เหรียญบิน หลวงพ่อทรง - แพโบสถ์น้ำ หลวงตา (เล็ก) น. ๑๒๖๕

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย พี เสาวภา, 7 เมษายน 2008.

  1. Ong

    Ong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,501
    ค่าพลัง:
    +12,861
    เห็นพี่ไม่เกิด นำสิ่งดีๆมาแบ่งปั่นเสมอๆ วันนี้ขอนำเอามาฝากบ้างครับ

    ---------------------------------------------------

    แม้จะเป็นนักธุรกิจร่ำรวยระดับแสนล้าน แต่ไม่ว่าจะปรากฏกาย ณ ที่แห่งใด หรือแม้แต่ในงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของ Apple คนทั่วไปมักชินตากับภาพ สตีฟ จอบส์ ในชุดแต่งกายเรียบง่าย สวมเสื้อยืดคอเต่าแขนยาวสีดำ ยี่ห้อ St. Croix กางเกงยีนส์ลีวายส์ รุ่น 501 และสวมรองเท้ากีฬายี่ห้อ New Balance รุ่น 992 เป็นประจำ จนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขา

    สตีฟ จอบส์ หรือสตีเฟน พอล จอบส์ (Steven Paul Jobs) เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน ซีอีโอใหญ่แห่งค่าย Apple Inc. ยักษ์ใหญ่ในวงการคอมพิวเตอร์ ผู้ผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเครื่องแรกของโลก รวมทั้งเป็น ผู้บริหารระดับสูงของค่ายพิกซาร์ แอนิเมชัน สตูดิโอ (Pixar Animation Studios)ด้วย

    กว่าจะถึงวันนี้ ชีวิตของซีอีโอใหญ่ได้เผชิญปัญหามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ด้วยหลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนานิกายเซน ที่เขาได้ศึกษาเรียนรู้ ช่วยให้เขาก้าวผ่านอุปสรรคทั้งปวงมาได้

    • ชีวิตช่วงแรก ไม่ได้ปริญญา แต่ได้วิชา
    เริ่มสนใจศึกษาพุทธศาสนา

    สตี เฟน พอล จอบส์ เกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1955 ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรนอกสมรสของนักศึกษาสาวมหาวิทยาลัย กับศาตราจารย์ทางด้านรัฐศาสตร์ มารดาแท้ๆ ยกเขาให้เป็นบุตรบุญธรรมแก่ครอบครัว “จอบส์” ซึ่งมีหัวหน้าครอบครัวเป็นช่างเครื่อง โดยขอสัญญาว่า บุตรชายของเธอจะต้องได้รับการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย

    เมื่อโตขึ้น จอบส์เข้าศึกษาต่อที่ Reed College ในเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ได้เพียง 6 เดือน ก็ลาพักเรียน เพราะไม่เห็นความน่าสนใจของสิ่งที่เขาเรียนอยู่ แต่เขาก็กลับเข้าศึกษาใหม่อีก 1 ปีครึ่ง โดยลงเรียนเฉพาะ คอร์สที่เขาสนใจ เช่น การประดิษฐ์ตัวอักษร (ซึ่งภายหลังเขาได้นำไปใช้ประโยชน์ในการออกแบบตัวพิมพ์ของคอมพิวเตอร์ Macintosh) หลังจากนั้น เขาหยุดเรียนถาวรและไม่ได้ศึกษาจนจบมหาวิทยาลัยตามที่มารดาแท้ๆ ของเขาหวังไว้

    ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยนี้เองที่จอบส์เริ่มหันมาศึกษา พุทธศาสนานิกาย เซน เขาสนใจอ่านวรรณกรรมทางพุทธศาสนาหลายเล่ม และหนังสือที่มีอิทธิพล สูงสุดกับเขาคือ Zen Mind, Beginner’s Mind ซึ่งเขียนโดยชุนริว ซูซุกิ กล่าวกันว่า หลังการศึกษาหลักธรรมของเซน จอบส์เริ่มมีความเชื่อว่า การหยั่งรู้โดยสัญชาตญาณนั้น ก่อให้เกิดปัญญา เขาจึงเริ่มฝึกสมาธิในห้องนอนแคบๆ ที่แชร์ร่วมกับ “แดเนียล คอตคี” เพื่อนสนิท ท่ามกลางกลิ่นธูป

    • ออกแสวงหาตัวตนที่แท้จริง

    ใน ปี 1974 จอบส์ ในวัย 19 ปี ได้ขอลาพักงานประจำ ที่เขาทำอยู่ในบริษัทเครื่องเล่นวิดีโอเกมส์ Atari เพื่อเดินทางไปอินเดีย เป็นเวลา 1 เดือน พร้อมกับเพื่อนรัก “แดเนียล คอตคี” เพื่อแสวงหาคำตอบเกี่ยวกับการรู้แจ้งเห็นจริงด้านจิตวิญญาณ และเมื่อเดินทางกลับสหรัฐฯ อีกครั้งหนึ่ง เขาได้กลายเป็นพุทธศาสนิกชน สวมเสื้อผ้าแบบอินเดียโบราณและโกนศีรษะ

    หลังจากนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส ในเมืองลอส อัลทอส รัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นประจำ ที่นี่เขาเริ่มฝึกการบำบัดแบบกรีดร้องดังๆ และรับประทานผลไม้เป็นอาหาร และผลไม้ที่เขาโปรดปรานเป็นพิเศษก็คือ แอปเปิ้ล นั่นเอง

    ในปี 1976 ขณะอายุ 21 ปี จอบส์ได้เข้าทำงานกับบริษัทฮิวเลตต์-แพคการ์ด และเริ่มต้นศึกษาพุทธศาสนานิกายเซนอย่างจริงจังกับ “โกบุน ชิโนะ โอโตโกวะ” พระอาจารย์ชาวญี่ปุ่น ที่ศูนย์เซน ลอส อัลทอส (ซึ่งภายหลัง เมื่อจอบส์เข้าพิธีแต่งงานแบบเซน กับ “ลอรีน เพาเวล” ในวันที่ 18 มีนาคม 1991 พระอาจารย์โอโตโกวะได้มาเป็นประธานในพิธี)

    • เริ่มก่อตั้งบริษัท Apple
    ดีไซน์สินค้าด้วยแนวคิดเซน

    ใน ปี 1976 จอบส์และเพื่อนสมัยเรียนที่ชื่อ “สตีฟ วอซเนียก” ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัท Apple Computer ขึ้นที่โรงรถในบ้านของจอบส์ เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่จอบส์กับวอซเนียกได้นำเสนอออกสู่สายตา ได้แก่เครื่อง Apple I และเพียง 10 ปีให้หลัง Apple ก็เติบโตจากคนเพียง 2 คนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตที่มีมูลค่า 2 พันล้านดอลลาร์ และพนักงานมากกว่า 4,000 คน!!

    จอบส์เคยกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired ของอเมริกาว่า “มี คำคำหนึ่งในศาสนาพุทธ คือ จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียงให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความ ประหลาดใจ

    ด้วยความเชื่อดังกล่าว สตีฟ จอบส์ จึงนำแนวคิดแบบเซนมาใช้กับบริษัท Apple Inc ของเขา ในการออกแบบรูปลักษณ์และการใช้งานของสินค้าให้มีแนวทางบริสุทธิ์ ครบถ้วนสมบูรณ์ และง่ายต่อการใช้งาน

    • พบมรสุมชีวิต แต่พิชิตด้วยความรักในงาน

    เมื่อ จอบส์อายุ 30 ปี หลังจากเพิ่งเปิดตัว Macintosh เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดของตัวเองได้ปีเดียว เขาถูกไล่ออกจากบริษัทที่ตนเองเป็นผู้ก่อตั้ง หลังจากทะเลาะกับผู้บริหาร และกรรมการบริษัทก็เข้าข้างผู้บริหารคนนั้น

    เรื่องนี้เป็นความสูญ เสียครั้งใหญ่ในชีวิตของเขา จอบส์กล่าวว่า เขาได้สูญเสียสิ่งที่ได้ทำมาตลอดชีวิตไปในพริบตา ถึงกับคิดจะออกจากวงการคอมพิวเตอร์ไปชั่วชีวิต เขาไม่ได้ทำอะไรหลังจากนั้นอีกหลายเดือน

    แต่แล้วความรู้สึกอย่าง หนึ่งก็สว่าง ขึ้นข้างในตัวของจอบส์ ซึ่งเขาค้นพบว่า ตัวเองยังคงรักในสิ่งที่ทำมาแล้ว ความล้มเหลวที่ Apple ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักที่เขามีต่อสิ่งที่ได้ทำมาแล้วได้ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด ซึ่งต่อมาเขาได้พบว่า การที่เขาถูกไล่ออกจาก Apple ได้กลายเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะภาระอันหนักจากการประสบความสำเร็จในอดีตที่เขาแบกไว้นั้น ได้ถูกแทนที่ด้วยความเบาสบายในการเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระ นั่นก็คือเขาได้ปล่อยวางความสำเร็จเก่านั้นลง และเริ่มต้นใหม่ด้วยใจที่เบาสบาย เบิกบาน เป็นจิตของผู้เริ่มต้นอย่างที่เขาเคยบอกไว้นั่นเอง

    จอบส์กล่าวว่า ความล้มเหลวเป็นยาขม แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคนไข้ เมื่อชีวิตเล่นตลกกับคุณ จงอย่าสูญเสียความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณรัก ดังนั้นคุณจะต้องหาสิ่งที่คุณรักให้เจอ เพราะวิธีเดียวที่จะทำให้คุณเกิดความพึงพอใจอย่างแท้จริง คือการได้ทำในสิ่งที่คุณเชื่อว่ามันยอดเยี่ยม และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณสามารถทำสิ่งที่ยอดเยี่ยมได้ก็คือ คุณจะต้องรักในสิ่งที่คุณทำ และถ้าหากคุณยังหามันไม่พบ อย่าหยุดหาจนกว่าจะพบ และคุณจะรู้ได้เองเมื่อคุณได้ค้นพบสิ่งที่คุณรักแล้ว

    หลัง จากนั้น เขาได้เริ่มตั้งบริษัทใหม่ชื่อ NeXT และ Pixar (ซึ่งขณะนี้เป็นสตูดิโอผลิตการ์ตูนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก) ได้สร้างภาพยนตร์การ์ตูนจากคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องแรกของโลกนั่นคือ Toy Story

    ส่วน Apple ซึ่งไร้เงาของจอบส์นั้น ไม่ได้เฟื่องฟูขึ้นเลย ดังนั้นบริษัทฯจึงได้หันมาซื้อบริษัท NeXT เพื่อทำให้จอบส์ได้กลับคืนสู่ Apple อีกครั้ง รวมทั้งเทคโนโลยีที่เขาคิดค้นขึ้นที่ NeXT ก็ได้กลายเป็นหัวใจในยุคฟื้นฟูของ Apple

    • ใช้การเจริญมรณสติทุกวัน
    เป็นเครื่องมือช่วยการตัดสินใจในชีวิต

    เมื่อ อายุ 17 ปี จอบส์ประทับใจข้อความหนึ่งที่เขาได้อ่านจากหนังสือ ซึ่งสอนให้ทุกคนมีชีวิตอยู่โดยคิดว่า วันนี้เป็นวันสุดท้ายของชีวิต และตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาจะถามตัวเองในกระจกทุกเช้าว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาจะยังคงต้องการทำสิ่งที่กำลังจะทำในวันนี้หรือไม่ ถ้าหากคำตอบเป็น “ไม่” ติดๆ กันหลายวัน เขาก็รู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเปลี่ยนแปลง

    จอบส์ เล่าว่า วิธีคิดว่าคนเราอาจจะตายวันตายพรุ่ง เป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยรู้จักมา ซึ่งได้ช่วยให้เขาสามารถตัดสินใจครั้งใหญ่ๆ ในชีวิตได้ เพราะเมื่อความตายมาอยู่ตรงหน้า แทบทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความคาดหวังของคนอื่น ชื่อเสียงเกียรติยศ ความกลัวที่จะต้องอับอายขายหน้าหรือล้มเหลว จะหมดความหมายไปสิ้น เหลือไว้ก็แต่เพียงสิ่งที่มีคุณค่ามีความหมายและความสำคัญที่แท้จริงเท่า นั้น

    “วิธีคิดเช่นนี้ยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด ที่จะช่วยให้คุณไม่ตกลงไปในกับดักความคิดที่ว่า คุณมีอะไรที่จะต้องสูญเสีย เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนล้วนมีแต่ตัวเปล่าๆ ด้วยกันทั้งนั้น”

    จอบส์ พูดถึงความตายว่า กลางปี 2004 เขาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งตับอ่อนชนิดรุนแรงและไม่มีทางรักษา เขาจะมีอายุอยู่ได้ไม่เกิน 3-6 เดือน แพทย์ที่รักษาแนะนำให้เขากลับบ้านและจัดการสะสางภารกิจที่มีอยู่ให้เรียบ ร้อย ซึ่งความหมายก็คือให้ “เตรียมตัวตาย”

    แต่แล้วในเย็นนั้นเมื่อ แพทย์ได้ตัดชิ้นเนื้อที่ตับอ่อน ไปตรวจอย่างละเอียด ผลปรากฏว่า เขาเป็นมะเร็งตับอ่อน ชนิดที่พบเพียงแค่ 1 เปอร์เซนต์ของผู้ป่วย ซึ่งรักษาได้ด้วยการผ่าตัด ในปี 2009 จอบส์เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี่ และกลับไปทำงานที่ Apple อีกครั้ง หลังลาหยุดเป็นเวลา 6 เดือน

    ซีอี โอใหญ่ของ Apple กล่าวว่า นี่เป็นประสบการณ์เฉียดตายที่สุดของเขา ซึ่งทำให้เขาสามารถพูดได้เต็มปากยิ่งกว่าเมื่อตอนที่ใช้ความตายมาเตือนตัว เองเป็นมรณานุสติ และเมื่อผ่านห้วงเวลานั้นมาได้ เขาบอกว่าความตายคือประดิษฐกรรมที่ดีที่สุดของ “ชีวิต” ความตายคือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เขาได้พูดถึงความตายไว้ว่า

    “ไม่ มีใครอยากตาย แม้ว่าคนที่อยากขึ้นสวรรค์ ก็ไม่อยากตายเพื่อจะได้ไปที่นั่น แต่เราทุกคนต้องตาย ไม่มีใครรอดพ้นไปได้ ดังนั้นความตายก็คือตัวเปลี่ยนแปลงชีวิต มันจะกำจัดคนเก่าออกไป(ตาย) เพื่อเปิดทางให้คนใหม่ได้เข้ามา(เกิด) ตอนนี้คนใหม่ก็คือพวกคุณ แต่ในไม่ช้า พวกคุณก็จะค่อยๆแก่ และถูกกำจัดออกไป(ตาย) นี่คือหลักความจริง”

    จอบส์ ได้เตือนว่า “เวลาของคุณจึงมีจำกัด และอย่ายอมเสียเวลามีชีวิตอยู่ในชีวิตของคนอื่น จงอย่ามีชีวิตอยู่ด้วยผลจากความคิดของคนอื่น และอย่ายอมให้เสียงของคนอื่นๆ มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะต้องมีความกล้าที่จะก้าวไปตามที่หัวใจคุณปรารถนาและสัญชาตญาณของคุณจะ พาไป เพราะหัวใจและสัญชาตญาณของคุณรู้ดีว่ คุณต้องการจะเป็นอะไร”

    ทุก วันนี้ จอบส์ในวัย 55 ปียังคงถือปฏิบัติตามแบบเซน ที่มีวิถีแห่งความเรียบง่ายแต่ลุ่มลึก และเขามักอ้างคำพูดของอาจารย์เซนหลายๆท่าน และหลักปรัชญาเซน ในระหว่างการแสดงสุนทรพจน์ในที่ต่างๆ

    9 บทเรียนทองของสตีฟ จอบส์

    9 คำพูดที่ดีที่สุดที่คัดเลือกมานี้ จะช่วยให้คุณทำงานได้สำเร็จตามสไตล์ซีอีโอแสนล้าน

    1. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “นวัตกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างผู้นำและผู้ตาม”

    นวัต กรรมหรือวิธีการใหม่ เป็นสิ่งไร้ขีดจำกัด มีเพียงจินตนาการเท่านั้นที่มีขอบเขต ถึงเวลาแล้วที่คุณต้องเริ่มคิดนอกกรอบ ถ้าคุณทำงานในภาคธุรกิจที่กำลังเติบโต ต้องรู้จักคิดหาทางทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ลูกค้าพึงพอใจ และอยากจะทำธุรกรรมด้วย แต่ถ้าคุณอยู่ในธุรกิจที่กำลังหดตัว ต้องรีบออกมาจากธุรกิจนั้นโดยเร็ว และเปลี่ยนแปลงก่อนที่คุณจะกลายเป็นคนตกยุค ตกงาน หรือธุรกิจล่มสลาย และต้องจำไว้เสมอว่า คุณจะผัดวันประกันพรุ่งไม่ได้ ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงเดี๋ยวนี้

    2. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “จงเป็นคนที่มีคุณภาพสูง คนบางคนไม่เคยชินกับการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่คาดหวังความเป็นเลิศ”

    ไม่ มีหนทางลัดสู่ความเป็นเลิศ คุณจะต้องตั้งใจและให้ความสำคัญ ใช้ความสามารถ ทักษะ และพรสวรรค์ที่มี พยายามทำให้มากกว่าคนอื่น มีมาตรฐานสูงกว่า และใส่ใจในรายละเอียดที่ทำให้เกิดความแตกต่าง ความเป็นเลิศไม่ใช่เรื่องยาก แต่คุณต้องลงมือทำทันที แล้วคุณจะประหลาดใจในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในชีวิต

    3. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “วิธีเดียวที่จะทำงานให้ได้ผลดีเยี่ยม คือ คุณต้องรักในสิ่งที่ทำ ถ้าคุณยังไม่เจอสิ่งที่รักในตอนนี้ จงมองหาไปเรื่อยๆ อย่าด่วนสรุป เพราะมันเป็นเรื่องของหัวใจ คุณจะรู้ได้เอง เมื่อเจอสิ่งที่รัก”

    จงทำในสิ่งที่รัก มองหาอาชีพการงานที่ทำให้คุณมีจุดประสงค์ ทิศทาง และความพึงพอใจในชีวิต เมื่อคุณมีเป้าหมายและพยายามไปให้ถึง มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมาย ทิศทาง และความพอใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยให้มีสุขภาพดีและอายุยืนยาว แต่ยังจะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้นเมื่อต้องเผชิญอุปสรรค

    4. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “คุณก็รู้ว่า อาหารส่วนใหญ่ที่เรากิน เราไม่ได้ผลิตด้วยตัวเราเอง เราสวมใส่เสื้อผ้าที่คนอื่นผลิต เราพูดภาษาที่คนอื่นพัฒนาขึ้น เราใช้คณิตศาสตร์ที่คนอื่นค่อยๆปรับปรุงมาเรื่อยๆ ผมหมายถึงว่า เราเป็นฝ่ายรับอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น คงเป็นความรู้สึกที่น่าปลาบปลื้มอย่างยิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์บางสิ่ง บางอย่าง ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติ”

    จงใช้ชีวิตตามหลักศีลธรรม พยายามทำให้เกิดความแตกต่างบนโลกใบนี้และมีส่วนร่วมให้เกิดสิ่งที่ดีงามยิ่ง ขึ้น คุณจะพบว่า มันจะทำให้ชีวิตของคุณมีความหมายมากยิ่งขึ้น แถมยังเป็นยาแก้ความเบื่อหน่ายที่ได้ผลดีอีกด้วย ลองมองไปรอบๆตัว แล้วคุณจะพบว่า มีสิ่งต่างๆให้คุณทำอยู่เสมอ และจงพูดคุยกับผู้อื่นถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ แต่อย่าพร่ำสอน หรือคิดว่าตัวเองถูกต้อง หรือหลงตัวเอง เพราะจะทำให้คนอื่นไม่อยากคุยด้วย ขณะเดียวกัน คุณต้องไม่กลัวที่จะทำตนเป็นตัวอย่าง และใช้โอกาสที่มี บอกเล่าถึงสิ่งที่คุณกำลังทำ

    5. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “มีคำพูดในพุทธศาสนาว่า จิตของผู้เริ่มต้น มันเป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างยิ่งที่ทุกคนควรจะมีจิตของผู้เริ่มต้น” ซึ่งเขาอธิบายต่อไปว่า

    มันเป็นจิตที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความ เป็นจริง ซึ่งค่อยๆทำให้เราตระหนักถึงแก่นแท้ของสิ่งเหล่านั้น จิตของผู้เริ่มต้น ก็คือการนำหลักการของเซนมาปฏิบัติจริง เป็นจิตบริสุทธิ์ที่ปราศจากอคติ การคาดหวัง การตัดสิน ความลำเอียง ให้คิดว่า จิตของผู้เริ่มต้น เป็นเหมือนจิตของเด็กน้อย ซึ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ความสงสัย และความประหลาดใจ

    6. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เราคิดว่า โดยทั่วไปแล้ว คุณดูโทรทัศน์เพื่อพักสมอง และคุณใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อต้องการให้สมองทำงาน”

    ใน รอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีรายงานการศึกษาจำนวนมากที่ยืนยันหนักแน่นว่า การดูทีวีส่งผลเสียด้านจิตใจและมีอิทธิพลด้านศีลธรรม และคนที่ติดทีวีส่วนมาก แม้จะรู้ว่า มันทำให้ชินชาและเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่ก็ยังใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งอยู่หน้าจอสี่เหลี่ยม ดังนั้น จงปิดทีวีซะ เพื่อถนอมเซลล์สมอง แต่ต้องระวัง เพราะการใช้คอมพิวเตอร์ก็อาจเป็นการพักสมองได้เช่นกัน ลองเปลี่ยนมาเล่นเกมที่พัฒนาสติปัญญาดีกว่า

    7. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ผมสูญเงินไป 250 ล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี มันทำให้ผมรู้จักตนเองดีขึ้น”

    อย่า มองว่า การทำผิดกับความผิดเป็นเรื่องเท่าเทียมกัน เพราะคนที่ประสบความสำเร็จ โดยไม่เคยล้มเหลวหรือทำผิดเลยนั้น ไม่มีหรอก มีแต่คนที่ประสบความสำเร็จ เคยทำผิดพลาดและรู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข เพื่อทำให้ถูกต้องในครั้งต่อไป พวกเขามองความผิดพลาดเป็นเครื่องเตือนสติ มากกว่าความสิ้นหวัง การไม่เคยทำผิดเลย แสดงว่า คนนั้นไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเต็มที่

    8. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “ในโลกนี้ไม่เคยมีใครที่ไม่เคยทำผิดพลาด เราเกิดมาบนโลกใบนี้แล้วก็ได้ทำสิ่งผิดพลาดเช่นกัน ไม่งั้นแล้ว เราจะเกิดมาทำไม”

    คุณรู้หรือไม่ว่า มีเรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จในชีวิต และรู้หรือไม่ว่า เรื่องสำคัญเหล่านั้นจะถูกฝุ่นจับ เมื่อคุณใช้เวลามัวแต่นั่งคิดมากกว่าลงมือทำ เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมของขวัญชิ้นหนึ่งที่จะมอบให้กับชีวิตของเราเอง ของขวัญที่เต็มไปด้วยความปรารถนา ความสนใจ ความหลงใหล และความอยากรู้อยากเห็น ของขวัญชิ้นนี้ แท้จริงแล้ว มันคือเป้าหมายของเรานั่นเอง และคุณตั้งเป้าหมายของคุณได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใครทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้างาน ครู พ่อแม่ นักบวช หรือเจ้าหน้าที่ ก็ไม่อาจเลือกเป้าหมายให้คุณได้ คุณต้องหาจุดมุ่งหมายด้วยตัวคุณเอง

    9. สตีฟ จอบส์ พูดว่า “เวลาของคุณมีจำกัด จงอย่าเสียเวลาใช้ชีวิตตามแบบคนอื่น อย่าติดอยู่ในหลักความเชื่อ ซึ่งทำให้คุณใช้ชีวิตตามผลความคิดของผู้อื่น อย่ายอมให้เสียงความคิดของคนอื่น มากลบเสียงที่อยู่ภายในตัวของคุณ และทีสำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีความกล้า ที่จะทำตามหัวใจปรารถนาและสัญชาติญาณ เพราะมันรู้ดีว่า จริงๆแล้ว คุณต้องการเป็นอะไร เรื่องอื่นๆกลายเป็นเรื่องรองไปโดยสิ้นเชิง”

    คุณ เบื่อหรือเปล่าต่อการใช้ชีวิตตามความฝันของคนอื่น ไม่ต้องสงสัยเลย ก็มันเป็นชีวิตของคุณเอง คุณมีสิทธิใช้ชีวิตในแบบที่คุณต้องการ โดยไม่ต้องมีใครมาคอยขัดขวาง ลองให้โอกาสตัวเองฝึกความคิดริเริ่มในบรรยากาศที่ปราศจากความกลัวและแรงกด ดัน จงใช้ชีวิตตามแบบที่คุณเลือก และเป็นเจ้านายตัวเอง

    (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 118 กันยายน 2553 โดย บุญสิตา)


    PANTIP.COM : Y10011094
     
  2. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    กราบหลวงปู่บุญศรี หลวงพ่อทรง ... ครับ
    เข้ามารายงานตัวกะเช้า ก่อนไปเปิดร้าน
     
  3. ไม่เกิด

    ไม่เกิด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    1,916
    ค่าพลัง:
    +9,458
    พอได้ข้อมูลมาบ้างแล้วครับ... เหรียญรุ่นนี้ หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา หลวงพ่อเต๋ คงทอง ปลุกเสกและที่พิเศษหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม เมตตาจารให้ทุกเหรียญด้วยครับ ....
     
  4. jimmyuro

    jimmyuro เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,500
    ค่าพลัง:
    +6,014
    อนุโมทนากับพี่พีและคณะด้วยนะครับสำหรับบุญใหญ่นี้
     
  5. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    ขอแสดงความยินดีน่ะครับ พิธีดีทีเดียว สภาพสวยเสียด้วย
     
  6. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292

    กราบขอบคุณ คุณหมอ และทุกท่านน่ะครับ ที่อนุโมทนาร่วมด้วย

    ผมเพียงแต่นำมาเขียนเท่านั้นครับ ยังมีตัวจริงยิ่งกว่าผม แต่ยังไม่ได้ออกนามครับ
     
  7. gim

    gim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    513
    ค่าพลัง:
    +2,398
    กราบ กราบ กราบ หลวงปู่พระครูบุญศรีครับ
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อทรงครับ

    สวัสดีครับพี่พี พี่น้องบ้านเหรียญบินทุกๆท่าน<!-- google_ad_section_end --> ครับ<!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end --><!-- google_ad_section_end -->
     
  8. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    ตอนเย็นๆมาต่อน่ะครับ ออกไปรับลูกหน่อย

    ตอนนี้มีหน้าที่รับลูก กับ ดูแลแม่ ( แม่ของผม )....แหะๆ
     
  9. SomeO

    SomeO เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    478
    ค่าพลัง:
    +1,476
    กราบหลวงปู่ทรง หลวงปู่บุญศรี หลวงปู่อั๊บ
    และสวัสดีพี่น้องบ้านเหรียญบินครับ
     
  10. moo noi

    moo noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    6,328
    ค่าพลัง:
    +23,902
    กราบหลวงพ่อทรง หลวงปู่อั๊บ หลวงปู่บุญศรี ค่ะ...
     
  11. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    หลวงปู่พระครูบุญศรี ( ต่อ )


    อย่างที่ผมเกริ่นไว้ ผมอาจจะเอาเรื่องมาเล่าก่อน หรือ หลังต่างกัน เช่นเหตุการณ์ ตอนหลวงปู่ไดรับยศพระครู ชั้นประทวน เป็นยศเดียวที่ท่านมี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนผมมารู้จักหลวงปู่บุญศรี ผมจะเล่าทีหลัง เพราะชุดนี้มีวัตถุมงคลชุดสำคัญ ตามมาจากลูกศิษย์ ผมมาหลังรอยต่อนี้พอดี และเอาชุดนี้ไปแจก เอาเงินมาก่อสร้างถาวรวัตถุ ของวัดใหม่ฯ มีคนมาร่วมบุญหลายสาย

    สิ่งแรกเลยที่ช่วยกันทำนุบำรุงวัดคือการสร้างเขื่อน วัดใหม่ฯ ถ้าท่านดูตามแผนที่ สเกล 1:50000 จะเห็นวัดอยู่เลยหัวคุ้งมาทางทิศใต้ พอกระแสน้ำไปเจอ ปลายหัวคุ้งแล้วไหลย้อนลงใต้มา กระแสน้ำจะมาชนอย่างแรง ตอนเหนือวัด ทำให้เกิดการกัดเซาะอย่างรุนแรง อย่างที่หลวงปู่ว่า ที่โบถส์เก่าหายไป เคยอยู่ที่กลางแม่น้ำ ตัวแม่น้ำเองก็กระเถิบ จากทิศตะวันออก ไปทางทิศตะวันตก และกินที่วัดเข้ามาเรื่อยๆ

    พอผมได้รู้จักวัดใหม่ฯ มาและ รู้จักกับหลวงปู่ ที่หน้าวัด ( ตรงแม่น้ำ ) จะมีต้นโพธิ์ ใหญ่ๆ สองต้นคู่กัน ต้นเล็กกว่าอยู่ทิศเหนือ และ ต้นใหญ่กว่าอยู่ทิศใต้ การกัดเซาะมีมาเรื่อยๆ ตามหน้าน้ำแรง จนต้นโพธิ์ ต้นเล็ก โค่นลงแม่น่ำ ( นิพพาน ตะวันออก ) ต้นโพธิ์ต้นนี้โค่นลงไปกองที่ในแม่น้ำ ตอนนั้นผมยังไม่ได้คิดเรื่องจะทำวัตถุมงคล ไม่อย่างนั้น ต้นนี้แหละของดีเลย มาคิดได้ทีหลัง แต่ผมก็ได้ พระที่แกะจาก ต้นโพธิ์นิพพานตะวันออกมาท่อนหนึ่ง เอามาแกะ รูปพระปางหามสมุทร องค์หนึ่ง เลียนแบบวัดกลางบางแก้ว เพราะไม่รู้จะไปหาที่ไหน ผมเลยขอหลวงปู่ ท่านบอกให้ไปทำมา ท่านจะเสกให้ ผมจะเล่าในตอนภาควัตถุมงคลก็แล้วกัน

    เอาว่าต้นโพธิ๋โค่นลงไป ก็มาถึงจุด ไคล์แมกซ์ เพราะต้องทำอะไรสักอย่าง ผมกราบเรียนถามหลวงปู่ ว่าจะสร้างเขื่อนไหมครับ ท่านพยักหน้า ผมบอกท่านว่า หลวงปู่ต้องช่วยผมน่ะครับ ท่านยิ้ม จึงมาเริ่มโครงการณ์ ผมไปวัดความยาวหนากว้าง หน้าวัดตรงติดแม่น้ำ ซึ่งชักเลือนๆไปแล้ว แต่หน้าไม่ยาวมาก ประมาณ สี่สิบกว่าเมตร อาจจะกว่านั้นหน่อย ( อันนี้ก่อนมีการแบ่งแยกโฉนด ) เพราะหลังจากการแบ่งโฉนด ตาผู้ใหญ่ ม แกเลยยกที่ ตรงที่ตลิ่งเซาะ ให้ นาย ช น้องชาย เป็นที่ติดวัด ซึ่งบอกตามตรงก็เข้าทางพวกผมเหมือนกัน เพราะเราทำ เขื่อนไปชนไว้ หน้าวัดจะได้ยาวออกไปอีก ที่ตรงนั้น ตามดำริห์ อันนี้ผมไม่ได้ยินจากท่าน แต่ท่านคุยกับลุกศิษย์ท่านอื่นไว้ ว่าจะสร้างพระใหญ่ แต่ท่านมาล่ะสังขารซ่ะก่อน และ ผู้ที่รับตำแหน่งต่อมาคงจะหาทุนมากๆยาก เลยเอาไปสร้างวัด สร้างกุฏิแทน

    กลับมาที่ การวัดหน้าตลิ่ง หลังจากนั้น ผมไปติดต่อช่างเหมาถมหิน ตอนนั้นผมทำงานบริษัทใหญ่ การหา vendor หรือ พวกรับเหมาหาง่าย โทรไปหาใคร พอใครรู้ว่าโทรจากบริษัทก็รีบติดต่อมา ผมได้การประเมิณราคาจากการทิ้งหินก้อนใหญ่ๆ ในราคา ต่อความยาวเมตรหน้าตลิ่งคือ เมตรล่ะ หนึ่งแสนบาท หมดหน้าตลิ่งก็ตก ๔ ถึง ๕ ล้านบาท ผมฟังแล้วอึ้ง สัก ห้าแสนอาจจะหาเงินได้ แต่ ถ้าเกือบ ๕ ล้านสงสัยจะอีกนาน ผมไปปรึกษา พวกวิศวะ โยธา รุ่นน้อง พาเขาขึ้นไปดู หน้าตลิ่ง ก็ได้ option มาอีกคือ การปักเสาเข็ม แล้วเทปูน หรือ option ที่ถูกที่สุดคือ การปักเสาไม้แทนเสาเข็ม เสาไม้ก็มีหลายแบบ มีหลายราคา

    ผมพอได้ ไอเดีย ก็มานั่งปรึกษาหลวงปู่ และ เพื่อนๆ ไม้ที่ถูกที่สุดน่าจะเป็นต้นสน ผมและพวกก็ตระเวณหาในบริเวณแถวนั้น ไปเจอเอาแถวบริเวณเขาหลวง การตระเวณหานี้ หลวงปู่ท่านไปกับผมด้วย ตอนไปเจอแถวบริเวณเขาหลวง ผมเลยพาหลวงปู่ท่านไปดู และต่อรองราคากัน เป็นจำนวนเสา น่าจะประมาณ ๔ ถึง ๕ ร้อยต้น โดยผมไปคัดบริเวณที่เขาจะต้องตัด เหมากันแบบแถบๆมา เอาต้นใหญ่หน่อย ต้นเล็กๆไม่เอา การมีพระไปด้วยคุยกันไม่ยาก ตกลงกันง่าย เพราะบอกเขาว่าจะเอาไปสร้างวัด ตามนิสัยคนไทย ต่อรองราคากันเลยแบบหยวนๆ

    1.jpg

    จากรูปจะเห็นว่ามีการที่ตลิ่งถูกน้ำกัดเซาะ อย่างรุนแรง ภายที่เห็นจะเป็นรูปขาวดำที่ผมถ่ายซีร้อคแจกพวก พี่ เพื่อนๆ น้องๆ ที่ถูกไถเงินมาสร้างตลิ่ง ได้มาหลายแสน และจากภาพเป็นหน้าน้ำลง คือ เดือน มีนา จะเห็นว่าตลิ่งถูกเซาะหายไปเยอะ และจากรูปจะเห็นแพโบถส์นำหลังเก่าที่เป็นแพลูกบวบ อีกรูปจะเห็นกิ่งตนโพธิ์ที่โค่นลงไปในน้ำ รูปนี้ผมก็ลืมๆ จำไม่ได้ว่าตัวเองลงไปถ่ายในน้ำวิธีไหนในเรือใคร ...แหะๆ


    อีกรูป เห็นภาพใกล้เข้ามาหน่อย จะเห็นว่าต้นโพธิ์ต้นใหญ่ รากต้นโพธิ์ จะเป็นรากสั้น และชาวบ้านเรียกรากขัดตะมาด คือไม่ชอนลึกแต่แต่จะแทรกไปแทรกมาขัดกันไปมา ทำให้ยึดดินได้ไม่ลึก จะยึดต้นได้ไม่แข็งแรงเหมือนต้นไม้แบบอื่น

    และเล่าซ่ะเลย ต้นโพธิ์ต้นใหญ่นี้เป็นต้นสำคัญที่ต้องป้องกันไว้ไม่ให้โค่น จากการเล่า มีคนเคยเห็นหลวงปู่เดินหายไปหลังต้นโพธิ์ต้นนี้ พอไปตามแล้วไม่เห็น ส่วนผมมีครั้งหนึ่งมาหาท่านตามปกติ ไม่เจอท่านที่กุฏิ เลยเดินไปหาที่ริ่มตลิ่ง เจอท่านเดินออกมาจากบริเวณหลังต้นโพธิ์ ท่าทางท่านเหมือนเดินมาไกล มีเหงื่อออกเต็ม และมีหยากใย่ เกาะตามบริเวณตัวท่าน ซึ่งผิดปกติจากลักษระปกติของท่านมาก ผมถามท่านว่าหลวงปู่ไปไหนมา ท่านไม่พูดอะไร ผมเห็นท่าทางท่านเหนื่อยๆเลยไม่กล้าถามอะไรต่อได้แต่พาท่านมาที่กุฏิ แต่สงสัยมาตลอดว่าท่านไปทำอะไรแถวนั้น เกล็ดเรื่องต้นโพธิ์นี้ยังมีอีก เพราะเป็นที่ๆหลวงปู่ท่านทิ้งทานให้คนอื่น

    เรื่องนี้เล่าซ่ะเลย ถ้ามีคนมาทำบุญ ในตู้ หรือที่ท่าน หลังจากที่นับแล้ว อาจจะท่านนับเอง หรือ นับกับครูเพชร หรือ พวกผม ท่านจะเเยกเงินไว้ พวกแบ็งค์ใหญ่ๆท่านจะรวมแล้วมัดไว้ พวกแบ็งค์ พัน แบ็งค์ ห้าร้อย และ แบ็งค์ ร้อย ผมจะแยกเล่าเรื่องนี้ทีหลัง เพราะมันส์ดี แต่ไม่เคยเปิดเผยแก่ใคร แต่คิดว่าพวกลูกศิษย์ใกล้ชิดจะทราบดี

    ส่วนแบ็งค์เล็กๆ จะไม่มัดรวมแต่จะขยำไว้ หรือ รวมๆแบบหยาบๆไว้ บางทีใส่ในถุงกร็อบแกร็บ เหน็บไว้ตามข้างฝาบาง วางทิ้งไว้บาง ผมจะบรรยาย กุฏิหลวงปู่ชั้นบนที่ท่านนอนหน่อยหนึ่ง คือ ทั้งข้างบนและล่างจะเต็มไปด้วย ถังสังฆทาน ทั้งเก่าจนบางทีหมดอายุอันใหม่ก็ทับไว้ บางทีรวมกันหลายร้อยถังเรื่องนี้จะเล่าให้ฟังทีหลังอีกเหมือนกัน ถังสังฆทานนี้จะกินที่เกินครึ่งของกุฏิท่าน นอกนั้นก็จะเป็น ตู้เอกสารที่ท่านใส่ของสำคัญ พวกเอกสาร นาฬิกา ของมีค่า ของส่วนตัวท่าน และมีตู้กระจกด้านผนังใส่ของต่างๆ ส่วนห้องข้างในมี ตู้เย็น โทรทัศน์ ( ผมไม่เคยเห็นท่านดู ) ตู้เซฟใบใหญ่ ( ผมก็ไม่เคยเห็นท่านใช้ เห็นเปิดฝาออกตลอดเวลา ) นอกจากนั้ไม่มีอะไรมาก พวกถุงกร็อบแกรบใส่แบ็งค์ก็วางตามที่เหล่านี้ พอไปอีกทีก็เห็นหายไป เหตุการณ์เป็นแบบนี้ หลายครั้ง ผมก็ไม่คิดอะไรมาก คิดว่าท่านอาจจะเอา ไปฝากธนาคารไว้แล้ว

    จนมาอีกครั้งพระลูกวัด ผมลืมชื่อหลวงพี่ ท่านนี้ตอนหลังสึกและสิ้นชีวิตไปแล้ว เนื่องจ่ากโรคเกี่ยวกับลำไส้ ท่านเล่าให้ฟังว่า เห็นหลวงปู่หิ้วถุงกร็อบแกร็บใส่เงินเดินไปที่แม่น้ำ ท่าทางรีบๆ พระท่านสงสัยเลยแอบตามไปดู โดยแอบอยู่แถวกำแพง จะดูว่าหลวงปู่ไปไหน หลวงปู่ท่านเดินไปที่แม่น้ำ บริเวญต้นโพธิ์ ตรงนั้น เหมาะ เพราะร่มดี และมีมุมลับตา ท่านมองซ้าย มองขวา เห็นไม่มีใคร ท่านก็โยนถุงกร็อบแกรบที่อัดเต็มด้วยเงิน แบ็งค์ ยี่สิบ แบ็งค์ สิบ ลงไปในน้ำ ถุงก็คงลอยไป แล้วก็เดินกลับ หลวงพี่ท่านก็หลบ ทีนี้ถึงบางอ้อ ว่าเงินพวกแบ็งค์เล็กๆหายไปไหน หลวงปู่เอาไปฝากแม่พระคงคาไว้นั่นเอง ใครเจอได้ไปก็เฮงๆ ส่วนแบงค์ใหญ่ๆผมจะเล่าให้ฟังทีหลัง...แหะๆ

    และต้นโพธิ์ นี้หลวงปู่บอกผมเองว่า ให้ไปไหว้ มีเทวดาอยู่ ผมก็ทำตามที่ท่านสั่ง เรื่องแบบนี้เอาแค่นี้ก่อน แค่ intro ไว้ก่อน ที่มันส์ มียิ่งกว่านี้ ผมเล่าแล้ว กลัวคนจะปรามาสน่ะ แลวจะซวยไปเอง แต่ก็ช่างเถอะ ตัวใครตัวมันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2010
  12. K_P

    K_P เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,151
    ค่าพลัง:
    +3,536
    กราบหลวงพ่อทรงที่เคารพครับ สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน

    ติดตามอ่านด้วยความเคารพครับ
     
  13. nu_wa

    nu_wa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,740
    ค่าพลัง:
    +10,698
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อทรง หลวงปู่บุญศรีครับ
     
  14. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    เมื่อคืนเว็บล่มผมกำลังเขียนมันๆเลย...แหะๆ
     
  15. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    2.jpg

    ในรูปต่อมาจะถ่ายใกล้เข้ามาจะเห็น บริเวณใต้ต้นโพธิ์ จะเป็นโพรงใหญ่ อีกหน้าน้ำ ถ้าปล่อยไว้ สงสัยจะโค่นไปอีกต้น บริเวณนี้หลังจากทำเขื่อนแล้ว หลวงปุถ้าท่านว่างๆ ท่านจะมายืน หรือ เดินแถวนี้ แถวนี้เป็นบริเวณที่มีคนเห็นท่านเดินหายไป

    รูปต่อมา จะเห็นพระกำลังกลับจากบิณทบาตร โดยท่านจอดเรือเทียบแพโบถส์น้ำ หลังเก่า เล็กกระจิ้ดเดียว หลวงปู่ท่านเอาไว้ กรานผ้ากฐิน เพราะที่วัดไม่มีโบถส์ การเดินขึ้นเดินลงลำบากมาก ดีไม่ดีหกล้มกลิ้งตกน้ำไปได้ เรียกว่าทุลักทุเลมาก โดยเฉพาะหน้าฝน
     
  16. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    3.jpg

    รูปต่อมา เป็นรูปที่กำลังเอา ต้นโพธิ์ขึ้นจากน้ำ รถตักคันนี้ผมก็ไปจ้างมา เผอิญว่าทางใต้วัดลงไปเขากำลังทำเขื่อน เจ้าของรถตักอยู่พอดี ผมเลยตกลงว่าไปดึงต้นโพธิ์ แล้วเคลีร์ยต้นไม้หน้าวัดให้หน่อย เขาก็ตกลงมาทำให้ เราก็เลยเคลีร์ยต้นไม้ เศษไม้ที่หน้าวัดหมด

    ส่วนรูปต่อมาเป็นเขื่อนเมื่อทำเสร็จผมมีรูปสีในความเห็นต่อๆไป เขื่อนที่เป็น คอนกรีตเสริมเหล็ก แต่มีเสาต้นสนเป็นไม้
     
  17. K_P

    K_P เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,151
    ค่าพลัง:
    +3,536
    กราบๆๆหลวงพ่อทรงครับ สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน
     
  18. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    IMG_0010.jpg IMG_0011.jpg

    ต้นสนที่ หลวงปู่กับผมบุกเข้าไปซื้อมา แถวป่า เชิงชายเขา เขาหลวง ทางคนตัดขนมาให้เสร็จ เสาพวกนี้ใช้ตอกยึดหน้าดิน บริเวณตลิ่ง วัดใหม่ฯ แล้วว่าเหล็กทับหัวเสา ผูกเหล็กแล้วเทคอนกรีตทับ

    กุฏิสีเหลืองคือกุฏิหลังใหม่ที่เหล่าลูกศิษย์ คุณแม่ประทุม ช่วยกันสร้างถวายหลวงปู่ ตรงที่วางเสาต้นสน เป็นบริเวณหน้าวัด ด้านติดแม่น้ำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 ธันวาคม 2010
  19. พี เสาวภา

    พี เสาวภา ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    38,014
    ค่าพลัง:
    +146,292
    IMG_0009.jpg IMG_0012.jpg IMG_0013.jpg

    IMG_0014.jpg IMG_0015.jpg IMG_0016.jpg

    ภาพที่นำมาลงให้ดูก็เป็นขั้นตอนในการเอาตอต้นโพธิ์ขึ้น และก่อสร้างเขื่อน การสร้างนี้ เจตนาแรกต้องการสร้างแค่ประทังไว้ไม่ให้เกิดการกัดเซาะตลิ่งอีก แต่มาจนพ.ศ.นี้ก็ยังทนทานอยู่ จัดว่าทำได้ดีพอสมควร

    IMG_0017.jpg

    ภาพที่ถ่ายจากอีกด้านของแม่น้ำ ให้เห็นสภาพวัดและเขื่อนที่สร้างเสร็จน่ะครับ

    มาเล่าเกล็ดเรื่องหลวงปู่ให้ฟังอีกสักหน่อย หลวงปู่ท่านจะเป็นคนนิ่งน่ะครับ แบบน้ำนิ่งไหลลึก พูดน้อย เกือบจะไม่พูดเลย เป็นผู้ฟังซ่ะเยอะ จะแทบไม่เคยฟังหลวงปู่ท่าน คุยโม้ โอ้อวดอันใด เรื่องเดียวที่ผมเคยฟังท่านเล่าสมัยมาอยู่ใหม่ ว่ามีฝีมาหลอกท่าน ท่านเล่าว่าเป็นหมาดำตัวใหญ่ แล้ววิ่งเข้าใส่ท่าน พอมาถึงตัวท่านก็หายไป

    หลวงปู่จะมีดวงตาใสๆ เหมือนเด็ก ไม่เคยมีสายตาง่วงเหงา หาวนอน และสายตานี้แม้จะเมตตา แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าสบตาท่าน เพราะดวงตานั้นเหมือนมองทะลุเข้าไปถึงในใจและล่วงรู้ความลับว่าคิดอะไรอยู่ ต้องหลบตาท่านแทบทุกคน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 ธันวาคม 2010
  20. G.sis.t

    G.sis.t เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,321
    ค่าพลัง:
    +11,307
    กราบ กราบ กราบ หลวงพ่อทรง หลวงปู่บุญศรี ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...