... แล้วเราจะเล่าให้ฟัง ...

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สายฝนฉ่ำเย็น, 1 กุมภาพันธ์ 2011.

  1. อภิราม

    อภิราม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +9,005
    ทุกข์ไม่มา ปัญญาไม่มี บารมีไม่เกิด

    โมทนาสาธุ ด้วยครับ

    เมื่อไหร่จะถึงเวลาที่ผมต้องละแล้ว บ้างนะ
     
  2. หายใจ

    หายใจ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +13
    เข้ามาอ่านเฉยๆ ครับ เป็นกำลังใจให้คนเขียนนะครับ อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง (สงสัยเอามะพร้าวมาขายชาวสวนเป็นแน่ คิคิ..)
     
  3. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    เดี๋ยวกลับมาเล่าต่อนะคะ ^__^ ขอทำหน้าที่ของแม่ก่อนค่ะ .....
     
  4. ศิวกา

    ศิวกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    656
    ค่าพลัง:
    +779
    รออ่านด้วยคนนะคะคุณฝน ^_^ , สุ้ๆ นะคะ
     
  5. windybliss

    windybliss Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +51
    ตามมาอ่านค่าพี่สาววว
     
  6. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #8 เอ๊ะ...อะไรแว๊บๆ .....

    ยังจำที่ฉันบอกว่า ไปบวชเพราะหนีทุกข์ได้ไหมคะ ... การไปครั้งแรกครั้งนั้น ฉันก็ทุกข์เรื่องของฉันไป แต่เป็นครั้งที่เริ่มทำให้ฉัน มีแต่คำถาม ... ว่าฉันเป็นอะไร แล้วฉันจะถามใครได้ ....

    เช้าวันแรกของการบวชเนกขัมมะ ฉันถูกปลุกด้วยเสียงของคนที่ทยอยลุกขึ้นไปอาบน้ำกัน ตี 4 กว่าแล้วเหรอเนี่ย ... ฉันลุกขึ้นและทำตามที่เห็นคนอื่นเขาทำกัน “น้องหนึ่ง” คือน้องที่เป็นกัลยาณมิตร คนแรก ที่เขามาเดินนำฉัน น้องมาคอย take care ว่าต้องไปไหน ทำอะไร ฉันจึงติดกับน้องกลุ่มนี้ไปโดยอัตโนมัติ เสมือนหนึ่งเรารู้จักกันมาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล .... ฉันไปทำวัตรเช้าพร้อมคนอื่นๆ หลวงตาเป็นผู้นำสวด และเป็นผู้บวชให้ จากนั้นก็ทานอาหารเช้ากัน และ กลับมาทำวัตรเช้าอีกครั้งในศาลาปฏิบัติธรรม จากนั้นก็เริ่มเรียนกรรมฐานบัลลังก์แรก .... ฉันเดิน เดิน เดิน และ เดิน ตามคนอื่นๆ น่าแปลกมาก ที่ในขณะที่ฉันเดินจงกรมนั้น ไม่มีความคิดอะไรเลย ไม่มีกระทั่งลูก แม่ หรือ สามี หรือ ใครๆ เลยในความคิด มันว่างเปล่า ... ไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าฉันทิ้งทุกคนไว้นอกวัดได้ยังไง ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนฉันแบกทุกคนไว้ ห่วงหาอาทร พวกเขาตลอดเวลา .... ฉันทำตามที่พระอาจารย์สอนกรรมฐานท่านสอน .... และเข้าสภาวะของการนั่งกรรมฐาน .... นั่งไปยังไม่ทันถึง 2 นาทีเลย ก็เหมือนกับคน เอาไฟสปร์อตไลท์สีขาว มาส่องที่หน้าของฉัน จากนั้นก็มีเงาคน เดินผ่านไป ผ่านมา .... ฉันกำลังนึกฉุน ว่าใครหนอ มาพิเรนอะไรตอนนี้ อยู่ๆ ทำไมเอาไฟมาส่องหน้าฉัน .... ฉันลืมตาขึ้นทันที ... ปรากฏว่า ... ไม่มีใคร ไม่มีแสงสปอร์ตไลท์สีขาว เพราะแสงสว่างของห้อง เป็นแสงวอร์มไลท์ ที่เป็นสีเหลืองอ่อน และ ระดับการนั่งของแถว ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนจะเดินผ่านหน้าไปโดยไม่สัมผัสกับตัวผู้นั่งเลย ... ฉันก็เอ๊ะ ... แต่ก็ไม่ติดใจสงสัย หลับตาต่อ ... เพียงใช้เวลาไม่นาน ก็มีแสงนี่อีก ... ฉันก็ลืมตาอีก .... เอาแล้วฉัน .... หรือ “ผี” ในศาลานี้ จะหลอกฉันอีกแล้ว ... อย่าเลย ขอให้ฉันได้ทำในสิ่งที่ฉันปรารถนามานานแล้วด้วยเถอะ ... อย่าต้องให้ฉันเห็นอะไรเลย ... ฉันคิดในใจ ... ฉันนั่งลืมตาอยู่อย่างนั้นสักครู่ ก็ตัดสินใจ นั่งใหม่ กำหนดยุบหนอ พองหนอใหม่ .... แสงมาอีกแล้ว .... ฉันคิดในใจว่า เอาส่องได้ส่องไป ฉันไม่ลืมตาแล้ว ... และฉันก็พยายามมองตามแสงนั้น ในตาใน (หลับตาอยู่) ไป เพื่อจะหาต้นทางของแสง แต่มองเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นต้นทางสักที .... เป็นอยู่อย่างนั้น จนเข้าบัลลังก์ที่ 3 ก่อนจะทำวัตรเย็น .... จนวันรุ่งขึ้น ทำวัตรเช้า และ ลาสิกขากลับบ้านไป ... ความทุกข์ของฉันตอนนั้น เริ่มคลายตัวไปในทางที่ดีขึ้น อาทิตย์ต่อมา ฉัน...ตัดสินใจกลับไปอีกครั้ง เป็นครั้งที่สอง ... เพื่อไปขอบคุณแม่ชีใหญ่ ... แล้วการนั่งปฏิบัติกรรมฐาน ก็เหมือนเดิม ... มีแสงมาเหมือนเดิม ... เออเน๊อะ ... ดูๆ ไป แสงดูช่างอบอุ่นดีเน๊อะ ฉันก็นั่งมองอยู่อย่างนั้น แต่เวทนาสังขารนี่สิ ... ฉันปวดหลังตรงช่วงกระดูกสันหลังมาก จากนั่งหลังตรงเป็นหลังงอ ปวดหัวเข่า จนเหมือนหัวเข่าจะแตกออกจากกัน ... ฉันเลยออกจากกรรมฐานเป็นพักๆ .... จนปลายบัลลังก์ พระอาจารย์ถามว่าใครมีปัญหาอะไรถามได้นะ อย่าอาย อย่ากลัว ฉันก็ถามเลยถึงอาการที่ฉันเป็น .... พระอาจารย์บอกว่า .... “ลองนึกดูสิ ญาติพี่น้อง มีใครที่มีอาการเหมือนเธอนั่งสมาธิหรือเปล่า” ... ฉันนึกถึงย่า เพราะก่อนที่ย่าจะเสียชีวิต ย่าเดินหลังค่อม ย่านั่งยองๆ ไม่ได้ ขาต้องเหยียดตรงตลอดเวลา ... ฉันตอบพระอาจารย์ไปว่า ... “ค่ะ เป็นอาการของคุณย่าค่ะ” ... พระอาจารย์บอกว่า “นั่นแหละ เธอกำหนดไปเลยว่า บุญกุศลที่เกิดจากการปฏิบัติธรรมขอนำส่งให้คุณย่าของเธอ กรวดน้ำให้เธอ และ อดทนกับการนั่ง มันจะปวด จะทรมาณยังไง เธอต้องนั่งต่อไป ให้ขาด แล้วเธอจะไม่มีอาการเหล่านี้อีก ... ฉันถามต่อว่า “แล้วทำไมต้องเป็นแบบนี้คะ” ท่านตอบว่า “เพราะบุญกุศลจากการปฏิบัติธรรมกรรมฐานนั้นแรงบุญเยอะกว่าสิ่งใดๆ ท่านจึงต้องเกาะผู้ที่เป็นญาติพี่น้อง เป็นทายาท เป็นลูกหลาน เพื่อให้นำส่งให้ท่าน ท่านร่วมอนุโมทนาบุญด้วย จนเมื่อพอใจแล้ว ท่านก็ไม่เกาะเธอแล้ว” .... อ่อ เป็นอย่างนี้ นี่เอง .... (แต่ฉันขนลุกที่หัวเลย ที่ท่านตอบว่าย่าเกาะฉันอยู่ อึ๊ยส์ อึ๋ยส์) ... ฉันก็ทำต่อ นั่งต่อไป จนได้กลับบ้านในที่สุด ... จากนั้นอาทิตย์ต่อมา ... ฉันไปอีกแต่คราวนี้ ฉันชวนสามีไปด้วย เพราะอยากให้เขาได้รับรู้และรู้สึกดีเหมือนฉัน ฉันรู้สึกว่า ใจฉันเย็นลง สบายใจขึ้นบ้างแล้ว ... และทุกอย่างก็เหมือนเดิม ... แสงที่เห็นก็เหมือนเดิม แต่คราวนี้ สว่างจ้ากว่าเดิมมาก จ้ามาก จนขนาดหลับตา ฉันต้องหลับตา แบบหลับตาปี๋ ... เป็นอย่างนี้จนวันอาทิตย์ ก่อนจะลาสิกขากลับบ้าน ฉันตัดสินใจ ถามพระอาจารย์ถึงแสงที่เกิดขึ้น .... ท่านบอกว่า .... เธออย่าไปมองนะ เมื่อเห็นให้เธอวางไว้ เพราะไม่อย่างนั้น การปฏิบัติของเธอจะไม่ไปไหนเลย ... สิ่งที่เธอเห็น คือ ของเดิมของเธอ เธอมีของเดิมเป็นทุนรอนอยู่เยอะโขเลย เพียงแค่มาปฏิบัติไม่กี่ครั้ง เธอก็ได้สัมผัสของเธอแล้ว ให้เธอมาอีกนะ มาเรื่อยๆ มาเข้ากรรมฐานที่วัดนะ เธออย่าทำที่บ้าน เพราะจะทำให้ตัวหลงมันเกิดขึ้น ... ฉันตอบท่านว่า ฉันคงไม่สะดวกที่จะมาบ่อยๆ เพราะมีหน้าที่และภาระที่กระทำอยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะทำสมาธิต่อที่บ้าน สวดมนต์ภาวนา ถือศีล 5 เสมอใจ ได้หรือไม่ ... ท่านตอบว่า ได้ แต่ขอให้มีสติรู้อยู่ตลอดเวลานะ เมื่อเธอมีโอกาส ขอให้เธอมาอีก ... ฉันรับปากท่าน และกราบท่านก่อนจะกลับบ้าน ...... เมื่อมาถึงบ้าน ... ฉันอยากถามแม่มาก ... เพราะไม่รู้จะถามใคร ถามพระอาจารย์ท่านก็ตอบเพียงเท่านั้น .... ความอยากรู้ของฉันมันมากเหลือเกิน (นิวรณ์)

    แม่ฉันก่อนหน้าที่จะกลับมาอยู่กับฉัน ท่านแต่งงานกับพ่อเลี้ยง ที่ใช้ชีวิตไปแนวทางเดียวกัน คือ ชอบทำบุญ ชอบสร้างบุญ แม่เป็นคนมีเมตตาสูง ถึงสูงมาก จนบางครั้ง ความเมตตาตรงนั้น กลายเป็นหอกทิ่มแทง ให้ท่านเดือดเนื้อร้อนใจอยู่บ่อยๆ ก่อนที่แม่จะมาอยู่กับฉัน แม่สวดมนต์วันละ 3 ครั้ง นั่งสมาธิทีหนึ่งเป็นหลายๆ ชั่วโมง ท่านไม่ได้ไปเรียนกรรมฐานที่ไหนมา แต่ความที่ชีวิตท่านเจออะไรต่ออะไรมามากเหลือเกิน จนทำให้ชีวิตท่านเกือบจะเป็น “คนบ้า” เพราะเห็นอะไรต่อมิอะไรที่คนอื่นเค้าไม่เห็นกัน หูแว่ว หรือ มีสิ่งมาบอกให้ไปทำโน่นนี่ และป่วยบ่อยมาก จนท่านมาเจอ พระรูปหนึ่ง ในงานบุญแห่งหนึ่ง พระรูปนี้ มองหน้าแม่ แล้วบอกว่า โยม ถ้าวันไหนสะดวก โยมไปหาอัตมาที่วัดนะ โยมมีองค์เทพสูงๆ อยู่ด้วยนะ ถ้าไม่ทำอะไรเลย โยมจะเป็นบ้านะ ... แม่และพ่อเลี้ยงพากันไปหาท่าน ท่านก็บอกกล่าวว่าจะต้องทำสิ่งใด .... สรุปคือ แม่ฉันเป็นคน “มีองค์”

    ฉันถามในสิ่งที่ฉันเป็น ว่าฉันเครียดมากไปจนคิดอะไรต่ออะไรไปเองหรือเปล่า ถึงได้เห็นอะไรแบบนี้ แม่บอกว่า “สงสัยจะเป็นอย่างนั้น เพราะอะไรกัน ฉันนั่งมานานสองนานกว่าจะเป็นแสงอะไรนั่น แต่แกนี่ไปแค่ครั้งแรกก็เห็นแล้ว ฉันก็ไม่รู้จะตอบแกยังไง” .... เอาแล้วสิ ทีนี้เลยกลายเป็นว่า ... ฉันฟุ้งซ่านแน่ๆ ฉันต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ คิดไปคิดมา โอ๊ย...ไม่เอาแล้ว ปวดหัว ....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  7. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #9 เจ้ากรรมนายเวร...ผู้น่าร๊าก.....

    ในขณะที่ชีวิตครอบครัวกำลังจะดีขึ้น แต่หน้าที่การงานของฉัน กลับโดนตำหนิ โดนจับผิดอยู่ตลอดเวลา ในทุกๆ ที่ ที่ฉันได้เคยทำงานด้วย มักจะมีผู้ใหญ่ให้ความเอ็นดูอยู่เป็นเนือง จนวันหนึ่ง “ถึงเวลาที่กรรมกำหนดให้ชดใช้” มาถึง ... ฉันย้ายมาทำที่ใหม่ ซึ่งเป็นบริษัทที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่กี่เดือน ตั้งแต่เริ่มทำงาน ฉันโดนกดในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นฐานะ การศึกษา ความคิด แม้กระทั่งการแต่งตัว จะมีคำต่อว่า ทั้งต่อหน้า และลับหลัง เกิดขึ้นบ่อยๆ เพราะสังคมที่ เขาไฮโซกัน จึงเหมือนจะดูถูกคนที่มาจากรากหญ้าแบบฉัน ฉันไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน คิดมาก คิดมันทุกเม็ด เสียใจ ร้องไห้ตั้งแต่อาทิตย์แรกที่ทำงาน แต่ยังโชคดี ที่หัวหน้างานของฉัน ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับฉัน .... ฉันทำงานแบบถวายหัว ... เพราะบริษัทที่เพิ่งเปิด อีกทั้งยังเป็นบริษัทเล็กๆ ที่ทำงานในระบบครอบครัว คือ อยู่กันแบบพี่น้อง หัวหน้างานของฉัน เขาให้ความสำคัญกับฉันว่า “เราอยู่กันแบบพี่ๆ น้องๆ นะ” เพราะพนักงานในบริษัทมีไม่ถึง 10 คน ฉันจึงเป็นรุ่นบุกเบิกของที่นี่ ... ดูเหมือนจะดีนะ แต่ฉันก็ทุกข์กับสังคมที่นี่ตลอดเวลา และพยายามที่บอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ถ้าฉันไม่เจอปัญหาพวกนี้ แล้วฉันจะแข็งแกร่งได้ยังไง ในหัวฉันจะมีแต่คำว่า “ช่างแ_่งมัน” อยู่ตลอดเวลา เพราะอยากทำงาน อยากได้เงิน ... ฉันจะลาออกจากที่นี่ หลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้ง ฉันจะใจอ่อนกับคำพูดของหัวหน้า ... และความคิดของฉันที่ว่า มีคนทำงานอยู่เพียงเท่านี้ และฉันเป็นลูกน้องคนเดียวของเขา ถ้าฉันไปแล้วใครจะช่วยเขา นั่นคือ “ความรัก” ไม่ใช่ความรักแบบชู้สาว ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมรู้สึกห่วง รู้สึกรักเขามากขนาดนี้ ความรู้สึกที่ว่ารักของฉันคือ เขาเป็นเหมือนอาจารย์ที่สอนความรู้ให้ฉันตลอดเวลา เขาสอนในงาน สอนให้ จนฉันกล้าที่จะมายืนด้วยลำแข้งของตัวเอง ... ฉันจบ Marketing มา แต่ฉันมาทำงาน ด้านออกแบบ ... คำว่า Marketing มันฝังใจฉันมาก เพราะมันเหมือนปมด้อยของฉันที่ฉันมาผิดทางหรือเปล่า ฉันรู้ไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนพวกที่เขาจบ Art กันมา เลยไม่กล้าที่ตัดสินใจอะไรใดๆ ทั้งสิ้น และอีกอย่างสังคมที่กดและข่มของที่นี่ ทำให้ต่อมความมั่นใจของฉันแทบจะหายไปจากตัวฉันเลย กับความคิดที่ฉันเคยคิดว่า “ฉันไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ฉันมีความสามารถ ฉันก็เป็นหนึ่งในปฐพี ไปอยู่ไหนใครก็อยากรับไว้เข้าทำงาน” แต่เปล่าเลย ต่อมที่ว่านั่น มันหดหายไปตั้งแต่เดือนแรกที่อยู่แล้ว มันมีแต่ความหวาดผวา ว่าจะโดนเขาด่า ด้วยวาจาที่มันเจ็บปวดไหม เขาจะแสดงอาการโกรธโมโห เหมือนเค๊าอยู่บ้านเค๊าไหม เขาลืมไปหรือเปล่า ว่าฉันมาทำงานแลกเงิน ไม่ได้มาขอเงินเขาใช้ เขาลืมไปหรือเปล่าว่า ฉันก็มีมือ มีเท้า กิน ขี้ หิวข้าว ปวดฉี่เหมือนเขา ฉันมีความคิด มีความรู้สึก มีความรัก และรู้สึกเสียใจ ดีใจ เหมือนเขา เขาลืมไปหรือเปล่า .... ช่วงนั้น ฉันพบกับสามีพอดี ... และเริ่มใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน .... ฉันทำงานแบบจันทร์ถึงอาทิตย์ เพราะมีฉันคนเดียวที่เป็นลูกน้อง ให้ทำอะไร ฉันก็ทำ เพราะคำว่า “รัก” นี่แหละ ฉันก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่ามันมีเหตุผลอะไรมากมายนักหรือที่ทำให้รู้สึกได้ขนาดนี้ รักเขาในฐานะอาจารย์ พ่อ พี่ เพื่อน จนกระทั่ง...สามีฉัน เขาทนไม่ไหว บอกฉันว่า ลาออกเถอะ ทำงานอะไรกันขนาดนี้ ชีวิตครอบครัวไม่มีเลย ไม่มีแม้เพียงแค่ชั่วโมงเดียว ไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนกัน กินข้าวเย็นด้วยกัน หรือ นั่งดูหนังด้วยกันเลย เงินเดือนผมเท่านี้ ผมเลี้ยงคุณได้ ถ้าเราไม่ฟุ่มเฟือยกัน ลาออกเถอะ .... แว๊บแรก ... ฉันดูเหมือนจะเห็นด้วย ... แต่วินาทีต่อมา ... ฉันตอบว่าไงรู้มั๊ยคะ ... ฉันตอบว่า ... ไม่ลาออก ... เพราะฉันมีหลายชีวิตที่ต้องเลี้ยงดู ถ้าฉันมาให้คุณเลี้ยง แล้วพ่อแม่ตาและน้องฉันละ ใครจะเลี้ยง ใครจะส่งเสียให้เรียน ในขณะที่ฉันทิ้งภาระ แล้วสบายตัวคนเดียว ... ถ้าจะให้ลาออก .... ฉันว่าเราเลิกกันดีกว่า ... ฉันเลือกงาน เพราะฉันมีภาระต้องรับผิดชอบ .... ดูสิคุณ ถ้าเป็นคุณ คุณจะตอบว่าไง .... สามีดิฉันอึ้งไปค่ะ แล้วเค๊าก็ไม่พูดคำพูดพวกนี้อีกเลย และใช้ชีวิตเหมือนเดิม ..... จนวันหนึ่งดิฉันแต่งงาน และมีลูก ฉันก็โดนตำหนิว่า ขี้เกียจ ป่วยบ่อย ฉันเป็นธาลัสซีเมีย โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อน การคลอดลูกของฉัน เป็นการวางยาสลบและผ่าออก ฉันเคยผ่านการผ่าตัดมาแล้ว 2 ครั้งโดยการวางยาสลบ ยาสลบจะมีผลกับร่างกาย เพราะทำให้สมองเบลอ หลงๆ ลืมๆ ในเรื่องเล็กๆ น้อย ส่วนธาลัสซีเมียมีผลกับการผ่าตัดเพราะ ... เม็ดเลือดแดงน้อยอยู่แล้ว แต่สูญเสียเลือดจากการผ่าตัด ทำให้ร่างกายของฉัน down ลงไปเกือบ 40% จากที่เคยทำงานถึกๆ ได้เป็นคืนๆ ก็ไม่มีอาการ กลับกลายเป็นว่า อยู่ดึกหน่อย ก็เวียนหัว อดนอนก็เวียนหัว คิดอะไรไม่ค่อยออก บางทีตื่นเช้ามา หน้าซีดเป็นไข่ต้มเลย เวียนหัวมาก จะเดินไปขึ้นรถ ยังไม่มีแม้กระทั่งแรงจะขับรถ ... และฉันก็โดนด่า โดนแดกดันตลอดเวลา .... ฉันก็ยังอดทน อดทน อดทน ... คิดในใจว่า ถ้าไม่ไล่ฉันออก ก็ถือซะว่า จ้างฉันมาเพื่อด่าก็แล้วกัน ... ฉันยื่นใบลาออกอยู่ประมาณ 4-5 ครั้งในขณะที่อยู่ที่นี่ ฉันอยู่จนกระทั่งพนักงานมีเพิ่มขึ้น มีคนมาช่วยงานฉันหมุนเวียนเปลี่ยนหน้ากันไปตลอดเวลา และฉันก็แนะนำคนที่เขากำลังตกงานให้มาทำงานที่เดียวกับฉัน เพื่อเป็นลูกมือของเจ้านาย และ เบางานของเพื่อนในแผนกและตัวฉัน ... ทุกอย่างยังเหมือนเดิม ฉันโดนด่าต่อหน้าคนหลายๆ คน ต่อหน้าพนักงานที่อายุน้อยกว่า ในขณะที่หัวหน้างาน ยกให้ฉันเป็นคนซุปเปอร์ไวน้องๆ ที่เข้ามาใหม่ ฉันก็โดนด่า โดนว่าต่อหน้าเขา ฉันเคยเสียใจ เคยอาย เคยรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมาก จนทุกอย่างมันชา มันด้าน เหมือนกับรับสภาพกรรมที่ถูกกำหนดให้ถึงเวลาชดใช้ ... คนที่ฉันแนะนำให้มาทำงาน ก็กลายเป็นคิดอะไรก็ไม่รู้ อยู่ๆ ก็เกลียดฉันแบบไม่ให้อภัย โดยที่ฉันหาสาเหตุไม่ได้ และพยายามจะหาทางคุยด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เปิดช่องว่างให้คุยเลย หรือเค้าคงลืมไปว่า ก่อนหน้านั้นเขาตกงานอยู่ ถ้าฉันไม่เจอเขา เขาจะได้ทำงานที่นี่หรือเปล่า ... ฉันคิดไปก็น้อยใจไป เพราะหาสาเหตุไม่เจอจริงๆ สรุป ฉันกลายเป็นคนผิดทั้งหมดของทุกอย่าง ฉันทนอยู่ที่นี่ เกือบ 10 ปี และวันสุดท้ายของการชดใช้เวรกรรมก็มาถึง ... เจ้านายเรียกฉันไปด่า แบบหาข้อดีไม่เจอเลย ลืมไปเลยว่า เคยทำงานกันมาแค่สองคน บอกว่า ให้เวลาฉันอีกแค่เดือนเดียวในการปรับตัว ... ฉันหน้าชา และรู้สึกเหมือนตัวเองไม่ผ่านโปร ในขณะที่ทำงานมาแล้ว 9 ปี ฉันถูกต่อว่าเหมือนกับเป็นขยะกองใหญ่ที่ขวางทางเดินของคนในบริษัท ... เชื่อไหม ฉันยังอุตส่าห์คิดต่อว่า ไม่เป็นไร 1 เดือนที่เหลือ ฉันจะทำงานให้เขา จนกว่าเขาจะหาพนักงานใหม่แทนฉันได้ ... ฉันกลับมาบ้าน ... คิดแล้วคิดอีก คิดอยู่อย่างนั้น ว่านี่คือ ธรรมชาติของมนุษย์ใช่ไหม ฉันกำลังใช้กรรมใช่ไหมที่ผ่านมา และมันกำลังจะสิ้นสุดใช่ไหม ... ก่อนหน้านี้ ฉันไม่เคยกอดแม่เลย ไม่เคยแม้แต่จะคิด ... แต่เหมือนฉันมีเหมือนกำลังจะก้าวตกเหว ... ช่วง 2 เดือนหลังก่อนจะออกจากงาน ฉันขอกอดแม่ทุกเช้าก่อนไปทำงาน ฉันกอดแม่พร้อมกับร้องไห้ ... เหมือนขอกำลังใจจากแม่ ... แม่ถามฉัน ฉันก็อยากเล่าให้ฟัง ... แต่ความที่ฉันยกพวกเขาไว้สูง จนแม่เห็นถึงความดีและบุญคุณของพวกเขามาก ... จึงบอกให้ฉัน อดทนเพียงอย่างเดียว อย่าลาออก ... สุดท้าย วันรุ่งขึ้น ฉันกลับมาพร้อมกับใบลาออก และขอข้อแม้ว่า จงอย่าพูดอะไรกับฉันอีกเลย 3 วันที่เหลือ ฉันขอทำงานของฉันจนครบเดือน เพราะอีกเดือนที่เหลือที่กำหนดเวลาฉันนั้น ฉันไม่สามารถเหยียบพื้นที่ตรงนั้นได้อีกเลย ไม่สามารถจริง ไม่ต้องการแม้กระทั่งคำร่ำลา ไม่ต้องการแม้กระทั่งการเลี้ยงส่ง เพราะฉันอยู่ที่นี่ ไม่เคยคิดอยากได้อะไรเลย ฉันเพียงแค่อยากทำงานจริงๆ ไม่ได้อยากได้หัวโขนที่เขาพยายามยัดเยียด และใช้มันเป็นข้อต่อรองตลอดเวลา ... ขอบคุณที่พูดความจริงกับฉันที่ว่า “บริษัทเขาอยู่ได้ด้วยเงิน ไม่ใช่ความรัก” ขอบคุณที่เป็นบทเรียนให้ฉันสำนึกไว้ต่อจากนี้ไปว่า ฉันจะไม่ให้ใจใครอีกเลย ขอบคุณที่สอนความเป็นคนที่กล้าจะเดินด้วยตัวเอง ขอบคุณสำหรับความรู้ ความสามารถที่ป้อนให้ ขอบคุณกับความรัก ที่เคยเอ่ยปาก ว่าเราเหมือนพี่เหมือนน้อง ถึงแม้ว่า วินาทีนี้ มันจะกลายเป็นการหลอกใช้ไป ขอบคุณที่ทำให้ฉันรู้ว่าในสังคมของการทำงานบริษัทเล็กๆ ยังมีแม้กระทั่งการแบ่งชนชั้นวรรณะ แบ่งแม้กระทั่งแม่บ้านที่คอยวิ่งซื้ออาหารให้พวกเรา แบ่งกระทั่งพนักงงานรับโทรศัพท์ว่าเขามีการศึกษาน้อย และเขาไม่ใช่เหรอที่รับโทรศัพท์และต่อโทรศัพท์ให้เรา ทำให้เราทุกอย่าง บางคนลืมไปว่า เขามาจากอะไร แล้วแม่บ้าน พนักงานรับโทรศัพท์ หรือแม้คนที่เขาทำงานด้วย .... เขาก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา มีความรู้สึก มีความรัก มีเสียใจเหมือนเรา .... ทำไมถึงมองเขาด้อยค่าได้เพียงนั้น .... ขอบคุณ ขอบคุณ และ ขอบคุณ .....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  8. The Shadow

    The Shadow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +1,732
    เขียนได้น่าอ่านมากครับ ติดตามๆ
     
  9. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ขอบคุณค่ะ ตามไปเรื่อยๆ นะคะ และจะทราบว่า มีเหตุผลใด ที่ดิฉันต้องมาเขียนค่ะ ^ ^
    เมื่อกี้กำลังจะเล่าถึงการไปปฏิบัตธรรมให้ได้อ่านกันค่ะ พิมพ์ไปจนจะจบตอนแล้ว อยู่ๆ text หายไปหมดเลย เดี๋ยวจะลองใหม่่ค่ะ
     
  10. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #10 อิอิ...สมปรารถนา..เสียที

    หลังจากที่ตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่อนๆ ที่รู้ข่าว ก็ต่อว่าฉันว่า แกทนมาได้ตั้งนาน ทำให้เขาขนาดนี้ ทิ้งเพื่อนฝูงทำแต่งาน จนเพื่อไม่คบขนาดนี้ เขาไม่คิดจะให้เงินแกสักบาทเลยเหรอ อายุการทำงานขนาดนี้ เงินเดือนขนาดนี้ น่าจะได้หลายอยู่ หรือ แกจะฟ้องไหม ที่เขาใช้เทคนิคได้แยบยลมาก ฉันตอบว่า ไม่หรอก ถ้าแกจะมองว่าฉันโง่ ฉันก็ยอม เพราะสิ่งที่เขาให้มา ฉันอิ่มแล้ว ฉันไม่ได้อยากได้อะไรจากเขาอีกแล้ว สงสารเขา ถ้าเขาจะมาเสียเงินก้อนโต แล้วทำให้เวรกรรมมันไม่ขาดจากกัน ฉันไม่เอาหรอก อีกอย่าง ฉันมีมือมีเท้า ไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ยากหรอก .....นั่นคือความคิดสุดท้ายของฉันกับที่นี่

    ความคิดเรื่องการบวชก็ผุดเข้ามาแทนที่ทันที ... ฉันเคยปรารถนาพบ “สุขในสุข” มาแล้ว เมื่อ 10 กว่าปีก่อน อยากบวชหลายๆ วัน นี่เป็นโอกาสอันดีของฉันแล้ว ที่จะได้ทำในสิ่งที่ปรารถนามานานแสนนานแล้ว ฉันจึงตัดสินใจไปบวช ตั้งใจว่าจะบวช 9 วัน เพื่อเอาฤกษ์เอาชัย เพื่อเป็นกำลังใจในการเริ่มชีวิตใหม่ ของฉัน ... เผอิญช่วงที่ฉันจะไปบวช เป็นเวลาปลายปีพอดี ก็เท่ากับว่า ฉันได้บวชข้ามปี ... ^ ^ อิอิ มันดีใจเน๊าะ ....อีส้ม สมหวัง...อิอิ .....

    แต่ไปคราวนี้ ทำไมคนเยอะขนาดนี้ หันไปทางไหนก็เจอแต่คน แออัดกัน จะกรรมฐานในศาลาปฏิบัติธรรมก็คนเยอะเสียเหลือเกิน เดินจงกลม จนแทบจะชนกันอยู่แล้ว .. ฉันเลยตัดสินใจไปกรรมฐานข้างๆ โบสถ์หลวงพ่อสมปรารถนา ... ก่อนจะปฏิบัติธรรม ฉันเข้าไปกราบท่าน ขอมอบกายถวายชีวิตต่อท่าน และบอกกล่าวกับท่านว่า “หลวงพ่อเจ้าขา ขอให้หนูพบสุขในสุขด้วยนะเจ้าคะ สาธุ” แล้วฉันก็หยิบอาสนะ มานั่งที่ด้านซ้ายมือของหลวงพ่อ เป็นข้างนอกตัวโบสถ์ ... ฉันเดินจงกลม กำหนด ซ้ายย่างหนอ ยกหนอ ย่างหนอ ฯลฯ ไปเรื่อย ผู้ที่ปฏิบัติธรรมก็ทยอยกันออกมาพักที่ต้นโพธิ์ข้างโบสถ์ บ้างก็สนทนากัน บางก็นั่งพักร้อน พักเหนื่อย พักเมื่อยกัน เสียงเหมือนนกระจอกแตกรังยังไงอย่างนั้น ... พอเดินเสร็จฉันก็นั่งกรรมฐาน กำหนดยุบหนอ พองหนอ กำหนดที่ลิ้นปี่ไปเรื่อยๆ และนึกถึงคำของพระอาจารย์สอนกรรมฐานที่บอกว่า “เห็นอะไรก็ปล่อยไป อย่าไปตาม กำหนดให้อยู่ที่ลมหายใจเพียงอย่างเดียว จะเจออะไร รู้สึกยังไง หรือได้ยินอะไร ก็บอกไป รู้หนอ รู้หนอ ปวดหนอ ปวดหนอ ได้ยินหนอ ได้ยินหนอ แล้วหันมาที่ลมหายใจอย่างเดียวอย่าไปตามมัน ไม่อย่างนั้นจะไม่ไปไหนเลย” ฉันจำคำพวกนี้ขึ้นใจ และปฏิบัติตาม ... ในขณะที่นั่ง อาการปีติมาเป็นระยะ ตั้งแต่ ขาแขนสั่น ขนลุก น้ำตาไหลเหมือนก๊อกแตกเลย ไหลอาบแก้มตลอดเวลา ฉันก็ไม่สนใจ กำหนดลมหายใจอย่างเดียว นั่งไปนานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ ...อยู่ๆ เสียงนกกระจอกพวกนั้น ก็หายไป เหมือนลมหายใจหายไป ฉันก็พยายามมีสติ ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ นั่งตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน กำหนดลมหายใจต่อไป และมีภาพคล้ายๆ สไลด์ขึ้นมา ทีละภาพ ทีละภาพ ฉันก็กำหนด รู้หนอ เห็นหนอไปเรื่อย และไม่สนใจ กลับมาที่ลมหายใจเหมือนเดิมอยู่อย่างนั้น ... จนกระทั่ง ... ฉันรู้สึกเหมือนกับว่า ตัวเองอยู่ในโล่งกว้าง ไม่ร้อน ไม่หนาว ไม่รู้สึกกระทบอะไร หลังที่นั่งนานและมีอาการงอ อยู่ๆ ก็เหมือนไม้กระดาน เข้าล็อคอะไรสักอย่าง จากนั้น ความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อยล้า หายไปไหนไม่รู้ ตัวเบาหวิว มันสบายจนบอกไม่ถูก เพราะไม่เคยเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันวิ้งๆ เหมือนตัวเองอยู่ในอวกาศ เหมือนอยู่ในถุงพลาสติก ที่มีลมเต็มถุง และมีฉันอยู่ตรงกลาง ...ฉันเห็นตัวเองยิ้ม ยิ้มหวานเชียว ...จากนั้น ฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเพื่อนกัลยาณธรรม ที่มาตามไปทานข้าว คงใกล้จะเพลแล้ว เขามายืนมองอยู่ ฉันเลยกำหนดในใจบอกเขาว่า ไปก่อนเถอะ ขอนั่งอีกสักพัก จะตามไป ... ฉันไม่รู้ว่าเขาได้ยินหรือเปล่า ... เพราะเพียงแค่นึกเสร็จ เขาเดินจากไป .... ฉันนั่งอยู่อย่างนั้นอีกสักพัก ... ฉันจึงออกจากกรรมฐาน และลุกขึ้นยืน แปลกมาก ... ฉันนั่งนานมาก คงเป็นชั่วโมงๆ มั๊ง แต่ทำไม ตัวฉันเบาอย่างนี้ ไม่ปวดเมื่อยเลย .... พอลุกขึ้นยืนและกำลังจะก้าวเดินเท่านั้น .... ก็มีคำพูดออกจากปากฉันว่า “อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา” ในขณะที่ก้าวเท้าเดิน ฉันเหมือนตัวเบา เท้าเบา เหมือนเท้าฉันไม่ติดพื้น .... นี่กระมังที่เขาเรียกว่า “สุขในสุข”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  11. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    อิอิ...จ้า อ่านต่อไป แล้วน้องจะรู้ในสิ่งที่พี่บอกกล่าวในประสบการณ์ที่พี่เจอมา เน๊าะ ... สู้สู้
     
  12. OneLostSoul

    OneLostSoul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    985
    ค่าพลัง:
    +355
    5555 ชั้นอ่านยังขำ

    แกจะขยันลุกไปไหนนักหนาวะดา ลุกจัง... เอิ๊ก ๆ
     
  13. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #11 ไม่เอา...หนูไม่ช่วย...

    จากนั้น ฉันก็ไปถามพระอาจารย์และได้คำตอบในเรื่อง “ของเก่าเป็นทุนเดิมมา” ฉันก็ไม่ตามแล้ว ฉันตัดสินใจ สมาทานศีล 5 เสมอใจ สำรวมวาจา และใจ ไม่ให้ก่อกรรมอีก และตอนนี้ ฉันก็ยกอโหสิกรรมให้กับคนที่ทำให้ฉันเจ็บช้ำน้ำใจไปแล้วไม่ว่าใครก็ตาม ฉันบวชอยู่ 7 วัน ก็มีอันต้องกลับบ้าน เพราะแม่ไม่สบาย ฉันก็นึกในใจว่า ไม่เป็นไร ได้เท่านี้ ฉันก็ดีใจแล้ว เพราะไม่รู้อีกนานแค่ไหน ที่ฉันจะได้บวชยาวนานแบบนี้อีก .... แล้วทุกอย่างก็พรั่งพรู .... ฉันเริ่มเข้าใจในธรรมเทศนา ที่พระอริยเจ้าท่านได้เทศนาไว้.....ก่อนหน้านี้ ... ฉันได้แต่ฟัง แต่บางอย่าง ฉันไม่เข้าใจ และไม่คิดจะค้นคว้า ปล่อยให้มันเป็นไป ... ฉันไม่เคยเปิดหนังสือกรรมฐานอ่านเลย ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่า กรรมฐานมีกี่กอง และมีอะไรบ้าง รู้แต่เพียงว่า การปฏิบัติธรรมที่เกิดขึ้น 4 ครั้งที่ผ่านมา ทำให้ใจฉันเย็นลง ทำให้คนในบ้านไม่ทะเลาะกัน อยู่กันด้วยความรัก ภาพนี้ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้เห็น ลมหายใจที่เคยถี่ ก็หายใจช้าลง หายใจได้ยาวขึ้น ลมเข้าไปลึกมากกว่าเดิม เพราะเมื่อก่อนฉันรู้สึกว่า ฉันหายใจเอาอากาศเข้าไป แค่หน้าอกเท่านั้น ไม่เคยรู้สึกเลยว่า อากาศที่เข้าไปถึงสะดือ มันเป็นยังไง .... จนกระทั่ง ..... คืนหนึ่งฉันนอนหลับตามปกติ ... แล้วจู่ๆ ก็ฝันว่า .... ฉันแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ดสีขาว ซอยผมเหมือนเด็กผู้ชาย อายุฉันน่าจะประมาณ 20 กว่าๆ เห็นจะได้ สถานที่ที่อยู่ ณ ตอนนั้น เป็นเหมือนห้องเรียน มีโต๊ะ เก้าอี้ ไว้สำหรับนั่งเขียนหนังสือ เพียงไม่กี่ตัว ห้องนั้น มีคนอยู่ประมาณ 10 กว่าคนเห็นจะได้ มีคนหลายช่วงอายุคละกันไป มีแก่บ้าง มีเด็กบ้าง มีผู้ใหญ่บ้าง ชาย และ หญิง .... บ้างก็ยกเก้าอี้หันหน้าเข้าหากัน สนทนากันออกรสออกชาติ บ้างก็นั่งรอด้วยใจจดจ่อที่จะได้เรียน บ้างก็เด็กเสียจนยังมัวแต่นั่งเล่นเพื่อรอเวลา ..... ฉันยืนมองด้วยความสงสัย ในเขาเหล่านั้น แต่ตัวฉันเอง ที่มาทำอะไรกัน ณ ที่นี้ ... คิดได้เท่านั้น ... ก็มีเสียงเท้าคนเดินเข้ามาพร้อมกับผู้ที่ต้องใช้ไม้เท้ายัน เป็นระยะ .... ภาพข้างหน้าที่ฉันเห็น เป็นผู้ชายสูงอายุคนหนึ่ง ถือไม้เท้าหัวงอลงมาประมาณหนึ่ง แต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีขาว อายุน่าจะประมาณ 80-90 เห็นจะได้ ผมท่านขาวทั้งศีรษะ หนวดขาว ความขาวของผมและหนวดนั้น ขาวสวยเหมือนแพรไหมเลย ท่าทางท่านมีเมตตามาก มือท่านข้างหนึ่งถือไม้เท้าไว้ยันตัว และที่แขนอีกข้างหนึ่งก็มีผู้ชายหนุ่มๆ ประคองท่านไว้ .... ท่านเดินเข้ามาในห้อง และ โน้มตัวลงนั่งบนเก้าอี้ นำไม้เท้ามาวางไว้ระหว่างขา และสองมือจับหัวไม้เท้าไว้ .... ท่านมองฉันได้ ... ยิ้มให้ฉัน และ พูดกับฉันว่า ....

    ท่าน : เข้ามาหาพ่อสิลูก
    ฉัน : (ในความรู้สึกตอนนั้น เหมือนฉันจะรู้ว่าตัวเองเป็นใคร และท่านเป็นใคร และมีความสันพันธ์กันอย่างไร.....แต่ฉันนึกไม่ออกว่าฉันคือใคร) ฉันคลานเข้าไปหาท่าน ไปนั่งต่อหน้าท่านและก้มลงกราบที่เท้า : ท่านยิ้มให้ฉันและบอกกับฉันว่า
    ท่าน : ถึงเวลาที่เจ้าต้องช่วยคนแล้วลูก
    ฉัน : ช่วยยังไงคะ หนูไม่ช่วยหรอก
    ท่าน : ถึงเวลาที่เจ้าต้องช่วยคนแล้วลูก
    ฉัน : โอ๊ย...หนูไม่ช่วยใครหรอก หนูเพิ่งปฏิบัติมาไม่กี่ครั้งเอง คงไม่มีบุญวาสนาอะไรไปช่วยใครได้หรอก...
    ท่าน : ไม่เป็นไร...พ่อจะนำเจ้าเอง
    ฉัน : หนูไม่ช่วยหรอก...หนูยังตกงานอยู่เลย...เงินก็ไม่มี...ยังต้องดูแลทุกคนใน ครอบครัวอีก หนูคงช่วยใครไม่ได้หรอก หนูยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย...งานก็ไม่มีทำ...หนำซ้ำหนูยังเอาตัวไม่รอดเลย จะไปช่วยใครเขาได้ยังไง
    ท่าน : ไม่เป็นไร...พ่อจะนำเจ้าเอง
    ฉัน : ถ้าต้องช่วย .... หนูไม่ขอเป็นคนทรงเจ้า, ไม่เป็นหมอดู,
    ท่าน : ไม่เป็นไร...พ่อจะนำเจ้าเอง
    ฉัน : ถ้าช่วยเขาแล้ว หนูต้องไม่เดือดร้อน ไม่ต้องวิ่งไปช่วยเขาจนไม่มีเวลาดูแลครอบครัว ไม่ต้องเสาะแสวงหาคนช่วย หรือ ต้องดั้นด้นไปหาเค๊าถึงที่ ถ้าช่วยเขาแล้วครอบครัวหนูต้องไม่เดือดร้อน ครอบครัวต้องไม่แยกแยก ถ้าช่วยเขาแล้ว หนูยังได้ทำงานที่หนูรักอยู่ ยังมีงานทำอยู่ ไม่ใช่ไม่ให้หนูทำอะไรเลย เอาแต่ช่วยคน แล้วหนูไม่มีแม้กระทั่งข้าวให้คนในบ้านกิน หนูไม่เอา บลา บลา บลา หนูไม่เอา หนูไม่ช่วย .... T T
    ท่าน : ไม่เป็นไร...พ่อจะนำเจ้าเอง

    ท่านพูดเพียงแค่ประโยคเดียวทุกครั้งที่ฉันตั้งเงื่อนไขไว้รอบตัวเอง จนเหมือนตัวเองมุดลงไปในกล่องแล้วปิดฝาทุกด้าน เพราะคำๆ เดียว...ไม่เอา ไม่เอา ไม่เอา .... ท่านก็พูดเพียงประโยคเดียวทุกครั้งที่ฉันยกเงื่อนไขมา .... จนฉันใจอ่อน ...
    ฉัน : ช่วยก็ได้ แต่หนูจะไม่ทำทั้งหมดที่หนูบอกไป
    ท่าน : พ่ออยากได้ยินแค่คำนี้คำเดียว ทุกอย่างพ่อจะนำเจ้าเอง

    แล้วท่านก็ให้ฉันคลานเข้าไปหาท่านใกล้ๆ ให้ฉันหลับตา ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนท่านใช้นิ้วมือที่แข็งแรงมาก จนฉันอดคิดไม่ได้ว่า ท่านใช้ไม้ หรือ ปลายไม้เท้าท่าน จรดที่กลางกระหม่อมของฉัน แล้วไล่ลงมาตรงหน้าผาก จากนั้น ก็ไล่กลับขึ้นไปที่กลางกระหม่อมเหมือนเดิม แล้ว จิ้ม ... ปุ๊กลงไปที่กลางกระหม่อม ... ในความรู้สึกที่สังขารที่ฉันนอนหลับอยู่ มันเหมือนมีของเหลวอุ่นมากไหลวิ่งซ่านออกไปทั้งแขนและขา วิ่งไปทั่วตัวของฉัน .... จากนั้นในฝัน ... ท่านก็ให้ฉันเห็นภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันรู้จัก ... เห็นทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมาของเขา และบอกฉันว่า ตาที่เจ้าเห็นนั้น มีอะไรที่ซ่อนเร้นอีกมากนัก จงอยู่ให้ห่างผู้หญิงคนนี้ และเพียงแต่มองดูเท่านั้น .... จากนั้น ก็ให้ฉันเห็นภาพถ่ายที่เหมือนภาพถ่ายติดบัตร มี background สีฟ้า .... น้องคนนี้อยู่ตรงข้ามบ้านฉัน ... (ในชีวิตจริง ฉันเพียงแค่ทักทายคนทั่วไป ฉันไม่ชอบไปยุ่งวุ่นวายกับคนอื่น หรือสนิทสนมกับใคร ฉันเป็นคนสันโดษ ชอบอยู่คนเดียว ฉันจึงไม่เคยรู้ว่า บ้านไหน เค้าทำงานอะไร ใช้ชีวิตกันแบบไหน เพราะฉันคิดว่า แค่คิดเรื่องในครอบครัว ฉันก็เหนื่อยแล้ว ฉันจึงไม่ชอบที่จะเอาคนอื่นมาหนักสมองฉันอีก) .... ท่านบอกว่า ... เด็กคนนี้เป็นเด็กกตัญญู ... ตอนนี้เขากำลังมีเคราะห์ เขากำลังมีเคราะห์ เขากำลังมีเคราะห์ (เหมือนเสียงสะท้อน) .... แล้วฉันก็สะดุ้งตื่นขึ้น "_"!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  14. หายใจ

    หายใจ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +13
    ขอให้พี่มีความสุข และอนุโมทนาบุญที่พี่ช่วยเหลือผู้อื่น สักวันหนึ่งคงได้เจอกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กุมภาพันธ์ 2011
  15. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #12 ....เอาแล้วสิ....เขาจะว่าฉันบ้าหรือเปล่าเนี่ย !!!.....

    ฉันสะดุ้งตื่นมา ... ยัง งง กับสิ่งที่เกิดขึ้น ....เอ๊ะ!! นี่ฉันฝันไป หรือ เป็นเรื่องจริง... เพราะในกายฉันยังอุ่นมากเลย เหมือนเลือดอุ่นๆ ยังวิ่งพล่านในกายอยู่เลย ...ฉันมองนาฬิกา..“อ้าวตี 4 ครึ่งเองเหรอ”...ฉันทำท่าจะนอนต่อ แต่นอนต่อไม่ได้เลย ...มันร้อนแบบบอกไม่ถูก...ฉันนึกในใจ นี่ฉันนอนแอร์อยู่หรือเปล่าเนี่ย...ไม่ได้รู้สึกว่าเย็นเลย... ฉันจึงตัดสินใจลุก แล้วลงมาเตรียมอาหารให้ลูกและสามี .... ปกติช่วงเช้า ฉันจะไม่ค่อยอยากคุยกับใคร ... เพราะฉันเป็นคนขี้หงุดหงิด ขี้รำคาญ ... ยิ่งเช้าๆ วุ่นๆ อย่ามีใครแหยมหน้ามาคุยด้วยเลย ... ดีไม่ไดี ฉันจะกัดเอา 55555+++ แหมก็วุ่นวาย หันไปหันมา ไหนจะเตรียมอาหารให้ลูก สามี เตรียมตัวลูกเพื่อจะไปโรงเรียน มันเหมือนสงครามเล็กๆ ในบ้านเลย ... ใครที่มีลูก ..ฉันคิดว่า น่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้เน๊าะ ...และปกติแม่ก็จะไม่มาคุยกับฉันตอนเช้าหรอก เพราะรู้อาการฉันดี ...

    แต่วันนั้นผิดปกติ ... แม่เดินข้ามมาหาฉันตั้งแต่ 7 โมงเช้า ...ฉันสองจิตสองใจ จะเล่าดีไหม ถ้าเล่าไป มันก็แค่ความฝัน แล้วจะไปเอาอะไรกับความฝัน ...แต่..แม่ของฉันเป็นคนชอบตีฝันเป็นหวย..ฉันก็เลยคิดว่า...แหะ แหะ แหะ ...อาจจะฝันเป็นเลขเด็ดให้แม่ก็ได้ ...เลยเล่าให้ฟังทั้งหมด....ปรากฏว่า...เรื่องไม่เป็นอย่างนั้น...แม่ตกใจ และบอกกับฉันว่า...แม่จะไปเล่าให้น้องฟัง...ฉันบอกแม่ว่า..อย่าไปเล่าเลย มันแค่ความฝัน เดี๋ยวเขาจะหาว่าเราบ้า...อีกอย่างเราก็ไม่รู้ว่าเขามีเคราะห์อะไรนั่นจริงหรือเปล่า...แม่บอกว่า ไม่เอา แม่จะไปเล่าให้เขาฟัง เขาไม่เชื่อก็ช่างเขา แม่ก็จะบอกตามที่แกพูดนี่แหละ ....โอ๊ย...คุณเอ๋ย...ฉันอยากจะเป็นลม...นี่เค้าจะว่าฉันบ้า เพ้อเจ้อไหมเนี่ย..แต่จะห้ามแม่ก็ไม่ทันซะแล้ว...โน่น..ไปหน้าบ้านเขาแล้ว...

    เผอิญเขากำลังจะไปทำงาน ลงมาเตรียมรถอยู่ ....ฉันมองผ่านหน้าต่างบ้านฉันออกไป...เหงื่อแตกเลย...ย่ิงร้อนๆ อยู่ ...ลุ้นกลัวเขาจะว่า...บ้านเราบ้าทั้งลูกทั้งแม่..."_"!!! ...แม่คุยกับเขาได้แป๊บนึง...แม่ก็เดินเข้ามาบอกฉันว่า ...แม่บอกเขาว่า เนี่ยพี่เขาฝันแบบนี้ เธอจะเชื่อหรือไม่อยู่ที่พิจารณาเอาน่า และยายเห็นว่าต้องบอกเธอ...เขาบอกแม่ว่าเขาเชื่อ..ตอนนี้เขากำลังมีเรื่องกับคนที่ทำงานร่วมกันอยู่ เขามีเรื่องชกต่อยกันมา ...และตอนนี้เขาอายุ 34 ย่าง 35 ปี ...วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ เขาตั้งใจจะไปถวายสังฆทาน...ฉันได้ยินแม่พูดแค่นั้น...ฉันไม่เคยสวนคำพูดแม่แบบทันควันอย่างนี้มาก่อนเลย...อยู่ๆ ฉันก็พูดสวนแม่ไปว่า...ไม่ได้ รอไม่ได้แล้ว ต้องไปทำวันนี้ พรุ่งนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นไม่ทันแล้ว...แม่ตกใจแล้วตวาดใส่ฉันว่า...แกจะบ้าเหรอ เค๊าไม่ใช่ลูกฉันนี้ ฉันจะไปบังคับ หรือ สั่งเค๊าได้ยังไง...พูดด้วยอารมณ์โมโห แล้วก็เดินออกไป...ฉันคิดว่าแม่กลับเข้าบ้าน..เปล่าเลย..แม่เดินกลับไปที่บ้านของเขา...ทีนี้ทำยังไงล่ะ...ตัวฉันร้อนเหมือนไฟ ร้อนจนเหงื่อซึม...อาการเหมือนคนไฟรนก้นเลย...เหมือนจะอยู่ไม่ได้...ต้องทำอะไรสักอย่าง...ฉันจึงตัดสินใจเดินไปที่บ้านน้องเขา...เห็นแม่กับภรรยาของเขากำลังสนทนากัน...อยู่ๆ คำพูดที่มันอัดอั้น...เหมือนสาส์นมาแล้ว..แต่ยังไม่ถึงมือผู้รับ...ยังไงยังงั้นเลย...ก็พรั่งพรูออกมา...โดยไม่สนใจว่าเขาจะคิดยังไง...

    ฉัน : อย่ารอเลยนะ ให้รีบถวายสังฆทานให้เร็วที่สุด พรุ่งนี้ได้ จะยิ่งดีมาก เพราะจะไม่ทันแล้ว...พี่ไม่รู้ว่าน้องจะเชื่อหรือไม่นะ..แต่พูดได้คำเดียวว่า...จะไม่ทันแล้ว...
    ภรรยาของน้อง : เชื่อๆๆ พี่ หนูเชื่อ หนูเพิ่งดูรายการอะไรนะเมื่อคืนนี้ .. ที่เขาชื่อริว ริวอะไรนี่แหละ...พี่เป็นเหมือนเขาเลย...หนูเชื่อ..เดี๋ยวหนูจะรีบบอกแฟนให้รีบทำนะ...
    ฉัน : อย่าเชื่ออย่างงมงายนะ เพราะเป็นแค่ความฝัน พี่ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ... อีกอย่าง ไม่ใช่เรื่องของพี่ ... พี่ก็ไม่ค่อยอยากจะยุ่งสักเท่าไหร่
    ภรรยาของน้อง : หนูเชื่อพี่ เพราะแฟนหนูเขาเพิ่งมีเรื่องชกต่อยกันกับคนในบริษัทมาไม่กี่วันนี่เอง...แล้วเมื่อวันก่อนหนูไปที่บริษัทฯ เขา...เถ้าแก่เขาเล่าให้หนูฟัง...บอกว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น...เขาเป็นเจ้านาย เข้าข้างใครก็ไม่ได้...และฝ่ายตรงข้ามก็ดูจะอาฆาตมากทีเดียว...เขาทำอะไรไม่ได้เลย...ได้แต่มองดูสถานการณ์เท่านั้น..เขาบอกหนูให้บอกแฟนว่า ให้ระวังตัว เพราะคนนั้นเขาเอาจริงแน่ๆ ... เถ้าแก่เขาเป็นห่วงแฟนหนู ... หนูถึงตกใจไง ...ว่าพี่รู้ได้ยังไง ... เพราะเรื่องเพิ่งเกิดขึ้น และหนูก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ...
    ฉัน : ถ้าเชื่อ ก็ให้รีบไปถวายสังฆทานซะ ... นะ .. พี่กลับบ้านก่อนนะ
    ภรรยาของน้อง : ขอบคุณมากๆ นะคะพี่ (เขายกมือไหว้ฉัน)

    หลังจากที่ได้บอกออกไปแล้ว...ตัวที่ร้อน...ค่อยๆ ปรับสภาพมาเป็นปกติ...ใจเบา...ตัวเบา...เหมือนได้ถ่ายเทพลังงานอะไรสักอย่างออกไปจากร่างกาย...ฉันกลับมาสู่สภาพเดิมแล้ว...แต่...ฉันเริ่มสงสัยว่า....ฉันไม่เสือกอะไรกับเขาเนี่ย...ฉันทำไมต้องไปยุ่งกับชาวบ้านเขา...ไม่ใช่เรื่องของฉันเลย...แล้วถ้าเกิดมันไม่เกิดอะไรขึ้นแบบที่ฉันบอกล่ะ...ฉันจะกลายเป็นคนบ้าในสายตาเขาหรือเปล่า...กลับมากลุ้มที่บ้านต่ออีก...เออ..ตกลงฉันเป็นอะไรเนี่ย...กลุ้มเรื่องเงินจนเพี้ยนหรือเปล่าวะ..(ฉันคิดในใจ)....

    "___" !!!!!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  16. พรรณกานต์

    พรรณกานต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มกราคม 2009
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +231
    มารอติดตามอ่านค่ะ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ของคุณสายฝนฉ่ำเย็นพร้อมกับข้อคิด ต่าง ๆ ที่มีประโยชน์
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
     
  17. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    ค่ะ และขออนุโมทนา สาธุ กับทุกท่านที่ได้อ่าน ได้ผ่านมาอ่าน ได้แวะเข้ามาทักทาย ไว้แวะเข้ามาอนุโมทนา ด้วยนะคะ ... อยากให้ได้อ่านกัน เพราะความเป็นมนุษย์ คงไม่มีใครอยากสาวไส้ออกมาโชว์ให้คนอื่นได้ทราบกันหรอกค่ะ ... ทุกอย่างมีเหตุและผลในตัวของมันเองทั้งหมด อยู่ที่เราจะมอง ว่าจะมองด้านไหน ทุกอย่างมีสองด้าน ... เสมอ ... เพราะหลายๆ ครั้งที่ผ่านมาในชีวิต ฉันมองเพียงด้านเดียวเท่านั้น ไม่เคยมองไปในอีกด้านหนึ่งเลย หรือ ฉันมองในมุมของฉัน แต่ไม่เคยมองในอีกมุมที่คนอื่นมองเลย .... ทุกคน มีเหตุและผลในตัวของเขาเองด้วยกันทั้งนั้น ... แต่เราเคยเปิดใจยอมรับความจริงกันหรือเปล่า เท่านั้นเองนะคะ ... ที่นำมาเล่า ... คืออดีตที่ผ่านมา อดีตที่เคยเจ็บปวดของฉัน ... แต่ ณ เวลานี้ ดิฉันกลายเป็นคน ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต มีเพียงปัจจุบันขณะเท่านั้นค่ะ ... ความบังเอิญ หรือ ฟล็ุค หรือ ความโชคดี หรือ จะซวย หรืออะไรก็ตาม ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกใบนี้ ทุกอย่างล้วนแต่บุญและกรรมลิขิตเท่านั้นค่ะ .... ติดตามต่อนะคะ ยังมีอีกมากค่ะ ... สาธุกับทุกท่านด้วยนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2012
  18. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #12 ... T T ฉันอยากฆ่าตัวตาย ...

    หลังจากนั้น ... ฉันเกิดความสับสน ครุ่นคิด กับสิ่งที่เกิด...คิดมันไป 108 ตลบ นั่งคิดนอนคิด ฟุ้งซ่านตลอดเวลา คิดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับฉันเนี่ย...ถ้าไปบอกเขาแล้วมันไม่เกิดขึ้น...ฉันกลายเป็นคนโกหกไปในทันทีเลยนะ...คิดจนปวดหัว...ฉันเลยตัดสินใจไม่คิดแล้ว...ช่างมัน...ฉันหันกลับมาคิดหางานทำ หาเงินเข้าบ้านดีกว่า...

    จากคนที่เคยเป็นหลักให้หลายๆ คนในครอบครัว ... มาวันนี้ ฉันตกงานมาเป็นเวลาเกือบ 5 เดือนแล้ว..งานที่คาดหวังว่าจะได้งานใหม่ภายในเวลาไม่กี่เดือน...มันกลายเป็นความคาดหวังที่ห่างออกไปแบบไม่มีแม้กระทั่งวี่แววเลยว่า...จะได้งานทำเมื่อไหร่..ฉันร่อนใบสมัครไปจนทั่ว...แต่ความที่ฉันอายุมากแล้ว...งานแบบที่ฉันทำ เค๊าต้องการเด็กจบใหม่ๆ ที่ยังไฟแรงอยู่ เงินเดือนไม่ต้องมากมายเหมือนฉัน...ฉันได้แต่รอ รอ รอ รอ แล้วก็รอ...ฉันใช้เงินเก็บที่มีอยู่ไปกับค่าผ่อนบ้าน ค่าผ่อนรถ ค่ากินอยู่ ค่าเทอมลูก ค่าใช้จ่ายจิปาถะ ...จนเงินเก็บหมด..และต้องหันมาใช้เงินที่คิดไว้ว่าจะไม่แตะของลูก...คิดไว้ว่าจะฝากไปไม่มีวันถอนออกมาใช้...เพื่อเป็นเงินก้อนแรกสำหรับอนาคตของเขา...แต่สุดท้าย...ฉันนำเงินก้อนสุดท้ายของลูกมาใช้แล้ว...แล้วต่อไปนี้ฉันจะทำยังไง...เงินเดือนสามีก็พอจะช่วยได้บ้าง..แต่เขาจะรับไหวเหรอ ไหนจะรถ ไหนจะบ้าน ไหนจะค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอื่นๆ อีก...เงินเดือนที่ออก เขาแทบไม่เหลือไว้ไปทำงานเลย...ตอนนั้น ฉันเครียดมาก...ร้องหาแต่งาน...ฉันอยากทำงาน...ฉันไม่เคยหวังเรื่องเงินลอยลม หรือ ความโชคดี ฟ้าบันดาลอะไรพวกนั้นเลย...ฉันรู้แต่เพียงว่า ฉันต้องทำงานเท่านั้น ฉันถึงจะได้เงินมา...ฉันท้อมาก...จากคนที่เคยเป็นเสาหลัก ตอนนี้ ฉันเหมือนพาทุกคนมาลงเหวกับฉัน...ฉันไม่ได้คิดว่าฉันต้องรับภาระอะไรเลย..ฉันรู้แต่เพียงว่า...พวกเขากินอิ่มนอนหลับ...ฉันพอใจแล้ว...ฉันจะอดตายก็ไม่เป็นไร...แต่พวกเขาจะอดกับฉันไม่ได้...

    ฉันไปเยี่ยมตาที่บ้าน...มันอัดอั้นในหัวใจมาก...ฉันได้กอดตา กอดอยู่เป็นนานสองนาน...พยายามไม่ให้ตาเห็นน้ำตาของฉัน...ตาบอกว่า อดทนนะลูก...เอ็งมีตังใช้หรือเปล่า...ฉันบอกว่ามี..ทั้งๆ ที่ในกระเป๋ากางเกงฉันมีเพียงเงินแค่สองร้อยบาท...ตาจับหัวฉัน..แล้วบอกฉันว่า...ความดีน่ะ คนไม่เห็นนะลูก แต่ผีเห็น ผีให้พรเอ็ง ไม่ต้องกลัวนะ...คนกตัญญู..จะไม่จมน้ำ จะไม่จมไฟนะลูก...(ฉันคิดในใจ ไหนใครๆ ชอบพูดกันจัง ความกตัญญูเลี้ยงพ่อแม่ จะไม่ทำให้ชีวิตลำบาก ไม่อดตาย หรอก แต่นี่ฉันกำลังทำให้ทุกคนอดตาย ไหนจะบ้าน ไหนจะรถ ไหนจะลูก แล้วพ่อแม่ฉันอีกล่ะ) ฉันไม่พูดอะไรออกจากปาก มีเพียงคำว่า “หนูรักตานะ หนูอยากให้ตาพูดอะไรก็ได้ หนูอยากฟัง” ตาเหมือนจะรู้ความรู้สึกฉัน ตาจะเล่าอดีตของตัวเองให้ฟังว่า ท่านผ่านอะไรมาบ้าง ต้องอดทนกับคำดูถูก และสู้ให้เขาเห็นว่า ท่านก็ทำได้ ... แล้วตาก็พูดต่อว่า... เออเน๊าะ...อยากถูกหวย...ตาจะให้เงินเอ็งไปโปะบ้าน..เอ็งจะได้ไม่ทุกข์เน๊าะ...ฉันหัวเราะทั้งน้ำตา...โห...ถ้าแค่คิดแล้วถูกจริง...ป่านนี้เค๊าคงถูกกันไปเยอะแล้ว...555++ ...นั่นเป็นความสุขที่ยิ่งใหญ่สำหรับฉันเลย...สำหรับความมืดที่แทบจะมองไม่เห็นแสงสว่างจากภายนอกเลย...ฉันยังโชคดีนะ..ที่มีแสงสว่างจากตะเกียงอันเก่า..ที่มีค่าที่สุดในชีวิตฉัน....

    ในชีวิตฉันไม่เคยแม้แต่จะคิดฆ่าตัวตาย...เพราะมันไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันต้องทำอย่างนั้น ฉันรักชีวิตฉันจะตายไป...เวลามีข่าวคนฆ่าตัวตาย...ฉันกลับมองไปถึงต้นเหตุ และ พูดถึงเหตุผลว่า ... น่าจะคิดได้มากกว่านี้ ไม่น่าคิดเพียงเท่านี้ ยังมีอีกหลายคนที่รักและห่วงอยู่ ไม่น่าคิดสั้นเลย...แต่วันนี้...ฉันอยากฆ่าตัวตาย...เวลาความคิดมันมา..มันมาเพียงแค่วูบเดียว..ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ...ไอ้วูบนั้นแหละ..ที่ทำให้คนสามารถฆ่าตัวเองให้ตายได้...ฉันก็เป็นเช่นกัน..และคิดทุกทางที่จะทำตัวเองให้หายไปจากโลกนี้....แม่ไม่เคยรู้ว่าฉันคิดแบบนี้...ฉันโทรหาสามี..พยายามจะระบายความรู้สึกที่เป็นอยู่...เพราะเขาคนเดียวที่ฉันสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง...เขาได้ยินก็เป็นห่วงมาก พยายามโทรหาฉันทุกชั่วโมง หาเรื่องตลกมาเล่าให้ฟัง บอกให้ฉันทำโน่นนี่ จะได้ไม่ต้องคิดมาก ... และพูดคำนี้ตลอดเวลา “เงินทองมีเยอะแยะ อย่าคิดมากนะ” ... ยิ่งฟังฉันก็ยิ่งคิดมาก .... ฮือ ฮือ.... ฉันอยากตาย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011
  19. bsert

    bsert Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +35
    เข้ามาให้กำลังใจค่ะ เพราะเป็นคนนึงที่มีสภาพในการทำงานเหมือนกันเลย ทำให้เข้าใจความรู้สึกนั้นดี เพียงแต่ตอนนี้ปลงได้แม้จะสงสัยอยู่บ้างว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น แต่ก็ดีใจกับตัวเองว่าทำให้ได้ใช้เวลาที่เหลือต่อจากนี้ ปฏิบัติธรรมตามที่หวังไว้ แม้ว่าจะก้าวหน้าหรือไม่ก็ตาม ขอให้คุณสู้ต่อไปตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมานะคะ
     
  20. สายฝนฉ่ำเย็น

    สายฝนฉ่ำเย็น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    1,474
    ค่าพลัง:
    +7,070
    #13 ...หมอจ๋า...หนูมาแล้ว!!!....

    ฉันพยายามฝืนตัวเองไม่ให้คิดมาก...และคิดกลับไปว่า...ถ้าฉันตายไป...ปัญหาต่างๆ มันก็ยังอยู่...เผลอๆ คนที่อยู่จะยิ่งเครียดกันไปใหญ่...แล้วลูกฉันจะอยู่กับใคร...พ่อแม่ฉันใครจะเลี้ยงดู...คิดเพียงสักพัก...มันก็มาอีกแล้ว..ความคิดที่จะฆ่าตัวตาย.... ฉันอดทนไม่ไหวแล้ว...ในเมื่อมองไม่เห็นอะไรในอนาคต หรือ คาดเดาไม่ได้เลย...ฉันต้องพึ่งหมอดูแล้ว...ใครบอกว่า...หมอดูท่านไหน ฟันโช๊ะ ๆ ได้ ฉันไปหมด (แต่ไปแบบเงินน้อยๆ นะคะ) และส่วนใหญ่ที่ไป ก็ต้องสืบราคาก่อน ฉันพอจะมีจ่ายให้ท่านเหล่านั้นหรือเปล่า..แต่ฉันก็ไม่ใช่กระโหลกกะลานะ ... จะดูแต่ละทีก็ ต้องให้ชัวร์ก่อน ว่าแม่นจริงอ่ะเปล่า...55555+++ ไม่มีทางเลือกแล้วยังจะเรื่องมากอีก

    ฉันเข้า เวปพลังจิต ครั้งแรก เพราะพยายามจะหาเรื่องอะไรก็ได้ที่สบายใจ และไม่เกี่ยวกับสายงานเลย ... คือ คนละแนวเลยอะไรประมาณนั้น เพราะตอนนั้น ฉันเบื่อ และ เครียดกับงานที่ทำ กับบรรยากาศที่เกิดรอบๆ ตัว ... ฉันเข้ามาดู ธรรมบรรยายของพระอริยเจ้า ของผู้รู้ ธรรมบางข้อที่ฉันไม่เข้าใจ และอยากจะเข้าใจ มาฟังการร่วมวงสนทนาของแต่ละกระทู้ ที่ open ให้แต่ละคน ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ที่ตนมี ที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา ... ให้คนอื่นได้ฟัง ... แหะ แหะ สุดท้าย ฉันก็หนีไม่พ้นกระทู้ดูดวง อะไรที่บอกว่า “ฟรี” ฉันจะเป็นหนึ่งในนั้นเลย ที่ขอของฟรีด้วยคน .... ดูมาเรื่อยๆๆๆๆๆ จนกระทั่งออกจากงาน ... เครียดใหญ่ เครียดมาก เงินก็ไม่มี ... ก็เริ่มดูทั้งฟรี และ เสียเงิน ... จนไม่มีเงินจะเสียแล้ว ... ฉันก็หาทางออกไม่เจอ เหมือนพายเรือในอ่างน้ำเลย ... วนเวียนอยู่อย่างนั้น ... จนกระทั่ง ฉันมาสังเกตุว่า ... หลายๆ ท่านพูดคล้ายๆ กันว่า...ต่อไปฉันจะได้ช่วยคนเหมือนพวกเขา...ให้เปิดใจยอมรับความจริง...อย่ามีนิวรณ์...อย่าดื้อ...อย่าปฏิเสธ จนกว่าจะเห็นด้วยตนเอง....แล้วทุกอย่างในชีวิตจะดำเนินตามความจัดสรรที่ถูกวางหมากไว้แล้ว...เอาแล้วสิ...ฉันเริ่มสงสัยอีกแล้ว (นิวรณ์มีมันตลอดเวลา) ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2011

แชร์หน้านี้

Loading...