เรื่องเล่า...หลวงปู่กินรี จันทิโย

ในห้อง 'หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต' ตั้งกระทู้โดย โลกุตตระ, 16 สิงหาคม 2010.

  1. โลกุตตระ

    โลกุตตระ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    448
    ค่าพลัง:
    +2,624
    1. พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) รำพึงถึงหลวงปู่กินรี จันทิโย ครั้งหนึ่งว่า
    <O:p</O:p
    “ปัญญาของครูอาจารย์ผู้เฒ่าเหมือนพระจันทร์กระจ่างฟ้า ไม่มีเมฆบัง”

    เป็นคำรำพึงถึงซึ่งความซาบซึ้งตรึงใจของศิษย์ที่มีต่อครู

    ลึกล้ำ กว้างไกล อย่างไรนั้น บอกได้ว่าเกินกว่าปัญญาผู้ได้ฟังจะวัดหรือหยั่งได้ถึงแก่น

    จันทิโย คือ ผู้เปรียบประดุจพระจันทร์

    “เราเคยประมาทคิดว่าครูบาอาจารย์จะไปถึงไหนกัน เดินจงกรมก็ไม่เดิน นั่งสมาธินานๆ ก็ไม่นั่ง คอยแต่จะทำนั่นทำนี่ตลอดวัน แต่เรานี้ปฏิบัติไม่หยุดเลยถึงขนาดนั้นก็ยังไม่รู้ไม่เห็นอะไร ส่วนหลวงปู่กินรีปฏิบัติอยู่แค่นั้นจะไปรู้เห็นอะไร”

    หลวงพ่อชาเล่า

    “เรามันคิดผิดไป หลวงปู่ท่านรู้อะไรๆมากกว่าเราเสียอีก คำเตือนของท่านสั้นๆ ไม่ค่อยจะมีให้ฟังบ่อยนักเป็นสิ่งลุ่มลึก แฝงไว้ด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมแยบคาย ความคิดของครูบาอาจารย์กว้างไกลเกินปัญญาของเราเป็นไหนๆ ตัวแท้ของการปฏิบัติคือความพากเพียรกำจัดกิเลสภายในใจไม่ใช่ถือเอากิริยาภายนอกของครูบาอาจารย์มาเป็นเกณฑ์”

    และนี่คือคำเตือนอันเป็นอมตะวาจาตลอดกาล

    “ท่านชา อะไรๆในการปฏิบัติของท่านก็พอสมควรแล้ว อยากให้ระวังแต่เรื่องเทศน์นะ”และ

    “ท่านคิดถึงใครผู้นั้นจะให้โทษแก่ท่าน”

    2. หลวงปู่กินรี จันทิโย เป็นศิษย์พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล ไม่ใช่ศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ แม้ไม่ใช่แต่โยงใยเป็นสายเดียวกัน เพราะว่าพระอาจารย์มั่นก็เป็นศิษย์พระอาจารย์เสาร์เหมือนกัน

    โดยทางธรรมแล้วผู้ให้ความรู้หรือผู้ชี้ความผิดของตนถือเป็นครู พระอาจารย์มั่นก็เป็นครูของหลวงปู่กินรีได้

    โอวาทธรรม และคำแนะนำในการประพฤติปฏิบัติก็มีให้กันหลายวาระ

    “กินรี ท่านได้ที่อยู่หรือยัง”

    มันเป็นคำถามที่พระอาจารย์มั่นมีกับหลวงปู่กินรีเสมอ

    ผู้มีธรรมถาม-ตอบผู้มีธรรมด้วยกัน แม้คำถามพื้นๆ ธรรมดา แต่กับผู้มีธรรมแล้วไม่เป็นเช่นนั้น

    ใครจะไปรู้จักดีเท่าผู้ถามหรือผู้ถูกถาม

    ประสบการณ์ที่หลวงปู่กินรีไม่เคยลืมได้เกิดขึ้นคราวหนึ่งระหว่างอยู่รับการอบรมกรรมฐานกับพระอาจารย์มั่น ท่านว่าเมื่อลงนั่งภาวนา จิตสงบลึกจนเกิดอาการเน่าเปื่อยขึ้นที่กาย หนังเนื้อหลุดออกจนเหลือแต่โครงกระดูก

    “นั่นน่าเบื่อหน่ายนัก” ท่านกล่าว

    บางครั้งเกิดไฟไหม้ตัวโหมกระพือ ลุกเผาจนเหลือแค่กองกระดูกและเถ้าถ่าน

    ไม่ว่าคนจะงามจะเลอโฉมเพียงใด ที่สุดแล้วก็ต้องถูกเผาจนเกิดภาพเดียวกัน

    จากพระอาจารย์เสาร์สู่พระอาจารย์มั่น และถึงมือพระอาจารย์ทองรัตน์ เป็นการเดินทางของศิษย์ที่ชื่อกินรี

    พระอาจารย์ทองรัตน์ กันตสีโล คืออีกท่านหนึ่งที่หลวงปู่กินรียกย่องให้เป็นครูอาจารย์

    “นิสัยของท่านอาจารย์ทองรัตน์นั้น มีความห้าวหาญและน่าเกรงขามยิ่งนัก บางครั้งกิริยาดุดัน วาจาก้าวร้าวแต่ในใจกลับไม่มีอะไรเลย” หลวงปู่กินรีเล่า

    “ในคราวหนึ่ง หลวงปู่มั่นได้กล่าวกับท่านอาจารย์ทองรัตน์ว่า พระเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน เครื่องใช้ไม้สอยอะไรๆ มันหอมฟุ้งไปหมด ซึ่งท่านหมายถึงสบู่หรือผงซักฟอกต่าง ๆ และในวันหนึ่งมีกลุ่มภิกษุสองสามรูปเดินผ่าน ท่านอาจารย์ทองรัตน์ร้องลอยๆ ลั่นว่า โอ๊ยหอมกลิ่นผู้บ่าว”

    นี่คือลักษณะของท่านอาจารย์ทองรัตน์

    ดูๆไปก็คล้ายกับหลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม

    ท่านทั้งสองแทบจะเป็นคนชนิดเดียวกัน หลวงปู่ตื้ออยู่ประดับธรรมยุติกนิกาย ท่านอาจารย์ทองรัตน์ประดับฝ่ายมหานิกาย

    ส่วนหลวงปู่กินรี คือ โดดเดี่ยวผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหานิกาย

    ท่านชอบอยู่คนเดียวอย่างโดดเดี่ยวที่แท้จริง

    3. ประวัติชีวิตของหลวงปู่กินรี แทบจะมีแต่ท่านผู้เดียวที่เป็นเจ้าของรู้เรื่องอยู่ตามลำพัง ที่ปรากฏเรื่องราวในที่ต่างๆ ก็ล้วนแต่เกิดด้วยปากของศิษย์ผู้ใกล้ชิด หรือผู้รู้จักท่านเล่าสู่กันฟัง เช่นเรื่องธุดงค์ไปเมืองลาวก็เกือบจะไม่เป็นประวัติชีวิตอย่างที่คนนิยม หากแต่เป็นเสี้ยวหนึ่งของประสบการณ์ในการแสวงหาโมกขธรรม

    พระยศ (ปัจจุบันสึกแล้ว) กับพระหลอด คือผู้ติดตามหลวงกินรีในการธุดงค์สู่เมืองลาว

    เรื่องธุดงค์ต่อไปนี้เกิดด้วยบันทึกของหลวงปู่กินรีเองและคำบอกเล่าเท่าที่นึกออกของพระลูกศิษย์ทั้งสอง

    บันทึกของหลวงปู่ ได้อธิบายว่าได้เดินทางผ่านบ้านต้อง, นาทราย, บ้านใหม่, บ้านโนนสมบูรณ์ จนลุเข้าอำเภอบึกกาฬหลายหมู่บ้านไม่รู้จักพระแต่ก็ยังพอได้ข้าวเปล่าๆ ในการบิณฑบาตบ้าง

    ท่านว่าภาวะเช่นนี้บางทีจะทำให้พระที่ยังใหม่ต่อการฟันฝ่าอุปสรรคในคราวยากเข็ญแทบทนไม่ไหว

    สำหรับพระที่เก่าแล้วเช่นตัวท่านไม่ได้ฉันข้าว 7 วันก็เคย เรื่องอดข้าวบ่อยๆ นั้นเกือบจะเป็นธรรมดา ไม่ทำให้รู้สึกท้อถอยแต่อย่างใด

    จากบึงกาฬ ท่านนำลูกศิษย์ข้ามโขงขึ้นฝั่งลาว เริ่มก้าวแรกในแผ่นดินลาวที่ริมฝั่งเพื่อรุดหน้าไปสู่พระบาทพลสันต์ (บางแห่งเขียนโพนสัน ไม่ทราบว่าที่ถูกคืออย่างไร) นมัสการพระพุทธบาทแล้วย้อนกลับไทย เดินเลาะริมฝั่งเพื่อข้ามสู่ลาวอีกครั้งที่เชียงคานจังหวัดเลย

    เข้าเขตลาวแล้วพบว่ามีแต่ป่าดงดิบและทิวเทือกเขาต่อเนื่องกันตลอด สัตว์ป่าชุกชุม แต่ปลอดภัยดี แม้พระลูกศิษย์จะเป็นไข้ก็พอเดินไปกันไหว จนถึงหมู่บ้านป่าใกล้ชุมชนชาวเขาแห่งหนึ่ง มีพระออกมาต้อนรับรูปหนึ่ง

    “ดีแล้วที่พวกท่านมากันถึงที่นี่ มาแล้วก็อยู่เสียด้วยกันอยู่ที่นี่ดีนักหนา” พระเจ้าถิ่นปฏิสันถารด้วยไมตรีจิต

    “อยู่ที่นี่ดีนั้นดีอย่างไร” หลวงปู่กินรีถาม “พวกชาวเขาที่นี่น้ำใจดีมีศรัทธาแรงกล้า และประเพณีของพวกเขาก็ส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวที่จะแต่งงานกัน ต้องนำเจ้าสาวมาให้เชยชมก่อน เขาว่าเป็นบุญอันเลิศและเราก็จะได้เชยชมผู้หญิงก่อนเจ้าบ่าวทุกครั้งไป”

    หลวงปู่กินรีสะดุ้ง

    ท่านกล่าวนั้นพระอลัชชีไม่ละอายต่อบาป ขืนอยู่จะแย่จึงพาลูกศิษย์เดินหนีไปจากที่นั่นทันที

    ต่อจากนั้นได้เดินทางจนพบคนชาวป่าเผ่าหนึ่งเรียกว่าข่าตองเหลือง นับว่าเป็นคนป่าที่แท้จริง เพราะว่ายังคงนุ่งห่มตนด้วยใบไม้อยู่ ท่านว่าตอนที่พบนั้น หญิงข่าตองเหลืองกำลังคลอดลูกพอดีที่ริมลำธาร

    “กิริยาอาการมันไม่แปลกต่างจากสัตว์เลย” ท่านปลง

    ต่อมาก็ได้พบคนป่าอีกพวกหนึ่งเรียกว่า “ถักแถ่” ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือไม่มีสะบ้าหัวเข่า ถ้าหกล้มแล้วลุกไม่ได้ ต้องอาศัยเกาะโคนไม้หรือโขดหินพยุงตัวขึ้นมายืน

    คนป่าเผ่านี้ผมเคยได้ยินบ่อย ๆ ว่าทุกวันนี้ก็ยังมีอยู่ในป่าเมืองลาว บางท่านว่าพวกนี้มีขนรุงรังตามตัวคล้ายลิง ไม่มีภาษาพูดหรือจะมีก็หาคนภายนอกเข้าใจได้ยาก นอกจากพวกเขาด้วยกัน เคยได้ยินว่าถูกจับตัวไปแสดงที่เวียงจันทน์ครั้งหนึ่ง ในกรงเหมือนขังสัตว์ป่าและอยู่ไม่นานก็ตายไปน่าสงสารมาก

    หลวงปู่กินรีเล่าว่าได้พบคนป่าพวกนี้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่ามีกิจกรรมอะไรร่วมกันหรือไม่ เข้าใจว่าบอกเพื่อให้คนฟังทราบว่าคนป่าพวกนี้มีจริงและท่านก็ได้พบเหมือนกัน
    <O:p
    พระธุดงค์ส่วนหนึ่งจะได้เคยพบพวกถักแถ่ ใช่ว่าจะได้พบทุกองค์ก็หาไม่ พวกนี้อยู่ในป่าลึก ไม่มีคนรุกล้ำเข้าถึง เป็นคนป่าอีกพวกที่นับว่าแปลกประหลาดมาก วันหนึ่งถ้าถูกเปิดเผยตัวควรจะเกิดเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกก็ได้

    หลวงปู่พรหมา เขมจาโร ก็เคยกล่าวถึงคนป่าพวกนี้เหมือนกัน โดยเล่าถึงลักษณะที่เวลาหกล้มแล้วลุกไม่ได้ ต้องใช้วิธีกลิ้งตัวหนีภัย ท่านยังได้บอกอีกว่าสิ่งแปลกประหลาดในเมืองลาวยังมีอีกมาก แต่เล่าแล้วเหมือนป่าหิมพานต์ที่ไม่ควรมีจริง

    การธุดงค์ของหลวงปู่กินรีในป่าเมืองลาวนั้น ไม่แสดงรายละเอียดถี่ถ้วนเหมือนครูบาอาจารย์อื่น ซึ่งก็เป็นลักษณะนิสัยไม่ช่างพูดของท่านนั่นเอง และธุดงค์เมืองลาวก็มาสิ้นสุดเมื่อท่านข้ามกลับเข้าฝั่งไทยที่บ้านห้วยมุ่น อำเภอน้ำปาด จังหวัดอุตรดิตถ์

    จำพรรษาที่นั่นกับหมู่บ้านชาวแม้วจนได้เห็นประเพณีแปลก ซึ่งใช้สำหรับปลงอสุภกรรมฐาน ได้เรียกว่าพิธีเฝ้าศพ คือเมื่อมีคนตาย เขาจะเอาศพไว้ในบ้าน 7 วัน ผลัดเปลี่ยนเวรยามเข้าเฝ้าศพเพื่อจะช่วยไล่แมลงวันตอมศพ และศพก็ย่อมขึ้นอืดไปตามเวลาที่ล่วงไป

    มีน้ำเหลืองน้ำหนองเยิ้มออกมา เด็กๆที่เป็นลูกหลานผู้ตายก็ช่วยกันเอามือเช็ดลูบน้ำเหลืองน้ำหนองออกจากศพแล้วเอามาทาตัวโดยไม่รังเกียจเลย พวกที่มาเฝ้าศพก็พากันร้องไห้คร่ำครวญและที่เล่นดนตรีเป็น จับเครื่องดนตรีเล่นไป

    “ได้ยินทั้งเสียงดนตรี ทั้งเสียงร้องไห้สลับกันไปพิลึกดี ชวนให้สลดหดหู่ไปกับเขาเหมือนกัน”

    หลวงปู่กินรีเล่า

    เฝ้าศพครบ 7 วันแล้วก็หามไปฝัง

    ออกพรรษาที่บ้านห้วยมุ่น จังหวัดอุตรดิตถ์แล้ว หลวงปู่กินรีวางเข็มทิศธุดงค์ไว้ที่ประเทศพม่า ได้เดินทางเข้าถึงหมู่บ้านชาวลาวแห่งหนึ่ง ไม่มีชื่อปรากฏในแผนที่ เป็นพวกลาวประจำหมู่บ้านชวนท่านอยู่ด้วย แต่ท่านปฏิเสธและออกเดินทางมุ่งไปจนถึงเมืองย่างกุ้ง

    ลูกศิษย์สองรูปที่ติดตามตลอด เกิดความท้อถอย ถึงกับกล่าวว่า จะเดินกันไปถึงไหนไปหาอะไร ถ้าจะหาธรรมะก็ไม่น่าจะอยู่ไกลเพียงนี้ ธรรมะหาได้ที่ใจตนเองไม่เห็นจะต้องมาลำบากกับการเดินทางไกลถึงปานนี้

    ท่านจึงปล่อยให้ลูกศิษย์กลับตามความสมัครใจ ส่วนตัวท่านออกเดินหน้าต่อไปตามลำพัง

    หลวงปู่กินรีเล่าถึงวัดกุลาจ่อง อยู่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง ซึ่งท่านได้พำนักอยู่ที่นั่นว่าได้เห็นเณรมาทำลับล่อ จรดมวยตั้งท่าจะชกแล้วหลบหายไป แสดงว่าพระเณรที่นี่ขาดการอบรมเรื่องพระวินัย จึงไม่อยากอยู่และได้ออกเดินทางต่อไปสู่ประเทศอินเดีย

    สมัยที่ท่านไปอินเดียนั้นสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง ยังไม่ได้รับการทำนุบำรุง เฉพาะสถานที่ประสูติ มีพงหญ้ารกมาก รวมทั้งอีก 3 แห่งก็พอๆ กัน

    ที่ท่านประทับใจมากที่สุดคือมกุฏพันธนเจดีย์อยู่ห่างจากที่พระพุทธองค์ทรงปรินิพพานไม่ไกล เชื่อว่าเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ รอบๆ สถานที่แห่งนั้นมีสถูปเล็กๆ รายรอบ เชื่อว่าเป็นที่ประดิษฐานอัฐิธาตุของพระอานนท์และพระพุทธสาวกทั้งหลาย

    “ดอกสาละออกช่อเต็มที่แล้วโรย สังขารมนุษย์ทั้งปวงไม่เว้นแม้พระพุทธองค์และเหล่าสาวกก็ดับสลายไปสิ้นด้วยกัน”
    <O:p
    บำเพ็ญประทักษิณวนขวาแสดงสักการะ และรำลึกถึงคุณพระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกแล้วเดินทางกลับสู่พม่า และพำนักในพม่าติดต่อกันนาน 12 ปี แต่รายละเอียดการอยู่ในพม่าไม่มีปรากฏ ดูเหมือนจะเงียบหายไปเหมือนคำพูดที่มีน้อยของท่าน

    4. ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวที่ขาดความต่อเนื่อง ไม่ทราบว่าเรื่องใดเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง แต่เป็นเหตุการณ์เฉพาะอย่างไป อาจเรียกวาเกร็ดประวัติก็ได้



    ยาได้มาแปลกๆ


    ครั้งหนึ่งท่านพำนักอยู่ใกล้หมู่บ้านชาวเขาเผ่ามูเซอ ในเขตจังหวัดตาก เกิดอาพาธ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ อาการทรุดหนักจนออกบิณฑบาต หรือทำกิจใดๆ ไม่ไหว พวกชาวเขาที่เคารพเลื่อมใสท่านมาช่วยกันพยาบาล ก็ไม่ดีขึ้น อาพาธอยู่นานเดือนไม่รู้วันหายไม่รู้ว่าจะหาย หรือเปล่า

    ถึงกับรำพึงว่า

    ความเจ็บไข้ทางกายนี้หนักเข้าก็เป็นอุปสรรคแก่การภาวนา เป็นที่ตั้งแห่งนิวรณ์ทั้งหลาย บางครั้งเกิดสงสัยลังเลใจไปทุกอย่าง ทั้งสงสัยอาบัติที่จะมีแก่ตัว ที่ทรงก็แต่ศีลเท่านั้น แต่ในที่สุดอารมณ์ทั้งหลายก็สงบลง เพราะได้เพ่งอยู่แต่กับอารมณ์จึงเกิดความรู้ว่าธรรมะนี้ไม่เกินกว่าวิสัยตนจะทำได้

    คืนหนึ่งฝันว่า มีพระรุ่นโบราณมานั่งเฝ้า 6 รูป ท่านเห็นจึงบอกว่า อย่ามาเฝ้าท่านอยู่เลย อีกหน่อยก็จะต้องตายแล้ว ร่างกายก็จะเน่าเฟะหาประโยชน์ไม่ได้ จงพากันกลับไปเสียเถิด แต่เหล่าพระโบราณกลับบอกว่าท่านยังไม่ตายหรอก ให้บอกพวกชาวเขาไปหาของสิ่งนี้ (ชูให้ดู) มากินก็จะหาย

    รุ่งขึ้นหลวงปู่กินรีได้บอกให้ชาวเขาไปเอายาที่เห็นในฝันมาถวาย พอได้ยาอาการอาพาธที่เป็นมานานเดือนก็หายอย่างน่าแปลกประหลาดใจ



    50 เมื่อไหร่เข้าวัด


    หลวงปู่กินรีเล่าเรื่องธรรมเนียมคนพม่าในสมัยนั้นว่าผู้ครองเรือน ถ้ามีอายุถึง 50 ปี เมื่อไหร่จะต้องเข้าวัดสามีอยู่วัดหนึ่ง ภรรยาอยู่วัดหนึ่ง ถือพรหมจรรย์ตลอดชีวิต ถ้าใครอายุ 50 แล้ว ยังหมกมุ่นในกามารมณ์เขาเรียกว่าคนบ้าตัณหา


    สตรีลึกลับ


    ครั้งหนึ่งท่านพำนักอยู่ในถ้ำบนเขาเปลี่ยวเดียวดาย มีผู้หญิง 2 คน เดินขึ้นมาหา ท่านก็ไล่กลับ ว่าเป็นผู้หญิงขึ้นมาหาพระทำไม ถ้ามาต้องมีผู้ชายมาด้วย ผู้หญิงทั้งสองคนบอกว่าจะมาขอรับศีลและฟังธรรม

    “รับแค่ศีลก็พอแล้ว ไม่ต้องฟังธรรม"

    พอให้ศีลเสร็จก็ไล่กลับอีก ผู้หญิงทั้งสองกลับลงไปในทิศทางเดิมที่ขึ้นมา ซึ่งหลวงปู่กินรีบอกว่ามองตามหลังไปเห็นเดินหายเข้าไปในซอกหินแคบๆที่ไม่น่าจะมีใครลงไปได้เลย



    ไม่เคยสอน?


    พระลูกศิษย์รูปหนึ่งเล่าว่าอยู่กับหลวงปู่มานาน หลวงปู่ไม่เคยอบรมสั่งสอนอะไรนอกจากบอกสั้นๆ ว่าให้รักษาศีลให้ดี และทำความเพียรมากๆ เท่านั้น



    ไม่คลุกคลี


    หลวงปู่กินรีชอบอยู่คนเดียว แม้อยู่ร่วมกันหลายคนในวัดท่านก็เสมือนอยู่คนเดียวและให้โอกาสผู้อื่นอยู่คนเดียวเหมือนท่าน

    แม้การสวดมนต์ทำวัตร ท่านยังให้ทำคนเดียว อนุญาตทำร่วมกันแต่เพียงสัปดาห์ละครั้งท่านมีเหตุผลว่า

    “ท่านอาจารย์เสาร์ และท่านอาจารย์มั่นไม่เคยทำอย่างนี้”



    บุรุษเสื้อแดง


    ครั้งหนึ่งในป่าช้าแห่งหนึ่ง ภายหลังจากการเดินจงกรมก็เข้าที่ลงนั่งสมาธิภาวนา สักครู่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาหาทางด้านหลัง ท่านเหลือบไปดู เห็นเป็นชายคนหนึ่งใส่เสื้อสีแดงมีผ้าขาวม้าคาดพุงทำกิริยารีๆ รอๆ แล้วหันหลังเดินกลับไป ต่อมาจึงทราบจากชาวบ้านว่าชายใส่เสื้อแดง มีผ้าขาวม้าคาดพุงถูกเขาฆ่าตายอยู่ในละแวกนั้น


    หลวงปู่กินรีมักบอกลูกศิษย์ว่า ให้ฝึกอยู่ป่าช้า เพราะอานิสงส์ของการอยู่ป่าช้านี้ดีนักหนา เป็นเครื่องทำจิตให้กล้า องอาจ และตื่นตัวอยู่เสมอ จิตในป่าช้ามีความง่วงไม่มีนิวรณ์ทำให้ภาวนาดีและไม่ต้องวิตกว่าจะมีอันตราย



    ฤทธิ์เป็นของเล่น


    ท่านกล่าวว่าสิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การสรรเสริญคือ การปฏิบัติธรรม สิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายเป็นเพียงของเล่นยามว่างของครูบาอาจารย์เท่านั้น

    แต่กับวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลัง ท่านก็อนุโลมให้ทำ และท่านก็ทำด้วยตนเองออกแจก เช่น ตะกรุด ซึ่งว่ากันว่าดีนักหนา เคยมีตำรวจกลุ่มหนึ่งมากราบท่าน และได้รับตะกรุดไปคนละดอก ขากลับออกจากวัด (สมัยนั้น) โดนดักยิงถล่มแต่ไม่มีใครถูกกระสุน ต้องรีบย้อนกลับมาวัด พบท่านยืนรออยู่หน้าวัด และท่านบอกว่ากลับไปทางเดิมนั่นแหละ ไม่ต้องหนีมาทางนี้ก็ได้

    ลุงเกลี้ยง อุกาพรหม ผู้เคยติดตามใกล้ชิดหลวงพ่อชา ก็เคยบอกว่าตะกรุดของหลวงปู่กินรีนั้นห้ามปืนจนแตกได้

    มีบ้านคนถูกไฟไหม้ แต่หน้าต่างบานหนึ่งที่มียันต์ของหลวงปู่เขียนติดไว้กลับไม่ถูกไฟไหม้เลย นับว่าแปลกดี



    เก็บตัวจนเก็บประวัติ


    ท่านชอบอยู่โดดเดี่ยว เก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร หลายคนพยายามมาซักถามขอประวัติ ท่านมักบ่ายเบี่ยงเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่นที่ไกลๆ ตัวท่านเสมอ ประวัติของท่านจึงแทบไม่มีปรากฏที่ไหนโดยละเอียด เรื่องราวของท่านล้วนเกิดขึ้นมาด้วยการเก็บความของคนหลายฝ่าย แล้วนำมาประติดประต่อกันอย่างยากลำบาก


    5. วัดกันตะศิลาวาส เดิมเป็นที่ซึ่งท่านอาจารย์เสาร์ กันตะสีโล มาพำนักภาวนา หลวงปู่กินรีเห็นซึ่งครูบาอาจารย์ของท่านเคยอยู่ จึงได้มาพัฒนาจนกลายเป็นวัดกันตะศิลาวาสอยู่จนทุกวันนี้

    ในบั้นปลายชีวิตของท่านยามแก่เฒ่าชรา ศิษย์ผู้มีกตัญญูยิ่งใหญ่เช่น หลวงพ่อชา ได้รบเร้านิมนต์ท่านไปอยู่วัดหนองป่าพง เพื่อการปรนนิบัติท่านก็ไม่ยอม โดยจะขออยู่ผู้เดียวต่อไป หลวงพ่อชาจึงต้องอาศัยส่งพระลูกศิษย์มาอยู่กับท่านเพื่อคอยรับใช้และดูแลแทนตัวท่านเองตลอดเวลาจนกระทั่งถึงวันมรณภาพ

    วันพุธที่ 26 พ.ย. 2523 เป็นวันสุดท้ายที่ท่านมีลมหายใจและหมดลม

    หลวงพ่อชาได้เป็นธุระดำเนินการบำเพ็ญกุศลศพของหลวงปู่กินรีจนเสร็จสิ้นทุกขั้นตอน

    เป็นครูบาอาจารย์ใหญ่อีกรูปหนึ่งที่เกิดและดับไปเพื่อแสดงสัจธรรมของพระพุทธองค์และผ่านการดำเนินชีวิตตามรอยบาทพระพุทธองค์อย่างเคร่งครัด

    นิพพาน ปัจจโย โหตุ .....
    ………………………………………………………………………………………………

    ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-hist-index-page.htm
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  2. chakapong

    chakapong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    497
    ค่าพลัง:
    +1,305
    ไหว้สาหลวงปู่กินรีครับ
     
  3. ป๋วยเอ็ง

    ป๋วยเอ็ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +201
    ขอถวายความเคารพและสักการะ
    ถึงดวงจิตของหลวงปู่กินรี...
    จากจิตวิญญาณทั้งหมดของลูกค่ะ
     
  4. ตักศิลา

    ตักศิลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    498
    ค่าพลัง:
    +440
    ดีจังได้รับรู้เรื่องราวอริยสงฆ์ เราจะดำเนินตามรอยพระพุทธเจ้า เช่นกัน
     
  5. คนวิเศษ

    คนวิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2010
    โพสต์:
    319
    ค่าพลัง:
    +1,861
    ขอบคุณกับเรื่องราวดี ๆ
    ขอกราบนมัสการหลวงปู่กินรี
     
  6. ปรานต์

    ปรานต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มกราคม 2009
    โพสต์:
    270
    ค่าพลัง:
    +668
    กราบแทบเท้าหลวงปู่ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...