ชาติหน้าจึงจะได้พุทธยากรณ์ และอีกแสนชาติจึงจะได้พระโพธิญาณ

ขอรบกวนสอบถามนิดนึงครับ เมื่อวานนี้ผมนั่งสมาธิและเกิดนิมิตรว่าได้พบองค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านบอกว่าผมก็ปราถนาพุทธภูมิ ประเภทปัญญาธิกะเช่นเดียวกับท่าน ซึ่งก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยนึกถึงเรื่องการปราถนาพุทธภูมิเลย แต่ทุกครั้งที่ผมทำบุญและปฏิบัติธรรมทุกครั้ง ผมรู้สึกแปลกๆ ที่จะอธิษฐานจิตว่าให้นิพพานชาตินี้ ทั้งที่ใจเชื่อมั่นเต็มเปี่ยมว่านิพพานมีจริงและต้องการจะไปนิพพาน แต่จิตลึกๆ บอกว่าต้องไปแน่ แต่ยังก่อน ยังไม่ใช่ชาตินี้

กลับมาที่นิมิตรเมื่อวานนี้ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาองค์ปัจจุบันท่านบอกว่า ชาติหน้าผมจะได้พุทธพยากรณ์ และอีกแสนชาติจึงจะบรรลุพระโพธิญาณ ผมจึงอยากขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ช่วยชี้แนะด้วยครับ ว่าผมควรปฏิบัติตนต่อไปอย่างไรดี และควรลาพุทธภูมิหรือเดินไปต่อดีครับ เพราะถ้าได้พุทธพยากรณ์แล้ว คงกลับไม่ได้แล้วครับ

รบกวนช่วยสงเคราะห์ด้วยครับ

 

ถ้าคิดว่ามีใจรักในพระโพธิญาณก็ไปต่อครับ ถ้ากลัวว่าข้างหน้าจะ
ลำบากก็ควรจะลา เพราะยังไงก็ต้องเจอกับความทุกข์อีกมากมาย
กระหนํ่าแล้วกระหนํ่าอีก ท้อแล้วท้ออีก แต่ก็ต้องลุกขึ้นมาสู้ใหม่

ถ้ากล้าที่จะอดทนเพื่อสรรพสัตว์ในวันหน้าก็ควรทำบารมีพุทธภูมิ
ต่อไปครับ ขอเอาใจช่วยครับ

 

นั่งสมาธิเก่งๆ เดี๋ยวก็รู้เอง

 

อนุโมทนาบุญ คุณ<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Tuumm ครับ

ลองไปสอบถามพระครูบาอาจารย์ที่ท่านมีญาณ

ถ้าตอนนี้ คุณยังไม่แน่ใจ ก็ปฏิบัติให้เต็มที่ทั้ง 2 ส่วน คือ

ส่วนสาวกภูมิ เน้นที่ ทาน ศีล สมถ วิปัสสนา
ส่วนพุทธภูมิ เน้นที่ การช่วยงานพระพุทธศาสนา/ประเทศชาติ/สาธารณกุศล

ทำไปทั้ง 2 ส่วนนี้เถอะครับ มีแต่ดีกับดี

เมื่อถึงเวลาก็ทราบเอง อาจโดยรู้เองส่วนตัว หรือ มีผู้มาบอก

 

ขอรบกวน จขกท. ถามเพิ่มครับว่า เมื่อไม่กี่วันนี้ ผมอ่านกระทู้นี้ แล้วเกิดปีติมากเลย เพราะเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัสสป ท่านเทศน์ให้เรื่องดูว่ายากแต่มันทำไม่ยากเลย เพราะบางส่วนผมก็ทำเป็นปรกติอยู่แล้ว เลยรู้สึกเลื่อมใสท่านว่า ถ้าคนไม่ใช่พระพุทธเจ้าจะเทศน์ให้เราฟังแล้วเราจะเข้าใจไหมหนอ ปีติมันเกิดมากเลยตอนนั้นเลยคิดอยากอธิฐานว่า (พราะเลื่อมใสความเป็นพระพุทธเจ้าแล้วเราก็หวังพระโพธิญาณอยู่แล้ว)

---ถ้าแบบนี้ผมขอตั้งจิตอธิฐานไว้ ณ ที่นี่เลยว่า ชาติหน้าขอเกิดเป็นพรหมด้วยอำนาจของความดีที่ข้าพเจ้าทำ เพื่อหวังสร้างบารมีอันมีพระโพธิญาณเป็นที่สุด หากแม้นชาติหน้าไม่ได้เกิดเป็นพรหมก็ขอ มาเกิดเป็นมนุษย์จะนับอีกกี่ชาติก็ตาม ขอเกิดเป็นผู้ชายทุกชาติ มีอวัยวะครบ 32 มีรูปร่าง หน้าตา สวยสด งดงาม มีทรัพย์สมบัติมากมาย และมุ่งหวังพระโพธิญาณทุกชาตินับจากนี้ไป

มาฉุดคิดได้ว่า แบบนี้ถือว่าเป็นการลั่นวาจาไปแล้วหรือยัง ความรู้สึกแต่แรกก็หวังพุทธภูมิอย่างเดียวเลยไม่สนสาวกภูมิเลย ท่านใดพอมีความรู้ช่วยแนะนำทีนะครับว่าถือเป็นการลั่นวาจาไปแล้วหรือยัง เพราะกลัวอารมณ์ปีติมันมากจนอาจจะเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่านไปเอง.

 

โมทนาสาธุกับความตั้งใจของคุณกิดากรครับ การที่คุณตั้งใจอธิษฐานจิตแบบนี้ก็ถือว่าคุณกิดาดรปรารถนาพทธภูมิแล้ว แต่ก็ยังสามารถกลับคำอธิษฐาน หรือขอลาพุทธภูมิได้ครับ ถ้าคุณกิดากรยังไม่ได้รับพุทธพยากรณ์โดยสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งว่าจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต เพราะถ้าได้รับพุทธพยากรณ์แล้ว จะไม่สามารถลาพุทธภูมิได้ครับ

 

อยู่ที่คุณ Tuummแล้วล่ะครับว่าจะเดินทางต่อไป หรือจะไปทางลัด แต่ในเมื่อพระท่านมาบอกขนาดนี้ ยังมีวิกิจฉาอยู่อีกหรือครับ

 

ชาติหน้าจึงจะได้พุทธยากรณ์และอีกแสนชาติจึงจะได้พระโพธิญาณ

ถ้ากระแสของโพธิญาณเข้าสู่กระแสจิตแล้ว ระยะเวลาสั้น-ยาวก็ไม่มีความหมายแล้วละ เพราะจิตของผู้เข้าถึงโพธิญาณจะมุ่งให้ผู้อื่นพ้นทุกข์อย่างเดี่ยว

 

ถ้าเราแน่วแน่จะเอาพระนิพพานแล้ว สิ่งที่เป็นนิมิตที่ปรากฏจะเป็นด้วยผลอกุศลกรรมจนถึงมารมาทำก็ได้ครับ ไม่ยากสำหรับเขา ที่ให้จับสังเกตน่ะครับ ถ้าลักษณะของพระพุทธเจ้ามาสงเคราะห์จะไม่มาโปรดแบบพูดตรงๆ ง่ายๆ แบบนั้นหรอกครับ ส่วนใหญ่ท่านจะแสดงเหตุการณ์เป็นนิมิตให้เห็นทั้งในสมาธิหรือในความฝันก็ได้ ให้เราตีความอีกที และพระองค์ท่านจะไม่บอกในลักษณะที่เหลืออีกเท่าไหร่ครับ แต่จะบอกเป็นลักษณะที่ว่าถ้าตั้งใจต่อสำเร็จแน่ ถ้าไม่ก็ไม่สำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่ดีน่ะครับ เพียงแต่ถ้าเราไปหลงกับความรู้สึกที่เราเชื่อว่าเราเป็นเช่นนั้น มันจะกลายเป็นถือตัวถือตนได้ง่ายแล้วการปฎิบัติต่อจะยากครับ

 

ลองดูว่าเรามีใจแน่วแน่แค่ไหนครับ เพราะถ้าเรายังไม่แน่ใจแบบนี้ไม่ต้องห่วงเรื่องชาติหน้าจะได้พุทธพยากรณ์หรอกครับไม่ได้แน่ แนะนำว่าลองอ่าน วัชรเฉทิกปรัชญาปารมิตาสูตร ดูครับว่าควรทำใจอย่างไร ใช่ตัวเราหรือเปล่า

 

ได้พุทธพยากรณ์ เพราะว่า มันจะต้องเกิดขึ้นจริง นั่นก็หมายความว่า คุณไม่เปลี่ยนใจจริง ๆ


ถ้าบารมีคุณใกล้จะเต็มแล้ว ส่วนตัวก็คงจะขอให้คุณทำพระโพธิญาณให้แจ้ง แล้วก็โปรดสัตว์โลกทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ด้วยเถิด


แต่ไม่ว่าคุณจะเลือกหนทางใด พุทธภูมิ หรือเข้านิพพานก็ตาม ผมก็ขออนุโมทนาทุกบุญกุศลที่คุณได้ทำไว้แล้วด้วยเถิด

 

วันก่อนได้เจอคุณที่ไปฝึกกับอาจารย์เล็กนะ.... มาขนาดนี้แล้ว ยังไงก็สู้ๆละ
เราเข้าใจว่าหรทางมันไกลและใจเราก็ตั้งไว้พระนิพพานแล้ว แต่นั้นเองที่เราต้องบอกคนอื่นๆต่อไป ^^

 

ผมขอแนะนำนะครับ

คุณเจ้าของกระทู้ไม่ควรที่จะไปสนใจกับนิมิตนั่นครับ

สิ่งที่คุณอยากจะรู้จริงๆก็คือการปฏิบัติตัวของตัวคุณเองมิใช่ของใครอื่น
มันก็ง่ายๆไม่ใช่เหรอ ก้อแค่เดินตามทางสายกลางไปเรื่อยๆ
จะไปนิพพานหรือจะไปโปรดเหล่าสรรพสัตว์
ยังไงๆมันก้อเป็นทางสายเดียวกันยึดมั่นในธรรมเหมือนกัน
คุณจงอย่าไปแยกมันนักเลย

ส่วนเรื่องจะรับพุทธพยากรณ์ดีหรือไม่ดีน่ะ ยังไม่จำเป็นต้องตัดสินใจหรอก
คุณทำตามกำลังใจของคุณไปเรื่อยๆ พอกำลังใจคุณอยู่ตัวเดี๋ยวคุณก็รู้เองล่ะ

ตามความคิดของคุณน่ะ ต้อง "ทำก่อนแล้วค่อยคิด"อย่าไป "คิดก่อนแล้วค่อยทำ"
มีความหมายคือ ทำไปเรื่อยๆพอมีปัญหาก้อแก้มันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าคิดไปซะมากมายสุดท้ายไม่ทำสักอย่าง

สุดท้ายนี้ผมอยากจะฝากไว้อีกเรื่องคือ

"พระรัตนตรัยน่ะประกอบไปด้วย แก้วสามประการนะ ถ้ามีเพียงหนึ่งหรือสองย่อมไม่ใช่พระรัตนตรัย"

 

:z6อ่านแล้ว งง กับศัพท์ ที่พี่ๆใช้ แต่ที่เข้ามาเพราะเห็นชื่อพี่ชายที่ นับถือ เข้ามาตอบ เลยเข้ามาอ่าน แต่พออ่าน dannce_ งง เป็นไก่ตาแตก
เช่น ผมก็ปราถนาพุทธภูมิ ประเภทปัญญาธิกะเช่นเดียวกับท่าน
คือไรอะคะ?????
แล้วก็ องค์สมเด็จพระบรมศาสดาองค์ปัจจุบัน

หมายถึงพระพุทธเจ้าหรือเปล่าคะ ทำไมไม่เขียน ว่าพระพุทธเจ้า หรือเขียนเหมือนตอนแรกที่พี่บอกว่า
และเกิดนิมิตรว่าได้พบองค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
ทำไมพี่ถึงเรียกเปลี่ยนไปคะ ไม่เข้าใจคะ อ่านเรื่องก็ ทำให้ไม่เข้าใจ ว่าหมายถึง อะไร หรือว่ามี นัยยะสำคัญอะไร แฝง แล้วหนูไม่เข้าใจ ช่วยอธิบายด้วยนะคะ จะได้เป็น การให้ความรู้แก่ผู้ไม่รู้คะ
ผมจึงอยากขอคำแนะนำจากเพื่อนๆ ช่วยชี้แนะด้วยครับ ว่าผมควรปฏิบัติตนต่อไปอย่างไรดี และควรลาพุทธภูมิหรือเดินไปต่อดีครับ เพราะถ้าได้พุทธพยากรณ์แล้ว คงกลับไม่ได้แล้วครับ
มีคำตอบเยอะแยะเลย อ่านแล้วก็งง คะ ใช้ศัพท์ สูงๆแบบนี้ ไปเรียนมาจากไหน สงสัยหนูต้องถามพระอาจารย์แล้ว ว่าทำไม ไม่สอนหนูบ้าง
แต่พี่เจ้าของกระทู้ คงเก่งน่าดู ยังต้องการคำตอบคนอื่นอยู่เหรอคะ? ถ้าหนูรู้อย่างพี่เจ้าของกระทู้คงจะดีนะ rabbit_run_away แต่หนูชอบ ที่พี่Ricky ตอบนะคะ
หนูยังต้องศึกษาอีกมาก ถ้าเขียนอะไรผิด ช่วยสอนด้วยนะคะ (deejai)

 

เส้นทางพุทธภูมิ จะได้เจอพระอริยที่ท่านมาโปรดเอง ไปไหว้พระบ่อยๆ สังเกตพรที่ท่านให้ก็ได้ ท่านมักจะให้พรว่า สิ่งที่ท่านปรารถนาขอให้สำเร็จทุกประการ ยังไงก็ได้เจอครูบาอาจารย์ ผู้ยืนยันให้ แน่นอน

 

ขอบคุณ จขกทค่ะ บุญรักษาทุกท่านค่ะ

 

ขออนุโมทนาบุญกับเจ้าของกระทู้ที่ได้ทำมาด้วยครับ คุณพระรักษา

 

เราสามารถเรียกพระพุทธเจ้าได้หลายชื่อครับ แต่ให้เข้าใจว่าคือพระพุทธเจ้าก็ ok แล้วครับ เพราะภาษาเป็นแค่สิ่งสมมติ ที่ใช้ในการสื่อสารเท่านั้น

พระนามของพระพุทธเจ้า : http://palungjit.org/posts/121059

 

ในอดีตพระโพธิสัตว์เมื่อได้รับพุทธพยากรณ์ท่านทำอย่างไร ถ้ายังเป็นฆราวาสทุกท่านจะคิดว่าประโยชน์อะไรที่จะอยู่บริโภคกาม ทุกท่านจะสละทรัพย์สินทั้งหมดออกบวชโดยทันที

 

ผมพอจะเข้าใจว่าคุณกำลังงงเรื่องอะไรนะครับ เพื่อนๆน้องๆพ่อแม่และญาติๆผมหลายคนก้องงเหมือนกันในตอนแรก เอาเป็นว่าผมจะอธิบายให้คร่าวๆ

โลกที่เราน่ะจริงๆมันเกิดขึ้นมานานๆๆๆๆๆมาก นานจนความรู้ของมนุษชาติยังคงอีกไกลกว่าจะไปถึง

ในระยะเวลาอันนั้นเองก้อได้มีพระสัมสาสัมพุทธเจ้าเกิดขึ้นมากมาย มิใช่เพียงพระองค์เดียวแต่อย่างใด เพียงแต่ยุคนี้คือยุคของ"องค์สมณโคดม" ซึ่งองค์นี้ก้อคือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน องค์เดียวกับที่เคยมีชื่อตอนเป็นฆราวาสว่า สิทธัตถะ

แต่ทว่าก่อนที่ท่านจะมาเป็นพระพุืทธเจ้าได้นั้น ท่านจะต้องบำเพ็ญบารมีมามากมาย ตามหลักของบารมี 10 หรือบางคนจะเรียกว่า บารมี 30ทัศ ซึ่งมันคืออันเดียวกัน เพียงแค่เอามานับรวม ทุกขั้นของแต่ละบารมี โดยทางสายนี้จะเน้นไปทางด้านการชี้นำ, ช่วยเหลือสรรพสิ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก้อตาม ซึ่งทางสายนี้จะถูกเรียกว่า พุทธภูมิ

นอกนั้นก้อจะแบ่งเป็นปัจเจกภูมิ สาวกภูมิ

ถ้าจะให้เปรียบเทียบ ก้อคงจะคล้ายๆกับ

พุทธภูมิ ---- รถโดยสารขนาดใหญ่
ปัจเจกภูมิ --- รถตู้
สาวกภูมิ ---- รถยนต์ทั่วไป

ซึ่งทั้งสามนี้มีต้นทุนในการสร้างต่างกัน และก็มีประโยชน์ต่อผู้คนต่างกัน

ทั้งสามภูมินี้ พุทธภูมิย่อมต้องใช้เวลาในการบำเพ็ญบารมีนานที่สุด โดยพุทธภูมิจะจำแนกแนวการบำเพ็ญบารมีออกไปอีกสามอย่าง คือ ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ วิระยะธิกะ ซึ่งแต่ละอย่างจะมีระยะเวลาในการบำเพ็ญต่างกันมาก

ปัญญาธิกะ
บำเพ็ญบารมีช่วงต้น :อธิษฐานในใจ ไม่ได้พูดออกมา 7 อสงไขย
บำเพ็ญบารมีช่วงกลาง อุปบารมี : แปร่งวาจาอธิษฐาน 9 อสงไขย
บำเพ็ญบารมีช่วงปลาย ปรมัตถบารมี :หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ 4 อสงไขยกับเศษ 1 แสนมหากัป รวม 20 อสงไขย 1 แสนมหากัป

ศรัทธาธิกะ
บำเพ็ญบารมีช่วงต้น :อธิษฐานในใจ ไม่ได้พูดออกมา 14 อสงไขย บำเพ็ญบารมีช่วงกลาง อุปบารมี :แปร่งวาจาอธิษฐาน 18 อสงไขย
บำเพ็ญบารมีช่วงปลาย ปรมัตถบารมี :หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ 8 อสงไขยกับเศษ 1 แสนมหากัป รวม 40 อสงไขย 1 แสนมหากัป

วิริยาธิกะ
บำเพ็ญบารมีช่วงต้น :อธิษฐานในใจ ไม่ได้พูดออกมา 28 อสงไขย บำเพ็ญบารมีช่วงกลาง อุปบารมี :แปร่งวาจาอธิษฐาน 36 อสงไขย
บำเพ็ญบารมีช่วงปลาย ปรมัตถบารมี :หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ 16 อสงไขยกับเศษ 1 แสนมหากัป รวม 80 อสงไขย 1 แสนมหากัป

1 อสงไขยเท่ากับ 1 ต่อด้วยศูนย์อีก 140ตัว ปี

แค่นี้คงจะพอเข้าใจแล้วนะครับ อิอิ เห็นว่าชอบที่ผมตอบเลยตอบให้ละเอียดเลย