ชีวิตจะง่ายขึ้น หากเข้าใจคำว่า ธรรมดา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย honey_bee414, 16 มิถุนายน 2011.

  1. honey_bee414

    honey_bee414 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    1,164
    ค่าพลัง:
    +3,665
    ชีวิตจะง่ายขึ้น หากเข้าใจคำว่า ธรรมดา
    เรื่องโดย วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์


    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>




    หลายคนคงจะคุ้นเคยกับคำว่า “เยอะ” ซึ่งกลายเป็นสำนวนสุดฮิตไปแล้วในปัจจุบัน เช่น คนที่คิดสารพัดเรื่อง ทั้งที่ควรคิดและไม่ควรจะคิด คนที่สร้างเงื่อนไข-ขั้นตอนให้ชีวิตโดยไม่จำเป็น ฯลฯ ทว่าความเยอะบางครั้งใช่ว่าจะดี แต่กลับทำร้ายตัวเองและทำให้ชีวิต “ยาก” ขึ้นโดยไม่จำเป็น


    จากประสบการณ์ชีวิต การทำงานคลุกคลีอยู่ในแวดวงมายา กว่า ๑๕ ปี ทำให้นักแสดงสาวมากฝีมือ นุ่น-ดารัณ บุญยศักดิ์ ตระหนักและเข้าใจว่า “ความเรียบง่ายและธรรมดานี่แหละดีที่สุดสำหรับชีวิต”


    เช่น ถ้าวันนี้เสียใจ ก็อย่าร้องไห้ฟูมฟายให้มาก แค่ให้รู้ว่าเสียใจเรื่องอะไรก็พอ ถ้ามีทางแก้ก็แก้ไป แก้ไม่ได้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลา หรือหากจะดีใจก็ดีใจแค่วันนี้ อย่าไปเผื่อถึงวันพรุ่งนี้ อย่าคาดหวังให้ใครหรืออะไรเป็นอย่างที่ใจเราต้องการ เพราะไม่มีใครสามารถบังคับใครได้


    เมื่อใดที่มองโลกตามความเป็นจริง เข้าใจว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เป็นธรรมดาของโลก” นุ่นเชื่อว่า เพียงเท่านี้ชีวิตก็จะ “ง่าย” ขึ้น และ “ความสุข” ก็จะตามมาในไม่ช้า




    ๑๒๐ บาท ทำให้คนฉลาดขึ้น

    หนังสือเรื่อง ปรัชญาชีวิต ของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ ( Jean-Paul Sartre ) เป็นหนังสือเล่มแรกที่นุ่นอ่านแบบรวดเดียวจบ และทำให้มุมมองชีวิตของนุ่นเปลี่ยนไปทันที คุ้มค่าเกินกว่าราคา ๑๒๐ บาทที่เสียไปมากๆ


    ปรัชญาของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ มุ่งเน้นไม่ให้ยึดติดกับสิ่งใดในโลก ไม่ว่าจะเป็นตัวตน บทบาท พิธีกรรม หรืออะไรก็ตาม เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเรา ไม่มีสิ่งไหนที่มีตัวตนอย่างแท้จริง


    สิ่งเหล่านี้กระทบใจนุ่นอย่างแรง จากเด็กที่มองโลกแค่ตื้นๆไม่เข้าใจโลก แม้จะเข้าวงการทำงานตั้งแต่อายุ ๑๕ แต่ก็ไม่รู้จักวิธีใช้เงินให้คุ้มค่า แม้จะมีวัตถุมากมายอยู่รอบตัว แต่ลึกลงไปจริงๆ ชีวิตนุ่นตอนนั้นไม่ต่างจากคนที่ไม่มีอะไรเลย น้ำก็ไม่มี ภาชนะใส่น้ำก็ไม่มี


    หนังสือเล่มนี้ทำให้รู้ว่า ถ้าจะหาภาชนะที่เหมาะกับตัวเรา เราต้องรู้ก่อนว่ารากเหง้าของเราอยู่ที่ไหน ซึ่งคำตอบก็คือพุทธศาสนา เพียงแต่เรายังไม่เคยเข้าถึงความหมายและหัวใจของพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้จริงๆ


    ปรัชญาของฌอง-ปอล ซาร์ตร์ คล้ายกับคำสอนทางพุทธศาสนาในเรื่องการไม่ยึดติด เพียงแต่ว่าพุทธศาสนายังสอนให้เกิดปัญญามากไปกว่านั้นว่า “มนุษย์ทุกคนล้วนมีความตายเป็นที่ตั้ง ร่างกายเสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ ไม่สามารถเอาอะไรติดตัวไปได้ ดังนั้นต้องเข้าใจและยอมรับความจริงนี้ให้ได้”


    ฌอง-ปอล ซาร์ตร์ ทำให้นุ่นค้นพบแก้วน้ำของตัวเอง และรู้ว่า “เราไม่ควรยึดติด” ขณะที่พุทธศาสนาเป็นดังน้ำ ที่ค่อยๆเติมเต็มเข้ามา เป็นปัญญาให้นุ่นเข้าใจ “ธรรมชาติของโลก” ทีละน้อย



    จริงคือเท็จ เท็จคือจริง

    วรรณกรรมญี่ปุ่นให้แง่คิดดีๆ แก่นุ่นหลายอย่าง ทั้งโต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่างๆ , สุสานหิ่งห้อย ( Grave of the Fireflies ) ถึงจะเป็นเรื่องราวของเด็กเป็นหลัก เด็กๆที่อยู่ในโลกสีชมพู สนุกสดใส แต่จุดจบของทั้งสองเรื่องนี้ก็ทำให้หลายคนสะเทือนใจได้ไม่น้อย เมื่อความฝันของเด็กๆ ต้องถูกทำลายลงด้วยสงคราม

    สงครามและความรุนแรงไม่ใช่ทางออกของปัญหาที่ดี และไม่มีใครเป็นผู้ชนะอย่างแท้จริง

    ส่วน ราโซมอน ( Rashomon ) เป็นเรื่องราวที่ว่าด้วยการตายของซามูไรคนหนึ่งกับการให้ปากคำของโจรร้าย วิญญาณซามูไรในร่างทรงและภรรยาซามูไร พยานทั้งสามต่างให้การราวกับตนเองเป็นพระเอก-นางเอก เล่าในสิ่งที่ต้องการให้คนอื่นรับรู้ ทั้งที่เรื่องเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะเมื่อคนตัดฟืนซึ่งเห็นเหตุการณ์โดยตลอด ออกมาเฉลยความจริงตอนท้ายเรื่อง จึงได้รู้ว่าคำให้การทั้งสามเป็นเท็จ


    ราโชมอนตีแผ่ความจริงของมนุษย์ว่าคนเรามักจะพูดหรือทำอะไรให้ตัวเองดูดีเพื่อผลประโยชน์ส่วนตนไว้ก่อน แม้ว่าเรื่องๆ นั้นจะเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงก็ตาม”


    วรรณกรรมไม่ได้ให้แค่ความบันเทิงอย่างเดียว แต่ยังช่วยเปิดโลก ให้มุมมองแง่คิดดีๆ แก่ผู้อ่านด้วย ขึ้นอยู่กับว่า “คุณจะเลือกอ่านวรรณกรรมประเภทไหน”



    แฮ็ปปี้เบิร์ธเดย์เปลี่ยนชีวิต

    ว่ากันว่า คนเราจะดีจะชั่วมักต้องผ่านการวิบัติมาก่อน ชีวิตนุ่นเองเหมือนกัน นุ่นเคยเที่ยว กินเหล้า สูบบุหรี่ เอ็นจอยทุกอย่างในชีวิตและชอบคาดหวัง ซึ่งหากผิดหวังขึ้นมาก็จะเศร้าอย่างหนัก รู้สึกแย่สุดๆ
    แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ในคืนวันเกิดของนุ่นเมื่อ ๓-๔ ปีก่อน นับตั้งแต่นุ่นได้กราบ หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต พร้อมกับรับพรจากท่านว่า “แฮ็ปปี้เบิร์ดเดย์” แม้จะเป็นพรสั้นๆ ที่ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่สำหรับนุ่นแล้ว พรข้อนี้เหมือนเป็นสัญญาณว่ามีคนฉายไฟส่องทางให้นุ่นแล้ว ประมาณว่า “ไปทางนั้นสิ”


    สองวันต่อมานุ่นได้ไปกราบพระอาจารย์อุทัย ฌานุตตโม เป็นครั้งแรกตามคำชักชวนของพี่ปู กัลยาณมิตรคนเดิมที่พาไปกราบหลวงปู่บุญฤทธิ์ และหลังจากนั้นมา ชีวิตใหม่ของนุ่นก็เริ่มขึ้นอย่างมุ่งมั่นและตั้งใจ


    นุ่นไม่ได้ปฏิบัติธรรมเป็นคอร์สๆ แต่นุ่นไปเป็น “เด็กวัด” ไปรับใช้พระอาจารย์อยู่ก้นกุฏิจริงๆ ล้างจาน ล้างกระโถน กินข้าวก้นบาตร ระหว่างนั้นพระอาจารยาจะมีบททดสอบอยู่เรื่อยๆ เช่น การชงกาแฟที่นุ่นต้องถามวิธีชงจากคนอื่น เพราะตัวเองเป็นคนไม่ดื่มกาแฟ ชงกาแฟไม่เป็น พอชงกาแฟได้ก็ไปถวายท่าน แม้ท่านจะบอกว่าไม่อร่อยแ ล้วเททิ้งกันต่อหน้า นุ่นก็ต้องยอมรับให้ได้ เทกาแฟทิ้งทั้งหม้อแล้วชงใหม่ จนกว่าท่านจะฉันได้จริงๆ


    ท่านกำลังสอนว่า สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่กาแฟ แต่อยู่ที่ อัตตา ของเราว่า เรายอมรับความจริงได้ไหม ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องไปถามคนอื่น ถ้าทำได้แล้ว แต่ยังไม่ดี ก็ต้องกล้าปรับปรุง จนกว่าจะได้รับการยอมรับ


    นุ่นช่วยงานพระอาจารย์เรื่อยมา ได้เรียนรู้แนวปฏิบัติที่ถูกที่ควร ทั้งการเดินจงกรม นั่งสมาธิ และได้เข้าใจว่า “ธรรมะไม่ได้สอนให้เราไปมองคนอื่น แต่สอนให้เราดูตัวเราเอง” ธรรมะยังทำให้นุ่น “ละวาง” สิ่งที่บั่นทอนชีวิตลงได้เยอะ หันมาเดินตามหลักทางสายกลาง ด้วยความมีสติ


    จากวัยเด็กที่คิดว่า “ธรรมะเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นและน่าเบื่อที่สุด” กลับกลายเป็นว่า “ทุกวันนี้ ธรรมะเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตนุ่นไปแล้ว”
    โลกนี้ไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ อย่ายึดติดกับร่างกาย บทบาทสมมุติต่างๆ เพราะสุดท้ายทุกอย่างก็คือ “ความเสื่อมสลาย” เหมือนๆกัน


    ขอขอบคุณบทความจากชมรมกัลยาณธรรม..
     
  2. วัฒน์ฤทัย

    วัฒน์ฤทัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +232
    อ่านแล้วรู้สึกดีจังค่ะ ขอบคุณสำหรับการนำมาโพสให้อ่านนะค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...