มายกระดับคุณภาพทางกาย และใจ จากการปลุกพลังกุณฑาลิณีภายในให้ตื่นขึ้นมา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย cosmiccell, 16 พฤษภาคม 2011.

  1. DMZ_ZONE

    DMZ_ZONE เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    260
    ค่าพลัง:
    +649
    ติดตามอ่านครับข้อมูลดีๆแบบนี้
     
  2. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ขอบคุณครับคุณเซลล์ ที่มาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ
    เป็นเทคนิคที่น่าสนใจที่เดียว ติดตามอ่านด้วยคนนะครับ
     
  3. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณคุณ DMZ_ZONE คุณ Mead ที่ติดตามอ่านครับ :)

    ผมเคยฝึกสหจะโยคะ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว รับรู้ถึงพลังงานกุณฑาลิณีภายใน ที่ขึ้นมาไม่มาก มีหลักคุณธรรมสอนมากมาย ก็เพื่อให้เคลียร์ทางเดิน กุณฑาลิณีภายใน ทำงานได้มากขึ้น แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่สามารถเปิดประตู ที่ตำแหน่งฝีเย็บได้

    ไม่ใช่ว่าเค้าสอนไม่ดี แต่ผมไม่เข้าใจสิ่งที่เค้าสอนมากกว่า

    ทั้งใช้เสียงในการปลุก มนตรา หัตถโยคะ ร่วมพิธีกรรมบูชาศักติมากมาย ร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์สารพัดวิธี แต่ก็ไม่อาจเปิดประตูนี้ขึ้นมาได้

    นั่นเพราะอะไร??

    เพราะเราไม่ได้ ขจัดความเชื่อในใจตน ไม่ทำความเชื่อให้กระจ่าง
    ทุกสิ่งที่เราทำ ก็จะกระทำด้วยความเชื่อ การยึดถือ ตามตำรา และคำบอกเล่า

    ต่อให้ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ได้พบผู้ศักดิ์สิทธิ์ ได้อ่านคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์
    ก็ไม่สามารถเข้าถึงได้

    เพราะเราทำให้จิตทำงานหนักเกินไป แบ่งเป็นสิ่งดี สิ่งไม่ดี แล้วนำจิตที่คิดว่าดี ตามคำสอน มากดทับ จิตอีกดวง ที่เราให้นิยามว่าไม่ดี ที่อยู่ภายในเอาไว้ เราอยู่กับความขัดแย้งตลอดเวลา เราเลือกที่จะเชื่อ แทนที่การเลือกทำความเข้าใจให้กระจ่าง

    จิตจึงไม่สามารถรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวได้ เพราะแบ่งฟังก์ชันเยอะเกินไป

    มาลองปรับเปลี่ยนทัศนคติในการเข้าใจกันครับ

    การละ ไม่ได้หมายถึง การนำจิตอีกดวง มากดทับจิตอีกดวง แล้วบอกว่า เราอยู่ในความดีงาม

    แต่หมายถึง การดำเนินชีวิตอย่างเต็มที่ โดยไม่ยึดติด และด้วยความเข้าใจ

    ดังคำกล่าว ของหลวงปู่พุทธะอิสระ ที่กล่าวว่า


    "จงใช้สมมติ ยอมรับสมมติ ให้เกียรติกับสมมติ ให้ประโยชน์กับสมมติ รับประโยชน์จากสมมติ และท้ายที่สุด อย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมติ"
     
  4. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    มาให้กำลังกะลังจัยคุณ cell ค่ะ

    พร้อมกับเอารูปครูบาอาจารย์กิริยาโยคะมาฝากค่ะ:cool:

    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  5. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณครับ คุณขจรวรรณ

    ได้อ่านเรื่องราวของครูบาอาจารย์กิริยาโยคะแล้ว
    เห็นถึงความมหัศจรรย์ทางจิตอย่างเหลือล้น
    ท่านทั้งหลายเป็น idol ของผู้แสวงหาทั้งหลายเลยครับ :)


    [​IMG]


    คัดลอกมาจาก โพธิสัตตบูรณา:เทียนแห่งธรรมกับการบูรณาภูมิปัญญาเพื่อการกู้โลก

    main

    บุญเป็นอาหารแห่งจิต
    ดั่งแสงแดดเป็นตัวการปรุงอาหารให้กับต้นไม้
    ส่วนจิตนั้นไร้รูปร่าง เหมือนสุญญากาศ
    และมีพลังอันยิ่งใหญ่แฝงอยู่
    พระพุทธเจ้าเรียกว่า สุญญตา

    วิถีนักรบ คือ วิถีแห่งการล่าพลัง เพราะ นักรบ คือผู้ที่มุ่งหน้าไปหาพลัง และมณฑลแห่งพลัง การเป็น นักรบ หรือไม่ จึงไม่ใช่เรื่องของการอวดอ้างตีขลุม ข้อตัดสินว่าใครเป็น นักรบ หรือไม่ จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจแห่งการแต่งตั้งของผู้ใดทั้งสิ้น แต่อยู่ที่ตัวมณฑลแห่งพลัง เองต่างหาก ใครก็ตามที่เข้าถึงพลังได้ จนตัวเขากลายเป็น มณฑลแห่งพลังได้ เขาผู้นั้นก็คือ นักรบ ไม่ว่าผู้อื่น หรือสังคมจะมองเขาเป็นอื่นก็ตาม

    นักรบ คือ นักล่าผู้ล่าพลัง และเป็นนักล่าที่สมบูรณ์แบบที่สุด ในความหมายที่ตัวเขาจะไม่แปดเปื้อน หลงงมงายอยู่กับวัตถุภายนอก หรือความสำเร็จภายนอกเหมือนนักล่า “ความสำเร็จ” ทั่วไปที่มีอยู่ดาษดื่นในสังคม เพราะ นักรบ จะล่าแต่พลังเท่านั้น และเมื่อใดก็ตามที่ นักรบ ล่าพลังได้สำเร็จ เขาก็จะกลายเป็น ผู้กระจ่าง หรือเป็น โพธิสัตว์ เต็มตัว

    แต่พลังอะไรเล่า? ที่ นักรบ หรือ ผู้กล้า ผู้ปวารณาตัวเดินบนเส้นทางของ โพธิสัตว์มุ่งแสวงหา

    คำตอบของ คุรุ ของเขา ก็คือ ผู้ที่อยู่บนเส้นทางแห่ง โพธิสัตว์ นั้น คนผู้นั้นจะล่า พลังวิเศษ 2 ชนิด ที่ดำรงอยู่ในจักรวาล พลังวิเศษ 2 ชนิดที่ว่านั้น คือ พลังอนันต์ กับ พลังอมตะหรือ พลังบุญ กับ พลังจิต

    อันที่จริง คุรุุได้เคยแนะนำเรื่องพลังวิเศษ ๒ ชนิดนี้ให้แก่เขาตั้งแต่แรกพบเมื่อสิบปีก่อนแล้ว แต่เพราะตัวเขาเองที่ปัญญาไม่แจ่มชัดในตอนนั้นจึงไม่เฉลียวใจเอง เขาหวนรำลึกถึงสิ่งที่คุรุได้กล่าวกับเขาเมื่อแรกพบ ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนอีกครั้ง



    "เธอเป็นคนที่แสวงหาพลังของธรรมชาติและจักรวาล เธอฝึกฝนตนเองมาตั้งนานแล้วเธอได้พบหรือยังว่าอะไรที่เป็นที่พึ่งได้ในโลกนี้ที่หาที่พึ่งได้ยากเหลือเกิน"


    ในตอนนั้น คำตอบของเขาเป็นแค่ “พลังแห่งจิตวิญญาณ” ซึ่ง คุรุ ก็ยังบอกว่าเป็นคำตอบที่ไม่เพียงพอ เพราะท่านบอกกับ “เขา” ว่า

    “เธอเพิ่งได้แค่ขั้นนี้เองหรือ”

    ท่านยังตำหนิ “เขา” ต่อไปอีกด้วยความเมตตาว่า

    “ตัวเธอก็รู้จัก พลังกุณฑาลินี ดีอยู่แล้วนี่นา ฉันจะบอกให้นะ ในโลกนี้มีพลังอยู่ 2 ชนิด คือ พลังอนันต์ กับ พลังอมตะ โดยที่ พลังอมตะ เป็น พลังมหัศจรรย์ที่คล้ายกับพลังงานปรมาณู แต่เป็นพลังปรมาณูของจิต พลังกุณฑาลินี ก็เป็น พลังอมตะอันนี้แหละ”

    บัดนี้หลังจากที่เวลาผ่านไปสิบปีเต็มแล้ว และหลังจากที่ “เขา” เริ่มสามารถที่จะบูรณาหลอมรวมวิชาสายต่างๆ ที่ตัวเขาได้ฝึกฝนมาชั่วชีวิตได้รุดหน้าขึ้นมากแล้ว ตัวเขาก็ได้ค้นพบว่า คำตอบของ “เขา” ในตอนนี้ได้เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน



    และเป็นคำตอบเดียวกับที่ คุรุ ของเขาได้เคยสอน และพร่ำสอนพวกลูกศิษย์ของท่านมาโดยตลอดนั่นเอง เพียงแต่ในตอนนั้นที่ได้ฟังคำตอบนี้จาก คุรุ ของเขา ตัว “เขา” ยังไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้ของคำสอนนี้ในระดับเลือดเนื้อ ไขกระดูก และจิตวิญญาณเหมือนอย่างตอนนี้

    คำตอบที่ว่านั้นก็คือ พลังอนันต์ กับ พลังอมตะ คือ พลังวิเศษ 2 ชนิดที่ “เขา” แสวงหาและจะใช้ พลังวิเศษ 2 ชนิดนี้เป็นที่พึ่งของตัวเขาในโลกนี้จนกว่าจะเข้าสู่พุทธภูมิ และลุถึงนิพพาน



    คุรุของเขาเคยกล่าวไว้ว่า เคล็ดการเข้าถึงพลังวิเศษ ๒ ชนิดนี้ ถือเป็นเคล็ดวิชาขั้นสูงสุดของศาสนาพุทธ และตัวท่านได้ถ่ายทอดเคล็ดนี้ออกมาในข้อเขียนของท่านเรื่อง


    "พลังบุญ พลังจิต" ซึ่งเป็นข้อเขียนที่มีลักษณะอภิปรัชญาที่สุดในบรรดางานเขียนทั้งหมดของท่าน มิหนำซ้ำ ท่านยังบอกให้ลูกศิษย์ของท่านอ่านและศึกษาข้อเขียนชิ้นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกว่าจะตีความความหมายที่แฝงเร้นเอาไว้ในข้อเขียนชิ้นนี้ออกมาให้จงได้

    “เขา” ต้องใช้เวลาหลายปีหลังจากนั้นทีเดียว กว่าที่ตัวเขาจะเริ่ม “ตาสว่าง” และเข้าใจความหมายที่แฝงเร้นอันเป็น “ความลับของฟ้า” ที่ซ่อนเร้นอยู่ในข้อเขียนชิ้นนี้ได้ อันที่จริง การที่ตัวเขาเริ่มตาสว่างและเข้าใจความหมายที่แฝงเร้นนี้ได้ มันก็ไม่เกี่ยวกับความสามารถของตัวเขาแต่อย่างใดเลย แต่เป็นเพราะความเมตตาหรือพรอันประเสริฐ (grace) จากพระมหาโพธิสัตว์ที่ตัวเขาได้รับโดยแท้ จึงทำให้อยู่ดีๆ ในวันวิสาขบูชาของปีหนึ่ง ขณะที่ตัวเขากำลังนั่งสมาธิเจริญภาวนาอยู่ ฉับพลันเขาก็มีปัญญาที่แจ่มชัดขึ้นมา จนสามารถเข้าใจความหมายที่แฝงเร้นอยู่ในข้อเขียนชิ้นนี้ของ คุรุ ของเขาได้

    * * *

    ความหมายอันแฝงเร้นที่เป็น “ความลับของฟ้า” ที่ตัวเขาเชื่อ และเป็นความเห็นส่วนตัวของตัวเขาเองว่ามันแฝงเร้นอยู่ในข้อเขียนชิ้นนี้ มีดังต่อไปนี้

    (1) พระพุทธเจ้าหลังจากเสด็จปรินิพพานไปแล้วทรงมี ธรรมกาย ซึ่งก็เป็น ธรรมจิต (Spirit) ด้วย ธรรมกาย มิได้หมายถึงพระธรรมคำสั่งสอนที่เป็นความจริงเท่านั้น แต่รวมถึงพุทธคุณที่แผ่ซ่านแทรกซึมไปทั่ว ทั้งในธรรมชาติและในจิตของมนุษย์โดยเป็น “ครูผู้มีใจอารี” ที่ดำรงอยู่ในดวงใจของคนทุกคน แต่ทุกคนต้อง ปลุก ขึ้นมาให้มาสอนตัวเองแต่ละคน เพื่อให้หยั่งถึงความรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์

    (2) ผู้ที่สามารถเข้าถึง พลังอมตะ หรือ พลังจิต ได้ จะมี ธรรมกาย หรือเป็น ธรรมกาย ผู้นั้นจะเรียกตนเองว่า

    “เรา คือ โลก โลก คือ เรา
    จิต คือ โลก โลก คือ จิต
    จิต คือ เรา เรา คือ โลก”

    โดยที่ จิต ในคำพูดข้างต้นคือ ธรรมจิต (Spirit) ซึ่งเป็น ธรรมกาย ด้วย

    (3) จักรวาฬทัศน์ของโพธิสัตว์ จะมองว่า จักรวาฬนี้คือ วิวัฒนาการของธรรมจิต (Spirit) โดยที่ตัวจักรวาฬเอง มีวิวัฒนาการจาก วัตถุธาตุ ไปสู่ ชีวิต ไปสู่ จิตใจ ไปสู่ วิญญาณ (soul) เพื่อเข้าถึง ธรรมจิต ที่เป็นปลายทาง หรือระดับสูงสุดของวิวัฒนาการของจักรวาฬ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นกระบวนการทั้งหมดของจักรวาฬด้วย

    ธรรมจิต จึงเป็นสิ่งที่ เหนือโลก นี้อย่างสิ้นเชิง แต่ในขณะเดียวกัน ธรรมจิต ก็โอบอุ้ม ครอบคลุมทุกสรรพสิ่ง สรรพชีวิตในโลกนี้อย่างสิ้นเชิงด้วย



    ธรรมจิต ชำแรกแทรกซึมไปในทุกสรรพสิ่งที่ปรากฏออกมาเป็นรูปลักษณ์ ธรรมจิตยังเป็นสิ่งที่ "ดำรงอยู่เสมอ" ในทุกๆระดับชั้นและทุกๆมิติของจักรวาล โดยที่มิได้จำกัดตัวเองแค่ระดับชั้นใดระดับชั้นหนึ่ง หรือแค่มิติใดมิติหนึ่งของจักรวาล


    เพราะธรรมจิต "ข้ามพ้น" ทั้งหมด และ "ครอบคลุม" ทั้งหมดในฐานะที่ตัวมันเองเป็นสุญญตาของสิ่งที่ปรากฏเป็นรูปลักษณ์ทั้งปวง

    ความรู้แจ้งของโพธิสัตว์ จึงมิใช่สิ่งใดอื่น นอกไปจากการ “ตื่น” ขึ้นของ ธรรมจิต ที่ดำรงอยู่เสมอมาในตนเองอยู่แล้ว โดยตื่นขึ้นมาตระหนักรู้อย่างกระจ่างแจ้งในธรรมชาติที่แท้จริงของตนเองเท่านั้น

    (4)วิชาลม 7 ฐาน อันเป็น วิชาสูงสุดของโพธิสัตว์ คือ วิชาที่สามารถทำให้ผู้นั้นเข้าถึง พลังอมตะ หรือ พลังจิต นี้ได้ วิชาลม 7 ฐาน นี้เป็นวิชาหนึ่ง พระศาสดา ทรงถ่ายทอดให้ พระมหากัสสปะ และเป็นวิชาเดียวที่พระองค์ทรงยอมรับว่า “กัสสปะ เธอมีธรรมอันเสมอเรา” พระมหากัสสปะ เป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธองค์ว่า เป็นเลิศในทางปฏิบัติ และเป็นผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยพระองค์

    (5) พระมหากัสสปะ เป็นปฐมพระสังฆปริณายกของ สำนักธยานะ (หรือสำนัก เซน) ที่สืบทอดจากอินเดียไปสู่จีน โดยพระสังฆปริณายก รุ่นที่ 28 คือ พระโพธิธรรม (ตั๊กม้อ) ที่มาจำวัดอยู่ที่วัดเส้าหลิน และถ่ายทอด สมาธิลมปราณชำระกระดูก (ลมปราณล้างไขกระดูก) ให้แก่ศิษย์วัดเส้าหลิน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ แนวทางปฏิบัติแบบสำนักเซนสายตั๊กม้อ นั้น จะต้องมีการฝึก วิชาลมปราณชำระกระดูก ซึ่งเป็น วิชาหลักของวิชาลม 7 ฐาน ด้วย

    (6)วิชาลม 7 ฐาน ในสายธยานะ (เซน) ของพระมหากัสสปะ ไม่ค่อยปรากฏในตำราเล่มใดๆ และก็ไม่ปรากฏในคำสอนของพระศาสดา หรือคำสอนของเกจิอาจารย์องค์ไหนๆ เหตุผลก็เพราะ วิชาลม 7 ฐานนี้เป็นเรื่องของการถ่ายทอดกันจากจิตสู่จิต วิญญาณสู่วิญญาณ กายสู่กายในสายของโพธิสัตว์ อันเป็นเอกลักษณ์ในการถ่ายทอดของสายธยานะ (เซน) อย่างตัว “เขา” เอง ตอนได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชาลม 7 ฐานจาก คุรุ ของเขาแบบกายสู่กาย และจิตสู่จิตก็กระทำกันที่ถ้ำไก่หล่น ในช่วงต้นเดือนธันวาคม พ.ศ. 2540 ส่วนการถ่ายทอดจากวิญญาณสู่วิญญาณนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 2 เดือนมกราคม พ.ศ. 2542 ขณะที่ “เขา” กำลังนั่งเจริญภาวนาอยู่ในถ้ำไก่หล่นใต้ปล่องอากาศแล้วมี “ประสบการณ์ทางวิญญาณ” กับวิชาลม 7 ฐาน ที่นั่น

    (7) เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะศึกษา วิชาลม 7 ฐาน ผู้นั้นก็ต้องทำให้กายศักดิ์สิทธิ์ จิตศักดิ์สิทธิ์ และเกิดธรรมศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เมื่อคนผู้นั้นคิดจะศึกษาวิชาลม 7 ฐานของพระโพธิสัตว์ คนผู้นั้นก็ต้องมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตนเอง ทั้งกาย จิต และกระบวนการเรียนรู้คือ ธรรมะให้เกิด กระบวนการสามศักดิ์สิทธิ์ ขึ้นมาเสียก่อน

    (8) อันที่จริง เคล็ดวิธีในการเข้าถึง กระบวนการสามศักดิ์สิทธิ์ นี้ โดยตัวมันเองก็เป็นเรื่องยากที่จะถ่ายทอดอยู่แล้ว นอกจากคนผู้นั้นจะต้องฝึก พลังวิเศษ นี้ด้วยตนเองเท่านั้น หากผู้ใดคิดจะ ฝึกพลัง ก็ต้องมีความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า พลังในกายทวาร ของคนเรานั้น มีทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกันคือ พลังทางเพศ (พลังกายหรือจิง) พลังปราณ (ชี่) และพลังจิต (เสิน) หรือ พลังจิตวิญญาณ หรือ พลังอมตะ ในนิยามของ คุรุ) ผู้ใดก็ตามที่สามารถ รวมพลัง ตามเคล็ด “จิตรวมกาย กายรวมพลัง (ปราณ) พลัง (ปราณ) รวมจิตเป็นหนึ่งเดียว” ได้



    คนผู้นั้นคือผู้ที่จะเข้าถึงสามศักดิ์สิทธิ์ คือ กายศักดิ์สิทธิ์ จิตศักดิ์สิทธิ์ และธรรมศักดิ์สิทธิ์ได้ และจะเป็นผู้ที่สามารถเปิดประตูแห่งวิโมกข์ หรือวิมุติได้ในที่สุด

    เพราะฉะนั้น เมื่อ คุรุ สอนการทำสมาธิแบบพระโพธิสัตว์ หรือแบบวิชาลม 7 ฐาน ท่านจึงไม่ได้ให้บริกรรมพุทโธ เพราะท่านคิดว่า เป็นวิธีที่เนิ่นช้า และไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้นั้นต้องการในขณะนั้น ผู้นั้นทำสมาธิก็เพราะต้องการความสงบ แต่กลับไปพูดกับพระพุทธเจ้า ภาวนาหาพระพุทธเจ้า ผู้นั้นต้องการสันติสุข กลับไปนึกถึงพระธรรม วิธีแบบนี้ท่านเห็นว่า เป็นวิธีที่เนิ่นช้าในการทำให้เกิดสมาธิ เพราะสมาธิเป็นเรื่องที่ผู้นั้นจะต้องสลัดตัดให้หลุด ฉุดตัวเองให้ขึ้นมาจากกองขยะทางความคิด และอารมณ์ที่เหลวแหลก พระพุทธเจ้าช่วยไม่ได้ พระธรรมก็ช่วยไม่ได้ พระสงฆ์ก็ช่วยไม่ได้ ผู้นั้นต้องช่วยตัวเองเท่านั้น



    สมาธิจึงเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นโลกส่วนตัว เป็นกระบวนการส่วนตัวของคนผู้นั้น ที่ต้องเริ่มจากการปลุก “ครูผู้มีใจอารี” ของตัวเองขึ้นมาสอนตัว ให้สามารถรักษาสมดุลของชีวิต รักษาความเป็นอิสระของตัวเองได้ หากทำได้เช่นนี้แล้ว หลับตาก็เป็นสมาธิ ลืมตาก็เป็นสมาธิ เดินอยู่ นั่งอยู่ ยืนอยู่ก็เป็นสมาธิ


     
  6. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ประสบการณ์ การตื่นขึ้น ที่โกปิ กฤษณะได้บรรยายไว้ในหนังสือของท่าน

    คัดลอกจาก หนังสือยอดคนมหาโยคะ (
    Blog ���зӡ���Ǻ����������ŧҹ�ͧ ��.���Թ�� �ó���� �������ҹ�ѹ��Ѻ)

    ยิ่งเชื้อเพลิงมีคุณภาพดีเท่าไหร่
    ก็จะยิ่งทำให้แสงเพลิงโชติช่วง สว่างมากขึ้นเพียงนั้น
    ไฟมีพลังอำนาจในการให้แสงสว่างตามธรรมชาติของมัน
    ฉันใดก็ฉันนั้น...ไฟปัญญาของผู้บำเพ็ญโยคะก็เช่นกัน
    เธอจะต้องหมั่นเติมเชื้อเพลิงแห่งการสละกิเลส
    เชื้อเพลิงแห่งความสงบสุข
    เชื้อเพลิงแห่งสัจธรรม เชื้อเพลิงแห่งความกรุณา
    เชื้อเพลิงแห่งขันติ และเชื้อเพลิงแห่งกุศลกรรมอยู่เสมอ
    ยิ่งเธอปฏิบัติเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด
    การบำเพ็ญโยคะของเธอก็จะยิ่งมีผลดีมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

    [​IMG]

    [​IMG]


    การตื่นขึ้นของพลังกุณฑาลินี



    โกปิกฤษณะเกิดที่แคชเมียร์ประเทศอินเดียในปีค.ศ.1903 ครอบครัวเขามีฐานะปานกลางก็จริงแต่ก็เป็นครอบครัวของบัณฑิตภายหลังจากที่บิดาของเขาละทิ้งเรื่องราวทางโลกออกบวชแล้วมารดาของเขาก็ทุ่มเทความรักและความหวังทั้งมวลของนางไปที่ตัวเขาคนเดียว

    เมื่อเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเขาเกิดไปหลงใหลกับการอ่านวรรณกรรมอย่างงมงายลืมตัวทำให้สอบเข้าเรียนวิชาหลักขั้นสูงไม่ได้เขาจึงเลิกคิดไต่เต้าทะเยอทะยานในทางโลกหันมาใช้ชีวิตอย่างสงบแบบสามัญชนทุ่มเทให้กับการฝึกสมาธิทุกวันเป็นเวลาถึงสิบเจ็ดปีเต็ม


    จนกระทั่งเมื่อเขามีอายุได้ 34 ปีเขาก็เริ่มมีประสบการณ์ของการตื่นของพลังกุณฑาลินีและได้มีประสบการณ์โดยตรงเกี่ยวกับ “จักรวาลก็คือตัวเราและ มีจักรวาลยิ่งใหญ่อยู่ในตัวเรา” แต่ตอนนั้นเขายังปกปิดประสบการณ์อันนี้ของเขาไว้เป็นความลับและใช้ชีวิตข้าราชการชั้นผู้น้อยอยู่เช่นเดิมแต่เพลิงของกุณฑาลินียังคงลุกโชนอยู่ในตัวเขาตลอดเวลาโดยที่คนภายนอกไม่อาจสัมผัสได้


    ขณะที่ตัวเขารู้ดีว่าสมองของเขาและอวัยวะต่างๆภายในตัวเขากำลังถูก “ยกเครื่องใหม่” อย่างช้าๆอย่างค่อยเป็นค่อยไปขอบเขตของจิตสำนึกของเขาค่อยๆขยายใหญ่กว้างขึ้นดวงตาของเขาเริ่มมองเห็นในสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจแลเห็นได้


    ครั้นพอตัวเขามีอายุได้ 46 ปีเต็มอยู่ดีๆตัวเขาก็มีความสามารถในการเป็นกวีและมีพลังมหาศาลในการผลิตผลงานที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเฉยๆอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย


    กปิตัดสินใจลาออกจากราชการในปี..1950 ทั้งๆที่ฐานะการเงินของเขาย่ำแย่ลงแต่ตัวเขากลับดื่มด่ำอยู่กับภาวะ “บรมสุข”และเขียนบทกวีออกมามากมายซึ่งตัวเขาบอกว่าเป็นบทกวีที่ได้รับการเปิดเผยจากสวรรค์ทั้งสิ้น


    ครั้นเมื่อเข้าสู่ทศวรรษที่ 1960 สภาพความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้นตัวเขาได้ทุ่มเทพลังของเขาให้กับงานเขียนหนังสือและงานสังคม


    สงเคราะห์เขากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงไปทั่วอินเดียในปีค.ศ.1967 เขาได้ตีพิมพ์หนังสือ “กุณฑาลินี” ที่บันทึกประสบการณ์ในการตื่นของพลังกุณฑาลินีในตัวเขาออกมาพร้อมกันนั้นก็ได้ก่อตั้งสถาบันค้นคว้าพลังกุณฑาลินีขึ้นมาด้วยหนังสือเล่มนี้ของเขาเป็นที่ฮือฮามากในโลกตะวันตกไม่เพียงแต่คนอ่านทั่วไปเท่านั้นนักจิตวิทยานักปรัชญาแพทย์นักสรีระวิทยาต่างก็ให้ความสนใจกับหนังสือเล่มนี้ของเขาเป็นอย่างมาก


    ตลอดทศวรรษที่ 1970 โกปิกฤษณะได้เขียนหนังสือออกมาอีก 12 เล่มโดยสี่เล่มตีพิมพ์ออกมาในปี 1979

    เมื่อคำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าขณะนั้นโกปิกฤษณะมีอายุเจ็ดสิบกว่าปีแล้วเราจะพบว่ามันเป็นปรากฏการณ์ที่น่าทึ่งมากเลยเพราะถ้าเป็นคนธรรมดาในวัยนี้ก็ต้องถือว่าเป็นวัยเกษียณอายุแล้วยุติกิจกรรมที่สร้างสรรค์วางมือจากการทำงานกันไปแล้วแต่ตัวโกปิกฤษณะกลับมีผลงานที่สร้างสรรค์มากกว่าในวัยหนุ่มเสียอีกและดำเนินกิจกรรมทางปัญญาอย่างคึกคักเดินทางไปพูดตามที่ต่างๆทั่วโลกสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมากสิ่งนี้ย่อมเป็นผลมาจากพลังกุณฑาลินีที่ตื่นแล้วในตัวเขาโดยแท้


    งานเขียนของโกปิกฤษณะส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์ในการตื่นของพลังกุณฑาลินีทั้งสิ้นหนังสือ “กุณฑาลินี” ของโกปิกฤษณะจึงมีความหมายมากสำหรับผู้สนใจวิชาโยคะในแง่ที่ว่าเมื่อพลังกุณฑาลินีตื่นขึ้นแล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและจิตใจแก่คนผู้นั้นอย่างไรบ้าง? และจะมีความหมายต่อสังคมสมัยใหม่อย่างไรบ้าง? พลังกุณฑาลินีคืออะไร?


    ถ้าให้ตอบสั้นๆก็คงตอบได้ว่าพลังกุณฑาลินีคือ แหล่งสะสมพลัง งานที่เป็นพลังชีวิตหรือพลังจักรวาลจำนวนมหาศาลภายในตัวมนุษย์ และเป็น ทวารนำมนุษย์ผู้นั้นไปสู่มิติที่สูงส่งทางจิตวิญญาณที่ข้ามพ้นกาลเวลาและสถานที่ อีกทั้งยังเป็นปัจจัยที่กระตุ้นวิวัฒนาการความเป็นมนุษย์ของบุคคลผู้นั้นให้ รุดหน้าไปอย่างรวดเร็วยิ่ง

    จากประโยคข้างต้น จะเห็นว่า พลังงานกุณฑาลิณี ตื่นขึ้นมา เมื่ออายุ 34 ปี และมีการเปลี่ยนแปลงทางด้านร่างกาย และจิตใจมากมาย จนอายุ 46 ปี เค้าผลิตผลงานสร้างสรรค์ออกมามากมาย

    และผลงานตอนอายุ 70 ปี กลับผลิตผลงานออกมาอย่างมากมาย ยิ่งกว่าตอนหนุ่มๆเสียอีก

    ประโยคเหล่านี้ ทำให้เห็นอะไร ??

    มันคือการทำงานของพลังงานกุณฑาลิณี ที่แปลงพลังงานจากกายที่รับมาจากภายนอก เช่น อาหาร อากาศ เป็นต้น รวมกับลมปราณภายใน และแปลงเป็นเสิน คือ พลังแห่งการคิดรู้ ที่มาจากแรงบันดาลใจ

    ดังข้อความที่กล่าวในโพสข้างต้น ข้อ 8

    (8) อันที่จริง เคล็ดวิธีในการเข้าถึง กระบวนการสามศักดิ์สิทธิ์ นี้ โดยตัวมันเองก็เป็นเรื่องยากที่จะถ่ายทอดอยู่แล้ว นอกจากคนผู้นั้นจะต้องฝึก พลังวิเศษ นี้ด้วยตนเองเท่านั้น หากผู้ใดคิดจะ ฝึกพลัง ก็ต้องมีความเข้าใจในเบื้องต้นก่อนว่า พลังในกายทวาร ของคนเรานั้น มีทั้งหมด 3 ชนิดด้วยกันคือ พลังทางเพศ (พลังกายหรือจิง) พลังปราณ (ชี่) และพลังจิต (เสิน) หรือ พลังจิตวิญญาณ หรือ พลังอมตะ ในนิยามของ คุรุ) ผู้ใดก็ตามที่สามารถ รวมพลัง ตามเคล็ด “จิตรวมกาย กายรวมพลัง (ปราณ) พลัง (ปราณ) รวมจิตเป็นหนึ่งเดียว” ได้

    แล้วเราจะมาบริหาร พลังงานแห่งชีวิต ภายในกายเราได้อย่างไร

    (ถึงแม้ประตูของมูลดาระ ยังไม่เปิดออกมา แต่เราสามารถนำพลังแห่งชีวิต ที่มีอยู่แล้ว ที่อยู่ในลมหายใจ มาใช้ได้ จนเมื่อทุกอย่างพร้อม และลงตัว ประตูบานดังกล่าว จะเปิดขึ้นมาเอง)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤษภาคม 2011
  7. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    เคล็ด ที่ปรมาจารย์เล่าจื้อ ได้กล่าวไว้ ถึงการแปลงพลังงานทางเพศ ให้เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ ในการชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย และช่วยกระตุ้นการทำงานของสมองให้มีประสิทธิภาพ

    ดังที่คุณ agelesstansy ได้กล่าวไว้ จากประสบการณ์ของเค้า

    ที่นำพลังงานแห่งชีวิตนี้ มาฟื้นฟูการทำงานของสมอง และร่างกาย ให้หายจากโรคย้ำคิดย้ำทำ โรคกระดูกสันหลังคดงอ และทำให้เซลล์ในร่างกายฟื้นฟูขึ้นมา ถึงจะอายุมากแล้ว แต่ร่างกายก็ยังฟิตอยู่ :)

    มาลองอ่าน และทำความเข้าใจดูนะครับ


    [​IMG]

    อีกตัวอย่างหนึ่งของการ "แกล้งโง่" ของนักปรัชญาจีน (แทนที่จะทำตัว intellectual แบบนักปรัชญาตะวันตก) ก็คือ Dao De Jing ที่ปรมาจารย์เล่าจื้อเขียนไว้

    นี่เป็นการตีความบทที่ 3 ของ Dao De Jing ที่เราตีความ แบบ "ถอดรหัส" ที่บ่งบอกถึงการที่นักปรัชญาจีน "แกล้งโง่" แทนที่จะพยายามอวดฉลาดแบบนักปรัชญาตะวันตก เราเขียนไว้ใน blog เก่าเรา และลบทิ้งไปแล้ว

    เราจะค่อยๆเอามาแปะให้อ่านกันดูเล่นๆ

    เพื่อให้เห็นว่า "ทำไมเราจึงหลงไหลปรัชญาจีน แต่กลับไม่ค่อยสนใจปรัชญาตะวันตก"

    การแปล Dao De Jing บทที่3 (โดยการถอดรหัส)

    นี่ เป็นคำแปล คำสอนของปรมาจารย์เล่าจื๊อใน Dao De Jing (บทที่ 3) จากภาษาจีน มาเป็นภาษาอังกฤษ โดย Dr.James Legge (Oxford University)

    3

    Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves;

    not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves;

    not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder.

    Therefore the sage, in the exercise of his government, empties their minds, fills their bellies, weakens their wills, and strengthens their bones.

    He constantly (tries to) keep them without knowledge and without desire, and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it).

    When there is this abstinence from action, good order is universal.

    ทั้ง บัณฑิตจีนและฝรั่งแปล Dao De Jing ออกมาหลาย versions ด้วยกัน ของคนไทยที่แปลออกมาได้ไพเราะก็มีของ คุณพจนา จันทรสันติ กับของ ด.ร. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์

    บทที่ 3 ที่เอามาแปะไว้นี้ คัดมาจากของอาจารย์ฉัตรสุมาลย์ (ซึ่งดูเหมือนว่าจะแปลจากภาษาอังกฤษของ Dr.James Legge) ท่านอาจารย์ฉัตรสุมาลย์ตีความแบบผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาเปรียบเทียบ แต่เดี๋ยวจะบอกให้ว่า ข้าพเจ้าตีความไว้อย่างไร.......

    บทที่ 3:
    Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves;
    อย่าแต่งตั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ ประชาชนจะได้ไม่เกิดความริษยาแก่งแย่ง

    not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves;
    อย่าตีราคาสมบัติที่หาได้ยาก ประชาชนจะได้ไม่ลักขโมย

    not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder.
    อย่านำเอาทรัพย์สมบัติที่ต้องตาต้องใจออกมาอวด ประชาชนจะได้ไม่มีจิตใจเป็นกังวล

    Therefore the sage, in the exercise of his government,
    ดังนั้นเมื่อมุนีปกครองบ้านเมือง

    empties their minds,
    เขาจะทำใจให้ว่าง

    fills their bellies,
    ทำให้ท้องอิ่ม

    weakens their wills,
    ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง

    and strengthens their bones.
    ให้มีร่างกายแข็งแรง

    He constantly (tries to) keep them without knowledge and without desire,
    เลื้ยงดูให้ประชาชนปราศจากความรู้และความอดอยาก

    and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it).
    ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือทำการใดๆ

    When there is this abstinence from action, good order is universal.
    เมื่อปฏิบัติโดยไม่มีการกระทำเช่นนี้ ทุกสิ่งก็จะอยู่ในระเบียบ

    นั่นคือการตีความโดย ดร.ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาเปรียบเทียบ


    ต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอตีความบนที่ 3 ของ Dao De Jing ในฐานะผู้ที่ฝักใฝ่ในวรยุทธ์ของ Wu Dang (เขียนจีนกลางแบบ pinyin (หวังว่ามั่วถูกนะ ...555+++)...ถ้าอ่านแบบแต้จิ๋วก็คือ “(สำนัก)บู๊ตึง" นั่นเอง)

    แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณ Dr. James Legge ที่แปล Dao De Jing เอาไว้ได้อย่างซื่อสัตย์ต่อต้นฉบับจริงๆจนทำให้ข้าพเจ้าพอมองเห็นหนทางได้ ว่าปรมาจารย์เล่าจื้อพูดว่าอะไร และทำไมนักพรตเต๋าหลายท่านจึง "อ้างว่า" วิชากำลังภายในของ Wu Dang แท้จริงแล้วคิดขึ้นมาได้โดยการตีความ Dao De Jing โดยการ "ถอดรหัส"

    ช่วงแรกๆ คือ
    Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves; not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves; not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder.

    น่า จะตีความโดยสรุปได้ว่า "ให้ละกิเลศ เลิกการยึดมั่นถือมั่น และ "...จะได้ไม่มีจิตใจเป็นกังวล..." หมายถึง " ต้องทำสมองให้ว่าง ทำจิตให้สงบ"

    ทีนี้เรามาดู
    Therefore the sage, in the exercise of his government, empties their minds, fills their bellies, weakens their wills, and strengthens their bones.

    เริ่มน่าสนใจมากยิ่งขึ้นตรง ".......in the exercise of his government...." หรือ"....ปกครองบ้านเมือง....????"

    ถ้อยคำเหล่านี้เล่าจื้อ "ใส่รหัส" เอาไว้ เพราะไม่อยากให้ผู้คนหลายคนตีความได้ ......จริงๆแล้วข้าพเจ้าตีความมันว่า

    "Du Mai = the governing channel (governing = ปกครอง) คือเส้นลมปราณด้านหลังในและตามแนวกระดูกสันหลังนั่นเอง

    ดังนั้นจึงต้องตีความ ต่อไปว่า เขาจะทำใจให้ว่าง = ตั้งสมาธิ ทำให้ท้องอิ่ม = จริงๆแล้ว (ท้องผู้ฝึก) อิ่มด้วยลมปราณ (ไม่ใช่หมายถึงทำให้ประชาชนอิ่มท้องหรือมีกินก่อนปกครอง...คือจะตีความเช่น นั้นก็ไม่ผิดหลักจริยธรรมหรือรัฐศาสตร์ แต่ก็จะไม่ได้วิชากำลังภายในไป....!!!)

    นั่นก็คือหายใจลึกจนลมปราณ ลงไปอยู่ที่ท้องส่วนล่างจนเกิดแรงขับเคลื่อนพลังให้ "ปกครองบ้านเมือง = ให้ขับเคลื่อนพลังเข้าไปใน Du Mai" นั่นเอง

    หมายเหตุ: คำว่า Du Mai เป็นศัพท์ในสายจีน แต่ในสายอินเดีย (Tantra) เขาเรียก Du Mai ว่า Kundalini (มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า "งู" เป็น serpentine force มีลักษณะแบบ spiral คือเป็นเกลียว)


    ช่วงต่อไป "weakens their wills" คือ "ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง" คือเมื่อพลังไปสู่ Bai Hui(จุดกลางกระหม่อม) แล้ว gravitational force (แรงโน้มถ่วง) ก็จะส่งพลังลงมาตามเส้นทางเดินเส้นกลางด้านหน้า (คือ Ren Mai = the channel of function) เอง

    "keep them without knowledge" "ปราศจากความรู้" หมายถึง block all the five senses = ปิดกั้นการรับรู้ทั้ง 5 คือภาพ, เสียง, กลิ่น, รส, และสัมผัส....

    ".....and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it)."
    "ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือ"

    ต้องตีความว่า Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care of.

    คือ จงปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยการไม่ทำอะไร (การกระทำโดยไม่กระทำ) ทุกสรรพสิ่งก็จะถูกกระทำไปเองและจะได้รับการดูแลจากเต๋าหรือมรรควิถีนั่นเอง .....

    นั่นก็คือ ปล่อยให้พลังถูกแรงโน้มถ่วงนำมันลงมาตาม Ren Mai คือเส้นกลางด้านหน้าเอง....โดยไม่ไปบังคับมัน...

    ดังนั้นในช่วงเกือบๆจะสุดท้ายของบทนี้จึงมักจะมีคำ พูดว่า "ทำการ" และ "การกระทำ" แท้จริงมันก็คื Ren Mai หรือ the channel of function ซึ่งเป็นเส้นลมปราณเส้นกลางด้านหน้านั่นเอง (function = ปฏิบัติการ, ทำการ, การกระทำ" )

    ในภาษาอังกฤษหลายๆ versions เขามักจะใช้คำว่า non-action action ซึ่งคุณพจนา จันทรสันติ แปลเป็นไทยเอาไว้ว่า "การกระทำโดยไม่กระทำ"

    .......ส่วน "weakens their wills" หรือ "ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง" คือ เมื่อพลังไปจนถึงจุดสูงสุด (Bai Hui) แล้ว มันก็ต้องไหลลงมาเอง "ทุกสิ่งก็จะอยู่ในระเบียบ = The Order of the Universe is achieved = ระเบียบแห่งจักรวาลก็คือเต๋านั่นเอง.....

    Ren Mai หรือ the channel of function ซึ่งเป็นเส้นลมปราณเส้นกลางด้านหน้า นักพรตเต๋าถือว่าเป็น "สายดิน"

    แต่สายอินเดียไม่มีสายดินข้างหน้าที่ใช้ลดแรงดันของพลัง (ในกรณีระบบประสาทยังรับพลังไม่ได้ อาจมีปัญหา)

    หาก แต่จะเจาะทะลวงให้ผ่านจุดกลางกระหม่อม เพราะสายอินเดีย (ฮินดู) เชื่อกันว่า ตรง Hui Yin (สายอินเดียเรียกจุดนี้ว่า Muladhara) มี Shakti (หรือ Sakti ภาษาไทยคงเป็น ศักติ คือ "ภรรยา"...จริงๆแล้ว "Shakti" คือ "เจ้าแม่กาลี" นั่นเอง)อยู่ที่จุดนี้ และที่ Bai Hui (สายอินเดียเรียกจุดนี้ว่า Sahasrara) มี Shiva (คือ "พระศิวะ")อยู่ที่จุดนี้

    และ Kundalini ซึ่งเป็นพลังเป็นเกลียวเหมือนงู ก็จะเป็นเสมือนหนึ่งว่า Shakti ไปหา Shiva เพื่อผสานกันเป็นหนึ่ง เพราะว่าเป็นคู่ครองกัน

    การฝึกสายอินเดียนับว่าอันตรายมากๆ เพราะว่าถ้าระบบประสาทในสมองยังรับพลัง Kundalini ไม่ได้ผู้ฝึกจะมีปัญหาทางจิตอย่างรุนแรง

    Kundalini นี้เปรียบเสมือน serpent ใน The Garden of Eden และการที่ Adam กิน apple เข้าไป เปรียบเสมือนการปลุกพลัง Kundalini เร็วเกินกำหนด เร็วเกินกว่าที่ระบบประสาทของผู้ฝึกจะรับได้.......

    พวกที่อ่านหนังสือกำลังภายในหลายๆท่านคงเคยได้ยินคำว่า "ไฟธาตุเข้าแทรก" ......มันอาจเป็นการปลุกพลัง Kundalini เร็วเกินกำหนดก็ได้

    ดังนั้นในบทที่ 3 ของ Dao De Jing เมื่อปรมาจารย์เล่าจื้อพูดถึงเรื่อง "การปกครอง" แท้จริงแล้วท่านพูดถึงพลัง Kundalini นี้เอง

    แท้จริงแล้วในบทที่ 3 นี้ปรมาจารย์เล่าจื้อสอนวิธีการโคจรลมปราณรอบ Microcosmic Orbit โดยมีหลักการสำคัญดังต่อไปนี้

    ตัดกิเลศ
    ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งมีค่าใดๆ ....นั่นก็คือสมัยโบราณคนจะฝึกวิชานี้ได้ต้องละทิ้งสมบัติพัสถานไปจำศีลอยู่บนภูเขา

    ทำสมาธิ ทำจิตให้สงบ

    หายใจ ลึกๆให้ลมปราณไปรวมตัวที่จุด dantian (อ่านว่า "ตานเถียน" แปลว่าทุ่งนาที่ใช้เพาะปลูกยาอายุวัฒนะ) จุดนี้นักวรยุทธ์บางท่านก็บอกว่าอยู่ใต้สะดือ 1.3 นิ้ว บางท่านก็บอกว่าอยู่ที่สะดือเลยก็มี

    กำหนดลมปราณเพื่อกระตุ้นไฟธาตุในร่าง

    ไฟ ธาตุในร่างจะขับเคลื่อนพลังหลังเกิด (ลมปราณที่หายใจเข้ามา) กับพลังก่อนเกิด (sexual energy (พลังที่ใช้สืบพันธ์) ที่ได้มาจากบิดามารดา)

    The union of heaven and earth (การผสานกันของลมปราณหลังเกิดกับ sexual energy ณ จุด dantian) ให้เป็นพลังขับเคลื่อนไป จาก dantian ทะลุไปที่ Hui Yin (perineum หรือ ฝีเย็บ)

    แล้วเจาะทะลวงเข้ากระดูกสันหลังพุ่งขึ้นผ่านจุด Ming Men (จุดที่อยู่ระหว่างไต) ผ่านแกนกระดูกสันหลัง จนขึ้นไปถึงจุด Bai Hui (จุดกลางกระหม่อม) คือปล่อยให้พลังเคลื่อนขึ้นไปเอง "โดยไม่บังคับมัน"

    คำแปลบาง versions เขาว่า "ปกครองโดยไม่ปกครอง" หรือ "ปกครองโดยไม่กดขี่" คือแค่ be mindful of it but do not force it


    คือแค่มีสติว่ามีพลังนี้โคจรไป แต่ต้องไม่บังคับมัน ..... และเมื่อพลังพุ่งไปถึงจุดสูงสุดบนกลางกระหม่อมแล้วก็ให้ปล่อยให้มันไหลลงมา ข้างล่างเอง โดยไม่ไปบังคับมัน ซึ่งเท่ากับ "การกระทำโดยไม่กระทำ"

    จน พลังมันกลับไปที่จุดเริ่มต้นจนครบวงโคจรของมันที่เราเรียกว่า วงโคจรนี้เราเรียกว่า Microcosmic Orbit (ที่ใช้ศัพท์นี้ก็เพราะว่านักพรตเต๋าเชื่อว่าร่างกายมนุษย์เป็นจักรวาลที่ ย่อส่วนมา)

    บางทีพวกซามูไรที่ฝึกตามแนวคิดของเซนโดยอาศัยการปรับ เปลี่ยน posture (ท่าทาง, อิริยาบท, การเคลื่อน ไหวตัว) ให้ be in harmony with the universal force = ให้ผสมผสานกลมกลืนกับพลังของจักรวาล

    ถึง แม้ผู้ฝึกจะไม่รู้จักว่าหน้าตา Microcosmic Orbit เป็นอย่างไร แต่ก็ยังบรรลุเป้าหมายในการขับเคลื่อนพลังรอบ Microcosmic Orbit ได้เช่นกัน

    ซึ่งอาจฝึกได้ง่ายกว่าเสียด้วย "เนื่องจากกลายเป็น "....เลื้ยงดูให้ประชาชนปราศจากความรู้...." = block all the five senses = ปิดกั้นการรับรู้ทั้ง 5 คือภาพ, เสียง, กลิ่น, รส, และสัมผัส...จนกระทั่ง "ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือ" = Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care of.

    คือ จงปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยการไม่ทำอะไร (การกระทำโดยไม่กระทำ) ทุกสรรพสิ่งก็จะถูกกระทำไปเองและได้รับการดูแลจากเต๋าหรือมรรควิถีนั่นเอง .....

    สรุปประเด็นสำคัญก็คือ พลังที่โคจรใน Microcosmic Orbit นั้นผู้ฝึกต้องเพียงแค่ be mindful คือแค่มีสติในเรื่องพลังนี้เท่านั้น (คือมองเห็นมันโคจรไปโดยธรรมชาติ) แต่จะต้องไม่ force the energy up and down คือ "ไม่ปกครองโดยกดขี่" และ "จะต้องกระทำโดยไม่กระทำ" นั่นก็

    คือ "ไม่พยายามตั้งใจ" ที่จะพลักดันมันโดยการบังคับมันนั่นเอง แต่ให้เป็นธรรมชาติขับเคลื่อนมันไปเอง (energy + gravitational force)

    หลัก การที่ฟังๆดูเหมือนจะพูดกวนๆขัดแย้งกันแบบนี้ซึ่งเล่าจื้อใช้บ่อยมากๆเรา เรียกมันว่า paradox ราชบัณฑิตสถานเขาบัญญัติศัพท์เอาไว้ว่า "ปฏิทรรศน์" (อย่าจำสับกับ "ปริทัศน์" = review นะ....ตัวเราเองยังงงเลยบางที)

    ส่วนคุณพจนา จันทรสันติแปลคำว่า paradox ได้ไพเราะดี เขาแปลมันไว้ว่า "ตรรกวิทยาแห่งความขัดแย้ง"

    แท้ จริงแล้วปรมาจารย์เล่าจื้อสติเฟื่องใช้ paradoxes มากมายใน Dao De Jing จนทำให้คนอ่านเอือมระอาจนเอาคัมภีร์ไปทิ้งถังขยะกันเสียเป็นส่วนใหญ่.... วิชาเร้นลับจึงถูกสงวนไว้ให้ผู้ที่ตีความได้เท่านั้น

    คุณ agelesstansy กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า

    เคล็ดที่เค้าค้นพบนั้น ไม่ใช่การกดทับอารมณ์ทางเพศเอาไว้ แล้วอยู่กับความขัดแย้งในจิตใจ เพราะความเกรงกลัวต่อบาป แต่มันอยู่ที่การแปลงพลังงานทางเพศ เป็นพลังงานของจิตวิญญาณ ที่เต็มไปความรัก ความมีชีวิตชีวา และการสร้างสรรค์

    ดังนั้นที่ผิดคืออะไร คือ ทัศนคติความเข้าใจผิด ที่เรามีต่ออารมณ์ทางเพศ ว่าเป็นสิ่งชั่วร้าย และปิดกั้นมันไว้ ด้วยศีลธรรมจรรยา

    อ่านมาถึงตรงนี้ อย่าเพิ่งตีความไปทางอื่นนะครับ ว่าให้ทำอะไรก็ได้ ที่ผิดศีลธรรมจรรยา :)

    แต่มันหมายความว่า ให้เราสำรวจ ทำความเข้าใจกับความเชื่อ เงื่อนไข ที่เรามีต่อคำว่าเพศซะใหม่


    หากกดข่มเอาไว้ เราจะอยู่กับแต่ความรู้สึก หดหู่ ปิดกั้น มองโลกในแง่ร้าย เนื่องจากทัศนคติที่มีต่อตนเอง ต่อสังคม

    การกดข่ม โดยไม่ทำความเข้าใจ เราจะไม่สามารถรวมพลังงานทางเพศ เป็นหนึ่งเดียวกันได้

    ให้ทำความเข้าใจภายในให้กระจ่างถึงทัศนคติของเรา แล้วปลดล๊อคมันออกไป เปลี่ยนความเชื่อ เป็นความรู้

    เดี๋ยวมาดูกันครับ ว่าในโพสของคุณ agelesstansy นั้น เค้าเปลี่ยนพลังงานทางเพศ เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณได้อย่างไร

















     
  8. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    มาดูประโยคดังกล่าว กันต่อครับ

    [​IMG]

    Not to value and employ men of superior ability is the way to keep the people from rivalry among themselves; not to prize articles which are difficult to procure is the way to keep them from becoming thieves; not to show them what is likely to excite their desires is the way to keep their minds from disorder.

    น่า จะตีความโดยสรุปได้ว่า "ให้ละกิเลศ เลิกการยึดมั่นถือมั่น และ "...จะได้ไม่มีจิตใจเป็นกังวล..." หมายถึง " ต้องทำสมองให้ว่าง ทำจิตให้สงบ"

    ทีนี้เรามาดู

    Therefore the sage, in the exercise of his government, empties their minds, fills their bellies, weakens their wills, and strengthens their bones.

    เริ่มน่าสนใจมากยิ่งขึ้นตรง ".......in the exercise of his government...." หรือ"....ปกครองบ้านเมือง....????"

    ถ้อยคำเหล่านี้เล่าจื้อ "ใส่รหัส" เอาไว้ เพราะไม่อยากให้ผู้คนหลายคนตีความได้ ......จริงๆแล้วข้าพเจ้าตีความมันว่า

    "Du Mai = the governing channel (governing = ปกครอง) คือเส้นลมปราณด้านหลังในและตามแนวกระดูกสันหลังนั่นเอง


    ดัง นั้นจึงต้องตีความ ต่อไปว่า เขาจะทำใจให้ว่าง = ตั้งสมาธิ ทำให้ท้องอิ่ม = จริงๆแล้ว (ท้องผู้ฝึก) อิ่มด้วยลมปราณ (ไม่ใช่หมายถึงทำให้ประชาชนอิ่มท้องหรือมีกินก่อนปกครอง...คือจะตีความเช่น นั้นก็ไม่ผิดหลักจริยธรรมหรือรัฐศาสตร์ แต่ก็จะไม่ได้วิชากำลังภายในไป....!!!)

    นั่นก็คือหายใจลึกจนลมปราณ ลงไปอยู่ที่ท้องส่วนล่างจนเกิดแรงขับเคลื่อนพลังให้ "ปกครองบ้านเมือง = ให้ขับเคลื่อนพลังเข้าไปใน Du Mai" นั่นเอง

    หมายเหตุ: คำว่า Du Mai เป็นศัพท์ในสายจีน แต่ในสายอินเดีย (Tantra) เขาเรียก Du Mai ว่า Kundalini (มาจากภาษาสันสกฤต แปลว่า "งู" เป็น serpentine force มีลักษณะแบบ spiral คือเป็นเกลียว)

    ช่วง ต่อไป "weakens their wills" คือ "ลดความทะเยอทะยานทั้งปวง" คือเมื่อพลังไปสู่ Bai Hui(จุดกลางกระหม่อม) แล้ว gravitational force (แรงโน้มถ่วง) ก็จะส่งพลังลงมาตามเส้นทางเดินเส้นกลางด้านหน้า (คือ Ren Mai = the channel of function) เอง

    "keep them without knowledge" "ปราศจากความรู้" หมายถึง block all the five senses = ปิดกั้นการรับรู้ทั้ง 5 คือภาพ, เสียง, กลิ่น, รส, และสัมผัส....

    ".....and where there are those who have knowledge, to keep them from presuming to act (on it)."
    "ทำให้คนฉลาดไม่กล้าลงมือ"

    ต้องตีความว่า Let nature take its own course. By doing nothing everything is done and taken care of.

    คือ จงปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามวิถีทางของมัน โดยการไม่ทำอะไร (การกระทำโดยไม่กระทำ) ทุกสรรพสิ่งก็จะถูกกระทำไปเองและจะได้รับการดูแลจากเต๋าหรือมรรควิถีนั่นเอง .....

    นั่นก็คือ ปล่อยให้พลังถูกแรงโน้มถ่วงนำมันลงมาตาม Ren Mai คือเส้นกลางด้านหน้าเอง....โดยไม่ไปบังคับมัน...

    สรุปประเด็นสำคัญก็คือ พลังที่โคจรใน Microcosmic Orbit นั้นผู้ฝึกต้องเพียงแค่ be mindful คือแค่มีสติในเรื่องพลังนี้เท่านั้น (คือมองเห็นมันโคจรไปโดยธรรมชาติ)

    จากประโยคข้างต้น หมายความว่า

    เมื่อเราพบเจอ เจ้ากระแสพลังงานแห่งชีวิต หรือ พลังงานกุณฑาลิณีภายในแล้ว จากการฝึกลมหายใจ

    ตอนนี้เราคือผู้เฝ้าดู
    (มีสติในเรื่องพลังนี้เท่านั้น) การทำงานของกระแสพลังงานนี้

    เมื่อกระแสพลังนี้เคลื่อนลงมา ที่จุดตันเถียน (กลุ่มความร้อน ที่รวมตัวอยู่ที่ท้องน้อย ใต้สะดือ) ก็จะนำลมปราณ(ชี่) ที่จุดนี้ มารวมกับลมปราณ (ชี่) ที่จุดฝีเย็บ (พลังงานทางเพศ)
    เป็นส่วนผสมของยาอายุวัฒนะ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา

    ตัวยานี้ จะไหลไปตามโพรงประสาทในไขกระดูกสันหลัง คอ และขึ้นมาที่กระหม่อม กลั่นออกมาเป็นฮอร์โมนแห่งความสุข แล้วปล่อยให้ฮอร์โมนนี้
    ไหลลงมาเองตามธรรมชาติ ตามเส้นลมปราณด้านหน้า

    การเคลื่อนไหวนี้ เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่ยาอายุวัฒนะเคลื่อนตัว มาที่กระหม่อม ก็จะหลั่งฮอร์โมนออกมาทุกครั้ง

    ดังนั้น จึงสามารถหลั่งได้เป็นหลายสิบ หลายร้อยรอบ หลายพันรอบ เพียงแต่เรามีสติในการเฝ้าดูของกลไกธรรมชาตินี้เท่านั้น

    จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้ที่บริหารจัดการพลังแห่งชีวิตเหล่านี้ได้อย่างดี ถึงดูอ่อนเยาว์ มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจสร้างสรรค์อยู่เสมอ


    ps: จากประโยค "keep them without knowledge" "ปราศจากความรู้" หมายถึง block all the five senses = ปิดกั้นการรับรู้ทั้ง 5 คือภาพ, เสียง, กลิ่น, รส, และสัมผัส....

    ก็คือเหตุผลที่ให้ลองฝึกในช่วงกายหลับ จิตตื่น ก็เพราะช่วงเวลานี้ เป็นช่วงที่ประสาทสัมผัสทั้ง 5 มีบทบาทเพียงเล็กน้อย แต่หากชำนาญแล้ว ไม่ว่าช่วงเวลาไหนๆ ก็สามารถทำได้เสมอ

    แล้วเดี๋ยวมาดูกันว่า ปัจจุบันขณะ เกี่ยวข้องกับพลังงานกุณฑาลิณีอย่างไร
     
  9. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    เมื่อสติอยู่ในปัจจุบันขณะ เป็นช่วงที่การทำงานของความคิดดับไป ไม่มีเวลา ที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของความคิด

    เมื่อคุณอยู่ที่ปัจจุบันขณะ สติของคุณ กำลังจดจ่อ และอ่านมาถึงบรรทัดนี้

    ความคิดคุณจะไม่ปรากฎ ไม่มีความคิดจากประสบการณ์ในสิ่งที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านมา คุณจะไม่มีนิยามให้กับตัวอักษรเหล่านี้

    จิตของคุณทั้งหมดจะรวมตัว สัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับสิ่งที่คุณกำลังอ่าน

    คุณจะรู้สึกได้ว่า คุณรู้สึกตัวทั่วพร้อม ร่างกายของคุณ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของคุณ กำลังอ่านข้อความนี้อยู่

    สนามพลังงานที่แผ่ออกรอบๆตัวคุณ คือ สนามพลังงานของความรัก

    ซึ่งก็คือ สนามพลังแห่งพลังชีวิต

    คือ พลังกุณฑาลิณี

    คือ พลังงานจากตัวตนแก่นแท้ของคุณ

    ตอนนี้ คุณทราบแล้วใช่มั๊ยครับว่า สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่วิเศษ หรือมหัศจรรย์แต่อย่างใด
    แต่มันคือ ธรรมชาติภายในของคุณเอง ที่สัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทั้งหมด

    เมื่อคุณอยู่ในปัจจุบันขณะให้ได้ตลอด ไม่ว่าคุณจะอ่านข้อความนี้ กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง เล่นดนตรี เล่นกีฬา ช๊อปปิ้ง พูดคุยกับผู้อื่น ทำงาน หรือทำกิจกรรมใดๆ คุณจะเป็นผู้กระทำกิจกรรมนี้อย่างแท้จริง

    คุณได้ชักนำพลังงานกุณฑาลิณีให้มาโลดแล่นในกายคุณ ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวทั้งหมดอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะนี่คือ ธรรมชาติความจริงแท้ของคุณผู้อ่านที่รักทั้งหลาย
     
  10. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ผมนั่งคิด นอนคิด ตะแคงคิดอยู่นานว่า จะบรรยายออกมาเป็นตัวอักษร เพื่อให้พี่น้องทั้งหลายของผม เข้าใจสิ่งที่เป็นความรู้สึกได้อย่างไร

    ถึงความสัมพันธ์ของปัจจุบันขณะ และ พลังงานแห่งชีวิต หรือ พลังงานแห่งความรัก หรือ พลังกุณฑาลิณี ได้อย่างไร

    ผมรู้สึกขอบคุณ เพื่อนผมคนนึง ที่โทรมาปลุกผม ตอน 7 โมงเช้า ทั้งๆที่ผมเพิ่งงีบไปตอน ตีสี่กว่าๆ ทำให้ผมทราบว่า ผมจะมาอธิบายต่อในกระทู้นี้ยังไงดี


    กริ๊งๆ ผมกระโดดลงจากเตียง มารับโทรศัพท์ และพูดคุยกับเพื่อนอยู่แป๊ปนึง
    ในตอนนั้น ความรู้สึกในตอนนั้น รู้สึกขุ่นเคืองอยู่เหมือนกัน แต่ก็มีความคิดที่เป็นเหตุผลว่า เค้ามีความจำเป็นจึงได้โทรมา เลยคุยกันอยู่ซักครู่ พร้อมกับความรู้สึกขุ่นเคืองเล็กน้อย จนวางสายไป ความขุ่นเคืองนี้ยังมีอยู่ ผมได้เฝ้ามองความรู้สึกนี้ ในตอนที่ยังสะลึมสะลือนี้แหละ และเจ้าความคิดที่ต่อมาจากความขุ่นเคือง เช่น โทรมาเช้าจัง สัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยดี พูดกันติดๆขัดๆ ยังนอนไม่เต็มที่เลย โทษตัวเองที่ดั๊นลืมปิดเครื่องก่อนนอน แล้วจะกลับไปนอนต่อไหวมั๊ยเนี่ย เป็นต้น :)

    ทุกคนมีทางเลือกเสมอ

    ทางเลือกแรก

    คิดต่อไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนี้แหละ เมื่อคิดจบ จนรู้สึกดีขึ้น นั่นหมายถึง ผมได้ข้อสรุปแล้วหละว่า ไอ้เจ้าเพื่อนของผมคนนี้ มันดั๊นโทรมาตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม กำลังหลับลึกได้ที่เลย แล้วผมก็จะรู้สึกสบายใจ ที่มีผู้รับผิดไปแล้ว เหตุการณ์จบด้วยความ happy ending พร้อมกับการแปะป้ายสัญลักษณ์ของเพื่อนคนนี้ ในใจผมเรียบร้อยแล้ว ว่าเค้าทำให้ผมขุ่นเคือง สิ่งที่ได้มา ก็คือ ความแข็งแกร่งของอารมณ์ขุ่นมัวนี้ ที่จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ และต่อไปเมื่อชำนาญมากขึ้น ผมก็พร้อมจะโยนความผิดให้กับทุกๆคน ที่ทำให้ผมรู้สึกขุ่นเคือง

    ทางเลือกที่สอง

    เมื่อผมเฝ้ามองความรู้สึกนี้ โดยไม่วิพากษ์ วิจารณ์ ผมไม่ได้ให้เครดิต หรือเติมพลังงานให้เค้า เพื่อแตกตัวเป็นความคิดอื่นๆย่อยๆยิบๆมากมาย ผมกลับเห็นว่า ความคิดที่เป็นผลพวงจากความรู้สึกขุ่นเคืองนี้ วิ่งช้าลงๆถนัดตา เหมือนคนหมดแรง ใกล้จะเป็นลม ผมรู้สึกขอบคุณเพื่อนผมจากใจจริง ที่ช่วยกวนตะกอนในใจขึ้นมาให้เห็น บางครั้งหากผมได้นอนเพียงพอ ไม่สะลึมสะลือ ผมอาจจะระงับไม่ให้อารมณ์ขุ่นมัวนี้แสดงตัวออกมาก็เป็นได้ ผมมองเจ้าความคิดนี้อย่างสงบ ตอนนี้ผมเห็นมันหมดแรงพร้อมที่จะตายแล้ว ไม่มีอาหารเติมให้มันอีก และมันก็ได้ตายลง เหลือแต่ความรู้สึกสงบเงียบ นี่คือ ทางเลือกนึงที่ผมได้เลือก คือเพิ่มเติมทักษะของความสงบเงียบในปัจจุบันขณะให้เกิดขึ้น เมื่อผมได้พบได้เจอเจ้าเพื่อนคนนี้อีก ผมก็จะมีแต่ความรู้สึกขอบคุณเค้า

    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่เคยมีเรื่องบังเอิญ เพียงแต่ตัวตนภายนอก ที่คิดว่าเป็นเรา และเค้า จะทราบถึงเหตุผลกลไกของมันหรือไม่

    มาเด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวกันครับ ผมจะพยายามอธิบายให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ครับ
     
  11. ธรรมจิตต์

    ธรรมจิตต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +419
    สวัสดีครับคุณเซลล์

    ยังอ่านไม่จบหรอกครับ แต่ขอมาให้กำลังใจก่อน
    ขอบคุณนะครับสำหรับสิ่งดีๆ ที่นำมาแบ่งปัน
    ผมไม่ได้ไปไหนหรอกครับก็คอยติดตามผลงานดีๆ ของท่านทั้งหลายอยู่

    ขอส่งความรักความปรารถนาดีมายังทุกท่านด้วยครับ
     
  12. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]




    คุณมองรูปภาพนี้ แล้วรู้สึกยังไงบ้างครับ
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .
    ดอกไม้นี้สวยจัง
    ดอกไม้นี้สีชมพู
    มีกี่ดอกกันนะ
    นี่มันดอกกุหลาบนี่นา
    มีกี่ดอกที่อยู่ในแจกัน มี 12 ดอกที่นับได้ แต่จะมีซ่อนอยู่ด้านหลังอีกรึเปล่า
    แจกันนี้อ้วนดีจัง
    แจกันทำมาจากทรายใช่มั๊ย
    ผ้าปูโต๊ะสีชมพู แมทซ์กันดี
    แก้วที่วางใกล้ๆใส่กาแฟ หรือชา
    ฉันว่าน่าจะใส่ชานะ เพราะเห็นมีมะนาวที่บีบแล้ว วางอยู่ใกล้ๆ
    หรือว่าไม่ใช่มะนาว เป็นขนมปัง
    ใบไม้นี้ มันไม่ดูเป็นธรรมชาติเลย หรือว่าเป็นใบไม้ปลอม
    ด้านหลังฉากเป็นผนัง หรือเป็นผ้าใบในสตูดิโอนะ
    การจัดองค์ประกอบ ดูจะเทน้ำหนักไปที่ด้านขวาเยอะไปหน่อย
    เอ..หรือว่า มีคนไปตัดรูปมา เลยดูแหว่งๆ
    แต่ดูโดยรวมก็โออยู่
    ถ้าดอกไม้วางอยู่อย่างนี้ จะอยู่ได้กี่วัน
    อืม..ตาบ้านี้ เอารูปอะไรมาให้ดูกันเนี่ย
    เข้ามาอ่านกระทู้นี้ แล้วงงๆเค้าจะบอกอะไรเรากันแน่
    ง่วงนอนจังเลย ต้องมานั่งทำงานอีก
    เมื่อเช้ารถติดชะมัดเลย เพราะฝนตกหนักเมื่อคืนรึเปล่า
    เมื่อเช้ายังไม่ได้ทานข้าวเลย
    ตามอ่านมาตั้งนาน เขียนอะไรกันเนี่ย
    .

    .
    .
    .
    .
    .
    .
    .....
    .......

    จุดอะไรเยอะแยะ ทำไมจุดมันไม่เท่ากัน
    .
    .
    .
    นี่อาจจะเป็นความคิดนึงของผู้อ่านก็เป็นได้
    เมื่อนั่งมองรูปภาพดอกไม้นี้

    เราได้มองดอกไม้นี้จริงๆหรือไม่??
    หรือ ดอกไม้เป็นเพียงวัตถุธาตุ ในการสะท้อนความคิดภายในใจของเรา


    เมื่อเราเห็นความคิดในใจเรา
    ดูเหมือนลมหายใจเราสะดุดลงไป เหมือนไม่ได้หายใจ

    ความคิดทั้งหลายเริ่มเบาบางลง
    เมื่อเราใส่ใจ

    ความคิดทั้งหลายเริ่มอ่อนกำลังลง

    อยู่ในภาวะนี้ซักพัก

    คุณเห็นความคิดนี้อยู่ แต่มันไม่ได้ส่งผลอะไรกับคุณ

    ความคิดคุณเริ่มดับลงไป

    และหายไปในที่สุด

    คุณกำลังอยู่ในปัจจุบันขณะ

    คุณรู้สึกถึงความนิ่งสงบ

    คุณรู้สึกถึงสนามพลังงานที่ห่อหุ้มคุณไว้

    ในตอนนี้คุณจึงเริ่มเห็นดอกไม้

    โดยไม่มีนิยามใดๆมอบให้

    คุณเห็นดอกไม้อย่างที่มันเป็นจริงๆโดยไม่มีความคิดอื่นแทรก

    คุณใช้ทุกส่วนของเซลล์คุณ ดูดอกไม้นี้

    คุณรู้สึกแต่ความสงบเงียบ

    นี่คือภาวะของปัจจุบันขณะ ที่คุณมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม

    คือภาวะแห่งการเริ่มเรียนรู้อย่างแท้จริง

    คุณรู้สึกเต็มเปี่ยม อิ่มเอม

    คุณรู้สึกถึงการรวมเป็นหนึ่ง

    นี่คือ พื้นที่ว่าง ที่ไม่มีขอบเขต

    คุณหันกลับมามองที่ลมหายใจ

    คุณได้สร้างรูปของลมหายใจขึ้น จากความคิด

    ลมหายใจนี้แผ่วเบา และสงบสันติ

    นี่คือ พลังงานแห่งชีวิต พลังกุณฑาลิณี
    ที่ความคิดแรกได้สร้างขึ้น

    ความคิดนี้มาจาก การคิดของพื้นที่ว่างของปัจจุบันขณะ

    รูปที่เกิดนี้ คือ อนุภาคของพลังงานความรัก

    คุณคือ ผู้เฝ้าดูพลังงานความรัก

    นี่คือการภาวนา

    คุณรู้สึกอิ่มเอมกับกระแสความรักภายในของคุณ

    คุณรู้สึกถึงร่างกายทุกส่วน

    คุณรู้สึกถึงตัวหนังสือที่อ่าน

    คุณรู้สึกถึงคอมพิวเตอร์เครื่องนี้

    คุณรู้สึกถึงสภาพแวดล้อมทั้งหมด

    ทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ผู้คน ต้นไม้ ใบหญ้า ก้อนหิน

    ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร ทะเล

    ใจกลางโลก

    โลกใบนี้

    ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว

    จักรวาล

    คุณรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียว

    เต็มเปี่ยม บริบูรณ์

    คุณมีความรู้สึกถึงความสงบเงียบของความเป็นหนึ่งเดียว

    ไม่แบ่งแยก

    นี่คือ ประตูที่คุณสัมพันธ์กับทุกสิ่ง

    คือ ประตูแห่งรากในตัวคุณ













     
  13. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    สวัสดีครับ คุณธรรมจิตต์

    ขอบคุณที่ติดตาม และเป็นกำลังใจให้เสมอนะครับ :)
     
  14. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    ขอบคุณคุณ cosmicell มากค่ะ อ่านของดีๆ แล้วเอามาเล่า เอามาแนะ เพื่อนๆในห้องฟัง เคยอ่านครั้งหนึ่งหนังสืออัตตประวัติบรมหงส์โยคานันท์ หลายปีก่อน มีความรู้ดีๆและแปลกที่ไม่เคยทราบมาก่อน เช่นโยคีหญิงที่สามรถอดข้าวอดน้ำได้ตลอดชีวิต หลายๆอย่าง ในนั้น เราเคยเข้าใจว่าพวกนี้บำเพ็ญจนจิตติดความสงบ อ่านแล้วเลยเข้าใจอะไรหลายอย่างเดี่ยวกับความสามารถและภาวะจิตวิญญาณที่ผ่านการฝึกฝน การเรียนรู้ จนพบความอมตะได้อย่างน่าทึ่ง
     
  15. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณครับคุณแก้วทิพย์ ที่เข้ามาแชร์กัน หนังสือเรื่องของท่านโยคนันท์
    ผมก็อ่านแล้ว อ่านอึก และรู้สึกทึ่งทุกครั้งที่อ่าน
    ผมเชื่อว่า ความมหัศจรรย์ทางจิตเหล่านี้มีจริง
    และไม่เกินความสามารถของมนุษย์ที่จะเข้าถึงครับ

    ผมก็พร้อมจะเรียนรู้ความมหัศจรรย์ของจิตไปเรื่อยๆครับ
    มีอะไรแนะนำ เพิ่มเติม นำมาลงได้เลยนะครับ
    มาเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน
    :)





    [​IMG]

    เราเคยกอดลูก กอดพ่อแม่ กอดพี่น้อง กอดคนรัก
    กอดปู่ย่าตายาย กอดเด็กน้อย กอดเพื่อน
    กอดสัตว์เลี้ยง กอดต้นไม้ กอดก้อนหิน
    กอดทุกสิ่ง
    จริงๆไม๊



    เมื่อเรากอด
    เรามีความคิดอะไรในใจ
    โปรดวางลงซักครู่ ด้วยความแผ่วเบา ด้วยความอ่อนโยน
    เพียงเฝ้าดูอย่างเงียบๆ
    จนความคิดสลายตัวไป


    เมื่อคุณอยู่ที่ปัจจุบันขณะ
    คุณกำลังกอดพวกเค้าอยู่

    พวกเค้าไม่ใช่ใครอื่น
    เค้าก็คือคุณ

    เมื่อคุณกอดด้วยพื้นที่ว่างของปัจจุบันขณะ

    คุณกำลังนำอนุภาคความรัก อนุภาคของพลังงานชีวิต
    ไปเติมเต็มให้เค้า

    คุณกำลังเพิ่มคลื่นสั่นสะเทือนให้โลกใบนี้

    คลื่นสั่นสะเทือนแห่งความรัก

    คุณมีความเต็มเปี่ยม บริบูรณ์
    คุณจะไม่เรียกร้องความรักจากใคร จากสิ่งใด

    เพราะคุณมีพร้อม ที่จะถ่ายเท

    ไม่ว่าจะทานข้าว ทำกับข้าว เรียนหนังสือ ดูหนัง ฟังเพลง
    พูดคุย ทำงาน ปลูกต้นไม้ รดน้ำต้นไม้ พรวนดิน
    เก็บอึสุนัข ปัดกวาดเช็ดถู ล้างถ้วยล้างชาม
    นั่งสมาธิ นั่งอ่านตัวอักษรเหล่านี้

    เพียงคุณอยู่ในปัจจุบันขณะ
    คุณจะทำกิจกรรมเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่ เต็มเปี่ยม

    คุณจะรู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียว
    คุณจะรู้สึกถึงความไม่แบ่งแยก

    คุณกำลังอยู่ในที่ว่าง
    ที่มีสนามพลังงานแห่งชีวิตหล่อเลี้ยง

    คุณกำลังทำประโยชน์ให้กับโลก และจักรวาลอยู่ทุกขณะ

    สิ่งที่คุณคิดในปัจจุบันขณะ
    คือ ความสร้างสรรค์
    จากแก่นแท้ของคุณ

    เมื่อคุณค่อยๆปลดเปลื้องตัวปลอมที่คิดว่าเป็นคุณออกไป
    ประตูแห่งพลังงานชีวิตจะเปิดออก

    ประตูแห่งกุณฑาลิณี

    ประตูแห่งพลังงานชีวิต

    ที่สถิตอยู่กับพวกเราทุกคน






    ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤษภาคม 2011
  16. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    OMG ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้ตัวว่าเขลาเบาปัญญาเสียเหลือเกิน ขอบคุณมากมาย ขอคารวะจิตทุกท่าน
     
  17. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    เข้ามาขอบคุณคุณเซลค่ะ
    ขออนุญาตปริ้นต์เก็บไว้อ่านและฝึกฝน
    แม้ว่าที่ผ่านมาคุณเซลได้กรุณาแนะนำแล้วและริสาก็ฝึกฝนมาโดยตลอด
    โดยเฉพาะวิธีการหายใจ แล้วยังนำไปบอกกับเพื่อนในกลุ่มโยคะด้วย

    บางคนที่ฝึกมาดีแล้วจะทำได้รวดเร็ว มีคนคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าขอบคุณ
    เขารู้สึกดีจริงๆ
    เลยบอกเขาว่า ความดีอันนี้ต้องยกให้เพื่อนริสาที่ชื่อ คุณเซล
    ขอบคุณคุณเซลแทนเพื่อนๆค่ะ
     
  18. Senju

    Senju Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กันยายน 2010
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณ คุณcosmiccell มากเลยน่ะครับ ^^
     
  19. โมกลา

    โมกลา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +24
    ขอแสดงความยินดีในความก้าวหน้าในการค้นหาตัวตนของคุณเซลล์ค่ะ
    ขอบคุณที่นำสิ่งดีดีมาแบ่งปันกัน
    มาบ่อยๆนะค่ะ
     
  20. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ขอบคุณ คุณ treeam คุณ sarissa คุณ senju คุณโมกลา และจากทุกๆกำลังใจครับ

    บทความตามหัวข้อกระทู้ ได้เสร็จสมบูรณ์ในตัวมันเองแล้วครับ

    ต่อไป ผมขอใช้พื้นที่นี้ นำคำสอน วิธีการต่างๆ ในการกระตุ้น ลอกคราบ ของผู้รู้แจ้งทั้งหลายมาให้ศึกษากันนะครับ :)
     

แชร์หน้านี้

Loading...