อยากให้คุณลองอ่านดู อาจจะเป็นคำตอบที่หลายคนสงสัย

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Jjfreeman, 26 พฤศจิกายน 2010.

  1. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    “ สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็น ย่อมแตกต่างกัน”
    ดังนั้น การจะตัดสินใจว่าสิ่งใดควรหรือไม่ ผิดหรือถูกย่อมต้องใช้หลักเหตุและผล ซึ่งทั้งนี้เหตุและผลต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ในทางกฎหมายเรียกว่า “พยานหลักฐาน” หรือ “ประจักษ์พยาน” ที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นสากล มิใช่เฉพาะเพียงคำพูดหรือการสร้างกระแสสังคมขึ้นมาเป็น “บุคคลเฉพาะกิจ” แล้วละก็เป็นสิ่งที่ควรศึกษา เนื่องเพราะเป็นข้อมูลทางวิชาการ อันสามารถเสริมสร้างปัญญาและความรู้ ในส่วนที่เรายังบกพร่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้นำเสนอข้อมูลและหลักฐานนั้น มีความชำนาญ ประสบการณ์ในแง่มุมของกฎหมาย ที่จะต้องรับรู้ถึงความฉ้อโกงของมิจฉาชีพ ทุรชน และเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ท่านจะต้อง รับรู้ข้อมูลนี้ในฐานะที่เราเป็นประชาชนอยู่ใน ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ นับจำนวนปีด้วยพระพุทธศักราชประเทศเดียวในโลก และเรามีองค์พระประมุขของชาติ คือพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ มีธงชาติที่ระบุว่าสีขาวคือพระพุทธศาสนา และเหนือสิ่งอื่นใดในฐานะที่ท่านเป็นพุทธบริษัท ใช่หรือไม่

    พันเอก โรเบิร์ต กรีน อิงเกอร์โซล ( Colonel Robert Green Ingersol ) รับราชการเป็นนายทหารเสนาธิการ เกิดในตระกูลบาทหลวงคาทอลิกที่สืบมาหลายชั่วอายุคน

    พันเอก อิงเกอร์โซล เป็นคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกผู้เคร่งครัด เป็นบุตรของบาทหลวง แห่งเมืองเดรสเดน รัฐนิวยอร์คประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาโททางกฎหมาย ทำหน้าที่เป็นอัยการของรัฐโดยดำรงตำแหน่งเป็นอธิบดีกรมอัยการของรัฐอิลินอยส์ เป็นสมาชิกสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกา ปริญญาโททางด้านปรัชญาและศาสนศาสตร์ ( ศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต)

    จากการที่ได้ทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเปรียบเทียบนี้เอง ทำให้ท่านได้ค้นคว้าหาความจริงเกี่ยวกับศาสนา ในที่สุดก็พบว่า “ ข้อความที่กล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลนิวเทสตาเม้นท์ ของคริสต์โรมันคาทอลิกที่ได้นับถือต่อเนื่องกันมานั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเท็จ มิใช่ถ้อยคำของพระเจ้า ตามที่เชื่อกันมา”

    ด้วยวิญญาณแห่งความยุติธรรม และความที่ท่านได้สัมผัสและมีความชำนาญอยู่กับข้อกฎหมาย และรู้ซึ่งถึงความฉ้อฉลกลอุบายของทุจริตชนได้เป็นอย่างดี จึงเป็นองค์ประกอบให้ท่านมองเห็นประเด็นความเท็จในคัมภีร์ไบเบิ้ล ท่านจึงค้นหาพยานหลักฐาน ความลับของคริสต์ศาสนาซึ่งได้ถูกปกปิดกันมานับพันปี เพื่อนำมาเปิดเผยให้กับชาวโลกได้รับรู้ ท่านได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานและพยานอ้างอิง เป็นหนังสือข้อมูลส่งมอบให้กับองค์การสหประชาชาติ ๒ ชุด เพื่อให้นำไปเปิดเผยพฤติกรรม และความเท็จของคัมภีร์ไบเบิ้ลต่อชาวโลกได้ทราบทั่วกัน หนังสือดังกล่าวนั้นมีชื่อว่า “ The God and Other Lecture” , “ Some Mistake of Moses” จากข้อพิสูจน์ หลักฐาน และข้อมูลของท่านเป็นที่ยอมรับของนักวิชาการ และนักศาสนศาสตร์ทั่วโลก แม้แต่นครวาติกันก็ไม่สามารถหาข้อมูลใดมาหักล้างความจริงของท่านได้

    จากผลงานเปิดตาให้ชาวโลกได้รับรู้ความจริงนี้ ทำให้ท่านมีชื่อเสียงไปทั่วโลก และเป็นนักปาฐกถาบันลือนามของโลก ซึ่งท่านได้เดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อบรรยายในมหาวิทยาลัยรวมทั้งในสถาบันวิชาการชั้นนำทั่วโลก และเนื้อหาบทวิจารณ์ที่ได้รับคำยกย่องยอมรับความถูกต้องในข้อมูลหลักฐานของ “บทวิจารณ์คัดค้านความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในของคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) และความฉ้อฉลของคัมภีร์ไบเบิ้ล” ซึ่งเป็นพยานหลักฐานแท้จริงที่พิสูจน์ได้ นับตั้งแต่มีคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) เกิดขึ้นในโลกมนุษย์

    พันเอก เฮ็นรี่ สตีล ออลคอต ( Colonel Henry Steel Olcott ) นายทหารเสนาธิการ นาวิกโยธินหน่วยรบพิเศษ ( กรีนเบเล่ย์) ของสหรัฐอเมริกา เกิดในตระกูลนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐอเมริกา

    ท่านเป็นคริสต์ศาสนิกชนโรมันคาทอลิกที่เคร่งครัดต่อคำสอนในคัมภีร์ไบเบิ้ลมานับตั้งแต่เกิด แต่เมื่อท่านได้ศึกษารายงานจากเอกสาร “มหายุทธวาทะ” ซึ่งเป็นการโต้วาทีของ “สามเณรอัจฉริยะแห่งพุทธศาสนา” กับ “มหาปิตาจารย์ของคริสต์โรมันคาทอลิก” อันมีประเทศศรีลังกาเป็นเดิมพัน ( ติดตามอ่านในภาคภาษาไทย...โดยท่าน ฐิติปญฺโญ) เป็นผลให้บาทหลวงโรมันคาทอลิกพ่ายแพ้ในหลักพระสัทธรรมคำสอนและสัจจธรรมของพระพุทธศาสนากับข้อฉ้อฉลบิดเบือนในคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสต์ศาสนา รวมทั้งพยานหลักฐานที่ชี้ชัดถึงความฉ้อฉลในคัมภีร์ไบเบิ้ล ต่อหน้าที่ประชุมของศาสนิกทั้งสองศาสนากว่าครึ่งแสนที่เข้าร่วมรับฟังการโต้วาทีครั้งนั้นโดย ” สามเณรเมโหตติวัตเตคุณานันทะ อุสังเส ( Mahottiwatte Gunnanda Unnase)” ทำให้พันเอก ออลคอต ทำการศึกษาค้นคว้าตามหลักฐานที่สามเณรน้อยแห่งศรีลังกาแสดงนั้น รวมทั้งได้เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่กล่าวถึงไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล แหล่งกำเนิดสถานศึกษาของเยซู จึงได้ทราบความเท็จ และความลับที่ไม่ยอมเปิดเผยไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ลมากมาย

    และในที่สุดจากาการค้นคว้า ศึกษาในหลักพระสัทธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดความซาบซึ้งในพระธรรม จึงลาออกจากราชการเมื่ออายุได้ ๔๓ ปี และปาวารณาตนเป็นพุทธมามกะด้วยความศรัทธา อุทิศและปฎิบัติตนเพื่อความเจริญก้าวหน้าของพระพุทธศาสนา โดยท่านได้เดินทางไปยังเกาะศรีลังกา พร้อมกับมาดาม บลาวัตสกี้ เพื่อศึกษาค้นคว้าพระอภิธรรม ทั้งภาคปริยัติและปฎิบัติ

    จากนั้นขึงได้เริ่มจัดรณรงค์ยกฐานะพระพุทธศาสนา ให้เป็นศาสนาประจำชาติของศรีลังกา โดยให้กำหนดเป็นบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ( ผิดกับประเทศไทยรัฐธรรมนูญกลับไม่ยอมบัญญัติให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ) และด้วยความเข้มแข็งและศรัทธาของชาวพุทธในประเทศศรีลังกา ในเดือนเมษายน พ.ศ.๒๕๔๓ พุทธบริษัทของศรีลังกา ได้ยื่นญัตติให้องค์การสหประชาชาติประกาศให้ “วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก” และสหประชาชาติได้ลงคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์รับรอง

    ในชั้นต้นเพื่อสะดวกในการค้นคว้าและปฏิบัติด้านอภิธรรมของชาวพุทธในศรีลังกา จึงได้ร่วมกันกับพระสงฆ์จำนวนหนึ่งก่อตั้งสมาคม “ ญานวิทยา ( Theosophical Society )” เพื่อเก็บรวมรวมเอกสาร คัมภีร์พระสูตร คัดสรรข้อมูล พร้อมทั้งพระสงฆ์นักปราชญ์นักปฏิบัติทางพุทธศาสนาด้านอภิธรรม เผยแพร่หลักปฏิบัติสมาธิจิตตั้งแต่พื้นฐาน ถึงระดับสูงสุดรวมทั้งให้ความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์และพุทธศาสนิกชน และผู้สนใจในประเทศศรีลังกา

    ภายใต้การอุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนาของ พันเอก ออลคอต ด้รับการสนับสนุนจากชาวพุทธในศรีลังกา ทั้งที่เป็นพระภิกษุสงฆ์และฆราวาสอย่างท่วมท้น จึงได้พร้อมใจกันก่อตั้ง “สมาคมญานวิทยาของชาวพุทธ ( Buddhist Theosophical Society)” โดยยึดให้ประชาชนในประเทศศรีลังกาใช้ “ศีลธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เป็นหลักธรรมประจำใจ

    ในยุคนั้นทั้งประเทศศรีลังกา มีโรงเรียนของชาวพุทธเพียงสามโรงเรียน แต่มีโรงเรียนคริสต์โรมันคาทอลิกถึงสามพันโรงเรียน แต่หลังจากได้ตั้งสมาคมญานวิทยาของชาวพุทธขึ้นแล้ว ได้มีโรงเรียนทางพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นในทันทีกว่า ๕๐ โรงเรียน และสองปีต่อมามีโรงเรียนเพิ่มขึ้นอีก ๑๗๔ โรงเรียน และในระยะเวลาเพียง ๕ ปี มีโรงเรียนพุทธศาสนาเกิดขึ้นถึง ๔๒๙ โรงเรียน ด้วยการรวมหัวใจเป็นหนึ่งเดียว และพลังแห่งศรัทธาของชาวพุทธแห่งศรีลังกา ทำให้รัฐธรรมนูญของศรีลังกา ต้องกำหนดวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นวันหยุดราชการ เช่น ใช้การหยุดวันโกนและวันพระแทนการหยุด วันเสาร์-อาทิตย์ซึ่งเป็นวันของคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) รวมทั้งออกกฎหมายท้องถิ่น ระบุในสำมะโนครัวว่า “เป็นชาวพุทธ” ( แต่ประเทศไทยกลับตัดออก เพราะอธิบดีกรมการปกครองที่เป็นคริสเตียน บอกว่าที่ในกระดาษมีเนื้อที่ไม่พอ ...)

    และสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ของ พันเอก ออลคอต คือ “สร้างธงของพุทธศาสนาแห่งประเทศศรีลังกา” ซึ่งใช้อยู่จวบปัจจุบัน

    นับว่าท่านได้ปิดยุคมืดบอด โดยการสั่งสอนอย่างฉ้อฉล ของคริสต์ศาสนาโรมันคาทอลิกในประเทศศรีลังกาไปโดยสิ้นเชิง จัดว่าเป็นบุคคลที่มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาในประเทศศรีลังกาเป็นอย่างยิ่ง

    ด้วยความสำคัญในหลักฐานของข้อมูลของนายทหารเสนาธิการ ทั้งสองท่านนี้ ซึ่งเป็นชาวต่างประเทศ อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ในการวินิจฉัย หาเหตุผล ความถูกต้อง นำไปสู่การวิเคราะห์สถานการณ์อันส่งผลเลวร้าย ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดมาและรุนแรงอย่างยิ่งในช่วงระยะปลายปี พ.ศ.๒๕๔๑ ถึงปัจจุบัน ซึ่งหากชาวพุทธตั้งมั่นอยู่ด้วยสมาธิจิต พิจารณาเหตุและปัจจัย โดยมีข้อมูลอย่างเพียงพอ ก็จะเป็นแนวทางในการป้องกันพิทักษ์รักษาสถาบันพระพุทธศาสนาอันเป็นรากฐานของวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี และหลักธรรมประจำใจในการใช้ชีวิตร่วมกันในสังคมประชาชาติไทย รวมทั้งสามารถประเมินได้เป็นอย่างดีว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อพระพุทธศาสนานั้น สาเหตุแท้จริงแล้วเกิดขึ้นโดยสาเหตุใด โดยใคร และเขาเหล่านั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร และเราซึ่งเป็นชาวพุทธจะดำเนินการอย่างไรจึงจะถูกต้อง ในฐานะจะสมควรเรียกได้เต็มปากว่าเป็นพุทธบริษัทที่สมบูรณ์

    .........................
    เอกสารองค์การสหประชาชาติ
    โดย
    พันเอก โรเบิร์ต กรีน อิงเกอร์โซล ( Colonel Robert Green Ingersol )
    ๑. ใครคือผู้สร้างพระเจ้า.....
    พวกเขาเชื่อแน่ว่า วัตถุต่าง ๆ ต้องมีผู้สร้าง จะมีเป็นขึ้นเองไม่ได้ แต่ไม่นึกว่า ท่านผู้สร้างเองเป็นขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งอื่น ๆ สิ่งที่เขาเชื่อว่าผู้สร้าง แต่ส่วนผู้สร้างเขากลับมีความคิดไปเสียว่า ท่านผู้สร้างไม่มีใครสร้างท่านขึ้นมา ย่อมเป็นขึ้นมาเอง ครั้งต่อมาการอ้างอย่างโง่ ๆ เช่นนี้ มีคนสงสัยอันเป็นข้อพิรุธมาก เขาก็หาอุบายบิดเบือนเอาดื้อ ๆ โดยเขามีความเชื่อมั่นอย่างเข้ากระดูกดำอยู่แล้วว่า ท่านผู้สร้างท่านมาอยู่ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ( ยุคก่อนที่ลิงจะกลายเป็นคน....เป็นส่วนหนึ่งที่ ทำให้มีการบัญญัติไว้ในมาตรา ๖ ของ พ.ร.บ.การศึกษาฯ พ.ศ.๒๕๔๑ ของไทย ว่า “....พัฒนาให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์” นี่คือกฎหมายฉบับโรมันคาทอลิก ใช่หรือไม่ )

    โลกและวัตถุธาตุต่าง ๆ แต่ก็น่าประหลาดที่ในเวลาโน้นมีแต่ความว่างเปล่า ท่านเอาอะไรมาเกิดเป็นรูปท่าน ท่านเอาอะไรมาเป็นฤทธิ์เป็นอำนาจ เป็นปัจจัยสำหรับมาสร้างโลก ท่านเอาอะไรมาคิดเป็นแบบสร้าง เพราะมันว่างเปล่าไม่มีอะไรมาคิด และท่านอยู่ในที่ว่างเปล่าท่านเอาอะไรมาเป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง

    ๒. ใครคือพระยะโฮวา......
    มีการกล่าวว่า พระยะโฮวา คือพระเจ้าในศาสนาคริสต์ เป็นผู้สร้างโลก สร้างสรรพสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตทั้งปวง ท่านเอาความไม่มีอะไรคือความว่างเปล่าสร้างเป็นตัวตนขึ้นมา และท่านเป็นผู้พิทักษ์รักษาโลกมาจนทุกวันนี้ ท่านเป็นผู้ตั้งอาณาจักรและทำลายอาณาจักรของโลกตามพระทัยของท่าน บางทีท่านก็ปล่อยให้มนุษย์ของท่านเป็นทาสเป็นเชลย บางทีก็ส่งความดีความชั่วมาให้สิ่งเหล่านี้แหละ เป็นเครื่องให้รู้ถึง “มหากรุณาของพระยโฮวา”
    ........................................................

    พระเจ้าสร้างภูเขาไฟสำหรับระเบิด และครอกคนที่ประพฤติดีประพฤติชั่ว บางทีก็ทำให้น้ำท่วมมาล้างผลาญชีวิตมนุษย์และสัตว์ สร้างอสุนียบาตผ่าคนดีคนชั่ว ส่งเชื้อโรคร้ายมาทำลายมนุษย์ ทำให้ข้าวยากหมากแพง เพื่อให้มนุษย์และสัตว์ได้รับความอดอยากลำบากนานาประการพระเจ้าปล่อยให้พวกทุจริตทำร้ายผู้ที่ประพฤติแต่สิ่งที่ดี โดยปล่อยให้พวกทุจริตเลวร้ายนำเอาไปทรมานประหัตประหารต่าง ๆ นานา นี่ก็เป็นเพราะ “มหากรุณาของพระยะโฮวา” ด้วย
    พระเจ้าเต็มไปด้วยใจริษยา ( ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิลภาษาอังกฤษว่า “ For I the Load thy God am a “ Jealous God ” แต่ในฉบับภาษาไทยฉบับ ๑๙๗๑ ของสมาคมพระคริสต์ธรรมไทย กลับแปลให้บิดเบือนไปเป็นข้อความว่า “เราเป็นพระเจ้าของเจ้า และเราเป็นพระเจ้าที่หวงแหน” โดยคำศัพท์คำว่า “ Jealous” แปลว่าขี้อิจฉา มีความหมายตรงกับคำว่า Envious ซึ่งแปลว่า ขี้ริษยา ดังนั้นคำว่า Jealous God จึงแปลได้อย่างเดียวว่า พระเจ้าขี้อิจฉา ไม่สามารถแปลเป็นภาษาไทยว่า “พระเจ้าผู้หวงแหน” ได้เลย และนี่คือสิ่งที่ถูกบิดเบือน

    หลังข้อมูลขององค์การสหประชาชาติของพันเอก อิงเกอร์โซล นี้ ได้ถูกเผยแพร่ออกไปให้ประชากรโลกได้รับรู้ ) ข้อพิสูจน์ในเรื่องของ “พระเจ้ามีใจริษยาไม่อยากให้ใครได้ดียิ่งไปว่าตน”

    ปรากฏเห็นเป็นพยานในคัมภีร์เยเนซิสแห่งหนึ่งความว่า ......บรรดาสัตว์ทั้งปวงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา สัตว์ที่มีความฉลาดมากเท่ากับงูเป็นไม่มี
    และงูนี้ได้พูดกับนางอีวา ซึ่งเป็นบุรพสตรีของมนุษย์ว่า : จริงอยู่ละหรือที่พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้กินผลไม้ ซึ่งมีอยู่ในสวนอุทยานนี้
    นางอีวาจึงตอบงูว่า พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้เลือกกินผลไม้ที่มีในสวนนี้ตามใจชอบ เว้นแต่ผลไม้ซึ่งมีอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งในท่ามกลางสวนนั้น พระองค์ทรงห้ามกำชับไว้ว่า ถ้าไปถูกต้องหรือกินผลไม้จากต้นนั้นแล้ว ก็จะถึงแก่ความตาย
    ฝ่ายงูก็ตอบว่า หาใช่เช่นนั้นไม่ ถ้าท่านกินผลไม้ต้นนั้น ท่านหาจักต้องตายลงไปไม่ การที่พระเจ้าทรงห้ามก็เพราะทรงวิตกไปว่า ถ้าท่านกินผลไม้นั้นแล้ว ตามหูของท่านก็จะสว่างเกิดสติปัญญา รู้เท่าเทียมพระเจ้า
    เมื่อนางอีวาได้ยินงูพูดดังนี้ จึงมาคิดว่า ผลไม้ที่พระเจ้าห้ามนั้นมีรูปพรรณสัณฐานน่ากิน และถ้ากินเข้าไปแล้วคงมีสติปัญญาเทียบเท่าพระเจ้าตามที่งูบอกเป็นแน่แท้ จึงได้กินผลไม้นั้น และแบ่งให้อาดัมผู้เป็นสามีกินด้วย
    เมื่อพระเจ้ารู้เรื่องเข้าจึงกล่าวด้วยความโกรธดังนี้ : บัดนี้มนุษย์ที่เราสร้างมา ได้กินผลไม้ที่มีนามว่า “ต้นไม้แห่งชีวิต ( Tree of Life )” อาจจะทำให้ผู้ที่กินเกิดสติปัญญา และจะมีความสามารถเป็นพระเจ้าได้อย่างเรา ถ้าขืนปล่อยปละละเลยให้กินมากกว่านี้ความลำบากก็จะเกิดขึ้นแก่เราเป็นแน่แท้
    ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงได้ขับไล่อาดัมและอีวา พร้อมกับสาปให้ได้รับทุกข์ต่าง ๆ ด้วยแล้วจึงสั่งให้ชาวรามีนผู้มีกระบี่ไฟเป็นอาวุธเฝ้ารักษาต้นไม้นั้น เพื่อมิให้ผู้ใดมากเข้าใกล้ผลไม้วิเศษนั้นได้อีกต่อไป”
    ………………………………………………………
    ตามเรื่องราวที่ยกมานี้ ปรากฏได้ชัดว่า ปีศาจหรืองูนั้นได้พูดถูกต้องทุกประการเพราะเมื่อหลังจากที่อาดัมและอีวา ได้กินผลไม้นั้นแล้วก็หาได้ตายหรือเป็นอะไรตามที่พระเจ้าขู่ด้วยความเท็จไว้นั้นไม่ แต่ตรงกันข้ามกลับทำให้เกิดสติปัญญารู้ผิดถูก รู้ผิดชอบชั่วดี สิ่งที่ควรไม่ควร
    ………………………………..
    อีกประการหนึ่ง ทำให้เห็นได้ว่า พระเจ้าเป็นผู้มีใจริษยา หวงปัญญา วิชาความรู้ ถ้าเรื่องในคัมภีร์เยเนซิส ซึ่งอยูในไบเบิล เป็นเรื่องจริง จะไม่ให้เราต้องคิดถึงบุญคุณความดีของงูหรืออย่างไร เพราะมันเป็นผู้ที่บอกทางให้มนุษย์เราได้มีปัญญา มีความฉลาด และถ้าหากบรรพบุรุษของมนุษย์ไม่ได้กินผลไม้ที่พระเจ้าโกหกห้ามไว้แล้วนั้น พวกเราที่คัมภีร์อ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากอาดัมและอีวา มิต้องมีความโง่เง่าไม่ผิดกับพวกสัตว์เดียรฉานหรอกหรือ
    ………………………………….
    ในเรื่องราวของคริสต์ศาสนา ( โรมันคาทอลิก) แห่งหนึ่งกล่าวว่า สมัยหนึ่งพระเจ้าได้บันดาล ให้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมทำลายชีวิตมนุษย์และสัตว์มากมายเหลือคณานับตายวินาศเสียทั่วโลก เว้นไว้แต่มนุษย์ ๘ คนเท่านั้น มนุษย์นอกจากนั้นทั้งคนแก่ คนหนุ่มทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถูกพระเจ้าบันดาลให้อุทกภัยทำลายเสียสิ้น แต่ไม่มีใครติเตียนว่าพระเจ้าดุร้าย ถ้าปีศาจมันทำดั่งนี้ขึ้นบ้าง ความชั่วก็จะติดมันไปอย่างไม่รู้หาย
    …………………………………….

    อีกครั้งหนึ่ง ปิตาจารย์ผู้แทนพระเจ้าองค์หนึ่งได้จับกษัตริย์องค์หนึ่งมาสับเป็นท่อน ๆ ต่อหน้าฝูงชนเพื่อบูชาพระเจ้า เจ้าความดุร้ายชนิดนี้ ควรเป็นการกระทำของปีศาจหรือพระเจ้า ที่มีพฤติกรรมโหดร้ายต่อมวลมนุษย์เช่นนี้
    ……………………………..

    ครั้งหนึ่ง พระยะโฮวา ได้ประทานกฏให้พวกของท่านคือ ชาติยิว ในการเข้ารบข้าศึกว่า “ เมื่อสูเจ้าเข้าใกล้เขตของประเทศที่จะปราบปรามแล้ว อย่าเพิ่งเข้าตีก่อน สูเจ้าควรเกลี้ยกล่อมให้เขาอ่อนน้อม ถ้าเขายอมตามสูเจ้าอย่าทำอันตรายเขา เป็นแต่เอาพวกนี้มาเป็นเชลย สำหรับใช้สอยเป็นเมืองขึ้น ถ้าหากว่ามันยังขัดแข็งขืนไม่ยอมอ่อนน้อมแล้ว ก็จงยกทัพเข้าตีเมืองนั้นให้แตกเถิด และตัวเราคือพระเจ้าจะเข้าช่วยเหลือเจ้าให้ศัตรูพินาศไป และสูเจ้าจงประหารพลเมืองที่เป็นชายด้วยดาบของเจ้า ส่วนพลเมืองที่เป็นสตรีและลูกเล็กเด็กน้อย และสัตว์ต่าง ๆ หรือสิ่งของต่าง ๆ หรือทรัพย์สมบัติที่มีในเมืองที่ตีได้นั้น สูเจ้าจงยึดถือเอาเป็นของเจ้าเถิด เพราะพระเจ้าย่อมประทานให้เจ้าทั้งสิ้น

    ขอให้ท่านทั้งหลายจงตรองดูด้วยปัญญา ว่า คำสั่งสอนเช่นนี้มันจะไม่ร้ายกาจอีกหรือจะเชื่อได้หรือว่า “พระเจ้าเที่ยงแท้ ซึ่งจะเป็นเจ้าโลกจะสั่งสอนดังนี้ นอกจากจะเป็นคำสั่งสอนของอัครมหาปีศาจเท่านั้น”
    เมื่อพระเจ้าสั่งสอนดังนี้ ยังจะมาบังคับให้เรายอมรับนับถือท่านได้อย่างไร จะให้นั่งคุกเข่าสวดอ้อนวอน และร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าว่า ท่านมีน้ำพระทัยโอบอ้อมอารี และมีความเมตตาแก่สัตว์ทั่วไป มีพระทัยเป็นหลักแห่งความยุติธรรมของโลกดังนี้จะได้หรือ
    และถ้าใครไม่กระทำตามคือไม่เป็นการโกหกพกลมยกยอในเกียรติคุณที่ไม่มีในตัวพระเจ้า ก็จะต้องถูกพระเจ้าสาปลงโทษให้ได้รับทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส ครั้นเมื่อเราตายไปพระเจ้าองค์นี้ก็ยังไม่หายอาฆาตแค้น ตามอาฆาตจองเวร ยังจะเอาวิญญาณของเราไปทรมานในนรกอีก
    ………………………………
    ศาสนาคริสต์ จะละทิ้งไม่ให้พระเจ้าช่วยไม่ได้ เพราะละทิ้งข้อนี้เสียแล้ว ก็เท่ากับล้มละลายศาสนาคริสต์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้น ศาสนาคริสต์จึงจำเป็นต้องอ้างอยู่เสมอว่า “การอ้อนวอนเพราะ พระเจ้าท่านเป็นใหญ่กว่ามนุษย์ธรรมดา ท่านยังประคองความชอบแก่ผู้ที่ยังมีศรัทธาเชื่อมันในพระเจ้าอยู่ดังนี้หรือ”
    ………………………….

    ๓. ไบเบิล” คัมภีร์แห่งความเท็จ
    หัวใจของคริสต์ศาสนา ที่สำคัญคือ คัมภีร์เก่า ( Old Testament ) ซึ่งกล่าวถึงพระเจ้าสร้างโลก และทรงบัญญัติวินัยต่าง ๆ จนถึงเยซูเกิด ถ้าคัมภีร์เก่าหรือที่เรียกว่า “โอลด์เทสตาเม้นท์” มีเรื่องราวไม่จริง มีข้อพิรุจ มีข้อเท็จที่คลุมไว้ด้วยความจริงส่วนน้อย หลักของคริสต์ศาสนาก็เป็นอันใช้ไม่ได้

    คัมภีร์เก่าเข้าใจผิดในการที่กล่าวถึงอายุของโลกว่า พระเจ้าสร้างขึ้น ๖ วัน เมื่อหกพันปีมาแล้ว ข้อนี้ไม่จริงและเป็นไปไม่ได้ หมอสอนศาสนา ( บาทหลวง) เมื่อถูกคัดค้านในข้อนี้เข้าก็ไถลไถเถคิดหาอุบายแก้ไขไปว่า ที่คัมภีร์กล่าวว่า ๖ วัน ไม่ใช่วันอย่างที่เราเข้าใจกันหรอก ความหมายของพระเจ้านั้น วันก็คือปางหรือสมัย ๖ วัน ก็คือ ๖ ปาง หรือ ๖ สมัยเพราะฉะนั้น โลกเราอาจจะสร้างมานานหลายโกฎิก็เป็นไปได้
    ………………………………………………………

    ข้อแก้ตัวที่เปลี่ยนให้คำว่า “วัน” เป็นคำว่า “ปาง” ทำให้พวกที่นับถือศาสนาคริสต์ฮึกเหิมกระหยิ่มยิ้มย่องในใจว่าตนได้มีชัยชนะเหนือพวกนอกศาสนา ความจริงเขาลืมนึกไปถึงเรื่องพระยะโฮวาได้บัญญัติให้ชาติยิวถือ “วันสะปาโด” เป็นวันหยุดพัก โดยอ้างเหตุผลว่า พระเจ้าได้สร้างดินฟ้าอากาศแล้ว ๖ วัน และวันรุ่งขึ้นเป็นวันที่ ๗ พระองค์ได้หยุดพัก
    เพราะฉะนั้น วันที่ ๗ เป็นวันที่มี ๒๔ ชั่วโมง หรือว่าเป็น “ปาง” เป็น “ยุค” กันแน่
    หากว่าเป็นยุค ชาวยิวก็คงหยุดพักกันในวันสะปาโดตลอดศตวรรษเป็นแน่ ไม่ใช่เพียงวันเดียวซึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง
    และนี่คือความเท็จที่เห็นได้จากการบิดเบือน โดยหมอสอนศาสนาในยุคหลัง
    ยังมีข้อสงสัยอันเป็นปัญหาอีกข้อหนึ่ง คือมนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างเป็นเวลาช้านานเท่าใด มีอายุเท่าไรถึงตาย
    …………………………………………
    ในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “มนุษย์คนแรกที่พระเจ้าสร้างคือ อาดัม นับแต่วันที่สร้างอาดัมมาจนถึงวันสมภพ ของเยซูนับได้เป็นเวลา ๔,๐๐๔ ปี เพราะฉะนั้นนับตั้งแต่พระเจ้าได้เริ่มสร้างมนุษย์คนแรกนับได้จนถึงบัดนี้ ( พ.ศ.๒๕๕๐ ) คิดเป็นเวลา ๖,๐๗๓ ปี ถ้าหากไม่ใช่เป็นปีแล้ว จะนับเป็นอะไรเล่า หากนับเป็น “ปาง” หรือ “ยุค” ก็ต้องคูณด้วย ๓๖๕ วัน จะได้ผลลัพธ์เป็น ๒,๒๑๖,๖๔๕ ปางหรือยุคแล้ว “ยุค” หนึ่งที่ว่านั้นมีกี่ปีมนุษย์ ตรงนี้น่าเชื่อได้ไหม.....
    ……………………………….

    นักวิทยาศาสตร์เขาแบ่งอายุโลกออกเป็นปางหรือเป็นสมัย ในสมัยหนึ่งก็จะมีสิ่งมีชีวิตและสรรพสิ่งทั้งปวงไปอย่างหนึ่งแตกต่างกันไปตามยุคตามสมัย
    เช่น ในเกาะประเทศอังกฤษเคยมีสัตว์ใหญ่ เช่น แรด แต่มาบัดนี้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ที่อ้างเช่นนี้เพราะพบซากฟอสซิลสัตว์ดังกล่าวในเกาะอังกฤษ นักวิทยาศาสตร์เขาคำนวณดูแล้วว่า สัตว์เหล่านี้ได้สูญพันธุ์ไปตั้งหลายพันปี แล้ว
    บางทีในถ้ำต่าง ๆ เขาเคยพบเครื่องมือเครื่องใช้สอยของมนุษย์ยุคหิน เป็นต้นว่าเครื่องอาวุธที่ทำด้วยหินเหล็กไฟ พร้อมกับโครงกระดูกของสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วเมื่อหลายพันปีจึงเป็นที่เข้าใจว่าโลกได้เกิดมีมนุษย์มีสัตว์ดังกล่าวแล้ว
    ………………………………..

    ใครคือโจเซฟในศาสนาคริสต์
    ...............๕๔๓ ปี หลังพระพุทธเจ้าบรมศาสดาแห่งพระพุทธศาสนาทรงปรินิพาน ศาสนาคริสต์จึงได้ถือกำเนิดขึ้นบนพื้นพิภพนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในชมพูทวีป อันหมายรวมประเทศทั้งหลายในย่านอินเดียไปจนจดลุ่มน้ำไทกริส ยูเฟติส นั้น ยังไม่ปรากฏว่ามีศาสนาใดในยุคนั้นได้รับความศรัทธาจากมหาชนเท่ากับพระพุทธศาสนา แม้แต่ศาสนาพราหมณ์ที่เกิดขึ้นก่อนพุทธศาสนา ก็ยุคนั้นก็ไม่มีการบันทึกคำสอนใดเป็นหลักฐาน ยังคงมีการบอกต่อกันด้วยปาก ( มุขปาฐะ) ทั้งสิ้น และสั่งสอนกันเฉพาะภายในตระกูลของพราหมณ์ มิได้แพร่หลายออกนอกโคตรตระกูลของตน คงมีแต่พระพุทธศาสนาเท่านั้นที่แพร่หลาย ไร้วรรณะ เป็นศาสนาแรกของโลกที่ให้กำเนิดคำว่า “ สิทธิมนุษยชน ”

    ..........๔๙๓ ปีก่อนมีคริสต์ศาสนาเกิดขึ้นบนโลก โสเครติส ผู้แรกหนุ่มได้เดินทางมาศึกษายังตักกะศิลา ในอินเดียตอนเหนือ และได้ปาวารณาตนเป็นอุบาสกในพุทธศาสนา ปฏิบัติทางสมาธิจิตจากพระอรหันต์ จากนั้นได้เดินทางกลับไปยังประเทศกรีก ( Jonia) ตั้งสำนักสอนวิชาการ และสำนักปฎิบัติธรรม ได้เข้ารับราชการ มีตำแหน่งเป็นอาจารย์สอนวิชาการ และหลักธรรมอันลึกซึ้งในพระพุทธศาสนาให้กับ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ ( Alexander The Great ) ทำให้ต่อมาได้กรีฑาทัพมายังชมพูทวีป เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนาด้านพระอภิธรรมกับพระอริยบุคคลตามที่ได้รับการแนะนำจากโสเครติส (จึงไม่ปรากฏการรบในการกรีฑาทัพครั้งนี้ แม้จะมีการเสนอให้เข้าตีชมพูทวีปจากแม่ทัพบางคนก็ตาม) ทรงสิ้นพระชนม์เสียก่อนที่จะได้ศึกษา ส่วนพระสหายสนิทและแม่ทัพนายกองที่ติดตามมาเพื่อศึกษาธรรมะเช่นเดียวกันนั้น ยังมั่นในเจตนาเดิม จึงไม่เดินทางกลับไปยังประเทศกรีกโดยต่างปาวารณาตัวเป็นอุบาสก นับถือพุทธศาสนา บ้างก็ออกบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ศึกษาในนาลันทา แล้วนำพุทธศาสนากลับไปเผยแผ่ในประเทศของตน จนมีวัดพุทธศาสนาเกิดขึ้นมากมายในแคว้นต่าง ๆ อันขึ้นตรงกับกรีก ทำให้พุทธศาสนาได้แพร่หลายนิกาย กระจายไปทั่วตะวันออกกลาง

    ............ ก่อนคริสต์ศาสนาถือกำเนิดขึ้นในโลกมนุษย์ ๒๔๓ ปี เมื่อ อโศกัน อีดิคส์ (Asokan Edivts) (ชาวพุทธเรียกว่า พระเจ้าอโศกมหาราช.....ผู้เรียบเรียง) กล่าวว่า หลังจากได้ทำสังคายนาหลักธรรมของพระพุทธศาสนา โดยมีพระโมคคัลลีบุตรเถรเจ้าเป็นประธานสำเร็จลงแล้ว ก็ทรงส่งพระสมณะทูตเผยแพร่ศาสนาได้เดินทางไปประกาศศาสนา ถึงอาณาจักรของพระเจ้าแอนติโอคอสที่ ๒ ( Aniochos II ) ประเทศซีเรียปัจจุบัน, ฟิลาเดปัส-ปาโตเลมี ( Piladepus – Ptolemy ) แห่งอียิปต์ , อันติโกสัส โกนาตัส แห่งเมสิโดเนีย ( Antigonus Gonatus of Mesidonia) และมากัสแห่งไซรีน ( Magas of Cyene )

    การเผยแพร่พระพุทธศาสนาในครั้งนั้น ทำให้ชาวกรีกและชาวยุโรป เดินทางมาบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลายองค์ สำหรับที่ชาวโลกรู้จักกันดีที่สุดคือ พระโยนะธรรมรักขิตะ ทั้งนี้เพราะท่าน ได้มีงานเขียนด้านพุทธศาสตร์ไว้หลายภาษาเช่น ภาษาสันสกฤต ภาษามคธ ภาษาคฤณ รวมทั้งท่านผู้นี้ได้แปลพระสูตรมากมายเป็นภาษากรีก จึงทำให้หลักธรรมของพุทธศาสนาได้ถูกปริวัติเป็น “ระบอบประชาธิปไตย” และพุทธศาสนิกได้กระจายออกไปทั่วตะวันออกกลาง แยกกลุ่มนำธรรมะออกไปปฎิบัติตามความถนัดและความเหมาะสมของพื้นที่ของตนทำให้เกิดเป็นศาสนา แอสเซเนส ( Essenes) ซึ่งนิกายนี้จะแยกตัวออกไปอยู่ตามป่า หรือที่วิเวก เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ และฝึกสมาธิจิตตามหลักในพระไตรปิฎกเช่นเดียวกัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในยุคนั้นพระพุทธวัจนะ ได้เผยแพร่และปริวัติไปทั่วชมพูทวีปตะวันออกกลางอย่างทั่วถึงและต่อเนื่องรวมทั้งยังเข้าถึงชนทุกเผ่า และทุกชนชั้น

    พระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา จาริกเผยแพร่ธรรมและออกปฏิบัติจิตสั่งสอนศิษย์ในท้องถิ่นทะเลทรายอันกว้างใหญ่ไพศาล พระอริยบุคคลหลายท่านได้เขียนคัมภีร์บรรจุไว้ตามถ้ำซึ่งเป็นที่ประพฤติปฎิบัติของท่านมากมายหลายพันแห่ง ทั่วดินแดนแถบนี้จึงไม่มีศาสนาอื่นใดทั้งสิ้นยิ่งใหญ่และมีผู้เลื่อมใสศรัทธาเท่ากับพระพุทธศาสนา ในยุคนั้นมีการสร้างวิหารโดยเจาะสร้างเข้าไปในภูเขาหินสีชมพู อันลึกลับเงียบสงบ เพื่อถวายให้พระนิกายแอสเซเนส อยู่ในประเทศจอแดน ( ปัจจุบันเป็นสถานที่ท่องเที่ยว )

    ได้มีผู้สงสัยกันอยู่เสมอมาตลอดเกือบ ๒๐๐๐ ปี ถึงประวัติการเกิดของเยซูคริสต์ ชีวิตในวัยเด็ก และการเรียนการศึกษาที่ได้รับมานั้น มาจากสำนักใด และหลักธรรมที่เยซูได้นำมาสั่งสอนนั้นเป็นของศาสนาใด

    ........การที่จะสามารถสืบค้นพิสูจน์ถึงข้อมูล ต้นตอดังกล่าวให้ได้อย่างถูกต้องแน่ชัด และประกอบด้วยพยานหลักฐานและเหตุผลอันพอเพียง ที่สามารถยืนยันและเชื่อถือได้ ก่อนอื่นเราลองมาพิจารณาคำสอนที่ปรากฏในคัมภีร์ของคริสต์เตียนเองเลย เพื่อมิให้เป็นข้อกังขา แก่บุคคลที่ต้องการค้นคว้า

    แม้หากว่าผู้นั้นจะเป็นชาวคริสต์เตียนผู้ใฝ่หาในความรู้ และประกอบไปด้วยดวงจิตอันเต็มไปด้วยความยุติธรรม จึงโปรดพิจารณาข้อความทั้งหลายอันปรากฏด้วยความพิจารณา

    ............ในคัมภีร์โบราณแห่งวินัย โดยคริสเตียนเซ้นท์ ชื่อ “เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei ) หรืออีก ชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ “เบอร์ลัม ( Burlam )” มีว่า “...........หลายศตวรรษนานมาแล้ว มีดินแดนที่รุ่งเรืองแห่งหนึ่ง เรียกว่า “ศรีอินเดีย ( Serindia)” ซึ่งได้ถูกปกครองโดยพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า “อะวีเนีย ( Avenir)” พระราชโอรสของพระองค์ทรงพระนามว่า “โจอาซาฟ ( Joasaphat)” เป็นผู้มีคุณลักษณะอันประเสริฐประจำพระองค์หลายประการ ซึ่งเป็นเครื่องหมายอันแสดงถึงการพัฒนาอำนาจจิตที่สูงส่ง พระราชาได้ให้บรรดานักบวชและโหราจารย์ทั้งหลายมาทำนายว่า เจ้าชายโจอาซาฟผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีอำนาจอย่างยิ่งใหญ่มากกว่าบรรพบุรุษทั้งหลายของพระองค์ แต่มีโหราจารย์ผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ได้เรียนวิชาโหราศาสตร์เชี่ยวชาญกว่าผู้อื่น ได้ทำนายว่า “เจ้าชายโจอาซาฟจะได้เป็นพระราชาแห่งอาณาจักรทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่าใคร ๆ โดยไม่มีขอบเขตจำกัด”

    ............พระราชาอะวีเนีย ได้สร้างพระราชวังที่สวยสง่างามขึ้นแห่งหนึ่งสำหรับเจ้าชายโจอาซาฟและได้ว่าจ้างชายหนุ่มและสาวใช้รูปร่าง หน้าตางดงามหลายร้อยคน ให้อยู่ร่วมกับเจ้าชายในพระราชวังแห่งนี้ โดยห้ามมิให้บุคคลผู้ใดจากภายนอก เข้าไปในพระราชวัง และห้ามมิให้มีการเอ่ยถึงถ้อยคำที่เศร้าโศกเกี่ยวกับความตาย ฯลฯ ให้เจ้าชายโจอาซาฟ ได้ยินเด็ดขาด พระราชาย่อมสั่งให้เขาเหล่านั้นพูดแต่สิ่งที่เกี่ยวกับความสนุกสนานสำราญเบิกบานใจเท่านั้น ........โดยการอาศัยอยู่ในพระราชวังแห่งนั้น เจ้าชายได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในศิลปวิทยาการทั้งหลายของอินเดีย และอาหรับ

    เมื่อย่างเข้าสู่วัยหนุ่ม เจ้าชายอาซาฟได้ตรัสถามผู้รับใช้ทั้งหลายของพระองค์ว่า ทำไมพระราชบิดาของพระองค์จึงจำกัดให้พระองค์อยู่แต่ในเฉพาะแต่ในเขตพระราชวังเท่านั้น พวกมหาดเล็กทั้งหลายจึงได้กราบทูลเรื่องที่โหราจารย์ทำนายไว้ให้เจ้าชายโจอาซาฟได้ทรงทราบ

    .............หลังจากนั้นในโอกาสหนึ่งเจ้าชายโจอาซาฟจึงได้ทูลถามพระราชบิดาของพระองค์ว่า ทำไมพระองค์จึงถูกจำกัดให้อยู่แต่ในพระราชวัง

    พระราชาจึงตอบเจ้าชายโจอาซาฟว่า พระองค์ทำเช่นนั้นก็เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าชายจะต้องพบกับความทุกข์

    เจ้าชายจึงกราบทูลถามพระราชบิดาว่า ตัวทุกข์นั้นหน้าตาเป็นอย่างไร

    พระราชาก็ไม่อาจที่จะอธิบายเปรียบเทียบลักษณะตัวทุกข์กับสิ่งที่เจ้าชายเห็นเฉพาะในปราสาทได้

    เจ้าชายโจอาซาฟจึงกราบทูลขออนุญาตขอออกไปท่องเที่ยวชมภูมิประเทศข้างนอกปราสาทของพระองค์ พระราชาทรงอนุญาตและจัดเตรียมการทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางให้พร้อมนั้นได้ทรงสั่งการให้มหาดเล็ก ทั้งหลายให้พาเจ้าชายไปในสถานที่ซึ่งมีแต่ความเจริญตาเจริญใจเท่านั้น ห้ามไม่ให้พาไปให้เห็นกับสิ่งที่เลวร้ายทั้งหลาย

    .............วันหนึ่งขณะที่เจ้าชายโจอาซาฟกำลงนั่งรถม้าผ่านไปตามถนน พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นคนป่วยเป็นโรคผิวหนังที่กำลังทนทุกข์ทรมานอยู่ และวันต่อมาพระองค์ก็ได้พบเห็นชายตาบอดคนหนึ่ง พระองค์จึงได้ถามสารถีของพระองค์ว่า “คนพวกนั้นเป็นใคร เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเราหรือไม่ ...” มหาดเล็กทั้งหลายต่างรู้ดีว่า ไม่สามารถปิดบังสิ่งที่เจ้าชายได้พบนั้นเป็นความลับได้อีกต่อไป จึงได้กราบทูลความจริงทั้งหมดให้เจ้าชายได้ทรงทราบ เจ้าชายจึงถามว่า “ทุกคนต้องเผชิญหน้ากับธรรมชาติอย่างคนเหล่านั้นใช่หรือไม่...”

    “คนจำนวนมากผู้ซึ่งปล่อยตัวตามใจตนเองให้ตกอยู่ในความพึงพอใจทางกาม จะต้องประสบกับความเจ็บป่วยอย่างนั้น” มหาดเล็กคนหนึ่งกราบทูล
    เจ้าชายจึงถามต่อไปว่า “เมื่อไรพวกมหาดเล็กทั้งหลายจึงจะเผชิญหน้ากับความหายนะนี้”
    มหาดเล็กทั้งหลายจึงกราบทูลว่า “พวกกระหม่อมฉันไม่สามารถคาดเดา หรือพยากรณ์ได้ว่าเมื่อไรพระเจ้าข้า”
    เจ้าชายโจอาซาฟจึงไม่ถามต่อไป ทรงนิ่งเฉยจิตดิ่งลงสู่มหาสมุทรแห่งความคิดคำนึง

    ...............อีกครั้งหนึ่งเจ้าชายโจอาซาฟ ได้ออกท่องเที่ยวในเมืองได้พบเห็นชายแก่หลังโกงใบหน้าเหี่ยวย่น เนื้อหนังของเขาเป็นริ้วรอยไม่มีฟันเหลืออยู่แม้ซี่เดียว เจ้าชายโจอาซาฟสงสัยจึงได้ถามพวกมหาดเล็กว่า นี่คือมนุษย์ชนิดใด
    “เขาเป็นคนแก่คนหนึ่ง” มหาดเล็กตอบ
    เจ้าชายจึงถามต่อไปว่า เมื่อเวลาผ่านไปจะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
    พวกมหาดเล็กจึงตอบว่า “ต่อจากนี้เขาก็จะต้องตาย”
    ............“สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับทุก ๆ คน หรือว่าเกิดขึ้นกับมนุษย์บางคนเท่านั้น” เจ้าชายถาม
    พวกมหาดเล็กตอบว่า วันใดวันหนึ่งก็ต้องเกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคน
    “เราสามารถกำจัดเหตุการณ์อย่างนี้ให้หมดไปได้หรือไม่” เจ้าชายถาม
    “เป็นไปไม่ได้” นี้คือคำตอบของมหาดเล็กทั้งหลาย
    ทำให้เจ้าชายโจอาซาฟรู้สึกเศร้าใจมากสำหรับคำตอบนี้ จึงได้เสด็จกลับไปยังพระราชวังอย่างเงียบเหงา และได้เริ่มคิดถึงความตายและจุดหมายปลายทางหลังความตาย

    ......... เจ้าชายโจอาซาฟได้ตรัสถามครูผู้สอนของพระองค์ในพระราชวังว่า “มีใครรู้บ้างไหมว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายหลังความตาย”

    ครูต่างตอบว่า ผู้ซึ่งมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งนี้ได้ถูกพระบิดาของพระองค์ทรงขับไล่ออกไปจากเมืองหมดแล้ว

    เจ้าชายโจอาซาฟจึงกลายเป็นผู้ที่กระวนกระวายใจไม่มีความสุขเพราะคำตอบนี้ พระองค์ได้เข้าใจแล้ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากทั้งหลายและพระองค์กลายเป็นผู้ที่ถูกครอบครองด้วยความทุกข์ระทมใจ

    ...............ด้วยความเมตตาสงสารของเทวดา จึงให้นักบวชผู้หนึ่งมาหาเจ้าชายโจอาซาฟ นักบวชผู้นี้เป็นผู้ที่มีบุญคุณยิ่งใหญ่ อาศัยอยู่ในอุทยานแห่งหนึ่งในศรีอินเดีย เขามีชื่อว่า “วาร์ลัม ( Varlam)” ซึ่งใช้ชีวิตในลักษณะของพ่อค้า เขาได้มาถึงศรีอินเดียโดยทางเรือและได้บอกกับมหาดเล็กของพระราชาว่า เขามีอัญมณีซึ่งมีฤทธิ์ที่สามารถจะรักษาคนตาบอด หูหนวก และเป็นใบ้ให้หายได้ เขาอยากจะมอบให้กับเจ้าชายโจอาซาฟเป็นการส่วนพระองค์ เขาได้ทำให้พระราชาพอพระทัย ดังนั้นจึงได้รับพระราชานุญาตให้ได้เข้าเฝ้าเจ้าชายโจอาซาฟได้
    เมื่อ “นักบวชวาร์ลัม” ได้เข้าพบเจ้าชายเขาได้บรรยายให้เจ้าชายฟัง ทุก ๆ ครั้ง และบ่อยขึ้น จนกระทั่งเจ้าชายโจอาซาฟเกิดความมั่นใจในพระองค์เอง วันหนึ่งเจ้าชายกล่าวว่า พระองค์จะเสด็จไปที่ป่าแห่งหนึ่งที่พระองค์ได้เคยไปมาก่อนแล้ว

    ............เจ้าชายโจอาซาฟจึงได้เสด็จหนีออกจากพระราชวังไป พร้อมกับนักบวชผู้นั้น โดยได้ขอแลกเปลี่ยนเครื่องทรงของพระองค์กับเครื่องนุ่งห่มกับนักบวชนั้น แล้วพระองค์ก็ได้แต่งกายด้วยเครื่องนุ่งห่มของนักบวชนั้นซึ่งได้จากพระองค์ไป

    .............วันหนึ่งขณะที่เจ้าชายโจอาซาฟกำลังทำสมาธิอยู่อย่างติดต่อกันนั้น พระองค์ได้มองเห็นสวรรค์ในสมาธิ พระองค์ได้ยินเสียงกล่าวว่า “ ที่นั้นเป็นสถานที่สำหรับผู้ที่มีคุณงามความดีอาศัย”

    .....สี่สิบวันหลังจากที่เจ้าชายโจอาซาฟ หนีออกจากพระราชวัง พระราชาอะวีเนียก็สิ้นพระชนม์ เจ้าชายโจอาซาฟได้ทราบข่าวก็ทรงเสด็จกลับมาภายใต้เครื่องนุ่งห่มของนักบวช และได้ทำหนังสือมอบอำนาจ ยกราชสมบัติและราชบัลลังก์ให้อยู่ในความดูแลเหล่าอำมาตย์ของพระองค์
    .....เจ้าชายโจอาซาฟได้สละโลก และสมบัติโดยสิ้นเชิงโดยการออกบวชแล้ว ขณะที่อยู่ในป่า พระองค์ได้ทรงได้ใช้เวลาไปในการทรมานตนด้วยความทุกข์ ( อาจแปลได้ว่า “ทุกรกิริยา”...(ผู้เรียบเรียง) ) จนกระทั่งพลังจิตของพระองค์ได้สูงขึ้น พระองค์ได้เห็นภาพนิมิตอันแปลกประหลาดมหัศจรรย์ในระยะช่วงเวลาดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน
    ..... เจ้าชายโจอาซาฟได้ขึ้นไปท่องเที่ยวยังเมืองสวรรค์ที่พระองค์ทรงเห็นมาก่อนนิมิตในสมาธิ เทพธิดาสององค์ ได้ถวายพวงมาลัยที่ทรงคุณค่าสองพวงให้กับพระองค์ เจ้าชายโจอาซาฟถามว่านี้คืออะไร เทพธิดาทั้งสองจึงตอบว่า พวงมาลัยนี้เป็นของเฉพาะสำหรับพระองค์เท่านั้น “พวงหนึ่งสำหรับปลดปล่อยสัตว์ทั้งหลายให้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง อีกพวงหนึ่งสำหรับท่านเพื่อบรรลุหนทางอันนำไปสู่การสละความสุขทางโลกเพื่อบรรลุถึงภาวะสูงสุดเหนือโลก” เทพธิดาทั้งสองกล่าว...”

    .....ข้อความดังกล่าวที่ยกมาให้ได้ศึกษานี้ได้นำมาจากคัมภีร์โบราณแห่งวินัย โดย คริสเตียนเซ้นท์ ชื่อว่า “เจตสิก มิเนอิ ( Cheixi Minei)” หรืออีกชื่อหนึ่งเรียกว่า คัมภีร์ “เบอร์ลัม ( Burlam)” : ซึ่งได้กล่าวถึงประวัติของ โจอาซาฟ ( Joasaphat) หรือ โจซาฟัต ( Josahat)
    ในคัมภีร์นี้มีบทมนต์ที่ใช้เจ้าชายท่องภาวนาว่า “ขอให้จิต ( Soul ) ของเราจงหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย”

    ........เมื่อท่านได้อ่านอย่างพิจารณาแล้วคงมีความสงสัยเช่นกันว่า ศาสนิกคริสเตียนในยุคโบราณซึ่งผู้ที่เขียนจารึกไว้ในคัมภีร์นี้เป็นใคร แต่ย่อมต้องไม่มีจิตใจที่ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด และเขาผู้จารึกคัมภีร์นี้ย่อมรู้อยู่ว่าพวกเขาสวดมนต์ถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    และเจ้าชายโจอาซาฟที่กล่าวถึงในคัมภีร์นั้นหากพิจารณาด้วยความยุติธรรม ......... ก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก เจ้าชายสิทธัตถะ ผู้ซึ่งตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ........นักวิชาการผู้แสวงหาความจริงทั้งหลายของโลก ซึ่งได้ค้นคว้าหาความจริงของเรื่องนี้ ต่างพากันยอมรับความจริงแล้วว่า ชีวประวัติของพระโพธิสัตว์ ( Bodhi-Satta ) ซึ่งได้เล่าถ่ายทอดกันมาอย่างยาวนาน โดยอาศัยปากต่อปาก (มุขปาฐะ) เป็นไปได้อาจมีการเพี้ยนไปจากรูปแบบเดิมบ้าง แต่ก็มีความบิดเบือนไปเพียงเล็กน้อยในรูปแบบ และได้ถูก “คริสเตียน” หยิบเข้ามาใส่ในคัมภีร์นี้จนทำให้กลายมาเป็นชีวประวัติของคริสเตียนเซ้นท์ผู้หนึ่ง โดยการปรับเปลี่ยนชื่อและเนื้อหาไปจากเดิม
    ....... ไม่ปรากฏหลักฐานใด ๆ ทางประวัติศาสตร์หรือทางโบราณคดี ที่สามารถพิสูจน์ได้อย่างเป็นรูปธรรมว่า มีพระราชาที่อาศัยอยู่ในประเทศอินเดียและมีพระนามว่า “อะวีเนียร์ ” ( Avinir)
    แต่ทั้งนี้ก็มิได้เหนือบ่ากว่าแรง และความอุตสาหะของนักภาษาศาสตร์ที่จะสามารถค้นหารากของภาษา ( Root) เดิมนั้นได้ เพราะคำว่า อะวีเนียร์ ( Avinia) เป็นคำที่มาจากรากศัพท์เดิมว่า “อะวีนิชา( Avenesha)” ซึ่งแปลว่า “ มหาราชา” ( อินเดียเรียกพระราชาแคว้นว่า “มหาราชา” ...ผู้เรียบเรียง) จึงยืนยันได้ว่าคำว่า “อะวีเนียร์” จึงเป็นคำเดียวกันกับคำว่า “มหาราชา” นั่นเอง

    ............ต่อมาคือคำที่ใช้เรียกเจ้าชาย “โจอาซาฟ” นั้นมาจากที่ใดและมีความหมายอะไร ? ...สำหรับการดำเนินการส่วนนี้เป็นผลงานวิจัยของท่านโปรเฟสเซอร์ เดวิด ( Pro. Lead David ) ผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาโบราณ ท่านได้กล่าวว่าในภาษาบาลี คำว่า “ โพธิสัตต ( Bodhisatta)” ได้ถูกเปลี่ยนเป็นภาษาปาร์ซี กลายเป็น “โวสัตตะ” ( Vosatta) จากนั้นได้เปลี่ยนโดยชาวคริสต์มาเป็น “โยซาฟ ( Yosaft)” แล้วจึงกลายมาเป็น “โจซาฟัต (Josaphat)” ในครั้งล่าสุด

    ..........ในส่วนงานวิจัยค้นคว้าของ ท่านโปรเฟสเซอร์ วิน เต นิชเซ ( Pro. Win Te Nitze) ได้พบว่าชีวิตและเรื่องราวของ “เบอร์ลัม ( Burlam)” และ “โจซาฟัต ( Joasaphat)” ได้ถูกเขียนขึ้นโดยใช้ชีวประวัติของพระพุทธเจ้าศาสดาของพุทธศาสนาโดยใช้ “ ภาษาเปห์เลวี ( Pehlevi)” .....จากนั้นจึงถูกแปลจากภาษาเปห์เลวีไปเป็นภาษาต่าง ๆ ของยุโรป โปรเฟสเซอร์ วิน เต นิชเซ ได้กล่าวว่าตามหลักฐานและข้อมูลที่ได้นั้นทำให้พบว่าเรื่องราวของพระพุทธเจ้าในพุทธประวัติได้ถูกดัดแปลงให้เป็น “เซ้นท์โจอาซาฟ” เป็นคริสเตียนไปด้วยสาเหตุนี้

    .......... การค้นคว้าวิจัยในเรื่องนี้ ซึ่งดำเนินการโดยคณะของผู้เชี่ยวชาญทางด้านคริสต์ศาสนา มีนักวิชาการโบราณคดี ศาสตราจารย์ ปอล คารัส ( Pro. Paul Carusl ) และนักภาษาศาสตร์ โรห์ริค ( Roehrick ) และโปรเฟสเซอร์ ที เสตอร์ลิงก์ เบอร์รี่ ( Pro. T. Sterling Breey ) ได้พบหลักฐานยืนยันได้ว่า “พระพุทธเจ้า” ได้ถูกนำมารวมไว้อยู่ในบัญชีรายชื่อของปิตาจารย์ทั้งหลายของคริสเตียน โดยการเปลี่ยนชื่อเสียใหม่แล้วใช้เรียกในนามของ “โจเซฟ ( Joseph)” หรือ “ โจซาฟัต ( Josaphat )” หรือ “ โจอาซาฟ ( Joasaphat)”
    ซึ่งหากใครก็ตามได้อ่านข้อความในคัมภีร์โดยไม่มีการระบุชื่อ “โจอาซาฟ” ลงไปในคัมภีร์ย่อมจะเข้าใจและรู้ได้ในทันทีว่าข้อความนั้นเป็นเรื่องราวของ “พระพุทธเจ้าศาสดาของพุทธศาสนา” จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงประวัติโดยการใส่ชื่อและดัดแปลงเพียงเล็กน้อยในเนื้อหาให้แตกต่างไป

    ........ โปรเฟสเซอร์ ที สเตอร์ลิงก์ เบอร์รี่ ( Pro. T. Sterling Breey ) ได้พบหลักฐานว่าคัมภีร์ประวัติของ “เบอร์ลัม ( Burlam)” ได้ถูกจารึกและเขียนขึ้นโดย เซ้นท์แห่งดามัสกัส ( St.Damasgas) คริสเตียนนิกายโรมันคาทอลิก
    ........ศาสตราจารย์ ปอล คารัส ( Pro. Paul Carusl ) ได้พบหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี ว่า “พระพุทธศาสนาได้เผยแพร่เข้าสู่ทวีปยุโรปตั้งแต่ครั้งโบราณก่อนที่ศาสนาคริสต์จะเกิดขึ้นในโลก” ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านไปนั้น ได้มีการติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างประเทศอินเดีย ยุโรป และเอเชียตะวันตก ด้วยผลของการติดต่อกันดังกล่าวทำให้มีการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นไปพร้อมด้วยในเวลาเดียวกัน
    .........แต่เนื่องจากเป็นเวลาที่เนิ่นนานมากการค้นหาร่องรอยต่าง ๆ จึงทำได้ยากเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากหลักฐานทางโบราณคดี ได้ถูกทำลายโดยนักบวชและศาสนิกของคริสเตียนในยุคหลังจนแทบหมดสิ้น ดังนั้นการจะค้นหาหลักฐานดังกล่าว ได้จึงต้องเริ่มต้นจากรากฐาน และความหมายของข้อความ
    ...........คำกล่าวที่เป็นศัพท์เฉพาะของพุทธศาสนา ซึ่งได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เป็นภาษายุโรปต่าง ๆ หลายภาษา จนกลายเป็นภาษาท้องถิ่นไป ทำให้พระพุทธศาสนาในตะวันตกได้ถูกบิดเบือน เลอะเลือนไปจากเดิมเป็นอย่างมาก ในนามของหัวหน้าทั้งหลายนิกายต่าง ๆ จึงทำให้เกิดความยากลำบากในการค้นหาให้พบรูปแบบดั้งเดิมได้

    ......... Dr. Mahaffy ได้พบหลักฐานทางโบราณคดีเป็นสิ่งก่อสร้างในลักษณะของ “ศาสนสถานในพุทธศาสนาที่กว้างใหญ่มีเนื้อที่หลายพันเฮคเตอร์สามารถบรรจุคนได้เป็นจำนวนนับหมื่นพร้อมกับเครื่องใช้ของพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา รวมทั้งศิลาจารึกพระสูตร ที่มีอายุก่อนคริสตกาลถึง ๔๐๐ ปี” ..........รวมทั้งได้ค้นพบพุทธศาสนสถานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันแต่มีอายุน้อยกว่านั้นคือประมาณ ๒๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอยู่ในสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช
    จึงเป็นที่สามารถยืนยันได้ว่า พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองในดินแดนของประเทศซีเรีย ก่อนคริสต์ศาสนาจะอุบัติขึ้นอย่างแน่แท้โดยปราศจากข้อสงสัยหักล้างใด ๆ และสิ่งที่ ควรจำและเป็นสิ่งที่ชาวคริสเตียนต้องยอมรับความจริงทางประวัติศาสตร์ไว้ด้วยว่า “เยซู” นั้นเป็นชาวซีเรียคนหนึ่ง

    ........ในการค้นคว้าวิจัยของเรา ได้พบหลักฐานสำคัญจากจารึกโบราณโดยพระอรหันต์แห่งประเทศศรีลังกา นามว่า พระมหาวามสุ ( Maha Vamasu ) ได้บันทึกไว้ว่า “.....ได้ให้การต้อนรับ พระอรหันต์จากเมืองอะเล็กซานเดรีย นครหลวงแห่งยาวานา ( Yavana ) มีจำนวน ๓๐,๐๐๐ รูป ซึ่งได้เดินทางมาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในพิธีรูวันเวลีซายา ( Ruwan Veli Saya )….”
    ......พิธีรูวันเวลีซายา ( Ruwan Veli Saya ) นี้ได้ถูกจัดขึ้น ณ เกาะประเทศศรีลังกา เมื่อ ๑๖๐ ปี ก่อนเยซูศาสดาของชาวคริสต์จะกำเนิดขึ้นมาดูโลก และเมืองอะเล็กซานเดรียเป็นเมืองหลวงของประเทศอียิปต์ในขณะนั้น
    ....... ต่อมาคณะโบราณคดีได้ขุดค้นพบหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ และศาสนศาสตร์ที่ยืนยันความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา มีอยู่จริงในเมืองอะเล็กซานเดรีย ดินแดนอียิปต์ คือพุทธสถาน และแท่งหินแกะสลักเป็นรูปพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาได้ถูกทำลายเสียหายชำรุดไปอย่างน่าเสียดาย โดยนักบวชโรมันคาทอลิก

    ...........คณะวิจัยค้นคว้าได้พบที่มาของการเรียกชื่อของราชโอรสแห่งกษัตริย์ศรีอินเดีย ซึ่งเรียกว่า โจอาซาฟ ( Joasapht ) นั้น ได้มีการเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ คัมพัตตะมะ ( Gambatama )” และความหมายของคำว่า “คัมพัตตะมะ” นี้ได้ไปปรากฏอยู่ในหนังสือโบราณ “ฟราวาดิน (Fravardin Yast)” ซึ่งได้เขียนไว้เป็นภาษาปาร์ซี ให้คำอธิบายความหมายในบทที่ ๑๖ ว่า “คำว่าคัมพัตตะมะ ( Gambatam ) ในภาษาปาร์ซีนั้น จะมีความหมายเท่ากับคำว่า “ ก๊อดตะมะ (Godtama)” สามารถใช้เรียกสั้น ๆ ได้โดยคำว่า “ ก๊อด ( GOD )” ว่า “...หากผู้ใดประสงค์จะเห็นพระราชาที่มีอำนาจสูงสุด ก็จงดูกษัตริย์ที่ครองด้วยเครื่องอาภรณ์ของนักบวช ผู้ที่ชนทั่วไปเรียกว่า “ ก๊อด ( God)” ในบรรดามนุษย์ทั้งหลาย พระองค์เป็นผู้ที่บริสุทธิ์สะอาดในคุณธรรมทั้งปวง...”

    ...........ข้อความในม้วนปาปิรุสดังกล่าวสนับสนุนแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ต่อเนื่องเชื่อมโยงของข่าวสารระหว่างดินแดนในประเทศอินเดีย กับประเทศอียิปต์ ได้อย่างชัดเจน จึงเป็นเครื่องหมายยืนยันที่มาของคำว่า “ก๊อด ( God)” ได้ถูกใช้มาก่อนที่เยซูจะถือกำเนิดกว่าครึ่งศตวรรษแล้ว

    ....... ดร.โกลด์ สิฮาร์ ( Dr. Gold Sihar) แห่งบูดาเปสท์ ได้ศึกษาม้วนปาปิรุส และหลักฐานประกอบต่าง ๆ ได้ยืนยันว่า “.......ตามข้อความในมัวนปาปิรุสที่อ้างถึงพระราชาซึ่งเรียกว่า ก๊อด ( God )นั้น เป็นคำเรียกซึ่งเพี้ยนมาจากคำว่า “โคตะมะ” เมื่อออกเสียงสั้น ๆ โดยสำเนียงท้องถิ่นจึงกลายมาเป็นคำว่า “ก๊อด ( God ) ” ซึ่งในยุคก่อนคริสตกาล ภาษาอียิปต์กับภาษาซีเรียนั้น เป็นภาษาที่มีรากภาษาเดียวกัน ทั้งยังเป็นภาษาที่ใช้อย่างกว้างขวางเนื่องจากอิทธิพลทางการเมือง และการทหาร และการค้า การถ่ายทอดเรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ จึงสามารถต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงกันได้เป็นปกติ

    .........ดร.โกลด์ สิฮาร์ ยังได้ค้นพบหลักฐานทางโบราณคดีว่า ศาสนาพุทธได้เข้าไปเผยแพร่และเจริญอยู่ในเกาะอังกฤษอีกด้วย ซึ่งเป็นสมัยก่อนที่จะมีคริสต์ศาสนา

    .......... ในกรณีพระพุทธศาสนาได้เข้าไปเจริญรุ่งเรืองอยู่บนเกาะอังกฤษ ก่อนที่คริสต์ศาสนาจะเผยแพร่เข้าไปถึงนั้น คณะวิจัยได้ค้นพบมีเอกสารหลักฐานยืนยันโดยบาทหลวงคริสเตียน ในสมัยการเผยแพร่ศาสนาคริสต์ยุคแรกเริ่ม เอกสารบันทึกนั้นเป็นของออริเก้น แห่งอะเล็กซานเดรีย เขาได้บันทึกยืนยัน ไว้ด้วยตนเองในเอกสารของเขาว่า “ ศาสนาพุทธได้เจริญเป็นอย่างมาก ได้ตั้งศาสนสถาน และมีเหล่าพระสงฆ์สามเณรจำนวนมาก รวมทั้งสถานศึกษาทางพุทธศาสนา ตั้งอยู่ทั่วไปบนเกาะอังกฤษ ก่อนที่ศาสนาคริสต์จะแผ่ไปถึง”

    ......... และยิ่งปราศจากข้อสงสัยใด ๆ เพราะเราได้รับการยินยันจากหลักฐานโดยการค้นคว้า ของ ดี.เอ.แมคเคนซี่ ( D.A.Mackenzie) ในเอกสารงานวิจัยของเขาชื่อ “พระพุทธศาสนาบนเกาะอังกฤษก่อนคริสต์ศาสนา ( Buhddhism existed im pre Christian England)” พยานหลักฐานทางโบราณคดีซึ่งปรากฏบนเกาะอังกฤษ ซึ่งหมายถึงหินแกะสลักเป็นพระสงฆ์สามเณร หินสลักเป็นอักษรบรรยายพระสูตรในพุทธศาสนา เอกสารโบราณมากมายได้ถูกนำมาเผยแพร่และพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ว่า “ศาสนาพุทธได้เจริญอย่างกล้าแข็งบนเกาะอังกฤษก่อนที่อังกฤษจะรู้เรื่องคริสต์ศาสนา

    ............ในการประชุมคณะกรรมการประวัติศาสตร์โลก ซึ่งจัดขึ้นในปี ค.ศ.๑๙๒๖ ที่เมืองลานาว ( Laknow) ได้ปรากฏเหตุการณ์สำคัญในการประชุมนี้ที่ชาวโลกควรได้รับรู้ก็คือ โปรเฟสเซอร์เมสรอฟบ์ ที.เซ๊ช ( Pro. Mesrovb T. Seth ) ได้นำเสนองานวิจัยค้นคว้าของท่านต่อคณะกรรมการบันทึกประวัติศาสตร์โลก ( Historical Record Commission ) เนื้อหางานวิจัยของท่านส่วนหนึ่งดังนี้

    .“....หนังสือประวัติศาสตร์เรื่อง ทารอน ( Taron ) โดยผู้แต่งชื่อ เซนอบ ( Zenob) ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคต้น ๆ ของคริสเตียนอาร์มาเนีย ได้กล่าวว่า ....“.... ในช่วงกลางศตวรรษที่สองก่อนคริสต์ศักราช มีศาสนาพุทธเข้ามาตั้งอยู่อย่างมั่นคงในอามาเนียร์ ที่มีชาวพราหมณ์อาศัยอยู่ก่อนแล้ว ๔๕๐ ปี พวกเขาเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธ และพวกชาวพุทธเหล่านี้ได้สร้างเมือง หมู่บ้าน วัดวาอารามหลายแห่ง ต่อมาพวกคริสเตียนได้ทำลายวัดวาอารามของพวกเขา และเข่นฆ่าพวกพระทั้งหลาย
    ..........ข้าพเจ้าได้รู้เห็นเป็นพยานด้วยตัวข้าพเจ้าเองต่อการทำลายเหล่านี้ และจากความโหดร้ายที่ได้รับ ทำให้ชาวพุทธเหล่านี้จำเป็นต้องเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ แล้วผสมผสานกับชาวอาร์มาเนียน จากนั้นจึงได้กลายเป็นชนชาติหนึ่ง มีหลักฐานมากมายที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า เอเชียตะวันตกและยุโรปมีชาวพุทธและศาสนาพุทธ มันเป็นที่แน่ชัดว่า พวกคริสเตียนทั้งหลาย ก็คือการกระหายเลือด ต้องการบดขยี้ทำลายศาสนาอื่น ๆ รวมทั้งผู้ที่นับถือศาสนาเหล่านั้นด้วย ..........และมันก็คือพวกคริสเตียนนี่แหละ ที่เป็นผู้เผาทำลายห้องสมุดอะเล็กซานเดรีย ที่รวมของสรรพวิชาอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกให้หายไปในกองเพลิง แน่นอนที่สุด......ต้องมีคัมภีร์ต่าง ๆ ของพุทธศาสนาอยู่ที่นั่นอย่างมากมาย......... .....และขณะที่เวลาได้ล่วงเลยไป พวกคริสเตียนจึงได้ฉวยโอกาส รวบเอาพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นศาสดาของพุทธศาสนา มานับรวมอยู่ในแถวรายชื่อของนักบุญผู้สอนศาสนาคริสต์เสียเลยด้วยความเห็นแก่ตัว และโง่เขลาเป็นอย่างยิ่ง...”

    .........มันไม่มีทางหรือวิธีการใด ๆ ที่คริสต์ศาสนาจะสามารถบิดเบือนความจริง หรือสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ เพื่อที่จะพิสูจน์ได้เลยว่า “พระพุทธเจ้าซึ่งเกิดก่อนพระเยซูถึง ๖ ศตวรรษนั้นเป็นคริสเตียน...” ........แต่เรา ( คณะผู้ค้นคว้าวิจัย.....ผู้เรียบเรียง) สามารถพิสูจน์ได้ด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีของทุกชาติล้วนตรงกันว่า เยซูคริสต์ ลืมตามีชีวิตขึ้นมาดูโลกหลังจากพระพุทธเจ้าศาสดาของพระพุทธศาสนานิพพานไปแล้วถึง ๕๔๓ ปี
    .........หากนับรวมอายุของพระพุทธเจ้าเข้าไปด้วยแล้ว เยซูคริสต์ จะเกิดหลังพระพุทธเจ้าเกินกว่า ๖ ศตวรรษ ( พระพุทธเจ้ามีพระชนมายุ ๘๐+ ๕๔๓ = ๖๒๓ ปี....ผู้เรียบเรียง) และสามารถพิสูจน์ได้ว่าเยซูคริสต์ นั้นเป็นเพียงลูกศิษย์ของพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ไม่ได้ร่ำเรียนความรู้ของ “พระเจ้า” ตามที่ได้กล่าวอ้างโดยชาวคริสต์ไว้ในคัมภีร์ไบเบิล

    ........ข้อพิสูจน์ของเรา ( คณะผู้ค้นคว้าวิจัย...ผู้เรียบเรียง ) จากการที่ได้พบหลักฐานของ Dr.E.Maknob ปรากฏในผลงานวิจัยชื่อ “ชีวประวัติที่ไม่มีใครรู้ของพระคริสต์ ( The Unknown Lifeof Christ )” งานวิจัยดังกล่าวนี้ ได้แปลออกมาจากเอกสาร หลักฐานโบราณที่ค้นพบที่ วัดเฮมิส ( Hemis Monastery ) ซึ่งเป็นวัดโบราณในธิเบต
    ที่มาของหลักฐานของ Dr. Maknob นี้ได้มาด้วยความยากลำบากเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีความพยายามที่จะทำลายความเชื่อถือของหลักฐานชิ้นสำคัญโดย บาทหลวงคริสต์โรมันคาทอลิกผู้หนึ่ง ซึ่งได้พยายามปั้นเรื่องเท็จ โดยกล่าวว่า “เขาได้เดินทางไปที่วัดในธิเบต ซึ่ง Dr. Maknob ได้เป็นผู้นำหลักฐาน จากที่วัดนี้มาเปิดเผยนั้นพร้อมกับได้ถามหาเอกสารหลักฐานโบราณดังกล่าว แต่ได้รับการปฎิเสธจากพระลามะเจ้าอาวาสวัดดังกล่าวว่า ไม่เคยพบและไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับเอกสารหลักฐานดังกล่าวว่า เคยมีอยู่หรือเป็นสมบัติของวัดนี้มาก่อนเลย....”
    แต่ในที่สุด ความเท็จดังกล่าวของบาทหลวงโรมันคาทอลิก ก็ได้ถูกเปิดเผยขึ้นโดยโปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค ( Pro. Nichlors Roehrick ) ก็ได้เดินทางไปยังวัดเฮมิส ( Hemis Monastery ) ตามที่ Dr. Maknob อ้างถึงและใช้ชีวิตอยู่ในวันนั้นหลายปี ใช้ความพยายามสุดความสามารถ จนกระทั่งได้เอกสารหลักฐานตัวจริงตามที่ หลักฐานดังกล่าวได้เขียนลงบนเอกสารกระดาษสา ซึ่งมีอายุกว่า ๑,๕๐๐ ปี ซึ่งได้ถูกเขียนไว้เป็นภาษาธิเบต

    .........ข้อความที่ปรากฎในเอกสารหลักฐานนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องราวของ “เยซู” ศาสดาของชาวคริสต์ ซึ่งในภาษาธิเบตเรียกว่า “อิสซา ( Issa )” เนื้อหาทั้งสิ้นนั้นได้รับการจารึกโดยละเอียด นับตั้งแต่เด็กจนกระทั่งเยซูตาย
    ..... โปรเฟสเซอร์ นิคเล่อร์ส โรห์ลิค (Pro.Nichlors Roehrick ) จึงนำเรื่องราวในเอกสารโบราณดังกล่าว มาเปิดเผยต่อชาวโลกอีกครั้งหนึ่ง โดยปรากฏเป็นการค้นคว้าวิจัย

    “......อิสซา ( Issa ) หรือ เยซู ในวัยเด็ก ได้เดินทางไปอินเดียกับกองคาราวานพ่อค้า พร้อมกับบิดามารดาของตน บิดาของ อิสซาหรือเยซู มีอาชีพทำการค้าระหว่างซีเรียกับอินเดีย บิดาได้ฝากให้อาศัยอยู่กับพระสงฆ์ในพุทธศาสนา ในฐานะเป็นศิษย์ และได้กลับไปบ้านเกิดเมืองนอนในปาเลสไตน์เมื่อมีอายุได้ ๒๙ ปี
    ณ เวลานั้น นาลันทา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาของพระพุทธศาสนา กำลังมีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้จักไปทุกอาณาจักร ไม่มีข้อสงสัยใด ๆ เลย ว่าชายหนุ่มนาม เยซู ซึ่งเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ผู้นี้จะไม่เข้าไปรับการศึกษาที่นั่น
    มันสามารถพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า การที่เยซูได้ศึกษาปฎิบัติจิตของชาวพุทธที่นั่น ทำให้เยซูได้เดินทางขึ้นสู่ธิเบต และได้เข้าวัดเพื่อฝึกหัด ญานและอิทธิ( Dhyana & Iddhi ) แม้แต่ในคัมภีร์ไบเบิลเอง ก็ไม่มีการบันทึกเรื่องราวตอนนี้ ขาดหายไปในช่วงของเรื่องราวต่าง ๆ ของเยซูเกี่ยวกับสถานที่และการงานของเขาได้กระทำในระหว่างวัยเด็กเล็กจนถึงอายุ ๒๘ ปี ว่าเป็นอย่างไร

    .........จากเอกสารงานวิจัยจากหลักฐานโบราณ ซึ่งนำเสนอต่อคณะกรรมการประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา ภายใต้ชื่อว่า “การประหารชีวิตบนไม้กางเขนโดยพยานเอก ( The story of Crucifiction by on Evew-ithness )” มีว่า “ เยซู ไม่ได้เสียชีวิตบนไม้กางเขน พระองค์ดูคล้ายกับสลบไปก่อนที่เชือกที่เท้าของพระองค์จะถูกตัด เขาได้ถูกเคลื่อนย้ายออกจากไม้กางเขนและเพราะความกลัวว่า พวกยิวทั้งหลายจะรู้และกลับมาฆ่า จึงได้หนีออกจากเมืองไปสู่แคว้นแคชเมียร์ และที่นั่นคือ ถิ่นเดิมยามเยาว์วัยของเขา ซึ่งผู้คนได้รู้จักและเรียกขาน เยซูด้วยชื่อเดิมของเขาว่า “อิสซา และ ยูซา ( Issa and Yusa ) เขาอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างสงบ จากนั้นอีกหลายปีเขาจึงตาย ศพของเยซูได้ถูกฝังไว้ที่เมืองศรีนาคาร์ แคว้นแคชเมีย ....” br>
    .............โปรเวสเซอร์ คิคเล่อร์ส โรห์ลิค ( Pro. Nichlors Roehrick ) ได้แสดงหลักฐานที่พิสูจน์ได้ความจริงแล้วนั้นไว้ในงานวิจัยต่อไปอีกว่า “...นางมาเรีย (ชาวคริสต์ยกย่องให้เป็นผู้วิเศษคนหนึ่งโดยเรียกว่าพระแม่มาเรีย...ผู้เรียบเรียง) ได้หนีออกจากเมืองไปพร้อมกับเยซู โดยไปอยู่ในแคว้นแคชเมียร์ อันเป็นที่อยู่เดิมเมื่อครั้งสมัยแรก ซึ่งได้มาอยู่ในขณะเยซูยังเป็นเด็ก และได้อาศัยอยู่ ณ ที่นั้นจนกระทั่งหมดอายุไข...” br>
    .......เมื่อนำเอาหลักฐานที่พิสูจน์ได้ความจริงแล้วเหล่านี้ มาพิจารณาเข้าด้วยกัน ก็คงหนีไม่พ้นที่จะเกิดคำถามว่า “เยซู ใช้คำสอนของศาสนาใด เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากพระเจ้าตามพระคัมภีร์ไบเบิล อ้างไว้นั้นจริงหรือ” และ “คำสอนในสมัยที่เยซูมีชีวิตอยู่และใช้สั่งสอน และตนเองใช้ปฎิบัตินั้นคือศาสนาอะไร ?”
    ........ ข้อสงสัยนี้ได้ถูกขจัดให้หมดไปโดยสิ้นเชิง โดย Pro. N. Plini ได้นำหลักฐานที่ได้พิสูจน์อย่างเป็นทางการออกสู่ชาวโลกในงานวิจัยของท่าน ชื่อ “ปาเลสไตน์ก่อนสมัยคริสเตียน( Pre-Christine Palestine ) ซึ่งได้ระบุถึงนิกายหนึ่งของพุทธศาสนา มีชื่อว่า แอสเซเนส ( Essenes ) ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกของพระสงฆ์ในพุทธศาสนา นิกายเอกโยหาริกวาท ( เอก โพยหารี) หรือ เอกวยหาริกะ ปรากฏในอรรถคาถาแห่งคัมภีร์มหายานชื่อ “เภทธรรมมติจักรศาสตร์” ของกุยกี ซึ่งระบุว่า นิกายนี้ยึดถือว่า โลกิยธรรมและโลกุตรธรรมไม่มีสภาวะโดยแท้จริง สักแต่ว่าเป็นบัญญัติโวหาร
    นิกายนี้แยกตัวออกจากมหาสังฆิกะ (มหายาน) ไปอยู่ต่างหาก...ผู้เรียบเรียง) ปฎิบัติบำเพ็ญพรตคล้ายโยคี มักอยู่ตามถ้ำและป่าเขา ไม่กินเนื้อสัตว์ เผยแพร่เจริญมากที่สุดในแถบแคชเมียร์ และธิเบตตอนล่าง ได้ แพร่หลายเข้าสู่ปาเลสไตน์โดยผ่านทางช่องแคบไคเบอร์
    ........ พุทธศาสนานิกายแอสเซเนส ( Essenes )” มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ปาเลสไตน์ก่อนที่ “เยซู” ศาสดาของคริสต์ศาสนาจะเกิดหลายร้อยปี พระสงฆ์พวกนี้ไม่จับจ่ายใช้สอยเงินทอง ตื่นแต่เช้าและทำสมาธิโดยหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
    .........จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดีศาสนา ล้วนตรงกันว่า นิกาย “แอสเซเนส (Essenes )” นี้นั้นมีกิจวัตรหลักที่ต้องปฏิบัติคือการทำสมาธิจิต อันเป็นลักษณะเดียวกันกับการประพฤติของพวกโยคีในยุคนั้น จึงทำให้ถูกเรียกอีกว่าชื่อหนึ่งว่า “อิสี” หรือ “อิสิ ( Isi)” ซึ่งเป็นคำจากภาษาบาลี และยังถูกเรียกเป็นภาษามคธว่า“รชิ(Rshi)” คำเรียกในภาษาทั้งสอง จึงถูกนำไปใช้เรียกพระสงฆ์นิกายนี้ ซึ่งได้เผยแพร่เข้าสู่ปาเลสไตน์ด้วยเช่นเดียวกัน
    .........มีหลักฐานที่ยืนยันชัดจากในไบเบิลของคริสต์ศาสนาเองว่า พระอรหันต์องค์หนึ่งในพุทธศาสนานิกาย “แอสเซเนส ( Essenes )” ได้ถูกบิดเบือนให้เป็นหนึ่งใน ปิตาจารย์ของคริสต์ศาสนา โดยปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลในชื่อของ “เซ้นท์จอห์น เดอะแบบติสท์” แต่เมื่อเราได้พิจารณาตามหลักฐานแล้วพบว่า จอห์นเดอะแบบติส นั้นไม่ได้ใช้ชีวิตแบบชาวคริสต์เลยแม้แต่น้อย แต่กลับดำเนินชีวิตและประพฤติปฎิบัติตามหลักคำสอนของพุทธศาสนานิกายแอสเซเนส ( Essenes ) ทั้งสิ้น

    ............เป็นสิ่งพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า ผู้ที่ถูกคริสต์ศาสนาอ้างกล่าวนามว่าคือ จอห์นเดอะแบบติส ไม่ใช่ คริสเตียนอย่างแน่นอน ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ “จอห์นเดอะแบบติสท์ เป็นผู้ที่ทำพิธีแบบติสท์ให้กับเยซูในแม่น้ำจอแดน” ในพิธีกรรมการบวชของชาวพุทธนั้น จะมีพระสงฆ์ผู้ใหญ่ตักน้ำรดหัวและโกนผมให้เป็นคนแรก การตักน้ำรดหัวนี้ชาวคริสต์ได้อ้างว่าเป็นพิธีกรรมเรียกว่า “แบบติสท์” แต่โดยความจริงพิธีดังกล่าวนั้น เป็นของชาวพุทธศาสนา และการบวชโดยใช้แม่น้ำเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ใช้ประกอบพิธี เป็นพิธีปกติของชาวพุทธเช่นกัน (ในเมืองไทยเรียกว่า “โบสถ์น้ำ” หรือ “พัทธสีมาน้ำ” สมัยปัจจุบัน ( พ.ศ.๒๕๔๓ ) ในต่างจังหวัดก็ยังคงมีการอุปสมบทแบบนี้อยู่...ผู้เรียบเรียงก็เคยเห็นการบวชพระภิกษุไทยที่สหรัฐอเมริกาแบบนี้ใช้ลอยเรือและพระสงฆ์ลงไปอยู่ในเรือทำพิธีในทะเลสาบ เพราะไม่มีโบสถ์ที่ผูกพัทธสีมาเหมือนในเมืองไทย)

    .............. จึงเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างไม่มีข้อคัดค้านว่า จอห์นเดอะแบบติสท์ คือ พระสงฆ์ในพุทธศาสนา ทำหน้าที่อุปัชฌายะบวชให้กับ เยซู ในแม่น้ำจอแดน....
    .แต่ต่อมานักบวชของโรมันคาทอลิกยุคหลังได้เปลี่ยนแปลงความจริงไปจนหมด ทำให้ไม่สามารถสืบค้นได้ว่า จอห์นเดอะแบบติสท์ นั้นเป็นพระสงฆ์ที่ชื่อเรียงเสียงไรซึ่งเป็นกรณีหนึ่งในหลาย ๆ กรณี ที่คริสต์โรมันคาทอลิกเป็นศาสนาเดียว ที่ได้ทำลายหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชนชาติต่าง ๆ ไปทั่วโลกอย่างกระหายเลือด โดยประวัติศาสตร์ไม่สามารถปฎิเสธความจริงได้ทั้งสิ้น
    .............. โดยงานวิจัยของศาสตราจารย์ เอ็ม.เอ.อาร์เธอร์ ไลลี่ ( M.A.Arthur Lyli) ทำให้เรา (คณะค้นคว้าวิจัย...ผู้เรียบเรียง) ได้หลักฐานเพิ่มเติมว่า พุทธศาสนานิกาย “แอสเซเนส (Essenes ) นี้ เป็นสาขาหนึ่งในหลายสาขาของพระพุทธศาสนา และอีกสาขาหนึ่ง มีสำนักใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองอเล็กซานเดรีย ของอีจิปต์ ในชื่อว่า สะมานอย ( Samaamoi ) จากหลักฐานที่เหลืออยู่ของพระสูตร ในพุทธศาสนาของพระสงฆ์นิกายนี้ ทำให้ทราบได้ว่า แท้แล้วนั้นนิกายนี้คือ พุทธศาสนามหายาน ที่มีชื่อในภาษาบาลี ว่า “สะมิติยะ ( Smitiya )” (พุทธมหายานนิกายนี้มีอิทธิพลมากในอินเดีย และเอเชียไมเนอร์มาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๒ บันทึกของหลวงจีนเฮี่ยงจัง ได้กล่าวถึงความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนานิกายนี้ไว้ว่า “....ในแคว้นมาละแห่งเดียวมีภิกษุในนิกาย (สะมิติยะ) นี้ถึง ๒๐,๐๐๐ รูป...”

    ........จะเห็นได้ว่าหลักธรรมของพุทธศาสนา นิกายสะมิติยะ ( Samitiya)” นี้ ได้ถูกเยซูหรือสาวกของเยซูดึงเอาไปดัดแปลง ใช้ในการเผยแพร่คริสต์ศาสนา คือ ๑. ถือว่ามีอันตรภาวะ ๒.ถือว่าปุถุชนก็ละกามราคะพยาบาทได้...ผู้เรียบเรียง)
    ...........จากงานวิจัยของ ดร.แม็ช มูลเลอร์ ( Dr.Max Muller ) ได้พบหลักฐานความจริงจากจารึกในกระดาษปาปิรุสของอเล็กซานเดรีย ซึ่งบันทึกไว้โดย อเล็กซานเดอร์ โบลี่ ฮิสเตอร์ ( Alexander Poly Histor ) ซึ่งบันทึกจากสิ่งที่พบเห็นด้วยตนเอง ในสมัยก่อนเยซูเกิด ๖๐ ปี ไว้ว่า “ .... ชาวพุทธทั้งหลายที่เรียกว่า สะมานอย ( Samaanoi) ซึ่งเป็นอาจารย์ของพวกนักปราชญ์ปาร์ซี-ไบเตรียน ( Parsi Baitrain Philosophers ) ส่วนหนึ่งได้ไปสอนอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าออกัสตัส ( Augustus) นิกายนี้ มีชื่อเรียกเป็นภาษากรีกว่า ซามาโนซีกัส ( Zarmanochegus ) ส่วนพระสงฆ์ผู้เป็นหัวหน้า ก็จะได้รับการเรียกชื่อเดียวกันกับนิกายของเขาเช่นเดียวกัน....”
    ..........เมื่อเรา ( คณะผู้ค้นคว้าและวิจัย...ผู้เรียบเรียง) ได้ค้นคว้า หารากศัพท์ของชื่อนิกาย หรือตำแหน่งผู้นำคณะสงฆ์คำว่า ซามาโนซีกัส พบว่ามาจากคำในภาษาบาลีว่า “สรามาจริยา( Sramachariya ) ชื่อของนิกาย และพระสงฆ์มหายานนี้ ได้ถูกสลักจารึกไว้ที่กรุงเอเธนส์
    ..........จากหลักฐานงานวิจัยทางวิชาการ “การค้าขายระหว่างจักรวรรดิโรมันกับอินเดีย ( Commerce Between the Roman Empire and India )” ทำให้เราสามารถพิสูจน์ได้ ถึงความสัมพันธ์ของประเทศทั้งสอง และการดำรงอยู่ ของพระพุทธศาสนาในยุคจักรวรรดิโรมันนั้น หลักฐานดังกล่าวที่เป็นเครื่องยืนยันมีว่า “....พระพุทธศาสนามหายาน ได้มีการเผยแผ่หลักคำสอนอย่างแพร่หลาย กว้างขวางที่สุด เข้าไปจนถึงปาเลสไตน์และอียิปต์ รากฐานในคำสอนของมหายาน ก็คือ อธิ-พุทธะ และในส่วนสำคัญของคำสอนเรื่อง อธิ-พุทธ นั้น คล้ายกับพระพรหมในคัมภีร์เวทานตะ ( Vedanta ) ซึ่งชี้เน้นให้เห็นอย่างเดียวกัน คือ เป็นต้นแบบของพระผู้สร้าง ( Creator ) ที่ชาวยิวทั้งหลายนับถืออยู่นั่นเอง แต่ไม่ใช่อยู่ในสภาพของบุคคล แต่มันเป็นต้นกำเนิดของปรากฎการทั้งหมด เป็นสิ่งที่คล้ายกันกับ “ปรกติ ( Prokati)” ในปรัชญาสังขยา มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถพรรณนารูปร่างลักษณะได้..... ''

    .........นักปราชญ์ผู้อื่นเช่น โจลิปัส ก็มีความเห็นเช่นเดียวกัน เป็นประเพณีในการจารึกของเหล่านักปราชญ์โบราณเหล่านี้ ต้องอ้างถึง อธิ-พุทธะ ต่อตนทั้งหลายที่เคารพบูชา “ก๊อด ( พระเจ้า)”
    .......แต่คำว่า “ก๊อด ( God)” หรือ “พระเจ้า” เป็นภาษาต่างชาติที่ได้ผสมเข้ามาอยู่ในภาษาซีเรียน ซึ่งเดิมทีแล้วเป็นคำที่ใช้ในภาษาพูดของนางมาเรียมารดาของ “เยซู ” และคำนี้ได้ถูกเยซูนำมาใช้ ในการยกอำนาจเบื้องบน ประกอบการสั่งสอนของเยซูเท่านั้น
    ........ และคำว่า “ก๊อด” นี้เป็นคำที่ชาวพุทธธิเบตใช้เรียกพระพุทธเจ้าของเขา ซึ่งมีนามว่า“พระโคตะมะ” โดยปกติ ก่อนที่เยซูจะเกิดมาบนโลก.....

    ..............โปรเฟสเซอร์ ลีด เดวิด ( Pro.Lead David ) ได้พิสูจน์จากหลักฐานโดยการวิจัย ทั้งทางประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ได้พบความจริงที่ไม่อาจจะสามารถหาข้อโต้แย้งใด ๆ ทางวิชาการมาหักล้างผลงานวิจัยของท่านได้คือ คำว่า “ก๊อด ( God )” ที่กล่าวไว้ทุกแห่งในคัมภีร์ไบเบิลนิวเทสตาเมนท์ จึงจะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากหมายถึง “พระพุทธเจ้า” ศาสดาของพระพุทธศาสนา เป็นคำที่ถูกย่อให้สั้นลงมาจากคำว่า “ก๊อดตะมะ ( Godtama)” (ตรงกับภาษาบาลีว่า โคตะมะ...ผู้เรียบเรียง) ซึ่งเป็นชื่อโคตรตระกูลของพระพุทธเจ้า
    .........นอกจากนี้สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า “เยซู” ได้ใช้หลักธรรมของพระพุทธศาสนา ดัดแปลงมาสั่งสอน จากคำว่า “อิลิยาห์” เป็นคำที่ใช้ทับศัพท์กับคำภาษาบาลี ซึ่งใช้เรียกพระสงฆ์ที่สำเร็จธรรมขั้นสูง และพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่า“อริยะ” ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า “ผู้ประเสริฐ ( The Noble One )......คำที่คริสต์ศาสนานำของพุทธศาสนามาดัดแปลงใส่เข้าไปในคัมภีร์ไบเบิลอีกนั้นก็คือคำว่า “บุตรของก๊อด ( Son of God )” ในเมื่อได้พิสูจน์ให้เห็นถึงที่มา ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ของคำว่า ก๊อด (God ) มาจากคำว่า “โคตะมะ” ซึ่งหมายถึง พระพุทธเจ้า.........ดังนั้น “บุตรของก๊อด” ก็คือ “บุตรของพระพุทธเจ้า” ตรงกันกับภาษาในพระสูตรของพุทธศาสนาว่า “พุทธบุตร” ซึ่งหมายถึง “บุตร (สาวก) ของพระพุทธเจ้า”
    .......ช่างเป็นเรื่องที่น่าละอายอย่างยิ่ง ในการหยิบฉวย กล่าวอ้างของคริสเตียนในชั้นหลัง ที่นำเอาศาสนาอื่นมาเปลี่ยนแปลง ประกาศใช้ว่าเป็นของตนแต่ดั้งเดิม เมื่อนำเอาบรรดาความจริง ที่ได้พิสูจน์อย่างประจักษ์จริงทั้งหลายนั้น มาพิจารณารวมกันเรา (คณะค้นคว้าวิจัย....ผู้เรียบเรียง) ก็สามารถมาถึงข้อสรุปได้ว่า
    ........เยซู ได้รับการอุปสมบทให้เป็นพระสงฆ์ในพุทธศาสนานิกายแอสเซเนส โดยทำพิธีอุปสมบท (ในโบสถ์น้ำ...ผู้เรียบเรียง) โดยพระอุปฌายะตามไบเบิลชื่อว่า จอห์น และจากนั้นได้เข้าศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย และไปศึกษาการปฏิบัติ ทางฌาน-อภิญญา ( Dhyana& Adhingna ) ในวัดที่ธิเบตตอนล่างอีกหลายปีในระหว่างวัยหนุ่ม สำเร็จสมาธิระดับหนึ่ง
    ..........เมื่ออายุได้ ๒๙ ปี จึงเดินทางกลับบ้าน นาซาเรธ ปาเลสไตน์ แต่บ้านเกิดของเยซูขณะนั้น ไม่มีชาวพุทธ แต่เต็มไปด้วยชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย จึงทำให้เยซูต้องต่อสู้กับศาสนายูดาย โอลด์เทสตาเม้นท์ ( Old Testament ) ซึ่งมีศาสดาของศาสนายูดายนามว่า โมเสส และในสมัยนั้นศาสนายูดาย กำลังมีอิทธิพลมากกับชาติยิวแถบปาเลสไตน์ ซึ่งทำให้ชาวยิวที่นับถือศาสนายูดาย กลายเป็นศัตรูที่จ้องหาโอกาสทำร้ายอยู่ตลอดเวลา และไม่มีการจารึกคำสั่งสอนใด ๆ ของเยซูไว้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะคำสอนของเยซูนั้น ก็คือคำสอนของพระสงฆ์นิกายเอสเซ่น ที่ใคร ๆ ก็รู้มีอยู่อย่างดาษดื่นอยู่แล้ว ทั่วไปในดินแดนแถบนี้
    .........และในที่สุด “เยซู” จึงถูกพวกยิว คู่ปรับตั้งข้อกล่าวหาต่าง ๆ และได้รับการพิพากษา ด้วยการตัดสินให้ถูกลงโทษประหารชีวิต โดยการตรึงกางเขน เยซูไม่ได้เสียชีวิตบนไม้กางเขนในทันที เพราะได้เข้าฌานซึ่งการศึกษาจากธิเบตนั้น แต่คนที่เห็น คิดว่าตายแล้ว ซึ่งเป็นวิชาที่โยคีในอินเดียในปัจจุบันหลายคนก็ทำให้หัวใจหยุดเต้นได้เหมือนตายเช่นเดียวกัน (ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร แม้แต่โยคีบางคน ยังได้แสดงการเผาตัวเองให้นักท่องเที่ยวชมอีกด้วย...ผู้เรียบเรียง ) พวกยิวจึงนำร่างเยซูไปไว้ในถ้ำแห่งหนึ่ง
    ........หลังจากที่เยซูออกจากฌาน จึงหลบหนีออกจากเมือง ไปอยู่ในแคว้นแคชเมียร์ ที่ซึ่งบิดาของเยซูได้พาไปอาศัยอยู่เมื่อครั้งเด็ก นางมาเรียแม่ของเยซูก็ไม่อาจอยู่ในเมืองปาเลสไตน์ได้ จึงหนีไปอยู่แคชเมียร์ด้วยเหมือนกัน และทั้งสองแม่ลูกก็อยู่ที่นั่นจนกระทั่งตาย...”
    ............ข้อความต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล นิวเทสตาเม้นท์ ( New Testament ) เป็นถ้อยคำที่ได้ถูกแต่งขึ้นมา โดยนักโทษชายชื่อ “เปาโล” และพรรคพวก ที่นับถือศาสนายูดายของชาวยิว ซึ่งติดคุกของโรมัน ได้ช่วยกันเขียน โดยแอบอ้างชื่อเสียงและเกียรติคุณของเยซูมาเป็นตัวละครทั้ง ๆ ที่อยู่คนละศาสนาเพื่อ สร้างเป็นพลังทางการเมือง ทั้งนี้เพราะในยุคนั้น ชาวปาเลสไตน์ที่นับถือพุทธศาสนา รวมทั้งอาณาจักรใกล้เคียงล้วนแต่นับถือพุทธศาสนา จะได้ใช้อิทธิพลบีบบังคับกับผู้นำโรมัน เพื่อให้พวกพ้นโทษประหาร หรือพ้นจากคุก ในฐานะที่ลงโทษศิษย์ของเยซู ซึ่งเป็นชาวพุทธ ที่ตนแอบอ้างว่า พวกตนนั้นก็เป็นศิษย์และเป็นชาวพุทธด้วย จากนั้นส่งจดหมายนั้นออกไปยังที่ต่าง ๆ
    ......ในยุคต่อมาก็มีการนำเอาจดหมายของนักโกหกเหล่านี้ มารวมเข้าด้วยกัน เป็นเล่มไบเบิลเรียกว่า นิวเทสตาเม้นท์ ( New Testament ) ซึ่งไม่มีตรงไหนที่เป็นคำสั่งสอนของเยซูอยู่ในนั้น แม้เพียงคำเดียว และเยซูเอง ก็ไม่เคยรู้จักนักโทษเหล่านี้เลยแม้แต่คนเดียว แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ชัดว่าบุคคลที่ชั่วร้าย ซึ่งเป็นนักโทษเหล่านี้ คือ ผู้ที่นับถือศาสนายูดาย ก็คือ ข้อความอันปรากฏใน คัมภีร์ใหม่ ( New Testament ) ล้วนเป็นเนื้อหาที่มาจาก คัมภีร์เก่า ( Old Testament ) ทั้งสิ้น ในเมื่อนักโทษทั้งหลาย รวมทั้งนักโทษเปาโล ที่ติดคุกโรมันอยู่นั้น หากมิใช่เป็นผู้คร่ำเคร่งต่อศาสนายูดาย เหตุใดเขาเหล่านั้นจึงสามารถจดจำเรื่องราว ถ้อยคำ และความหมายในคัมภีร์เก่าของศาสนายูดายได้เล่า นี่คือผลสรุปของงานวิจัย และความจริง ที่เราได้พิสูจน์แก่ชาวโลกให้ได้เห็นประจักษ์.................
     
  2. ใต้ร่มเงา

    ใต้ร่มเงา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +33
    สุดยอดครับ....อยากรู้มานานแล้ว
     
  3. เขามอ

    เขามอ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    321
    ค่าพลัง:
    +539
    ขอบคุณ ที่ได้นำมาให้ศึกษาครับ

    เขามอ
     
  4. ใต้ร่มเงา

    ใต้ร่มเงา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +33
    แล้วอย่างนี้ชาวคริสเตียนเค้าไม่โกรธหรอกเหรอครับ ท่าน..jifreeman
    อิอิ..............
     
  5. paintkiller

    paintkiller เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    334
    ค่าพลัง:
    +946
    คงมีบางคนไม่ชอบแน่ๆ แต่ก็ต้องอ่าน...อยากให้คนที่บ้านกับคนในชุมชนมาอ่านจังไม่รู้เค้าจะมีสติพอที่จะเชื่อรึป่าวเนี่ย..(ผมเป็นr6mTครับ)
     
  6. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130

    ข้อมูลส่วนมากมาจากคริสเตียนนี่ครับ แถมเป็นบาทหลวงด้วย ถ้าเขาจะโกรธผมว่าต้องโกรธเขาเองตัวเองครับ

    ฝรั่งแหกตาเราเยอะครับ อย่างข้อความ ของคุณ เอกอิสโร ( ขอบอกก่อนนะว่าผมไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวเลยและผมพึ่งเข้ามาเว็ปนี้ไม่กี่เดือนนี้เองครับ) ที่คุณเห็นในเว็ปนี้ เท่าที่ผมค้นคว้ามา มีความเป็นไปได้สูงครับ แต่ข้อมูลถูกบิดเบือนเยอะ เลยยากที่จะหาความจริงแน่ชัดได้
    ( อันนี้ต้องแยกแยะเองนะครับ เรากำลังหาข้อมูลที่เป็นเอกสารโบราณ จากตำราต่างๆ ถึงหาความจริงได้ก็เป็นความจริงในตำราครับ ส่วนสถานที่จริงยากครับ อันนี่ก็แล้วแต่ศรัทธานะครับ )
    เยอะครับ ถ้าคุณลองประติดประต่อข้อหลักฐานต่างเข้าด้วยกัน คุณจะเห็นเหมื่อนผมว่า ฝรั่งหลอกเรา แน่นอน 100% ครับ

    *** อย่างตัวอย่างของข้อความในเรื่องที่ผมเอามาลงนี้ ที่กล่าวถึง ตอนที่ อดัมกับอีฟ ที่ไปกินผลไม้ ที่พระเจ้าผู้สร้างห้าม พอกินแล้วก็เกิดฉลาดขึ้นมา ***

    ... หากคุณลองแยกแยะข้อความออกมาคุณจะเห็นว่า
    • ผลไม้ต้นนั้น ที่จริง คือ พระพุทธเจ้า
     
  7. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    อ่านได้ครึ่งเดียว ค่อยเข้ามาอ่านใหม่อีกรอบ ขอพักก่อน
     
  8. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130

    .... เราพี่น้องกันครับ จะนับถืออะไรก็ไม่สำคัญหรอก ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อหาความจริงเท่านั้น และเปิดโปงคนไม่ดีต่างหากครับ คนที่ดีๆเราคุยกันด้วยใจครับ ภาษาใจเข้ากันได้ทั่วโลกครับ ....
     
  9. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    คุณอย่าลืมสิว่านี่เป็นการดัดแปลงข้อมูล(ต้องคุยกันยาว)

    คำแปลบทสัมภาษณ์ "Lacerta" ชาวโลกอีกเผ่าพันธุ์นึง

    ถ้าคุณได้เคยอ่านบทความข้างบนนี้แล้ว คนลองเอามาเปรียบกับข้อความนี้นะครับ

    ......บรรดาสัตว์ทั้งปวงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา สัตว์ที่มีความฉลาดมากเท่ากับงูเป็นไม่มี
    และงูนี้ได้พูดกับนางอีวา ซึ่งเป็นบุรพสตรีของมนุษย์ว่า : จริงอยู่ละหรือที่พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้กินผลไม้ ซึ่งมีอยู่ในสวนอุทยานนี้
    นางอีวาจึงตอบงูว่า พระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้เลือกกินผลไม้ที่มีในสวนนี้ตามใจชอบ เว้นแต่ผลไม้ซึ่งมีอยู่ที่ต้นไม้ต้นหนึ่งในท่ามกลางสวนนั้น พระองค์ทรงห้ามกำชับไว้ว่า ถ้าไปถูกต้องหรือกินผลไม้จากต้นนั้นแล้ว ก็จะถึงแก่ความตาย
    ฝ่ายงูก็ตอบว่า หาใช่เช่นนั้นไม่ ถ้าท่านกินผลไม้ต้นนั้น ท่านหาจักต้องตายลงไปไม่ การที่พระเจ้าทรงห้ามก็เพราะทรงวิตกไปว่า ถ้าท่านกินผลไม้นั้นแล้ว ตามหูของท่านก็จะสว่างเกิดสติปัญญา รู้เท่าเทียมพระเจ้า
    เมื่อนางอีวาได้ยินงูพูดดังนี้ จึงมาคิดว่า ผลไม้ที่พระเจ้าห้ามนั้นมีรูปพรรณสัณฐานน่ากิน และถ้ากินเข้าไปแล้วคงมีสติปัญญาเทียบเท่าพระเจ้าตามที่งูบอกเป็นแน่แท้ จึงได้กินผลไม้นั้น และแบ่งให้อาดัมผู้เป็นสามีกินด้วย
    เมื่อพระเจ้ารู้เรื่องเข้าจึงกล่าวด้วยความโกรธดังนี้ : บัดนี้มนุษย์ที่เราสร้างมา ได้กินผลไม้ที่มีนามว่า “ต้นไม้แห่งชีวิต ( Tree of Life )” อาจจะทำให้ผู้ที่กินเกิดสติปัญญา และจะมีความสามารถเป็นพระเจ้าได้อย่างเรา ถ้าขืนปล่อยปละละเลยให้กินมากกว่านี้ความลำบากก็จะเกิดขึ้นแก่เราเป็นแน่แท้
    ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงได้ขับไล่อาดัมและอีวา พร้อมกับสาปให้ได้รับทุกข์ต่าง ๆ ด้วยแล้วจึงสั่งให้ชาวรามีนผู้มีกระบี่ไฟเป็นอาวุธเฝ้ารักษาต้นไม้นั้น เพื่อมิให้ผู้ใดมากเข้าใกล้ผลไม้วิเศษนั้นได้อีกต่อไป”
    ………………………………………………………
    ตามเรื่องราวที่ยกมานี้ ปรากฏได้ชัดว่า ปีศาจหรืองูนั้นได้พูดถูกต้องทุกประการเพราะเมื่อหลังจากที่อาดัมและอีวา ได้กินผลไม้นั้นแล้วก็หาได้ตายหรือเป็นอะไรตามที่พระเจ้าขู่ด้วยความเท็จไว้นั้นไม่ แต่ตรงกันข้ามกลับทำให้เกิดสติปัญญารู้ผิดถูก รู้ผิดชอบชั่วดี สิ่งที่ควรไม่ควร

    ***** ในข้อที่ผมทำเป็นตัวสีแดงนี้ " บรรดาสัตว์ทั้งปวงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา สัตว์ที่มีความฉลาดมากเท่ากับงูเป็นไม่มี "
    . คุณรู้มั้ยคำว่างู นั้นหมายถึง อะไร ... งูที่กล่าวถึงนั้นก็ คือ พยานาค ครับ .

    . ที่ผมคิดเช่นก็เพราะว่า คนลาว สมัยโบราณ นั้น มี่ความเชื่อว่าตัวเองนั้นเป็นลูกหลาน พยานาค ดังในข้อความเว็ปนี้มีเยอะแยะ หากคุณอ่าน "
    คำแปลบทสัมภาษณ์ "Lacerta" ชาวโลกอีกเผ่าพันธุ์นึง "นี้แล้ว ลองทำความเข้าใจให้ดีนะครับว่าเค้ากำลังบอกอะไรเราอยู่ ตัวอย่างเช่น "ชาวLacerta" เค้าได้ไปเจอชาวยุโรป (ผิวขาว ผมบรอน ตาสีฟ้า) แล้วได้บอกต้นกำเนิดของชาวยุโรป ... และเค้าได้บอก ถิ่นที่อยู่ของเค้า("ชาวLacerta" )ว่าเค้า อยู่ทวีปเอเชีย (แถวๆประเทศลาวครับ) แล้วคุณเอามาเปรียบกับข้อความที่ผมพูดว่าเป็นไปได้มั้ย ****
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 พฤศจิกายน 2010
  10. Sopasiri

    Sopasiri เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    449
    ค่าพลัง:
    +912
    เลข666ก็ไม่ใช่เลขของซาตาน..วันเพ็ญ ขึ้น15ค่ำ เดือน6
     
  11. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,165
    อนุโมทนาครับ
    โลกหมุนด้วยกรรม
    ผู้ขัดขวาง ก็ย่อมต้องถูกขัดขวาง
    หมุนกันบ้าง อย่างธรรมดา
     
  12. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279

    เป็นคำตอบที่ผิดครับ

    ตามข้อเท็จจริงที่เรารู้ๆ กันอยู่แล้วว่า คำสอนของโมเสส มีมาก่อนพุทธกาลครับ
    ดังนั้นผลไม้ต้นนั้นจึงไม่ใช่พระพุทธเจ้านะครับ อะไรจะดักคอกันข้ามศัตวรรษ
    ซะขนาดน้าน 55+

    เมื่อก่อนผมเคยตั้งกระทู้ที่เว็ปพันทิปถามว่า "คุณได้แง่คิดอะไรจากเรื่อง อดัม+อีฟ"
    หลายๆ ท่านก็มาตอบๆ กันไป มีสมาชิกอยู่ท่านหนึ่ง เข้ามาตอบว่า "ผมชอบเรื่อง
    อดัม กับ อีฟ ครับ เพราะตามแง่มุมของเรื่องแล้ว งู คือ อวิชชา"

    มันเป็นคำตอบที่มีแง่มุมดีจริงๆ ผมเลยเอามาต่อยอดความรู้เพิ่มจนได้ความว่า
    ที่จริงแล้วเรื่อง อดัม กับ อีฟ เป็นคล้ายๆ นิทานแฝงปริศนาธรรม ที่เราต้องมา
    ไขปริศนาเอาเองว่าอะไรเป็นอะไร

    และ ผมก็ได้คำตอบทั้งหมดแล้ว เอามาโพสท์บอกในเว็ปพลังจิตทีไร กระทู้นั้น
    ก็หายไปทุกที (ฮา) ดังนั้นผมจะไม่บอกคำตอบคุณ jitfreeman นะครับ
    ลองไปแก้ปริศนาดูเองแล้วกันนะ

    โดยเริ่มที่ระดับเดียวกับผมเนี่ยแหละครับ


    อวิชชา - อัตตา = งู


    (อัตตา ในที่นี้หมายถึง ความเป็นตัวตน บุคคล คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ฯลฯ นะครับ)



    ลองไปหาคำตอบต่อดูนะครับ ว่าที่เหลือ คืออะไรบ้างเอ่ย? ^ ^
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  13. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ลองเดาใจคริสเตียนดูเล่นๆ นะ ผมว่ามันก็น่าโมโห เหมือนกันแหละ เพราะว่า
    เข้าข่ายเหมารวมเลยทีเดียว ว่าคริสเตียนทั้งหมดไม่ดี ซึ่งจริงๆ แล้ว คริสเตียน
    โดยทั่วๆ ไป ในอดีตเขาก็เป็นแค่ทาสของพวกโรมัน เท่านั้นเอง หรือเรื่อยๆ มา
    จนถึงปัจจุบัน พวกเขาก็เป็นแค่ประชาชนธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป

    แล้วกระทู้นี้ออกแนวด่าแบบเหมารวมไปเยอะเลย ประชาชนชาวคริสเตียนเขา
    ก็สมควรโกรธนะ

    ทางที่ดี เราควรซูมเป้า ไปที่ตัวสาเหตุของปัญหาดีกว่าว่า เกิดจากอะไร หรือ คนกลุ่มใด?

    การที่คริสเตียนกลุ่มหนึ่งออกมาทำเรื่องเลวๆ ได้เนี่ย มันเป็นเพราะรับนโยบายมาจากใคร
    หรือ คนกลุ่มใด? (อิอิ หาคำตอบง่ายมากเนอะ 555+)


    ปล.แค่เข้าข่ายเหมารวมนะครับ คือในกรณีที่อ่านไม่แตก แล้วมันจะได้อารมณ์นั้นน่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  14. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130
    ...................................................................................


    ก็ผมว่าให้อ่านข้อความข้างล่างนี้ครับ แล้วเอามาแปล
    คำแปลบทสัมภาษณ์ "Lacerta" ชาวโลกอีกเผ่าพันธุ์นึง





    อืม... ผมไม่แน่ใจนะครับว่าคุณเป็นชาวพุทธหรื่อเปล่านะ (อันนี้ไม่ได้ว่านะครับ) พระพุทธเจ้าของชาวพุทธ มีหลายพระองค์ครับ นับตั้งแต่อดีตจันถึงปัจจุบัน โดยองค์ปัจจุบันนี้เป็น องค์ที่ 4 ครับ

    ...และอีกอย่าง หากใครคิดว่ามันไม่ดี มันก็ไม่ดี หากใครคิดว่ามันดี มันก็ดี...
    ...ที่ผมเอามาลง ผมไม่ได้คิดเองนี่ครับชื่อคนคิดคนบอกเค้าก็มี หากจะว่าก็ต้องไปว่าคนที่คิดสิครับ และเรื่อง งู ที่ผมว่าเป็นพระยานาคนั้น ก็ห้องนี้เป็นห้องแนววิทยาสตร์ไม่ใช่หรื่อครับ ในทางวิทยาศาสตร์นั้นทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ และผมไม่ได้หวังให้ใครชื่อ ผมไม่ได้พูดซะหน่อยนะว่าผมถูก ผมตีความของความนี้เท่านั้น(มันเป็นเรื่องทางเอกสารครับ ความจริงอยากรู้ก็ต้องไปถามพระเจ้าเอาเองแล้วกันครับ)
    ...แล้วถ้าหากคุณรู้จริง คุณไปบอกใครแล้วใครเค้าจะเชื่อคุณมั้ย


    **** ฝากนิดนะครับ ผมแค่ตีความหมายตามหลักฐานที่มี และ เป็นเอกสารเท่านั้น และเท่าที่จะค้นคว้าเจอ เท่านั้น ไม่ได้คิดล่วงเกินใครครับ ผิดถูกขออภัยด้วยครับ ****


    ....... เฮ๊อ!!! มนุษย์ .......
     
  15. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    ^
    ^
    ^
    ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นชาวพุทธครับ


    บทความของคุณในกระทู้นี้ ก็บอกอยู่แล้วว่า อารยะธรรมโลกยุคปัจจุบันพัฒนามาจากธรรมะ
    ของพระพุทธเจ้าโคตะมะ ดังนั้นถ้าเป็นอารยะธรรมก่อนพุทธกาลล่ะ ผมจะบอกว่าเป็นอารยะธรรม
    ที่เสื่อมสลายไปแล้วของพระพุทธเจ้ากัสสปะ ได้มั๊ยล่ะครับ


    แต่ถึงแม้ว่ามันจะเสื่อสลายไปแล้วก็ตาม กลิ่นไอแห่งธรรมะยังคงแฝงอยู่ในความเชื่อทั่วไป
    ของของคนในยุคก่อนพุทธกาลครับ บางอารยะธรรมก็เอาอัตตาความเป็นตัวตนไปใส่ให้
    จิต เจตสิก นิพพาน ฯลฯ แล้วผูกเรื่องเข้าไปเป็นนิทาน บางอารยะธรรมก็เอามาแต่เรื่อง
    ทศชาติชาฎก แล้วเพี้ยนๆ ไปเป็นเรื่องของเทพ AVATAR บางอารยะธรรมยังยืนอนัตตา
    เหมือนเดิมแต่ก็เพี้ยนเป็น นิพพาน เป็นผู้ให้กำเนิด รูป+นาน ฯลฯ ผมคิดว่ามันก็ประมาณนี้แหละครับ


    ส่วนเรื่อง Lacerta นั้นเขาก็บอกอยู่แล้วว่า พวกเขาอยู่ในตำนานของทุกๆ ชาติ แต่เราไม่รู้กันเอง
    ดังนั้นการที่เราจะบอกว่าพวกเขาคือ นาค งู หรือ มังกร ฯลฯ ก็ได้ครับ

    จริงๆ แล้วถ้าเราดูตามตำนานโบราณบางเรื่อง ถ้ามองในแง่มุม sci-fi ไปเลยแล้วเราจะรู้ว่า
    พวก Lacerta เองนั่นแหละ ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ใช้สู้กับกองทัพโคลนนิ่ง ของอีกฝ่ายที่มีผู้นำ
    เป็นตัวโคลนิ่งทั้ง 10 เลยด้วยซ้ำครับ

    และ เผลอๆ หลังจากที่พวกเขาชนะฝ่ายโคลนนิ่งไปแล้ว มนุษย์ก็กลายเป็นทาสพวกเขาจนกระทั้ง
    พระพุทธเจ้ากัสปะมาตรัสรู้ แล้วก็ได้ปฏิวัติพวก Lacerta ในที่สุดครับ ซึ่งช่วงนี้ก็มีมนุษย์
    ต่างดาวมาช่วยรบด้วยนะครับ (อ่านได้จากเรื่อง Lacerta หรือ พระเจ้าจากอวกาศ ก็ได้ครับ)


    ปล.ความคิดเห็นทั้งหมดที่ผมเสนอมานี้เป็นไปเพื่อเชื่อมโยงเรื่องราวต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อ
    ให้เราได้เห็นภาพรวมที่ใหญ่กว่า เหมือนกับการต่อภาพจิ๊กซอว์ เท่านั้นครับ ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด
    เป็นพิเศษ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤศจิกายน 2010
  16. Jjfreeman

    Jjfreeman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2010
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +130

    " ส่วนเรื่อง Lacerta นั้นเขาก็บอกอยู่แล้วว่า พวกเขาอยู่ในตำนานของทุกๆ ชาติ แต่เราไม่รู้กันเอง
    ดังนั้นการที่เราจะบอกว่าพวกเขาคือ นาค งู หรือ มังกร ฯลฯ ก็ได้ครับ

    จริงๆ แล้วถ้าเราดูตามตำนานโบราณบางเรื่อง ถ้ามองในแง่มุม sci-fi ไปเลยแล้วเราจะรู้ว่า
    พวก Lacerta เองนั่นแหละ ที่สร้างมนุษย์ขึ้นมา ใช้สู้กับกองทัพโคลนนิ่ง ของอีกฝ่ายที่มีผู้นำ
    เป็นตัวโคลนิ่งทั้ง 10 เลยด้วยซ้ำครับ

    และ เผลอๆ หลังจากที่พวกเขาชนะฝ่ายโคลนนิ่งไปแล้ว มนุษย์ก็กลายเป็นทาสพวกเขาจนกระทั้ง
    พระพุทธเจ้ากัสปะมาตรัสรู้ แล้วก็ได้ปฏิวัติพวก Lacerta ในที่สุดครับ ซึ่งช่วงนี้ก็มีมนุษย์
    ต่างดาวมาช่วยรบด้วยนะครับ (อ่านได้จากเรื่อง Lacerta หรือ พระเจ้าจากอวกาศ ก็ได้ครับ) "

    อ้างอิงจากคุณ ^ ^
    นี่ละครับความหมายที่ผมว่า ผมคิดในลักษณะแบบข้อความข้างบนนี้ครับ ผมพยามหาความหมายง่ายๆที่พอจะเห็นภาพได้แค่นั้น เองครับ
    ....................................................................................

    ....... อ่าๆๆๆ กลายเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย ผมดีใจนะที่ได้คุยแบบนี้ ผมว่ามันท้าทายดี สนุกดี อยากให้ทำใจให้สบายๆครับ จริงเท็จ ถูกผิด เป็นเรื่องธรรมดาของแต่ละคน คนเรามันเข้าใจกันคนละแบบ ยินดีรับคำแนะนำครับส่งมาได้ตลอดเลย และถ้าหากคุณมีอะไรที่ดีๆก็เอามาลงได้ครับ ติดตามอ่านครับ .......
     

แชร์หน้านี้

Loading...