"ตามหาพระดี" *** "หลวงพ่อดูพระ"

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย ariyabut, 23 กันยายน 2010.

  1. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    "ตามหาพระดี"
    ดร.ปริญญา นุตาลัย ลูกศิษย์บันทึก ๓ /๖๕๕


    - ...หลังจากผู้เขียน ได้พบหลวงพ่อแล้ว เมื่อได้ยินชื่อพระที่ชาวบ้านเล่าลือว่าดีหรือไปได้พบมาด้วยตัวเอง ก็มักหาโอกาสกราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อ และท่านก็บอกรูปร่างลักษณะขององค์พระนั้นพร้อมทั้งคุณวิเศษของพระองค์นั้นทันที ดังนั้น ที่ท่านว่า "ขึ้นชื่อว่าพระ (หรือคน) อย่าให้ฉันได้ยินชื่อ ถ้าได้ยินชื่อแล้วรู้หมด" จึงเป็นเรื่องอัศจรรย์สำหรับผู้เขียนเสมอมา จะขอเล่าให้ฟังสักสองสามเรื่อง

    - ก่อนที่หลวงพ่อจะได้พบกับหลวงพ่อวัดน้ำบ่อหลวง (ครูบาอินทจักรรักษา) ผู้เขียนถามหลวงพ่อว่า "ครูบาเป็นพระดีไหม" ท่านตอบว่า "อ๋อ ท้วมๆ ขาวๆ ใช่ไหม องค์นี้สามเขี้ยวนะ (อนาคามี)" อีกองค์หนึ่งผู้เขียนถามท่านคือ หลวงพ่อชม อนังคโน สำนักสงฆ์นันทาสุภาพ ปจันตคาม ผู้เขียนไม่ได้เอ่ยชื่อหลวงพ่อชมด้วยซ้ำ เพียงแต่บอกว่า "หลวงพ่อ ผมว่า ผมพบพระดีอีกองค์แล้ว" เพราะผู้เขียนเพิ่งไปหาหลวงพ่อชมมา ท่านบอกว่า "อ๋อ องค์เล็กๆ ขาวเหลืองใช่ไหมองค์นั้นอนาคามีนะ"

    - เมื่อหลายปีก่อน ผู้เขียนเคยไปกราบนมัสการ ท่านอาจารย์ จาม สมัยนั้นท่านยังอยู่ที่เชียงใหม่ท่านอาจารย์จามท่านปรารถนาพุทธภูมิ และท่านมีทิพจักขุญาณแจ่มใสมากท่านอาจารย์จามเคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า "ในบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลายรัชกาลที่ห้าของเรามีบารมีมากที่สุด วิมานท่านใหญ่โตสว่างไสว และบริวารท่านเต็มแล้วขณะนี้ท่านช่วยหาบริวารให้พรโพธิสัตว์องค์อื่นๆ " ท่านเล่าว่า "พระพุทธเจ้าหลวงจะมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๒๒" (ถ้าผู้เขียนจำไม่ผิด) ท่านบอกด้วยว่าจะทรงพระนามว่าอย่างไรผู้เขียนเคยจดไว้แต่ตอนนี้หากระดาษแผ่นที่จดเอาไว้ไม่เจอเสียแล้ว

    - ผู้เขียนเล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อของเราฟัง ท่านเปรยออกมาว่า "องค์อื่นเขาก็รู้ได้เหมือนกันนะ" พระดีองค์อื่นๆ ที่หลายๆ ท่านรู้จักกันดี เช่น อาจารย์มั่น ท่านพ่อลี หลวงปู่นาค หลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน ท่านอาจารย์ฝั้น ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ครูบาพรหมจักรครูบาคำแสน ครูบาชุ่ม หรือแม้แต่สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่แล้ว ฯลฯ หลวงพ่อได้เล่าหรือปรารภไว้ในเทปหรือหนังสือของท่านหลายๆ แห่งแล้ว ผู้เขียนจะขอข้ามไป

    - มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าจได้บันทึกเอาไว้ คือเรื่องของหลวงพ่อชา สุภัทโท ครั้งหนึ่งพี่หมอสมศักดิ์ (พล.ต.ท.น.พ.สมศักดิ์ สืบสงวน) เล่าเรื่องผู้ไม่ประสงค์ดีใช้คุณไสยมาทำร้ายท่านอาจารย์ชาทำให้ท่านเป็นอัมพาตพูดไม่ได้ให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านก็ฟังเฉยๆ...ผู้เขียนนั่งฟังอยู่ด้วยก็ขัดคอพี่หมอว่า "เรื่องนี้ไจริงพระธรรมย่อมรักษาผู้ประพิฤติธรรม" หลวงพ่อท่านตอบผู้เขียนทันทีเหมือนกันว่า "พอด๊อกเตอร์พูดฉันก็เห็นภาพหลวงพ่อชา ผูกปากควายไม่ให้กินหญ้า กรรมอันนี้ติดตามมา ทไห้ท่านพูดไม่ได้ในชาตินี้"

    - เมื่อเร็วๆ นี้ท่านได้บอกลูกหลานอีกว่า "ใครอยากตามหาพระดีนะแค่สมเด็จ ๔ องค์ที่ฉันนิมนต์ไปที่วัดก็น่าจะพอ พระ ๔ องค์นี้ไม่กลับมาเกิดอีก" สมเด็จ ๔ องค์ที่ว่านี้คือ

    ๑. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา

    ๒. สมเด็จพระมหาวีรวงค์ วัดราชผาติการาม

    ๓. สมเด็จพระธีรญาณมุนี วัดประทุมคงคา

    ๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ​


    "หลวงพ่อดูพระ"

    ดร.ปริญญา นุตาลัย เรื่อง

    - เมื่อสมัยผู้เขียนได้อ่าน หนังสือประวัติหลวงพ่อปานใหม่ๆ เกิดความอยากได้พระหลวงปู่ปานเต็มกำลังจึงไปเดินหาเช่าตามตลาดพระเครื่อง และก็ได้มา ๒ องค์ พอได้มาแล้วก็เอามาเลี่ยมแขวนคอทั้งสององค์ วันหนึ่งไปหาหลวงพ่อที่วัด ก็กราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ได้พระหลวงปู่ปานมาสององค์พร้อมทั้งถอดพระออกจากคอให้ท่านดู พอส่งให้ท่าน ท่านแบมือออกมารับแล้วถามว่า "ไหนละใบสุทธิ" ผู้เขียนงง จึงกราบเรียนถามท่านว่า "ใบสุทธิอะไรครับ" ท่านหัวเราะแล้วบอกว่า "เป็นพระก็ต้องมีใบสุทธิซิ ๒ องค์นี้ยังไม่ได้บวช" แล้วท่านพูดต่อว่า "ไม่เป็นไรหรอกคืนนี้จะทำให้" ผู้เขียนเลยได้พระหลวงปู่ปานรุ่นพิเศษ ที่ปลุกเสกโดยหลวงพ่อด้วยประการฉะนี้

    - อีกครั้งหนึ่งหลวงพ่อพาคณะศิษย์ ขึ้นไปนมัสการพระสุปฏิปปันโน ที่เชียงใหม่ และลำพูนเมื่อไปกราบหลวงปู่ทึม ที่วัดจามเทวี ครูบาท่านเอาพระมาแจกลูกศิษย์หลวงพ่อคนละองค์วิธีแจกพระของท่านหลวงปู่ครูบาบุญทึมแปลกมากเหมือนกัน...คือตอนแรกท่านก็ไปเปิดหีบเก็บพระ แล้วเอามาแจก (ถ้าจำไม่ผิดพระที่ท่านแจกบรรดาลูกศิษญ์หลวงพ่อคราวนั้นคือ พระรอด) แต่พระที่ท่านถวายหลวงพ่อคือ เหรียญครูบาศรีวิชัยหลวงพ่อของเราท่านเล่าว่า พอรับพระจากครูบาก็รู้สึกทันทีว่า อานุภาพพระแรงมาก จึงอยากจะรู้ว่าใครทำพอนึกแค่นั้นท่านก็เห็นครูบาศรีวิชัยปรากฏขึ้นและบอกว่า "ฉันทำเอง" หลวงพ่อท่านเล่าต่อว่า พระทั่วๆ ไปนั้นท่านจับแล้วรู้สึกเฉยๆ พระที่ท่านจับแล้วรู้สึกอานุภาพคือ พระสมเด็จ, พระหลวงปู่ปาน ก็พอดีมาเจอครูบาศรีวิชัยอีก

    - ขอวกกลับมาเรื่องวิธีแจกพระ ของหลวงปู่ครูบาทึมอีกนิด ที่ว่าแปลกก็คือ พอท่านแจกพระเสร็จแล้วก็ยังมีพวกที่อยู่เชียงใหม่ที่ตามมาสมทบทีหลัง หลวงปู่ใช้วิธีล้วงเอาพระตามอังสะของท่าน ออกมาให้ผู้เขียนได้พระเหรียญท่านอาจารย์ฝั้น จากหลวงปู่จากวิธีล้วงอังสะของท่านนี่แหละ

    - กลับถึงเรื่องหลวงพ่อดูพระ อีกทีคราวหนึ่ง แม่ผู้เขียนได้พระสมเด็จ เพื่อนให้มาหนึ่งองค์ด้วยความไม่แน่ใจจึงเอามาให้หลวงพ่อดู พอควักตลับพระออกจากกระเป๋าจะถวายท่านหลวงพ่อก็โบกมือบอกไม่ต้องดูหรอก ของแท้..หลวงพ่อท่านบอกว่า ใครให้ท่านดูพระ ถ้าท่านดูนาน แสดงว่าท่านกำลังคิดว่าจะตอบยังไงดีไม่ให้เจ้าของเสียกำลังใจ ถ้าพระแท้ พอเจ้าของถามก็รู้คำตอบและส่งพระคืนให้เจ้าของทันที...สาธุ​
     
  2. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ
    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p

    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
    www.tangnipparn.com
    <O:p>ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา
    [​IMG]</O:p>
     
  3. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    แสดงว่าท่านบารมีสูงมาก จิตไวมากเลยครับ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  4. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    แสดงว่าท่านบารมีสูงมาก จิตทิพย์ไวมากเลยครับ สาธุ อนุโมทนามิ
     
  5. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]

    กราบอนุโมทนาเป็นอย่างสูงค่ะ
     
  6. Siranya

    Siranya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    2,051
    ค่าพลัง:
    +9,004
    กราบอนุโมทนาสาธุจ้ะ
    เอามาให้อ่าน ค่ะ

    "ฉันมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง คือเรื่อง พระเยซู ประมาณเมื่อ ๑๐ ปี เกือบ ๒๐ ปีแล้ว ได้ไปที่บางนกแขวกที่วัดคริสต์นั่นนะ คือว่าบาทหลวงบางคนเขาไปที่กรุงเทพฯ แล้วก็ชอบๆกัน เพราะสมัยนั้นฉันเรียนทั้งพุทธทั้งคริสต์ ไอ้ที่เรียนคริสต์ ไม่ใช่ไปเรียนมี่โรงเรียน แต่คุยกัน ตอนนั้นพวกกุลีจีน เขามาคุยแลกเปลี่ยน แต่ความจริงนักศาสนาจริงๆ เขาไม่ทะเลาะกันนะ ต่อไปก็ไปที่โน่นไปเยี่ยมเขา คุยไปคุยมาเขาถามว่า ท่านทราบไหมว่า พระพุทธเจ้าท่านอยู่ไหน บอกว่า รู้
    ถามว่า เคยคุยไหม ก็บอกฉันไปหาท่านทุกวัน ท่านอยู่ที่นิพพาน ก็ถามเขาว่า แล้วพระเจ้าของแกอยู่ที่ไหน เขาบอก ไม่รู้ ถามว่า เคยเห็นไหม บอก ไม่เคยเห็น เลยบอกว่า แหม?ไอ้คนโง่ๆ ประเภทนี้ก็มีด้วย ก็คุยสนุกๆก็บอก ไอ้นั่งอยู่ที่นี่ ๕-๖ คน มันโง่ทั้งนั้น นับถือส่งเดชไม่มีหลักฐาน เขาบอกมีคำสอน ใครสอนก็ไม่รู้ บอกต้องหาตัวคนสอนให้ได้ ก็คุยสนุกสนานไป เขาเลยถามว่าท่านเคยเห็นพระเยซูของผมไหมครับ บอกว่า ไม่เคยสนใจ แล้วก็คุยเรื่องอื่นต่อไป

    แล้วต่อมาก็กลับมาที่พัก ธรรมดาของพระ พระก่อนจะนอนก็ทำงานของพระก่อน ทำจิตใจให้สะอาดสบาย ไม่งั้นนอนไม่สบาย พอเริ่มทำสมาธิจับอารมณ์ จิตมันหลุดเลยพอโผล่พลุ้บถึงดาวดึงส์ ไปโผล่ช่องระหว่างพระจุฬามณีกับบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ไปเดินป๋อที่นั่น พอขึ้นไปเดินไปก็มีบาทหลวงคนหนึ่งเดินสวนทางมา เดินตรงมาข้างหน้า ก็เลยถามว่า พระเยซูใช่ไหม?? ตามธรรมดาอารมณ์เป็นทิพย์มันจะบอกเลยว่าใครเป็นใคร ถ้ายังสงสัยก็ยังใช้ไม่ได้ ความเป็นทิพย์มันจะบอกชัด จะไปสงสัยไม่ได้เลย ท่านก็บอกใช่ครับ ถามว่า ทำไมถึงแต่งตัวรุ่มร่ามอย่างนี้ละ บนสวรรค์เขาแต่งตัวอย่างนี้เรอะ ท่านบอกว่า เอ้า?ถ้าผมไม่แต่งตัวแบบนี้ เกรงว่าท่านจะจำไม่ได้จะสงสัย

    ถ้ายังงั้นสภาพความจริงของท่านเป็นยังไง ท่านก็ทำให้ดูภาพนั้นก็หายไป กลายเป็นภาพเทวดาสวยงามมาก เครื่องประดับขาวแพล้บเรียกว่าจับตาเลย เป็นประกายแวววับ ชฎาก็แหลมเปี๊ยบ ถามว่า อยู่ที่ไหน บอกว่า อยู่ชั้นดุสิตพอบอกอยู่ชั้นดุสิตเราตกใจ ต้องเป็นพระโพธิสัตว์แหงๆ เขาไม่ใช่ต่ำนะ ก็คุยไปคุยมาบอกว่าคำสอนของท่านมันผิดอยู่ข้อหนึ่งนะ ถามว่า ผิดยังไง ก็บอกว่า ไอ้ล้างบาป ถ่ายบาป ซื้อบาป จำนำบาปนั่นนะ ไอ้คนที่มันทำความชั่วแล้ว มันทำลายได้เรอะ อย่างกับเนื้อของเราถูกตัดเฉือนไปเป็นแผลนี่ เราจะเอาเงินไปแลกเนื้อใครเขาได้ที่ไหน จ่ายเงินให้เขาแล้วแผลมันหายหรือ ท่านบอกว่าความจริงผมไม่ได้สอนอย่างนั้นนะครับ ความจริงที่ผมสอนนั้น สอนให้สารภาพบาป แบบกับพระแสดงอาบัตินะ อาการสารภาพบาปคือ ไปทำความชั่วมาจากไหน เราจะได้ไม่ทำต่อไป นี่คำสอนเขาแบบนี้นะ นี่ตอนหลังเขามาเซ็งลี้กัน พอล้างบาป สารภาพบาป พอจ่ายสตางค์แล้วบาปหายเลยบาปทั้งสองคน ไอ้คนก่อนก็ไม่หมดบาปเพราะโกหกโกงสตางค์เขาอีกด้วย ก็เลยเข้าใจ

    พอกลับมาก็มานั่งคิดว่า พระเยซูนี่เป็นพระโพธิสัตว์ที่อยู่ชั้นดุสิตต้องมีบารมีเข้มแข็งมาก ถ้าไม่เข้มแข็งเข้าชั้นนี้ไม่ได้ เพราะชั้นนี้เข้าได้ ๓ พวก คือพุทธบิดาพุทธมารดาของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเข้มแข็งแล้ว แล้วก็พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป จึงจะอยู่ชั้นนี้ได้ สวรรค์ทุกชั้นไม่ใช่ว่าใครจะอยู่ได้ทุกชั้นนะ ต้องเป็นไปตามขั้น ก็เลยมานั่งนึกว่า ทำไมมาอยู่ชั้นดุสิตได้ เขาต้องเป็นพระโพธิสัตว์ มาดูอารมณ์ของท่านตอนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่าไม้กางเขนนะ คือไม้กางแขน สระแอหายไป เหลือสระเอ มันลด คือกางแขนถูกตะปูตอก ถ้าจิตไม่ดีพอเขาจะเป็นเทวดาไม่ได้ ตามพระบาลีบอกว่าถ้าจิตเศร้าหมองก่อนจะตายไปก็ต้องลงอบายภูมิ นั่นเขาถูกเจ็บขนาดนั้น เขายังไม่โกรธ คุณลองคิดดูให้ดี ไม่ใช่เรื่องเล็กนะเขาใหญ่มาก ใช่ไหม?

    ไอ้จิตเศร้าหมองนิดเดียว ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนางมัลลิกาเทวี นั่นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษแกไม่มี ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ลง แต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วันในมนุษย์ต้องคิด ถ้า ๗ วันแรกนรกก็ซวยเลย"



    แหล่งที่มา :
    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม
    ฉบับพิเศษ เล่ม ๓
    สนทนาธรรมกับ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร
     
  7. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    กราบอนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ
    ขอบคุณ กับบทความ อันล้ำค่า .. ครับผม
     
  8. Siranya

    Siranya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    2,051
    ค่าพลัง:
    +9,004
    ไอ้จิตเศร้าหมองนิดเดียว ทำความดีไว้มากตลอดชีวิต แต่เวลาตายจิตเศร้าหมองหน่อยก็ต้องลงนรกหน่อย อย่างพระนางมัลลิกาเทวี นั่นคนดีตลอดชาติ เวลาตายจิตคิดถึงที่เคยไปสะดุดเท้าของสามีนิดเดียว ความจริงโทษแกไม่มี ถ้าจิตไม่เศร้าหมองก็ไม่ลง แต่งตัวเป็นนางฟ้า เท้าแหย่ในนรก ๗ วันในมนุษย์ต้องคิด ถ้า ๗ วันแรกนรกก็ซวยเลย"


    ทำไมต้องอ้างถึงตรงนี้หนอ...คนเราก็มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง...ในจิตใจ
    ก็อาจมีกิเลสเป็นธรรมดาของมัน...จะคิดมากคิดน้อยก็เป็นธรรมดา...อย่างเช่น
    เวลานี้เดี๋ยวนี้อาจจะมีบางคนบางกลุ่ม...คิดถึงอะไรหลายๆอย่าง
    คิดถึงงาน คิดถึงสิ่งที่จะต้องทำ.คิดถึงสิ่งที่เกิด..และอาจจะคิดปกปิดอะไรบางอย่างไว้ในใจ นั้นมันก็เป็นธรรมดาของแต่ละบุคคล...เพราะฉะนั้นทุกสิ่ง
    ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น มันก็เป็นธรรมดา

     
  9. ariyabut

    ariyabut เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +2,415
    หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว<O:p
    .. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนท่านทั้งหลายว่า ..<O:p
    วะยะธัมมาสังขารา<O:p
    ..สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา..<O:p
    อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ<O:p
    ท่านทั้งหลาย จงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด<O:p
    ..อะยัง ตะถาคะตัสสะ ปัจฉิมา วาจา<O:p
    ..นี่เป็นพระวาจาครั้งสุดท้าย ของเราตถาคต..<O:p



    จิตฺเต สงฺกิลิฏเถ ทุคฺคติ ปาฏิกงฺขา.
    เมื่อจิตเศร้าหมองแล้ว ทุคติเป็นอันต้องหวัง.
    อะจิตฺเต อสงฺกิลิฏฺเถ สุคติ ปาฏิกงฺขา .
    เมื่อจิตไม่เศร้าหมองแล้ว สุคติเป็นอันหวังได้.<O:p

    จุดมุ่งหมายของการปฏิบัติ คือ การพ้นทุกข์


    ทุกข์ หมายถึงสิ่งที่ทนได้ยาก
    ทุกข์เกิดจาก เครื่องเศร้าหมองของจิต อันได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง คือ กิเลส<O:p
    กิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง เกิดจาก ความทะยานอยาก คือ ตัณหา<O:p
    ตัณหา ความทะยานอยาก เกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่น คือ อุปทาน<O:p
    อุปทาน ความยึดมั่นถือมั่น เกิดจาก ความไม่รู้ คือ อวิชชา
    <O:p
    ก็ อวิชชา ความไม่รู้ นี้แล เป็นสาเหตุให้มี ร่างกาย คือ ขันธ์ ๕<O:p
    ขันธ์ ๕ ร่างกายนี้ เกิดจาก กิเลส ตัณหา อุปทาน และ อกุศลกรรม<O:p
    ถ้าเราจะหน่ายทุกข์ ก็จงหน่ายที่ ร่างกาย เถิด
    <O:p
    การหน่ายร่างกาย คือละ สักกายทิฐิ องค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง ชี้ไว้ ๔๑ เส้นทาง แต่ละเส้นทาง ก็สามารถ ถึงที่สุดของความพ้นทุกข์ได้ คือ
    มหาสติปัฏฐานสูตร ๑ (ทุกจริต ปฏิบัติได้) เป็นแนวทางของ สุกกวิปัสสโก
    กรรมฐาน ๔๐ (ปฏิบัติตามจริต ๖ มี ๓๐ กอง จริตกลาง มี ๑๐ กอง) เป็น แนวทางของ สุกขวิปัสโก ถ้าจับ กสิน ด้วย ก็เป็นแนวทางของ เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฎิสัมภิทัปปัตโต ถ้าทำได้นะ

    ถ้าเราละ สักกายทิฐิ ได้แค่ตัวเดียว ครูบาอาจารย์ ท่านว่า ความเป็นพระอริยะ เหมือนหญ้าปากคอก<O:p
    ฉะนั้น ในเมื่อทาง มีถึง ๔๑ ทาง เธอจง ฉลาด เลือกทาง ซึ่งมีอยู่ ในการปฏิบัติ<O:p
    ตาม ระดับ สติ ปัญญา เหมือนคนไข้ เลือกยาที่จะรักษา ตัวเอง

    *****************

    โมทนา ในคำถาม อันก่อเกิดประโยชน์ ครับผม .. การอ้างอิง ในจุดนี้ ถือว่าเป็นจุด ที่สำคัญ โดยเฉพาะนักปฏิบัติ .. บุญกุศล ที่เราทำมาดีแล้ว ด้วย กาย วาจา ใจ มิได้สูญเปล่า แต่จะส่งผล ในตอนใหน ชาติใหน เท่านั้น

    นักปฏิบัติ พึงไม่ควรประมาท กับมรณะภัย ที่จะมาถึง .. อานิสงค์ ของทาน การให้ ก็ยังเทียยไม่ได้ กับอานิสงค์ของ ศีล สมาธิ และ ปัญญา
     

แชร์หน้านี้

Loading...