เรื่องเด่น จริยธรรมของพระโพธิสัตว์ 10 ประการ

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย nondanun, 18 สิงหาคม 2010.

  1. nondanun

    nondanun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    5,980
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +32,611
    <TABLE class=alt1 border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    จริยธรรมของพระโพธิสัตว์ ๑๐ ประการ


    ๑. พระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนาเลยว่าร่างกายจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ
    ( มีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา )



    ๒. พระโพธิสัตว์ครองชีพโดยไม่ปรารถนาว่าจะไม่มีภยันตราย
    ( มีภัยอันตรายเป็นธรรมดา )



    ๓. พระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนาเลยว่าจะไม่มีอุปสรรคในการชำระจิตให้บริสุทธิ์
    ( ย่อมมีอุปสรรคเป็นธรรมดา )



    ๔. พระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนาเลยว่าจะไม่มีมารขัดขวางการปฏิบัติภารกิจ
    ( จะต้องมีมารมาขัดขวางการปฏิบัติโพธิจิตเป็นธรรมดา )



    ๕. พระโพธิสัตว์คิดว่าจะทำงานให้นานที่สุด โดยไม่ปรารถนาจะให้สำเร็จผลเร็ว
    ( ปล่อยวางเรื่องกาลเวลา ทำงานเพื่องาน )



    ๖. พระโพธิสัตว์คบเพื่อนโดยไม่ปรารถนาว่าจะได้ผลประโยชน์จากเพื่อน
    ( รักผู้อื่นด้วยความบริสุทธิ์ใจ )



    ๗. พระโพธิสัตว์ไม่ปรารถนาเลยว่าจะให้คนอื่นตามใจตนเองเสมอไปทุกอย่าง
    ( ไม่มีความเห็นแก่ตัว )



    ๘. พระโพธิสัตว์ทำความดีกับคนอื่น ไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทน
    ( ต้องการให้คนอื่นพ้นทุกข์ )



    ๙. พระโพธิสัตว์เห็นลาภแล้ว ไม่ปรารถนาจะมีหุ้นส่วนด้วย
    (ไม่ปรารถนาในลาภและสรรเสริญ)



    ๑๐. พระโพธิสัตว์ เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสี ติเตียน นินทาแล้ว ไม่ปรารถนาจะได้โต้ตอบหรือฟ้องร้อง
    ( การใส่ร้ายป้ายสี ติเตียน นินทา เป็นธรรมดาของโลก )



    จริยธรรม ทั้ง ๑๐ ประการนี้ เป็นการปฏิบัติธรรมชั้นสูงของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ เรียกว่า "มหาอุปสรรค" ซึ่งถ้าท่านผู้ปฏิบัติธรรม นำมาท่องทุกวัน จะช่วยขัดเกลาจิตใจให้ดีงาม ช่วยให้ง่ายต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน

    <!-- End main-->
    ที่มา Bloggang.com : mojaa_lady -
     
  2. ธัมปฏิบัติ

    ธัมปฏิบัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +1,019
    เป็นจริยธรรมที่ยิ่งใหญ่จริง
    ตรงข้ามกับ
    มนุษย์ทั่วไปโดยสิ้นเชิงอนุโมทนา สาธุคับ
    ________________________________________________________________________[​IMG]

    [​IMG] เล่ม 1. หนทางแห่งการพ้นทุกข์.rar
    [​IMG] เล่ม 2. หนทางแห่งการบรรลุ.rar
     
  3. simmie

    simmie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +820
    สูตรนำไปสู่ความสำเร็จ พระแม่กวนอิมมหาโพธิสัตว์

    1.ทำงานอยู่เสมอ

    2.อย่าเอาเรื่องกับสิ่งเล็กน้อย

    3.อย่าเป็นทุกข์ล่วงหน้า

    4.ต้อนรับสิ่งที่หนีไม่พ้น...ด้วยความสงบ

    5.อย่ายอมเป็นทาสของอดีต

    6.หัดวิเคราะห์ทุกข์

    7.ค้นหาสาเหตุของทุกข์ แล้วกำจัดต้นเหตุ

    8.ทำจิตให้สะอาด....ไม่ตกเป็นทาสของมายาธรรม

    9.ตระหนักแน่ว่า สิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย

    10.ความมีเหตุผล ​
    11.การเล็งเห็นคุณและโทษ...ของสิ่งที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง

    12.พยายามมองบุคคลและเหตุการณ์ต่างๆ....ในแง่ดีตามสมควร

    13.การทำสมาธิ ​
    14.การทำวิปัสสนา

    Source: ข้อคิดดีๆจากผู้ที่โพสเวปพลังจิต
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กันยายน 2010
  4. ธรรมวิวัฒน์

    ธรรมวิวัฒน์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    26,331
    กระทู้เรื่องเด่น:
    82
    ค่าพลัง:
    +115,276
    ขอบคุณสำหรับธรรมทานนะครับ

    สำหรับผมอ่านจริยธรรม 10 ประการ
    เพิ่งเข้าใจในข้อ 7 นะครับ

    จากที่ผ่านมาทำให้เข้าใจว่า คนเราไม่เท่ากัน สร้างบารมีมาไม่เท่ากันนะครับ
    ดังนั้นจะให้เขาคิดเหมือนเราไม่ได้ครับ แม้แต่พุทธภูมิ กับ สาวกภูมิ ยังคิดคนละอย่างเลยครับ

    มารบ่มี บารมีบ่เกิด (ครูบาศรีวิชัย)

    อนุโมทนาครับ สาธุ
     
  5. no-ne

    no-ne เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    1,198
    ค่าพลัง:
    +3,380
    อนุโมทนาค่ะ ได้ประโยชน์มากจากที่อ่านบทความนี้ ได้ความดีมาประดับปัญญา พระโพธิสัตว์คือผู้ที่มีแต่ให้อย่างแท้จริง สาธุนะคะ
     
  6. yoopee_up

    yoopee_up เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +203
    อนุโมทนาครับ ​

    ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาลให้ทุกท่านมีความสุขความเจริญและผู้ตั้งใจในธรรมให้บรรลุธรรมครับ สาธุ ขออนุญาติแปะข้อความต่อครับจะได้ไม่รกกระทู้

    สภาวะแห่งการเป็นพระโพธิสัตว์

    วิมลเกียรติคหบดีได้ถามพระโพธิสัตว์มัญชุศรีว่า สภาพเเห่งการเป็นพระโพธิสัตว์นั้นจะต้องบวชอยู่ในสมณเพศหรือ หากเป็นฆราวาสจะเป็นพระโพธิสัตว์ได้หรือไม่

    พระโพธิสัตว์มัญชุศรีตอบว่าสภาวะแห่งการเป็นพระโพธิสัตว์นั้น

    พระโพธิสัตว์ไม่ได้อยู่ที่เครื่องนุ่งห่ม
    พระโพธิสัตว์ไม่จำเป็นจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว
    พระโพธิสัตว์สามารถที่จะคลุกคลีกับสิ่งชั่วร้าย
    พระโพธิสัตว์สามารถที่จะวางตัวอยู่ในสรรพสิ่งแห่งพิภพ
    พระโพธิสัตว์สามารถที่จะเข้าสู่การโปรดสัตว์ทุกสถานที่
    พระโพธิสัตว์สามารถที่จะวางตัวอยู่ทางโลกไม่ใช่ทางธรรมก็ไม่เชิง
    พระโพธิสัตว์ไม่จำเป็นต้องอยู่ในเครื่องแบบแห่งนักพรต
    พระโพธิสัตว์ไม่จำเป็นที่อยู่ตึกระฟ้า
    พระโพธิสัตว์อาจอยู่กับโคลนตรม
    พระโพธิสัตว์อาจอยู่ในสำนักหญิงโสเภณี
    พระโพธิสัตว์อาจอยู่ในโรงเหล้า
    พระโพธิสัตว์อาจอยู่ในกลุ่มอันธพาล

    **แต่ในสภาวะแห่งการเป็นพระโพธิสัตว์นั้น เขามีวิมุตติจิตที่สำเร็จแล้วนั่นก็คือ การกระทำของเขาอยู่ในสภาวะพิสูจน์การเป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่

    หลักปฏิบัติ 10 ประการในการบรรลุธรรมของพระมหาโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
    (พระแม่กวนอิม)
    1. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนใจมั่นคง ไม่ท้อถอย ไม่เลิกกลางคัน
    2. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีปณิธานแน่วแน่
    3. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเราของเรา
    4. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีจิตเมตตากรุณา
    5. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีความขยันหมั่นเพียร
    6. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนที่ถือศีลห้า เป็นอย่างน้อย
    7. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีจิตกุศล ทำแต่ความดี
    8. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนรู้จักแยกแยะความชั่วกับความดี
    9. ผู้จะบรรลุธรรม ต้องเป็นคนมีความอดกลั้นผู้จะบรรลุธรรม
    10. ต้องเป็นคนมีจิตสวบเป็นสมาธิ
    *หลักปฏิบัติ 10 ประการดังกล่าวข้างต้นคือปัจจัยแห่งการบรรลุธรรม

    การเป็นพระโพธิสัตว์

    ผู้จะเป็นพระโพธิสัตว์ ต้องพยายามหาเวลาบำเพ็ญจิตของตนให้เข้มแข็ง ภาวะการเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกและต่อตนเอง สมมติว่ากลางวันเราโปรดสัตว์ กลางคืนเราต้องโปรดจิตวิญญาณของเราเอง
    • พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่กิน
    • พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่นอน
    • พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่พูดและ
    • พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่นั่ง
    • พระโพธิสัตว์ต้องมีอารมณ์แห่งความแน่วแน่ที่จะทำทุกวิถีทางให้จิตวิญญาณของสัตว์โลกสูงขึ้น มีคุณธรรมแห่งการรับกระแสพระโพธิญาณ นั่นคืออารมณ์และสัจจะแห่งพระโพธิสัตว์
    คุณสมบัติของพระโพธิสัตว์ 3 ประการ
    1. มหาปรัชญา หรือ ปัญญาอันยิ่งใหญ่ หมายความว่า จะต้องเป็นผู้มีปัญญาเห็นแจ้งในสัจธรรม ไม่ตกเป็นทาสของกิเลส
    2. มหากรุณา หมายความว่า จะต้องเป็นผู้มีจิตกรุณาต่อสัตว์ทั้งหลายอย่างปราศจากขอบเขต พร้อมที่จะสละความสุขและชีวิตของตนเอง เพื่อช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์
    3. มหาอุบาย หมาความว่า พระโพธิสัตว์จะต้องมีวิธีการชาญฉลาด ในการอบรมสั่งสอนผู้อื่นให้เข้าถึงสัจธรรม
    คุณสมบัติ 8 ประการของพระโพธิสัตว์


    1.พระโพธิสัตว์จักต้องบำเพ็ญตนให้เป็นคุณประโยชน์ต่อปวงสัตว์ โดยไม่ปรารถนารับผลตอบแทนใดๆจากสัตว์ทั้งหลาย
    2.พระโพธิสัตว์สามารถเสวยสรรพทุกข์แทนสรรพสัตว์ได้โดยมิย่นย้อท้อ
    3.พระโพธิสัตว์สร้างคุณงามความดีไว้ประมาณเท่าไรก็สามารถอุทิศให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายได้โดยหวงแหนตระหนี่ไว้
    4.พระโพธิสัวว์ตั้งจิตอยู่ในสมถธรรมอันสม่ำเสมอในปวงสัตว์ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ถ่อมตนไว้ไม่ลำพองโดยปราศจากความขัดข้องใดๆ
    5.พระโพธิสัตว์เห็นพระโพธิสัตว์ทุกๆองค์ปานประหนึ่งเห็นพระพุทธองค์ อนึ่งพระสูตรใดที่ยังมิได้สดับรับฟังแล้วก็ไม่บังเกิดความสงสัยในพระสูตรนั้น
    6.พระโพธิสัตว์ไม่หันปฤษฎางค์(หันหลัง)ให้แก่ธรรมะของพระอรหันตสาวก แต่สมัครสมานเข้ากันได้กับธรรมะดังกล่าวนั้นๆ
    7.พระโพธิสัตว์ไม่เกิดความริษยาในลาภสักการะ อันบังเกิดแก่ผู้อื่นและไม่เกิดความหยิ่งทะนงในลาภสักการะ อันบังเกิดแก่ตนเองสามารถควบคุมจิตของตนไว้ได้
    8.พระโพธิสัตว์จักต้องหมั่นพิจารณาโทษของตนอยู่เป็นนิจไม่เที่ยวเพ่งโทษโพนทะนาในลาภสักการะ ตั้งจิตให้มั่นคง เด็ดเดี่ยวในการสร้างบารมีช่วยสัตว์โลกให้พ้นทุกข์

    การเป็นพระโพธิสัตว์


    ผู้จะเป็นพระโพธิสัตว์ ต้องพยายามหาเวลาบำเพ็ญจิตของตนให้เข้มแข็ง ภาวะการเป็นพระโพธิสัตว์นั้นต้องใช้เวลาทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์ต่อสัตว์โลกและต่อตนเอง สมมติว่ากลางวันเราโปรดสัตว์ กลางคืนเราต้องโปรดจิตวิญญาณของเราเอง
    • พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่กิน
    • พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่นอน
    • พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่พูดและ
    • พระโพธิสัตว์ไม่เห็นแก่นั่ง
    • พระโพธิสัตว์ต้องมีอารมณ์แห่งความแน่วแน่ที่จะทำทุกวิถีทางให้จิตวิญญาณของสัตว์โลกสูงขึ้น มีคุณธรรมแห่งการรับกระแสพระโพธิญาณ นั่นคืออารมณ์และสัจจะแห่งพระโพธิสัตว์
    การบำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์


    การบำเพ็ญมหาบารมีโพธิสัตว์มี 3 ระดับ ดังนี้

    1. ระดับต้น หรือ บำเพ็ญอย่างธรรมดา เรียกว่า บารมีระดับต้น
    2. ระดับกลาง ผู้บำเพ็ญจะต้องยอมเสียเลือดเนื้อ เสียอวัยวะน้อยใหญ่ เรียกว่า อุปบารมี
    3. ระดับสูง ผู้บำเพ็ญจะต้องยอมเสียแม้ชีวิต เรียกว่า ปรมัตถบารมี

    พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์

    ใน 1 ปีจะมีวันสำคัญของพระกวนอิมโพธิสัตว์ 3 วัน ทางจันทร์คติเเบบจีน
    วันประสูติ วันที่ 19 เดือนยี่
    วันตรัสรู้ วันที่ 19 เดือน 6
    วันออกบวชวันที่ 19 เดือน 9

    ที่มา:1.http://mahayarn.exteen.com/20080716/entry-1
    2.หนังสือมหาเมตตาจากสวรรค์พระโพธิสัตว์กวนอิมตำนานบริสุทธ์ถือศีลกินเจ
    ผู้เขียน ธนเดช ธนเดชสวัสดิ์
    จัดจำหน่ายโดย บริษัท ยอดมาลา จำกัด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2010
  7. หมอก้อย

    หมอก้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2010
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +996
    ดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วมีกำลังใจในการทำความดีขึ้นเยอะเลยค่ะ... ขอบคุณมากๆนะคะ ^^
     
  8. namotussa

    namotussa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    341
    ค่าพลัง:
    +1,470
    ขออนุโมทนาครับ อุปสรรคตามที่กล่าวมานั้น ปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเราขอแค่ปฎิบัติตามเพียง 5 ข้อ ก็สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างสบาย แม้ว่าจะเสียเปรียบบ้าง ที่ห่วงมากคือข้อ 4. จะต้องมีมารมาขัดขวางการปฎิบัติ มารบ่มี บารมีบ่เกิด (ครูบาศรีวิชัย) จึงขออธิบายเกี่ยวกับ "มาร" มาให้เข้าใจ
    "มาร" นาม ผู้ฆ่าบุญ ผู้ฆ่ากุศล ผู้กีดกั้น สิ่งล้างผลาญผู้ทำความดี สิ่งซึ่งขัดขวางและล้างผลาญการทำความดี ในพระพุทธศาสนาหมายถึง สิ่งซึ่งกีดกั้นบุญกุศล มี 5 อย่างเรียกว่า เบญจพิธมาร
    1. ขันธมาร (มารเบญขันธ์ ได้แก่ร่างกายของเราเอง)
    2. กิเลสมาร (มารกิเลส ความคิดฝ่ายต่ำในตัวเราเอง)
    3. อภิสังขารมาร (มารเครื่องปรุงแต่งชีวิต บาปกรรมแต่หนหลัง)
    4. มัจจุมาร (มารความตาย)
    5. เทวบุตรมาร (มารผู้มีอิธิพล)
    นอกเหนือจากนี้แล้วยังมี"ปปัญจธรรม 3" ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงเตือนว่า ก็เป็นมารที่คอยกีดขวางความงอกงามแห่งความรู้สึกและความรัก
    ปปัญจธรรม 3 อันเป็นกิเลสเครื่องเนิ่นช้า เป็นตัวการทำให้คิด ปรุงแต่งยืดเยื้อพิสดาร ทำให้เขวห่างออกไปจากความเป็นจริงที่ง่ายๆ และเปิดเผย ก่อให้เกิดปัญหาต่างๆ และขัดขวางไม่ให้เข้าถึงความจริง กิเลส 3 ประการนี้ ได้แก่<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    1. มานะ คือความถือตัวว่าเรารู้ดีแล้ว เราเก่งแล้ว หรือผู้แสดงธรรมท่านอื่นก็รู้พอๆ กันกับเรา หรือเรามันโง่เขลาเบาปัญญาไม่มีทางที่จะเรียนรู้ธรรมได้เลย<o:p></o:p>
    2. ทิฏฐิ คือการมีความเชื่อมั่นหรือปักใจเชื่อในแนวทางปฏิบัติอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีอยู่เดิม คิดว่าแนวทางของเราที่ทำอยู่นี้เท่านั้นถูกต้อง แนวทางอื่นๆ ไม่ถูกต้อง ความรู้สึกอย่างนี้เป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อย่างมาก พอได้ฟังสิ่งใดที่ขัดแย้งหรือแตกต่างจากความเชื่อเดิมก็เกิดโทสะเสียแล้ว ทำให้การพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ ของตนเองทำไม่ได้ หรือพอได้รับฟังสิ่งใหม่ๆ ก็คิดเปรียบเทียบกับข้อมูลเดิมอยู่ตลอดเวลา ทำให้ขาดความตั้งใจมั่นที่จะศึกษาสิ่งใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้เองพวกเราจึงควรทำตนให้เป็นเสมือน ถ้วยชาที่ว่างเปล่าเสียก่อน จึงจะเข้าใจในสิ่งที่ ผู้เขียนจะกล่าวต่อไปนี้ได้อย่างง่ายดาย และเมื่อเข้าใจแล้วจะไม่เชื่อถือก็ไม่ว่ากัน อย่าเพิ่งปฏิเสธทั้งที่ยังไม่เข้าใจก็ขอบคุณมากแล้ว<o:p></o:p>
    3. ตัณหา คือความอยาก ในที่นี้หมายถึงความอยากที่จะปฏิบัติธรรม และความอยากที่จะบรรลุธรรม เมื่อมีความอยากก็เกิดการกระทำตาม อำนาจของความอยากต่างๆ นานา ตรงกับคำสอน ของพระพุทธเจ้าที่ว่า "ตัณหาเป็นผู้สร้างภพ" คือสร้างความปรุงแต่งหรือการงานทางใจที่เรียกว่า "กรรมภพ' ขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพียรทำอะไรบางอย่างเพื่อละอกุศล และการเพียรทำอะไรบางอย่างเพื่อเจริญกุศล เช่นการพยายามทำสติ สมาธิ ปัญญา และวิมุตติให้เกิดขึ้น โดยเชื่อว่าถ้ามีความเพียรปฏิบัติและสร้างความปรุงแต่งฝ่ายกุศลให้เต็มที่แล้ว จะรู้ธรรมได้ในที่สุด<o:p></o:p>
    แท้จริงการมีความเพียรชอบนั้น ไม่ใช่เพียรโดยเอากำลังเข้าหักหาญกับกิเลสหรือพยายามบังคับให้กุศลเกิดขึ้น เพราะธรรมทั้งปวงทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลต่างก็เป็นอนัตตาคือไม่อยู่ในอำนาจ บังคับของใคร ความเพียรเช่นนั้นจึงไม่ใช่สัมมาวายามะหรือความเพียรชอบ เพราะยังประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ว่าเราจะละอกุศลและทำให้ธรรมฝ่ายกุศลเกิดขึ้นได้ตามใจปรารถนา แต่เป็น มิจฉาวายามะอันมีตัณหาอยู่เบื้องหลังการปฏิบัติธรรมและมีความหลงผิดเป็นเครื่องชี้นำ ส่วนความเพียรชอบนั้นเพียงมีสติก็เกิดความเพียรชอบแล้ว คือทันทีที่สัมมาสติเกิดขึ้น อกุศลก็เป็นอันถูกละ ไปแล้ว และกุศลก็เริ่มเจริญขึ้นแล้ว สมดังที่ หลวงปู่ มั่น ภูริทัตตเถระ ท่านสอนว่า "เมื่อใดมีสติเมื่อนั้นมีความเพียร เมื่อใดขาดสติเมื่อนั้นขาดความเพียร" ดังนั้นแม้จะพยายามเดินจงกรมหรือนั่งสมาธิตลอดวันตลอดคืน ถ้าไม่มีสติก็ยังไม่ได้ชื่อว่าทำความเพียรชอบ<o:p></o:p>
    พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช
    ต้องขอขอบคุณ คุณ wisarn_it ที่ได้โพสต์เรื่อง ปปัญจธรรม 3 เอาไว้ อิอิลอกเขามาครับ

     
  9. aodbu

    aodbu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +456
    ขออนุญาติเจ้าของกระทู้
    บอกเล่า่ที่มาของ บทความจริยธรรมพระโพธิ์สัตว์
    และบทความธรรมะ ที่คุณ yoopee up ก๊อปลงอยู่ในกระทู้นี้นะครับ

    ธรรมะเหล่านี้บางบท ก็เป็นโวหารของสมเด็จโต บางโวหารก็เป็นของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด

    ซึ่งท่านได้มาเทศน์ที่สำนักปู่สวรรค์ ต่อมาก็มีนักเขียนสำนักพิมพ์หลายต่อหลายที่คัดลอก
    แล้วโมเมว่า เอามาจากที่อื่น ไม่เคยกล่าวถึงที่มาที่ถูกต้องไว้เลย

    แม้แต่ธรรมะ คำเทศน์สมเด็จโต ที่อ่านในเวปนี้ 99 % ก็มาจากสำนักปู่สวรรค์
    แต่ก็โมเมว่ามาจากที่อื่น
    ซึ่งมีหลา่ยสาเหตุ เหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ ที่นี่ โดนผู้มีอำนาจรัฐ แกล้งใส่ร้ายว่าเป็นคอมมิวนิสต์ โจมตีตลอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้

    เพราะอะไรก็ไปอ่าน ที่ลายเซนต์ผมดูนะครับ
    ผมได้เฝ้าหลวงปู่ทวด หลวงพ่อโต เสด็จพ่อท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ โดยการผ่านร่างทรง......... ซึ่งเป็นที่มาของธรรมะของท่านบรมครู จึงทำให้พวกเราได้อ่านกันทุกวันนี้ครับ
     
  10. yoopee_up

    yoopee_up เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    56
    ค่าพลัง:
    +203
    ผมขอโทษคุณ aodbu ด้วยนะครับ ใจความสำคัญของผมคือ หาใจความสำคัญเพื่อประโยชน์ส่วนรวมมาให้อ่านกันครับ เลยไม่ทราบแหล่งที่มาอย่างแน่นอน
     
  11. wvichakorn

    wvichakorn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    3,667
    ค่าพลัง:
    +9,239

    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG]


    ขออนุโมทนาอย่างยิ่งค่ะ

     
  12. aodbu

    aodbu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    205
    ค่าพลัง:
    +456
    คุณ yoopee_up ครับไม่ต้อง ขอโทษผมหรอกครับ ผมก็แค่ต้องการบอกกล่าวเฉยๆครับ ส่วนตัวก็รู้สึกดีที่คุณ yoopee_up มาเผยแพร่ครับ


    แต่รู้สึกไม่ดี กับนักเขียนที่คัดลอกจากหนังสือต้นฉบับ ของสำนักปู่สวรรค์
    แล้วไม่ยอมบอกความจริงเท่านั้นครับ

    ถ้าทำให้คุณ yoopee_up เข้าใจผิดก็ขออภัยด้วยเช่นกันครับ

    ส่วนตัวผมคิดจะพิมพ์เผยแพร่หลายครั้งแล้ว แต่ลืมทุกทีขออนุโมทนาอีกครั้งครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 สิงหาคม 2010
  13. emperron

    emperron เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    352
    ค่าพลัง:
    +432
    ผู้ประกอบด้วยโลกุตรปัญญาอันลึกซึ้ง
    ได้มองเห็นว่า โดยธรรมชาติแท้แล้ว ขันธ์ทั้งห้านั้นว่างเปล่า
    และด้วยเหตุที่เห็นเช่นนั้น จึงได้ก้าวล่วง พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้
    รูปไม่ต่างจากความว่าง ความว่าง ก็ไม่ต่างไปจากรูป
    รูปคือความว่างนั่นเอง และความว่างก็คือรูปนั่นเอง
    เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ก็เป็นดังนี้ด้วย
    สารีบุตร ธรรมทั้งหลาย มีธรรมชาติแห่งความว่าง ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้ดับลง
    ไม่ได้สะอาดและไม่ได้สกปรก ไม่ได้เพิ่มขึ้นไม่ได้ลดลง
    ดังนั้น ในความว่างจึงไม่มีรูป ไม่มีเวทนา หรือสัญญา ไม่มีสังขาร หรือวิญญาณ
    ไม่มีตาหรือหู ไม่มีจมูกหรือลิ้น ไม่มีกายหรือจิต ไม่มีรูปหรือเสียง ไม่มีกลิ่นหรือรส
    ไม่มีโผฏฐัพพะหรือธรรมารมณ์ ไม่มีโลกแห่งผัสสะ หรือวิญญาณ
    ไม่มีอวิชชา และไม่มีความดับลงแห่งอวิชชา ไม่มีความแก่และความตาย
    และไม่มีความดับลงซึ่งความแก่ และความตาย ไม่มีความทุกข์
    และไม่มีต้นเหตุแห่งความทุกข์ ไม่มีความดับลงแห่งความทุกข์
    และไม่มีมรรคทางให้ถึง ซึ่งความดับลงแห่งความทุกข์
    ไม่มีการประจักษ์แจ้งและไม่มีการลุถึง เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องลุถึง
    พระโพธิสัตว์ผู้วางใจในโลกุตรปัญญา จะมีจิตที่เป็นอิสระจากอุปสรรคสิ่งกีดกั้น
    เพราะจิตของพระองค์เป็นอิสระจาก อุปสรรคสิ่งกีดกั้น
    พระองค์จึงไม่มีความกลัวใดๆ ก้าวล่วงพ้นไปจากมายาหรือสิ่งลวงตา
    ลุถึงพระนิพพานได้ในที่สุด พระพุทธในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
    ผู้ทรงวางใจในโลกุตรปัญญา ได้ประจักษ์แจ้งแล้วซึ่งภาวะอันตื่นขึ้น
    อันเป็นภาวะที่สมบูรณ์และไม่มีใดอื่นยิ่ง ดังนั้น จงรู้ได้เถิดว่า โลกุตรปัญญา
    เป็นมหาธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นธรรมแห่งความรู้อันยิ่งใหญ่
    เป็นสิ่งอันไม่มีสิ่งอื่นยิ่งกว่า เป็นมนต์อันไม่มีสิ่งอื่นใดมาเทียบได้ซึ่งจะตัดเสียซึ่งความทุกข์ทั้งปวง
    นี่เป็นสัจจะ เป็นอิสระจากความเท็จทั้งมวล ในใจของตน
    "อัตนา โจทยัตตานัง" จงกล่าวโทษเตือนตนไว้เสมอ
    "สัพพะปาปัสะอกรณัง ละเว้นความชั่ว
    กุสลัสสูปสัมปทา ทำแต่ความดี
    สจิตตะปริโยทปนัง ทำจิตใจให้ผ่องใส
    เอตังพุทธานะสาสะนัง" พระพุทธเจ้าทรงสอนเช่นนี้เหมือนกันหมด
    "อัตตาหิอัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
    โกหินาโถปโรสิยา ใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
    อัตตาหิสุทันเตนะ เมื่อฝึกตนดีแล้ว
    นาถังลภะติทุลภัง" จะได้ที่พึ่งอันบุคคลอื่นหาได้ยาก
     
  14. พงไพร

    พงไพร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +96
    [​IMG]

    ชอบครับ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ตุลาคม 2010
  15. เมทิกา

    เมทิกา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    952
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆ

    โมทนาสาธุกับพระโพธิสัตว์ทั้งหลายทุกท่านที่ทำงานเื่พื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยค่ะ
     
  16. ตุ๊โต้ง

    ตุ๊โต้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +223
    สรุปคือมีอะไรมากระทบจิตใจเราให้ถือว่ามันเป็นธรรมดาใช่ไหมครับผมเข้าใจถูกเปล่าเอ่ย...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 มกราคม 2011
  17. mashimo

    mashimo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +246
    ขออนุโมทนากับความรู้ที่ให้ด้วยค่ะ
    พระโพธิสัตย์เป็นผู้ตัดกิเลสตัดความยากต่าง ๆ มีแต่ให้ กับให้อย่างเดี่ยวมีแต่เมตตาอภัยต่อสรรพสัตว์ต่าง ๆ หลายข้อที่ท่านปฎิบัติ มนุษย์ปุถุชนอย่างเรา ๆแค่ศีล 5 ข้อยังไม่ครบทุกข้อเลยโดยเฉพาะข้อ 4 ยากมากเลยยิ่งทำงานด้วยแล้วยากมาก ๆเลยค่ะยิ่งเข้าสังคมยิ่งเจอเยอะเลยแต่เราก็ต้องพยายามกันต่อไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...