ใครพอจะมีวิธีรักษาไมเกรนบ้างครับ

ในห้อง 'ลงประกาศ ซื้อ-ขาย หรือทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย nuttyty, 13 กันยายน 2010.

  1. nuttyty

    nuttyty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    198
    ค่าพลัง:
    +579
    หรือมีตัวยา หรือทำอย่างไรไม่ให้เป็นไมเกรนครับ
     
  2. sazukia007

    sazukia007 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    350
    ค่าพลัง:
    +711
    ไมเกรนคือการปวดศรีษะข้างเดียวปวดมากจนนอนไม่หลับ เรานั้นนานๆ จะเป็นทีครับ ที่ว่านานของเราคือ 2-3 ปีเป็นที ช่วงเด็กจะเป็นบ่อยเกือบทุกปี พอโตเริ่มหาย โดยจะปวดจนไม่สามารถนอนหลับได้ต้องไปโรงบาลในคืนนั้นเลย มีทางเดียวสำหรับเรา ยาแก้ปวดทานแล้วไม่หายเราเลยไม่ทาน แพทย์จะให้ยานอนหลับมาทานเลย

    คาดว่าอาจจะเกิดจากการคิดมาก เครียด แพทย์แผนตะวันออกมีการฝังเข็มรักษา แต่เราควรแก้ที่ต้นเหตุนั้นคือหมั่นทำสมาธิเพื่อหลีกเลี่ยงความเครียดนั้นเอง แต่ถ้าเกิดปวดแล้วเราไม่มีเวลาไปคิดทำสมาธิครับ ยานอนหลับซักเม็ดอย่างเดียว ดังนั้นเราต้องทำสมาธิดักไว้ก่อนครับ ไม่แนะนำให้ซื้อยานอนหลับมาทานเองนะครับ ให้ไปพบแพทย์ดีกว่า
     
  3. nrungphant

    nrungphant เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +118
    อันนี้จะว่าไปแล้วก็สุดแล้วแต่ความเชื่อถือส่วนบุคคลครับ เพราะโรคไมเกรนนั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ วิธีการนี้อาจจะสามารถรักษาโรคไมเกรนที่เกิดจากรรมเก่าได้ จากกรรมเก่าคือเป็นเหมือนโรคประจำตัวซึ่งเราไม่ทราบสาเหตุ ไม่ได้เครียดหรือเจ็บป่วยอย่างอื่น แต่แบบที่ว่าอยู่ดีๆก็เกิดขึ้นเองเป็นประจำ

    วิธีการนี้เดิมทีผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไหร่ ได้อ่านมานานแล้ว(การเบิกบุญมาแผ่เมตตา หลวงพ่อเกษม) แต่เนื่องจากคนใกล้ตัวเป็นกันหลายคนและมีอยู่ครั้งหนึ่งเกิดเป็นต่อหน้าต่อตาเราก้ไม่รู้จะทำยังไง ทั้งพัด ทั้งดมยา ทั้งนวด ทำหมดแล้วเหลือแต่ไปหาหมอ ยาที่หมอให้มากินเข้าไปก็อ๊วกออกหมดครับ พอดีนึกถึงวิธีนี้ได้เคยอ่านก็ลองนั่งสงบสติแป๊บนึงพอมีสมาธิก็อารธนาคุณพระรัตนตรัยแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวรเขา ปรากฏว่าผ่านไปอึดใจนึงเขาก็หายต่อหน้าต่อตา งงมาก พอเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็จะแผ่ให้เขาก็หายทุกครั้งตอนหลังเขาก็ไปถือศีลที่วัด3วัน และอุทิศให้เองทุกวันโรคนี้ก็หายขาดไปเองโดยไม่ต้องพึงหมอพึ่งยาอีกเลย การแผ่เมตตาเนี๊ยะควรแผ่ทุกวันๆไม่ต้องรอให้เกิดอาการก่อนแล้วค่อยแผ่ การปวดก็จะค่อยๆห่างๆๆๆๆออกไปเอง เขาเนี๊ยะ...แฟนอ๊ะ เลยแนะนำให้น้องสาวอีกคนที่เป็นปรากฏว่าได้ผลและก็หายขาดเช่นกัน(...เขาไปหัดนั่งสมาธิที่วัดแล้วก็แผ่ให้เองทุกวันเหมือนกัน) ผมลองแผ่ให้คนที่รู้จักเมื่อเขาเกิดไมเกรนปรากฏว่าเขาก็หายหลังจากที่เราแผ่เสร็จอึดใจนึงนะแต่บางคนเชื่อไปทำเองต่อ บางคนก็ไม่เชื่อบอกว่าบังเอิญ ก็สุดแล้วแต่ ไม่มีอะไรเสียหายเน๊าะ แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวถ้าไมเกรนขึ้นแล้วผมไม่เคยเห็นบังเอญหายเสียที เห็นแต่ปวดดิ้นจนหมดแรงหลับโน้นแหละ ทั้งดึงผมทุบหัวตัวเอง...เฮ้อน่าสงสารครับ
    หวังว่าคงเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ ผมเคยถ่ายเอกสารแจกไปตาสถานที่ต่างๆหลายครั้งเหมือนกันไว้ว่างแล้วจะทำต่อครับ

    http://www.4shared.com/file/169222205/7e86e206/___2551_.html
    หรือ
    http://www.4shared.com/account/dir/u7DCf0pb/sharing.html

    อานิสงค์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นผมขออุทิศให้พระรัตนตรัย หลวงพ่อเกษมและทางผู้จัดทำ และผู้ที่ต้องการบุญกุศลทั้งหลายเหล่านั้นด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กันยายน 2010
  4. NIJARIN

    NIJARIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +232
    โรคไม่เกรน ถ้ารักษาทางการแพทย์แผนปัจจุบัน ก็ต้องทานแต่ยาแก้ปวดเรื่อยไป ลองหันมารักษาทางการขูดพิษ (แผนโบราณ) ดูสิ แต่ขอบอกนะว่าเจ็บ สุด ๆ แต่รักษาหายได้ บางรายหายขาดเลยนะ แต่ต้องทนเจ็บหน่อย การรักษาแบบขูดพิษ หรือกัวซา เป็นแพทย์แผนโบราณ ที่มีมานานแล้ว ตอนนี้มีหลายที่อยู่ ถ้าคุณสนใจลองไปรักษาได้นะ
     
  5. fapatan

    fapatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +134
    จากท่านพระอาจารย์ประเสริฐ สิทธิญาโน วัดบัวหลวง อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก
    โรคไมเกรน ใช้พริกไทยดำ 7 เม็ด เคี้ยวพริกไทยในปากข้างที่ปวดศรีษะทีละ 1 เม็ดก็ได้ พริกไทยจะละลายข้างกระพุ้งแก้วทำอย่างนี้จนหมด 7เม็ด พยายามไม่ดื่มน้ำตาม ( ให้กลืนไปเลย ) ให้รับประทานตอนก่อนแปรงฟันตอนเช้า ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์จะเห็นผล
     
  6. fapatan

    fapatan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    145
    ค่าพลัง:
    +134
    คัดลอกมาฝากเผื่อเป็นประโยชน์

    <CENTER>โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้า </CENTER>


    <DD>โรคมะเร็งซึ่งถือกันว่าเป็นโรคร้ายแรงในยุคปัจจุบัน ได้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันว่ามีโครงสร้างของโมเลกุลเป็นอย่างไร ทำให้สามารถตรวจสอบอาการของมะเร็งได้ง่ายขึ้น เพราะเมื่อพบโมเลกุลของเซลล์ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายว่าเป็นโมเลกุลของมะเร็งแล้วก็รู้ได้โดยง่ายว่าเป็นมะเร็ง


    <DD>พวกฝรั่งเขาเก่ง โฆษณาเก่ง อะไรๆ ก็อ้างว่าเป็นผู้คิด ผู้รู้หรือเป็นผู้คนพบ แล้วเหมารวมเอาว่าเป็นภูมิปัญญาของฝรั่ง อย่างดินปืนหรือเข็มทิศนั่นประไร คนจีนเขาคิดได้ก่อนร่วมสองพันปี ฝรั่งเอาไปพัฒนาแล้วอ้างเอาว่าเป็นต้นคิด แม้กระทั่งปืนกลอะไรนั่น ความจริงขงเบ้งได้คิดใช้ก่อนแล้วตั้งแต่เกือบสองพันปี ดังที่มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในสามก๊ก


    <DD>เซรุ่มหรือวัคซีนในการรักษาป้องกันโรคและพิษหลายอย่าง ฝรั่งก็อ้างผูกขาดเอาว่าเป็นต้นคิด ทั้งๆ ที่ความจริงแนวความคิดในการผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนไม่ใช่เรื่องใหม่ หากเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วอย่างน้อยก็สองพันกว่าปี


    <DD>อันเซรุ่มหรือวัคซีนนั้นหลักการอันเป็นแนวคิดก็คือการใช้พิษฆ่าพิษหรือข่มพิษ มีการเอาพิษหรือเชื้อโรคไปบ่มไปเพาะ แล้วนำไปใช้ในการป้องกันหรือรักษาพิษหรือโรค ฝรั่งคิดเรื่องนี้ได้ในระยะเพียงประมาณไม่กี่ร้อยปีมานี้ แต่จีนคิดและใช้ความรู้เกี่ยวกับพิษข่มพิษหรือใช้พิษแก้พิษมาร่วมสองพันปีแล้ว ยาแผนโบราณของจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจำนวนมากล้วนได้ใช้หลักพิษข่มพิษหรือพิษแก้พิษ


    <DD>ฝรั่งเคยเอายาจีนไปพิสูจน์แล้วออกข่าวโวยวายว่าเป็นยาที่กินไม่ได้เพราะมีสารพิษเจือปน ก็เพราะนัยดังกล่าวนี้เอง ทั้งๆ ที่ในการใช้บำบัดรักษาจริงๆ แล้ว สามารถใช้ได้ผลเป็นอย่างดี ดังเช่นยารักษาโรคมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะลำไส้ที่มีชื่อว่า "เปี่ยนเซฮวง" หรือ"เพี้ยนจื่อหวัง" หากเอาไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็จะพบว่ามีสารพิษบางอย่างซึ่งฝรั่งถือว่าใช้ไม่ได้ แต่ในการใช้บำบัดรักษาผู้เป็นโรคมะเร็งในหลายประเทศทั่วโลกปรากฏว่าใช้ได้ผลดี


    <DD>พรรคพวกคนหนึ่งเป็นโรคไวรัสบีที่ตับ ตัวเหลืองซีด เดินไม่ได้ กินไม่ได้ อีกไม่นานก็จะตายแล้ว แต่พอได้กินยาดังกล่าวเข้าประมาณ 20 เม็ด ก็เริ่มสามารถเดินได้ ครั้นกินไปได้ครบ 60 เม็ด ตัวที่เหลืองซีดก็หาย ผลตับก็ดีขึ้นและเป็นปกติจนถึงทุกวันนี้


    <DD>พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเราทรงพบหลักการบำบัดรักษาโรคทำนองเดียวกับ "เซรุ่ม" หรือ "วัคซีน" ก่อนใครในโลก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวกในการใช้สอย และได้ผลจริง มีความแสดงไว้อย่างชัดเจนทั้งในพระสูตรและพระวินัย อย่าได้คิดว่าเป็นการค้นพบโดยการทดลองทางวิทยาศาสตร์ หากเป็นการรู้เห็นด้วยญาณอันวิเศษ และปฏิบัติใช้ได้ผลมาแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี


    <DD>พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นผลดีของโอสถวิเศษดังกล่าวนี้ จึงบัญญัติไว้ในพระวินัยให้เป็นวัตรปฏิบัติสำคัญ 1 ใน 3 ประการของภิกษุ พระภิกษุต้องมีวัตรปฏิบัติ 3 ประการคือการถือ "ไตรจีวร" เป็นประจำอย่างหนึ่ง "การบิณฑบาต" อย่างหนึ่ง และการทำ "น้ำมูตรเน่า" ฉันอีกอย่างหนึ่ง


    <DD>การบิณฑบาตเป็นวัตรก็คือการออกกำลังกายในยามเช้า ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า morning walk หรือ จ็อกกิ้งอะไรก็ตามเถิด แต่แท้จริงแล้วก็คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เลือดลมในกายไหลเวียนเป็นปกติ เส้นสายได้คลี่คลาย ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งอาหาร


    <DD>โดยเฉพาะเวลาอุ้มบาตรแนบกับท้องน้อย ความอุ่นของบาตรพระที่มีข้าวสุกอยู่ในบาตร ได้เคล้าคลึงอยู่กับหน้าท้อง ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของเส้นสายและเลือดลมทั้งปวง ทำให้กายมีความเป็นปกติ เป็นอยู่สบาย แม้ในทางธรรมเล่าก็ทำให้ผู้เป็นพุทธบริษัทได้มีโอกาสทำบุญ บำรุงจิตใจให้อาบเอิบอยู่ด้วยบุญ "จาคะ" และการสละละวาง ประโยชน์ใหญ่หลวงอันเกิดแต่บิณฑบาตมีอยู่ดังนี้


    <DD>ส่วนการทำ "มูตรเน่า" ฉันนั้นก็คือการเอาน้ำปัสสาวะของตนเองทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาแต่กลางน้ำดองกับลูกสมอหรือมะขามป้อมก็ได้ หมักบ่มไว้เป็นเวลา 90 วัน ก็ใช้ฉันได้ หรือจะฉันสดโดยรองเอาแต่เฉพาะช่วงกลาง ทิ้งหัวทิ้งท้ายก็ได้ และนี่เป็นวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มีผลในการป้องกัน บำบัด และรักษาโรคที่มีผลชะงัด พิสูจน์เมื่อใดก็ใช้ได้เมื่อนั้น ได้ผลเมื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนในลัทธิศาสนาใดๆ หรือมีเพศวัยอะไร


    <DD>คนโบราณหรือคนที่มีอายุเกินกว่า 45 ปี ก็คงเคยได้กินยาแผนโบราณที่ใช้น้ำปัสสาวะเด็กเป็นกระษัยยามาบ้างแล้ว นั่นเป็นเรื่องของคนที่ขยะแขยงน้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถ พระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้ใช้น้ำปัสสาวะของตนเองย่อมมีมาแต่เหตุว่า อาการของโรคใดๆ ของคนใดคนหนึ่งย่อมต้องบำบัดรักษาด้วยน้ำมูถหรือน้ำปัสสาวะของผู้นั้น จะใช้ของผู้อื่นไม่ได้


    <DD>มีผู้ใช้โอสถทิพย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในการบำบัดรักษาโรคหลายอย่างหลายชนิดตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน ตั้งแต่ป่วยเป็นไข้ เป็นฝีในท้อง เป็นโรคลำไส้ เป็นโรคตับ โรคไต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง และโรคอื่นๆ สารพัด


    <DD>ได้ทราบข่าวหลายกระแสและค่อนข้างจะแน่ชัดแล้วว่า น้ำมูตรเน่าหรือน้ำปัสสาวะนั้นสามารถบำบัดรักษาโรคเอดส์ได้ด้วย เหตุที่มีการทดลองใช้น้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถเน่ารักษาโรคเอดส์เนื่องจากการรักษาแผนปัจจุบันนั้นเป็นอันสิ้นหวัง และยังไม่สามารถค้นพบยาขนานอื่นใดที่รักษาโรคเอดส์ได้อย่างแท้จริง จึงทำให้ผู้เป็นโรคเอดส์ที่ว่านี้ทอดอาลัยตายอยาก แล้วคิดว่าไหนๆ ก็จะตายแล้ว ลองใช้โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าบ้างจะเป็นไรไป


    <DD>ครั้นทดลองเอามากินเพียง 10 กว่าวัน ลิ้นและปากที่เป็นฝ้ากินอะไรไม่ได้ก็เริ่มกินน้ำได้คล่องคอแล้วค่อยๆ กินอาหารได้ พอกินอาหารได้ความซูบซีดผอมแห้งแรงน้อยก็ค่อยๆ หาย เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นโดยลำดับ 6 เดือนผ่านไปเนื้อหนังมังสาผิวพรรณ เริ่มเหมือนผู้คนมากกว่าที่เหมือนเปรตดังแต่ก่อน ค่อยๆ เดินได้ ออกกำลังกายได้ 8 เดือนผ่านไปก็มั่นใจว่าโอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าสามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายได้อย่างแน่นอน จึงกินต่อมาเรื่อยๆ 5 ปีผ่านไปแล้วบางราย 3 ปีผ่านไปแล้วก็สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติยิ่งขึ้น หรือเหมือนกับคนปกติแล้ว


    <DD>ตรองดูเหตุผลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้พระภิกษุฉันน้ำมูตรเน่าเป็นวัตร ก็คงเนื่องมาแต่ยุคพุทธกาลนั้นบ้านเมืองยังทุรกันดาร หมอก็คงหาลำบาก ยามพระภิกษุป่วยไข้จะหาหยูกยาที่ไหนมารักษา และวิธีที่ดีและง่ายที่สุด หาได้ทุกเมื่อทุกวันเวลาก็คือน้ำปัสสาวะของตนเอง


    <DD>เหตุที่ต้องใช้น้ำปัสสาวะของตนเองก็เพราะว่าน้ำปัสสาวะของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่กลั่นจากน้ำในกาย ทั้งน้ำเลือด น้ำหนอง และน้ำทุกชนิดในกายอันยาววาหนาคืบนี้ โดยไตเป็นกลไกในการขับกรอง โรคทั้งหลายในกายย่อมอาศัย ย่อมมีเหตุปัจจัยและย่อมมีผลเกี่ยวด้วยน้ำหลายชนิดดังกล่าวในกายของตัวเองนั่นเอง เป็นโรคอะไรน้ำในกายก็ย่อมมีสารอันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของโรคนั้นอยู่ เมื่อผ่านการกลั่นกรองของไตกลายเป็นน้ำปัสสาวะแล้ว น้ำปัสสาวะนั้นจึงเหมือนกับเซรุ่มหรือวัคซีนที่พวกฝรั่งเพิ่งค้นพบในภายหลังนั่นแหละ


    <DD>เมื่อมองดังนี้ก็จะเห็นได้ว่าน้ำปัสสาวะของคนเราแท้จริงแล้วก็คือ "เซรุ่ม" หรือ "วัคซีน" ที่ธรรมชาติประทานไว้ให้กับคนเรานั่นเอง เป็นเซรุ่มหรือวัคซีนธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันบำบัดรักษาโรคประจำกายได้โดยอัตโนมัติ เป็นโรคอะไรหรือจะเป็นโรคอะไรร่างกายก็จะผลิตน้ำปัสสาวะ ที่เสมือนดังหนึ่งเซรุ่มหรือวัคซีนที่จะมีผลต่อการบำบัดรักษาโรคนั้นอย่างตรงตัวที่สุด


    <DD>อุปมาเหมือนกับการเอาพิษงูเห่าไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูเห่า หรือการเอาพิษงูจงอางไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูจงอางนั่นแล โรคเอดส์ก็ประกอบด้วยน้ำ มีเหตุมีปัจจัยจากน้ำ และก่อผลแก่น้ำอันมีอยู่ในกาย เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายคนเราจึงผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนที่รักษาโรคเอดส์ โดยการใช้น้ำปัสสาวะของผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์นั้นในการบำบัดรักษาโรคเอดส์ให้หาย


    <DD>สมญานามของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่าเป็นผู้แจ้งโลกนั้น ไม่ว่าจะคิดจะพิจารณาศึกษาค้นคว้าในเรื่องไหนๆ ก็จะเห็นได้ถึงความรู้แจ้งโลกหรือความเป็นสัพพัญญูอย่างถ่องแท้ ได้ลองค้นคว้าตำรายาในพระไตรปิฎกก็ได้พบตำรายามากหลาย หากมีวันเวลาว่างและกองบรรณาธิการอนุญาตแล้วก็ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องตำรายาในพระไตรปิฎก เพื่อเป็นธรรมทานแก่เพื่อนมนุษย์สักครั้งหนึ่ง ท่านผู้ใดสนใจก็คอยติดตามเอาเองก็แล้วกัน


    <DD>น้ำปัสสาวะสดอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องสกปรกโสมม คิดเสียว่าเหมือนกับน้ำลายที่อยู่ในปาก สามารถกลืนกินได้ฉันใด น้ำปัสสาวะก็ดื่มกินได้ฉันนั้น แต่เอาหละเพื่อความสะอาดช่วงต้นช่วงปลายอาจจะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจอยู่บ้างก็ทิ้งไปเสีย เอาแต่ตอนกลางดื่มเช้าหนหนึ่ง ก่อนนอนหนหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นโอสถวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะ และสามารถบำบัดรักษาโรคที่มีอยู่ในตนได้ทุกอย่าง


    <DD>รสชาติของน้ำปัสสาวะของแต่ละคนและที่เป็นโรคแต่ละโรคย่อมแตกต่างกัน บ้างมัน บ้างหวาน บ้างเค็ม บ้างเปรี้ยว บ้างจืด บ้างมีกลิ่นฉุน บ้างขื่น บ้างเหมือนกลิ่นสับปะรด ก็ถือเสียเถิดว่านั่นเป็นยาแต่ละขนานสำหรับโรคแต่ละโรค


    <DD>ส่วนการทำน้ำมูถเน่านั้น ให้ใช้น้ำปัสสาวะตอนเช้าและตอนก่อนเข้านอน ทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาเฉพาะส่วนกลาง ดองใส่โหลไว้ ใส่สมอหรือมะขามป้อมแล้วปิดฝาให้มิดชิด ถ้วน 90 วันแล้วก็ดื่มกินได้ ทั้งรสชาติดีและรักษาโรคได้ทุกชนิด จะกินน้ำปัสสาวะเพื่อป้องกันรักษาโรคก็ได้ หรือถ้ารังเกียจก็คอยจนเป็นโรคใดโรคหนึ่งที่หมอไม่รับรักษาแล้วค่อยทดลองกินก็ได้


    <DD>ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยที่ยังประโยชน์ยิ่งแก่หมู่สัตว์จงประสิทธิ์ประสาทฤทธิ์ของโอสถทิพย์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนทั้งปวงเทอญ
    </DD>
     
  7. sujinnayano

    sujinnayano Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +59
    ผมก็เป็นไมเกนครับ ทุกวันนี้ต้องกินยาจากหมอแผนปัจจุบัน อยากเลิกกินเหมือนกัน ตอนนี้มีนั่งสมาธิ สวดมนต์ ในแต่ละวัน พยายามอย่าเครียดครับ ความเครียดเป็นบ่อเหตุสำคัญของโรคนี้ แล้วก็การใช้สายตามากๆ ก็ทำให้ปวดไมเกนได้เช่นกันครับ (แล่แต่คน)

    แต่ผมไม่ได้ปวดด้านเดียวนะ ผมปวดสลับไปมาซ้ายขวา บางทีหลังศีรษะ บางทีท้ายทอย
     
  8. ICDS

    ICDS เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    2,612
    ค่าพลัง:
    +4,084
    ทานน้ำมันรำข้าวจมูกข้าวครับ ผมรู้จักคนแต่ละคนเป็นไมเกรนกันทั้งนั้นเป็นมานาน20กว่าปีแล้ว
    ล่าสุดมีป้าคนหนึ่งเป็นไมเกรนถ้ามีอาการต้องอยู่ในที่มืดไม่อยากเจอใครเลย ทรมาน
    และหงุดหงิดมากๆ แต่ตอนนี้ไม่มีอาการอีกเลยครับ (เมื่อก่อนเป็นไมเกรนขั้นต่ำวันละ 3ครั้ง) ผมได้มีประสบการณ์ตรงนี้เลยอยากแบ่งปันเพื่อเป็นธรรมแก่ท่านทั้งหลายครับ สาธุ...
    ปล.ถ้าอยากทราบข้อมูลอย่างละเอียดก็เมลล์มาที่ ohiyo-86@hotmail.com ได้ครับ
     
  9. วีระพันธ์11

    วีระพันธ์11 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +102
    ผมเคยเป็นและหายมาหลายสิบปีแล้วครับเริ่มเป็นตั้งแต่ยังเด็กๆ จำความได้ประมาณ 10 ขวบ ปวดข้างเดียว ปวดจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ถ้าใครเคยเป็นคงรู้อาการดีครับ ประมาณ 4-5 วันครั้ง ทำให้ขวัญผวามาก เพราะมันมีกำหนดเวลาของมัน ผมใช้วิธีทานนมสดอุ่นๆครับอาการก็จะเริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่หายซะทีเดียว ตอนหลัง
    ผมเริ่มออกกำลังกายด้วยการวิ่งครับ ประมาณตีห้าครึ่งของทุกวัน ช่วงแรกๆ วิ่งทุกวันครับ
    และออกกำลังกายบ่อยๆมาหลายปี และอาการก็ค่อยๆ หายไป จนปัจจุบันไม่เคยเป็นอีกเลยครับ โรคประจำตัวอย่างอื่นๆ ก็หายขาดไปด้วย เช่นปวดท้อง ท้องเสียบ่อย (ตอนเด็กสุขภาพอ่อนแอครับ) ทุกวันนี้สุขภาพแข็งแรงดีครับ ควรออกกำลังกายให้เหงื่อออกมากๆ ทุกๆวันครับ ออกกำลังกายเป็นยาวิเศษจริงๆ และยังทำให้จิตใจผ่องใสเข้าสมาธิได้อย่างรวดเร็วด้วยครับ
     
  10. อัสดงส์

    อัสดงส์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,319
    ค่าพลัง:
    +3,697

แชร์หน้านี้

Loading...