พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ส่งรูปแล้ว

    ส่งไปยังอีเมล์พี่หนุ่มแล้วครับ ขอบพระคุณล่วงหน้าในวิทยาทานครับ
    อ๊อด
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 14 คน ( เป็นสมาชิก 3 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, somlatri, ปฐม</td></tr></tbody></table>

    สวัสดีตอนค่ำครับ

    วันนี้ อาจจะแวบไปนอนเร็ว

    ขับรถทั้งวันเลย เช้าไปเลี่ยมพระ ประมาณ 3 โมงเช้าเดินทางไป สนส.บ่อเงินบ่อทอง หลังจากนั้นเดินทางไปหาท่านอาจารย์ประถม แล้วก็เดินทางกลับมาหาพี่ใหญ่ครับ

    .
     
  5. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    , sithiphong สวัสดีตอนค่ำครับพี่หนุ่ม ถ้าเหนื่อยมาทั้งวันก็พักผ่อนบ้างเถอะครับผม แหมพี่ท่านแรงดีไม่มีตกเลยนะครับหุหุหุ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ระวัง 6 โรค มากับภัยหนาว ดอยอินทนนท์ 5.2 องศา


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    หลัง จากที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ออกมาระบุฤดูหนาวปีนี้จะมีสภาพอากาศหนาวที่สุดในรอบ 30 ปี อุณหภูมิมีค่าเฉลี่ยต่ำกว่าเกณฑ์ปกติ โดยเฉพาะในพื้นที่ 11 จังหวัด ในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ ตาก แม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน เลย อุดรธานี หนองคาย สกลนคร และนครพนม นั้น

    ล่าสุดวันนี้ (31 ตุลาคม) ดร.พรรณสิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยโรคติดต่อหลายโรค ที่มักพบบ่อยในฤดูหนาวมี 6 โรค ได้แก่...

    [​IMG] โรคไข้หวัด และไข้หวัดใหญ่ อาการ จะเริ่มด้วยการมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อ ไอ เมื่อเริ่มมีอาการควรนอนพักผ่อนให้มาก ๆ ดื่มน้ำบ่อย ๆ ถ้าตัวร้อนมากควรใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดตัว หรือกินยาลดไข้ อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นภายใน 2-7 วัน แต่หากมีอาการไอมากขึ้น หรือมีไข้สูงนานเกิน 2 วัน ควรไปพบแพทย์

    [​IMG] โรคปอดบวม จะมีอาการโดยทั่วไปได้แก่ ไอ เจ็บหน้าอก มีไข้สูง และหายใจหอบ การวินิจฉัยจะกระทำโดยการฉายรังสีเอกซ์และการตรวจเสมหะ ซึ่งหากมีความรุนแรง ต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เนื่องจากเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากที่สุดในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี รวมทั้งเด็กที่มีน้ำหนักตัวน้อย เด็กขาดสารอาหาร เด็กที่มีความพิการแต่กำเนิด เช่น โรคหัวใจ เป็นต้น

    [​IMG] โรคหัด มักเกิดในเด็กโตและวัยรุ่น อาการจะเริ่มจากมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง และจะมีผื่นขึ้นภาย หลังมีไข้ประมาณ 4 วัน จากนั้น ผื่นจะกระจายทั่วตัว โดยผื่นจะจางหายไปภายใน 2 สัปดาห์ เด็กที่ป่วยเป็นหัด ให้แยกออกจากเด็กอื่น ๆ ประมาณ 1 สัปดาห์

    [​IMG] โรคหัดเยอรมัน เป็นได้ทั้งผู้ใหญ่ และเด็กเล็ก มีอาการไข้ ออกผื่นคล้ายโรคหัด บางรายอาจไม่มีผื่นขึ้น หากเป็นหัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนแรก อาจทำให้ทารกในครรภ์พิการได้ ดังนั้น ควรพบแพทย์ และหยุดงาน หรือหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์

    [​IMG] โรคสุกใส มักจะเกิดในเด็ก เมื่อเป็นโรคนี้แล้ว จะมีภูมิต้านทานโรคตลอดชีวิต อาการจะเริ่มด้วยไข้ต่ำ ๆ ต่อมา จะมีผื่นขึ้นที่หนังศีรษะ หน้า ตามตัว โดยเริ่มเป็นผื่นแดง ตุ่มนูน แล้วเปลี่ยนเป็นตุ่มพองใสหลังมีไข้ 2-3 วัน จากนั้น ตุ่มจะเป็นหนอง และแห้งตกสะเก็ดหลุดออกเองประมาณ 5-20 วัน เด็กนักเรียนที่ป่วยควรหยุดเรียนประมาณ 1 สัปดาห์ เด็กเล็กที่ป่วยควรตัดเล็บให้สั้น เพื่อป้องกันการอักเสบจากการเกาที่ผื่น

    [​IMG] โรคอุจจาระร่วง ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า โรต้าไวรัส มักจะเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี ติดต่อโดยการดื่มน้ำ หรือกินอาหารที่มีเชื้อไวรัสปนเปื้อนเข้าไป โดยเด็กจะถ่ายอุจจาระเป็นน้ำ หรือถ่ายเหลวบ่อยครั้ง โดยทั่วไปอาการไม่รุนแรง แต่เด็กบางคนอาจขาดน้ำรุนแรง หากมีเด็กในบ้านถ่ายเหลว ควรให้กินอาหารเหลวบ่อย ๆ เช่น น้ำข้าวต้ม น้ำแกงจืด ให้ดื่มนมแม่ สำหรับเด็กที่ดื่มนมผสม ควรผสมนมให้เจือจางลงครึ่งหนึ่งจนกว่าอาการจะดีขึ้น หากยังถ่ายบ่อยให้ผสมสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ให้ดื่มบ่อย ๆ อาการจะกลับเป็นปกติได้ภายใน 8-12 ชั่วโมง หากอาการไม่ดีขึ้นต้องรีบพาไปพบแพทย์ทันที

    โดยกลุ่มประชาชนทีมีความเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคปอด โรคโลหิตจาง เนื่องจากมีระดับภูมิต้านทานโรคต่ำอยู่แล้ว จึงขอให้รักษาความอบอุ่นร่างกาย ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 หมู่ ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มมึนเมา ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ล้างมือบ่อย ๆ

    [​IMG]

    อย่างไรก็ตาม ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ รายงานว่า อุณหภูมิต่ำสุดเช้านี้วัดได้ 5.2 องศาเซลเซียส ที่ยอดดอยอินทนนท์ อำเภอจอมทอง ขณะที่อุณหภูมิพื้นราบในตัวเมืองเชียงใหม่ได้ลดลงมาต่ำสุดที่ 17.7 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ชาวเขาที่อาศัยอยู่บนยอดดอย เริ่มผิงไฟเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย ขณะที่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ เริ่มเดินทางไปท่องเที่ยวบนยอดดอยต่าง ๆ กันอย่างคึกคัก ขณะเดียวกันประชาชนพากันแห่ไปเลือกซื้อเสื้อกันหนาว ที่ตลาดวโรรสกันอย่างคึกคัก

    ที่จังหวัดเชียงราย สถานีอุตุนิยมวิทยา จังหวัดเชียงราย รายงานการตรวจวัดอุณหภูมิต่ำสุด ที่ท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง สามารถวัดได้ 16 องศาเซลเซียส


    ขณะที่ชาวอุบลราชธานี ได้เลือกซื้อเสื้อผ้ากันหนาวมือสองกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นต่อเนื่องมา 2-3 วัน ส่วน ใหญ่เลือกซื้อประเภทที่ทำจากหนังหรือที่มีขนสัตว์ เสื้อผ้ามือสองที่จำหน่ายในปีนี้ ราคาตัวละ 55-150 บาท ซึ่งผู้ซื้อส่วนใหญ่บอกว่าเป็นราคาที่เหมาะสม และทราบว่าจะต้องนำไปซักหรือต้ม เพื่อฆ่าเชื้อก่อน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคผิวหนัง

    ที่จังหวัดร้อยเอ็ด อากาศหนาวเย็นลง ลมหนาวพัดมาอย่างต่อเนื่อง ชาวบ้านในท้องที่อำเภอหนองพอก อำเภอเมยวดี ชาวบ้านก่อไฟพิงหนาว ขาดแคลนเครื่องนุ่งห่ม เป็นบรรยากาศที่น่าเห็นใจของชาวบ้านอย่างยิ่ง โดยทั่วไปในเขตพื้นที่ 20 อำเภอ 192 ตำบล 2,468 หมู่บ้าน ของจังหวัดร้อยเอ็ด ได้รับผลกระทบเช่นกัน

    ทางด้าน นายพรเทพ แสงทอง ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จังหวัดบุรีรัมย์ ออกมาเปิดเผยว่า ขณะนี้เริ่มย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด จึงได้ประสานกับอำเภอ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ออกสำรวจราษฎร ทั้งเด็ก คนชรา คนพิการ และผู้ยากไร้ โดยเฉพาะในท้องถิ่นทุรกันดาร ที่ประสบปัญหาขาดแคลนเครื่องนุ่งห่มกันหนาว เพื่อรายงานไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พิจารณาจัดสรรงบประมาณดำเนินการจัดซื้อผ้าห่ม นำไปแจกจ่ายช่วยเหลือบรรเทาความหนาวเย็น ให้กับผู้ขาดแคลนดังกล่าว

    ส่วนจากการติดตามสภาพอากาศที่เริ่มหนาวเย็น ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ ขณะนี้อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 13-15 องศา โดยเฉพาะช่วงเช้าจะมีหมอกหนาลงปกคลุม ส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ในเขตเทือกเขาภูพาน ต้องเดินทางสัญจร ด้วยความยากลำบาก นอกจากนี้ ยังพบว่าอากาศที่หนาวเย็น ยังทำให้ประชาชนต้องออกมานั่งผิงไฟเป็นจำนวนมาก และตามโรงพยาบาลชุมชนหลายแห่ง มีผู้ป่วยเป็นโรคไข้หวัดเพิ่มขึ้นถึง วันละ 300-400 ราย โดยเฉพาะเด็กเล็ก เจ็บป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งแพทย์ต้องเพิ่มความระมัดระวัง เนื่องจากเกรงว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคไข้หวัดใหญ่ 2009


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เดลินิวส์ , กรุงเทพธุรกิจ และ ไอ.เอ็น.เอ็น.

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]


    .
    http://health.kapook.com/view18341.html

    .

     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ตอนนี้ยังไหวครับ

    แอบไปกินน้ำผึ้งมานิดหน่อย จะได้มีแรงครับ

    แต่กินมากไม่ได้ เดี๋ยวดุ vbvb

    .
     
  8. chantasakuldecha

    chantasakuldecha เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2008
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,331
    สวัสดีสมาชิกชมรมฯทุกๆท่านครับ
    เมื่อวันเสาร์ที่ 23ตค.2553 พี่ท่านนึงเป็นตัวแทนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุจากกองทุนถวายพระฯ ไปประดิษฐาน ณ วัดกาฬสินธุ์ จ.สุราษฎร์ธานี
    และวันนี้ อาทิตย์ที่ 31ตค2553 กระผมเป็นตัวแทนกองทุนฯ ถวายพระบรมสารีริกธาตุ ณวัดเหนือบางแพ จ.ราชบุรี และครอบครัวได้ร่วมถวายตู้พระธรรม และพี่ท่านนึงได้ร่วมถวายหนังสือพระไตรปิฎกพร้อมตู้ไม้สัก ในวันนี้ที่วัดมีงานกฐินจึงงานมหาบุญโดยแท้
    ขอเชิญเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ ชมรมและกองทุนฯได้โดยร่วมโมทนาบุญนี้กับผมและคณะที่เดินทางไปด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2010
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เผื่อจะหิวกันครับ

    “ถุงทอง” กรุบกรอบ หอมกรุ่น / กุ๊กเล็ก <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#cccccc" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">28 ตุลาคม 2553 16:12 น.</td></tr></tbody></table>โดย : กุ๊กเล็ก

    [​IMG]

    ในมื้อนี้ “กุ๊กเล็ก” ขอนำเสนอเมนูอาหารที่มีชื่อเป็นมงคล อย่าง “ถุงทอง” ที่คล้ายกับจะอวยพรให้มีเงินมีทองใช้ตลอดไป และนอกชื่อของเมนูนี้ที่ “กุ๊กเล็ก” ชื่นชอบเสียเหลือเกินแล้ว ก็ยังเป็นของว่างที่ทำได้ไม่ยากอย่างที่คิด แถมหน้าตาน่ากิน กลิ่นก็หอมเย้ายวนใจชวนน้ำลายสออีกด้วย

    ส่วนผสม
    แผ่นแป้งปอเปี๊ยะ 300 กรัม
    กุ้งแชบ๊วยสับหยาบ 300 กรัม
    หมูบด 150 กรัม
    แครอทต้มหั่นชิ้นเล็ก 1/3 ถ้วย
    รากผักชี กระเทียม พริกไทย โขลกละเอียด 2 ช้อนชา
    น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
    ซีอิ้วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
    แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
    ใบเตย 2 ใบ สำหรับมัดปากถุงทอง
    น้ำมันสำหรับทอด

    วิธีการทำเริ่มจากนำกุ้งแชบ๊วยที่สับแล้วมาผสมหมูบด รากผักชี กระเทียม พริกไทยที่โขลกแล้ว ใส่แครอท น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว แป้งมัน แล้วผสมให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้สักครู่ นำใบเตยไปลวกจนนิ่มแล้วฉีกเป็นเส้นเล็กๆ เตรียมไว้ ใช้แผ่นแป้งปอเปี๊ยะมาวาง จากนั้นตักไส้ที่หมักไว้มาวางตรงกลางแล้วจับจีบขึ้นไปให้มีลักษณะคล้ายถุง มัดด้วยใบเตยที่ฉีกเตรียมไว้ ระวังอย่าให้แผ่นแป้งแตก ตั้งกระทะใส่น้ำมันให้ร้อนจัด ก่อนจะหรี่ไฟลงเป็นปานกลาง แล้วนำถุงทองลงทอดจนมีสีเหลืองทอง พอสุกแล้วตักขึ้นสะเด็ดน้ำมัน โดยเอาด้านปากถุงคว่ำลงเพื่อให้น้ำมันที่อยู่ภายในถุงออกมา เวลาเสิร์ฟ จะกินกับน้ำจิ้มบ๊วย น้ำจิ้มไก่ หรือกินเปล่าๆ ก็เอร็ดอร่อยได้เช่นเดียวกันกับ “ถุงทอง” ร้อนๆ จานนี้


    .



    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949

    โมทนาบุญทุกประการครับ



    .
     
  11. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    โหบุญใหญ่จริงๆครับ ขอโมทนาสาธุครับผม
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    มารู้จักกับพระแมคงคากันนะคะ


    พระแม่คงคา
    ประวัติของพระแม่คงคา

    ครั้งหนึ่งยักษ์บาลีได้อำนาจมากพอที่จะขับไล่เทวดาลงจากสวรรค์และเหล่าเทวดา ก็ได้ขอความช่วยเหลือจากพระวิษณุ และพระวิษณุก็ได้จำแลงกายเป็นคนแคระชื่อ วามานา และได้ใช้เล่ห์กลกับยักษ์บาลี เพื่อขออาณาจักรมากของเขาท่าที่พระองค์จะเดินได้ 3 ก้าว ก้าวแรกพระองค์ได้พื้นโลกทั้งหมด ก้าวที่ 2 พระองค์กินพื้นที่ของสวรรค์ทั้งหมด และในขณะที่พระองค์เดินก้าวที่สอง พระพรหมล้างท้าวของพระวิษณุด้วยกมันดุลา หรือกาใส่น้ำของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เอง เจ้าแม่คงคาได้ถือกำเนิดขึ้น
    และด้วยก้าวที่สาม คนแคระวามานาส่งยักษ์บาลีกลับสู่ใต้บาดาล เจ้าแม่คงคาถือกำเนิดจากน้ำในดุลาขอของพระพรหม ทรงมีความงดงามอย่างมาก และทรงเต้นรำอยู่บนสวรรค์เพื่อนำมาซึ่งความงดงามยินดีแก่สรรสิ่ง

    เทวานุภาพของพระคงคาที่มีต่อมนุษย์
    แม่น้ำคงคา เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ สามารถให้มนุษย์ผู้กระทำความชั่วอันนับว่าเป็นบาปนั้น ลงอาบและดำเกล้าชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ และปลดเปลื้องบาปกรรมให้หมดสิ้นไปได้ ดังนั้น จึงมีพิธีล้างบาปกันสืบมาแม่น้ำที่ถือว่าสำคัญที่จะล้างบาปในสมัยก่อนนั้น คือ แม่น้ำคงคา แม่น้ำสินธุ แม่น้ำโคธาวรี แม่น้ำโจวรี ซึ่งผู้ที่อยู่ห่างไกลแม่น้ำเหล่านี้ที่ไม่สามารถจะมารวมกัน ในการกระทำพิธีล้างบาป ก็อนุญาตให้ลงอาบน้ำในห้วยหนองคลอง บึง บ่อ สระแห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ข้อสำคัญต้องระลึกอยู่ว่า ตนได้อาบน้ำในแม่น้ำที่ได้ระบุชื่อมาแล้วนั้น
    รูปลักษณ์ของพระคงคา

    รูปลักษณ์ของพระคงคาเขียนต่างกันคือ เป็นเทพนารีรูปงาม กายสีน้ำไหล มีสี่กร กรขวาทั้งสองถือก้อนศิลา กรซ้ายถือใบไม้หนึ่งกร ถือหม้อน้ำหนึ่งกรบ้าง บางแห่งเขียนว่า มีสามเศียร หกกรถือคัมภีร์และดอกบัว มีกายสีขาวผ่อง มีรัศมีเทวนารีสีขาว พาหนะมักจะกล่าวตรงกันคือทรงปลา

    เครื่องสังเวยบูชา
    หลักทั่วไป ในการสังเวยบูชาเทพ ขั้นแรกจะทำด้วยจิตเครพ ขั้นต่อมาจะเป็นการสักการะด้วยมือ ส่วนถ้าผู้ใดมีกำลังมากก็สามารถหา เครื่องบูชามาเป็นศิริมงคลมากขึ้นไปอีก สิ่งขิงที่มีสิริมงคล ได้แก่ ดอกไม้ชื่อด้วย สีดี เช่นดาวเรือง มะลิ บัว ดอกรัก กุหลาบ เป็นต้น จำพวกอาหารก็จะเป็นอาหารจำพวกมังสวิรัติ หรือขนม นม เนยต่างๆที่ชื่อเป็นสิริมงคล

    สิ่งของที่อาจถวายเป็นพิเศษกับพระคงคาคือ ดอกบัวโกมุท หมากพลู และนอกจากนี้พิธีลอยกระทงก็เป็นการเคารพบูชา เพื่อขอขมาพระคงคาเช่นกันซึ่งถือว่า ธูป เทียน ดอกไม้ และสิ่งที่อยู่ในกระทงก็เป็นเครื่องสังเวย


    http://www.eduzones.com/knowledge-2-5-29207.html

    .



    .


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ตุลาคม 2010
  13. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับพี่หนุ่ม
     
  14. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ โมทนาสาธุ กับบุญทุกประการครับ
    อ๊อด
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949

    การบูชา พระแม่คงคา


    การบูชา พระแม่คงคา พรนางผู้ยังความชุ่มชื่นแก่ผืนโลก

    พระแม่คงคา เป็นราชธิดาของพระทิมวัติและนางเมนกา ดังนั้น ตามฐานันดรศักดิ์แล้วจึงเป็นพี่สาวของพระแม่อุมา
    ตามเทวลักษณะพระคงคามีพระพักตร์เดียว สีกายดั่งสีน้ำไหล มี 4กร กรขวาทั้งสองทรงถือก้อน
    ศิลา พระกรซ้ายทรงถือใบไม้ และหม้อน้ำ บาง แห่งนิยมเขียนเป็นเทวี มี 3 เศียร 6 กร พระวรกายและ
    พระรัศมีโดยรอบเป็นสีขาว ถือพระคัมภีร์ ดอกบัว ฯลฯ ทรงพาหนะเป็นปลาใหญ่ บางแห่งทรงจระเข้ก็มี

    สืบมาแต่ครั้งโบราณ ชาวฮินดูทั้งหลายถือกันว่า แม่น้ำคงคา เป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ และได้เรียกกว่า
    พระแม่คงคา ตามความเชื่อนั่น ว่ากันว่า ใครได้มีโอกาสได้อาบน้ำจากแม่น้ำสายนี้ ก็ย่อมสามารถชำระบาป ได้ตลอดแม่น้ำสายนี้ ทั้งสาย ตนที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า ประยาค
    ซึ่งมาจากต้นรากของภาษาบาลี ว่า ปยาค เพราะตรงนี้เป็นส่วนที่แม่น้ำยมุนา ไหลมาบรรจบกับ
    แม่น้ำคงคา
    ขณะเดียวกันตรงนี้เองเชื่อกันอีกว่า แม่น้ำสรัสวดีไหลจากใต้ดินมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำสามสายพอดี จึงเรียกบริเวณนี้ว่า ตริเวณี ส่วนคนไทยคุ้นเคยกับชื่อเรียกว่า จุฬาตรีคูณ ด้วยความเป็นน้ำสายศักดิ์สิทธิ์ชาวฮินดูจึงนิยมตักน้ำจากแม่น้ำสายนี้ไว้ในโอ่งในบ้าน
    ซึ่งเวลาทรงน้ำเทวรูปนิยมใช้น้ำจากแม่น้ำสายนี้ร่วมพิธีด้วย
    ตามตำนานเล่าว่า พระคงคาสวรรค์นั้นไหลเวียนจากนิ้วหัวแม่เท้าของพระวิษณุ เหตุที่พระคงคาต้อง
    จำยอมไหลสู่โลกมนุษย์เพราะเหตุว่า ท้าวสัครราชกษัตริย์ ได้ประกอบพิธีอัญเชิญพระแม่คงคาสู่โลกมนุษย์ สืบต่อมาหลายรุ่น และถึงท้าวภคีรถจึงสำเร็จแต่ด้วยความแรงของพระคงคานั้น
    อาจทำให้โลกล่มสลายได้ในพริบตา พระศิวะจึงรองรับ พระแม่คงคา ด้วยพระเกศา ให้พระคงคาไหลเวียนอยู่ในระหว่างเกศาก่อนที่จะไหลมายังโลกมนุษย์

    เครื่องบวงสรวงบูชา

    การจะบูชาพระแม่คงคาสามารถเตรียมเครื่องบูชา ดังนี้

    ผ้าแพรพรรณผืนน้อย 3 สี
    ข้าวตอก น้ำนม
    ดอกไม้สีเหลือง แก่หรือสีส้ม
    พวงมาลัยดาวเรือง
    ขนมหวาน 7 ชนิด
    ผลไม้ 5 ชนิด (ผลไม้รสหวานเท่านั้น)
    รูปปั้น พระแม่คงคา


    การขอพร

    การบวงสรวงบูชาพระแม่คงคา มักจะบูชาขอพรดังต่อไปนี้

    ขอพรให้มีความฉลาดหลักแหลม มีปัญญาลึกซึ้ง

    ขอมีสงบสันติในครอบครัว ไม่มีเรื่องวุ่นวายเดือดร้อนขัดแย้งกับใคร ๆ

    ขอให้ได้รับความยุติธรรม ความเที่ยงธรรม ขอให้พ้นภัยจากความอยุติธรรม

    ขอพรให้พ้นพ้นจากภัยอันเป็นโทษจากการถูกใส่ความหรือได้รับโทษทัณฑ์ต่าง ๆ

    ขอให้พ้นจากศัตรูที่กำลังคิดปองร้าย

    ขอให้สามารถเก็บเงินออมเงินทองได้จนมั่งคั่งร่ำรวย



    .

     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระแม่คงคา เทพผู้รักษาสายน้ำ

    เล่าโดย ไตรรงค์ ปิมปา คนชอบน้ำ

    [​IMG]

    [​IMG]


    พระแม่คงคา มีประวัติดั้งนี้พระองค์เป็นพระธิดาของท้าวหิมวัตและพระนางเมนกามีน้องสาวนามว่าพระอุมาภควตีซึ่งทรงเป็นพระชายาของพระศิวะ ตามคติความเชื่อของอินเดีย ว่ากันว่าพระองค์ทรงปลาใหญ่หรือจรเข้เป็นพาหนะ พระองค์เป็นเทวีผู้ให้กำเนิดสายน้ำ คงคาตามความเชื่อของชาวอินเดีย และนอกจากนั้นชาวฮินดูยังเชื่อว่าสายน้ำ คงคานั้นสามรถชำระล้างบาปของตนได้ พระนางคงคานั้นไม่ได้มีปางอันใดเนื่องจากว่าไม่มีการแบ่งภาคลงมาเกิดแต่มีการร่วมกับองค์พระศิวะในปาง คงเคศวรนั้นเอง นอกจากนั้นก็จะคงพบในรูปเคารพของพระศิวะโดยพระองค์จะปรากฏในเทวลักษณะที่เป็นน้ำไหลจากมวยผมของพระศิวะ

    พระแม่คงคาเป็นผู้ดูแลรักษาสายน้ำคงคา ซึ่งถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากสวรรค์ ซึ่งในอินเดียนั้นมีแม่น้ำหลายสายเช่น

    * แม่น้ำสรัสวตี (เชื่อว่าไหลมาจากพรหมโลก)
    * แม่น้ำซันโตชี(พระแม่ซันโตชีธิดาของพระพิฆเนศเป็นผู้ดูแล)
    * แม่น้ำคงคา(พระแม่คงคาเป็นผู้ดูแล)
    * แม่น้ำยมุนาหรือยมนา(เชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของพระวิษณุเทพ)

    น้ำจากคงคานั้นถือว่าเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ ซึ่งแม่น้ำที่ใช้ชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่สองสายคือ

    * แม่น้ำคงคาตลอดสาย
    * แม่น้ำยมนา

    บริเวณต้นน้ำที่เขายาดาคีรีของ ท่านฤาษียาดาชี ซึ่งเป็นที่ประทับขององค์ลักษมีนาราซิมฮา แม่น้ำคงคานี้เมื่อจะประกอบพิธีต่างๆ จะต้องนำน้ำจากพระคงคานี้ไปร่วมในพิธีด้วย

    โดยปกติแล้วบรรดาฤาษีในอินเดียจะมีหม้อน้ำติดตัวอยู่เสมอ ซึ่งจะบรรจุน้ำจากแม่น้ำคงคา บริเวณที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือ "ตริเวนี" หรือที่คนไทยเรียกติดปากว่า "จุฬาตรีคูณ" ซึ่งมีแม่น้ำคงคาและยมนาใหลมาบรรจบกัน และเชื่อว่ามีแม่น้ำสรัสวตีไหลมาจากใต้ดินมาบรรจบกันที่นี่ด้วย ชาวฮินดูนิยมที่จะตักน้ำจากแม่น้ำคงคาไปใช้ในการสรงน้ำเทวรูปและอาบกิน

    ตามตำนานว่าแม่คงคานั้นไหลเวียนอยู่ที่นิ้วเท้าของพระวิษณุ เหตุที่พระคงคาต้องใหลลงมาที่โลกมนุษย์นั้น ก็เพราะว่าท้าวสักราชได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่คงคา ให้ลงมาส่โลกมนุษย์สืบต่อมาหลายชั่วคนจึงสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรถ แต่ด้วยความแรงของพระแม่คงคา ซึ่งอาจจะทำให้โลกล่มสลายไปได้ พระศิวะเจ้าจึงได้รองรับแม่คงคาด้วยมวยพระเกศก่อน แล้วจึงปล่อยลงมาสู่โลกมนุษย์

    อีกตำนานว่า เดิมทีโลกมนุษย์นั้นบังเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ซึ่งเกิดจากการที่พระแม่คงคา ไม่ยอมปล่อยน้ำลงมาสู่โลกมนุษย์แล้วเสด็จหนีไป จึงทำให้มนุษย์และสัตว์ล้มตายมากมาย บรรดาเทวะเห็นดังนั้นจึงไปกราบทูลเชิญพระศิวะเจ้าให้ทรงจัดการเรื่องนี้ พระองค์จึงทรงออกตามหาพระแม่คงคากลับมา แล้วให้พระแม่คืนสายน้ำให้มนุษย์ แต่พระแม่ไม่ยอมพระองค์จึงทรงใช้พระเกศรัดพระแม่คงคาจนพระนางยอมปล่อยสายน้ำออกมา

    บางตำนานก็ว่าพระศิวะเจ้าทรงได้พระแม่เป็นภรรยาลับๆ ด้วยความกลัวพระแม่อุมารู้แล้วจะทรงพิโรธ จึงซ่อนพระแม่ไว้ในมวยพระเกศ ให้พระแม่ปล่อยน้ำออกมาจากพระเกศของพระองค์เพื่อล้างบาปที่พระองค์ได้ทรงทำด้วย

    เทวะลักษณะของพระแม่นั้น โดยทั่วไปจะวาดมีสี่กร และทรงจระเข้เป็นพาหนะ มีตรีศูลย์เป็นอาวุธ มีหม้อกลาฮัม และหม้อน้ำ บางครั้งก็จะวาดมีสองกร และทรงอาวุธตรีศูลย์ แต่ส่วนมากที่จะได้เห็นกันก็คือ จะแสดงองค์เป็นสตรีที่ยื่นหน้าออกมาจากมวยพระเกศของพระศิวะเจ้า และมีสายน้ำพ่นออกมาจากปาก

    การบูชาแม่คงคา โดยทั่วไปในอินเดียการบุชาแม่คงคาจะกระทำการเหมือนเทพองค์อื่นๆคือ จะบูชาด้วยการอารตี และสวดมนต์พระเวทย์ ซึ่งเครื่องบูชาในถาดอารตีจะประกอบด้วย

    * ดอกไม้สีส้มหรือสีเหลืองและดอกบัว
    * ผลไม้ที่มีรสหวานเท่านั้น 5 ชนิด
    * น้ำนม
    * ตะเกียงน้ำมัน
    * กำยาน
    * ขนมหวาน

    และจะทำการบูชาแม่คงคาที่ริมแม่น้ำคงคา(ในอินเดีย) แต่ถ้าเป็นในต่างเมืองเช่นเมืองไทย อาจจะทำการบูชาต่อหน้ารูปแม่คงคา หรือที่แม่น้ำใหญ่ และลอยเครื่องบูชาบางส่วนไปกับสายน้ำ เว้นไว้แต่ตะเกียงกับกำยาน เครื่องบูชาที่เหลือก็จะนำมาเก็บไว้รับทานเพื่อเป็นมงคลหรือแจกจ่ายเพื่อทำทานต่อไป

    แต่ถ้าเป็นการบูชาของไทยนั้นเครื่องบูชาจะประกอบด้วย

    * ผ้าแพร 3 สี
    * ข้าวตอก
    * น้ำนม
    * ดอกไม้สีเหลืองหรือส้ม
    * พวงมาลัยดอกดาวเรือง
    * ขนมหวาน 7 ชนิด
    * ผลไม้รสหวาน 5 ชนิด
    * รูปปั้นพระแม่คงคา

    เจ้าคงคา ตามตำนานประเทศจีน

    เจ้าคงคาคนจีนเรียกว่าเจ้าคงคาว่า ฮ้อแปะ ฮ้อ แปลว่า แม่น้ำ แปะ คือ อาเปะหรือคุณลุง แสดงว่า เจ้าแม่น้ำหรือเจ้าคงคาเป็นบุรุษไม่ใฃ่พระแม่คงคาอย่างชาวไทย ตำนานของเจ้าคงคาหรือ ฮ้อแปะถูกผูกไว้กับแม่น้ำฮวงโห โยงเรื่องถึงเทพเจ้าผู้เปิดภูเขา ซึ่งสมัยเป็นมนุษย์ท่านคือ กษัตริย์อู๊ จีนกลาง เรียกท่านว่า ต้าหวี่ แต้จิ๋วเรียกว่า หยู,อู๊,อู้หรือ ไตัอู้ หรือ แฮอู้ มีเรื่องราวเล่าว่า ขณะไต้อู้ได้กำลังวิเคราะห์สถานการนำท่วมใหญ่ ที่แม่น้ำฮวงโห้ว พลันนั้นมีชายร่างปลากล่าวแก่ไต้อู้ว่า ท่านคือ ฮ้อแปะ อยากจะช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วม ได้ใช้แผนที่แม่น้ำที่เรียกว่า ฮ้อโต้ว มาช่วยในการหาสาเหตุที่น้ำท่วม แล้วก็ดำน้ำลงไป ฮ้อแปะเป็นเจ้าคงคาที่บางแห่งมีชื่อเรียกว่า ปิ่งอี๊ เปียอี๊ ได้เกิดอุบัติเหตุจมน้ำตายขณะที่ข้ามแม่น้ำฮวงโห้ว แต่ด้วยความที่เป็นสามัญชน เปี๊ยอี๊เป็นคนใจดีก็ได้เป็นเทวดา เง็กเซียนฮ่องเต้ได้บัญชาให้เป็นเจ้าคงคาที่ดูแลแม่น้ำ เพื่อเป็นที่ลำลือถึงความศักดิ์ของเจ้าคงคาได้มีเรื่องเล่าในราชวงศ์ถังว่า ขุนพลโป่วจื้องี้ได้ถูกส่งให้ไปดูแลพื้นที่ในลุ่มฮวงโห้ว วันหนึ่งแม่เกิดน้ำท่วม ขุนพลโป่วจื้องี้ได้ขอพรให้เจ้าคงคาคอยช่วยให้น้ำหายท่วมจะยกลูกสาวของตนให้เจ้าคงคาแต่งงานด้วย ในไม่ช้าน้ำในแม่น้ำก็หายท่วม และลูกสาวของท่าน ขุนพลโป่วจื้องี้ ก็ได้หลับโดยไม่ตื่น ท่านได้จัดงานศพกับลูกและตั้งหุ่นบูชา

    ในตำนานของจีนได้มีการผนวกพญานาคและพญามังกรของจีน ยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งคงคา และเปลี่ยนเล่งอ๋วงมีอำนาจควบคุมแหล่งน้ำทั้งหมด

    พระแม่คงคา ในความเชื่อของอินเดีย (ผู้นับถือศาสนาฮินดู) จะเน้นไปด้านการไถ่บาป เครื่องชำระบาป ของแม่น้ำคงคา และยมนา โดยการใช้น้ำอาบ ล้าง และร่วมในพิธีต่างๆ เพื่อบูชาพระแม่ หรือเป็นสื่อกับเทพเจ้าองค์อื่นๆ ในในประเทศจีนจะเป็นเทพเจ้าผู้ให้ความช่วยเหลือจากปัญหาเรื่องน้ำมาก ความเชื่อในประเทศไทยในการบูชาพระแม่คงคา กลับเน้นไปในทางที่การขอขมาพระแม่คงคาในประเพณี ลอยกระทง เนื่องจากการสำนึกในพระคุณแห่งน้ำ และพระแม่คงคา ก็เป็นดังผู้แทนของน้ำ การบูชาพระแม่คงคา นับเป็นการส่งเสริมการอนุรักษ์น้ำ ด้วยอีกทางหนึ่ง จนทำให้ประเพณีลอกกระทง โด่งดังไปทั่วโลก


    .

    ขอบคุณภาพ

    * http://mahathep.exteen.com/
    * สาระ ความรู้ ข่าวสาร บันเทิง มัธยมศึกษา ประถมศึกษา | ThaiGoodView.com Knowledge for Thai Student

    ขอบคุณข้อมูล

    * http://mahathep.exteen.com/
    * วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    * สาระ ความรู้ ข่าวสาร บันเทิง มัธยมศึกษา ประถมศึกษา | ThaiGoodView.com Knowledge for Thai Student


    .

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Ganga[1].jpg
      Ganga[1].jpg
      ขนาดไฟล์:
      58.9 KB
      เปิดดู:
      1,552
    • Ganga[2].jpg
      Ganga[2].jpg
      ขนาดไฟล์:
      62.9 KB
      เปิดดู:
      1,986
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ภารตเทวะ เทพเจ้าแห่งชมพูทวีป



    ตอนที่ 12 : พระแม่คงคา พระแม่แห่งมหานทีของชีวิต



    [​IMG]

    พระแม่คงคา
    พระแม่แห่งมหานทีของชีวิต
    พระแม่คงคา เป็น เทวีแห่งสายน้ำ ซึ่งเป็นสายน้ำที่เหล่าเลี้ยงชีวิตทุกสรรพชีวิตในชมพูทวีป แม่น้ำคงคา พระองค์ทรงเป็นเืทวีแห่งการล้างบาปเพราะความบริสุทธิ์แห่งพระแม่
    พระแม่คงคาเป็นพระราชธิดาแห่งท้าวหิมวัตกับพระนางเมนกา ซึ่งพระองค์ทรงเป็นพระพี่นางแท้ๆของพระแม่อุมาเทวี พระแม่คงคาในครั้งอดีตทรงเป็นพระชายา 1 ใน 4 แห่งพระนารายณ์ แต่ด้วยเกิดความขัดแย้งกันในพระชายา พระองค์จึงมอบพระแม่คงคาให้แด่พระศิวะ
    บางตำนานว่าพระแม่คงคาเกิดจากนิ้วหัวแม่เท้าของพระนารายณ์
    บางตำนานว่า พระแม่คงคาเกิดจากฤาษีนามว่า "ชาหนุ"

    [​IMG]

    ตำนานการเสด็จของแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์สู่โลก
    ด้วยเหตุว่าพระแม่คงคาเป็นสายน้ำบนสวรรค์ และด้วยเหตุใดแม่น้ำคงคานี้จึงงปรากฎที่โลกมนุษย์ จึงมีตำนานเล่าว่า
    ท้าว สัคระทรงทำพิธีอัศวเมธ ซึ่งเป็นพิธีอันศักดิ์สิทธิ์โดยพิธีจะปล่อยม้าที่คัดเลือกมาแล้วโกยมีกอง ทหารติดตาม หากม้าวิ่งผ่านเมืองใด เจ้าเมืองนั้นจะต้องทำพิธีต้อนรับม้าอย่างสมเกรียติ หากเมืองใดไม่ต้อนรับม้าเท่ากับว่าแข็งข้อ ก็จะยึดเมืองนั้นทันที แล้วถ้าม้านั้นกลับมายังที่พิธีก็จะบูชายัญม้านั้นแด่เทพเจ้า แต่ว่าท้าวสัคระกำลังทำพิธีนั้น พระอินทร์ได้ลงมาขวางโดยปลอมองค์เป็นยักษ์มาลักม้าไป ท้าวสัคระจึงให้พระโอรสทั้ง60,000องค์ไปตามม้ากลับมา แต่พระโอรสทั้ง60,000ช่วยกันหาเท่าไรก็ไม่พบ จึงคิดว่า เมื่อยัักษ์ตนที่ขโมยม้าไปนั้นต้องต้องมีอิทธิฤทธิ์ที่จะสามารถนำม้าไปไว้ ใต้ดินได้้แน่ๆ พระโอรสทั้ง 60,000องค์ช่วยกันขุดจึงแผ่นดินทะลุ เหล่าเทวดาเห็นดังนั้นก็กลัวว่าโลกจะทรุดลง จึงไปวินวอนให้พระนารายณ์ช่วย พระนารายณ์ทรงอวตารลงมาเป็นฤษีนามว่า "กบินทร์" นั่งภาวนาอยู่ใต้ดินตรงกึ่งกลางของโลก โดยมีม้าที่ทำพิธีตนนั้นอยู่ด้วย พอพระโอรสทั้ง 60,000 องค์ขุดมาถึงก็พบฤษีกับม้าก็คิดว่า ฤษีตนนี้ที่ขโมยม้าไปจึงบันดาลโทสะใส่ฤษีผู้บำเพ็ญ จากนั้นฤษีโกรธกริ้วที่พระโอรสทั้ง60,000 องค์ มารบกวนการบำเพ็ญเพียรของตนจึงเสกให้ไฟบรรลัยกัลย์เผาผลาญจนตายทั้ง 60,000 องค์ จนกลายเป็นเถ้าถ่าน ท้าวสัคระเห็นว่าพระโอรสหายไปนานจึงให้ พระอังศุมาน ผู้เป็นหลานออกตามหา จนมาพบว่าพระโอรสทั้ง60,000องค์สิ้นพระชนม์กันหมด พอดีพญาครุฑผ่านจึงบอกแก่พระอังศุมานด้วยสาเหตุการสิ้นพระชนม์ ด้วยพระโอรสทั้ง60,000องค์ไปดูหมิ่นพระฤษีกบินทร์ซึ่งเป็นนารายณ์อวตารเท่า กับเป็นบาปอย่างมหันต์วิญญาณจะไม่ไปสู่สุคติ มีวิธีเดียวคือ อัญเชิญแม่น้ำคงคาอันศักดิ์สิทธิ์ให้ไหลผ่านพระเถ้าอังคารของพระโอรส ทั้ง60,000องค์ที่จะได้ไปสวรรค์ พระอังศุมานจึงกลับไปแจ้งต่อท้าวสัคระ ท้าวสัคระจึงตั้งใจบำเพ็ญเพียรเพื่อจะได้มีพลังอำนาจอัญเชิญแม่น้ำคงคาลงมา ชำระบาปของลูกๆ แต่ท้าวสัคระก็สิ้นพระชนม์ไป ต่อมาพระอังศุมานก็ทำหน้าที่ต่อจนสิ้นพระชนม์ไป จนต่อมาพระคีรถ ซึ่งเป็นหลานของพระอังศุมานทำสำเร็จโดย พระพรหมเห็นใจทรงประทานพรให้ พระศิวะทรงรับเป็นภาระให้แม่น้ำคงคาไหลลงมาบนมวยเกศาเพื่อรับกระแสคงคาเพื่อ ไม่ให้น้ำท่วมโลก จากนั้นน้ำคงคาก็ไหลลงสู่โลก แตกเป็นแม่น้ำสายต่างๆ ในขณะที่น้ำคงคาไหลไปผ่านพิฑีศักดิ์สิทธิ์ของฤษีชานุพอดี ฤษีชานุกริ้วมากจึงอ้าปากลืนน้ำคงคาเข้าไปทั้งหมด เหล่าเทพพากันวิงวอนให้ฤษียอมปล่อยพระแม่คงคาออกมา ฤษีจึงปล่อยให้พระแม่คงคาไหลออกทางหู และแล้วน้ำคงคาก็กลายเป็นแม่น้ำอันศักดิ์สิทธิ์ ไหลผ่านเถ้าพระอังคารแห่งพระโอรสทั้ง 60,000 พระองค์ วิญญาณแห่งพระโอรสจึงไปสู่สวรรค์เพราะถูกชำระบาปด้วยพระแม่แห่งความ บริสุทธิ์นั่นเอง...

    [​IMG]


    อ่านต่อ :
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 102450909.jpg
      102450909.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.3 KB
      เปิดดู:
      953
    • 102782753.jpg
      102782753.jpg
      ขนาดไฟล์:
      66.9 KB
      เปิดดู:
      1,219
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระแม่คงคาเทวี, เทวีผู้ชำระบาป

    โอม เจ ศรี คงคา มาตา ยะนะมะฮะ
    [​IMG]

    พระ แม่คงคานั้น เป็นราชธิดาของพระหิมวัตและนางเมนกา ซึ่งพระนางก็คือพี่สาวของพระแม่อุมาเทวีนั้นเอง พระนางเป็นผู้ดูแลรักษาสายน้ำคงคา ซึ่งถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากสวรรค์ ซึ่งในอินเดียนั้นมีแม่น้ำหลายสายเช่น


    แม่น้ำสรัสวตี (เชื่อว่าไหลมาจากพรหมโลก)

    แม่น้ำซันโตชี(พระแม่ซันโตชีธิดาของพระพิฆเนศเป็นผู้ดูแล)

    แม่น้ำคงคา(พระแม่คงคาเป็นผู้ดูแล)

    แม่น้ำยมุนาหรือยมนา(เชื่อว่าเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของพระวิษณุเทพ)

    น้ำ จากคงคานั้นถือว่าเป็นน้ำที่สามารถชำระบาปของมนุษย์ทั้งหลายได้ ซึ่งแม่น้ำที่ใช้ชำระบาปของมนุษย์ได้จะมีอยู่สองสายคือ แม่น้ำคงคาตลอดสาย และแม่น้ำยมนา


    ตาม ตำนานว่าแม่คงคานั้นไหลเวียนอยู่ที่นิ้วเท้าของพระวิษณุ เหตุที่พระคงคาต้องใหลลงมาที่โลกมนุษย์นั้น ก็เพราะว่าท้าวสักราชได้ทำพิธีอัญเชิญพระแม่คงคา ให้ลงมาส่โลกมนุษย์สืบต่อมาหลายชั่วคนจึงสำเร็จในสมัยของท้าวภคีรถ แต่ด้วยความแรงของพระแม่คงคา ซึ่งอาจจะทำให้โลกล่มสลายไปได้ พระศิวะเจ้าจึงได้รองรับแม่คงคาด้วยมวยพระเกศก่อน แล้วจึงปล่อยลงมาสู่โลกมนุษย์

    เทวะลักษณะของพระแม่นั้น โดย ทั่วไปจะวาดมีสี่กร และทรงจระเข้เป็นพาหนะ มีตรีศูลย์เป็นอาวุธ มีหม้อกลาฮัม และหม้อน้ำ บางครั้งก็จะวาดมีสองกร และทรงอาวุธตรีศูลย์ แต่ส่วนมากที่จะได้เห็นกันก็คือ จะแสดงองค์เป็นสตรีที่ยื่นหน้าออกมาจากมวยพระเกศของพระศิวะเจ้า และมีสายน้ำพ่นออกมาจากปาก

    [​IMG]

    การบูชาแม่คงคา โดยทั่วไปในอินเดียการบุชาแม่คงคาจะกระทำการเหมือนเทพองค์อื่นๆคือ จะบูชาด้วยการอารตี และสวดมนต์พระเวทย์ ซึ่งเครื่องบูชาในถาดอารตีจะประกอบด้วย


    ดอกไม้สีส้มหรือสีเหลืองและดอกบัว
    ผลไม้ที่มีรสหวานเท่านั้น 5 ชนิด
    น้ำนม
    ตะเกียงน้ำมัน
    กำยาน
    ขนมหวาน
    [และ จะทำการบูชาแม่คงคาที่ริมแม่น้ำคงคา(ในอินเดีย) แต่ถ้าเป็นในต่างเมืองเช่นเมืองไทย อาจจะทำการบูชาต่อหน้ารูปแม่คงคา หรือที่แม่น้ำใหญ่ และลอยเครื่องบูชาบางส่วนไปกับสายน้ำ เว้นไว้แต่ตะเกียงกับกำยาน เครื่องบูชาที่เหลือก็จะนำมาเก็บไว้รับทานเพื่อเป็นมงคลหรือแจกจ่ายเพื่อทำ ทานต่อไป

    แต่ถ้าเป็นการบูชาของไทยนั้นเครื่องบูชาจะประกอบด้วย

    ผ้าแพร 3 สี ข้าวตอก น้ำนม
    ดอกไม้สีเหลืองหรือส้ม พวงมาลัยดอกดาวเรือง
    ขนมหวาน 7 ชนิด ผลไม้รสหวาน 5 ชนิด
    รูปปั้นพระแม่คงคา (เทวรูป)


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 73919326zn2.jpg
      73919326zn2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.9 KB
      เปิดดู:
      1,984
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระแม่ธรณี

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    พระแม่ธรณี หรือ แม่พระธรณี หรือ พระศรีวสุนธรา เป็นเทพีแห่งพื้นแผ่นดิน ปรากฏในตำนานทั้งศาสนาพราหมณ์, ฮินดู และพุทธศาสนา
    ในคติของศาสนาฮินดูให้ ความเคารพนับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลกเปรียบเสมือน มารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า "ธรณิธริตริ" แปลว่า "ผู้ค้ำจุนพระธรณี" แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่นแต่ก็มีผู้ให้ความเคารพ นับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตย์อยู่ตามที่ต่าง ๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุก ขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้ง แรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของแม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ในพระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครองวิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุก ๆ เดือนชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้
    เทพแห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของพระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็นชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ
    ในพุทธศาสนา พระแม่ธรณีปรากฏกายเพื่อบีบน้ำจากมวยผมให้ท่วมพญามารที่รังควาญสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในคืนวันตรัสรู้ ดั่งรายละเอียดตามพระนิพนธ์ในสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรสว่า
    <table style="border-collapse: collapse; border: 1px dotted rgb(204, 204, 204); width: auto;" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td style="padding: 10px;" valign="top" width="20">[​IMG]</td> <td>
    แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนืออปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการเป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามารอ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฏสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่ง ข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรา รุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจาประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทานสมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขีพยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาลบัดนี้
    ในขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูลพระกรุณาว่าข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา
    แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรีเป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัย กล่าวแล้วแต่หลัง
    ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจตั้งกาย ตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลายล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็น มหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความ ก็ซ้ำหนหลัง
    ครั้งนั้นมหาปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือ ศัพท์นฤนาทหวาดไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยง ๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิงตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่างหมู่มารทั้งหลายต่าง ๆ ตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อนเร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวชจึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือกายวจีมโนประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดช ครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆ กันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ
    </td> <td style="padding: 10px;" valign="bottom" width="20">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> [แก้] ลักษณะของพระแม่ธรณี

    [​IMG] [​IMG]
    รูปวาดในจินตนาการ ในคืนวันตรัสรู้ พระแม่ธรณีบีบน้ำมวยผมท่วมหมู่มาร


    ตามที่ปรากฏ โดยมากมักจะเป็นรูปเทวดาผู้หญิง มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน หรือในบางแห่งจะมีรูปร่างอ้อนแอ้น มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่องทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของผู้สร้าง บางแห่งสวมพัตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น
    พระแม่ธรณีเป็นเทวดาอีกองค์หนึ่งที่ได้รับความนิยมบูชาของคนไทย มักเป็นสัญลักษณ์แห่งแผ่นดิน ดั่งปรากฏในวรรณคดีไทย เช่น โคลงของศรีปราชญ์ก่อนถูกประหารที่กล่าวว่า
    <table style="border-collapse: collapse; border: 1px dotted rgb(204, 204, 204); width: auto;" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td style="padding: 10px;" valign="top" width="20">[​IMG]</td> <td>
    ธรณีนี่นี้เป็นพยาน...
    </td> <td style="padding: 10px;" valign="bottom" width="20">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เป็นสัญลักษณ์ของหน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ เช่น การประปา, พรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น
    [แก้] ดูเพิ่ม


    [แก้] แหล่งข้อมูลอื่น







    .



    .



    .
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ตำนาน พระแม่ธรณี ผู้กำเนิดและคำชูมนุษย์


    แม้ว่าเรื่องราวเกี่ยวกับ ‘แม่ธรณี’, ‘แม่พระธรณี’ หรือ ‘พระแม่ธรณี’ ตาม แต่จะเรียกขานกันนั้น จะมิใช่คติดั้งเดิมของชาวพุทธอย่างแท้จริงก็ตาม แต่ก็ได้ปรากฏคติความเชื่อเรื่องนี้ในสังคมไทยมาเป็นเวลาช้านาน

    แม่ธรณีเป็นใคร? เกี่ยวโยงถึงเรื่องราวในศาสนาได้อย่างไร? และเหตุใดจึงมีอิทธิพลต่อความเชื่อในวัฒนธรรมไทย?

    เรื่องนี้ อาจารย์ฤดีรัตน์ กายราศ จากสำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร ได้ค้นคว้า และเรียบเรียง ไว้เป็นความรู้ที่น่าสนใจและเห็นภาพได้ชัดเจน ดังความส่วนหนึ่งว่า

    ปรากฏการณ์ ต่างๆ ทางธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้น เป็นสิ่งที่มนุษย์แต่โบราณกาลไม่สามารถทราบหรืออธิบายได้ด้วยปัญญาและเหตุผล จึงเข้าใจว่าเกิดจากฤทธิ์และอำนาจของผีสางเทวดาที่จะบันดาลให้ทั้งคุณ และโทษ ประกอบกับธรรมชาติของมนุษย์ต้องการสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อช่วยให้เกิดความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องคุ้ม ครอง จึงเกิดคติความเชื่อว่า หากมีการบนบานศาลกล่าวเซ่นไหว้บูชาแล้ว ก็จะพ้นจากความทุกข์ยากลำบากเดือดร้อน

    ด้วย ความเชื่อดังนี้เมื่อปฏิบัติสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน ก็ได้เข้าไปครอบงำอยู่ในความนึกคิดและจิตใจของคนในชาติในสังคมอย่างไม่ สามารถหลีกเลี่ยงได้ กลายเป็นมูลฐานแห่งวัฒนธรรมจารีตประเพณี เกิดเป็นพิธีรีตอง ต่างๆ ที่มนุษย์ในยุคสมัยต่อมาได้ปรับปรุงให้ประณีตงดงามขึ้น เพื่อสัมฤทธิ์ผลแห่งความเป็นสวัสดิมงคลในการดำเนินชีวิต เทวดาในวัฒนธรรมไทยก็เป็นมรดกจากสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนการทำมาหากินของคนไทยและเป็นที่น่าสังเกตว่าเทวดาที่คอยเอื้อเฟื้อ ดูแลทุกข์สุขของมวลมนุษย์ มักจะเป็นเทวดา ผู้หญิงเสียเป็นส่วนใหญ่

    พระ ธรณี ตามคติความเชื่อของชาวฮินดูให้ความเคารพ นับถือว่าแผ่นดินเป็นสิ่งค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งปวงในโลก เปรียบเสมือนมารดาผู้ให้กำเนิดหล่อเลี้ยงโลกและแผ่นดิน จึงได้รับยกย่องว่าเป็นเทพจากธรรมชาติองค์หนึ่งเป็นเพศหญิง เรียกนามว่า ‘ธรณิธริตริ’ แปล ว่าผู้ค้ำจุนพระธรณี แม้จะมิค่อยมีรูปเคารพอย่างแพร่หลายเช่นเทพองค์อื่น แต่ก็มีผู้ให้ความเคารพนับถือเป็นจำนวนมิใช่น้อย เพราะถือกันว่าพระธรณีสถิตอยู่ตามที่ต่างๆ ทุกหนทุกแห่ง จะทำการบูชาด้วย ข้าว ผลไม้ และนมด้วยการวางไว้บนก้อนหิน หรือประพรมลงบนพื้นดิน บางแห่งใช้เหล้าเป็นการสังเวยก็มี นอกจากนี้ชาวฮินดูยังมีการขอขมาลาโทษเมื่อจะวางเท้าลงบนพื้นดินก่อนจะลุก ขึ้นในตอนเช้า วัวหรือควายที่มีลูกก่อนที่จะให้ลูกกินนมครั้งแรก เจ้าของจะปล่อยน้ำนมของ แม่วัวลงบนพื้นดินเสียก่อนทุกครั้งไป ถ้าเป็นพวกชาวนาก็จะขอให้พระธรณีช่วยคุ้มครองผืนนาและวัวควาย แม้ใน พระเวทก็มีการขอร้องต่อพระธรณีให้ช่วยพิทักษ์คุ้มครอง วิญญาณของคนตาย และต่อมาได้นับถือว่าเป็นเทพแห่งไร่ นาด้วย ในแคว้นปัญจาบเชื่อกันว่าพระธรณีจะนอนหลับเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ของทุกๆเดือน ชาวไร่ชาวนาจะหยุดไม่ทำงานในระยะนี้

    เทพ แห่งแผ่นดินหรือพระธรณี ไม่ค่อยมีเรื่องราวประวัติความเป็นมาปรากฏมากมายดังเช่นเทพองค์อื่น หรือมีก็สับสน เช่น บางแห่งว่าพระธรณีมีโอรสกับพระนารายณ์ องค์หนึ่งคือพระอังคาร บางแห่งว่าพระอังคารเป็นโอรสของ พระศิวะกับพระธรณี หรือในคติพราหมณ์พบเพียงว่าเป็น ชายาของพระธุรวะหรือดาวเหนือ

    คติ ความเชื่อเรื่องพระธรณีได้เผยแพร่มาสู่ไทย ก็เนื่องจากอิทธิพลคัมภีร์พระพุทธศาสนาเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้ในพิธีกรรมต่างๆ อาทิ พิธีการก่อนไปจับช้างก็มีการกล่าว บูชาพระธรณีเช่นกัน แต่ความเชื่อถือเกี่ยวกับพระธรณีใน ไทยก็มิได้เป็นที่แพร่หลายนัก และมีความเชื่อเช่นเดียวกับทางอินเดียว่าเป็นเพศหญิง นามพระธรณี มีปรากฏในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง อาทิ หนังสือเทศน์มหาชาติปฐมสมโพธิกถา ลิลิตตะเลงพ่าย เป็นต้น มีนามเรียกแตก ต่างกันไปเช่น นางพระธรณี พระแม่วสุนธราพสุธา แปลในความหมายเดียวกันว่า ผู้ทรงไว้ซึ่งทรัพย์สมบัติ หมายถึงแผ่นดินนั่นเอง สำหรับชาวไทยทั่วไปจะเรียกกันติดปาก ว่า แม่พระธรณีบ้าง พระแม่ธรณีบ้าง ตามความนิยม

    จาก เรื่องราวของพระธรณี แสดงให้เห็นว่าเป็นเทพที่ รักสงบอยู่เงียบๆ จึงไม่ใคร่มีเรื่องราวอะไรในโลก เฝ้าแต่ เลี้ยงโลกประดุจแม่เลี้ยงลูก คอยรับรู้การทำบุญกุศลของ มนุษย์โลก ด้วยการใช้มวยผมรองรับน้ำจากการกรวดน้ำ เสมือนกับเป็นอรูปกะ คือไม่มีตัวตน แต่เมื่อมีเหตุการณ์ สำคัญเกิดขึ้นหรือมีผู้ร้องขอจึงจะปรากฏรูปขึ้นมาสักครั้งหนึ่ง

    พระ ธรณีเป็นเทวดาผู้หญิงที่มีสรีระรูปร่างใหญ่หากแต่อ่อนช้อย งดงาม พระฉวีสีดำ พระพักตร์รูปไข่ มวยพระเกศายาวสลวยสีเขียวชอุ่มเหมือนกลุ่มเมฆ พระเนตรสีเหมือนดอกบัวสายคือสีน้ำเงิน พระชงฆ์เรียว พระพาหาดุจ งวงไอยรา นิ้วพระหัตถ์เรียวเหมือนลำเทียน มีพระทัยเยือก เย็นไม่หวั่นไหว พระพักตร์ยิ้มละไมอยู่เสมอ ภาพเขียนรูปนางพระธรณีที่ถือกันว่างดงามเป็นพิเศษ คือภาพที่ฝาผนังด้านหน้าพระประธานในพระอุโบสถวัดชมภูเวก จังหวัดนนทบุรี ส่วนภาพปั้นหล่อนางพระธรณีในศิลปะไทยที่มีปรากฏอยู่จะทำเป็นรูปหญิงสาว มีรูปร่างอวบใหญ่ ล่ำสันอย่างได้สัดส่วน มีความงามประดุจเทพธิดา นั่งในท่าคุกเข่า แต่ยกเข่าขวาขึ้นสูงกว่าเข่าซ้าย บางแห่งสร้างให้อยู่ในท่ายืน แต่ที่เหมือนกันก็คือมวยผมปล่อยยาว มือขวายกข้ามศีรษะไปจับไว้ที่โคนมวยผม ส่วนมือซ้ายจับมวยผมแสดงท่ากำลังบิดให้สายน้ำไหลออกมาจากมวยผมนั้น ส่วนเครื่อง ทรงไม่มีแบบแผนที่แน่นอนตายตัว ตามแต่จินตนาการของ ผู้สร้าง บางแห่งสวมพัสตราภรณ์เฉพาะช่วงล่าง แต่บางแห่งทั้งนุ่งผ้าจีบและห่มสไบอย่างสวยงาม ประดับเครื่องถนิมพิมพาภรณ์มีกรอบหน้าและจอนหู เป็นต้น...

    ส่วน ลักษณะตามความเชื่อทางพระพุทธศาสนา จากตำนานเกี่ยวกับเทวดา มาร พรหม และจากพระนิพนธ์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส เรื่องปฐมสมโพธิกถา ตอนมารวิชัยปริวรรต ได้กล่าวถึงพระแม่ ธรณีที่ปรากฏขึ้นมาในช่วงที่สำคัญที่สุดของพระพุทธเจ้าคือ ก่อนการตรัสรู้ ได้เป็นพยานสำคัญในการปราบมารทั้งหลายทั้งปวง ดังความละเอียดต่อไปนี้

    “แต่ในชาติอาตมะเป็นพระยาเวสสันดรชาติเดียวนั้น ก็ได้บำเพ็ญทานบารมีถึงบริจาคนางมัทรีเป็นอวสาน พื้นพสุธาก็กัมปนาการถึง 7 ครั้ง แลกาลบัดนี้ อาตมะนั่งเหนือ อปราชิตบัลลังก์อาสน์ หมู่มารอริราชมาแวดล้อมยุทธการ เป็นไฉนแผ่นพสุธาธารจึงดุษณีภาพอยู่ฉะนี้ แลพระยามาร อ้างบริษัทแห่งตนให้เป็นกฎสักขีขานคำมุสา แลพื้นปฐพีอันปราศจากเจตนาได้สดับคำอาตมะในครั้งนี้จงรับเป็นสักขีพยานแห่ง ข้า แล้วเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวาอันประดับด้วยจักรลักษณะอันงามดุจงวงไอยรา รุ่งเรืองด้วยพระนขามีพรรณอันแดงดุจแก้วประพาฬออกจากห้องแห่งจีวร ครุวนาดุจวิชุลดาในอัมพรอันออกจากระหว่างห้องแห่งรัตวลาหก ยกพระดัชนีชี้เฉพาะพื้นมหินทรา จึงออกพระวาจา ประกาศแก่นางพระธรณีว่า ดูก่อนวนิดาดลนารี ตั้งแต่อาตมะบำเพ็ญพระสมภารบารมีมาตราบเท่าถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดรราช ได้เสียสละบุตรทานบริจาคแลสัตตสดกมหาทาน สมณะพราหมณาจารย์ผู้ใดผู้หนึ่ง ซึ่งจะกระทำเป็นสักขี-พยานในที่นี้ก็มิได้ มีแต่พสุนธารนารีนี้แลรู้เห็นเป็นพยานอันใหญ่ยิ่ง เป็นไฉนท่านจึงนิ่งมิได้เป็นพยานอาตมาในกาล บัดนี้

    ใน ขณะนั้น นางพสุนธรีวนิดาก็มิอาจดำรงกายาอยู่ได้ ด้วยโพธิสมภารานุภาพยิ่งใหญ่แห่งพระมหาสัตว์ ก็อุบัติบันดาลเป็นรูปนารี ผุดขึ้นจากพื้นปฐพียืนประดิษฐานเฉพาะพระพุทธังกุรราช เหมือนดุจร้องประกาศกราบทูล พระกรุณาว่า ข้าแต่พระมหาบุรุษราช ข้าพระบาททราบซึ่งสมภารบารมีที่พระองค์สั่งสมอบรมบำเพ็ญมา แต่น้ำทักษิโณทกตกลงชุ่มอยู่ในเกศาข้าพระพุทธเจ้านี้ ก็มากกว่ามากประมาณมิได้ ข้าพระองค์จะบิดกระแสใสสินโธทกให้ตกไหลหลั่งลง จงเห็นประจักษ์แก่นัยนาในครานี้ แลนางพระธรณีก็บิดน้ำในโมลีแห่งตน อันว่ากระแสชลก็หลั่งไหลออกจากเกศโมลีแห่งนางพสุนธรี เป็นท่อธารมหามหรรณพ นองท่วมไปในประเทศที่ทั้งปวงประดุจห้องมหาสาครสมุทร พระผู้เป็นเจ้ารักขิตาจารย์จึงกล่าวสารพระคาถาอรรถาธิบายความก็เหมือนนัย กล่าวแล้วแต่หลัง

    ครั้งนั้น หมู่มารเสนาทั้งหลายมิอาจดำรงกายอยู่ได้ ก็ลอยไปตามกระแสน้ำปลาตนาการไปสิ้น ส่วนคิรีเมขลคชินทรที่นั่งทรงองค์พระยาวัสวดีก็มีบาทาอันพลาดมิอาจ ตั้งกายตรงอยู่ได้ ก็ลอยตามชลธารไปตราบเท่าถึงมหาสาคร อันว่าระเบียบแห่งฉัตรธวัชจามรทั้งหลาย ก็ทักทบท่าวทำลาย ล้มลงเกลื่อนกลาดและพระยามาราธิราชได้ทัศนาการเห็นมหัศจรรย์ ดังนั้น ก็บันดาลจิตพิศวงครั่นคร้ามขามพระเดชพระคุณเป็นอันมาก พระคันถรจนาจารย์จึงกล่าวพระคาถาสรรเสริญคุณานุภาพโพธิสัตว์อรรถาธิบายความ ก็ซ้ำหนหลัง

    ครั้งนั้นมหา ปฐพีก็ป่วนปั่นปานประหนึ่งว่าจักรแห่งนายช่างหม้อบันลือศัพท์นฤนาทหวาด ไหวสะเทือนสะท้าน เบื้องบนอากาศก็นฤโฆษนาการ เสียงมหาเมฆครืนครั่นปิ่มปานจะทำลายภูผาทั้งหลาย มีสัตตภัณฑ์บรรพต เป็นต้น ก็ วิจลจลาการขานทรัพย์สำเนียงกึกก้องทั่วทั้งท้องจักรวาล ก็บันดาลโกลาหลทั่วสกลดังสะท้าน ปานดุจเสียงป่าไผ่อันไหม้ด้วยเปลวอัคคี ทั้งเทวทุนทุภีกลองสวรรค์ก็บันลือลั่นไปเอง เสียงครืนเครงดุจวีหิลาชอันสาดทิ้ง ถูกกระเบื้องอันเรืองโรจน์ร้อนในกองอัคนี การอัสนีบาตก็ประหารลงเปรี้ยงๆ เพียงพื้นแผ่นปฐพีจะพังภาคดังห่าฝน ถ่านเพลิง ตกต้องพสุธาดลดำเกิงแสงสว่าง หมู่มารทั้งหลายต่างๆตระหนกตกประหม่า กลัวพระเดชานุภาพแพ้พ่าย แตกขจัดขจายหนีไปในทิศานุทิศทั้งปวงมิได้เศษ แลพระยามาราธิราชก็กลัวพระเดชบารมี ปราศจากที่พึ่งที่พำนักซ่อน เร้นให้พ้นภัยหฤทัย ท้อระทดสลดสังเวช จึงออกพระโอษฐ์สรรเสริญพระเดชพระคุณพระมหาบุรุษราชว่า ดังอาตมาจินตนาการอันว่าผลทานศีลสรรพบารมีแห่งพระสิทธัตถกุมารนี้ ปรากฏอาจให้บังเกิดมหิทธฤทธิ์สำเร็จกิจมโนรถปรารถนาทุกประการ มีพระกมลเบิกบานแผ่ไปด้วยประสาทโสมนัส จึงทิ้งเสียซึ่งสรรพาวุธ ประนมหัตถ์ทั้ง 2,000 อัญชลีกรนมัสการ ก็กล่าวสารพระคาถาว่า นโม เต ปุริสาชญญ เป็นอาทิ อรรถาธิบายความว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ปุริสาชาไนยชาติเป็นอุดมบุรุษราชในโลกนี้ ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายวันทนาการชุลีพร้อมด้วยทวารทั้ง 3 คือ กาย วจี มโน ประณามประณตในบทบงกชยุคลบาท บุคคลผู้ใดในมนุษย์ โลกธาตุกับทั้งเทวโลก ที่จะปูนเปรียบประเสริฐเสมอพระองค์คงเทียมเทียบนั้นมิได้มี พระองค์ได้ตรัสเป็นพระศรีสรรเพชญ์เสร็จแจ้งจตุราริยสัจจ์ศาสดาจารย์มีพระเดช ครอบงำชำนะหมู่มาร เป็นปิ่นปราชญ์ฉลาดในอนุสัยแห่งสรรพสัตวโลกจะข้ามขนนิกรเวไนย์ให้พ้นจตุรโอฆ กันดารบรรลุฝั่งฟากอมฤตมหานฤพานอันเกษมสุขปราศจากสังสารทุกข์ในครั้งนี้ แลพระยาวัสวดีมารโถมนาการพระคุณพระมหาบุรุษราชด้วยจิตประสาทเลื่อมใส ผลกุศลนั้นจะตกแต่งให้ได้ตรัสแก่พระปัจเจกโพธิญาณในอนาคตกาลภายหน้า เมื่อพระยามารกล่าวสัมภาวนากถาสรรเสริญคุณพระโพธิสัตว์ แล้วก็นิวัตตนาการสู่สกลฐานเทวพิภพ”

    จึงสรุปความเชื่อทั้ง 2 ลักษณะ คือ พระแม่ธรณีเป็นอรูปกะคือไม่มีรูปกาย เช่นเดียวกับพระแม่คงคา ซึ่งชาวฮินดูจะทำการสักการะได้ทุกสถานที่ เมื่อต้องการความช่วยเหลือก็อ้างเรียกได้ทุกเวลา ส่วนความเชื่ออีกลักษณะหนึ่งที่ทางศาสนาพุทธได้เชื่อตามพุทธประวัติ ที่พระแม่ธรณีได้มีพระคุณต่อพระพุทธเจ้าก่อนการตรัสรู้ดังได้กล่าว มาแล้วนั้น พระแม่ธรณีมีรูปกายผุดขึ้นมาจากพื้นปฐพี เป็นองค์ที่มีภาพเป็นนิมิตรเป็นรูปสตรีที่ทางพุทธได้กำหนดพระนามของพระแม่ ธรณี คือ ‘นางพสุนธรี’ ซึ่งเป็นองค์ตามลักษณะของรูปร่างตามพระแม่ธรณีบีบมวยผม จะประดิษฐานอยู่ใต้แท่นฐานพระพุทธเจ้า ‘ปางปราบมาร’ และเมื่อเกิดมหาปฐพีป่วนปั่น ด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระแม่ธรณีบีบมวยผม น้ำมาท่วมท้นหมู่มาร มีทั้งฝนตกและน้ำท่วม และ ‘ปางนาคปรก’ หรือเรียกว่า ‘พระอนันตชินราช’ ซึ่ง มีพญานาคได้มาแผ่ปกบังฝนและขดตัวยกชูบัลลังก์ขึ้นสูงจากน้ำที่ท่วมท้นขึ้นมา อย่างฉับพลัน จึงมีรูปภาพที่ตามผนังพระอุโบสถวัดต่างๆ ตรงข้ามกับพระประธาน พระแม่ธรณี จึงเป็นเทพผู้อุปถัมภ์พระพุทธเจ้า การบูชาจึงดูได้จากภาพ พระแม่ธรณีที่ทูนบัลลังก์พระพุทธองค์สูงเหนือเศียร เป็นต้น

    การสักการบูชาพระแม่ธรณีเมื่อศึกษาจากบทสวดทางพุทธศาสนา จึงเป็นบทที่เกี่ยวกับการ ‘ให้’ เป็นหลักใหญ่ จน มีผู้เรียบเรียงไว้สำหรับผู้สนใจได้ใช้บูชาคู่กับพุทธคุณ ซึ่งนิยมใช้บทสวด ‘พาหุง พุทธคุณคุ้มครองโลก’

    แม่พระธรณีบีบมวยผม สาธารณทานของ ‘พระราชินีนาถ’ ในรัชกาลที่ 5

    รูป ปั้นแม่พระธรณีบีบมวยผม ซึ่งประดิษฐานบริเวณเชิงสะพานผ่านพิภพลีลา ถือเป็นอนุสรณ์สถานสำคัญของกรุงเทพมหานคร สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ตามประวัติกล่าวว่า

    สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 5 หรือสมเด็จพระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในรัชกาลที่ 6 และ 7 ทรง มีพระราชดำริ ให้สร้างรูปแม่ธรณีบีบมวยผมขึ้น เพื่อแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดบริสุทธิ์ให้ผู้คนทั่วไป เป็นสาธารณทานแก่ชาวกรุงเทพฯ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 50 พรรษาของพระองค์ เมื่อปี พ.ศ.2456 โดย มีลักษณะเป็นรูปแม่ธรณีบีบมวยผมนั่งอยู่ในซุ้มเรือนแก้ว ซึ่งสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบรูปแม่ธรณี ส่วนพระยาจินดารังสรรค์(พลับ)เป็นผู้ออกแบบซุ้มเรือนแก้ว กระทั่งแล้วเสร็จ และประกอบพิธีเปิดในวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2460 อัน เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ดังที่ทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงเจ้าพระยายมราช(ปั้น สุขุม) เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2460 ความว่า...

    “พรุ่ง นี้ฉันจะทำบุญวันเกิดที่นี่ตามคตินิยม ให้คุณจัดเปิดรูปนางพระธรณีท่ออุทกทาน ซึ่งฉันได้ออกทรัพย์ให้หล่อขึ้นสำเร็จตั้งไว้ ณ เชิงสะพานผ่านพิภพลีลา และขออุทิศท่ออุทกทานนี้ให้เป็นสาธารณทานแก่ประชาชนผู้เพื่อนแผ่นดินใช้กิน บำบัดร้อนและกระหาย เป็นความสบายตามปรารถนาทั่วกันเทอญ”

    ปัจจุบัน อนุสรณ์สถานแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ที่มีประชาชน มาสักการบูชาอย่างไม่ขาดสาย

    (จากหนังสือพิมพ์ธรรมลีลา ฉบับที่ 81 ส.ค. 50 โดย มุทิตา)

    โดย นายทองผู้ปิดทองหลังพระ


    .

     

แชร์หน้านี้

Loading...