดียว อธิษฐานถึง วอนขอความเมตตาหรือการช่วยเหลือ เวลานี้เองที่ฉันจะสามารถพูดตอบกลับบ้าง เหมือนที่กำลังทำอยู่ตอนนี้
     
  9. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    ฉันจะไม่บังคับและขู่เข็ญเธอ เพราะได้ให้เจตจำนงเสรีแก่เธอไปแล้ว เป็นสิทธิอำนาจที่จะทำตามที่เธอเลือก และฉันจะไม่ยกเลิกสิทธิ์นี้ตลอดกาล

    >>>

    พระเจ้า ไม่ใช่ผู้ที่นั่งกำหนดชะตาชีวิตใคร ไม่มีคำว่า "พระเจ้าลงโทษ"
    พระเจ้าไม่เคยให้ความทุกข์แก่ใคร

    แค่เริ่มต้น ก็แตกต่างจากที่เราเชื่อและคุ้นเคยกันมาตามไบเบิล...

    ต่อๆ ไป พระเจ้าในหนังสือเล่มนี้จะบอกว่า "ไบเบิล ไม่ใช่แหล่งที่ฉันจะรับรองหรอกนะ.."

    ..................................................

    อ่านแล้วรู้สึกอย่างไร ตอบด้วยนะครับ... ผมรู้สึกแค่ว่า ผมอ่านแล้วยิ้มได้ไม่หุบเลย จริงๆ
    เป็นพระเจ้าที่น่ารักมาก

    เหมือนคำนิยมท้ายเล่ม ของ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ว่า
    " เพราะ God ในหนังสือเล่มนี้ คือกัลยาณมิตรที่ทรงภูมิปัญญาที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ผู้อ่านจะพานพบได้ในชีวิตนี้ ... มีคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ชีวิตของพวกเขาไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้..."
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2011
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    มีผู้คนมากมายที่ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไปหลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว
    ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมถึงผมเองด้วยครับ

    ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ และรวมถึงเล่มที่สอง มาเมื่อราวๆ 3-4 ปีก่อน
    ยอมรับว่าชอบเนื้อหาในทั้งสองเล่มนี้มากๆ
    เพราะว่ามันทำให้มุมมอง และทัศนคติที่มีต่อชีวิตเปลี่ยนไปอย่างมากมาย
    คือเป็นบวกมากขึ้น ได้คำตอบของคำถาม ที่ในกรอบแคบๆ ของศาสนามิอาจให้ได้มากมาย
    เนื้อหาในนั้น ถ้าเราเปิดใจอ่านจริงๆ เราจะรู้สึกได้เลยว่า มันไม่น่าจะไม่จริง

    หลังจากอ่านหนังสือชุดนี้แล้ว ผมก็มีโอกาสได้อ่านข้อความสื่อสารจากต่างมิติอีกมากมาย
    ผมพบว่า สาระสำคัญที่คำว่า "พระเจ้า" ในหนังสือชุดนี้สอนไว้ กับที่ "รูปธรรมชีวิตต่างมิติ" ทั้งหลายสอนไว้
    มันไม่ได้ต่างกันเลย มันรับรองซึ่งกันและกัน มันยืนยันซึ่งกันและกัน มันเสริมซึ่งกันและกันไปหมด

    และรวมถึง ก่อนหน้าที่จะได้มาอ่านหนังสือชุดนี้ ผมก็ได้อ่านหนังสือชุดโนวา อนาลัย
    ก็พบอีกนั่นแหละว่า เนื้อหามันสอดคล้องกันไปหมด ไปในแนวทางเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ
    จนทำให้สงสัยว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไร ว่าเนื้อหาเหล่านี้มันจะไม่มีมูลความจริงอะไรเลย
    แม้ว่ามันจะไม่สอดคล้อง หรือไม่ก็ถึงขนาดขัดแย้ง และตรงกันข้ามกับคำสอนของหลายๆศาสนาด้วยซ้ำไปก็ตาม

    ...มันต้องมีอะไรในกอไผ่เป็นแน่...

    แรกๆผมก็คิดเหมือนหลายๆคนที่กำลังคิดอยู่นั่นแหละครับว่า
    เอ..หรือว่าข้อมูลพวกนี้จะเป็นฝ่าย "มาร" มาหลอกให้เราไขว้เขว หรือสั่นคลอนจากความศรัทธาในศาสนาของเรา
    เพราะว่ามารอาจจะกลัวเราไปถึงนิพพานเร็วกว่าตนเอง อะไรแบบนั้น

    แต่ว่า..อีกครั้งหนึ่ง..คือผมก็อาจจะเหมือนกับอีกหลายๆคนอีกนั่นแหละ..ที่พอใตร่ตรองไปมา ซ้ำแล้วซ้ำอีก
    พร้อมทั้งพยายามโยงใยข้อเท็จจริงที่เรารู้มาจากแหล่งอื่นอยู่แล้ว มาพิจารณาร่วมกันไปด้วยเนืองๆ
    ก็พบว่า มันไม่น่าที่จะไม่จริงไปได้ เพราะว่าใจของเราเองก็บอกเช่นนั้น ความรู้สึกเราก้บอกเช่นนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ได้จากหนังสือเหล่านี้ ก็คือ

    "การได้ข้อมูลมาเติมเต็มในส่วนที่คำสอนทางศาสนายังให้คำตอบกับเราไม่ได้"

    และรวมถึงได้ความอิสระ ได้ทัศนคติในแง่บวก รู้สึกมีพลัง และเป็นตัวของตัวเอง
    รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังมีความหมายอีกเยอะ รู้สึกว่าตนเองก็มีความสำคัญและมีพลังอำนาจ
    สามารถกำหนดชะตาชีวิตของตนเองได้ ไม่ใช่เหยื่อแห่งกรรม ไม่ใช่อะไรๆก็ก้มหน้ารับกรรมอย่างเดียว

    และ ฯลฯ ครับ

    ........................................
     
  11. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    สุดยอดเลยครับ...
    ผมก็อ่านไม่เยอะเท่าพี่หรอกมั้ง แต่ผมก็รู้สึกได้ว่า นอกจากความเชื่อของศาสนาต่างๆ ออกมา พวกหนังสือแปลของฝรั่งทั้งหลาย ทำไมมันอ่านแล้วดูเป็นสากลและเชื่อมโยงกันไปหมด รวมถึง The Secret ด้วย

    คงเป็นเพราะฝรั่งเค้าไม่ยึดในรูปแบบพิธีกรรมแบบที่เรามีมั้ง

    สิ่งหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้ปลุกคนให้ตื่นขึ้น ผมว่าคือเปลี่ยนสำนึกลึกๆ ว่า
    "ฉันไม่ใช่คนบาป" เหมือนที่คริสต์สอนว่า เรามีบาปกำเนิดจากอาดัมและอีฟ
    แต่พระเจ้าในนี้บอกว่า "ไม่ เธอไม่ใช่คนบาป... เธอเป็นเหมือนกับฉัน เหมือนกับพระเจ้า !!!..."

    ซึ่งไม่ได้ทำให้หยิ่งทะนงเหมือนกับเราเป็นพระเจ้า
    แต่ทำให้เรามีเป้าหมาย ที่จะกลับไปเป็นเหมือนกับท่าน "เหมือนที่เราเคยเป็น..."
     
  12. vijit_j

    vijit_j เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    739
    ค่าพลัง:
    +2,866
    นีล : พระองค์ทำให้ผมงงอีกแล้ว ประสบการณ์ถึงตนเองของพระองค์

    พระเจ้า : ใช่แล้วฉันจะอธิบายให้เธอฟังอย่างนี้

    แรกเริ่มทั้งหมดที่มี คือ "สิ่งนั้น" และไม่มีอะไรอื่น
    อีกนอกจากสิ่งนั้นซึ่งเป็นทั้งหมด และสิ่งนั้นได้รู้จักแต่เพียงตนเอง
    เพราะไม่มีสิ่งอื่นนอกตัวเองให้รู้ ดังนั้นสิ่งนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่มี
    หรือ
    "ความว่าง" เพราะไม่มีสิ่งอื่นดำรงอยู่

    "สิ่งนั้น" รู้แล้วว่าตนเองคือทั้งหมดที่สุดมหัศจรรย์
    และรู้ว่าไม่มีสิ่งอื่นอีก ดังนั้นมันจึงไม่สามรถรู้
    จักตัวเองจากจุดอ้างอิงอื่นๆภายนอกตัวได้ เพราะไม่มีจุด
    หรือตำแหน่งภายนอกดำรงอยู่ มีแต่จุดภายใน "สิ่งนั้น" เท่านั้น
    ที่จะรู้ได้ ดังนั้นมันจึงหาประสบการณ์จากภายในเพื่อรู้จักตัวเอง

    สิ่งนั้น ปารถนาจะมีประสบการณ์ เพราะความมหัศจรรย์เป็นความ
    หมายเชิงสัมพัทธ์ หรือเปรียบเทียบ เพราะฉะนั้น สิ่งนั้นไม่สามารถรู้จัก
    ความมหัศจรรย์ได้จนกว่าด้านตรงข้ามของมันจะปรากฏ

    หากไม่มี "
    สิ่งไม่เป็น" แล้ว "สิ่งที่เป็น" ก็จะไม่มี

    สิ่งนั้น เป็นพลังงานในตนเองที่บริสุทธิ์ หรือเรียกว่าความรัก
    และเลือกมีประสบการณ์
    จากจุดอ้างอิงที่อยู่ภายใน มันจึงต้องรู้ว่าต้องทำให้
    ส่วนใดส่วนหนึ่งของมันไม่สมบูรณ์ขึ้นมา เพื่อให้เกิดจุดอ้างอิง
    สัมพัทธ์ขึ้น แล้วแบ่งภาคตนเองหรือลดทอนตนเองลงเป็นส่วนๆ
    โดยการระเบิดอันบันเจิด
    เพื่อให้แต่ละส่วนที่ไม่สมบูรณ์สามารถหันกลับมา
    มองส่วนที่เหลือของตัวเอง

    และรู้จักความมหัศจรรย์นั้นได้ จึงเกิด
    "สิ่งนี้" และ "สิ่งนั้น" ขึ้น
    และเกิด
    "ที่นี่" และ "ที่นั่น" และสิ่งที่ไม่ใช่ที่นี่และที่นั่น
    เพื่อจะให้ ที่นี่ และ ที่นั่น ดำรงอยู่ได้

    สิ่งนั้น หรือ ความว่างนั่นเองที่โอบอุ้มทุกสรรพสิ่งไว้ ความไร้พื้นที่
    จึงโอบอุ้ม พื้นที่ไว้ และความว่าง รวมถึงสรรพสิ่งนี่เองที่บาง
    คนเรียกว่าพระเจ้า หรือสุญญาตาที่ทางตะวันออกเรียก
    แต่จะให้เข้าใจให้ถูก ควรเรียกพระเจ้าว่าความว่างต่างหาก

    เมื่อ ที่นี่ เดินทางไปสู่ ที่นั่น เวลาจึงถูกนิยามขึ้น

    เมื่อพระเจ้าตามที่มนุษย์เรียกกันนี้ ได้สร้างที่นี่ และ
    ที่นั่นเพื่อพระเจ้าจะได้รู้จักตัวเองผ่านการระเบิดครั้งใหญ่
    โดยรู้จักตัวเองผ่าน
    ความสัมพัทธ์ หรือจุดอ้างอิงเปรียบเทียบ หรือ
    ความเป็นคู่ ขึ้นมา เป็นของขวัญสำหรับพระเจ้าเพื่อได้รู้จักตัวเอง

    สิ่งนั้น ได้แบ่งทอนหน่วยย่อยพลังงาน นับเอนกอนันต์ ก็คือจิตวิญญาณ
    นั่นเอง

    และของขวัญสำหรับจิตวิญญาณที่แบ่งภาคออกมาจากสิ่งนั้น
    ก็คือ
    ความสัมพันธ์ ต้องใช้ความสัมพันธ์รู้จักตนเอง
    ดังนั้นจิตวิญญาณสามารถอธิบายถึงตัวเองได้ จากการอ้างอิง
    ซึ่งกันและกัน

    เพื่อให้ความรักดำรงอยู่ได้ ต้องมีขั้วตรงข้ามกับมันเป็นจุดอ้างอิง
    นั่นคือทุกสิ่งที่ไม่ใช่ความรัก คือ
    ความกลัว นั่นเอง
    เพราะทุกขณะเมื่อความกลัวเกิดขึ้น
    ความรักจึงอยู่ในฐานะที่มีประสบการณ์ได้

    และในคติปรัมปรา จึงนิยามตัวแทนของความรัก ว่า
    พระเจ้า
    และนิยามความกลัวว่า
    ซาตาน ,พญามาร

    จิตวิญญาณมากมาย ที่อยู่ในรูปกายมนุษย์นี้ได้มีคุณสมบัติ
    เดียวกันกับต้นกำเนิดด้วย นั่นคือการสร้างสรรค์ ผ่านความสัมพันธ์
    กับผู้อื่นโดยใช้ช่องทาง การคิด พูด การกระทำ
    ในฐานะแห่งความเป็นพระเจ้าด้วยความรักอันบริสุทธิ์
    อันเป็นพลังงานดั้งเดิม
    และรู้จักความรักนี้ได้ ต้องผ่านจุดอ้างอิงด้านตรงข้ามคือ ความกลัว
    เสียก่อน



    ข้อความข้างต้นอยู่ที่ หน้า 56
     
  13. Heaven Angel

    Heaven Angel สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    จิตวิญญาณ ที่สุกสกาว :)
     
  14. Mr.Boy_jakkrit

    Mr.Boy_jakkrit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    2,063
    ค่าพลัง:
    +2,676
    ผมก็เปิดใจกว้างอ่านได้ทุกประเภทครับ แต่ก็เหมือนกันในศาสนาพุทธของผมครับ
    ต่างกันแค่ว่า ภาษา และ ถ้อยคำ พิธีกรรม ความเชื่อ เนื้อแท้หากเอาแต่ตัวหนังสือเลยมันกระชับมากๆครับ
    แต่น่าเสียดายที่พุทธศาสนิกเองยังปรากฏผู้คนกราบไหว้ต้นกล้วย จอมปลวก หมู วัว ที่ออกลูกมาผิดแผกไปจากปรกติ ...
     
  15. yogibhai2009

    yogibhai2009 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    51
    ค่าพลัง:
    +23
    อ่ะต่อครับ ต่อ... เอาเฉพาะที่เด็ดๆ นะครับ

    พระเจ้า : เธอไม่อาจรู้จักพระเจ้าได้หากเธอไม่หยุดบอกตัวเองว่าเธอรู้จักพระเจ้าดีแล้ว เธอไม่อาจได้ยินเสียงพระเจ้าหากเธอไม่หยุดคิว่าเธอได้ฟังจากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว

    ฉันไม่อาจบอกสัจจะของฉันต่อเธอหากเธอไม่หยุดพูดถึงสัจจะของตัวเองเสียก่อน

    นีล : แต่ว่าความจริงเรื่องพระผู้เป็นเจ้าของผมก็มาจากพระองค์นะครับ?

    พระเจ้า : ใครบอกเธอหล่ะ?

    นีล : คนอื่นๆ

    พระเจ้า : คนอื่นน่ะ ใครล่ะ?

    นีล : ก็พวกผู้นำ คณะสงฆ์ พระ นักบวช คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ให้ตายเหอะ ... คัมภีร์ไบเบิลนั่นไง

    พระเจ้า : นั่นไม่ใช่แหล่งที่ฉันรับรองหรอกนะ

    นีล : ไม่ใช่หรอครับ?

    พระเจ้า : ก็ไม่ใช่น่ะสิ

    นีล : งั้นอะไรหล่ะครับ?

    พระเจ้า : ฟังความรู้สึกของเธอ ฟังความคิดสูงสุดของเธอ ฟังประสบการณ์ของเธอ หากสิ่งเหล่านี้ต่างไปจากถ้อยคำที่เธอได้รับการสั่งสอนหรือได้อ่านมาละก็ จงลืมถ้อยคำเหล่านั้นเสีย ถ้อยคำเป็นผู้ส่งสัจจะที่เชื่อถือได้น้อยที่สุด

    นีล : มีหลายอย่างเหลือเกินที่ผมอยากพูดกับพระองค์ หลายอย่างที่อยากจะถาม แต่ผมไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหน เช่น ทำไมพระองค์ไม่เปิดเผยตัวเองออกมา? ถ้านี่คือพระเจ้าจริงและท่านคือพระองค์ล่ะก็ ทำไมท่านไม่แสดงตัวในแบบที่เราเข้าใจได้

    พระเจ้า : ฉันทำอย่างนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า และกำลังทำอยูขณะนี้ด้วย

    นีล : ไม่ ผมหมายถึงว่าการแสดงตนอย่างชัดแจ้งชนิดที่ไม่มีใครปฏิเสธน่ะ

    พระเจ้า : ยังไง?

    นีล : ก็เช่นปรากฎกายต่อหน้าผม

    พระเจ้า : ฉันก็ทำอยู่นี่ไง

    นีล : ไหนล่ะ?

    พระเจ้า : ทุกที่ที่เธอมองดู

    นีล : ไม่ใช่ ผมหมายถึงในแบบที่ชัดเจนไร้ข้อโต้แย้ง แบบที่ไม่มีมนุษย์คนไหนจะปฏิเสธได้เลย

    พระเจ้า : วิธีไหนล่ะ รูปลักษณ์อะไรที่เธออยากให้ฉันปรากฎ

    นีล : ก็ในร่างจริงๆ ของพระองค์ไงครับ

    พระเจ้า : เป็นไปไม่ได้ เพราะฉันไม่ได้มีรูปลักษณ์อย่างที่เธอเข้าใจหรอกนะ จริงอยู่ฉันอาจใช้ร่างหรือรูปกายที่เธอสามารถเข้าใจได้ แต่ก็จะทำให้ทุกคนคิดว่านั่นคือลักษณะเดียวของพระผู้เป็นเจ้า แทนที่จะเข้าใจว่านี่คือลักษณ์หนึ่งในรูปลักษณ์อันหลากหลายของฉัน...............

    นีล : แล้วถ้าพระองค์ทำอะไรบางอย่างที่พิสูจน์ได้ถึงความจริงของพระองค์ในแบบที่อยู่เหนือความสงสัยหรือข้อกังขาใดๆ ล่ะ?

    พระเจ้า : ก็จะมีคนพูดว่าเป็นการกระทำของปีศาจหรือเป็นแค่จินตนาการของใครบางคนอยู่ดี หรือไม่ก็บอกว่ามาจากแหล่งอื่นที่ไม่ใช่ฉัน

    หากฉันแสดงตนในฐานะพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ ราชาแห่งสวรรค์และพื้นพิภพ เคลื่อนย้ายขุนเขาเพื่อพิสูจน์ ก็จะมีคนบอกว่า "ต้องเป็นฝีมือซาตานแน่ๆ"

    และก็ควรเป็นอย่างนั้นด้วย เพราะ พระเจ้าจะไม่สำแดงตนผ่านการสังเกตจากภายนอก แต่จะกระทำผ่านประสบการณ์ภายใน เมื่อประสบการณ์ภายในแสดงถึงพระผู้เป็นเจ้าแล้ว การแลเห็นภายนอกก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป หากการสังเกตภายนอกยังจำเป็นอยู่ ประสบการณ์ภายในก็ไม่อาจเกิดขึ้นได้...
     
  16. Hnuymax

    Hnuymax สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +3
    หนังสือเล่มนี้ ผมได้รับการแนะนำมาจาก กัลยาณมิตรท่านหนึ่ง
    เธอบอกว่าให้ผมไปหามาอ่าน แล้วชีวิต จะเปลี่ยนไป ....

    ตอนแรกผมก็ไม่อยากเชื่อ ด้วยความยึดมั่นในตนเอง ....
    แต่พอได้ร่วม สื่อสารระหว่างกันมากขึ้น จึงทำให้ผมใจอ่อน
    แล้วไปสั่งหนังสือเล่มนี้มา ....

    หนังสือเล่มนี้ ผมต้องสั่งซื้อจากทางอินเตอร์เน็ต
    เพราะหาจากที่วางขายในร้านหนังสือทั่วไป ไม่มีเลย ...

    ตอนนี้หนังสือกับลำงเดินทาง บทสนทนา การสื่อสาร และพลังแห่งความเปลี่ยนแปลง
    จากบทคัดย่อเพียงสั้นๆ ของท่าน yogibhai2009 ก็ทำให้ผมสะท้านได้แล้ว ...

    การสนทนา เพิ่งจะเริ่มต้น

     
  17. Namushakamunibutsu

    Namushakamunibutsu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,347
    ค่าพลัง:
    +2,618
    อาณาจักรแห่งพระเป็นเจ้าอยู่ภายในคุณ พระหรรษทานอันอัศจรรย์คือปรากฎการณ์ของใจ
    In tutto il mondo, non c'è niente che non è prodotto dalla mente...
     
  18. rwoot

    rwoot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2008
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +191


    อนุโมทนาสาธุ...ครับผม...:cool:
     
  19. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    อ่านแล้วทั้งเล่ม1 และเล่ม2...ดีมากๆครับ ถ้าทำใจให้เป็นกลางๆ(เวลาอ่าน) จะได้ประโยชน์มาก ส่วนเล่ม3 ยังไม่ได้อ่านเพราะเลื่อนแล้วเลื่อนอีกจนเลิกรอไปนานแล้ว

    อยากจะแนะนำให้อ่าน"โนวาอนาลัย"ด้วย ซึ่งทั้งชุดมีอยู่10เล่ม อาจจะเข้าใจยากสักหน่อยแต่ถ้ามีสมาธิในการอ่านดีๆก็คงไม่ยากจนเกินไป ถ้าไม่เข้าใจแนะนำให้อ่านทวนซ้ำอย่าอ่านแค่ผ่านๆ มิฉะนั้นท่านจะพลาดสาระและสิ่งดีๆ ที่พี่นักเขียนได้นำมาถ่ายทอดไปอย่างน่าเสียดาย
     
  20. bluebaby2

    bluebaby2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กันยายน 2010
    โพสต์:
    2,471
    ค่าพลัง:
    +4,288
    มันมีหลายอย่างเหลือเกินที่เหมือนพุทธเรานะ แต่ชาวพุทธไม่สนใจเลย ถ้า
    ศึกษาสองอันนี้ไปพร้อมกันแล้วมีประโยชน์มากนะอย่างที่ท่านว่า สิ่งที่เธอต้อง
    ทำไม่ใช่การเรียนรู้แต่เป็นการจำให้ได้ คำว่าจำให้ได้ในทางพุทธเขาเรียก สติ
    ความระลึกได้ ที่พระองค์ท่านบอกการจำได้ในทางพุทธเราก็คือการมีสตินั่น
    แหละ หลักสำคัญไม่ต่างกันเลย ศึกษาควบคู่กันไปจะได้อะไรเยอะมาก คนที่อ่าน
    สนทนากับพระเจ้าก็อ่านผ่านๆ ไม่ได้ให้ความสำคัญ ส่วนชาวพุทธเราให้ความ
    สำคัญกับสติมาก แต่ไม่เข้าใจความหมายของสติ ผมอ่านสนทนากับพระเจ้าเล่ม
    1-3 มีหลายเล่มเลยนะครับที่ God ตอบคำถาม conversations with God
    3 เล่ม friendship with God, Home with God, Tomorrow God ยังมี
    อีกเล่มที่ผมยังไม่ได้อ่าน The new relevations<!-- google_ad_section_end --> เกี่ยวกับการช่วยโลกนี่แหละ
    ถ้าอ่านดูดีๆ ก็เด็ดทุกบรรทัดนั่นแหละถ้าเราเขาใจนะ ผมอ่านไม่รู้กี่รอบก็ยังได้
    อะไรใหม่ๆ ทุกครั้งที่อ่าน

    นี่เป็นบางตอนจากเล่ม 3 นะครับ
    [​IMG] เห็นธรรมจาหหนังสือ conversations with God
     

แชร์หน้านี้

Loading...