พระมัญชุศรีโพธิสัตต์ หรือ บุ้นซู้พู่สระ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 14 เมษายน 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,024
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="9" width="100%"><tbody><tr><td> [​IMG] พระองค์มีชื่อเรียกมากมาย อาทิ พระมัญชุโฆษ (ผู้มีเสียงเพราะ) , พระมัญชุนาถ , พระวาคีศวร คนจีนเรียกบุ้นซู้พู่สะ เป็นพระโพธิสัตต์แห่งมหาปัญญา ในประเทศธิเบตให้ความเคารพต่อพระโพธิสัตต์องค์นี้มาก ฉายาของพระองค์เรียกแตกต่างกันไป อาทิ ไต้ตี่ (มหามติ - มีปัญญาใหญ่) , ไทจือ (ราชกุมาร) , เชยปี่ก๊าจู๊ (ธรรมราชผู้มีแขนหนึ่งพัน) ทรงประสูติเมื่อวันที่ 4 เดือน 4 ทางจันทรคติแบบจีน พระนามเต็มของพระองค์ คือ พระมัญชุศรีกุมารภูติโพธิสัตต์ ทรงประทับบนหลังราชสีห์ อันราชสีห์นั้นเป็นราชาแห่งสัตว์ทั้งหลาย ไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามต่อสัตว์ใดๆ เปรียบเป็นเช่นกับพระพุทธเจ้าและโพธิสัตต์ ไม่หวาดหวั่นท้อถอยต่อการประกาศสัจธรรม และเมื่อราชสีห์คำราม บรรดาสรรพสัตว์ใหญ่น้อยต่างก็หลีกไป เฉกเช่นพุทธองค์ประกาศธรรม ทำให้คำสอนของเดียรถีย์ทั้งหลายด้อยรัศมีไปฉันนั้น ราชสีห์นี้ บางครั้งเรียก " สิงหอาสน์ "
    บุ้นซู้พู่สะ เป็นพระมหาโพธิสัตต์ ที่มักได้รับการเอ่ยถึงในพระสูตร และตั้งองค์พระปฏิมาให้อยู่คู่กับ " โผวเฮี้ยงพู่สะ " หรือ "โผวเฮี้ยงผ่อสัก " หรือ " พระสมัตภัทรมหาโพธิสัตต์ " ทรงได้รับการยกย่องให้เป็นหัวหน้าของบรรดาพระโพธิสัตต์นับร้อยนับพันที่มาเฝ้าชุมนุมพระศากยมุนีพุทธเจ้า ทรงเป็น " พระฌานิโพธิสัตต์ " ที่ถือกำเนิดก่อนสมัยพุทธกาล ทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในการแสดงธรรม ทรงมุ่งมั่นให้สัตว์โลกได้พ้นทุกข์ และบรรลุธรรมอย่างไม่ทรงเกรงกลัวต่อความยากลำบาก
    พระมัญชุศรีกุมารภูติโพธิสัตต์ ถือเป็นปัญญาคุณของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงมีพระวรกายเป็นหนุ่มน้อยวัย 16 ปี ( ไม่แก่หรืออายุมากไปกว่านี้ ) พระหัตถ์ขวาทรงวัชรศัสตรา หรือพระแสงขรรค์ หรือดาบอันคมกริบ ไว้คอยตัดอวิชชาและนิวรณ์ทั้ง 5 อันได้แก่ กามฉันทะ (พอใจในกาม) , พยาบาท (คิดร้าย) , ถีนมิทธะ (หดหู่เซื่องซึม) , อุทธัจจกุกกุจจะ (ฟุ้งซ่านและความกระวนกระวายใจ) เพื่อให้ธรรมแห่งพุทธองค์มีความแจ่มชัด พระหัตถ์ซ้ายทรงพระคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตร หรือพระหัตถ์ซ้ายอยู่ในท่ามุทราก็มี เหนือพระเศียรทรงมาลาเป็นรูปใบไม้เรียงกัน 5 ใบโดยมี พระอักโษภยะพุทธเจ้าอยู่เหนือมงกุฎนั้น ศักติชายาคือ นางสรัสวดีเทวี ในสัทธรรมปุณฑรีกสูตร กล่าวว่า พระมัญชุศรีโพธิสัตต์เป็นปฐมโพธิสัตต์ เป็นอาจารย์ของพระเมตไตรยโพธิสัตต์ ด้วยเหตุที่ทรงเป็นหนุ่มตลอดกาลนี้เอง จึงรู้จักพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่มาตรัสรู้
    หลังจากที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว 250 ปี พระมัญชุศรีไปประกาศพระศาสนาที่แคว้นเนปาล ได้กำจัดสัตว์ร้ายในสระน้ำที่แคว้นนั้นจนหมดสิ้น เพราะหน้าที่ของพระองค์คือ การกำจัดอวิชชา กำจัดความโง่เขลา และเป็นประธานในพระธรรม ช่วยเหลือพระศาสนาให้แพร่หลาย
    นอกจากนี้ยังเชื่อว่า พระองค์คือ องค์อุปถัมภ์ในด้าน กวีวัจนะ ในทางวาทศิลป์ รวมถึงภาษาศาตร์ต่างอีกด้วย ดังนั้นที่ประเทศเนปาล จึงมีผู้คนกราบไหว้บูชาท่านเพื่อให้เกิดความเฉลียวฉลาด และมีความจำดี พูดและเขียนเก่ง ซึ่งประเพณีนี้ดูละม้ายการบูชาพระนางสรัสวดี (ชายาของพระพรหม) ในศาสนาพราหมณ์ฮินดู ซึ่งเด็กๆนิยมบูชานางในฐานะเทพเจ้าแหงวาทศิลป์ ดนตรี และวิทยาศาสตร์ ในวันวสันตะปัญจมี
    ที่เมืองจีนนั้น ยอดเขาโหงวไท้ซัว (ภูเขาห้ายอด ) มณฑลซันซี คือสถานศักดิ์สิทธิ์ของพระมัญชุศรี

    กำเนิดของมัญชุศรีโพธิสัตต์นั้น มีตำนานเล่ากันไปต่างๆนาๆที่เมืองจีนว่า เกิดจากพระนลาฎของพระศากยมุนีพุทธเจ้า ด้วยลำแสงที่พุ่งออกไปนั้นตัดต้นไม้ต้นหนึ่งที่ภูเขาอู่ไถ่ แล้วบังเกิดดอกบัวมารองรับพระมัญชุศรีขึ้นมา ดังนั้นพระโพธิสัตต์พระองค์นี้จึงไม่แปดเปื้อนครรภ์มลทินแต่อย่างไร อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่า คหบดีจีนท่านหนึ่ง ต้องการเลี้ยงพระทั้งวัดบนภูเขาอู่ไถ่ พระจึงชักชวนคนยากจนมารับทานด้วย เพราะพระโพธิสัตต์มัญชุศรีมักจะสอนเน้นให้คนทั้งหลายมีความเสมอกัน ไม่แบ่งแยกระหว่างคนรวยกับคนจน ไม่แบ่งแยกระหว่างพระกับฆราวาส ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงใคร่อยากรู้ใจมนุษย์ จึงจำแลงร่างเป็นหญิงขอทานที่กำลังตั้งครรภ์ คหบดีรำคาญใจมากที่เห็นชาวบ้านพวกนี้
    [​IMG]เพราะตั้งใจมาทำบุญเลี้ยงพระเพียงอย่างเดียว ครั้นมาถึงคิวหญิงขอทาน นางบอกว่า ต้องการข้าว 2 จาน จานหนึ่งสำหรับตนเอง อีกจานหนึ่งสำหรับลูกในท้อง เจ้าของงานไม่ยอม นางจึงไม่ยอมกินอาหารนั้นและเดินออกจากวิหารไป กลายเป็นพระมัญชุศรีโพธิสัตต์เหาะขึ้นท้องฟ้าด้วยเทพบริวารตระการตา เป็นเหตุให้เจ้าของงานและทุกคนที่อยู่สถานที่นั้นก้มกราบขมาลาโทษต่อพระโพธิสัตต์กันถ้วนหน้า ตั้งแต่นั้นมา ถือเป็นนโยบายของเขาอู่ไถ่ว่า หากต้องการเลี้ยงพระก็ต้องทำทานต่อผู้ยากไร้ด้วย
    เรื่องเล่าจากอินเดียว่า เมื่อครั้งที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าจะเสด็จไปแสดงธรรมนั้น พระมัญชุศรีประกาศว่า ขอให้คอยสดับพระธรรมจากพระธรรมราชา (พระพุทธเจ้า) พระธรรมของพระธรรมราชาเป็นเช่นนั้นเอง เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จมาแล้วประทับ ณ พุทธอาสน์ ไม่ทรงแสดงธรรมอันใดเลย เพราะพระมัญชุศรีแสดงธรรมไปหมดแล้ว ทั้งสั้นและได้ใจความ " พระธรรมเป็นเช่นนั้นเอง "

    ในประเทศธิเบตยังมีการสร้างภาคดุร้ายของพระมัญชุศรีด้วย ปางนั้นคือ ยมานตกะ โดยสร้างตำนานขึ้นสนับสนุนว่า พระมัญชุศรีลงไปยังยมโลก พระยมมีศีรษะเป็นกระบือ พระมัญชุศรีจึงต้องแปลงร่างเป็นเช่นนั้น เพื่อให้พระยายมกลัว ทั้งที่พระยมเป็นเจ้าแห่งความตาย แต่ยังเกรงในพระบารมี จนแลเห็นความไม่สิ้นสุดของพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ ชาวธิเบตนิยมเพ่งรูปยมานตกะเพื่อเอาชนะความตาย
    นอกจากนี้ยังทรงแบ่งภาคออกเป็นปางต่างๆมากมาย อาทิ ธรรมธาตุวาคีศวร , ไภรวัชร , พระวัชรนังคอารยมัญชุโฆษ , พระยมานตกะ
    มหาบุรุษโพธิสัตต์ที่ชาวธิเบตให้การยกย่องนั้นมี อวโลกิเตศวร , มัญชุศรีและวัชรปาณี ด้วยเหตุที่เป็นสัญลักษณ์ของกรุณา ปัญญาและพละ ตามรูปศัพท์แล้ว มัญชุศรี แปลว่า ผู้มีเสียงไพเราะ และมีความสามารถพิเศษในการเทศนาให้คนเกิดปัญญาได้ ตามคติในฝ่ายมหายานนั้น ยกย่องให้พระองค์เป็นพระโพธิสัตต์แห่งปัญญาและคุ้มครองนักปราชญ์ ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของวิทยาศาสตร์ และการแสวงหาสัจจะทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ การบูชาพระโพธิสัตต์พระองค์นี้ เพื่อให้ได้มาซึ่งความชาญฉลาด มีความจำดี และสามารถจดจำคัมภีร์ต่างๆได้อย่างแม่นยำ
    พระโพธิสัตต์มัญชุศรีได้รับการยกย่องและนับถือกันมากในเมืองสารนาถ แคว้นมคธ เบงกอล เนปาลและธิเบต คัมภีร์ซึ่งทรงถือนั้นคือ ปรัชญาปารมิตา ซึ่งถือเป็นคัมภีร์ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่จะมาตรัสรู้
    พระนามของพระองค์ปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์อมิตยุสสูตร เพราะพระองค์เป็นหัวหน้ากลุ่มพระโพธิสัตต์บนเขาคิชฌกูฎ และในคัมภีร์คัณฑวยุหสูตร กล่าวว่า ความยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้นเทียบเท่ากับพระอวโลกิเตศวร ผู้ใดที่จะบรรลุพระสัมมาสัมพุทธะ ต้องได้รับการช่วยเหลือจากพระองค์เสียก่อน
    ในคัมภีร์สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนั้น พระศากยมุนีพุทธเจ้า ได้ตรัสถึงฐานะของพระมัญชุศรีโพธิสัตต์ว่า เป็นผู้รักษาพระสูตรนี้ และเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองพุทธศาสนาในช่วง 500 ปีสุดท้าย

    เหตุที่ชาวเนปาลนับถือพระมัญชุศรีโพธิสัตต์ มีเรื่องบรรยายอยู่ในคัมภีร์สวยัมภูปุราณะว่า ราวศตวรรษที่ 8 พระโพธิสัตต์มัญชุศรีเดินทางจากเมืองจีน เพราะแต่เดิมนั้นทรงสถิตย์ ณ ยอดเขาโหงวไท้ซัว (ภูเขา 5 ยอด) แล้ววันหนึ่งพระองค์ทราบด้วยญาณทิพย์ว่า พระอาทิพุทธแบ่งภาคลงมาเป็นเปลวไฟบนดอกบัว ในทะเลสาปกาลีหรัท ที่เนปาล ดังนั้นพระองค์จึงเสด็จมาพร้อมด้วยสานุศิษย์ และสร้างวัดครอบไฟนั้นไว้ เรียกว่า สวยัมภูเจดีย์ ทั้งยังได้กำจัดสัตว์ร้ายที่ทะเลสาปนั้น และสถาปนาผู้ติดตามคือ พระเจ้าธรรมกรเป็นกษัตริย์ปกครองเนปาล ท่านสงกะปะ อันเป็นต้นตอของนิกายแห่งองค์ทาไลลามะ ถือว่าเป็นนิรมาณกายของพระมัญชุศรีแบ่งภาคมาเกิด



    www.mindcyber.com

    </td></tr></tbody></table>
     
  2. น้องหน่อยน่ารัก

    น้องหน่อยน่ารัก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,976
    ค่าพลัง:
    +4,975
    พระโพธิสัตว์ต้องไปเรียน

    1. ด้านปัญญา กับพระมัญชูศรี
    2. ด้านอภิญญา กับพระสมัตรภัทร
    3. ด้านเมตตา กับพระอวโลกิเตศวร
    4. ด้านความวิริยะอดทน กับพระวัชรปราณี


    ปล. นู๋ จินตนาการเอา
     
  3. SEIWEK

    SEIWEK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 เมษายน 2006
    โพสต์:
    36
    ค่าพลัง:
    +102
    เอกพุทธยาน การตรัสรู้อันสมบูรณ์ที่มีอยู่ในสรรพสัตว์ ตอนพระมัญชุศรีโพธิสัตว์

    ข้าขออภิวาทวันทนาการ องค์สมเด็จพระบรมโลกุตราจารย์ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ผู้ทรางปลดเปลื้องอวิชชา เป็นผุ้พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ พาหมู่สัตว์ผู้ทุกข์ยากข้ามพ้นมหาสาครห้วงมหรรณพสู่พระนิพพานอันพระเสริฐ ฯ

    ข้าขอบูชาพระปัญญาคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระปัญญาญาณอันวิเศษที่บังเกิดขึ้น คือ องค์พระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์ พระองค์นั้น ผู้เป็นคุรุแห่งสรรพสัตว์ขอความสิ้นไปแห่งทุกข์ทั้งปวงพึงมีแก่สรรพชีวิต

    พระมัญชุศรีโพธิสัตว์มหาสัตว์ ทรงเป็นโพธิสัตว์ผู้เป็นตัวแทนแห่งพระปัญญาธิคุณแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ คือ ปัญญาที่สามารถทำให้พ้นไปจากมายาทั้งปวง ข้ามพ้นโอฆะสงสารอันได้แก่ภพชาติได้ ก็สรรพกิเลสอันใดจองจำสรรพสัตว์ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพภูมิต่าง ๆ เป็นเครื่องครอบงำกำบังพุทธภาวะ พระมัญชุศรีมหาสัตว์ทรงกำจัดเสียซึ่งพันธนาการทั้งปวง ธรรมจักรมุทราแสงดให้เห็นว่า สรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไปไม่อาจดำรงอยู่อย่างเดิม กอปรด้วยเห็ตุปัจจัยจึงไม่ควรยึดมั่นถือมั้นว่านั่นเป็นเรา เป็นของเรา นันเป็นเขา นั่นเป็นของเขา ท่ามกลางการหมุนเวียนก็แสดงนัยยะแห่งศูนยตา เพราะสรรพสิ่งล้วนเคลื่อนไปไม่อาจดำรงอยู่เองโดยปราศจากเหตุปัจจัยจึงเป็นศูนยตา พระขรรค์ที่ลุกโชติช่วงหมายถึงปัญญาที่จะสะบั้นสิ่งลวงตาทั้งมวล รวมถึง อายตนะทั้งหลาย สิ่งที่ตาเห็นคือรูป สิ่งที่หูได้ยินคือเสียง สิ่งที่จมูกได้สูดดมคือกลิ่น สิ่งที่ลิ้นลิ้มรสสัมผัสคือ รส สิ่งที่ถูกต้องกาย คือ สัมผัส สิ่งที่ใจรับรู้คืออารมณ์ปรุงแต่ง รูปก็ไม่เที่ยงมิอาจยึดถือ ไม่อาจกำหนดสาระได้ เพราะรูปย่อมแปรเปลี่ยนไปตามเหตุและปัจจัยมากมาย

    รูปไม่ใช่ตัวตน รูปที่เห็นเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น เสียงกลิ่นรส สัมผัน ก็เช่นเดียวกัน ตาที่ใช้มองก็เหมือนกัน ไม่เที่ยง ไม่อาจยึดถือ ไม่อาจครอบครองหรือบังคับบัญชาแก่เฒ่า ตาก้อฝ้าฟาง ไม่แจ่มใส ตายแล้วก็กลับคืนสู่ธาตุทั้งปวง จมูก ลิ้นกาย ก็เป็นดังนี้ด้วย ส่วนใจนั้นเล่า ยิ่งไม่เที่ยงแท้แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ไม่อาจบังคับบัญชาให้เป็นสุขอยู่ตลอดไปได้ เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวรัก เดี๋ยวชัง เดี๋ยวพอ เดี๋ยวโกรธ เปรียบดังมายากล สิ่งทั้งปวงจึงไม่ควรเข้าไปยึดถือปรุงแต่ง และนี่ก็คือ ธรรมาวุธ อันโชติช่วงที่จะสะบั้นอุปาทานขันธ์ คือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนให้สิ้นไป เป็น ศาตราวิเศษสุดในมหาตรีสหัสสโลกอนันตจักรวาล เป็นศาสตราวุธแห่ง ปัญญาธิคุณ ที่สะบันภพชาติและทุกข์ทั้งปวง ผู้ใดเข้าถึงธรรมาวุธอันศักดิ์สิทธิ์ ผู้นั้นย่อมลุถึงนิพพาน ได้ อันพระขรรค์นี้ต่างจากเทพอาวุธทั้งหลาย เทพศาสตราใด ๆ นั้นย่อมมีไว้ประหัตประหารผู้อื่น และมักประหารด้วยโทสะ มีไว้ทำลายชีวิต แต่ธรรมาวุธแห่งองค์พระมัญชุศรีใช้ประหัสประหารอัตตา อหังการ (ความเชื่อว่ามีตัวตน) มมังการ (ความยึดมั่นในของตน) และมายาภาพลวงตาทั้งหลาย เพื่อเข้าถึงการุณยธรรมอันบริสุทธิ์ เป็นสาตราวุธที่ให้ชีวิตอย่างแท้จริง ผู้ใดที่บูชาองค์พระมหาสัตว์ด้วยปัญญาย่อมเข้าถึงปัญญา ผู้ใดบูชาองค์พระมหาสัตว์ด้วยมาหากรุณา ย่อมเข้าถึงกรุณา ผู้ใดบูชาองค์มหาสัตว์ด้วยธรรมย่อมเข้าถึงธรรม บุคคลผู้นั้นแม้อยุ่ท่ามกลางมหาโจร ก็จักไม่เป็นอัตตราย อันมหาโจรคือ โจรทางตา โจรทางหู โจรทางจมูก โจรทางลิ้น โจรทางกาย โจรทางใจ ทึ่คอยปรุงแต่ง ให้รรัก ให้โกรธ ให้หลง ให้ยึดติด เมื่อเข้าถึงแล้วว่าสภาพทั้งปวงเป็นศูนยตา ลักษณะทั้งปวงเป็นมายา รูปแม้ปรากฏ เสียงแม้ไพเราะ จะทำอันตรายอย่างใดได้

    และผู้นั้นจะไม่จมลงสุ่ห้วงน้ำ คือ สงสารวัฏจักแห่งชาติภพ สถิตอยู่ท่ามกลางนภากาศ ดุจดวงศศิธร คือความมั่นคงไม่ไหวหวั่นไปตามโลกธรรม อันได้แก่มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ สุข ทุกข์ สรรเสริญ นินทา ผุ้นั้นย่อมเป็นอิสระจากมายาทั้งปวง ดำรงอยุ่ในสภาวะอันสมบูรณ์ที่ไม่มีอื่นใดมาเปรียบเทียบเคียงได้ นี่คือ ธารณีแห่งพระมาหาสัตว์มัญชุศรี ผู้ทรงผลานุภาพด้วยปัญญา


    [​IMG]


    โอม หมายถึง การกำเนิดแห่งสรรพสิ่งเพื่อเข้าสู่ธรรม
    อา หมายถึง ธรรมดาแห่งศูนยตา
    รา หมายถึง ความบริสุทธิ์จากการเกิดดับโดยสมบูรณ์
    ปา หมายถึง บริบูรณ์ภาพแห่งการตรัสรู้
    จา หมายถึง ในการลุถึงศูนยตาภาวะอันไม่มีการปฏิบัติเพื่อเข้าถึง
    ณา หมายถึง ศูนยตาเป็นภาวะอันสมบูรณ์ยิ่งด้วยตัวเอง
    ตี หมายถึง ปัญญาญาณ พาหนะ คือปัญญา อันลุแก่พรนฤพาน ฯ


    ครั้งหนึ่ง คหบดีจีนท่านหนึ่ง ต้องการเลี้ยงพระทั้งวัดบนภูเขาอู่ไถ่ พระจึงชักชวนคนยากจนมารับทานด้วย เพราะพระโพธิสัตต์มัญชุศรีมักจะสอนเน้นให้คนทั้งหลายมีความเสมอกัน ไม่แบ่งแยกระหว่างคนรวยกับคนจน ไม่แบ่งแยกระหว่างพระกับฆราวาส ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงใคร่อยากรู้ใจมนุษย์ จึงจำแลงร่างเป็นหญิงขอทานที่กำลังตั้งครรภ์ คหบดีรำคาญใจมากที่เห็นชาวบ้านพวกนี้

    เพราะตั้งใจมาทำบุญเลี้ยงพระเพียงอย่างเดียว ครั้นมาถึงคิวหญิงขอทาน นางบอกว่า ต้องการข้าว 2 จาน จานหนึ่งสำหรับตนเอง อีกจานหนึ่งสำหรับลูกในท้อง เจ้าของงานไม่ยอม นางจึงไม่ยอมกินอาหารนั้นและเดินออกจากวิหารไป กลายเป็นพระมัญชุศรีโพธิสัตต์เหาะขึ้นท้องฟ้าด้วยเทพบริวารตระการตา เป็นเหตุให้เจ้าของงานและทุกคนที่อยู่สถานที่นั้นก้มกราบขมาลาโทษต่อพระโพธิสัตต์กันถ้วนหน้า ตั้งแต่นั้นมา ถือเป็นนโยบายของเขาอู่ไถ่ว่า หากต้องการเลี้ยงพระก็ต้องทำทานต่อผู้ยากไร้ด้วย

    พระโพธิสัตว์เปรียบดั่งดวงจันทร์ ที่ส่องส่างไม่เลือกชั้นวรรณะ จนหรือรวย เป็นคนหรือเป็นสัตว์ ดีหรือชั่ว ขอให้สรรพชีวิตจงมีกรุณาแก่กัน
    ขอพระสัทธรรมอันเปรียบประดุจดวงภานุมาศจงเจิดจ้าเหนือห้วงมหรรณพเป็นนิรันดร์เทอญฯ

    [ท่านสามารถขอภาพปริศนาธรรมแห่งพระมัญชูศรีโพธิสัตว์ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้นเพียงแต่ส่งจดหมายแสดงความจำนงค์มาที่

    ชมรมศึกษาและอนุรักษ์พุทธศาสน์เชิงปัญญา
    ตู้ปณ.8 ปณ.ฝ.บางแค กรุงเทพฯ 10161

    "ใครใคร่พิมพ์แจก ก็แจก ใครใคร่ขอ ก็ให้
    ใครใคร่เยผแพร่ก็อนุญาต ชื่อว่า ธรรมนุภาพ
    แผ่ซ่านไปไกลเท่าใด ยิ่งประเสริฐเท่านั้น"


    ภาพภายนอก ก่อเกิดธรรมรสภายใน
    พระโพธิสัตว์ภายนอกก่อเกิดดวงปัญญา
    ธรรมดาก่อเกิดการตรัสรู้
    บัวอุบัติแต่โคลนตม
    นิพพานหาได้ที่นี่

    พระตถาคตมิอาจเป็นได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก
    ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นแหละเห็นเราตถาคต
    เมื่อแจ้งในลักษณะอันเป็นมายา
    เมื่อนั้นแหละท่านอาจมองเห็นพระตถาคต


    *****ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก ชมรมศึกษาและอนุรักษ์พุทธศาสน์เชิงปัญญา
    *****ขอบคุณหลวงจีนเสี่ยจิ้ง วัดโพธิ์แมน ที่มอบเอกสารนี้มาเพื่อการเผยแผ่ธรรมะ


    ที่มา http://community.buddhayan.com/index.php?topic=17.0

    *********

    ศูนย์กลางข้อมูลพุทธศาสนาฝ่ายมหายานคณะสงฆ์จีนนิกาย ที่

    www.mahayana.in.th
    www.buddhayan.com
    www.mahaparamita.com

     

แชร์หน้านี้

Loading...