หลวงปู่แหวนมาโปรดในนิมิตร(ฝัน)

ในห้อง 'หลวงปู่แหวน' ตั้งกระทู้โดย psombat, 18 มีนาคม 2010.

  1. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
  2. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ขอคั่นรายการ ...

    [​IMG]

    ... ด้วยภาพนี้ครับ พี่ท่านช่างกล้าเสียจริงๆ
     
  3. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ตำนาน...เหล็กไหล

    เหล็กไหล คือ ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม และภูตผี ปีศาจ เป็นสสารที่มีจิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพณ์ที่ มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายและเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มคลองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรงรวมถึง อาวุธร้ายแรงนานยาชนิด และ กันผีป่า ภูตผีปีศาจ ทั้งหลายได้ ป้องกันผีอำได้อย่างอัศจรรย์นั้นเอง


    ประเภทของเหล็กไหล
    ธาตุศักดิ์สิทธิที่เราเรียกกันว่า “เหล็กไหล” นี้ พอจะแบ่งแยกได้เป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ด้วยกัน
    1.ธรรมธาตุ กำเนิดของเหล็กไหลประเภทนี้ เกิดจากจิตของเทพพรหมในอดีตอันไกลโพ้น ซึ่งเป็น “อรูปพรหม” ที่ปรารถนาจะมาช่วยรักษาพระพุทธศาสนา จึงได้ลงมาบำเพ็ญฌาณในมนุษย์โลก ได้เข้ามาสัมผัสเข้ากับกลิ่นอันโอชะของง้วนดิน ที่เป็นธาตุ บริสุทธิ์มาแต่เดิม แล้วเกิดติดใจในความโอชาของง้วนดินเข้า เมื่อเสพแล้วก็เลยหาที่พักพิงอาศัยอยู่ ตามเงื้อมเขา ตามถ้ำอันสงบ เป็นอยู่อย่างนั้นตามสภาพของจิต ล้านปีบ้าง แสนปีบ้าง หมื่นปีบ้าง ร้อยปีบ้าง หนึ่งปีบ้าง
    เมื่ออัธยาศรัยของจิตเริ่มเกาะรูปธรรม จึงได้เนรมิตรธาตุบริสุทธิ อันประกอบด้วย ธาตุทั้ง 4 อันได้แก่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ด้วยการเนรมิตรเอาด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ขึ้นมาประกอบเป็นเรือนกาย ฝังตัวอยู่ในก้อนธาตุเหล่านั้น อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ เป็นเพศผู้ก็มี เพศเมียก็มี อยู่โดดเดี่ยวก็มี เป็นคู่ก็มี เป็นกลุ่มก็มี มีรังอาศัยอยู่ก็มี ที่ไม่มีรังอาศัยอยู่ก็มี โดยปกติแล้วปีหนึ่ง ๆ ประมาณเดือน 5 ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จะออกหาเสพง้วนดิน
    แต่ในสมัยปัจจุบันโลกมนุษย์ของเรา ผิวพื้นโลกไม่มีความสะอาดเพียงพอ จึงไม่มีง้วนดินอยู่ ธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้จึงต้องอาศัย เสพน้ำผึ้งแทนเฉพาะในเวลากลางคืนโดยอาศัยป่าเขาต่าง ๆ ซึ่งบางคนอาจจะเคยพบเห็น
    ลักษณะการเคลื่อนที่ของธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ จะปรากฏเป็นดวงกลมใหญ่ เล็ก ลอยออกจากหน้าผาหรือถ้ำ ออกไปจับรังผึ้งตามต้นไม้ บางดวงก็ลอยหายไปในโพรงไม้เพื่อกินน้ำผึ้งโพรง บางดวงก็ลอยหายไปใต้พื้นดินเพื่อกินน้ำหวานของแมงขี้สูตร
    ถ้าผู้พบเห็นมีความสามารถพิเศษ ก็สามารถเชิญเขามาสนทนาได้เช่นกัน แต่ถ้าต้องการที่จะครอบครองของสิ่งนี้ ต้องมีวาสนาบารมีสั่งสมร่วมกันมาตั้งแต่อดีต หรือมิเช่นนั้นก็ต้องเป็นผู้มีศีลธรรม จิตใจเป็นบุญเป็นกุศล ถึงพร้อมพรหมวิหารธรรม เจตนาเป็นกุศลจิต ก็อาจทำพิธีอัญเชิญท่านให้ปรากฏตนออกมา เพื่อสงเคราะห์ช่วยเหลือผู้ทรงคุณธรรมทั้งฝ่ายฆราวาสและบรรพชิตที่ประสงค์จะช่วยกัน สืบพระศาสนาขององค์พระศรีศากยมุณี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกันมาแต่อดีตชาติ แล้วได้จุติลงมาเป็นมนุษย์
    เทพพรหมเหล่านี้มุ่งการบำเพ็ญบารมีทำความเพียรจนเข้าถึงอริยสัจจธรรม เพื่อที่จะได้น้อมนำชีวิตอุทิศตนเอง ถวายเป็นพุทธบูชาเสริมสร้างบารมีของตน จนเข้าสู่มรรคผลนิพพาน ในอนาคตกาลภายภาคเบื้องหน้า และจรรโลงกอบกู้อุปถัมภ์ค้ำชู พระพุทธศาสนาที่เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ ที่ปฏิบัติถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งธรรม
    ดังนั้นฤทธิ์อำนาจของเหล็กไหลชนิดนี้จะสูงกว่าธาตุกายสิทธิ์ทุกประเภท สามารถทำปฏิกิริยาต่อเชื้อปะทุทุกชนิดและศาสตราวุธต่าง ๆ ให้หมดอานุภาพได้ เมื่อเทพนั้นมีความประสงค์จะแสดงอิทธิฤทธิ์ให้ดู หรือเพื่อคุ้มครองรักษาเจ้าของเหล็กไหลนั้น คือจะแสดงฤทธิ์ก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น
    นอกจากนี้ยังล่องหนหายตัวได้เมื่อต้องการ โดยการสลายรูปธาตุทั้งสี่ให้เป็นอรูปธาตุ (วิญญาณธาตุ) แล้วประกอบขึ้นใหม่ได้ และเมื่อยังไม่ประกอบรูปธาตุก็จะยังไม่กินน้ำผึ้ง ต่อเมื่อประกอบธาตุแล้วจึงจะกินน้ำผึ้ง และต้องเป็นน้ำผึ้งที่บริสุทธิ์อีกด้วย
    ลักษณะพรรณสัณฐานของเหล็กไหลประเภทนี้มีหลายรูปแบบ เช่น รูปไข่ กลมรี ครึ่งซีก ทรงกลม หนำเลี๊ยบ รักบี้ เป็นต้น เพราะมองดูเผินจะมองไม่ออกเลยว่าเป็นเหล็กไหล เพราะเหมือนก้อนหิน ก้อนกรวดธรรมดา ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล ที่เป็นธรรมธาตุนี้ แต่ละองค์จะมีนามของตนเองโดยเฉพาะ จะต้องสอบถามนามของท่านเอาเอง
    ยุคสมัยปัจจุบันมีผู้ตั้งค่านิยมของ ธาตุกายสิทธิ์ ไว้สูงมาก จนเกิดการทุ่มเทติดตามหาวัตถุธาตุกายสิทธิ์นี้อย่างจริงจัง จนหลายคนหมดเงินหมดทองไปเป็นจำนวนมาก แต่มีน้อยรายที่จะพบกับความสำเร็จ เพราะขาดความรู้ความเข้าใจ ความเป็นมาของธาตุวิเศษเหล่านี้ รวมทั้งขาดบุญวาสนาอีกด้วย พึงตระหนักอยู่เสมอว่า สิ่งใดมีคุณอนันต์ ก็ย่อมเกิดโทษอันมหันต์ได้เช่นกัน
    2.ธาตุสำเร็จ เหล็กไหลชนิดนี้เป็น “รูปธาตุ” มีแต่เพียงจิตครอง ไม่มีวิญญาณครอง เกิดจากฤทธิ์อำนาจของเทพระดับต่ำลงมาในระดับ “รูปพรหม” โดยเมื่อครั้งในอดีตได้เคยบำเพ็ญตบะเป็นฤาษีชีไพรจนสำเร็จรูปฌาณ แต่ด้วยบุพกรรมและความปรารถนาบางอย่าง จึงได้ลงมาสู่โลกมนุษย์ในลักษณะเป็นก้อนธาตุสำเร็จ รูปทรงต่าง ๆ กัน ที่เป็นเหมือนโลหะธาตุก็มี เหมือนแก้วใสก็มี สถานที่ อยู่ของเหล็กไหลประเภทนี้ มักจะอยู่ภายในถ้ำที่มีความสะอาด เย็น หรือชื้นแฉะ ธาตุเหล็กไหลประเภทนี้ไม่สามารถล่องลอยไปหาน้ำผึ้งกินเองได้ จะต้องอาศัยวัตถุธาตุที่เป็นสื่อเป็นสะพานนำไป โดยการไหลไปตามพื้นดิน ผนังถ้ำ หรือ หน้าผา
    หากสถานที่นั้นไม่มีผึ้งทำรังอยู่ นานวันเข้าเหล็กไหลก็จะเคลื่อนย้ายเปลี่ยนที่ อยู่ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ บางครั้งก็จะมีการขับถ่ายของเสียออกมา ซึ่งเรียกกันว่า “ขี้เหล็กไหล” เมื่อถ่ายมูลเสร็จจะกลับเข้ารังต่อไป
    สำหรับเหล็กไหลประเภทนี้มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับธาตุกายสิทธิ์ประเภทแรก เพราะเป็นการประกอบธาตุให้ถูกส่วนของผู้มีวิชาแก่กล้าทางโลกียฌาณ คือ ฤาษี ชีไพร คนธรรพ์ วิทยาธร เป็นต้น แต่ไม่สามารถคุ้มครองตัวเองได้ เพราะถ้าเจอะผู้มีวิชาอาคมที่ แก่กล้า จะถูกทำลายหรือแย่งชิงได้ง่าย เนื่องจากมีเพียงวิญญาณธาตุ คือ พลังงานอย่างเดียว
    ดังนั้นผู้มีเหล็กไหลประเภทนี้อยู่ มักจะไม่เปิดเผย เพราะเกรงผู้มีวิชาเรียกเอาได้ ลักษณะของเหล็กไหลประเภทนี้มักจะพบเห็นบ่อยครั้ง มีชื่อเรียกหาแตกต่างกันไปตามความคิดความเข้าใจและคุณสมบัติที่พบเห็น บางครั้งต้องทำพิธีพลีกรรมตัดเอา แต่ สำหรับผู้ทรงฌาณระดับสูงแล้ว เพียงแต่ทำการอัญเชิญท่าน ก็จะเสด็จมาอยู่ด้วยโดยไม่ ต้องมีพิธีกรรมที่ยุ่งยากแต่อย่างใด

    อาณาจักรของเหล็กไหล
    เนื่องจากเหล็กไหลประกอบไปด้วยธาตุเหล็กเป็นสำคัญ จึงต้องการสิ่งที่มีความแข็งแกร่งพอสมควรที่จะเข้าไปยึดเกาะเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อ สร้างอาณาจักรหรือรังขึ้นมา เฉกเช่นสัตว์โลกทั่วไปที่ จำเป็นต้องมีที่อยู่อาศัย เพื่อขยายเผ่าพันธ์มีลูกมีหลานสืบต่อไปในภายภาคหน้า
    ดังนั้นโครงสร้างของอาณาจักรส่วนใหญ่จึงยึดเอาสิ่งที่มีธาตุเหล็กเป็นหลัก เพราะจะได้อาศัยการกินธาตุเหล็กเป็นอาหาร เพื่อเป็นการตั้งธาตุและปรับธาตุของตนเองให้เกิดความสมดุลย์ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากธาตุเหล็กเป็นธาตุดังเดิมที่มีอยู่ในพื้นภิภพและพื้นผิวโลกมาตั้งแต่การกำเ
    นิดของโลกก็ว่าได้
    ธาตุเหล็กจึงมีโอกาสดึงดูดและสะสมพลังงานต่าง ๆ ที่มีอำนาจมาไว้ในตนเองค่อนข้างมากและเป็นเวลานาน ทำให้เหล็กไหลมีอิทธิฤทธิ์เพิ่มพูนขึ้น และเมื่อมีการกินธาตุเหล็กเข้าไปมาก ก็ย่อมมีการขับถ่ายของเสียออกมาหรือของเหลือออกมา กลายเป็น “ขี้เหล็กไหล” ซึ่งมีลักษณะเหมือนเหล็กที่ผุตัวลงไป ไม่มีความแข็งแกร่งเหมือนกับตัวเหล็กไหล หรือ โคตรเหล็กไหล
    แต่เหล็กไหลบางประเภทที่อาจจะมีผิวพรรณวรรณะไปทาง ธาตุกายสิทธิ์ คล้ายแก้วหรือหินย่อมจะสร้างรังหรืออาณาจักรที่แตกต่างกันไป ส่วนใหญ่จะเป็นเทพผู้รักษาในระดับชั้นพรหมที่ละเว้นจากเรื่องกาม เช่น มหาฤาษีผู้เพ่งฌาณสร้างธาตุกายสิทธิ์ หรือ กลั่นกรองธาตุเหล่านั้นจนใสเป็นแก้วแตกต่างกันไปตามบารมี ชอบจะอาศัยอยู่ในโพรงหินที่เป็นแก้วสีที่แตกต่างกันออกไป หากดูภายนอกจะไม่ทราบเลยว่า ภายในก้อนหินเหล่านั้นจะมีธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลซ่อนอยู่ภายใน
    รังของเหล็กไหล

    ความหมายของ “รังเหล็กไหล” ย่อมหมายถึงลักษณะของถิ่นที่อยู่หรือโครงสร้างที่อยู่อาศัยนั้นเอง เหล็กไหลบางประเภทที่จำเป็นต้อง สร้างอาณาจักรนั้น ลักษณะของรัง จะเหมือนรังผึ้ง้ มีท่อ มีรู เชื่อมโยงอยู่ภายใน เหมือนเป็นเส้นทางเชื่อมโยงติดต่อซึ่งกันและกัน โดยมีการแบ่งสัดส่วนเป็นห้องเป็นหับ เหมือนสัตว์โลกทั่วไป เพื่อใช้เป็นห้องพักของตนเอง ห้องพักของตัวอ่อน ลูก ๆ ที่เกิดขึ้นก็จะฟักตัวเองอยู่ในโพรง หลายตัวต่อโพรงก็มี
    รังของเหล็กไหลเหล่านี้มักจะอยู่ภายในถ้ำคูหาต่าง ๆ พ่อแม่ก็อาจจะแสวงหาอาหารจากแร่ ธาตุและธาตุอื่น ๆ ที่มีฤทธิ์อำนาจและพลังบารมีสูง เพื่อให้ตัวอ่อนมีความแก่กล้าและแข็งแรงเติบใหญ่ขึ้น พร้อมกับเรียนรู้สภาวะต่าง ๆ ไปพร้อมกัน
    จากตัวเล็กขนาดเท่าปลายเข็ม ก็ขยายใหญ่ขึ้นไปเรื่อย ๆ จนถึงขนาดไข่ปลาดุก ไข่กบ เม็ดถั่วเขียว เม็ดถั่วลิสง เชื่อกันว่าเม็ดเหล็กไหลขนาดเล็กเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีฤทธือำนาจมากขึ้นเท่านั้น เพราะหากมีเหตุเภทภัยอันใดจะมาถึงตัว ก็จะใช้ฤทธิ์ทั้งหมดในทีเดียว
    ดังนั้นจึงเป็นที่เชื่อถือในหมู่ผู้ปฏิบัติจนได้ถึง เจโตรปริยญาณว่า ตัวเหล็กไหลที่แท้จริงนั้น ก็ คือตัวลูก ๆ ที่ยังเล็ก ๆ อยู่ หรือเพิ่งเป็นอิสระหลุดตัวเองออกมาจากญาณพ่อญาณแม่ของมัน
    เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งปกป้องคุ้มครองจากเหล่ายักษ์ คนธรรพ์ นาค วิทยาธร ให้ความอารักขา เนรมิตสิ่งบดบังคุ้มครองหรือปกปิดให้ เช่น “แก้วขนเหล็ก” ที่เป็นเหมือนขนโลหะที่มี ความคมและแข็งห่อหุ้ม เหล็กไหลไว้ภายในโดยรอบ
    เหล็กไหลบางประเภท ก็จะมีสิ่งห่อหุ้มที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติ ปกป้อง หรือ เป็นที่หลบซ่อนฝังตัวของเหล็กไหล ไม่ให้ปรากฏเป็นที่สนใจของผู้ที่มีเจตนาที่ไม่ดีได้พบเห็น มีลักษณะแตกต่างกันไป บางอย่างก็นิ่มคล้ายขี้ผึ้ง แต่พอโดนอากาศภายนอกนาน ๆ ก็จะแข็งตัว บางอย่างคล้ายแก้วสี ขุ่น ๆ ห่อหุ้มตัวไว้ มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่เหตุปัจจัย
    คุณสมบัติของผู้ครอบครองเหล็กไหล
    เหล็กไหลจะอยู่กับผู้มีบุญเท่านั้น ผู้มีบุญในที่นี้หมายถึง ผู้ประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น ยึดมั่นในศีล 5 พรหมวิหาร 4 ผู้ละแล้วเสียซึ่ง ความโลภ โกรธ หลง เหล็กไหลเมื่อมีความยินดีจะอยู่คุ้มครองให้กับผู้ใดก็จะอยู่ด้วยตลอดไป เว้นแต่ผู้นั้นจะมีจิตใจที่เปลี่ยนไปในทางอกุศล เหล็กไหลก็อาจหายไปทันที
    ดังนั้นผู้ครอบครองเหล็กไหล จึงควรมีคุณสมบัติดังนี้
    1.บุญวาสนาและบารมี ที่ประกอบไปด้วยสัมมาทิฐิ เป็นคนดีมีศีลธรรม
    2.มีความเชื่อมั่นและศรัทธาในธาตุกายสิทธิ์นี้
    3.มีความปรารถนาอยากได้อย่างแรงกล้า
    แท้จริงแล้วผู้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล ซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีทั้งบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์แล้ว จะต้องมีบารมีรองรับพอเพียง มิฉะนั้นเหล็กไหลจะหนีกลับไปสู่เจ้าของเดิม หรือ ผู้ที่มีบารมีสูงพอ ดังนั้นถ้ามีเงินแต่ไม่มีคุณธรรม ก็อย่าหมายว่าจะซื้อได้
    ท่านทั้งหลายได้ลองพิจารณาตนเองในส่วนนี้แล้วหรือยัง ในการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับเหล็กไหล เพราะเหล็กไหลทุกประเภท ล้วนแต่ยอมอุทิศตนเพื่อเสริมสร้างบารมีธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงมรรคผลนิพพาน จึงยอมอุทิศตนทั้ง ร่างกายคือธาตุขันธ์ และจิตวิญญาณ ในการสืบพระศาสนาให้มั่นคงสถาพรตราบนานเท่านาน
    อาหารของเหล็กไหล
    เนื่องจากผู้บำเพ็ญฌาณในระดับสูงและผู้สร้างเหล็กไหลในอดีต ล้วนแต่อาศัยตามเงื้อมผาและถ้ำคูหา เป็นที่บำเพ็ญพรตภาวนา มักจะถือศีล 8 กินพืชผักผลไม้เป็นอาหารหลัก อาหารเสริมพิเศษที่ทำให้เกิดกำลังก็ คือ น้ำผึ้งป่า
    ดังนั้นเหล็กไหลเกือบทุกประเภทก็ชมชอบที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน เพราะน้ำผึ้งเกิดจากความหวานของเกษรดอกไม้ต่าง ๆ ที่ผึ้งนำมาเก็บไว้ในรัง บางทีก็บินไปสร้างที่อยู่ใหม่ทิ้งรังเก่าไว้ตามคบไม้ หรือหน้าผา เมื่อเหล็กไหลมีจิตวิญญาณขององค์ฤาษีหรือเทพผู้สร้างสิงสถิตย์อยู่ จึงนิยมที่จะเสพน้ำผึ้งเช่นกัน
    ธาตุกายสิทธิ์
    ธาตุกายสิทธิ์ ที่มีอยู่ในพื้นผิวโลกทุกชนิดย่อมที่จะมีเทวดา เทพ-พรหมที่มีฤทธิ์มีอำนาจเป็นผู้ดูแลรักษาอยู่ ถ้าได้นำไปใช้เพื่อความถูกต้องก็จะมีฤทธิ์มีอำนาจในการช่วยเหลือเกลื้อกูล คุ้มครอง แคล้วคลาด ป้องกัน ต่อผู้ที่มีจิตศรัทธา เคารพบูชาให้เดินอยู่ในเส้นทางของศีลธรรม ผู้ที่เป็นเจ้าของในการครอบครองธาตุกายสิทธิ์จะต้องมีศีลมีสัจ อยู่ประจำจิตใจของตน ธาตุกายสิทธิ์จึงบังเกิดผลสิทธิอำนาจนั้นๆได้สุดแท้แต่ ธาตุกายสิทธิ์ในแต่ละชนิดจะมีฤทธิ์อำนาจไปในแนวทางใด เพราะธาตุกายสิทธิ์นั้นมีอยู่มากมายหลายชนิด เช่น อริยธาตุ วัชระธาตุ เพชรนิจ จินดา เหล็กไหล ไพรดำ ปรอท ว่านยา แร่ธาตุ ฯลฯ
    ซึ่งธาตุกายสิทธิ์ในแต่ละชนิดจะมีฤทธิ์อำนาจที่ไม่เหมือนกัน บางชนิดก็เมตตา บางชนิดก็แคล้วคลาด บางชนิดก็คงกระพัน บางชนิดก็ใช้ในการรักษาโรค บางชนิดก็เด่นในทางมีโชค ลาภ ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับเหล่าเทพเทวาว่าจะมีบารมีประจุอยู่ในธาตุวัตถุชนิดนั้น เน้นหนักไปในแนวทางใด เพราะจิตวิญญาณที่ได้เคยอธิฐานจิตแผ่ญาณของตนเอาไว้กลายเป็นอนุภาคไฟฟ้าซึ่งมีอยู่ในทุกๆมวลธาตุ จนกลายเป็นฤทธิ์อำนาจที่มีอยู่เหนือความถี่ของภพชาติปัจจุบัน ซึ่งทุกคนกำลังใฝ่ฝันหาอยากจะได้มาครอบครองแสดงตนเป็นเจ้าของ..
    ผู้ปฎิบัติส่วนใหญ่ที่ผ่านการศึกษาเรียนรู้ในธาตุกายสิทธิ์มาเป็นอย่างดี จะเกิดความสนใจเสาะแสวงหาอยากจะได้มาเพื่อเอาไว้บูชา เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง จะได้อาศัยองค์ความรู้ของจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลรักษาธาตุกายสิทธิ์มาเป็นบูรพาจารย์ กลายเป็นคุรุทางวิญญาณมาชี้แนะแนวทางการฝึกฝนปฏิบัติขัดเกลาอบรมจิตให้ จะได้เดินไปถูกแนวทางของมรรคา จึงทำให้ธาตุกายสิทธิ์แทบจะทุกชนิด เป็นที่ต้องตาต้องใจในหมู่ของนักปฏิบัติ เพื่อจะนำไปใช้ในการโทรจิต ติดต่อ สัมผัสสอบถามในสิ่งเกินองค์ความรู้ของมนุษย์ เช่น โลกทิพย์ เมืองบาดาล เมืองลับแล เมืองบังบด ว่าเป็นอย่างไร สามารถทำให้เกิดสิ่งแปลกใหม่ขึ้นในชีวิตและทรัพย์สินโดยที่เราไม่คาดฝัน สามารถที่จะเกิดขึ้นมาได้ด้วยฤทธิ์อำนาจและฌานสมาบัติของเทพ - เทวาที่ดูแลและรักษาวัตถุธาตุนั้นๆ ให้เป็นธรรมชาติแห่งความสมดุล ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อมของธรรมชาติให้เป็นไปตามปรมัตถสัจจะ
    จึงทำให้ธาตุกายสิทธิ์ในยุคปัจจุบันนี้ กลายเป็นที่ยอมรับของผู้ที่มีญาณสมาธิ ว่าประจุไฟฟ้า พลังงาน หรือฤทธิ์อำนาจที่แทรกซึมอยู่ในวัตถุธาตุ สามารถที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
    ส่วนวัตถุธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีฤทธิ์อำนาจหลงเหลืออยู่ในตัวเองสูง ยังไม่ค่อยผุดขึ้นมาให้มนุษย์พบหากันได้ง่ายๆเพราะเหล่าเทพ-เทวาที่ดูแลรักษาจะทำการคัดสรรกลั่นกรอง รอจังหวะ รอโอกาส รอจุดติของผู้มีฤทธิ์ ซึ่งเคยเป็นเจ้าของครอบครองวัตถุธาตุอันศักดิ์สิทธิ์เหล่ามานับจากอดีตยังไม่เปิดบารมีให้ ถ้าบุคคลนั้นไม่ใช่
    “สายณะธรรม” ซึ่งเคยสร้างกรรมร่วมเวรมาแต่ภพภูมิก่อน
    การเปิดตัวของธาตุกายสิทธิ์
    เมื่อกาลนั้นๆ มาถึงธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้นก็จะผุดขึ้นมา
    1. โดยการบวงสรวง อัญเชิญจากผู้รู้ ซึ่งในอดีตเคยผ่านการศึกษาเรียนรู้วัตถุธาตุอันทรงฤทธิ์เหล่านั้น จนเข้าใจดีแล้ว เพราะเคยเป็น สายณะธรรม ร่วมกรรม ร่วมเวรกับจิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ภายในวัตถุธาตุนั้นมาก่อน
    2. จะต้องเป็นเจ้าของ และเคยครอบครองธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้นมาตั้งแต่อดีต
    3. เทพ-เทวาที่ดูแลรักษา เกิดความเบื่อหน่ายในการดูแลรักษาวัตถุธาตุ และกาลเวลาที่จะต้องไปจุดติเกิดในภพภูมิใหม่จึงต้องออกแสวงหา(นิมิตฝัน) ผู้ที่มีบุญบารมีมารับวัตถุนี้ไปครอบครอง
    4. ก่อนที่จะละธาตุขันธ์ไปจากวัตถุธาตุอันทรงฤทธิ์ได้ แผ่บุญบารมีของตนไว้ในวัตถุธาตุ เพื่อให้ผู้ที่มารับช่วงสามารถนำบารมี เหล่านั้นไปอธิษฐานจิต ใช้ตามแนวทางถูกต้อง มิเช่นนั้นจะกลายเป็นดาบ 2 คม
    5. เทพ-เทวา อดรนทนต่อไม่ไหว เพราะเห็นความทุกข์ความยากของสรรพสัตว์มาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน จึงนิรมิต ดลบันดาลให้ธาตุกายสิทธิ์ผุดขึ้นมาตามสถานที่ต่างๆ
    ฤทธิ์อำนาจของพืชวัตถุ
    ดอกตะไคร้ กว่าจะพบเห็นดอกตะไคร้ขึ้นตามกอต่างๆได้ก็ต้องใช้ระยะเวลา 50 ปี ขึ้นไปจึงจะออกดอกขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง เขาถือกันว่าดอกตะไคร้เป็นของอาถรรพณ์ของเทพ-เทวาชั้นสูง จัดเป็นดอกไม้สักสิทธิ์ของสรวงสวรรค์ มีฤทธิ์อำนาจเด่นทางด้าน เมตตา มหานิยม โชคลาภ และ ป้องกันไฟได้เป็นอย่างดี สามารถเข้าเครื่องยาแก้โรคมะเร็งพบหาได้ยาก จึงมักนำมาบด เป็นมวลสารในการสร้างวัตถุอันเป็นมงคล
    ว่านนางพญาท้าวเอว เป็นสมุนไพรยืนต้น ซึ่งมีกิ่งก้านสาขาเหมือนกับคนยืนเท้าเอว ใช้ป้องกันสัตว์ที่มีเขี้ยวงา นำมาพกพาติดตัว ป้องกันโรคปวดเมื่อยต่างๆได้เป้นอย่างดี
    พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เป็นต้นไม้ที่พระพุทธเจ้าในอดีตนั่งบำเพ็ญฌานสมาธิ และได้อธิษฐานจิตให้ผลของต้นไม้ชนิดนี้มีพระรูปของ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ปรากฏขึ้นสืบเนื่องจากอดีตไม่มีวัตถุมงคลพระเครื่อง สำหรับพกพาติดตัว เมื่อพบเจอผลไม้ที่มีรูปพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ จึงเกิดศรัทธา เลื่อมใสจึงนำพกพาติดตัว
    ในยุคปัจจุบันใช้ในการอธิษฐานจิต เสมือนกับพระธาตุชนิดหนึ่ง เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังเดินอยู่ในศีล สมาธิ ปัญญา
    การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น !!
    ดังนั้นแร่เหล็กที่อยู่ภายใต้ลาวานั้น ย่อมได้รวบรวมเอาสรรพสิ่งจากธาตุ กายสิทธิ์ทั้งหลายเหล่านั้นรวมกันไว้ในตัวเอง คือมีฤทธิ์ในการปกป้องตนเองให้พ้นจากภัยในทุกรูปแบบ เพราะฉะนั้นเมื่อมหาฤาษีได้ใช้อิทธิฤทธิ์ดึงธาตุเหล่านี้ขึ้นมา แล้วถอดจิตด้วยฌาณสมาบัติเข้าแฝงตนอยู่ในธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ เพื่อฝึกฝนปฏิบัติทางจิตให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จึงทำให้เจตสิกของผู้ทรงฌาณนั้นเกิดพลังอันมหาศาล แม้แต่จะงอเหล็กก็ยังได้ จนมนุษย์ได้ค้นพบสิ่งเหล่านี้เข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ และไม่ทราบว่ามันคืออะไร ก็เลยเรียกกันว่า “เหล็กไหล” ตามสภาวะการแสดงอิทธิ์ฤทธิ์ที่ปรากฏต่อสายตาในขณะนั้นนั่นเอง คือลักษณะเหมือนก้อนเหล็กที่ยืดตัวได้ มีสีสรรต่าง ๆ กันหลายรูปแบบ เหล็กไหลจึงเป็นธาตุ กายสิทธิ์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ จนกลายเป็นสิ่งล้ำค่าที่ผู้คนแสวงหาไม่รู้จักจบมาทุกยุคทุกสมัยตราบจนเท่าทุกวันนี้
    เหล็กไหลมีหลากหลายชนิด ลักษณะเป็นเนื้อโลหะสีมันวาวสะท้อนแสงได้ดี แข็งมีน้ำหนักเหมือนโลหะทั่วไป สนิมไม่กินเนื้อ มีพลังอำนาจในตัว ทางธรณีวิทยาเราจัดเป็นแร่ ประเภทหนึ่ง แต่ คนโบราณได้ค้นพบธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ขึ้นมา โดยการอนุมานจากอนุภาคธรรมชาติ ที่แสดงตนออกมาตามสภาพที่พบเห็นแล้วเรียกมันว่า “เหล็กไหล” เช่น ยืดได้หดได้ด้วยตนเอง ไหลยืดออกมาเป็นทางยาว ดับความร้อนได้ ชอบกินน้ำผึ้ง มีฤทธิ์ทำลายฟอสฟอรัสหรือหัวไม้ขีดให้หมดสภาพไปได้ คือจุดไม่ติด เมื่อมีการทดลองให้ประจักษ์แก่สายตาในอิทธิ์ฤทธิ์ปาฎิหาริย์ จึงทำให้เกิดมีความปรารถนาและมีความต้องการสูง มีการติดต่อซื้อขายกันในราคาที่ค่อนข้างสูง คิดตามน้ำหนักเป็นบาทหรือเป็นชิ้นเป็นองค์ในราคาหลักร้อยล้านกันขึ้นไป
    “เหล็กไหล” จึงเป็นที่ปรารถนาและใฝ่ฝันของคนทั่วไป แม้บางที่จะต้องเสี่ยงภัยถึงขั้นเอาชีวิตแลกก็ยอม เรื่องราวของเหล็กไหลจึงดูเหมือนเป็นเรื่องลี้ลับซับซ้อน และหลายคนคงอยากจะรู้เหมือนกันว่า เหล็กไหลคืออะไรกันแน่ ? เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ? เหล็กไหลที่ทรงอิทธิฤทธิ์นี้ มีจริงหรือไม่ ? จึงเป็นปรัศนีที่ท้าทายความกระหายใคร่อยากรู้ตามลักษณะวิสัยของมนุษย์ จึงทำให้ต้องเที่ยวหาคำตอบจากผู้รู้ทั้งหลาย หรือผู้มี ประสพการณ์ที่มีความรู้ที่พึงเชื่อถือได้ จนกลายเป็นตำนาน “เหล็กไหล” ที่เล่าขานที่สืบทอดกันมาแต่สมัยโบราณตราบถึงปัจจุบัน บางครั้งก็มีผู้ขนานนามว่า “ธาตุน้ำนมพระแม่ธรณี”
    ธาตุเหล็กไหลนี้จัดได้ว่า มีชีวิตจิตวิญญาณ และเป็นธาตุกายสิทธิ์ ด้วยว่ามันมี พลังงานอยู่ในตนเองสูงมาก พลังงานนี้จะเทียบเท่ากับน้ำหนักหรือแรงกด เหมือนกับสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก ๆ จนบางครั้งยกไม่ขึ้น หรือยกขึ้นไม่ไหว นี่แหละคือคุณค่าพิเศษของธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ จึงจัดเป็นธาตุที่หาได้ยากมาก จะอยู่ตามถ้ำ ตามหน้าผา หุบเขา หรือภูเขา บางครั้งเราเรียกกันว่า “ธาตุน้ำนมของพระแม่นางธรณี” ด้วยเกิดจากสิ่งหลอมเหลวภายในโลกนั่นเอง จึงเปรียบเสมือนเลือดน้ำนมในอกของพระแม่นางธรณี
    ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้พลังงานจากธาตุกายสิทธิ์หลายชนิดอันเกิดจากแร่ธาตุธรรมชาติ มาเป็นส่วนประกอบสำคัญในเครื่องมือทางการแพทย์ อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ และอีเล็คโทรนิค
    ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลก็เช่นกัน เมื่อคนเราได้ค้นพบพลังงานอันมหาศาลที่ ซ่อนเร้นอยู่ จึงกลายเป็นของที่ทุกคนสนใจใคร่แสวงหากัน และจะหาธาตุเหล็กใดในโลกนี้บ้าง ที่มีพลังลึกลับอันมหัศจรรย์ซ่อนเร้นอยู่ในตัว เพราะเป็นพลังที่พิสดารจากธรรมชาติ เนื่องจากธาตุเหล็กธรรมดา ถ้าสัมผัสพลังดูแล้วจะรู้สึกว่าธรรมดา แต่ถ้าเป็นเหล็กไหลจะรู้สึกถึงพลังอันหนักหน่วง มีน้ำหนักมากจนรู้สึกได้

    เหล็กไหลสีขาว
    หรื่อเรียกว่าเหล็กไหลชีปะขาว( เหล็กไหลน้ำหนึ่ง)ชนิดนี้มีแบบคลายกันอยู่หลายแบบ ต้องเป็นคนมีญาณเท่านั้นถึงดูออก หรือมีตัวอย่าง แล้วเอาไปเทียบกับผิวดูของแท้บ่อยๆจะดูได้โดนไม่ต้องใช้ ญาณดูก็ได้เพราะผิวจะเหมือนกัน เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีสูงสุด จะเรียกว่าดีที่สุดก็ว่าได้ เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ป้องกันได้คลอบจักวารเลยก็ว่าได้ มีพลังทางร้อนแรง ทำลายอวิชาต่างๆได้ดี ป้องกัน ภูตผี ปีศาจ ได้100% ป้องกันผีอำได้ 100% ไปไหนที่มีผีดุก็ไม่สามารถมาทำร้ายผู้ครอบครองได้ ความหมายก็คือ อาจจะโดนผีหลอกได้ แต่ไม่สามารถมาใกล้ผู้ครอบครองได้ หรือทำร้ายเราได้ เป็นของที่ดีที่สุด ตอนนี้ก็ยังหาได้ไม่ยากนัก ใครพบเจอก็ซื้อเก็บไว้ให้ดี คนดวงตก ใส่แล้วก็รอดจากภัยทั้งหลายได้100% วิธีตรวจสอบก็ให้คนที่มี ญาณ หรือพระเกจิเก่งๆตรวจสอบ วิธีการดู ถ้าบอกไปอาจจะมีคนเอาไปทำเรียนแบบขึ้นมา จึงให้คนที่สนใจดูจากเวปนี้แล้วศึกษากันเองนะคับ ของชิ้นนี้มีบารมีสูงที่สุดเท่าที่เคยสัมผัสมา
    เหล็กไหลชีปะขาว
    เหล็กไหลประเภทนี้มีสีขาวเป็นมันเลื่อมคล้ายเกล็ดงู เกจิอาจารย์บางท่านเรียกว่า “พญางูเผือก” พวกพระลามะทิเบตชอบมีไว้ประจำตัว เพราะมีมากในถ้ำในภูเขาประเทศทิเบต ส่วนในประเทศเราจะพบเห็นตามถ้ำทางภาคเหนือ และลึกเข้าไปในแคว้นเชียงตุงของพม่า และทางลาวเหนือ เพราะเหล็กไหลชีปะขาวชอบอากาศหนาวจัด มีอานุภาพทางแคล้วคลาดล่องหนหายตัวได้ชั่วคราว ถูกไฟไม่ยืด แต่ถ้าใช้คาถาอาคมยืดได้ มีมายาในตัว งอกขึ้นได้เล็กลงได้ ถ้าจะนำไปสร้างพระเครื่องจะต้องใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุบังคับ หากพลังจิตไม่แก่กล้าพอก็ทำไม่ได้ เหล็กไหลชีปะขาวใช้แทนเพชรได้ในกรณีต้องการตัดกระจก สามารถตัดกระจกให้ขาดได้ เพราะมีความแข็งพอๆ กับเพชร เหล็กไหลชีปะขาวทุบไม่แตก ตัดไม่ขาด
    เหล็กไหลชีปะขาวสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า ผู้ครอบครองจะหมดสิ้นอายุขัย มีเคราะห์ร้ายถึงตาย เมื่อใดเหล็กไหลชีปะขาวจะถือโอกาสล่องหนอันตรธานหายไป ผู้ครอบครองคนใดเมื่อรู้ว่าเหล็กไหลชีปะขาวของตนหายก็อย่าได้ตกใจจนขวัญเสีย มีสติปลงให้ตก ทำบุญสุนทาน แผ่เมตตา ทำสมาธิให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อจะต้องตายไปจริง ๆ จิตจะได้สู่สุคติในสัมปรายภพ
    การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น !

    โคตรเหล็กไหล (เหล็กไหลงอกหรือเหล็กทรหด) เป็นเหล็กไหลที่มีปรากฏอยู่ค่อนข้างมาก สีดำสนิทเป็นมันเลื่อมเมื่อกระทบแสงสว่าง ผิวค่อนข้างละเอียด แม่เหล็กดูดไม่ติดพบเห็นได้ตามถ้ำที่ ลึกลับ เกิดจากเทพที่มาใช้วิบากกรรมในโลกนี้ จึงมีพวกเทพที่เป็นยักษ์ หรือ คนธรรพ์คอยให้ความอารักขา ไม่ยืดหรือหดได้อีก แม่เหล็กดูดไม่ติด แต่ชอบกินน้ำผึ้ง สามารถงอกโตขึ้นเอง บางทีหากเจ้าของบูชาให้ดี จะเปลี่ยนเป็นสีดำอมเขียว ไปจนถึงเป็นสี รุ้ง ๗ สี ดีทั้งเมตตา โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย มหาอุด คงกระพันถอนพิษสัตว์เขี้ยวงาต่าง ๆ งอกขึ้นอยู่ตามพื้นถ้ำและผนังถ้ำที่มีความชื้นและเย็นพอสมควร สามารถนำมาแกะหรือเจียรนัยเป็นเครื่องรางหรือรูปวัตถุ มงคลตามต้องการ

    รื่องของเหล็กไหลจึงเป็นเรื่องของ อจินไตยที่คนธรรมดาจะเข้าใจได้ จึงไม่ควรนำไปขบคิดจนมากเกินไป เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมาพร้อมกับโลกใบนี้มานานแสนนาน ขณะที่ชีวิตมนุษย์สั้นเพียงไม่เกิน 100 ปี ไหนเลยจะสามารถศึกษาค้นคว้าด้วยตนเองได้ แม้จะไม่สามารถพิสูจน์ให้เป็นรูปธรรมได้ แต่ก็ไม่ควรถึงกับปฏิเสธเสียทีเดียว ต้องเข้าใจว่าของจริงก็ย่อมมี ของเทียมก็ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน สิ่งไรแท้สิ่งใดเทียม มีซักกี่คนที่เคยพบเห็นหรือมีความรู้ความเข้าใจ เพียงแต่ฟังเขาเล่าว่าหรือกล่าวขานกันมาตามตำนานเท่านั้น เว้นแต่ผู้มีอภิญญาจิต จึงจะเข้าใจ เพราะพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่อาจวัดได้ด้วเครื่องมือทางเทคโนโลยี่ได้นั่นเอง
    สีสันของโคตรเหล็กไหล
    1. สีดำเหมือนนิล
    2. สีเทาดำ
    3. สีเขียวอมดำ
    4. สีเขียวปีกแมลงทับ
    5. สีรุ้ง 7 สี
    โคตรเหล็กไหลเหล่านี้ หากนำมาขัดด้วยกระดาษทรายจะปรากฏสีที่แปลกดังนี้
    1. สีแดงอย่างอิฐมอญ
    2. สีเหลือง หาได้ยากกว่าสีแดง
    3. สีดำ ล้างออกยากกว่าสีแดงและสีเหลือง
    โคตรเหล็กไหลนี้มิใช่จะเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนไทยเท่านั้น พระเกจิอาจารย์ทางฝั่งพม่าก็มีความรอบรู้เกี่ยวกับโคตรเหล็กไหลนี้ได้ดีเหมือนกัน เล่ากันว่าทางชายแดนพม่านั้นนิยมเอาโคตรเหล็กไหลนี้แช่ไว้ในขวดน้ำผึ้ง ผสมกับตัวยาสมุนไพรบางอย่าง ฝานมะนาวเป็นแว่นลงไป สามารถนำไปใช้รักษาโรคได้หลายชนิด
    ครูบาอาจารย์บางท่านก็นำไปแช่ทำน้ำมนต์ ด้วยการกำหนดจิตเพ่งกสิณอภิญญา เพื่อให้อานุภาพของโคตรเหล็กไหลแผ่พลังออกมาอย่างเต็มที่ เพื่อทำน้ำเปล่า ๆ นี้เป็นน้ำทิพย์มนต์เหล็กไหลที่เต็มไปด้วยประจุพลังเหล็กไหล ใช้ได้สารพัดประโยชน์รวมทั้งโรคภัยไข้เจ็บด้วยเช่นกัน
    การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น !!

    เหล็กไหลตาน้ำ เป็นเหล็กไหลที่หาได้ยาก มีพรรณสัณฐานสีเขียวปนดำเป็นมันด้าน ลักษณะทรงกลมหรือรูปหยดน้ำ ขนาดเล็กกว่าถั่วเขียวเล็กน้อย ชอบเกาะอยู่ตามตาน้ำในซอกหินภายในถ้ำที่ลึกลับอาถรรพ์ การค้นหานอกจากวิชาอาคมแล้วยังต้องสังเกตุตามตาน้ำที่ไหลผ่านบริเวณหินผาที่มีตะไคร่
    น้ำเกาะอยู่มาก ๆ ต้องค่อย ๆ เอามือแหวกหาดูจึงจะพบ
    วิธีการใส่ติดตัว
    ให้นำเหล็กไหลตามามาใส่กรอบ หรือถักด้วยผ้า ให้เหล็กไหลตาน้ำสัมผัสกับผิวหนังคนใส่ ถ้าไม่สัมผัสผิวหนังจะให้ได้ผลแค่ 20% ถ้าสัมผัสผิวหนังได้ จะได้ผล 100%
    เหล็กไหลตาน้ำ มีพลังทางด้านร้อนแรง ป้องกันภูตผี ปีศาจได้ดี กันผีอำ
    วิธีการจับพลัง
    1.ให้อธิฐานขอบารมี เหล็กไหลที่อยู่ในมือขาพเจ้านี้ แสดงบุญญาฤทธิ์ ให้ข้าพเจ้าได้สัมผัสได้ด้วยเทอญ
    2.ทีนนี้ก็ตั้งใจจับดูว่ามีความร้อนหรอเย็น
    หมายเหตุ ห้ามใช้คาถา ถาม หรือ วัดพลังต่างๆ เพราะของที่อยู่ในนั้นจะเข้าตัวเราได้ และแก้ยากให้อธิฐานเอาก็พอ
    การสัมผัสพลังของเหล็กไหลนั้น จะต้องอาศัยการฝึกฝนศึกษาจาก กรรมฐานจนเกิดญาณทัศนะ สัมผัสได้ลึกละเอียด มองเห็นและถ่ายทอดออกมาทางอารมณ์ความคิด เพราะพลังธรรมชาติ กับพลังจากพุทธคุณหรือการสวดยัดวัตถุธาตุมงคลนั้นย่อมจะแตกต่างกัน เหล็กไหลจึงจัดเป็นเหมือนแก้วกายสิทธิ์สำหรับผู้ครอบครองที่มีบุญบารมีเท่านั้น !!

    ที่มา
     
  4. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE style="WIDTH: 670px; HEIGHT: 1278px" border=0 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=670><TBODY><TR><TD>การค้นหาตรวจสอบธาตุกายสิทธิ์</TD></TR><TR><TD>ผลการค้าหาตรวจสอบธาตุกายสิทธิ์แต่ละชนิด 1.แร่เหล็กไหลเขาอึมครึม เช่น เหล็กไหล 7 สี เหล็กไหลงอก ชนิดนี้มีจิตวิญาณจริง เป็นของที่สามารถป้องกันภัยต่างๆให้กับเจ้าของได้ดีที่สุด เช่น

    1.แร่เหล็กไหลเขาอึมครึม เช่น เหล็กไหล 7 สี เหล็กไหลงอก ชนิดนี้มีจิตวิญาณจริง เป็นของที่สามารถป้องกันภัยต่างๆให้กับเจ้าของได้ดีที่สุด เช่น ป้องกันชีวิต กันผีปีศาจได้ดีที่สุดอีกด้วย เป็นแร่กายสิทธิ์ที่มีจิตวิญญาณครอบครอง เสมือนสิ่งมีชีวิตเลยก็ว่าได้ และได้ค้นหาตรวจสอบจนพบพระนามผู้เป็นเจ้าของธาตุ กายสิทธิ์ชนิดนี้คือ (องค์พ่อจิตตรา) เป็นผู้ดูแลขุมนรกทั้งหมด และเมื่อคนที่มีญาณจะลองตรวจสอบดู ให้เอ่ยพระนามท่านดู ก็จะรู้ได้ทันที ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    2.เหล็กไหลพระสีวลี หรือตามภาษาชาวบ้านจะเรียกว่า พญาเต่าเรือน ซึ่งธาตุชนิดนี้ มีจิตวิญญาณครอบครอง มีชีวิตในตัวเอง บางคนที่ได้ไปบูชา มักจะฝันเห็นพญาเต่ามาหาในบ้าน ซึ่งเกี่ยวกับโชคลาภ อายุ ป้องกันภัย นี่คือธาตุกายสิทธิ์ที่มีจิตวิญญาณพญาเต่าอยู่จริง และผู้ที่บำเพ็ญญาณ ถ้าได้นำไปบูชา จะรู้ได้ว่าพญาเต่าจะเป็นพาหะนะสำหรับท่องไปในแดนต่างๆได้ ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    3.เหล็กไหลทั่วไป ที่ยังไม่สามารถหาคำตอบได้ ส่วนมากจะมีชีวิต และจิตวิญญาณเช่นกัน จะป้องกันภัยต่างๆได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณนั้น ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    4.หินพญานาค ที่เห็นร่ำลือกันนักกันหนา ที่มีขายแม้กระทั่งในวัด และเว็ปไซร์ต่างๆที่หลอกลวงกันนั้น จากการหาเช่าซื้อมาตรวจสอบ พบว่าไม่มีอยู่จริง ที่ขายๆกันทั่วไป จะเป็นการหลอกลวงกันขึ้นมา ยกตัวอย่าง รูปแบบที่เกินจริง เช่น รูปพญานาค พระขรรค์ เม็ดกลมทั้งยาว รี รูปดอกบัวต่างๆหลากสี ที่หลอกขายกันนั้น ถ้าเราคิดกลับกัน ทำไมใต้บาดาล จึงมีช่างผีมือแกะสลักได้งดงาม และถ้าสังเกตให้ดี หินทรายที่มีการทำขึ้น และใส่หินพญานาคลงไปและก็ทำกรรมวิธี ปั้นหินทรายขึ้นมาหุ้มอีกที และทำให้ดูเป็นธรรมชาติเท่านั้น พบว่าเป็นการหลอกลวงคนได้ชั้นยอด พอมีการนำมาทุบออกก็จะเห็นหินจำพวกนี้อยู่ข้างใน ซึ่งทำรายได้เป็นกอบเป็นกำให้กับคนกลุ่มนั้นเป็นอย่างดี หรือแม้นกระทั่งร่วมกันกับวัดก็ตาม
    5.หินเขาสามร้อยยอด ที่ร่ำาลือกันว่าดี มีหลายชนิด เช่นรุปแบบพระสีวลี รูปแบบเป็นหินแล้วมีเม็ดๆ บางคนชอบนำมาแกะทำรูปพระสมเด็จ จะทำให้พระนั้นสวยขึ้นดูมีวงแหวน สวยงามจากการตรวจสอบ ก็เป็นแค่หินงอกหินย้อยทั่วไป ที่มีพลังงานตามธรรมชาติเท่านั้น ไม่สามารถเอามาคุ้มครองชีวิตได้ และไม่มีจิตวิญญาณ บางคนอ้างว่าเป็นพระธาตุจากเขาสามร้อยยอด เม็ดเล็กๆใส่ขวดขายกันทั่วไป ลองดู เมื่อเราไปทะเลลองเก็บทรายทะเลขึ้นมา แล้วก็ลองแยกสีออกแต่ละสีดู จะมีหลายสีมีทั้งสีทองอุไร สีขาวนวน ขาวใส และอื่นๆ นำมาใส่ขวดแยกสีไว้ แล้วเอามาบอกว่าพระธาตุ และก็มีทั้งคนธรรมดามาเช่าซื้อ รวมถึงพระที่ใส่ผ้าเหลืองมาเช่าซื้อไปสร้างพระเครื่องด้วย ตกลงก็มั่วกันไปใหญ่เลย แต่ถ้าพูดว่าของจริงมีมั้ย ก็บอกได้เลยว่ามีจริง
    6.โป่งข่าม แก้วกายสิทธิ์ ชนิดนี้ ผลการการค้นหาและตรวจสอบ ก็เป็นแค่พลังงานหิน ตามธรรมชาติทั่วไป อาจจะมีบ้างที่พลังงานนั้นจะช่วยในด้านเสริมราศรีได้ การเสริมราศรีให้กับตัวเอง ก็สามารถหาหินสีสวยงามตามธรรมชาติ นำมาพกติดตัวได้ แต่ไม่สามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ เพราะไม่มีจิตวิญญาณครอบครอง
    7.เคี่ยวหนุมานหรือจะเรียกรวมกันก็เป็น คริสตัล ชนิดนึง หรือหินใสๆทั่วไป ที่มีพลังงานตามธรรมชาติ สามารถนำมาประจุพลังตามจิตได้ แต่ ไม่สามารถป้องกันภัยอันตรายได้ เพราะไม่มีจิตวิญญาณครอบครอง
    8.ไข่มุขกวนอิม หรือที่เรียกกันติดปาก ก็คือเหล็กไหลขาวนั้น จะแบ่งออกได้หลายชนิดขึ้นอยู่กัยสถานที่ถ้ำต่างๆ บางถ้ำจะเรียกว่าแก้วมุขดา บางถ้ำจะเรียกว่า ไข่มุขถ้ำ หรือบางคนจะเรียกว่าพระธาตุองค์ปฐม และจิตที่ครอบครอง ส่วนมากจะเป็น พระพุทธเจ้า และ พระอริยะเจ้า ถือเป็นของดีที่สามารถป้องกันภัยอันตรายให้กับผู้เป็นเจ้าของได้ สามารถนำมาใช้ร่วมฝึกสมาธิได้ดีมาก เป็นของมีจิตวิญญาณ ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    9.สะเกดดาว ผลการค้าหาตรวจสอบ จากที่หามาหลายชนิด ทั้งชนิดเหล็ก หิน หินสีใส ก็ยังเป็นแค่พลังงานหินทั่วๆไป ไม่สามารถป้องกันภัยได้ ไม่มีจิตวิญญาณครอบครอง
    10.เพชรหน้าทั่ง ผลการค้าหา เป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดนึงที่ต่างจากพลังงานหินทั่วๆไป เพราะเป็นพลังงานที่มีจิตวิญญาณครอบครอง สามารถป้องกันภัยอันตรายได้เช่นกัน ถือได้ว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่ดี ชนิดนึงเลยก็ว่าได้ ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    11.ข้าวตอกพระร่วง ผลการค้าหา รอการตรวจสอบ
    12.แร่เกาะล้าน ผลการค้าหาและตรวจสอบ เป็นแร่กายสิทธิ์ชนิดนึง แต่จะไม่เรียกว่าเหล็กไหล เพราะพุทธคุณยังด้อยกว่าเหล็กไหลทั่วไปอยู่มากหรือจะเรียกได้ว่า เทพผู้ครอบครองจะมีพลังน้อยไปหน่อย แต่เป็นของที่มีจิตวิญญาณครอบครอง และมีชีวิตในตัวเอง สามารถป้องกันภัยอันตรายกันภูตผี ได้เช่นกัน ( ไม่สามารถนำไปปลุกเสกได้ )
    13.แร่บางไผ่ ผลการค้าหาและตรวจสอบ เป็นธาตุกายสิทธิ์ จะเรียกได้ว่าเป็นเหล็กไหลชนิดนึงเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นธาตุที่มีจิตวิญญาณในตัวเอง สามารถป้องกันภัยอันตรายต่างๆได้ดี พระเกจิอาจารย์ผู้รู้จะนำแร่ชนิดนี้มาทำเครื่องราง แต่จะต้องเป็นผู้รู้จริงถึงสร้างได้
    14.แร่เหล็กน้ำพี้ ผลการค้นหาตรวจสอบ เป็นแร่ที่มีความวิเศษอยู่น้อยมากๆ แต่ถ้ามีการนำมาแปรรูปและปลุกเสก ก็จะเป็นแร่ที่อมพลังงานจากการปลุกเสกได้ดี เป็นของไม่มีจิตวิญญาณ
    15.หินขาวใส จากแม่น้ำโขง หรือ ที่เรียกกันว่าปัฐวีธาตุแห่งลำน้ำโขง ผลการค้นหาตรวจสอบ เป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีการดลบันดานให้เกิดขึ้น เสมือนรวมจิต หรือจะเรียกได้ว่าเป็นปฐวีธาตุ เป็นของที่รวมจิตก่อตัวให้เกิดขึ้นนั้นเอง จึงเป็นของที่มีจิตวิญญาณ สามารถป้องกันภัย และอธิฐาณจิตต่อพญานาคราชได้ ห้ามนำของมีคมไปโดน หรือนำไปแกะรูปร่าง เพราะธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ เมื่อโดนของมีคมหรือมีการทำลายแกะ เจียรไน รูปต่างๆจิตเทพนั้นจะทิ้งธาตุขันนั้นไป จะกลายเป็นแค่หินธรรมดาไปในทันที สามารถใช้ร่วมกับการทำสมาธิได้ และสามารถเป็นพาหะนะสำหรับผู้บำเพ็ญญาณ เมื่อท่องไปแดนต่างๆได้
    16.หินฑิเบต ผมการค้นหาตรวจสอบ ถ้าเป็นหินที่เพ่งสร้างขึ้นมา และไม่ได้นำไปปลุกเสกนั้นก็จะมีพลังจากหินธรรมชาติทั่วๆไป แต่ถ้านำไปปลุกเสก ก็จะมีพลังปลุกเสก แต่ถ้าเอามาใส่เป็นเครื่องประดับก็ได้ แต่ถ้าจะใส่เป็นเครื่องราง แนะนำให้ใส่พระเครื่องเลยจะดีกว่า
    17.แร่พญาเหล็ก วัดพุทไธศวรรย์ ผลการตรวจสอบ เป็นแร่กายสิทธิ์ชนิดนึง ไม่กินน้ำผึ่ง แต่มีจิตวิญญาณครอบครอง แต่ไม่มีชีวิตในตัวเอง ถ้านำมาปลุกเสกให้ดีจะมีอนุภาพมาก แต่ก็ขึ้นอยู่กับเกจิอาจารย์ผู้นั้นที่เก่งแค่ไหน แต่เดียวนี้ของปลอมเยอะมาก เพราะแร่กายสิทธิ์ชนิดนี้ ได้มีคนหัวดี ไปขุดไปงัดออกมาจากถ้ำเป็นตันๆเลยก็ว่าได้และนำมาสร้างพระเครื่อง เครื่องรางต่างๆมากมาย จนบางคนแค่เห็นเนื้อแร่ ก็ตีเป็นของวัดพุทไธศวรรย์ ไปแล้ว ซึ่งเป็นแร่ชนิดเดียวกันหมด เนื้อนิ่ม สามารถเปลี่ยนสีได้ตามสภาพอากาศ เวลาหาเช่าซื้อ ควรไปหาเช่าที่วัดเลยจะดีกว่าที่ไปดูที่วัดมาช่วงปีใหม่ 2552 นี้จะมี เช่น อย่างแหวน ราคาเช่าก็มี 1,000 และ1,500 กำไลก็มีราคาอยู่ที่ 1,500 และ 2,000 ขนาดเม็ดข้าวสาร เม็ดละ 500 เท่านั้น

    การสัมผัสธาตุกายสิทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ สัมผัสพลัง ร้อนๆ เย็นๆ ชาๆ เสียวๆ วูบๆ กระตุกๆ อะไรทำนองนี้แล้วก็บอกว่าเป็นของดี เพราะยังไม่สามารถบอกถึงหรือแยกพลังจิตวิญญาณได้ อย่างเก่งก็แค่พลังงานจากธรรมชาติทั่วๆไปของหินบนโลกส่วนมากจะมีพลังงานทั้งหมด แต่จะหาแบบที่เรียกว่ากายสิทธิ์ ต้องมีจิตวิญญาณจริง ถึงจะเรียกได้เต็มปาก คนที่ฝึกสมาธิยังไม่สามารถคุยกับญาณในตัวเองได้ ก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นธาตุกายสิทธิ์หรือไม่ อย่าเอาแค่ความรู้สึกเด็จขาด เพราะจิตตัวเราเองสำคัญมาก เวลาจิตเรามุ่งไปที่ของนั้น เกิดรับรู้มาว่าเป็นของดี จิตก็หลงไปกับมัน พลังงานในร่างกายก็รวมจิตไปที่ของนั้นจนเกิดอาการต่างๆนาๆ แบบนี้เรียกว่าจิตหลง ไม่ใช่ญาณสัมผัสรู้
    ทั้งหมดนี้ได้มีการค้นหา นำมาตรวจสอบทั้งตัวเองและให้พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงญาณตรวจสอบ รวบรวมโดย หนุ่ย พลังวัตถุ http://www.poweropject.com
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    ปัญหาคาใจผู้สนใจเหล็กไหล
    ความเข้าใจเรื่องเหล็กไหล
    เราจะพบคำถามต่างๆเกี่ยวกับเหล็กไหลทั่วไป ว่าเหล็กไหลต้องเป็นไปตามตำนานเสมอไปหรือไม่ เช่น 1.เหล็กไหลต้องหายตัวได้ใช่หรือไม่ อันนี้ขึ้นอยู่แต่ละคนที่เคยเจอเคยเห็น
    ว่าเหล็กไหลต้องเป็นไปตามตำนานเสมอไปหรือไม่ เช่น
    1.เหล็กไหลต้องหายตัวได้ใช่หรือไม่ อันนี้ขึ้นอยู่แต่ละคนที่เคยเจอเคยเห็น ส่วนมากผู้ที่รู้และเห็นเป็นเช่นนั้นเพราะองค์เหล็กไหลเค้าทำให้เห็นหรือให้เป็นไปตามที่ผู้นั้นเห็น จะเรียกได้ว่าเจาะจงบางคนบางกลุ่มก็ได้
    2.การทดสอบลองยิงต้องยิ่งไม่ออกใช่หรือไม่ ถ้ามีการขอองค์เหล็กไหลที่ถูกต้องก็จะยิงไม่ออก แต่การขอให้ถูกต้องนั้นยากต้องหาผู้รู้จริงๆเท่านั้น เช่นเกจิอาจารย์เก่งๆในป่า
    3.เหล็กไหลเป็นอวิชามนต์ดำหรือไม่ ไม่ใช่ ใครว่าใช่ก็แปลว่าไม่รู้เรื่องอะไรกับเค้าเลย
    4.เหล็กไหลขายกันได้หรือไม่ ขายได้ แต่ถ้าชนิดใดมีผู้ดูแลที่หวงมากๆ ก็ต้องมีการขอก่อน แล้วถึงได้ครอบครองอย่างสงบสุข
    4.แบบไหนถึงจะเรียกว่าเหล็กไหล ดูจากธรรมชาติให้มากที่สุดถึงจะไม่โดนของปลอม
    5.ทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าเป็นเหล็กไหล ถ้าให้รู้ที่ถูกที่สุดคือต้องมีญาณสัมผัสได้ หรือ ญาณทัศษนะ และการสำเร็จกสิณ ไม่ใช่แค่ใช้ความคิดตัวเองฟังเค้ามาต่างๆนาๆแล้วก็มาบอกว่าต้องเป็นอย่างงี้อย่างโน้นคนจำพวกนี้ไม่ได้เจริญวิปัสนากรรมฐาณเชื่อไม่ได้จะเป็นพวกทำลายพระศาสนาทางอ้อม ถ้าไม่รู้จริงอย่าพูดออกไป
    6.อย่าเชื่อผู้ที่ไม่รู้จริง ผู้รู้จริงต้องสัมผัสได้เท่านั้น ถ้าพูดในอีกมุมนึง คนบางคนไม่รู้เรื่องอะไรเลย คิดว่าเหล็กไหลต้องหายตัวได้มีชีวิต ขยับได้ ปืนยิงต้องไม่ออก คนกลุ่มนี้เรียกว่ารู้ไม่จริง
    7.การทดลองยื่งธาตุกายสิทธิ์ต่างๆทำไมปืนยิงไม่ออก การทียิ่งไม่ออกเกิดจากการขอบารมีเทพผู้ดูแลแบบถูกวิธีเท่านั้นถึงจะมีการแสดงอำนาจทำให้ปืนยิงไม่ออกได้
    8.การสัมผัสต้องมีญาณขันต่ำสุดชนิดไหน สัมผัสที่6 ในกาย และสูงขึ้นไป กสิณ และญาณทัศษนะ และสูงไปเรื่อยๆ
    9.กลวิธีการหลอกลวงทำให้ปืนยิงไม่ออกได้หรือไม่ ทำได้สารพัดการโกง
    10.ผู้ที่สนใจเหล็กไหลและคิดว่าต้องปืนยิงไม่ออกถึงเป็นเหล็กไหล เป็นความเข้าใจที่ผิดอย่างมาก
    11.การลองรูปแบบต่างๆเช่น เอาไม้ขีดมาวางแทบข้างๆแล้วจุดไฟไม่ติด การทดลองประเภทนี้ก็สามารถทำกลลวงหลอกลวงกันได้ สังเกตการเล่นกลสมัยนี้ดู
    12.เหล็กไหลหาไม่ได้ง่ายๆขึ้นอยู่ที่จังหวะของคนแต่ละคน บางคนได้มา 1 ชิ้น ต่อไปก็ได้มาอีกเรื่อยๆ บางคนทั้งชีวิตก็ไม่เคยได้ คนที่ไม่เคยได้ส่วนมากจะไม่เชื่อว่าเป็นของจริง หรือมีจริง หรือคิดว่าจะหาแบบปืนยิงไม่ออก หรือต้องหาแบบล่องหนหายตัวได้ คนจำพวกนี้ไม่รู้จริงเรื่องเหล็กไหล และไม่มีญาณสัมผัสเหล็กไหล จึงได้แค่หาตามแบบที่เล่าลือกันมาเท่านั้นจึงเป็นความคิดที่ผิดๆเพราะเรื่องพวกนี้จะอยู่ที่การแสดงอำนาจให้เห็นเฉพาะเจาะจงแต่ละบุคคลเท่านั้น
    13.การยิงไม่ออกครบ 3 นัดแล้วมีการซื้อขาย พอนำกลับไปลองยิงเองกลับยิงออกนัดแรกเลย การยิ่งไม่ออกขึ้นอยู่กับเหล็กไหลว่าให้ให้ยิงออกหรือไม่ มีการขอองค์เหล็กไหลให้ถูกต้องหรือไม่ถ้ามีการขอถูกต้องก็จะยิงไม่ออก แต่พอเอากลับมาลองยิงเองกลับยิงออกอันนี้ต้องดูว่ามีการขอลองยิงถูกต้องหรือไม่ อีกนัยนึง คุณถูกเค้าหลอกมาหรือเปล่า
    14.เหล็กไหลเป็นทางสายใด สายพุทธ
    15.รูปแบบธรรมชาติของเหล็กไหลในสมัยนี้ ยังทำปลอมขึ้นได้ยาก เช่นเหล็กไหล7สี รูปแบบธรรมชาติ
    16.รูปแบบทรงกลม แคปซูน ทำปลอมขึ้นได้หรือไม่ ทำได้ไม่ยาก สมัยนี้ปลอมกัน 90% เพราะรุปแบบที่ทำขึ้นรูปง่ายดาย
    17.จะดูอย่างไรถึงเป็นรูปแบบธรรมชาติ ต้องดูจากลายเส้น และรูปแบบที่แปลกตาดูให้ดีว่าถ้าทำปลอมจะทำยากแค่ไหน ก็ต้องไปประเมิณกันเอา (ข้อนี้ไม่รวมถึงผู้มีญาณสัมผัสได้ เพราะถ้ามีญาณสัมผัสได้ก็คงรู้อยู่แล้วว่าอันไหนของจริง )
    18.ธาตุกายสิทธิ์ธรรมชาติ ส่วนมากจะดีทางด้านไหน ธาตุกายสิทธิ์ส่วนมากจะมีความลับของแต่ละชนิด เช่าบางชนิดจะมีความลับทางด้านช่วยเหลือผู้ปฎิบัติในธรรมได้ดียิ่ง
     
  6. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE style="WIDTH: 675px; HEIGHT: 401px" border=0 cellSpacing=1 cellPadding=1 width=675><TBODY><TR><TD>การดึงพลังงานจากแร่เหล็กไหลมาใช้ในด้านอภิญญา</TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD>
    การดึงพลังงานจากแร่เหล็กไหลมาใช้ในด้านอภิญญา การดึงพลังงานจากแร่เหล็กไหลมาใช้ในด้านอภิญญา เหมาะสำหรับผู้ที่ฝึกมาแบบอานาปานุสสติและการเดินลมปราณจักร
    ใน ทีนี้จะใช้เฉพาะเหล็กไหลเท่านั้น เพราะถือว่าเป็นแร่ที่มีอานุภาพมากที่สุด การดูดพลังงานจากเหล็กไหลมาใช้นี้ สามารถทำได้ง่ายๆ แค่อุปจารสมธิก็ทำได้แล้วโดยอย่างแรกผู้ที่ทำการดูดพลังจากเหล็กไหลจะต้อง ฝึกสมาธิแบบอานาปานุสสติหรือแบบเดินลมปราณมาก่อน จึงจะสามารถดูดพลังได้โดยง่ายปกติร่างกายมนุษย์จะเป็นตัวดูดพลังงานรอบตัวมา ใช้อยู่แล้ว เช่น การหายใจ แต่การฝึกสมาธิแบบอานาปานุสสติหรือแบบเดินลมปราณ จะทำให้เราสามารถดูดพลังงานทางผิวหนังมาใช้ได้ ซึ่งเป็นพลังงานที่ละเอียดกว่ามาก โดยจุดที่รับพลังงานได้ดีจะอยู่ที่ ปลายนิ้ว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จุดกลางหน้าผาก ณ ที่นี้จะเน้นเฉพาะ จุดรับพลังงานทางฝ่ามือ เพราะเป็นจุดที่รับและปล่อยพลังได้ง่ายที่สุด ส่วนจุดที่กลางหน้าผาก โดยส่วนมากจะเป็นจุดที่ไว้ใช้สำหรับรับข้อมูล การสื่อสาร การติดต่อต่างๆ เช่นโทรจิต การควบคุมสมองระยะไกล ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังจิตระดับการสั่งการ เพราะถือว่าเป็นจุดที่ใกล้สมอง เพื่อให้สมองได้ทำการแปลสัญญาณที่ได้รับมาและ เกิดการกระทำตอบกลับได้อย่างฉับพลันเป็นที่ทราบกันดีว่า พลังที่สามารถดูดซับจากรอบตัวมาได้นั้น เมื่อใช้ไปแล้วก็ต้องหมดไป จึงต้องมีการดูดซับซับเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อสะสมไว้ใช้เหมือนกับการรองน้ำให้เต็มอยู่เสมอ เพราะถ้าหากพลังงานหมดย่อมส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย หรืออย่างหนักคือถึงขั้นเสียชีวิตได้พลังงานจากเหล็กไหลจึงเป็นพลังงานที่มี ความเสถียรมากที่สุดเพราะ ไม่มีวันหมด สามารถดูดพลังมาใช้ได้เรื่อยๆ โดยตัวเหล็กไหลเองเมื่อถูกดึงพลังงานไปก็จะสร้างพลังงานเพิ่มขึ้นเองได้ เรื่อยๆ ตรงกันข้ามคือเหล็กไหลจะมีพลังงานมากกว่าเดิม เพราะเหมือนเป็นการไปกระตุ้นให้เหล็กไหลเกิดการแตกตัว คือแตกพลังออกงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ

    การดูดพลังจากเหล็กไหลในไว้ในตัว
    อย่าง แรกให้สังเกตลมหายใจเข้าออกก่อน จนคิดว่าเราสามารถหายใจเข้าออกได้เบาในระดับหนึ่งแล้ว ทีนี้ให้สังเกตช่วงที่หายเข้าออกนั้น บริเวณมือเราทั้งสองข้างมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง (แนะนำให้ปิดพัดลมและหน้าต่างให้หมดก่อนจะได้สังเกตได้ง่ายขึ้น) อาการที่เกิดขึ้นคือสังเกตุว่า...

    1. ขณะหายใจเข้าจะรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างดูดเข้ามาอยู่ในมือ
    2. ขณะหายใจออกจะรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างถูกปล่อยออกไปทางฝ่ามือ

    หรือจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยืดออกและหดเข้าจากปลายนิ้วและฝ่ามือ
    พูด ง่ายๆ ก็คือจะรู้ได้ทางกายเนื้อเลยว่า มือเรากำลังหายใจเข้าออกอยู่พร้อมกับการหายใจเข้าออกทางจมูก แต่การหายใจเข้าออกทางฝ่ามือนี้ เป็นการดูดพลังงานรอบตัวเข้ามาและปลดปล่อยออกไป ในทษฤฏีเดียวกัน พลังของเหล็กไหลก็เช่นดียวกัน หากเรานำมาวางไว้บนฝ่ามือแล้วลองสังเกตดู จะรู้สึกได้ถึงพลังงานไฟฟ้าที่วิ่งเข้ามาตามเส้นเลือดต่างๆในช่วงที่หายใจ เข้า และคายพลังงานที่ไม่ใช้ออกไป แล้วก็ดูดเข้ามาอีกเรื่อยๆแบบนี้ เพื่อดูดพลังงานมาสะสมไว้ และใช้เมื่อยามที่ต้องการ โดยจุดที่จะเอาไว้สะสมพลังงานนั้นก็มีอยู่หลายจุด แต่ตัวข้าพเจ้าเองจะรวบรวมเก็บไว้ที่ฝ่ามือมากกว่าเพราะสะดวกต่อการใช้งาน โดยพลังงานนี้สามารถใช้ในการเล่นฤทธิ์ช่วยคนและการรักษาคนก็ได้
    (ถ้าสังเกตเทวดาที่มีฤทธิ์มากๆ ฝ่ามือจะมีสีแดงจัดที่บ่งบอกได้ถึงมีพลังงานจำนวนมากรวมตัวกันบริเวณฝ่ามือ)
    การ ฝึกแบบนี้ ถ้าถามว่ามีประโยชน์ตรงไหน ก็ตอบแบบเข้าใจง่ายๆคือ สามารถดูดพลังงานใช้ได้เร็วกว่าเดิมเมื่อพลังงานของเราใกล้หมด เรียกว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพราะการจะสะสมพลังงานด้วยตัวเองนั้นต้องอาศัยเวลาพอสมควร ไม่เหมือนกับการดูดพลังงานจากเหล็กไหลมาใช้ เพราะประหยัดเวลาและรวดเร็วกว่ามาก
    เรียบเรียงโดย ๛ชมรมผู้สนใจพลังลี้ลับ
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD>การ ดูดพลังงานในทีนี้ คล้ายกับการขอบารมีจากสิ่งศักสิทธิ์ เมื่อเราขอบารมีไปแล้ว เราก็มีพลัง ความเป็นทิพย์ก็เพิ่ม แต่เมื่อพลังที่ขอมานั้นหมด ก็ต้องมีการขอมาใหม่เรื่อยๆ เพื่อให้ความเป็นทิพย์มีความเสถียรตลอดเวลา โดยสังเกตว่าเวลาที่เราขอบารมีจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาใช้นั้น เราจะสามารถรับได้ทางกายและใจเช่น จะมีอาการเย็นสบาย สงบ มีความสว่างไสวในจิตกว่าเดิมเป็นต้น และการขอบารมีจากสิ่งศักดิสิทธิ์จะรับทางจุดกลางหน้าผาก เพราะพลังจะวิ่งจากบนลงล่างจุดที่รับได้ง่ายที่สุดก็คือจุดบริเวณกลางหน้า ผาก และบริเวณกลางกระหม่อม
    แต่การดูดพลังจากเหล็กไหลเป็นการรับพลัง จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยตรง (เพราะนำมากำไว้ในมือเลย) โดยไม่ผ่านสื่อทางอากาศแต่อย่างใด ทำให้เราสามารถดูดซึมซับพลังได้ง่ายกว่า เพราะจิตมีสมาธิ มีการจดจ่อในวัตถุที่กำลังสัมผัส
    *** ในวิธีการดูดซึมซึบพลังนี้สามารถใช้ได้กับแร่กายสิทธิ์ทุกชนิด รวมถึงพระธาตุและวัตถุมงคล เพราะวัตถุมงคลส่วนใหญ่มักมีส่วนประกอบของแร่กายสิทธิ์ ที่นำมาเป็นส่วนผสมด้วย
    ผู้เขียน จิตทิพย์ ที่มา http://images.google.co.th/imgres?
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  7. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    องค์เดียวเที่ยวทั่วโลก ครับ

    อย่างเราแค่องค์นี้ องค์เดียว เหลือเฟือ ครับ

    แก่ตัวไปไม่ต้องทานยาแก้ปวดด้วย เพราะกระดูกคอเคลื่อนด้วย 555+
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    องค์เดียวที่รวมสรรพสิ่งสูงสุดที่ผู้คนหมายปอง แม้กระทั่งโคตร.... ธาตุกายสิทธิ์ที่ยากจะมีผู้หยั่งรู้ได้ ทำไมพวกเรารู้หนอ หุหุ ...

    ว่าแต่เฉลยหรือยังครับ ??? แล้วสิ่งที่ว่านั้นคืออะไร ... ท่านอยู่ที่ไหนกันครับ หุหุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2011
  9. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    ๙ พระศักดิ์สิทธิ์ ....

    ๑) พระพุทธสิหิงค์
    ๒) พระหายโศก
    ๓) พระไภษัชยคุรุ
    ๔) พระชัยเมืองนครราชสีมา
    ๕) พระพุทธรูปทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิ
    ๖) พระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์แดงองค์ที่ ๑
    ๗) พระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์แดงองค์ที่ ๒
    ๘) พระพุทธรูปหลวงพ่อนาก
    ๙) พระพุทธรัตนมหามุนี
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    สุดท้ายมากราบพระที่วัดมหาธาตุ

    [​IMG]

    เจดีย์ที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระัสัมมาสัมพุทธเจ้า

    [​IMG]

    พระศรีสรรเพชญ์
    วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์

    [​IMG] [​IMG]

    เสมาครับ

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    โมทนาสาธุ
    กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ<!-- google_ad_section_end -->
     
  10. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]



    อ้างอิง:
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    ก่อนจะไปกราบสักการะพระศักดิ์สิทธิ์ ๙ องค์ ไปกราบสักการะพระคเณศ ศิลปะชวา ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๖ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงได้รับมาจากจันทิสิงหส่าหรี เมืองสิงหส่าหรี ประเทศอินโดนีเซีย ปีพ.ศ. ๒๔๓๙ ทรงประทับเหนือบัลลังก์กะโหลกในฐานะคณปติเจ้าแห่งภูติปีศาจ เพื่อขจัดอุปสรรคทั้งปวง ณ อาคารมหาสุรสิงหนาท

    ปกติไม่ให้ถ่ายภาพในส่วนนี้ แต่วันนี้ยกเว้นให้ประชาชนทุกท่านสามารถบันทึกภาพได้

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮา
    โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮา
    โอม ศรีคเณศายะ นะมะฮา<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2011
  11. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    <TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-RIGHT: 1px inset" class=alt2>ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    ไหว้พระปฏิมาโบราณสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่แผ่นดิน ที่เดียวในเมืองไทย



    ฤกษ์ดีปีใหม่ ไหว้พระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดินเนื่องในวันดิถีขึ้นปีใหม่ กรมศิลปากร สำนักพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ โดยพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ได้จัดกิจกรรม "ฤกษ์ดีปีใหม่ ไหว้พระพุทธรูปวังหน้า พระปฏิมาแห่งแผ่นดิน" 1 ปี มี 1 ครั้ง โดยจะอัญเชิญพระพุทธรูปอันเป็นมงคลพิเศษแต่โบราณ ซึ่งเก็บรักษาอยู่ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เพื่อให้ประชาชนชาวไทยได้มีโอกาสกราบสักการบูชาอย่างใกล้ชิดเพื่อความเป็นสิริมงคลทั่วกัน ณ หอพระวังหน้า พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร กรุงเทพฯ รวมพระพุทธรูปสำคัญ 9 พระองค์ คือ

    [​IMG]

    1. พระพุทธสิหิงค์ พระปฏิมาแบบสุโขทัย – ล้านนา นับถือเป็นพระพุทธปฏิมาศักดิ์สิทธิ์ตามตำนานพระพุทธสิหิงค์ ได้รับการอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นสิริยังพระนครหลวงของไทยทุกแห่ง นับแต่กรุงสุโขทัย เชียงใหม่ พระนครศรีอยุธยาตราบเท่าถึงกรุงรัตนโกสินทร์ จึงสถิตเป็นมงคลแก่พระนคร ประจำ ณพระราชวังบวรสถานมงคล กรุงเทพมหานครได้อัญเชิญออกให้ประชาชนถวายน้ำสงกรานต์เป็นประจำทุกปี นับเป็นพระพุทธรูปอำนวยความอุดมสมบูรณ์และสวัสดิมงคล

    [​IMG]


    2. พระหายโศก พระปฏิมาศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21 เป็นพระพุทธรูปของหลวงพระราชทาน มีนามเป็นมงคลพิเศษ จากจารึกฐานพระพุทธรูปกล่าวว่าส่งมาถึงกรุงเทพฯ (จากล้านนา) ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2399 เดิมคงใช้ในพระราชพิธีหลวง จนกระทั่งกรมพระราชพิธี ส่งมาเก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถานเมื่อ พ.ศ.2474 เชื่อกันเป็นพระพุทธรูปอำนวยความสุข สวัสดี

    [​IMG]

    3. พระไภษัชยคุรุ ศิลปะลพบุรี พุทธศตวรรษที่ 17 – 18 แสดงปางสมาธินาคปรกทรงเครื่อง มีผอบพระโอสถอยู่ในพระหัตถ์ เป็นพระพุทธปฏิมาที่สร้างขึ้นตามคติพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ทรงเป็นหนึ่งในบรรดาพระพุทธเจ้าซึ่งมีอยู่เป็นอนันต์ นับถือว่าทรงเป็นพระพุทธเจ้าแพทย์ เนื่องจากทรงบำเพ็ญพระบารมีโดยอธิษฐานความปราศโรคภัยของผู้คนในกาลสมัยของพระองค์ ผู้นับถือและบูชาพระองค์จึงปราศจากโรคภัยเบียดเบียน สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แห่งกรุงกัมพูชา สร้างพระราชทานเป็นพระปฏิมาประธานในอโรคยศาลา เพื่อผู้ป่วยและประชาชนบูชา เพื่อพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ

    [​IMG]

    4. พระชัยลงอักขระขอม ปางมารวิชัย ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่ 19 -20 สร้างขึ้นเป็นมงคลในการศึกสงคราม (เช่น พระชัยหลังช้างและพระชัยอัญเชิญไปในเรือรบสำหรับนำทัพ) และการพระราชพิธี (เช่น พระชัยพิธี) พระชัยอัญเชิญไปในการทัพ เพื่อประสบชัยชนะแก่อริราชศัตรู และอัญเชิญในการพิธี เพื่อปราศการรบกวนเบียดเบียนบีฑาและความสัมฤทธิ์ผลแห่งพิธีกรรมองค์พระชัยลงอักขระขอมเป็นหัวใจพระคาถาบูชาพระพุทธเจ้า หมายถึง ชัยชำนะโดยยึดถือคุณพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอาศัย

    [​IMG]

    5. พระพุทธรูปทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิ ศิลปะอยุธยา พุทธศตวรรษที่12 - 23 สร้างขึ้นตามคติเรื่องชมพูบดีสูตร หรือพระพุทธเจ้าทรงทรมานพระยาชมพูบดี ทรงนิรมิตพระองค์ทรงเครื่องพระจักรพรรดิราช เหนือพระยามหากษัตริย์ทั้งปวง เพื่อคลายทิฐิมานะแห่งพระยามหาชมพูกษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพพระพุทธรูปทรงเครื่องพระมหาจักรพรรดิจึงหมายถึง อำนาจ และธรรมอันเป็นแก่นสารยิ่งกว่าอำนาจแห่งทรัพย์สมบัติทั้งหลาย พระพุทธรูปดังกล่าวนี้นิยมสร้างเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมวงศานุวงศ์ผู้เป็นหน่อพุทธางกูร

    [​IMG]

    6. – 7. พระพุทธรูปไม้แก่นจันทน์แดงทั้งคู่ ศิลปะรัตนโกสินทร์ พุทธศตวรรษที่ 24 เป็นพระพุทธรูปมงคลด้วยวัตถุพิเศษ ตามดำนานพระแก่นจันทน์ ว่าด้วยสมัยพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธมารดายังดาวดึงส์สวรรค์เป็นเวลา 3 เดือน พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงอนุสรณ์ถึงพระพุทธองค์จึงโปรดให้สร้างพระพุทธรูปไม้ แก่นจันทน์ขึ้นในครั้งนั้น พระแก่นจันทน์จึงเป็นรูปแทนเสมือนองค์พระพุทธเจ้า เพราะสร้างในขณะพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่พระเจ้าแผ่นดินและผู้มีอำนาจ วาสนาจึงมักสร้างพระพุทธรูปจากไม้จันทน์หอมพระไม้แก่นจันทน์แดงทั้งคู่นี้ แสดงปางประทานอภัย มีความหมายถึงการปกป้องภยันตรายทั้งปวง

    [​IMG]

    8. พระพุทธรูปหลวงพ่อนาก ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 20 เป็นพระพุทธรูปมงคลด้วยวัตถุพิเศษ พระองค์สีนาก เนื่องจากเนื้อสำริดมีส่วนผสมของทองคำมากเป็นพิเศษ พระเนตรฝังนิล ประทับขัดสมาธิเพชรพระบาททั้งสองข้างจำหลักลวดลายมงคล จากจารึกฐานพระพุทธรูปเป็นของพระยายุธิษฐิระเจ้าเมืองพะเยาสร้างเมื่อพ.ศ.2019 เดิมพบในเจดีย์โบราณที่เมืองพะเยา พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มาเมื่อครั้งเสด็จประพาสมณฑลฝ่ายเหนือ พ.ศ.2469 จึงพระราชทานให้เก็บรักษาในพิพิธภัณฑสถานพระพุทธรูปแสดงปางสมาธิ หมายถึงการตรัสรู้ธรรม

    [​IMG]

    9. พระพุทธรัตนมหามุนี พระแก้วน้อย ศิลปะล้านนา พุทธศตวรรษที่ 21เป็นพระพุทธรูปมงคลด้วยวัตถุพิเศษ องค์พระพุทธรูปจำหลักจากอัญมณีเนื้ออ่อนแก้วสีเขียว พุทธศิลป์ล้านนาสมัยหลัง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี รับถวายจาก พ.ต.อ.อานนท์ อาขุบุตรและครอบครัวพระราชทานแก่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เมื่อ พ.ศ.2534


    นอกจากนี้เชิญชวนกราบนมัสการพระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประดิษฐานภายในพระราชวังหน้า ณ อาคารสถานต่างๆ เฉพาะวาระพิเศษ คือ พระบรมสารีริกธาตุและพระธาตุพระอัครสาวกและพระอสีติสาวก จำนวน 24 องค์ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์

    [​IMG]

    พระพุทธรูปศิลาขาว ศิลปะทวารวดี อายุเก่าแก่กว่า 1,000 ปี เดิมเป็นพระพุทธรูป 1 ใน 4 พระองค์ ซึ่งประดิษฐานอยู่กับวิหารวัดพระเมรุ จังหวัดนครปฐม จำหลักจากศิลาอ่อนสีขาว ปางประทานปฐมเทศนา ปัจจุบันประดิษฐาน ณ อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์


    [​IMG]

    พระคเณศวร เทพเจ้าแห่งความสำเร็จ ศิลปะชวาภาคตะวันออก พุทธศตวรรษที่ 17 – 18 ทรงประทับเหนือบัลลังก์กะโหลกในฐานะคณปติเจ้าแห่งภูติปีศาจ เพื่อขจัดอุปสรรคทั้งปวง ณ อาคารมหาสุรสิงหนาท

    [​IMG]

    หอแก้วศาลพระภูมิ ที่สถิตของพระภูมิเจ้าที่ประจำพระราชวังบวรสถานมงคลประดิษฐานเหนือเขาแก้ว ด้านหลังพระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์

    [​IMG]

    พระป้ายฉลองพระองค์ สถิตพระวิญญาณพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว สร้างขึ้นเพื่อบูชาในพระราชวังบวรสถานมงคลตามคติอย่างจีน ตั้งแต่ครั้งรัชกาลที่ 4หรือต้นรัชกาลที่ 5 ปัจจุบันประดิษฐาน ณ ห้องพระป้าย พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์



    จัดจำหน่ายดอกไม้- ธูปเทียน เครื่องพุทธบูชา เช่าบูชาเหรียญและรูปหล่อพระคเณศเทพเจ้าแห่งการขจัดอุปสรรคและศิลปกรรม เทวสัญลักษณ์ประจำกรมศิลปากร ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ เข้ากราบนมัสการพระพุทธรูป ไม่มีค่าธรรมเนียมเข้าชม


    เริ่มกิจกรรมไหว้พระปีใหม่ วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2553 , วันพุธที่ 5 มกราคม – วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2554 เวลา 9.00 น. – 16.00 น. ในวันพฤหัสบดีที่ 7 มกราคม 2554 กรมศิลปากรจัดการบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว งดกิจกรรมไหว้พระ ณ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ระหว่าง 9.00 – 12.00 น.

    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์

    ไหว้พระปฏิมาโบราณสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่แผ่นดิน ที่เดียวในเมืองไทย : มติชนออนไลน์
    .
    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    มิน่าเชื่อเลยนะครับ
    ว่ากริ่งปวเรศ รุ่นแรก พ.ศ. 2434 กริ่งท่านที่แท้จริงแล้ว คือ เหล็กไหล
    ซึ่งจะบอกความลับต่อว่า กริ่งก้นทองคำ และแบบธรรมดา
    ความพิเศษของเหล็กไหล ยังแตกต่างกันอีก
    มหัศจรรย์จริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
     
  13. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768

    คนที่มีเหล็กไหล ถือว่าเป็นผู้มีบารมีสูงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆจริงๆๆครับ
     
  14. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388

    มีอยู่สองพระธาตุกายสิทธิ์ที่ผมไม่อยากเชื่อในบุญญาธิการที่ได้พบเจอท่านในชาตินี้หรือชาติไหนๆ ดังนี้

    1. พระแก้วมณีโชติ โดยพระเมตตาของท่านท้าวมหาพรหมชินปัญจร
    2. เหล็กไหล จากพระกริ่งปวเรศ พิมพ์ธรรมดา
    3. โคตรพระธาตุเหล็กไหล จากพระกริ่งปวเรศ หมุด-ฐานทองคำ;จารยันต์นะหน้าหลัง-กลับ-พุทธซ้อน

    สาธุ สาธุ สาธุ...
     
  15. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    แล้วจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงอะไรบ้างเล่า ที่ครูบาอาจารย์ท่านมีพระเมตตาอธิษฐานจิตให้คุ้มครองป้องกันรังสีนิวเคลียร์ได้ผล 100% จริงๆครับท่าน...?
     
  16. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    [​IMG] [​IMG]

    พระแก้วมณีโชติ ที่ไม่ใช่แต่อยู่ในบทอนุโมทนารัมคาถาเท่านั้น

    อนุโมทนารัมคาถา แปล

    ยะถา วาริวะหา ปูรา ปะริปูเรนติ สาคะรัง ห้วงน้ำที่เต็มยังสมุทรสาครให้บริบูรณ์ได้ฉันใด
    เอวะเมวะ อิโต ทินนัง เปตานัง อุปะกัปปะติ ทานที่ท่านอุทิศให้แล้วในโลกนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วได้ ฉันนั้น
    อิจฉิตัง ปัตถิตัง ตุมหัง ขออิฏฐผลที่ท่านปราถนาแล้ว ตั้งใจแล้ว
    ขิปปะเมวะ สะมิชฌะตุ จงสำเร็จโดยฉับพลัน
    สัพเพ ปูเรนตุ สังกัปปา ขอดำริทั้งปวงจงเต็มที่
    จันโท ปัณณะระโส ยะถา เหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ
    มะณิ โชติระโส ยะถา เหมือนดังแก้วมณีอันสว่างไสวควรยินดี.

    สามัญญานุโมทนาคาถา แปล

    สัพพีติโย วิวัชชันตุ ความจัญไรทั้งปวง จงบำราศไป
    สัพพะโรโค วินัสสะตุ โรคทั้งปวง (ของท่าน) จงหาย
    มา เต ภะวัตวันตะราโย อันตรายอย่ามีแก่ท่าน
    สุขี ทีฆายุโก ภะวะ ท่านจงเป็นผู้มีความสุข มีอายุยืน
    อะภิวาทะนะสีลิสสะ นิจจัง วุฑฒาปะจายิโน
    จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ
    อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
    ธรรมสี่ประการ คือ อายุ วรรณะ สุขะ พละ ย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีปกติกราบไหว้ มีปกติอ่อนน้อม (ต่อผู้ใหญ่) เป็นนิตย์ฯ


    มาจากหนังสือ "ทำวัตรแปลของสำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานดอยเกิ้ง"

    กราบ กราบ กราบ
    กราบ กราบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    พระแก้วบารมี ที่สำคัญ แห่งเมืองอุบลราชธานี

    พระแก้วบุษราคัม

    เป็นพระแก้วพุทธปฏมากร ปางมารวิชัยสมัยเชียงแสน แกะสลักจากแก้วบุษราคัม
    ตามตำนาน เล่ามาว่า พระวรราชภักดี (พระวอ) พร้อมด้วยบุตรหลานของพระตา คือเจ้าคำผง เจ้าทิดพรหม และเจ้าก่ำ บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี ได้เชิญพระแก้วบุษราคัมมาจากกรุงศรีสัตนาครหุต (เวียงจันทน์) เดิมทีพระแก้วบุษราคัมประดิษฐานอยู่ที่บ้าน ดอนมดแดง และได้อัญเชิญมาประดิษฐานอยู่วัดศรีอุบลรัตนาราม พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัม เป็นองค์ประธานในพิธีอันสำคัญยิ่ง ทางพระศาสนา และถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระแก้วบารมีคู่บ้านเมือง สืบมาแต่โบราณกาล ในปัจจุบันในเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี ชาวอุบลจะร่วมใจกันอัญเชิญพระแก้วบุษราคัมแห่ไปรอบเมืองอุบลฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้สักการะบูชา สรงน้ำกันโดยถ้วนหน้าเป็นสิริมงคลแก่ตนเป็นอย่างยิ่ง
    สำหรับประวัติตำนานการสร้างโดยละเอียด ขอบารมีคุณพระรัตนตรัยอันประมาณมิได้ ขอให้ได้ทราบประวัติครบถ้วนทุกประการเทอญ
    ก็จะนำมากล่าวในภายภาคหน้าต่อไป

    พระแก้วขาวเพรชน้ำค้าง

    พระแก้วบารมีองค์นี้ เป็นพระปางสมาธิสูง 17 ซ.ม. ทำด้วยแก้วผลึกสีขาว ท่านผู้รู้ คือ หม่อมเจ้าภัทรดิส ดิศสกุล สันนิษฐานว่า ดูจากพุทธศิลป์ เป็นพระอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น

    เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) ได้ควบคุมการก่อสร้างพระอุโบสถวัสุปัฏนาราม ตั้งแต่ พ.ศ. 2460-2473 เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รวบรวมพระพุทธรูปเก่าแก่จำนวนมาก มีพระปางต่าง ๆ จากหลายที่หลายแห่ง เช่นพระพุทธรูปหินสมัยลพบุรี 3 องค์ และมีสิ่งอื่นอีกเป็นจำนวนมาก พระแก้วขาวองค์นี้ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จถือเป็นพระแก้วบารมี แห่งองค์ท่าน ท่านได้มาอย่างไร ไม่ปรากฏชัดเจน
    ในช่วงปี พ.ศ. 2485 ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านมาจำพรรษาที่วัดสุปัฏนาราม ท่านได้มอบพระแก้วขาวองค์นี้ ให้เป็นพระแก้วบารมีศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติของวัดสุปักนาราม เพื่อเป็นพระแก้วคู่เมืองอุบลราชธานีสืบไป

    ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้มอบนโยบาย และวางหลักเกณท์แก่คณะสงฆ์ เช่น

    การอัญเชิญพระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง ลงมาให้ประชาชนสรงน้ำขอพรปีใหม่สากล คือ 31 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม ของทุกปี

    การอันเชิญพระแก้วบุษราคัม วัดศรีอุบลรัตนาราม ลงให้สาธุชนสรงน้ำของพรปีใหม่ของไทย คือ 13 เมษายนถึง 17 เมษายน ของทุก ๆ ปี

    พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง เนื้อองค์พระเป็นแก้วผลึกสีขาวใน ซึ่งความใสขององค์พระประดุจน้ำค้างยามเช้าที่เปล่งแสงแวววาวในตัวเองดุจประกายเพชร จึงเรียก "พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง "
    ฉลององค์ด้วยทองคำเป็นบางส่วน เพื่อความสวยงามและทรงคุณค่า

    พระแก้วรัตนมงคลนี้ เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนาราม ได้กล่าวว่ามีนักโบราณคดีหลายฝ่ายสันนิษฐานดูจาก พุทธศีลป์ องค์พระคาดว่า
    "พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง" น่าจะเป็นพระรุ่นเดียวกับ "พระแก้วบุษราคัม" โดยยึดหลักตำนานการมาตั้งถิ่นฐานของชาวเมืองอุบลฯ เมื่อ 200 ปี เศษมาแล้วนั้น บรรพบุรุษผู้มาสร้างเมืองได้อัญเชิญมาเพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทางอันยาวไกล และเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบกับศัตรูผู้รุกรานจนสร้างบ้านแปลงเมืองจนเป็นหลักแหล่งทุกวันนี้
    จากคุณแห่งพระรัตนตรัย อันเป็นแก้วมณี แห่งพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ อันประเสริฐยิ่งในโลกธาตุ ทำให้ได้รับทราบประวัติพระแก้วบุษราคัม โดยละเอียดดังนี้

    พระแก้วบุษราคัม เป็นพระแก้วคู่บ้านคู่เมืองมาก่อนตั้งเมืองอุบลฯ

    เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปกรรมเชียงแสน แกะสลักจากแก้วบุษราคัม หน้าตัก กว้าง 3 นิ้ว สูง 5 นิ้ว เป็นสมบัติของเจ้าปางคำ ราชวงศ์จากเมืองเชียงรู้แสนหวีฟ้า ที่แตกหนีภัยสงครามจากพวกฮ่อ มาเวียงเชียงรุ้ง
    และมาสร้างเมืองขึ้น ชื่อ นครเขื่อนขันกาบแก้วบัวบาน การมีพระแก้วบุษราคัม มีความเกี่ยวเนื่องกับพระแก้วมรกต เนื่องด้วยสมัยพระเจ้าพรหมมหาราชแห่งโยนกเชียงแสนนครเงินยาง มีพระแก้วมรกตไว้ในพระนคร เพื่อสืบทอดอายุพระศาสนา ประกอบด้วย แก้ว 3 ประการ
    พุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

    เมื่อดินแดนแห่งทรัพย์แผ่นดิน มีมณีแห่งแม่พระธรณี อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้ง แดนดิน สิบสองปันนา ล้านนา ล้านช้าง ซึ่งมีลำธารอุดมสมบูรณ์ด้วยรัตนชาติหลากหลาย จึงมีพระพุทธรูปที่สร้างจากแก้วมณี เป็นจำนวนมาก

    พระแก้วบุษราคัม ก็เกิดจากการสร้างพระพุทธปฏิมาเพื่อสืบพระศาสนาให้ยั่งยืนครบถ้วน 5000 ปี จึงสร้างพระให้งดงาม ด้วยแก้วมณีอันมีค่า

    พระแก้วบุษราคัมมีสีเหลืองผ่องผุดด้วยพุทธบารมี ประวัติแห่งผู้สร้างก็ลางเลือนไปกับกาลเวลา พระแก้วนี้ได้ตกทอดมาถึงพระเจ้าตาผู้เป็นลูกพระเจ้าปางคำ และ ในปีพ.ศ. 2314 นครเขื่อนขันกาบแก้วบัวบาน ได้ถูกเจ้าสิริบุญสารแห่ง เวียงจันทร์ ยกทัพมาตี พระเจ้าตาได้สู้ปกป้องบ้านเมือง และได้สิ้นพระชนชีพ ในสนามรบ พระเจ้าวอ และพระเจ้าคำฝางจึงอพยพหนีศึก มาสร้างบ้านแปลงเมืองที่ บ้าน ดอนมดแดง จ. อุบลราชธานี ซึ่งได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัม มาด้วย และขออยู่ในขอบขันธสีมาแห่งพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยท่านได้สร้างวัดหลวงไว้ประดิษฐานพระแก้วบุษราคัม

    จนถึงรัชสมัย แห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สั่งข้าหลวงมากำกับดูแลตามหัวเมือง ทำให้ราชบุตรหนูคำ เจ้าเมืองสมัยนั้น เกรงว่าข้าหลวงจะแสวงหาของสำคัญของเมืองไปเป็นของสำคัญของตน

    จึงนำพระแก้วฯ ออกจากวัดหลวงไปซ่อนไว้ที่บ้าน วังกางฮุง (บ้าน หนึ่งในอุบล อ. วารินชำราบ) จนกระทั่งอุปราชโท สร้างวัดศรีอุบล มีญาท่าน
    เทวธัมมี ซึ่งรัชกาลที่ 4 ให้ความเคารพเป็นเจ้าอาวาส พระอุปราชโท จึงอัญเชิญพระแก้วบุษราคัม มาไว้ที่วัดศรีอุบลรัตนาราม
    <!-- / message -->

    ที่มา www.apinya.com

    <!-- / message -->
     
  18. แหน่ง

    แหน่ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    741
    ค่าพลัง:
    +768
    ข่าวล่ามาเร็ว ที่บอกว่าปล่อยไปเพียง 9 ล้านบาท

    นี่แค่เช่าบูชาครั้งแรกของกริ่งปวเรศ รุ่น 2434

    เชื่อดิ ภายในเดือนนี้ รับรองขึ้นเป็น 8 หลักแน่นอนครับ

    ปลายปี ไม่แน่เราอาจจะเห็นข่าว ดังที่สุดในวงการเช่าบูชาพระ

    เพราะเชื่อดิ เพชร ยังงัยก็เป็นเพชร

    แค่โคตรธาตุเหล็กไหล อย่างเดียวก็ประเมินราคาไม่ได้แล้วครับ
     
  19. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    (ต่อ)
    พระแก้วสำคัญอีกองค์ที่ได้ค้นพบ ในยุคกึ่งพระพุทธศาสนา 2552 นี้

    มีความเกี่ยวข้องกับราชวงค์เวียงเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า สร้างจาก แก้วมณีมีค่า
    นาม ลาพิชลาซูลี ได้ตกทอดมาอยู่ที่ เมืองอุบลราชธานี เป็นพระแก้วที่ในอดีตเราแลท่านทั้งหลายในคณะพระธาตุแก้วมณีโชติ ได้ร่วมสร้างเพื่อสืบพระศาสนา มีความงดงามมาก ภายภาคหน้าจะนำรูปมาให้ท่านเจริญศรัทธา

    พระแก้วโกเมนทร์ ที่สำคัญ ในกึ่งพุทธกาล อีกองค์หนึ่ง สร้างในยุครัตนโกสินทร์ โดยพระเถระสำคัญแห่งยุค

    พระแก้วบารมี องค์นี้ พระนามว่า "พระพุทธรัตนสัมมาบุษราคัมมิ่งมงคล"

    พระเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (วัดบรมนิวาส) กรุงเทพมหานคร
    ตรวจราชการคณะสงฆ์ เจ้าประคุณสมเด็จได้พักจำวัด ณ. วัดสิมนาโก ต.นาโก หมู่ 7 อ. กุฉินารายณ์ จ. กาฬสินทร์ ในสมัยหลวงปู่พระครูทิศาลศิลปะยุต (กงมา ) เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้พักอยู่ 3 วัน ได้มอบพระแก้วโกเมนทร์ ประดับพลอยบุษราคัม (ทรงเครื่อง) ขนาดหน้าตัก 21 ซม. หนัก 12 กิโลกรัม 7 ขีด ฐานพระทำด้วยงาช้าง มีพลอยบุษราคัม สีเหลืองประดับองค์พระจำนวน 145 เม็ด
    มีอักษรสลักองค์พระมีความว่า
    พระพุทธรัตนสัมมาบุษราคัมมิ่งมงคล เป็นพระที่ขรัวโต สร้างให้ ขรัวจาด ลูกวัด ปลายปี 2408
    จากประวัติของพระที่ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จโต พรหมรังสี สร้างนี้ คงจะต้องขอบารมี พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ให้ทราบโดยละเอียดในพระแก้วบารมีองค์นี้ อีกครั้งหนึ่ง
    <!-- / message -->
     
  20. IT Man

    IT Man ชีวิตที่เหลือ เพื่อพุทธองค์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    4,243
    ค่าพลัง:
    +8,388
    (ต่อ)
    เมื่อได้กล่าวถึงท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ก็ทำให้ได้รับทราบตำนานพระแก้วมณีโชติ โดยสมเด็จโต นิมิต ดังนี้

    ตำนานพระแก้วมณีโชติ

    เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป 2500 ปี จะเกิดกลียุค มนุษย์รบราฆ่าฟันกันเอง โลกมนุษย์จะพบภัยพิบัติจากธรรมชาติ แผ่นดินจะไหว ลมพายุจะพัดผ่านทำลายทุกสิ่ง ไฟจะลุกไหม้ น้ำจะท่วมเมือง และเกิดโรคระบาดที่ร้ายแรงต่าง ๆ มาทำลายชีวิตทั้งคน สัตว์ ให้ล้มตายเป็นจำนวนมาก คนที่จะรอดพ้นจากภัยทั้งหลาย ต้องมีศีล มีธรรม และมีพระอันเป็นมงคล จากคำอธิฐาน ของพระอริยะเจ้า ที่ทรงคุณแห่งพระรัตนตรัยอันประเสริฐ และยังมีพระแก้วมณีโชติบูชา ก็จะปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง

    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ท่านได้นิมิตบอกหลวงปู่ทิพย์ พระอรหันต์แห่งถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันท่านได้ละสังขารไปแล้ว
    ท่านได้อนุญาติให้ท่านพรหมบุตร เปิดเผยเรื่องราวพระแก้วมณีโชติโดยพิศดาร เป็นพระแก้วกายสิทธิ์ที่เทวดาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า โดยท่านได้เล่าว่า

    เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระพุทธองค์ทรงจาริกประกาศเทศนาธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ได้เสด็จจาริกมายังถิ่งต่าง ๆ ทรงพยากรณ์ที่ต่าง ๆ มากมายจนมาถึงดอยจอมทอง และดอยน้อย (ปัจจุบันอยู่ในเขต อำเภอจอมทอง เชียงใหม่) ทรงประทานพระเกศาธาตุและรอยพระพุทธบาท อันทรงสมควรและทรงเล็งด้วยพระพุทธญาณว่าต่อไปจะเป็นที่อุดมในธรรม ก็เสด็จต่อมายังดอยกรอม (ปัจจุบันอยู่ในเขต อำเภอ ฮอด เชียงใหม่) พระองค์ทรงกระหายน้ำ จึงให้พระอานนท์ไปตักน้ำที่แม่น้ำระมิงค์ พบพญานาคขวางทางแกล้งทำให้น้ำขุ่น พระพุทธองค์ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้พญานาคเคลื่อนไหวไม่ได้ พญานาคจึงยอมแพ้ บันดาลให้น้ำพุ่งออกจากแผ่นดิน เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยน้ำเสร็จแล้ว พญานาคลดทิฐิมานะขอสมาทานเบญจศีล พระองค์ทรงประทานให้ด้วยความเมตตา พญานาคทรงเลื่อมใสศรัทธามาก จึงควักดวงตาทั้งสองถวายเป็นพุทธบูชา พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปภายภาคหน้าสถานที่นี้จักได้เป็นเมืองปรากฏชื่อนามว่า "พิศดารมหานคร"
    พระพุทธองค์เสด็จลุกขึ้นประทับรอยพระบาทซ้ายเหนือหินก้อนหนึ่ง
    (ปัจจุบันคือพระบาทแก้วข้าว อยู่ที่ อ.ฮอด เชียงใหม่) พญานาคทูลลากลับนครบาดาล ทันใดนั้นดวงตาทิพย์ได้บังเกิดขึ้นแก่พญานาคเป็นดวงตาที่แจ่มใสยิ่งกว่าเดิม
    จำเนียรกาลผ่านมา 1200 ปี มีพระอรหันต์นามว่า พระธรรมราชมีฤทธิ์ศักดามาก เป็นที่เคารพนับถือของเหล่ามนุษย์และพญานาคตลอดจนเทวดาทั้งหลาย พระธรรมราชคิดว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองได้ต้องให้คนทั้งหลายระลึกถึงพระพุทธคุณ จึงคิดจะสร้างพระพุทธรูปองค์เล็กจำนวนมาก จำลองเป็นรูปพระพุทธเจ้าเพื่อให้เป็นที่พึ่งของเหล่ามนุษย์ แต่จะสร้างด้วยทองคำ หรือเงิน ก็จะทำให้มนุษย์เกิดความโลภ ทำอันตรายต่อรูปจำลองของพระพุทธเจ้าได้
    ความคิดนี้ได้ทราบถึง องค์ท่านท้าวมหาพรหม นามว่า "ชินนะปัญจะระ" ท่านจึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวนำเอาแก้วมณีโชติ ซึ่งถือเป็นแก้วกายสิทธิ์ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต มาถวายให้พระธรรมราช ท่านจึงให้ช่างแกะสลักในเมืองช่วยกันแกะเป็นรูปจำลองของพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าช่าง ไม่สามารถแกะสลักแก้วมณีโชตินั้นได้ ช่างจึงปรึกษากันด้วยจนปัญญา ความนี้ทราบถึงพระอินทร์ จึงสั่งให้เทวดาประจำวันทั้ง 7 องค์ แปลงร่างเป็นมนุษย์มารับอาสา แกะสลักให้เป็นรูปจำลองพระพุทธเจ้า ด้วยการแกะสลักเป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ใช้ติดกาย
    และองค์ใหญ่ สูงครึ่งคืบไว้ประจำบ้านเมือง เพียงเวลา 7 วัน แกะได้เป็นจำนวน 84000 องค์ เมื่อสร้างเสร็จท่านธรรมราช ได้ประชุมกับเจ้าเมือง และชาวเมือง เพื่อจัดงานทำบุญฉลองสมโภชพระแก้วมณีโชติ เป็นกาลใหญ่

    ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระและพระอินทร์ จึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมาร่วมงานฉลองสมโภชด้วย เมื่อถึงเวลาพระธรรมราชเป็นผู้เจริญพุทธมนต์ ชีปะขาวทั้งสอง เจริญทิพย์มนต์บูชาพระพุทธเจ้า และมีการจุดบ้องไฟ เป็นพุทธบูชานับได้ 108 กระบอก ชาวเมืองพร้อมใจกันจุดบ้องไฟ เมื่อบ้องไฟติด พวกช่างแกะสลักทั้ง 7 และชีปะขาวทั้ง 2 ก็กระโดดขึ้นนั่งบนหัวบ้องไฟ บ้องไฟได้พาเอาร่างเทวดาทั้งหลายสูงขึ้น สูงขึ้น จนหายไปในกลีบเฆม ชาวเมืองจึงรู้ว่าเป็นเทวดาแปลงร่างมาร่วมสร้างพระแก้วมณีโชติ จึงส่งเสียงแซ่ซ้อง สาธุกาล กึกก้องอึงคะนึงไปทั่วเมือง ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ จึงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ อวยพรชัย โดยบันดาลให้ฝนทิพย์ตกลงมาทั่วเมือง

    เมื่อเสร็จงานสมโภชแล้วชาวเมืองช่วยกันขุดหลุมลึก 7 ศอก 56 หลุม
    นำเอาพระทั้งหมดใส่ไห 56 ไห ฝั่งในหลุมฝากพระแม่ธรณีเอาไว้ พระธรรมราชขอให้พญานาคชื่อ"พระพญาศรีเสน" เป็นผู้เฝ้ารักษามิให้ผู้ใดมาเหยียบย่ำที่แห่งนี้

    ศาสนาตถาคตผ่านไปกึ่งพุทธกาล พระแก้วมณีโชติจะปรากฏขึ้นมาให้มนุษย์สักการะบูชากราบไหว้ เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวของคนดีมีศีลธรรม
    ที่เคารพนบถือพระพุทธเจ้า มนุษย์ที่ได้ครอบครองพระแก้วมณีโชติจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง มีความสุขสมบูรณ์ เจริญด้วยโภคทรัพย์ เทวดาปกปักษ์คุ้มครองรักษา เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปจนครบถ้วน 5000 ปี ตามพุทธพยากรณ์
    เมื่อกายสิทธิ์จักรพรรดิ์เลี้ยงรักษา โลก

    ถ้ายุคใดสมัยใด จุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็มีความสุขน้อย
    สมบัติและอาชีพต่าง ๆ ก็อัตคัดกันดารไม่สมบูรณ์

    ถ้ายุคใดสมัยใด มหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็มีความสุขเป็นมัชฌิมา
    ทรัพย์สมบัติและเครื่องกินใช้ก็พอปานกลางไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่กันดารนัก

    ถ้ายุคใดสมัยใด บรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็บริบูรณ์ไปด้วยความสุขทุกประการ ทรัพย์สมบัติ สวิญญาณทรัพย์ อวิญญาณทรัพย์ก็หาได้ง่ายมั่งคั่งสมบูรณ์ไปตาม ๆ กัน ไม่เบียดเบียนกัน

    ทรัพย์ที่มีวิญญาณ ท่านเรียกว่า สวิญญาณทรัพย์ เช่นแก้วกายสิทธิ์ ต่าง ๆ
    ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณ ท่านเรียกว่า อวิญญาณทรัพย์ เช่น เงินทอง ที่สวนไร่นา ตึกรามบ้านช่อง
    แต่สิ่งที่สำคัญคือตัวเราเอง ถ้าเราทำตัวตนให้ดีมีศีลธรรม มีความรู้ความสามารถ เป็นที่พึ่งแก่ตน และคนอื่นได้ ก็มีผู้ต้องกันให้อยู่อาศัยด้วย อยากได้เป็นพรรคพวก ร่วมวงศ์วานด้วย เช่นหญิงเป็นผู้มีความงามแห่งกาย แลใจเป็นที่เรื่องลือ ก็มีเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ส่งเสนาอำมาตย์ไปเชิญมาอภิเษกด้วย
    ท่านเรียกว่ามี สวิญญาณทรัพย์เกิดขึ้นแก่ตัวเอง

    การทำตนให้เป็น สวิญญาณทรัพย์ชั้นดี หรือ เลว ก็ขี้นอยู่กับตัวของตัวเองเป็นสำคัญ ถ้าทำตัวให้มีประโยชน์แก่ผู้อื่น รู้จักสร้างหลักฐาน รู้จักปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ไม่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เรียกว่ารู้จักสร้างสวิญญาณทรัพย์ให้เกิดแก่ตัวเอง ในสากลโลกนี้ต้องการแต่สิ่งดี ๆ ทรัพย์ในโลกก็ต้องการแต่เนื้อ เยี่ยม ๆ ตั้งแต่เนื้อเงิน เนื้อทอง เนื้อเพชร เนื้อแก้วมณีต้องคัดกันอย่าง ละเอียด จึงถือว่าเป็นของเลิศของประเสริฐแก่ชนทั้งหลาย ดัง แก้วมณีต่าง ๆ พระแก้วบารมีมณีโชติ จึงถือว่าเป็นพระแก้วรัตนอันสำคัญแห่งโลก ควรแก่การ สักการะบูชา แลครอบครองเพื่อความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลก และทางธรรม นิพพานเทอญ

    ขอบคุณข้อมูล
    <!-- / message -->
    <!-- / message -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...