พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น่าจะเป็นเช่นนั้นครับ

    ผมไปพักผ่อนแล้วนะครับ ง่วงมากแ้้ล้ว

    ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 4 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>



    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันอาิทิตย์หรรษา ครับ



    .
     
  3. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ใช่เรยครับพี่ สำเร็จตามที่ใจคิด อ่ะครับ

    ปล. ยิ่งรู้สึกโชคดีจริงๆครับ :)
     
  4. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    อรุณสวัสดิ์ยามตื่นเช้ารอบสองครับ :)
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สัตว์มงคลของจีน


    [​IMG][​IMG]

    <dd>มังกรหรือหลุง (Lung) </dd> <dd>มังกร ราชาแห่งสรรพสัตว์ที่มีเกล็ดทั้งมวลในจักรวาล เป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง ความดีงาม ความตั้งใจอุตสาหะพยายาม ความกล้าหาญและความอดทน มังกรคือจิตวิญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลง และการฟื้นฟูให้ดีขึ้น นอกจากนี้มังกรยังเป็นผู้นำฝนแห่งชีวิตมาให้ จึงนับได้ว่ามังกรเป็นตัวแทนของพลังแห่งผลิตผลตามธรรมชาติ</dd> <dd>สำหรับชาวจีน มังกรหมายถึงความโชคดีทั้งหลายจึงทำให้ร้านอาหาร และร้านค้าใช้รูปมังกรเป็นสัญลักษณ์ของตน นอกจากนี้ชาวจีนยังยกให้มังกรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจอันยิ่งใหญ่ แห่งองค์จักรพรรดิอีกด้วย ภายในท้องพระโรงใหญ่และพระราชวังแห่งนครต้องห้าม (The Forbidden City) ในเมืองปักกิ่งจะมีการตกแต่งประดับประดาไปด้วยมังกรนับพันๆ ตัวเกี่ยวกระหวัดอยู่ตามผนังห้อง เพดาน ประตู และพระราชบัลลังก์ขององค์จักรพรรดิ ภาพมังกรเหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเกิดปีระกาซึ่งเชื่อกันว่า แปลงร่างมาเป็นนกโฟนิกซ์ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันกับมังกร</dd>



    [​IMG][​IMG]

    <dd>นกโฟนิกซ์ หรือ เฟิงหวง (Feng Huang)</dd> <dd>เป็นราชาแห่งสัตว์ปีกและเป็นนกที่งดงามที่สุดในจักรวาล เป็นสัญลักษณ์ของความอบอุ่นแห่งแสงตะวัน ฤดูร้อน และไฟ เชื่อกันว่านกโฟนิกซ์จะปรากฏกายเฉพาะช่วงที่เกิดความสงบสุข และความเจริญรุ่งเรืองเท่านั้น ตามตำราฮวงจุ้ย นกโฟนิกซ์เป็นตัวแทนของทิศใต้ และเชื่อกันว่าบ้านที่หันหน้าไปทางทิศใต้จะได้รับโชคดีเพราะทิศใต้หมายถึงฤดูร้อน ความอบอุ่น ชีวิต และระยะเวลาเก็บเกี่ยว</dd> <dd>นอกจากนี้ยังมีความเชื่อที่ว่านกโฟนิกซ์เป็นนกที่มีอำนาจ ในการช่วยเหลือคู่สมรสที่ไม่มีบุตร เชื่อกันว่าหากนำรูปนกโฟนิกซ์และมังกรมาประดับในงานแต่งงานแล้ว จะช่วยให้บุตรที่เกิดมาแข็งแรงมีสุขภาพดี เพราะแสดงถึงการรวมตัวของสัตว์มงคลที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองชนิด</dd>



    [​IMG][​IMG]

    <dd>ค้างคาว</dd> <dd>สัญลักษณ์ของความสุขและความมีอายุยืน ต้นกำเนิดของความเชื่อในเรื่องนี้ มาจากการออกเสียงคำว่า ค้างคาว ในภาษาจีน ซึ่งจะออกเสียงว่า ฟู คล้ายกับคำว่า ความสุข เมื่อนำมาประกอบกับเรื่องของความโชคดีแล้ว ค้างคาวมักถูกวาดเป็นสีแดงซึ่งเป็นสีแห่งความรื่นเริง</dd>


    [​IMG][​IMG]

    <dd>นกกระเรียน</dd> <dd>เชื่อกันว่านกกระเรียนเป็นสัญลักษณ์ของความมีอายุยืนยาว เป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับความนิยมมากในงานศิลปะของจีน</dd>


    [​IMG][​IMG]

    <dd>สือ</dd> <dd>เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าแบบทหาร ถือกันว่า เป็นภาพอันน่าเกรงขามสำหรับภูตผีปิศาจที่จะเข้าบ้าน โดยทั่วไปแล้วรูปเสือมักนำมาใช้ขับไล่ปิศาจเร่ร่อนที่ชั่วร้าย สัญลักษณ์ของเสือมักถูกนำมาใช้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะเสือเป็นสัตว์ที่ดุร้ายและเป็นสัตว์กินเนื้อ เจ้าของบ้านที่จะนำสัญลักษณ์เสือ มาติดไว้ในบ้านจะต้องมั่นใจว่าคนในบ้าน ไม่ได้เกิดในปีที่เป็นอาหารของเสือ เช่น ปีกระต่าย ปีไก่ ปีหมู เป็นต้น</dd> <dd>เสือดาว</dd> <dd>เป็นตัวแทนของความกล้าหาญ คึกคะนองดุร้าย</dd>


    [​IMG][​IMG]

    <dd>ช้าง</dd> <dd>แม้ว่าช้างจะไม่ค่อยได้ปรากฏในงานศิลปะของจีนมากนัก แต่ช้างก็ยังได้รับการยอมรับว่าเป็น สัญลักษณ์ของความแข็งแรง ความฉลาด และความมีไหวพริบ สำหรับคนจีน ช้างหมายถึงสัตว์ที่มีอำนาจและมีพละกำลัง จึงจัดว่าเป็นสัตว์ที่ช่วยคุ้มครองป้องกันภัย จากวิญญาณอันน่ากลัวได้เป็นอย่างดี</dd>


    [​IMG][​IMG]

    <dd>สิงโต</dd> <dd>หมายถึงพละกำลังและความห้าวหาญ เรามักพบเห็นรูปปั้นสิงโตหิน ตั้งอยู่ตามประตูทางเข้าวัด หรือตามบ้านเรือนหลังใหญ่ นั่นเป็นเพราะว่าสิงโตหินจัดเป็นผู้พิทักษ์บ้าน และสาธารณสถาน ได้อย่างดีเยี่ยมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อนำมาใช้ในการต่อต้านภูตผีปิศาจ และวิญญาณร้าย</dd>

    สัตว์มงคล


    .




    .




    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ

    [​IMG]


    [​IMG]

    ไฉ่ซิงเอี๊ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ มีคำเรียก หรือสำเนียงแตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น “ ไช้ซิ้งเอี๊ย ” “ ไฉ่เซ่งเอี๊ย ” หรือ “ ไฉเสิ่งเอี๊ย ” เป็นต้น ชาวจีนเรียก เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ว่า “ ไฉ่ซิงเอี๊ย ” ( ไฉเสินเย๋) ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 2 ค่ำ เดือนอ้าย (ตามปฏิทินจีน) และวันที่ 22 เดือน 7 ( ตามปฏิทินจีน) ของทุกปี นักธุรกิจชาวจีนจะขมีขมันนำเครื่องเซ่นไหว้ มาบูชาเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย และสาเหตุที่ต้องไหว้ 2 ครั้ง ก็เพราะว่า เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย มี 2 องค์ คือ ไฉ่ซิงเอี๊ยบู๊ และ ไฉ่ซิงเอี๊ยบุ๋น
    ไฉ่ซิงเอี๊ยบู๊(จ้าวกงหมิง) หน้าจะดุ บางครั้งประทับบนหลังเสือ บางครั้งก็ทรงเหยียบหลังเสือ ที่หัตถ์ถือกระบอง
    ส่วนไฉ่ซิงเอี๊ยบุ๋น เป็นเทพเจ้าหน้าตาดี ทรงคุณธรรม เชื่อกันว่าองค์บู๊ให้คุณในเรื่องของหนี้สิน เจ้าหนี้คนไหนบูชามักจะตามหนี้ง่าย ลูกหนี้จะไม่กล้าโกงหรือหนีหนี้ ตามคำบอกเล่าเก่าแก่ฟังว่า ไฉ่ซิงเอี๊ย องค์ที่ประดิษฐานอยู่ที่ศาลเจ้าพ่อเสือนั้น มีความศักดิ์สิทธิ์มาก ใครดวงไม่ดีหรือกำลังมีปัญหาเรื่องเงินทอง ไปไหว้ท่านที่ศาลเจ้า และขอพรท่าน ท่านจะช่วยเสมอ คนจึงนิยมไปกราบไหว้กันมาก แต่มี เคล็ด อยู่อย่างหนึ่ง ก็คือ อย่าลืมเอาหมูไปเซ่นไหว้เสือด้วย แล้วทุกอย่างจะราบรื่น
    ไฉ่ซิงเอี๊ย ทั้ง 2 องค์นี้เป็นใคร ?
    เกี่ยวกับเรื่องนี้มีตำนานเล่าขานมามากมายหลายกระแส แต่ส่วนใหญ่จะเล่ากันว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋นคือ ปี่กาน และองค์บู๊คือ จ้าวกงหมิง ซึ่งมีตำนานเล่ามาดังนี้

    นานมาแล้ว เจียงไท้กง เทพชั้นผู้ใหญ่ผู้มีหน้าที่แต่งตั้งเทพเจ้า วันหนึ่งท่านกำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ จู่ๆ หัวใจก็สั่นหวิว ท่านจึงทราบด้วยจิตญาณว่า เทพปี่กาน กำลังจะมีเรื่องเดือดร้อนหนัก จึงพยายามหาทางช่วย
    ปี่กานนั้น เป็นอัครหมาเสนาบดีของจักรพรรดิอินโจ้ว ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์อิน ทรงลุ่มหลงสุรานารีไม่ใส่ใจราชกิจ ทรงมีสนมเอกนางหนึ่งนาม โซวถังกี้ (ซูต๋าจี่) ที่เป็นหญิงงามที่ลือชื่อในประวัติศาสตร์ ปี่กาน เป็นขุนนางผู้ซื่อตรง พยายามจะเตือนองค์จักรพรรดิให้หันมาสนใจราชกิจ แต่พระองค์ไม่สนพระทัยต่อคำเตือน ปี่กานจึงวางแผนให้ทหารไปจับสุนัขจิ้งจอกมาทำเสื้อคลุมถวายแด่องค์จักรพรรดิ เพราะเชื่อว่า ถังกี้ (ต๋าจี่) เป็นปีศาจจิ้งจอก เมื่อพบเห็นเสื้อคลุมก็จะตกใจและหนีไป แต่เหตุการณ์กับตรงกันข้าม เพราะถังกี้ไม่ตกใจ และยังวางแผนเล่นงานปี่กานกลับอีกด้วย
    เย็นวันหนึ่ง ปี่กานได้ยินเสียงคนร้องขายของอยู่หน้าบ้าน ว่า “ ขายหัวใจๆ ” ก็แปลกใจ จึงออกไปดู พบเห็นคนแก่ยืนอยู่หน้าบ้านของตน จึงถามว่า “ ท่านผู้อาวุโส จะขายหัวใจจริงหรือนี่ ” ชายชราก็ตอบว่า “ ขายจริงๆ นายท่านสนใจซื้อหาหรือไม่ ”
    ปี่กาน จึงแย้งไปว่า “ หัวใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของร่างกาย ถ้านำมันออกมาแล้ว ทุกคนต้องตาย ท่านยังคิดที่จะขายหัวใจอยู่อีกหรือหาไม่ ” ชายชรากล่าวว่า “ หัวใจเป็นต้นเหตุของความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หากหัวใจไม่เที่ยงธรรม มือเท้าย่อมทำแต่สิ่งไม่ดี ถ้าเอาหัวใจออกมาขายเสีย ต่อไปข้าพเจ้าก็จะไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีแต่ความยุติธรรม จัดการปัญหาต่างๆ อย่างยุติธรรม เป็นเช่นนี้มิใช่ประเสริฐกว่าหรือ ”
    ปี่กาน ยืนยันว่า “ แต่หัวใจเป็นอวัยวะสำคัญมาก มีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อขายแล้วท่านจะมีชีวิตสืบต่อไปได้อย่างไร ”
    “ ได้แน่นอน เนื่องจากข้าพเจ้ามียาวิเศษอยู่เม็ดหนึ่ง เมื่อกินเข้าไปแล้วถึงแม้ไม่มีหัวใจ แต่อวัยวะอื่นๆ ของร่างกายจะยังสามารถทำงานสืบไปได้เช่นเดิม ”
    “ งั้นขอให้ข้าพเจ้าได้ชมยาวิเศษสักนิดได้หรือไม่ ”
    ชายแก่จึงส่งมอบยาวิเศษเม็ดนั้นให้แก่ปี่กาน เมื่อเขานำมาดมดูก็รู้สึกหอมอย่างประหลาด รู้สึกมีพลังวิ่งไปทั่วร่างกาย แต่พอเงยหน้าขึ้นมากลับไม่พบชายชราผู้นั้นเสียแล้ว (ความจริงแล้ว ชายชราผู้นั้นคือเจียงไท้กงแปลงกายลงมานั้นเอง)

    เช้าวันรุ่งขึ้น องครักษ์หลายนายได้มาเชิญตัวปี่กานไปเข้าเฝ้าแต่เช้า ปี่กานรู้สึกแปลกใจ เพราะจักรพรรดิอินโจ้วไม่เคยสนพระทัยว่าราชการ แต่กลับส่งคนมาเชิญตนแต่เช้า จึงไถ่ถามเหล่าองครักษ์ จึงทราบว่า พระสนมถังกี้ เป็นโรคประหลาด หมอหลวงอับจนปัญญาที่จะรักษาได้ มีแต่หัวใจของปี่กานเท่านั้นที่จะสามารถใช้รักษาโรคนี้ได้

    จักรพรรดิอินโจ้วกำลังหลงพระสนมถังกี้มาก ทรงตรัสว่า “ เจ้าเป็นพระสนมเอกแห่งเรา ส่วนปี่กาน เป็นแค่ขุนนางอันต่ำต้อย ชีวิตใครจักมีค่ามากกว่ากัน เรารู้ดี ดังนั้นขอเพียงรักษาอาการป่วยของเจ้าได้เท่านั้น อย่าว่าแต่ชีวิตของขุนนางผู้เดียวเลย ต่อให้ต้องฆ่าขุนนางสัก 100 คน เราก็เต็มใจ ”
    ดังนั้นพระองค์จึงมีรับสั่งให้เบิกตัวปี่กานมาเข้าเฝ้าแต่ เช้า หลังจากปี่กานทราบเรื่องก็ตกใจเป็นอันมาก เรียกหาคนในครอบครัวมาสั่งเสีย ทันใดนั้นเขานึกถึงยาวิเศษที่ได้รับมาจากชายชรา จึงรีบไปหยิบยาวิเศษเม็ดนั้นออกมากลืนกินลง แล้วตามเหล่าองครักษ์เพื่อเข้าเฝ้า พอมาถึงท้องพระโรง จักรพรรดิอินโจ้วก็ตรัสขอหัวใจของปี่กาน เพื่อนำไปใช้รักษาอาการป่วยของพระสนมถังกี้
    ปี่กานจึงทูลว่า “ พระองค์รับสั่งให้ขุนนางตาย ขันนางผู้นั้นก็มิอาจมีชีวิตสืบไป แต่ก่อนที่กระหม่อมขอกราบทูลเตือนพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายว่า พระองค์กำลังลุ่มหลงนางปีศาจ แลกำลังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน หลังจากที่พระองค์ทรงประหารกระหม่อมแล้ว ราชวงศ์ของพระองค์ที่ดำรงคงอยู่มาถึง 28 รัชกาล ก็จะถึงกาลอวสานแล้ว ”

    อนิจจา องค์จักรพรรดิหาได้ใส่พระทัยต่อคำเตือนของปี่กานไม่ กลับรับสั่งให้ทหารควักหัวใจของปี่กานออกมา แต่ ปี่กานห้ามเหล่าทหารเอาไว้ และกล่าวว่า “ พวกเจ้านั้นหาจำเป็นไม่ ขอเพียงมีมีดสั้นให้กับข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะกระทำการสืบไปเอง ” กล่าวจบ ปี่กานก็ใช้มีดแหวะอก และควักหัวใจออกมา โยนหัวใจนั้นทิ้งไว้กับพื้น แล้วเดินออกจากพระราชวังโดยไม่พูดอะไร


    แต่ที่มหัศจรรย์คือ ตลอดการกระทำของปี่กานนี้ หามีเลือดออกมาไม่ ตั้งแต่นั้นมา ปี่กานก็ออกท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆ เขาโปรยเงินทองแจกจ่ายแก่ผู้คนไปทั่ว กลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตามตำนานกล่าวกันว่า ปี่กานกินยาวิเศษของเจียงไท้กงเข้าไป ทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้ แม่ว่าจะไม่มีหัวใจ และกล่าวกันว่า เพราะปี่กานไม่มีหัวใจนี่เอง เขาจึงโปรยเงินโปรยทองแก่ผู้คนทั่วไป โดยไม่เลือกว่าคนนั้นดีหรือคนนี้ไม่ดี เลือกที่รักมักที่ชัง เป็นที่มีของเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นั้นเอง

    ขณะเดียวกัน จ้าวกงหมิง(หวู่ฉายเสิน) ได้บำเพ็ญเพียรอยู่บนเขาบ้อไบ้ ได้สำเร็จมรรคผลเป็นเซียนมีฤทธิ์มาก กลับเกิดอาการเพี้ยนกลายเป็นนักพรตกังฉินที่ทั้งเก่งและอำมหิต จ้าวกงหมิง ถวายตัวรับใช้จักรพรรดิอินโจ้ว ได้ก่อกรรมทำเข็ญไว้มากมาย จ้าวกงหมิงมีบริวารที่ร้ายกาจอยู่ตัวหนึ่ง คือ เสือดำ และยังมีของวิเศษหลายอย่าง อาทิ แส้เหล็ก ไข่มุกวิเศษ เชือกล่ามังกร ฯลฯ ด้วยเหตุนี้ เจียงไท้กงซึ่งเป็นเทพชั้นผู้ใหญ่จึงสู้ จ้าวกงหมิงมิได้ มีคราวหนึ่ง เจียงไท้กงถูกจ้าวกงหมิงกักขังไว้ในค่ายกลสิบทิศ เจียงไท้กง พยายามหาทางออกเท่าไหร่ก็ไม่พบ ขณะเดียวกันก็ถูก จ้าวกงหมิง ทำร้ายแทบปางตาย ซ้ำยังขู่เข็ญให้เจียงไท้กงแต่งตั้งตนให้เป็น เทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยยื่นเงื่อนไขว่า “ ตาเฒ่า เจ้าจงยอมแต่งตั้งให้ข้านี้ เป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภเสียแต่โดยดีเถิด แล้วข้าจะปล่อยแกออกไป ข้าต้องการควบคุมทรัพย์สินเงินทองทั้งหมด แต่ถ้าหากแกโยกโย้ ข้านี่จะทรมานให้แกสิ้นชีพในบัดดล ”

    เจียงไท้กงไม่มีทางเลือก จึงยื่นขอเสนอให้แก่จ้าวกงหมิงว่า “ เราจักแต่งตั้งเจ้าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภได้อย่างไร เพราะเวลานี้ ปี่กานเป็นผู้ครองตำแหน่งนี้อยู่ หากแม้นเจ้ามีความสามารถนำเอาหัวใจของปี่กานออกมา ทำให้เขาสิ้นชีพวายชนม์เสีย ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งโชคลาภนี้ ก็จะเป็นของเจ้าแต่เพียงผู้เดียว ”

    เมื่อตกลงกันได้เช่นนี้ จ้าวกงหมิง ได้ยินดังนั้นจึงย้ำกับเจียงไท้กงว่า “ ตกลงเช่นท่านว่านี้แหละ ข้าจักฆ่าปี่กานเอก แต่เจ้าต้องรักษาคำพูดให้มั่นเล่า ” เมื่อตกลงกันได้เช่นนั้น จ้าวกงหมิงจึงยอมปล่อยตัวเจียงไท้กงออกมาจากค่ายกล หลังจากนั้น จ้าวกงหมิงจึงสั่งให้เสือดำออกตามล่าหาปี่กาน และได้กำชับเสือดำว่า ต้องนำหัวใจของปี่กานกลับมาให้ได้ อย่าได้ผิดพลาดเป็นอันขาด

    เวลานั้น ปี่กาน กำลังโปรยเงินโปรยทองแจกจ่ายแก่ผู้คนตามที่ต่างๆ ที่เขาเดินทางผ่าน บ่ายวันหนึ่ง ปี่กานเดินทางมาถึงเชิงเขาแห่งหนึ่ง เขารู้สึกเหนื่อย เมื่อยล้าจากงานสงเคราะห์ผู้คน จึงเอนตัวลงนอนพักบนโขดหิน พลันเกิดลมพายุกรรโชกอย่างรุนแรง ปี่กานตกใจอย่างมาก เห็นเสือดำตัวหนึ่งกระโจนใส่ตัวเขาอย่างรวดเร็ว ปี่กาน หลบมิทันถูกเสือตะปบล้มลง จากนั้น มันก็เริ่มตะกุยหน้าอกของปี่กานเพื่อควานหาหัวใจ แต่หาอย่างไรก็หาไม่พบ เพราะปี่กานไม่มีหัวใจแล้ว
    เสือดำจึงคำรามด้วยความโกธร และผละจากไปอย่างไม่พอใจ ทั้งนี้เพราะเจียงไท้กงออกอุบายหลอกจ้าวกงหมิงนั่นเอง อย่างไรก็ดี แม้เสือดำจะมิได้หัวใจของปี่กานไป แต่กงเล็บของมันที่ตะกุยอยู่ในทรวงอกของปี่กานนั้น ทำให้อวัยวะภายในของปี่กานสับสน ส่งผลให้ปี่กานกลายเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภที่ไม่เที่ยงธรรมนัก เขามักโปรยปรายเงินทองอย่างลำเอียง เจอใครก่อนก็ให้คนนั้นก่อน และมักจะให้เยอะๆ ทำให้คนที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ก็ยิ่งร่ำรวยยิ่งขึ้น ส่วนคนยากจนอยู่เดิม ก็ยังคงยากจนต่อไป เพราะเป็นเรื่องลำบากไม่น้อย ที่จะหาเครื่องเซ่นไหว้ดีๆ มาบูชาตอนที่เขาออกมาเยือนผู้คนในแดนมนุษย์
    ทางฝ่ายจ้าวกงหมิง แม้มิได้เป็น เทพเจ้าแห่งความโชคลาภตามที่ปรารถนา แต่เนื่องจากเจียงไท้กงเคยตกปากรับคำรับคำไว้ เจียงไท้กงจึงประทานของวิเศษให้ 4 ชิ้น คือ เจียป้อ, หนับเตียว, เจียไช้ และ หลี่ฉี้ ซึ่งเป็นของวิเศษที่ใช้เรียกเงินเรียกทองให้ไหลมาเทมา การค้าราบรื่น มีกำไรดี ดังนั้น ชาวจีนจึงพากันกราบไหว้ จ้าวกงหมิง เป็น เทพเจ้าแห่งโชลาภอีกองค์หนึ่ง

    ด้วยเหตุที่ว่า จ้าวกงหมิง เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก เคยเอาชนะเจียงไท้กงมาแล้ว ชาวจีนจึงยกย่องให้เป็น “ บู๊ไฉ่ซิงเอี๊ย ” ( เทพเจ้าแห่งโชคลาภองค์บู๊) และยกย่องปี่กานให้เป็น “ บุ๋นไฉ่ซิงเอี๊ย ” ( เทพเจ้าโชคลาภองค์บุ๋น) เพราะเคยเป็นอัครมหาเสนาบดีขององค์จักรพรรดิมาก่อน
    รูปลักษณ์และพลานุภาพของไฉ่ซิงเอี๊ย
    ไฉ่ซิงเอี๊ย เป็นเทพชั้นสูงที่ชาวจีนให้ความสำคัญมาก เป็นเทพองค์แรกที่จะต้องเซ่นไหว้ก่อนเทพองค์อื่นๆ ทุกปี โดยเฉพาะผู้ที่ทำมาค้าขาย ดังนั้นจึงมีการสร้างรูปเคารพของไฉ่ซิงเอี๊ยขึ้นมาสักการบูชากัน


    [​IMG]

    ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊

    ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ มักจะเป็นรูปชายวัย กลางคน ใส่ชุดนักรบจีนโบราญ ประกอบด้วยชุดเกราะ หมวกขุนพล มือซ้ายถือกระบอง มือขวาถือเงินหยวน(หยวนเป่า) ใบหน้าดุ มีพาหนะเป็นเสือโคร่งลายพาดกลอนตัวใหญ่ ไฉ่ซิ งเอี๊ยองค์บู๊ นี้ ชาวจีนที่บูชาเชื่อกันว่า มีพลานุภาพให้คุณแก่ผู้บูชาในเรื่องของหนี้สิน ช่วยให้ผู้บูชาเก็บหนี้ได้ง่ายขึ้น ลูกหนี้ไม่คิดเบี้ยวให้เจ้าหนี้ต้องลำบากใจ นอกจากนี้ยังมีอนุภาพช่วย ดูแล และควบคุมบริวาร ตลอดจนลูกจ้างให้อยู่ในระเบียบวินัย มีความขยันในการทำงาน ดังนั้น ตามโรงงาน หรือบริษัทใหญ่ๆ จึงนิยมบูชา ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ ด้วยความเชื่อที่ว่า จะช่วยดูแลคนทำงาน ตลอดจนเป็นหูเป็นตาให้กับจ้าของกิจการ นอกจากนี้ บรรดาข้าราชการ ทหาร หรือตำรวจ (ของจีน) ล้วนนิยมบูชาเซ่นไหว้ ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บู๊ เพราะช่วยดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีจำนวนมากนั่นเอง



    [​IMG]

    ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น

    ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น มักจะเป็นรูปของชายในชุดขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของจีนโบราญ สวมหมวกมีปีกออกไป 2 ข้างคล้ายๆ กับหมวกของเทพ ลก (หมายถึง ฮก ลก ซิ่ว) ชุดขุนนางจีนชั้นผู้ใหญ่ครบเครื่อง ทั้งเสื้อนอกใน มือทั้งสองข้างจะถือแผ่นผ้าจารึกอักษร ที่คลี่ออกเป็นอักษรมงคล หรือคำอวยพรที่เป็นสิริมงคลแก่ผู้บูชา ชาวจีนเชื่อว่า ไฉ่ซิงเอี๊ยสามารถดลบันดาล หรือช่วยเหลือให้ผู้ที่บูชามีโชคมีลาภ ตลอดจนมีความมั่งคั่งร่ำรวย โชคลาภที่ได้มาจากรายได้พิเศษ ไม่ใช่รายได้ประจำ (เงินเดือนหรือเงินค้าขายตามปกติ) ไฉ่ซิงเอี๊ยองค์บุ๋น นี้มีอานุภาพหรือให้คุณทางด้านเงินทอง หรือทรัพย์สิน ตลอดจนโชคลาภต่างๆ ทำให้ผู้บูชาประสบความสำเร็จ ลูกค้าเชื่อถือ

    พ. สุวรรณ
    (หนังสือไฉ่ซิงเอี๊ย เทพเจ้าแห่งโชคลาภ)


     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [​IMG]

    [​IMG]

    ในตำนานกล่าวว่า จ้าว กง หมิง ได้จุติลงมาเป็นมนุษย์ในชาติสุดท้าย ตรงกับยุคราชวงศ์ซาง มีนามเดิมว่าจ้าวหลาง มีถิ่นบำนักอยู่ที่ภูเขาหนานซาน (หมู่บ้านเดียวกับเทพจงขุ่ย) มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย รับราชการในแผ่นดินซางโจ้วหวาง ด้วยความที่เป็นขุนนางที่มีความซื่อสัตย์และโอบอ้อมอารีย์ต่อผู้ยากไร้ ทำให้เป็นที่ขัดพระทัยของซางโจ้วหวาง ซึ่งปกครองแผ่นดินด้วยการรีดนาทาเร้นชาวบ้านชาวเมือง ให้ต้องระกำลำบากไปทุกย่อมหญ้า

    ในที่สุดจ้าวหลางก็ลาออกจากราชการเพราะไม่สามารถทนต่อแรงเสียดทานของข้า ราชการกังฉินได้ หลังจากนั้นชื่อนี้สูญหายไปนาน ไม่มีผู้คนกล่าวถึงอีก

    ต่อมาในยุคราชวงศ์ฉิน จ้าวหลางก็ปรากฏตัวอีกครั้งและได้กลับเข้ารับราชการในราชสำนัก และเช่นเดียวกับคราวแรก ด้วยจ้าวหลางเป็นขุนนางที่เต็มไปด้วยความเมตตา จึงไม่เป็นที่พอใจของเหล่าขุนนางกังฉินจำนวนมาก ในที่สุดก็ทนแรงบีบคั้นจากทางการไม่ได้ ทำให้จ้าวหลางเกิดความเบื่อหน่ายในทางโลก ซึ่งเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาอาฆาตและเห็นแก่ตัว จึงได้ปลีกตัวเข้าสู่ป่าไพรเพื่อศึกษาธรรมตามหลักเต๋า

    ต่อมาท่านมีวาสนาได้พบปรมาจารย์เต๋านามว่า จาง เทียน ซือ (ขี่เสือเป็นพาหนะและมือถือแส้เหล็ก) ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย จ้าวหลางจึงฝากตัวเป็นศิษย์ของท่านจางเทียนซือ และได้ศึกษาธรรมพร้อมทั้งรับใช้อาจารย์เป็นอย่างดี ครั้นสิ้นราชวงศ์ฉิน จ้าวหลางก็บรรลุธรรมของเต๋า มีนามว่า จ้าว กง หมิง และปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้ายในช่วงราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และเชื่อกันว่าท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูงจนบรรลุเป็นเทพอยู่บนสรวงสวรรค์

    เทพเจ้าจ้าวกงหมิง ชาวจีนให้เคารพศรัทธาในฐานะของเทพแห่งโชคลาภ เทพแห่งการค้าขายและเทพแห่งความสำเร็จ (ไฉ่ซิงเอี๊ยปางบู๊) ทั้งยังมีเทวบารมีคุ้มครองปกปักรักษาทรัพย์สินเงินทองมิให้สูญหายหรือพร่อง ลงไป บังคับบัญชาผู้คนจำนวนมากๆให้อยู่ในโอวาท ให้ลูกน้องหรือคนงานหรือผู้ใต้บังคับบัญชา จงรักภักดี มีความซื่อสัตย์ ไม่ทรยศคดโกง ฯลฯ

    ลักษณะเทวรูปเคารพของท่าน มักจะเป็นขุนนางจีนในชุดขุนพล ขี่เสือ (เสือที่เป็นพาหนะ ได้รับมอบจากท่านอาจารย์จางเทียนซือ) ร่างกายกำยำ หน้าตาดุดันน่าเกรงขาม มือถือกระบอกเหล็ก ไม่ว่าจะเสด็จไปในทิศทางใด จะมีบริวารจำนวนมากมายตามเสด็จเสมอ

    วันฉลองคล้ายวันประสูติ ตรงกับวันที่ 5 เดือน 1 จันทรคติจีน แต่เนื่องจากใกล้กับวันตรูษจีนอยู่มาก (ถัดจากวันชิวอิดเพียง 4 วันเท่านั้น) ผู้คนส่วนใหญ่จึงมักนิยมบูชาฉลองวันคล้ายวันประสูติของท่านในวันตรุษจีนไป ด้วยคราวเดียวกัน เพื่อเป็นการต้อนรับปีใหม่จีน ซึ่งจะตั้งโต๊ะบูชากลางแจ้งเพื่อรับเสด็จ

    จ้าวกงหมิงหรือไฉ่ซิงเอี๊ย (ปางบู๊) เป็นเทพชั้นสูง ให้คุณทางด้านการอำนวยโชคลาภ ความร่ำรวยแก่ผู้บูชา เป็นเทพองค์แรก ที่ชาวจีนต้องไหว้ในวันตรุษจีน โดยเฉพาะผู้ที่ประกอบธุรกิจการค้า โดยในแต่ละปีเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยจะเสด็จมาใน ทิศทาง และเวลาที่แตกต่างกัน ชาวจีนจึงนิยมที่จะบูชาเอาไว้ประจำบ้าน และนิยมบูชาอย่างสม่ำเสมอ

    เทวราชาดอทคอม
    เมษายน 2550


    .



    .

     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [​IMG]

    [​IMG]

    ความเป็นมาของกงหมินนั้น ในเทพนิยายจีนก็ได้เล่าไว้ว่า ในภพหนึ่งของกงหมินเคยเกิดในครอบครัวที่ยากจน มีอาชีพเป็นพ่อค้าเร่ร่อน นำผ้าไปขายจากเมืองหนึ่งสู่ยังอีกเมืองหนึ่ง บางครั้งก็มีกำไรมากแต่โดยมากมักทุนหายกำไรหด เพราะความที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีต่อเพื่อนมนุษย์ มักนำเงินไปแจกจ่ายช่วยเหลือคนที่ได้รับความเดือดร้อน
    จน กระทั่งวันหนึ่งได้ขายสินค้าจนหมดเกลี้ยง แต่เงินทองที่มีอยู่ก็ไม่เหลือ เพราะได้ช่วยเหลือคนอื่น จนไม่มีเงินติดตัวสักเก๊เดียว ไม่รู้จะไปทางไหน จึงอุ้มท้องหิวโหยเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในเมือง เผอิญมีหมอดู
    คนหนึ่งเห็นลักษณะท่าทางของท่านตรงตามตำราบ่งบอกไว้ เลยตรงเข้าไปทักทายให้เชิญมานั่งสนทนา พร้อมกับทำนายว่า ต่อไปท่านจะเป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย เกินกว่ามนุษย์ทุกคนในแผ่นดิน
    กงหมินได้ฟังดังนั้นไม่สามารถจะกลั้นหัวเราไว้ได้ พร้อมกับพูดขึ้นว่า " จนที่สุดในแผ่นดินซิ เราจะเชื่อท่านทันที มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะเวลานี้ตัวเราไม่มีเงิน แม้แต่จะซื้ออาหารกิน" หมอดูยังคงยืนยันคำทำนายว่า " เอาเถิด ต่อไปท่านจะทราบเองแม้แต่ตำแหน่งขุนนางผู้ใหญ่ก็ยังรอท่านอยู่" กงหมินไม่เชื่อตามคำทำนายอีกทั้งยังได้เดินออกจากเมืองไป
    ครั้นถึงชายป่าแห่งหนึ่งมีลิงสองตัวตรงเข้ามาหาเพื่อขอ ความช่วยเหลือ วานให้กำจัดเสื้อร้ายที่คอยจับสัตว์ที่อ่อนแอกว่ากินเป็นอาหาร ด้วยความเบื่อหน่ายชีวิต จึงคิดจะช่วยสงเคราะห์ในการนี้คิดว่าเป็นการช่วยเหลือสัตว์ร่วมโลก ถ้ากำจัดเสือได้สัตว์อื่นจะได้ไม่ต้องเดือดร้อนอีกต่อไป หากพลาดท่าเสียทีก็ขอเป็นอาหารเสือเสียเลย ตนจะได้พ้นทุกข์จากโลกนี้ไปเสียที
    ขณะที่เข้าป่าลึกตามหาเสืออยู่นั้น เสือตัวนั้นพอได้กลิ่นมนุษย์โชยเข้าใกล้ จึงออกติดตามล่าเหยื่อ ครั้นได้จังหวะก็กระโจนออกจากที่ซ่อน หมายตะครุบเหยื่อเป็นอาหารทันที ฝ่ายกงหมินที่คอยระหวังตัวอยู่ทุกฝีก้าว พอเสือร้ายพุ่งตัวเข้าใส่ได้เอี้ยวตัวเพียงนิดก็หลบพ้นกรงเล็บอันแหลงคม อย่างหวุดหวิด การต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเสือก็เริ่มขึ้น เสือหมายขย้ำคนเป็นอาหาร คนต้องการฆ่าเสือ เพื่อช่วยชีวิตสัตว์อื่น
    ชั่วเวลาเพียงไม่นานนัก กงหมินได้ใช้มือเปล่าทุบเสือตาย ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของเขา หลังจากที่ได้พิชิตเสือลงได้พละกำลังที่มีอยู่ได้สูญเสียไปมาก เลยตัดสินใจพักผ่อนเอาแรงอยู่ในป่าแห่งนั้น เพื่อความปลอดภัยจาสัตว์ร้ายตัวอื่น ๆ เขาได้ปีนขึ้นไปนอนอยู่บนต้นไม้ใหญ่
    ตกดึกคืนนั้นขณะที่เขากำลังหลับสนิทอยู่พลันต้องสะดุ้ง ตื่นขึ้นมาเมื่อมีบุคคลกลุ่มหนึ่งลักษณะท่าทางของเขาเหล่านั้นจะเป็นพ่อค้า ก็ไม่ใช่จะเป็นพวกโจรผู้ร้ายก็ไม่เชิง จากการแต่งกายผิดแผกแตกต่างจากคนทั่วไป คุยกันอยู่ใต้ต้นไม้ที่เขานอนอยู่ ด้วยความไม่รู้พวกเขาคือใคร จึงนอนฟังการสนทนาจากบุรุษยามวิกาลด้วยความสนใจ
    " บัดนี้เจ้าของทรัพย์สมบัติที่เก็บรักษาไว้ เขาได้มาถึงที่แห่งนี้แล้ว พวกเราเฝ้าคอยเขามานาน หน้าที่เป็นอันสิ้นสุดลงแล้วสมควรที่จะจากไปเสียที สมบัติเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาคนเดียวเท่านั้น สมควรจะทำอย่างไรต่อไป"
    กล่าวจบร่างบุรุษเหล่านั้นได้อันตรธานไป สร้างความแคลงใจแก่กงหมินยิ่งนัก ด้วยต้องการขจัดให้สิ้นความสงสัย วันรุ่งขึ้นเขาเที่ยวออกสำรวจตรวจรารอบ ๆ บริเวณนั้น ปรากฏว่า พบมีก้อนหินปิดปากทางเข้าอุโมงค์เล็ก ๆ ซ่อนอยู่ ครั้นใช้ไม้งัดเอาก้อนหินนั้นออกและเดินเข้าไปลึกพอสมควร แต่แล้วเขาต้องตื่นตะลึงกับสิงที่อยู่ข้างใน เพราะมีเพชรนิลจินดาและทรัพย์สินที่มีค่ามหาศาลกองพะเนินราวภูเขา
    เขามีดวงจิตที่ไม่ละโมบไม่ยินดียินร้ายในของที่ไม่ใช่ของ ตนจึงได้แค่มองผ่านแล้วเดินกลับออกมา ต่อมาทางบ้านเมืองได้เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ น้ำท่วมบ้านเรือนเสียหาย ผู้คนที่ประสบภัยพิบัติคราวนี้ต่างเสียชีวิต
    เป็นจำนวนมาก ที่ล้มป่วยก็ได้รับทุกขเวทนายิ่งนัก ทางการมิอาจให้ความช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึงได้
    กงหมิน เห็นสภาพชาวบ้านแล้วก็เกิดความสงสาร จึงได้เข้ากราบทูลต่อพระเจ้าแผ่นดินให้ส่งทหารไปขนเอาทรัพย์สมบัติที่ถูก เก็บซ่อนไว้ นำออกแจกจ่ายชาวเมืองที่ประสบเคราะห์กรรม เพื่อพอจะบรรเทา
    ความเดือดร้อนได้บ้าง
    ภายหลังจากบ้านเมืองได้ผ่านวิกฤตการณ์แล้ว พระเจ้าแผ่นดินทรงเห็นว่าเขาเป็นผู้ที่มีจิตใจ โอบอ้อมอารีต่อเพื่อมนุษย์อีกทั้งไม่เห็นแก่ตัวและละโมบในทรัพย์สินเงินทอง จึงรับไว้ปฏิบัติหน้าที่ในราชการแผ่นดิน
    และมีพระราชโองการให้แต่ตั้งกงหมินให้เป็นขุนคลังแผ่นดิน ดูแลพิทักษ์ทรัพย์สินสมบัติของบ้านเมือง
    คุณความดีที่เขาสร้างไว้ระหว่างที่เป็นมนุษย์ หลังจากที่ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว อานิสงส์นี้ส่งเสริมให้ไปจุติบนสรวงสวรรค์และได้รับบัญชาจากเง็กเซียน ฮ่องเต้แต่งตั้งให้เป็น “ ไฉ่สิ่งเอี้ย หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ” นั่นเอง

    (ไม่ปรากฏที่มาของข้อมูลอันชัดเจน) ​
    เทวราชาดอทคอม


     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [​IMG]

    [​IMG]

    ในทำเนียบของเทพเจ้าจีน ซึ่งมีเป็นจำนวนมากอาทิ เทพเจ้ากวนอู, ตั่วเหล่าเอี้ย หรือ เฮียงเทียนเซี่ยงตี่ ที่คนไทยรู้จักกันดีในนาม เจ้าพ่อเสือ, เทพเจ้าเห้งเจีย, เทพเจ้าคุ้มครองดวงชะตาไท้ส่วยเอี้ย ฯลฯ เทพเจ้าเหล่านี้คงเป็นที่คุ้นเคยกันดีกับคนไทย แต่จะมีเทพเจ้าสำคัญอีกองค์หนึ่งที่เป็นที่รู้จักกันดีของคนจีนทั่วโลก และมีความสำคัญอย่างมาก คือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือในภาษาจีนเรียกว่า “ ไฉ่ ซิ้ง เอี้ย ” เป็นเทพเจ้าที่ให้คุณทางด้านโชคลาภ ทรัพย์สมบัติ และการค้าขาย ทุกตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ จะต้องมีการกราบไหว้อัญเชิญเทพเจ้าองค์นี้ เข้ามาสู่เคหสถานบ้านเรือนร้านค้า เพื่อความมีโชคดีทำธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ในปีนั้นๆ ความเชื่อเหล่านี้มีมานานนับพันปี ในหมู่คนจีนทั่วโลก แม้กระทั่งในระดับฮ่องเต้ของจีน ก็ต้องประกอบพิธีอัญเชิญเทพเจ้าแห่งโชคลาภในเทศกาลปีใหม่ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญและมีความเป็นสากล
    บรรดาเทพเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่มีต้นกำเนิดมาจากหลักของลัทธิศาสนาทั้งสิ้น เริ่มจากประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดรากอารยธรรมของโลกที่สำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะลัทธิพราหมณ์ฮินดู ที่เผยแผ่ไปยังดินแดนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ไทย, จีน, เขมร, อินโดนีเซีย, ศรีลังกา, พม่า, ทิเบต, เนปาล, ลาว, ญี่ปุ่น, เกาหลี ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ได้รับอิทธิพลความเชื่อในทางศาสนาจากอินเดียทั้งสิ้น
    เมื่อผนวกเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นของ แต่ละประเทศ ที่มีการใช้ภาษาต่างกัน ทำให้การเรียกชื่อแตกต่างกันออกไป แต่เมื่อมีการค้นคว้าเปรียบเทียบจากองค์ความรู้ด้านศาสนาวัฒนธรรม และความเชื่อแล้ว คือเทพเจ้าองค์เดียวกัน มีรากฐานมาจากที่เดียวกัน หลักความเชื่อสำคัญที่มีอิทธิพลอย่างยิ่ง คือความเชื่อในเรื่องศูนย์กลางจักรวาลที่จำลองมาเป็นเขาพระสุเมรุ หรือไตรภูมิ ที่กล่าวถึงเรื่องมนุษย์ เทวดา ยักษ์ สัตว์หิมพานต์ ชมพูทวีป ฯลฯ ท่านที่มีความรู้ด้านนี้คงเข้าใจได้ง่ายขึ้น


    [​IMG]

    ผู้เขียนจะกล่าวเฉพาะในส่วนของเทพเจ้าแห่งโชคลาภไฉ่ชิ้งเอี้ย ว่ามีความเป็นมาที่ถูกต้อง ตามตำราโบราณอย่างไร เนื่องจากยังไม่เคยมีตำราใดในประเทศไทย เขียนถึงแบบ “ บูรณาการ ” มาก่อน ทำให้เกิดความไม่เข้าใจที่ถูกต้องกับเทพเจ้าองค์นี้ แม้จะมีผู้รู้ ก็รู้เพียงบางส่วน แต่ไม่รู้ลึกซึ้ง เนื่องจากต้องมีพื้นฐานความรู้หลายด้านประกอบกัน เริ่มว่ากันด้วยเทพเจ้าแห่งโชคลาภองค์ นี้ก่อนว่าคือใคร ในคัมภีร์ภาษาบาลีที่จัดอยู่ในหมวดโลกศาสตร์ ซึ่งปราชญ์ทางด้านพุทธศาสนาโบราณได้แต่งไว้ เท่าที่มีการค้นพบมีด้วยกันแปดเรื่อง หนึ่งในแปดเรื่องคือ โลกสัณฐานโชตรคนคัณฐี อัน มีเนื้อหากล่าวถึงกำเนิดจักรวาลและภพภูมิต่างๆ การนับอสงไขย เรื่องของพระอาทิตย์ พระจันทร์ กลุ่มดาวนักษัตรทั้ง 27 และหลักของไตรลักษณ์ อันเป็นเครื่องเตือนสติให้บุคคลประพฤติอยู่ในคุณงามความดี
    ได้กล่าวไว้ว่า รอบเขาพระสุเมรุ ทั้ง 4 ทิศ มีเทวดาชั้นจตุมหาราชิกาประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ หรือที่รู้จักดีในนามของจตุโลกบาล องค์ที่เป็นใหญ่ในทิศเหนือ มีนามว่าท้าวเวสสุวรรณ หรือ เจ้าแห่งยักษ์ ในหนังสือเทวกำเนิดของพระยาสัจจาภิรมย์ ( สรวง ศรีเพ็ญ ) พิมพ์เมื่อปี พ . ศ .2474 ได้กล่าวถึงเรื่องจตุโลกบาล และเรื่องราวของท้าวเวสสุวรรณไว้ว่า เป็นใหญ่ในทิศเหนือ


    [​IMG]

    มีด้วยกันหลายนาม เช่น
    • ท้าวกุเวร ธนบดี ( เป็นใหญ่ในทรัพย์ )
    • ธเนศวร ( เจ้าแห่งทรัพย์ )
    • อิจฉาวสุ ( มั่งมีได้ตามใจ )
    • ยักษ์ราช ( ราชาแห่งยักษ์ )
    • กุตนุ ( มีรูปร่างน่าเกลียด หมายถึงยักษ์ที่มีหน้าตาดุ นั่นเอง )
    • รัตนครรภ ( มีเพชรเต็มพุง )
    • ราชราช ( ราชะราชเจ้าแห่งราชา )
    • นรราช ( เจ้าคน ) ฯลฯ
    จะเห็นได้ว่า จะเรียกอย่างไรก็ตาม ท่านคือสัญลักษณ์แห่งความร่ำรวย ผู้เป็นมหาราชประจำทิศเหนือและในอาฎานาฏิยะปริตรมหาสมัยสูตร หรือบทสวดภาณยักษ์ ก็กล่าวว่า ท้าวกุเวรเป็นจอมยักษ์ และเป็นผู้ดูแลรักษาโลกในทิศเหนือ
    ในฝ่ายพุทธมหายาน มีการกล่าวถึงจตุโลกบาลเช่นกัน และตรงกันว่ามหาราชผู้เป็นใหญ่ในทิศเหนือคือท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพผู้รักษาพระพุทธศาสนา ดังจะเห็นได้จากทางเข้าวัดจีน จะมีจตุโลกบาล 4 องค์ยืนเฝ้าอยู่
    ศาสนาพุทธมหายานครอบคลุมถึงทิเบต เนปาล และประเทศจีนปัจจุบัน รวมทั้งอดีตพันกว่าปี ของคาบสมุทรทะเลใต้ คืออินโดนีเซีย, ไทย, เขมร ที่ศาสนาพุทธมหายานเคยรุ่งเรืองถึงขีดสุด ที่กล่าวโดยสรุปย่อๆให้เห็นภาพชัดเจนว่า ท่านคือใคร แล้วท้าวชุมภล หรือเศรษฐีชัมภล มาจากไหน
    ในคาถาบูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภของพุทธตันตระฝ่ายมหายาน มีดังนี้ “ โอม ชัมภาลา จาเลน ไนเยน สวาหะ ”

    [​IMG]


    “ ชัมภาลา ” ก็คือชัมภล นั่นเอง และในภาษาอังกฤษที่เรียกรูปเคารพ ของท้าวกุเวร หรือท้าวเวสสุวรรณ ก็เขียนทับศัพท์ว่า “JAMBHALA” ตามรูปสมมุติที่สร้างขึ้น เท่าที่ปรากฏตามที่ผู้เขียนได้ค้นคว้าจากตำราทั้งภาษาไทย, จีน, อังกฤษ, ฝรั่งเศส ปรากฏตรงกันว่า ท่านถือพังพอนอยู่ในมือด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งถือลูกแก้วหรือฉัตรก็มี หน้าตาบางปาง ท่านจะดุดันเข้มขลัง เพราะท่านคือเจ้าแห่งยักษ์ บางปางก็ใส่รองเท้า บางปางก็ไม่ใส่รองเท้า ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้รู้ และเมืองจีนยุคหลังๆ เรียกท่านว่า “ ไฉ่ซิ้งเอี้ย ” ตามสำเนียงและภาษาที่เป็นไปของแต่ละพื้นที่ พร้อมกับมีนิทานเรื่องขุนนางจีนมาประกอบ แต่ยังปรากฏรากศัพท์ของเสียง
    “ ฉ ” หรือ “ ช ” ที่ภาษาจีนทางใต้ออกเสียง “ ใช้ ” หมายถึงความร่ำรวย ซึ่งใกล้เคียงของเดิมคือ “ ชัมภล ” “ ชัมภาลา ”
    ในการสวดมนต์ขอพรเทพเจ้าแห่งโชคลาภ นั้น ทางฝ่ายตันตระมหายาน ก็จะใช้คาถาตามที่กล่าวไป เพื่อขอพรให้ท่านประทานโชคลาภและความร่ำรวย ทั้งยังมีอานุภาพในการคุ้มครองปกป้องทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วให้ปลอดภัย รวมถึงจากบรรดาภูติผีปีศาจ อำนาจชั่วร้ายทั้งปวง ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ เพราะท่านคือมหาราชผู้เป็นจตุโลกบาล เจ้าแห่งยักษ์
    เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ( ไฉ่ซิ้งเอี้ย ) สามารถจัดแบ่งปางต่างๆตามหลักมหายานได้ดังนี้

    1. ปางมหาเศรษฐี ซัมภล ซึ่งเป็นปางที่ใหญ่สุดและมีความเก่าแก่ที่สุดกว่า 2,000 ปี
    2. ปางบู๊ ทรงเครื่องนักรบโบราณ มีเสือประทับอยู่ด้วย คติมาจากความที่เป็นยักษ์นั่นเอง ภายหลังจึงแปลงให้เป็นปางบู๊
    3. ปางบุ๋น เป็นรูปขุนนางจีน ดังที่เห็นกันทั่วไป ซึ่งปางนี้กำเนิดภายหลังไม่กี่ร้อยปี คล้ายคลึงกับเทพเจ้าองค์อื่นๆของจีน เช่น ตี่จูเอี้ย, แป๊ะกง ฯลฯ อาจจะมีคฑายู่อี่ และถือก้อนเงินจีนโบราณ

    [​IMG]

    จะเห็นได้ว่า ทั้งสามปางหลัก ปางมหาเศรษฐี ชัมภล มีความเก่าแก่ยาวนาน และมีประวัติความเป็นมาที่สากล ปรากฏในหลายประเทศแถบทวีปเอเซีย ส่วนอีก 2 ปางนั้น มากำเนิดขึ้นภายหลังในประเทศจีน ซึ่งจะมีกึ่งตำนานกึ่งนิทาน ตามตำนานมหาเทพของจีน ( ฮงสิงปั้ง ) ที่เป็นบุคคลธรรมดา ต่อมาภายหลังเมื่อเสียชีวิตจึงได้รับการยกเป็นเทพ ตัวอย่างเช่น เทพเจ้ากวนอู ที่รู้จักกันดี เทพเจ้าหลูปัน, อันเป็นผู้ชำนาญในงานช่างคิดประดิษฐ์เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ พอเสียชีวิตไป ก็ได้รับยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งงานช่าง แม้แต่มาตรวัดต่างๆ ที่บรรดาซินแสใช้ ก็มาจากมาตรวัดของหลูปันทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร เทพเจ้าลักษณะนี้ เป็นเทพเจ้าที่มาจากวีรบุรุษในประวัติศาสตร์จีนภายหลัง นอกจากนั้น ยังมีเทพเจ้าที่มาจากนิทาน เช่น เจ้าพ่อเห้งเจีย ฯลฯ เหล่านี้ จะนิยมสร้างทั่วไปในเมืองจีน เป็นกระเบื้องเซรามิกและไม้แกะ ที่เป็นโลหะหล่อก็มี แต่เทพเจ้าแห่งโชคลาภนี้ ถือว่าเป็นเทพเจ้าที่มาจากบันทึกตามพระไตรปิฎก คือท้าวจตุโลกบาล ผู้เป็นเจ้าแห่งทรัพย์สมบัติทั้งมวลในโลกมนุษย์ ทั้งยังเป็นเทพธรรมบาลผู้รักษาดูแลพระพุทธศาสนาอีกด้วย
    นอกจากนั้น เทพเจ้าแห่งโชคลาภปางมหาเศรษฐี ชัมภลนี้ ยังมีบริวารอีกเป็นจำนวนมากที่ใหญ่รองลงมา ก็มีถึง 4 องค์ ด้วยกัน ตามศาสตร์จีนเรียกว่า “ โหงวไฉ่ซิ้ง ” หรือ ไฉ่ซิ้ง 5 องค์ ใน 4 องค์นี้ ก็มีบริวารอีกเช่นกัน แต่ที่สุดแล้วผู้เป็นใหญ่สุดคือ มหาเศรษฐีชัมภล ที่มีการสร้างรูปเคารพของท่านในที่ต่างๆ มาตั้งแต่โบราณเป็นพันปี ประวัติยังมีมากกว่านี้แต่จะไม่กล่าวถึง

    รูปลักษณะของเศรษฐีซัมภล
    มีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากเทพเจ้า องค์อื่นอย่างเห็นได้ชัด คือมีลักษณะอวบอ้วน, พุงพลุ้ย, ใบหน้าใหญ่, ล่ำ, มีความจริงจัง แต่แฝงไปด้วยความเมตตากรุณา ท่อนบนของท่านเปลือยเปล่า ประดับไปด้วยสร้อยสังวาล, เพชรนิลจินดา, กำไล ทั้งองค์เต็มไปด้วยอัญมณีล้ำค่า แสดงถึงความมั่งมีเงินทองทรัพย์สมบัติอย่างเหลือคณานับ


    [​IMG]

    บางที่จะประทับนั่งบนแท่นดอกบัวและห้อยพระบาท ข้างหนึ่งเหยียบหอยสังข์ มือด้านหนึ่งถือแก้วมณี อีกด้านหนึ่งถือพังพอนไว้ และท่านจะบีบคอพังพอนให้พังพอนอ้าปากคายแก้วแหวนเงินทองออกมา อันเป็นเคล็ดลับโบราณที่กล่าวว่า ทรัพย์สมบัติทั้งมวลบนพื้นพิภพล้วนแล้วแต่อยู่ในผืนดิน ความอุดมสมบูรณ์ต่างๆ ก็มาจากดินจากน้ำใต้ดินทั้งนั้น แก้วแหวนเงินทองของมีค่าล้วนแล้วเกิดจากพื้นปฐพีทั้งหมดทั้งสิ้น ผู้ที่มีหน้าที่เฝ้าทรัพย์เหล่านั้นก็คือ เจ้าแห่งเมืองบาดาลโบราณกล่าวว่าคือ งู ดังนั้น สัตว์ที่แก้เคล็ดกับงูได้ก็คือพังพอนนั่นเอง โบราณจึงได้กำหนดรูปลักษณะของมหาเศรษฐีชัมภลไว้ตามที่ปรากฏในที่ต่างๆ ก็ล้วนแล้วแต่มีพังพอนเป็นสำคัญ ตามพุทธสูตรกล่าวไว้ว่า “ ขอเพียงแต่วาดภาพหรือแกะสลักรูปของมหาเศรษฐีชัมภล จะคิดสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น สมดังใจปรารถนา
    เทวรูปมั่งคั่ง องค์นี้ก็คือ เทพธนาของพระพุทธศาสนานิกายตันตระ ( ในทิเบตคือนิกายลามะ ) มีนามว่า “ รัตนะโกศ ” มีหน้าที่ปกครองดูแลโภคทรัพย์ในแผ่นดินชื่อเต็มคือ “ รัตนโกศมหาพญายักษ์ ” ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมาและจะรักษาทรัพย์สินที่มีอยู่แล้วอย่างมั่งคง ”
    ที่กล่าวมาโดยสรุปก็เพื่อให้ทุกท่านได้ทราบถึงความเป็นมาของเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ( ไฉ่ซิ้งเอี้ย ) ปางมหาเศรษฐีชัมภล ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีการเปิดเผยมาก่อน แต่ก็สามารถพบเห็นได้จากที่ต่างๆ ดังที่ได้นำภาพมาลงให้ชมเป็นหลักฐาน
    สำหรับในประเทศไทย มักเรียกท่านว่า ท้าวกุเวร ท้าวชุมพล บางแห่งจะเรียกท่านว่า “ เจ้าพ่อขุมทรัพย์ ” เศรษฐีมหาเศรษฐีหลายคนในประเทศไทยและต่างประเทศ ก็มีการบูชาท่านมานานแล้ว แม้แต่สำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งหนึ่งในไทย ก็มีรูปหล่อของมหาเศรษฐีชัมภลนี้บูชา
    การบูชาเทพเจ้าแห่งโชคลาภปางนี้นั้น นอกจากให้คุณทางด้านโชคลาภทรัพย์สมบัติแล้วยังสมารถคุ้มครองป้องกันสิ่ง อัปมงคล ได้ทุกชนิด สามารถปัดเป่าพลังอำนาจที่ไม่ดีออกไป ซึ่งคนโบราณค้นพบและหยั่งรู้ในความหมาย จึงได้สร้างรูปเหมือนท่านไว้ ทั่วทวีปเอเชียนานกว่าสองพันปี

    ข้อมูล : พุทธสถานจีเต็กลิ้ม นครนายก


     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ท้าวเวสสุวรรณ เทพแห่งความมั่งคั่ง


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม


    เราอาจเคยเห็นได้ยินความเชื่อเรื่อง "ท้าวเวสสุวรรณ" ว่ามีอิทธิฤทธิ์ในการขับไล่ภูตผีปีศาจทั้งหลาย หรืออาจเคยเห็นคุณย่าคุณยายนำรูป "ท้าวเวสสุวรรณ" มาแขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน แถมบ้างก็ว่า ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเทพแห่งความร่ำรวย จนอดสงสัยไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้ว "ท้าวเวสสุวรรณ" คือใคร วันนี้กระปุกจะพาเพื่อน ๆ ไปหาคำตอบกัน

    ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวเวสสุวัน) หรือในภาษาพราหมณ์เรียกว่า "ท้าวกุเวร" ถ้าในพระพุทธศาสนาจะเรียก "ท้าวไพสพ" เป็นอธิบดีแห่งอสูร หรือเจ้าแห่งภูตผีปีศาจทั้งหลาย โดย ท้าวเวสสุวรรณ เป็นหนึ่งในท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ ผู้คุ้มครองดูแลโลกมนุษย์ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ประทับทางทิศเหนือมีอสูร รากษส และภูตผีปีศาจเป็นบริวาร

    ว่ากันว่าอาณาเขตที่ ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองนั้นใหญ่มหาศาลมาก และ ท้าวเวสสุวรรณ ยังเป็นหัวหน้าของท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 อันประกอบไปด้วย "พระอินทร์" (ท้าวธตรฐ) ปกครองโลกด้านทิศตะวันออก , "พระยม" (ท้าววิรุฬหก) ปกครองโลกด้านทิศใต้ และ "พระวรุณ" (ท้าววิรูปักษ์) ปกครองโลกด้านทิศตะวันตก

    และ เพราะ ท้าวเวสสุวรรณ เป็นเจ้าแห่งอสูร คนโบราณจึงมักทำรูป ท้าวเวสสุวรรณ แขวนไว้เหนือเปลเด็กอ่อน เพราะเชื่อว่าจะช่วยป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้มารบกวนเด็กเล็กได้ และนิยมทำผ้ายันต์รูป ท้าวเวสสุวรรณ รวมทั้งจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้ที่มีดหมอของสัปเหร่อ เพื่อกำราบวิญญาณ และยังมีผู้พกพารูป ท้าวเวสสุวรรณ หรือทำเป็นเครื่องรางของขลัง ป้องกันภัยจากวิญญาณอีกด้วย

    ทั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเรามักเห็นภาพ ท้าวเวสสุวรรณ ในรูปลักษณ์ของยักษ์ ยืนถือกระบองยาว หรือไม้เท้าขนาดใหญ่อยู่ระหว่างขา เหมือนมีขาสามขา เนื่องจากท้าวกุเวรมีรูปร่างพิการ จึงเป็นเหตุให้พระพรหมตั้งชื่อให้ว่า "ท้าวกุเวร" แต่ในวรรณคดีหลายฉบับ

    รวมทั้งตำราโบราณ ได้กล่าวตรงกันว่า อันที่จริงแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ เป็นยักษ์ที่มีผิวกายและพัสตราภรณ์สีเหลืองทอง จิตใจดีงาม และอุทิศตนถวายพิทักษ์รักษาพุทธสถาน และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้น หากใครที่เดินทางไปยังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ที่จังหวัดพิษณุโลก ก็อาจจะได้พบรูปหล่อปิดทองด้านซ้ายของฐานองค์พระพุทธชินราช ทำเป็นรูป ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อปกปักคุ้มครองพระพุทธศาสนา ไม่ให้หมู่มารมารังควาน รวมทั้งปกป้องคุ้มครองแก่ผู้นั่งสมาธิปฏิบัติพระกรรมฐาน

    ดังนั้น เราอาจจะเคยเห็นว่า วัดวาอารามต่าง ๆ หรือด้านหน้าถ้ำ จะมีรูปปั้้นยักษ์ 1 หรือ 2 ตน ยืนถือกระบองค้ำพื้นเฝ้าหน้าประตูโบสถ์ หรือวิหารที่เก็บของมีค่า โบราณวัตถุของทางวัดอยู่ ซึ่งหากยักษ์ที่ยืนปกปักรักษาอยู่มีตนเดียว นั่นก็คือ ท้าวเวสสุวรรณ นั่นเอง แต่ถ้าหากมี 2 ตน ก็คือบริวารของ ท้าวเวสสุวรรณ ที่จะมาคอยปกปักรักษาบริเวณวัด

    และนอกจาก ท้าวเวสสุวรรณ จะมีหน้าที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนาแล้ว ท้าวเวสสุวรรณ ยังมีหน้าที่จดความดีของคนทางทิศเหนือไปจารึก และประกาศให้เทพยดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้รับรู้อีกด้วย


    ตำนานความเชื่อของ ท้าวเวสสุวรรณ

    ตามตำนานทางพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในอดีตชาติ ท้าวเวสสุวรรณ เคยเป็นพราหมณ์ เปิดโรงงานค้าขายหีบอ้อยจนร่ำรวย ด้วยความใจบุญจึงได้นำเงินทองไปบริจาคให้ผู้ยากไร้ และด้วยกุศลผลบุญที่ ท้าวเวสสุวรรณ บำเพ็ญมานับหลายพันปี พระพรหม และ พระอิศวร จึงให้พรแก่ ท้าวเวสสุวรรณ ให้เป็นอมตะ และเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั่วปฐพี เป็นเทพแห่งความร่ำรวย ดังนั้นผู้คนจึงนิยมจำหลักรูป ท้าวเวสสุวรรณ ไว้เคารพบูชาเพื่อความมั่งคั่งอีกหนึ่งประการ ตรงตามความหมายของชื่อ "ท้าวเวสสุวรรณ" คือ คำว่า "เวส" แปลว่า พ่อค้า จึงหมายถึงพ่อค้าอันมีทรัพย์ ได้แก่ ทองคำ

    นอกจากนี้อีกหนึ่งตำนานในพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ในชาติหนึ่ง ท้าวเวสสุวรรณ ซึ่งเดิมชื่อ กุเวรพราหมณ์ ได้ทำบุญกุศลมาก จนชาติต่อมา ได้เป็นกษัตริย์ครองกรุงราชคฤห์ พระนามว่า พระเจ้าพิมพิสาร และทรงเป็นพระสหายกับเจ้าชายสิทธัตถะ ต่อมาเจ้าชายสิทธัตถะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เสด็จมาโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จนบรรลุเป็นโสดาบัน และได้ถวายพระเวฬุวันมหาวิหาร ให้พระพุทธเจ้าได้เข้าประทับ จึงเป็นอานิสงส์ให้ได้วิมานอันสวยงาม และการที่พระเจ้าพิมพิสารถวายทานบ่อย ๆ จึงเป็นปัจจัยให้มีทิพยสมบัติมากมาย เมื่อได้เป็นเทวดาก็ทรงมีอำนาจมาก

    ขณะที่ตามตำนานของพรามหณ์ เชื่อกันว่า ท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร หรือ กุเปรัน เป็นพี่ชายต่างมารดาของทศกัณฐ์ แต่ไปนับถือท้าวมหาพรหมผู้เป็นเทวดา เพราะปรารถนาจะบำเพ็ญบารมี ทำให้ผิดใจกับพ่อซึ่งอยู่ในตระกูลยักษ์ โดยท้าวมหาพรหมทรงโปรดปรานท้าวกุเวร จึงประทานบุษบกให้ เพื่อให้ล่องลอยไปไหนมาได้ตามใจปรารถนา ก่อนที่ทศกัณฐ์จะไปแย่งบุษบกของท้าวกุเวรที่พระมหาพรหมประทานให้ไป และยึดกรุงลงกาที่ท้าวกุเวรปกครองอยู่มาได้สำเร็จ ท้าวมหาพรหมจึงสร้างนคร "อลกา" ให้ท้าวกุเวรใหม่



    คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ

    ใน คัมภีร์โบราณ กล่าวไว้ว่าผู้ใดหวังความเจริญในลาภยศ ทรัพย์สินเงินทอง อำนาจวาสนา ให้บูชารูปท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร ตามคาถาบูชาต่อไปนี้


    [​IMG] คาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าวกุเวร (บูชาประจำวัน)


    ตั้ง นะโม 3 จบ

    อิติปิโสภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ

    มรณังสุขัง อะหังสุคะโต นะโมพุทธายะ

    ท้าวเวสสุวรรณโณ จตุมหาราชิกา ยักขะพันตา ภัทภูริโต

    เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโมพุทธายะ



    ท้าวเวสสุวรรณ เทพแห่งความมั่งคั่ง ประวัติ ท้าวเวสสุวรรณ

    .



    .



    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระขรรค์

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
    [​IMG]
    พระขรรค์ คืออาวุธมีคม ลักษณะคล้ายดาบ มีคมสองด้าน ตรงกลางคอด สมมุติเป็นอาวุธของเทพเจ้า เห็นได้ในภาพประกอบเรื่องราวในวรรณคดี หรือตราสัญลักษณ์ที่มีเทวดาทรงพระขรรค์ นอกจากนี้ยังมีใช้ในพิธีกรรมสำคัญบางอย่างด้วย


    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%82%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%8C
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันครู

    ที่มา คลังปัญญาไทย

    ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 16 มกราคมของทุกๆปี เป็น "วันครู" และการจัดงานวันครู ได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 และให้ดำเนินเรื่อยมาทุกปี นับตั้งแต่บัดนั้นมา โดยจัดให้มีขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ
    <table id="toc" class="toc" summary="สารบัญ"><tbody><tr><td>สารบัญ

    [ซ่อนสารบัญ]

    </td></tr></tbody></table> [แก้ไข] ความหมายของครู

    [​IMG]

    ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ

    [แก้ไข] ความสำคัญของครู

    ในชีวิตของคนเราถือว่า บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุด เพราะท่านเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ความรัก ให้ความเมตตา มีความห่วงใย และเสียสละเพื่อลูก นอกจาก บิดามารดา แล้ว ก็มีครูเป็นผู้มีพระคุณคล้าย บิดามารดา คือ เป็นผู้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ รวมทั้งให้ความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ทุกคน นับได้ว่าครูเป็นผู้เสียสละที่ไม่แพ้บุพการี
    ครูจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ในการให้การศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ ตลอดเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่ สั่งสอนอบรมให้เด็กได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการประกอบ าชีพเลี้ยงดูตนเอง รวมทั้งนำพาสังคมประเทศชาติ ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นวันที่ 6 ตุลาคม จึงได้เป็นวันครูสากล เพื่อคนที่เป็นครูทั่วโลกที่เสียสละนำพาเราทุก ๆคน ไปถึงฝั่งฝันนั่นเอง
    [แก้ไข] ความเป็นมา

    [​IMG]

    วันครู ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ.2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้ และความสามัคคีของครู

    ทุกปีคุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา เป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา
    พ.ศ.2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า
    “ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าวันครูควรมีสักวันหนนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้ แสดงความเคารพสักการะต่อวันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง”
    จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและ อื่นๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครู ในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ให้มีวันครูเพี่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพจารย์ ส่งเสริมความสามัคคีธรรมระหว่างครูและพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน
    คณะมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น “วันครู” โดย ถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2488 เป็นวันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าว
    งานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญ คือ หนังประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ
    [แก้ไข] บทสวดเคารพครู

    [​IMG]

    (สวดนำ) ปาเจราจริยาโหนฺติ (รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา

    ปญฺญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ
    (สวดทำนองสรภัญญะ)
    (สวดนำ) อนึ่งข้าคำนับน้อม (รับพร้อมกัน) ต่อพระครูผู้การุณย์
    โอบเอื้อและเจือจุน อนุศาสน์ทุกสิ่งสรรพ์
    ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน
    ชี้แจงและแบ่งปัน ขยายอรรถให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเมตตา และกรุณา บ เอียงเอน
    เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์ ให้ฉลาดและแหลมคม
    ขจัดเขลาบรรเทาโม หะจิตมืดที่งุนงม
    กังขา ณ อารมณ์ ก็สว่างกระจ่างใจ
    คุณส่วนนี้ควรนับ ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร
    ควรนึกและตรึกใน จิตน้อมนิยมชม
    (กราบ)
    [แก้ไข] การจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมในวันครู

    [​IMG]

    เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจในบทบาท และหน้าที่ของครู ตลอดจนจรรยามารยาทและวินัยตามระเบียบประเพณีครู และบทบาทหน้าที่ของศิษย์ที่พึงปฏิบัติต่อครู คลอดจนการจัดกิจรรมได้เหมาะสม และมีประสิทธภาพ

    [แก้ไข] กิจกรรมวันครู

    การจัดงานวันครูได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกิจกรรมให้สอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงของสังคมตลอดเวลาในปัจจุบันได้จัดรูปแบบการจัดงานวันครูจะมี กิจกรรม 3 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้
    1. กิจกรรมทางศาสนา
    2. พิธีรำลึกพระคุณบูรพาจารย์ ประกอบด้วยพิธีปฏิญาณตนการกล่าวคำระลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
    3. กิจกรรมเพื่อความสามัคคีระหว่างผู้ประกอบอาชีพครู ส่วนมากเป็นการแข่งขันกีฬา หรือการจัดงานรื่นเริงในตอนเย็น
    ปัจจุบันการจัดงานวันครู ได้มีการกำหนดให้จัดพร้อมกันทั่วประเทศ สำหรับส่วนกลางจัดที่หอประชุมคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการจัดงานวันครู ซึ่งมีปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นประธาน ประกอบด้วย บุคคลหลายอาชีพร่วมกันเป็นผู้จัด สำหรับส่วนภูมิภาคมอบให้จังหวัดเป็นผู้ดำเนินการ โดยตั้งคณะกรรมการจัดงานวันครูขึ้นเช่นเดียวกับ ส่วนกลางจะจัดรวมกันที่จังหวัดหรือแต่ละอำเภอ
    รูปแบบการจัดงานในส่วนกลาง (หอประชุมคุรุสภา) พิธีจะเริ่มตั้งแต่เช้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภา คณะกรรมการอำนวยคุรุสภา คณะกรรมการการจัดงานวันครูพร้อมด้วยครูอาจารย์และประชาชนร่วมกันใส่บาตรพระสงฆ์จำนวน 1,000 รูป หลังจากนั้นทุกคนที่มาร่วมงานจะเข้าร่วมพิธีในหอประชุมคุรุสภา นายกรัฐมนตรีเดินทางมาเป็นประธานในงาน ดนตรีบรรเลงเพลงมหาฤกษ์ นายกรัฐมนตรีบูชาพระรัตนตรัย ประธานสงฆ์ให้ศีล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการกล่าวรายงานต่อนายกรัฐมนตรีกล่าวนำพิธีสวดคำฉันท์รำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์
    จากนั้นประธานจัดงานวันครู จะเชิญผู้ร่วมประชุมยืนสงบ 1 นาที เพื่อรำลึกถึงพระคุณบูรพาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว ต่อด้วยครูอาวุโสในประจำการ ผู้นำร่วมประชุมกล่าวปฏิญาณ ดังนี้
    ข้อ 1 ข้าจะบำเพ็ญตน ให้สมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นครู
    ข้อ 2 ข้าจะตั้งใจฝึกสอนศิษย์ให้เป็นพลเมืองดีของชาติ
    ข้อ 3 ข้าจะรักษาชื่อเสียงของคณะครู และบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม
    จากนั้นพระสงฆ์เจริญชัยมงคล แล้วต่อด้วยนายกรัฐมนตรี มอบรางวัลครูดีเด่นประจำปี มอบของที่ระลึกให้ครูอาวุโสนอก และในประจำการ สุดท้ายกล่าวปราศรัยกับคณะครูที่มาประชุม


    ขอขอคุณข้อมูลจาก
    - ผศ.ประชิด สกุณะพัฒน์ และอุดม เชยกีวงศ์ วันสำคัญ. กรุงเทพฯ : ภูมิปัญญา,2549 หน้า 25
    - อักษรดอทคอม
    - thaigoodview.com
    ภาพประกอบทางอินเทอร์เน็ต
    Retrieved from ".:: วันครู - คลังปัญญาไทย ::."
    ประเภทของหน้า: วันสำคัญ



    .

    .:: วันครู - คลังปัญญาไทย ::.

    .



    .
     
  13. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    โหเสดงว่าผู้ที่ได้ไปในงานโชคดีกันทุกท่านแน่ๆเลยนะครับ ได้รับสิ่งดีๆเป็นมงคลรับปีใหม่เลยก็ว่าได้นะครับเนี่ย แถมอิ่มบุญอิ่มใจทุกท่านที่ไปแน่ๆเลยนะครับพี่ๆทุกท่าน
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระแม่คงคา แม่น้ำคงคา

    คัดมาจาก - หนังสือเทพเจ้าและสิ่งน่ารู้
    พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า)
    จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ศรีปัญญา ขอขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ำ


    ได้ความตามพาลกัณฑ์แห่งหนังสือรามายณะว่า พระหิมาลัยมีมเหสีชื่อนางมีนา
    บุตรีแห่งพระเมรุ ทั้งสองนี้มีบุตรีสององค์ คือ พระคงคาหนึ่ง พระอุมาหนึ่ง เทพยดาทั้งหลายได้ขอพระคงคาไปไว้เพื่อล้างบาป
    ลำน้ำคงคาจึงมีอยู่ในเทวโลก ต่อมามีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สัตรฤาสาคร
    ท้าวสัครราชนี้ไม่มีโอรส จึงกระทำการสักการะด้วยการทรมานพระองค์ต่างๆ ต่อหน้าพระภฤคุมุนีช้านาน
    จนพระภฤคุมุนีมีความเมตตา จึงให้พรให้มีโอรส คือมเหสีองค์หนึ่ง ให้มีกุมารองค์เดียว
    แต่อีกองค์หนึ่งให้มีกุมารหกหมื่นองค์
    การก็เป็นไปตามพระภฤคุได้ประสาทพรไว้
    โอรสที่เกิดมาแต่นางเกศินี มเหสีขวานั้นมีมาเฉพาะองค์เดียว นามว่าอังศุมาน นางสุมดีมเหสีซ้ายมีโอรสหกหมื่น
    แล้วท้าวสัครราชจะกระทำพิธีอัศวเมธ แต่พระอินทร์ลงมาลักม้าตัวนั้นไปเสียก่อน
    ท้าวสัครราชจึงตรัสใช้ให้พระโอรสหกหมื่นองค์ไปเที่ยวตามหาม้าพระกุมารได้ขุดแผ่นดินลงไปองค์ละโยชน์จนถึงกลางพิภพ
    ก็หาได้พบม้านั้นไม่ ฝ่ายพวกเทวดามีความตกใจจึงไปทูลวิงวอนพระพรหมาให้ช่วย พระพรหมาตรัสว่า
    พระนารายณ์จะทรงแปลงเป็นกะบิลลงไปแก้ไขเหตุร้อนของเทวดา พระนารายณ์เป็นกะบิลลงไปยืนขวางทางพวกกุมารทั้งหกหมื่น
    ครั้นกุมารจะจับว่าเป็นผู้ร้ายลักม้าพระกะบิลก็บันดาลให้เกิดไฟผลาญกุมารเป็นเถ้าถ่านไป
    ไม่มีสิ่งไรจะทำให้กุมารเหล่านี้จะพ้นทุกข์ได้นอกจากที่กระแสพระแม่คงคาจะมาล้างให้หมดมลทิน

    ท้าวสัครราชก็ดี และต่อมาพระอังศุมานก็ดี จะพยายามปานใดก็ไม่สามารถจะให้พระคงคาไหลลงมาจากเทวโลกได้
    พระทิลิปะราชโอรสพระอังศุมานก็ได้พยายามอีกแต่ไม่สำเร็จอีก
    จนถึงคราวพระภาคิรัถโอรสพระทิลิปะจึงสำเร็จตามประสงค์ พระภาคิรัถไม่มีโอรส
    จึงบำเพ็ญการทรมานตนต่างๆ จนพระพรหมมาทรงพระเมตตา ตรัสว่าจะขอพรอันใดจะประสาทให้
    พระภาคิรัถจึงทูลขอให้พระแม่คงคาลงมาล้างสาครกุมารทั้งหกหมื่นให้หมดมลทินจะได้ไปขึ้นสวรรค์ได้
    กับขอโอรสสององค์ พระพรหมาก็ประสาทพรให้และตรัสสำแดงอุบายให้ว่า
    ให้พระภาคิรัถไปทูลวิงวอนพระอิศวรให้ช่วยเหนี่ยวรั้งแม่คงคาไว้บ้าง เพราะถ้ามิฉะนั้นน้ำจะท่วมโลกมนุษย์หมด

    พระภาคิรัถก็ตั้งกระทำกิจบูชาพระอิศวรจนสมประสงค์
    ฝ่ายพระแม่คงคามีความพิโรธว่ามนุษย์บังอาจมาขอลงไปจึงกล่าวว่าจะไหลลงไปใหท่วมโลก
    พระอิศวรเข้ารับกระแสพระแม่คงคาและรวบไว้ด้วยเกศา จนพระแม่คงคาค่อยคลายพิโรธแล้วกระแสคงคาจึงตกลงในสระวินทุ
    อันเป็นที่เกิดแห่งสัปตะมหานที น้ำคงคาสายหนึ่งได้หลั่งไหลตามพระภาคิรัถไป
    จนถึงมหาสมุทรและดำเนินลงไปในหลุมที่สาครกุมารทั้งหกหมื่นได้ขุดไว้นั้น
    พอน้ำพระคงคาตกต้องกองเถ้าล้างมลทินสาครกุมารทั้งหกหมื่นก็พ้นทุกข์กลายเป็นเทพบุตรเหาะไปสู่เทวโลก
    พระแม่คงคาก็ยังคงหลั่งไหลอยู่ในมนุษย์โลกภาคหนึ่งจนตราบเท่าทุกวันนี้ เพราะเหตุฉะนี้ ชาวมัชฌิมประเทศจึงนิยมกันว่า
    แม้ผู้ใดได้ลงแช่ในกระแสคงคาจะหมดมลทินสิ้นบาปได้

    รูปพระคงคาเขียนสีกายสีน้ำไหล สี่กร กรขวาทั้งสองถือก้อนศิลา
    กรซ้ายถือใบไม้กรหนึ่ง ถือหม้อน้ำกรหนึ่ง ทรงมัจฉาเป็นพาหนะ (บางตำราว่าทรงจรเข้)


    [​IMG]
    พระศิวะรองรับสายน้ำพระแม่คงคาก่อนไหลลงสู่โลก
    เกิดเป็นสายแม่น้ำคงคาตราบจนปัจจุบัน


    [​IMG]
    พระแม่คงคา


    [​IMG]
    แม่น้ำคงคา - เป็นสถานที่ประกอบพิธีสำคัญๆของชาวฮินดูมาช้านาน
    Source : Wikipedia


    [​IMG]
    Source : Wikipedia


    [​IMG]
    พระแม่คงคาทรงจรเข้
    Source : harekrsna.com

    [​IMG]
    เทวรูปพระศิวะขนาดมหึมา ประดิษฐานตระหง่านอยู่ใกล้แม่น้ำคงคา
    Source : Wikipedia


    [​IMG]
    วิถีชีวิตริมฝั่งแม่น้ำคงคา ศูนย์รวมจิตใจความศรัทธาของประชาชนชาวอินเดีย

    Source : aehms.org

    .


     
  15. sittiporn.s

    sittiporn.s เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +748
    ผมอยากจะบอกว่าสุดยอดของการอธิษฐานจิตเพื่อประสิทธิในวัตถุมงคล หรือในตัวเรา ( โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือที่กระหม่อม ) คือสมปรารถนา ดังนั้นก่อนที่จะสวมพระเครื่องหรือวัตถุมงคลทุกครั้งอย่าลืมว่าต้องสมาทานศีลก่อน ( เพื่อให้กายหยาบสอาด ) แล้วค่อยอธิษฐานจิต ทุกๆวันและทกๆครั้งที่จะปฏิบัตืภาระกิจ
    นั้นๆ แล้วจบด้วยคำกล่าวว่า ขอให้สำเร็จ ขอให้สำเร็จ ขอให้สำเร็จ 3ครั้งครับ
     
  16. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618


    องค์ท่านเป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนให้ความเคารพนับถือมากองค์นึง ที่บ้านผมพอถึงวันตรุดจีนต้องไปไหว้ต้อนรับท่านที่หน้าบ้านทุกปี ส่วนใหญ่จะตอนกลางคืนบางปีก็ตี4รึตี5แล้วแต่ แต่ละปีจะไม่เหมือนกันแฟนผมมีเชื้อสายจีน ที่บ้านก็เลยเคารพท่าน มีองค์ท่านวางไว้ในบ้านเพื่อความเป็นศิริมงคลครับ
     
  17. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    ขอบคุณมากครับพี่ รู้แล้วขนลุกเรยครับ
     
  18. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ขอบพระคุณมากสำหรับความรู้ที่นำมาบอกกล่าวครับพี่ สำหรับสิ่งที่ไม่เคยได้รับรู้มาก่อน
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นิทานสอนใจ : ให้เป็น "ที่รัก" <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">16 มกราคม 2554 12:56 น.</td></tr></tbody></table>
    [​IMG] <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ขอบคุณภาพประกอบจาก www.google.co.th</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ในช่วงเดือนเมษายน ของทุกๆ ปี ในเมืองไทยเรา เป็นฤดูแห่งความแห้งแล้ง น้ำในเขื่อนมีปริมาณน้อย ไม่สามารถแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านอย่างเพียงพอ

    ผู้เขียนนิทานเรื่องนี้ จึงได้นึกถึงเรื่อง "ภัยคุกคามเวสาลี" ว่า จะมีใครบ้างที่ใช้วิธีการแบบกษัตริย์ลิจฉวี พิจารณาคุณธรรมของตนเอง เร่งรักษาศีล นิมนต์พระมาสวดพระปริตร (การสวดซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองปกป้องรักษาอันตรายต่างๆ ได้) เน้น "รัตนสูตร" ประพรมน้ำมนต์กันทุกหมู่บ้าน ฝนจะได้ตกลงให้ชื่นฉ่ำใจกันทั่วหน้า

    เช่นเดียวกับเรื่องของพระภิกษุจำนวนหนึ่งที่ใคร่จะบำเพ็ญเพียรทางจิต ฝึกสมณธรรมตลอดครึ่งพรรษา จึงเข้าเฝ้าพระพุทธองค์พร้อมกันเพื่อเรียนการฝึกจิตที่เรียกว่า "กรรมฐาน" ครั้นเรียนรู้ก็ออกเดินทางเพื่อแสวงหาที่ที่เหมาะสมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบสถานที่ร่มรื่นสงบเงียบอันเหมาะแก่การบำเพ็ญเพียงยิ่งนัก ณ ชายแดนแห่งหนึ่งประกอบด้วยธารน้ำใสสะอาดและโขดหินรูปร่างต่างๆ ที่สีสันสวยงาม ภิกษุทั้งหลายจึงเลือกสถานที่นั้นเป็นที่พัก

    ครั้นชาวบ้านใกล้ๆ ป่านั้นได้ข่าวว่ามีเหล่าภิกษุมาพักจำศีลอยู่ ก็พากันมาทำบุญด้วยข้าวปลาอาหาร ตลอดเครื่องใจด้วยความเต็มใจ และศรัทธายิ่ง เพราะชายแดนแห่งนั้นไม่ค่อยมีภิกษุผ่านมากันนัก

    เรื่องนี้ก็น่าจะจบลงด้วยความ สุขและความสำเร็จ เพราะทุกอย่างเตรียมพร้อม แต่การณ์กลับตาลปัตรหรือพลิกล็อก เพราะรุกขเทวดาที่อาศัยอยู่ตามต้นไม้เหล่านั้นเกิดเดือดร้อน ด้วยไม่อาจอยู่สูงกว่าผู้มีศีลอันบริสุทธิได้ ต้องลงมาจากวิมานต้นไม้ มาอาศัยตามพื้นดิน รอวันรอคืนที่ภิกษุเหล่านั้นจะเดินทางกลับเพื่อจะได้คืนสู่วิมานดังเดิม

    แต่ก็คอยแล้วคอยเล่าจนไม่อาจจะทนรออยู่ต่อไปได้อีก จึงร่วมกันทำการรบกวนด้วยวิธีต่างๆ ทั้งแปลงกายให้น่าเกลียดน่ากลัวชวนขนลุกขนพองสยองเกล้า ทำเสียงดังรบกวน ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปให้ปวดศีรษะ ภิกษุทั้งหลายถูกรบกวนด้วยรูปแบบต่างๆ จนร่างกายผิวพรรณซูบซีดหน้าตาคล้ำหมอง จิตใจกระสับกระส่ายไม่อาจจะทำให้จิตใจสงบลงได้ แต่ก็ยังทนไม่ยอมบอกความทุกข์ให้แก่กัน

    จนเมื่อมาประชุมพร้อมกันในวันหนึ่ง พระเถระผู้ใหญ่จึงไต่ถามถึงสาเหตุที่ทำให้ภิกษุทั้งหลายสุขภาพเสื่อมโทรม สาเหตุต่างๆ จึงเปิดเผยขึ้น ที่สุดจึงตกลงกันว่าจะเดินทางกลับไปขอให้พระพุทธองค์ทรงแนะนำสถานที่ที่ เหมาะสม แต่พระตถาคตตรัสว่า ไม่มีที่ ใดจะเหมาะสมเท่ากับที่เดิมอีกแล้วให้ภิกษุทั้งหลายกลับไปเจริญสมณธรรมใหม่ แล้วตรัสสอนว่า "เมตตาสูตร" ให้ภิกษุทั้งหลายสวดเป็นประจำพร้อมกับให้มีการแสดงธรรม สนทนาธรรมทั้งกล่าวอนุโมทนาบุญซึ่งกันและกันเพิ่มเติมจากการสวดพระปริตรนี้

    เมื่อภิกษุทั้งหลายกลับมาดำเนินการตามพุทธดำรัสก็บังเกิดผลอย่างน่า อัศจรรย์ ทุกรูปอยู่เย็นเป็นสุข เทวดาทั้งปวงก็ไม่ทำอันตราย แต่กลับคุ้มครองเป็นอย่างดี จนบำเพ็ญเพียงถึงขั้นบรรลุธรรมทุกรูป

    ตอนนี้ก็ถึงคำถามที่ว่า เกิดปาฏิหาริย์อะไรขั้นจาก "พระปริตร" คำตอบอยู่ที่ความหมายของ "เมตตาสูตร" อันเป็นเคล็ดลับที่ทำให้พระภิกษุทุกรูปเป็นที่รักของเทวดา มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย เราทุกคนจึงไม่แปลกใจเลย ถ้า รู้คำแปลของบทสวดที่ให้ทุกคนทำตัวเป็นผู้ว่าง่าย เลี้ยงง่าย อ่อนโยน ไม่อวดดี ไม่ดูหมิ่นผู้อื่น ยินดีด้วยของตามมีตามได้ (สันโดษ) ซื่อตรง ไม่ประพฤติตนในทางเสื่อมให้ผู้คนติเตียนได้ มีความเมตตาต่อทุกชีวิตเทียบเท่ากับความรักที่มารดามีต่อบุตร

    หลายคนที่ได้อ่านเรื่องนี้แล้วคงต้องร้อง "อ๋อ" ว่าเพราะเป็นเช่นนี้เอง ไม่ว่าใครๆ ที่ประพฤติปฏิบัติตาม "เมตตาสูตร" ก็ย่อมเป็น "ที่รัก" หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข ผิวพรรณผ่องใส เทวดาคุ้มครองรักษาให้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง

    *** ทีมงาน Life & Family ขอขอบคุณนิทานเรื่องสั้น "ธรรมะบันดาลใจ นิทานต้นแบบแห่งความดี" โดย ปาริฉัตต์ จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์ในเครือสถาพรบุ๊คส์

    Life & Family - Manager Online -
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตำรวจเตรียมเปิด โครงการหมายจับจราจร

    [​IMG]


    ตำรวจ เตรียมเปิดโครงการหมายจับจราจร (ไอเอ็นเอ็น)

    ตำรวจจราจร เตรียมงัดโครงการนำร่อง "หมายจับจราจร" ปลูกจิตสำนึกให้ผู้ใช้รถใช้ถนน นำร่อง วันที่ 17 มกราคมนี้

    พ.ต.อ.วีระวิทย์ วัจนะพุกกะ ผู้กำกับการ 1 (สายตรวจ) กองบังคับการตำรวจจราจร เปิดเผยถึง กรณีการเตรียมเปิดตัวโครงการ "กรุงเทพปลอดภัย จราจรใส่ใจ ป้องกันภัยลดอุบัติเหตุ" (หมายจับจราจร) โดยเจ้าหน้าที่จะเดินรณรงค์ประชาสัมพันธ์ 7 พฤติกรรม (ข้อหา) เสี่ยงและฝ่าฝืนกฎหมาจราจร แจกจ่ายให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ จดจำง่าย และให้ความร่วมมือในการจัดระเบียบบังคับใช้กฎหมาย เตือนสติ ปลูกจิตสำนึกให้เคารพกฎจราจร

    โดยติดสติกเกอร์ตามถนนสายหลักและตรอกซอย เช่น บริเวณที่ตั้งคิวรถจักรยานยนต์, บริเวณที่ตั้งคิวรถรับจ้างสาธารณะ (แท็กซี่), ร้านค้าในซอยต่าง ๆ ซึ่งจะเริ่มรณรงค์นำร่องในพื้นที่ ถนนพระราม 4 - สุขุมวิท - อโศก - นานา ในวันที่ 17 มกราคม 2554 เวลา 14.00 น. เป็นต้นไป


    ที่มา ไอ.เอ็น.เอ็น.
    [​IMG]
    และ ที่มา kapook.com

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • f_9.jpg
      f_9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      127.9 KB
      เปิดดู:
      612

แชร์หน้านี้

Loading...