นาฬิกาปลุกที่ไร้ตัวตน

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย OddyWriter, 7 ตุลาคม 2010.

  1. OddyWriter

    OddyWriter เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +977
    อย่างที่เล่าไปในคราวก่อนว่าหลังจากที่ร้านอาหารมีอันต้องปิดกิจการไป ผมก็ย้ายตามแม่มาเช่าบ้านอยู่ย่านฝั่งธน ในขณะที่พ่อต้องไปทำงานเรือประมง เพื่อหาเงินมาส่งเสียลูกๆ วัยกำลังกินกำลังเรียน

    อะไรประหยัดได้ตอนนั้นก็ประหยัดกันสุดๆ

    โทรทัศน์ วิทยุนี่ถือว่าเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย ดังนั้นบ้านเราจึงเงียบมาก ตกเย็นถ้าไม่เล่นกระต่ายขาเดียวกับเด็กคนอื่นแถวบ้าน ก็ต้องแอบไปเกาะหน้าต่างร้านกาแฟกลางซอยเพื่อเสพสื่อ ดูละครจะได้มีเรื่องไปคุยกับเพื่อนที่โรงเรียนตอนเช้า

    แต่ตอนหลังทนยุงกัดไม่ไหว แถมแม่ก็สั่งห้ามพวกเราไปดูโทรทัศน์ที่ไหนอีกเด็ดขาด

    ผมก็เลยต้องยอมรับภาวะที่ใช้ชีวิตแบบไม่มีสื่อไปโดยปริยาย

    โชคยังดีหน่อยที่มีเพื่อนรวย ตอนหลังเห็นเค้าคุยกันเรื่อง “รถไฟตนตรี” เราก็โง่ไปถามเขาว่า
    “อะไรเหรอ รถไฟดนตรี มันคือขบวนรถไฟที่บรรทุกวงดนตรีหรือเปล่า”

    คำตอบที่ได้คือวิทยุเล็กๆ ขนาดพอๆ กับมือถือสมัยนี้ 1 เครื่อง พร้อมคำสั่งจากเพื่อนผู้ร่ำรวยว่า
    “เอาไปซ่อมเอง แล้วเปิดสถานีรถไฟดนตรีฟังซะ จะได้หายโง่”

    ตอนนั้นไม่ได้ดีใจที่ได้วิทยุมาครอบครองเลยแม้แต่น้อย เพราะนอกจากมันจะเสียเปิดมามีแต่เสียวครืดคราดๆ ตลอดเวลา ก็ยังจะเรื่องซ่อมวิทยุ ที่ทำเป็นซะที่ไหน

    แต่สถานการณ์ย่อมก่อให้เกิดวีรบุรุษ

    เพราะความอยากรู้ว่า รถไฟดนตรีคืออะไร เพราะความสนใจในเรื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ผมแกะวิทยุเครื่องนั้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ใช่ไขควงเล็กๆ หมุนนั่น หมุนนี่ไปอย่างคนไร้ความรู้ จู่ๆ วิทยุก็เกิดทำงานได้ขึ้นมาซะงั้น
    ตั้งแต่นั้นมาผมเลยมีวิทยุเครื่องแรกที่ได้มาจากความฟลุ๊คของตัวเองเอาไว้ฟังรถไฟดนตรี

    อีกสิ่งที่ขายหายไปจากชีวิตคนเมืองคือนาฬิกาปลุกครับ

    สมัยนั้นนาฬิกาปลุกแบบที่ Made in China ราคามิตรภาพยังไม่มี จะมีก็พวกราคาเป็น 100 ขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่า เพราะภาวะข้าวสารที่ไม่ค่อยพอจะกรอกหม้อ เลยทำให้นาฬิกาปลุกกลายเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยไปในสายตาแม่

    แต่ปัญหาของผมคือ บ้านผมอยู่ฝั่งธน ตรงชายแดนที่ติดกับพระประแดง แต่โรงเรียนผมอยู่กลางเมือง ซึ่งถึงแม้การเดินทางจะมีได้หลายเส้นทาง ผมก็ต้องเลือก Scenario ที่ประหยัดสุด
    สมัยนั้นยังไม่มีทางด่วนขั้นใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นผมจึงไม่มีโอกาสเลือกมากนัก ต้องตื่นแต่เช้า เพื่อขึ้นรถเมล์ที่แน่นแสนแน่น แล้วก็ยืนไปหลับไปจนถึงปลายทาง เพราะใช้เวลากว่าจะถึงโรงเรียนชั่วโมงกว่าๆ

    ถึงขนาดนั้นก็มีบ่อยๆ ที่ผมไปโรงเรียนสาย จนต้องถูกอาจารย์ผู้ปกครองลงโทษด้วยการวิดพื้นบ้าง Scott Jump บ้าง (ไม่รู้ใครตั้งชื่อ) ซึ่งเรื่องนี้ผมถือว่าเป็นการออกกำลังกายเลยไม่ได้ซีเรียสมากนัก

    ปัญหาจริงๆ คือวันสอบนี่สิครับ ถ้าไปสายเมื่อไหร่ อดสอบวิชานั้น

    ในเมื่อที่บ้านยากจน นาฬิกาปลุกซักเรือนยังไม่มีปัญญาซื้อ ผมเลยต้องพึ่งพาสิ่งที่มองไม่เห็นนั่นก็คือหิ้งพระที่บ้านนั่นเอง

    โดยช่วงสอบ หลังจากที่แม่ผมสวดมนตร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจะจุดธูป 9 ดอก แล้วอธิษฐานว่า
    “พี่กุมารจ๋า ช่วยปลุกผมตอนตี 5 ด้วย เดี๋ยวไปสอบไม่ทัน”

    จากนั้นผมก็ไปอยู่ที่อื่นของบ้าน เพราะควันธูปนั้นมันเกินรับได้จริงๆ หายใจหายคอแทบไม่ได้

    ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ วันไหนจุดธูปอธิษฐาน วันรุ่งขึ้นตื่นตรงเวลาเป๊ะ โดยไม่ต้องมีใครปลุก

    จนกระทั่งความเหนื่อยล้าลุกลามติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน ผมก็เริ่มงอแง

    มาตรการขั้นที่ 1
    พอสอบวันหลังๆ มันก็ล้า ไม่อยากตื่น มีวันนึงรู้สึกตัวแล้วล่ะ แต่ยังคงนอนต่อไป ปรากฏว่าเพียงไม่นานผมก็ได้ยินเสียงกระซิบเรียกชื่อผมข้างๆ หู
    เพียงเท่านี้ หายง่วงเป็นปลิดทิ้งเลยครับ รีบตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวไปโรงเรียนทันที

    มาตรการขั้นที่ 2
    ปรากฏว่ามาตรการนี้ใช้ได้ผลไม่กี่ครั้ง ตอนหลังเริ่มชิน แถมผมมีการตอบเสียงกระซิบไปด้วยว่า
    “ขออีกหน่อยน่าพี่กุมาร กำลังนอนสบายเลย”
    เพียงครู่เดียว เสียงตะโกนเรียกชื่อผมดังลั่นบ้านเลย
    ที่น่าแปลกคือ พอผมตื่นขึ้นมาคนอื่นยังนอนหลับสนิทกันทุกคน จนจะออกจากบ้านก็ถามแม่ว่าเมื่อเช้าได้ยินเสียงใครมาตะโกนเรียกชื่อผมที่หน้าบ้านหรือเปล่า
    แม่บอก “ไม่ได้ยิน”

    มาตรการขั้นที่ 3
    2 มาตรการผ่านไป ซึ่งดูเหมือนจะได้ผลไม่กี่ครั้ง พอมีสอบหน้าหนาว ซึ่งที่บ้านสมัยนั้นอยู่ในสวน เวลาหนาวทีนี่ไม่อยากลุกจากที่นอนเลย
    คราวนี้ไม่ว่าจะกระซิบ หรือตะโกนหน้าบ้าน ผมไม่สนแล้วครับ ก็คนมันง่วงนี่นา
    ปรากฏว่ามีมือลึกลับมาดึงขาตรงบริเวณข้อเท้าครับ
    ได้ผลทันที หายง่วงอีกครั้ง เพราะตกใจมากกว่า อยู่ดีๆ มีใครไม่รู้มาดึงขา

    มาตรการขั้นที่ 4
    ถึงวันนี้ผมก็ไม่อยากเชื่อตัวเองเหมือนกันว่า คนอะไรมันจะหน้าด้านขนาดนั้น
    หลังๆ การกระตุกขานั้นไม่ได้ผล พอรู้สึกว่ามีมือลึกลับมาดึงข้อเท้า ผมก็จะเอาเท้าอีกข้างปัดออกไป (เห็นมะ หน้าด้านขนาดไหน) แถมยังพูดอีกว่า
    “พี่กุมาร ขอนอนต่ออีกหน่อย”
    สนุกเลยครับทีนี้
    ปรากฏว่ามือลึกลับมือนั้น ลากผมลงมาจากที่นอน ต้องมากองกับพื้นทันที
    โชคดีที่ผมนอนบนฟูกเตี้ยๆ เลยได้แต่รอยถลอกปอกเปิกเล็กๆ แต่ไม่มีอาการปูดโน

    คืนนั้นผมเลยต้องจุดธูปบอกพี่กุมาร
    “ต่อไปนี้พี่กุมารปลุกผมเบาๆ ก็พอนะครับ รับรองว่าจะไม่งอแงอีกแล้ว”

    แล้วผมก็ทำตามที่จุดธูปบอกทุกครั้ง ไม่โยเย ไม่งอแงอีก
    พี่กุมารก็ปลุกผมแบบนุ่มนวลทุกครั้งหลังจากนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2010
  2. น้ำดี1

    น้ำดี1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    13,402
    ค่าพลัง:
    +43,432
    ขอบคุณที่นำมาเล่าให้ฟังค่ะ
     
  3. หนีนรก

    หนีนรก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +666
    ชอบนะ แต่ขอใช้นาฬิกาปลุกดีกว่า
     
  4. pim0001

    pim0001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    97
    ค่าพลัง:
    +516
    ติดตามอ่านตลอดนะตั้งแต่เรืองที่ต่อยกะผีแล้วละ สนุกดีคะ ว่างๆก็แวะมาเล่าอีกนะคะ ขอบคุณคะ
     
  5. tim

    tim เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    328
    ค่าพลัง:
    +1,526
    ชอบค่ะ อ่านทวนด้วย เอามาให้อ่านอีกนะคะ
     
  6. pechklang

    pechklang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2005
    โพสต์:
    400
    ค่าพลัง:
    +829
    เข้าท่าดีครับ...!!!
    สนุกและน่าติดตาม...ขอบคุณที่เล่าให้ฟัง ครับ
     
  7. The Bentley

    The Bentley Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +64
    :boo:ก็ดีนะคะพี่กุมารปลุก แต่ว่าขอตื่นเองดีกว่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...