แนะนำพระดี มีพลังมหัศจรรย์ อาถรรพ์หนุนชีวิต อิทธิฤทธิ์มหาศาล

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย หนุ่มเมืองแกลง, 15 พฤษภาคม 2010.

  1. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    คนรักกีฬา ฟุตบอล เชิญ ครับ

    วิวัฒนการ ลูกฟุตบอล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    คนรักกีฬา ฟุตบอล เชิญ ครับ

    วิวัฒนการ ลูกฟุตบอล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    คนรักกีฬา ฟุตบอล เชิญ ครับ

    วิวัฒนการ ลูกฟุตบอล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. siwarit

    siwarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +6,173
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2010
  5. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
     
  6. siwarit

    siwarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +6,173



    อนุโมทนาบุญกับพี่นวลด้วยครับ

    และก็อนุโมทนาบุญกับคุณปั้นด้วยครับที่นำพระธาตุมาแบ่งปันครับ

    พระคุ้มครองทุกท่านครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2010
  7. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    ว่าแต่แต่ละท่านเห็นบอลนี้ในสนามแข่งกันกี่ลูกครับ ผมเห็นใช้งานมา 6 ลูกครับ (ฟุตบอลก็บ่งบอกวัยได้เหมือนกันนะ)<!-- google_ad_section_end -->


    ผมเห็นลูกบอลในสนามแข่ง ปีล่าสุด นี่เองครับ ปี 2010
    (ฟุตบอลก็บ่งบอกวัยได้เหมือนกันนะ)<!-- google_ad_section_end -->

    5555555
     
  8. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327


    อนุโมทนา บุญ กับคุณ นวล ครับ

    ขอให้ สวยวัน สวยคืน นะครับ

    ไม่เจ็บ ไม่จน
     
  9. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    ค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ

    พักผ่อนกันบ้างค่ะพรุ่งนี้ต้องมีคนตื่นสายแน่นอน

    เสียดาย.....น้าต๋อยกินยาหลับไปแล้ว.....

    ฝันดีค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 สิงหาคม 2010
  10. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    พรุ่งนี้ พี่หนุ่ม กลับมาแล้ว พี่เค้าคงเข้ามา ช่วงสายๆ นะครับ ทุกท่าน

    อดใจ รอ ฟังประสบการณ์ ดีๆ กันนะครับ
     
  11. PITINATTH73

    PITINATTH73 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    2,991
    ค่าพลัง:
    +9,624
    ผมขอตัวพักผ่อนก่อนครับ ญาติธรรม ชมรมคนรักพี่หนุ่มเมืองแกลง ทุกๆท่าน ราตรีสวัสดิ์ครับ
     
  12. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    ผมไปก่อนนะครับ หมอน มาตามแล้ว 5555

    ฝันดี ทุกท่านครับ

    อย่าอด อย่าอยาก อย่ายาก อย่าจน อย่าต่ำกว่าคน อย่าจนกว่าเขา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. ศิษย์หลวงปู่กวย009

    ศิษย์หลวงปู่กวย009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,867
    ค่าพลัง:
    +17,327
    อยากให้ พี่หนุ่ม เล่าถึง

    (หลวงพ่อบ๋าวเอิง) วัดสมณานัมบริหาร (วัดญวน สะพานขาว)

    ให้ฟังหน่อยครับ ขอบคุณ มากครับ

    เคยอ่านหนังสือ แต่เค้าลงไม่ละเอียดเท่าไร ว่าท่านเชิญ องค์พระพรหมและท่านหมอชีวกโกมารภัจจ์ มาที่ร่างทรงได้ จึงได้เกิด การสร้างรูปหล่อขึ้น เป็นครั้งแรก
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2010
  14. namo_2009

    namo_2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,432
    ค่าพลัง:
    +10,228
    แอบนอนซะงั้นนะพี่ชาย แหม หมอนมาตามคิดไปได้
     
  15. sakuda

    sakuda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +2,214
    บทความวันแม่

    เมียถึงแม่
    สัมพันธ์กันอย่างมากลึกซึ้งและนะครับ เพราะหลังจากแต่งงาน เมียก็จะกลายเป็นแม่ของเราไปในทันที ทั้งจำกัดเงินค่าขนมของผม ทั้งคอยอบรมสั่งสอนและว่ากล่าว ให้ผมสนใจแต่การงาน ไม่ให้วอกแวกที่ไหน ให้โทรมารายงานตัวตลอด เห็นไหมครับว่ากลายเป็นแม่แล้วจริงๆ<O:p</O:p
    แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล <O:p</O:p
    แม่เราเฝ้าโอ้ละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปลไม่ห่างหันเหไปจนไกล<O:p</O:p
    นับตั้งแต่ที่ลูกชายคนแรกของผมลืมตามาดูโลกเป็นเวลา1 ปี กับ 3 เดือน ที่ผ่านมา ทำให้ผมได้เรียนรู้ลึกซึ้ง ถึงคำว่าแม่ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี ว่าตามปกติแล้ว เราแทบจะจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าตอนเราดื่มนมจากอกแม่นั้น เรามีความสุขแค่ไหน ตอนที่เรามีคนคอยประคอง ตอนกำลังล้มลง เรามีความมั่นใจแค่ไหน ตอนเราร้องไห้หรือเหงา ก็จะมีใครคนนึงมาอยู่ข้างกายเสมอ เราอบอุ่นแค่ไหน<O:p</O:p
    ผมไม่เคยแม้แต่จะนึกว่าภรรยาที่นอนแสนเก่งของผมจะยอมตื่นขึ้นมาทุก 2 ชั่วโมง ทุกๆครั้งที่ลูกร้อง เพื่อที่จะมาให้นมลูก โดยที่ไม่สนใจตัวเองเลย เธอไม่สนใจเลยว่าเวลานอนเธอไม่พอ ตาจะคล้ำเป็นแพนด้า หรือยังไม่ได้กินอะไร ส่วนตัวผมเอง ผมก็รักลูกนะ แต่ทำไมทุกๆครั้งที่ตื่นขึ้น มาเวลาลูกร้อง ก็จะเห็นภาพเธอกำลังอุ้มลูกอยู่เสมอ เมียจอมเฉื่อยของผมก็แปลงร่างเป็นกระต่ายแสนกลได้อย่างไม่น่าเชื่อ เจ้าลูกชายผมซะอีก ไม่เห็นว่ามันจะสนใจแม่ของมันเลย ว่าเหนื่อยแค่ไหนหรือง่วงแค่ไหนหรือหิวแค่ไหน มันเอาแต่กินวันละ 10 เวลา กับถ่าย วันละ 6 เวลา สงสัยมันอยากให้แม่ผอมไวไว
    เมื่อเล็กจนโตโอ้แม่ถนอมแม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ
    เติบ โตโอ้เล็กจนใหญ่นี่แหละหนาอะไร มิใช่ใดหนาเพราะค่าน้ำนม<O:p</O:p
    ในตอนวัยเด็กนั้นผมกลับจำได้แต่ว่า แม่ผมตีผมด้วยไม้เรียว ตีเจ็บมาก เจ็บจนร้องไห้ เจ็บจนจำ เพราะไม่อยากโดนตีอีก คอยแต่หาแผนการแอบเอาไม้เรียวไปโยนทิ้ง แถมยังมีเพื่อนมาล้ออีกว่า "สู้แม่ของเขาไม่ได้ ตีไม่เจ็บเลย" แต่พอผมได้กลายมาเป็นพ่อคนในตอนนี้ กลับรู้สึกว่าเรามองโลกด้านเดียวไปรึเปล่า เพราะผมโดนแม่ตีด้วยไม้เรียวไม่น่าเกิน 10 ครั้ง เมื่อเทียบกับข้าวทุกมื้อ ที่แม่คอยจัดเตรียมให้ ซักผ้าให้ สอนการบ้านให้ ป่วยไข้ หกล้มเป็นแผล ก็มาคอยดูแล ทายา ถึง มีบ่นผมบ้าง แต่แม่ก็เป็นผู้ให้ตลอดเลยไม่ใช่รึ ในตอนนี้ กลับรู้สึกว่า แม่จะรู้สึกเจ็บปวดใจสักแค่ไหน ที่ต้องตีผมจนร้องไห้ แต่คุณแม่จะทราบไหมครับว่าเพราะฤทธิ์ไม้เรียวนี้แหละครับที่ทำให้ผมได้เดินมาในกรอบทางที่ถูกต้อง <O:p</O:p
    <O:p</O:pควร คิดพินิจให้ดี ค่าน้ำนมแม่นี้ จะมีอะไรเหมาะสม <O:p</O:p
    โอ้ว่าแม่จ๋า ลูกคิดถึงค่าน้ำนม เลือดในอกผสม กลั่นเป็นน้ำนมให้ลูกดื่มกิน<O:p</O:p
    เมื่อผมจบจากมหาวิทยาลัย ก็คิดแต่ว่าเรานั้นเก่ง หารู้ไม่แล้วว่า เรายังไม่ได้ออกจากกะลาใบเดิมเลย ชีวิตในตอนนั้นพึ่งได้เริ่มทำงาน ภุมิใจในตัวเอง หลงกับคำชมเชย แต่พอทำงานมาปีกว่า กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้เรื่องเลย ภาษาอังกฤษก็ถึงขั้นแย่มาก รู้สึกว่าตัวเองคงต้องเรียนต่อ จึงไปคุยกับคุณแม่ ท่านก็สนับสนุนให้ไปครับ ผมได้ไปเรียนที่อเมริกา พร้อมน้องสาวครับ และใช้เวลาเรียนจนจบโททั้งหมด 3 ปี ซึ่งทุกคนก็พอจะรู้ว่าช่วงนั้นเรามีภาวะต้มยำกุ้งที่เงินบาทขึ้นไปแตะ 45-50 บาท แต่ผมก็ไม่เคยได้ยินเสียงบ่นจากคุณแม่เลยนะครับว่าลำบาก หรือไม่ไหว กลับได้ยินแต่เสียงคุณแม่ถามด้วยความห่วงใยว่า หนาวมากไหม ระวังเป็นหวัดนะลูก เรียนยากไหม พอจบกลับมา ถึงได้มารู้ว่า ที่บ้านได้ขายตึกแถว ทำเลดีไปสองห้อง และกู้แบงค์บางส่วน เพื่อให้ผมกับน้องได้เรียนอย่างเต็มที่โดยไร้กังวล คงไม่ต้องถามนะครับ ว่าท่านลำบากในเรื่องการเงินขนาดไหน แต่ท่านก็สู้ยิบตาโดยไม่ให้ผมต้องรุ้สึกเป็นทุกข์เลยครับ คำที่คุณแม่เคยพูดกับผมไว้ตอนเด็กๆ คือ "พ่อกับแม่ให้ลูกได้สองอย่าง คือ ความสุขในครอบครัว และการศึกษา" ท่านไม่ได้แค่พูด แต่ท่านทำได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นผู้ให้อย่างแท้จริงครับ<O:p</O:p
    ค่าน้ำนมควรชวนให้ลูกฝันแต่เมื่อหลังเปรียบดังผืนฟ้าหนักกว่าแผ่นดิน
    บวช เรียนพากเพียรจนสิ้นหยดหนึ่งน้ำนมกิน ทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย<O:p</O:p
    ปีที่ 3 ที่ผมได้เข้ามาทำงานที่อินโดนีเซีย งานของผมเริ่มจะลงตัว สิ่งที่ผมคอยนึกอยู่เสมอคือ ถ้าผมไม่ได้มีโอกาสไปเรียนที่อเมริกา ผมก็มั่นใจเหลือเกินว่าผมก็คงไม่มีวันนี้ ถ้าตอนนั้นคุณแม่พูดมาสักคำว่า “กลับเมืองไทยเถอะลูก ที่บ้านลำบากแล้ว” ผมก็คงไม่มีอนาคตที่สดใสอย่างเช่นวันนี้แน่นอนครับ ผมจึงคิดว่าผมพร้อมแล้วที่จะตอบแทนบุญคุณของคุณแม่บ้าง แม้มันจะเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่คุณแม่มอบให้แทบค่อนชีวิตของผม ผมจึงขึ้นไปคุยกับเจ้านายใหญ่ เพื่อขอลาบวชครับ <O:p</O:p
    ในระหว่างที่คุณแม่ปลงผมของลูกคนนี้ ผมไม่สามารถที่จะหยุดน้ำตาแห่งความปลื้มปิติเอาไว้ได้ครับ วันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกดีใจที่สุดครั้งนึงในชีวิต ดีใจมากกว่าวันที่สำเร็จการศึกษามากมายนัก เพราะเป็นวันที่ผมได้สามารถทำอะไรเพื่อตอบแทนพระคุณ แด่คุณแม่ผู้ประเสริฐสุดของลูกคนนี้ แม้เพียงน้อยนิดที่ตอบแทนได้ ก็รู้สึกอิ่มใจไปทั้งชีวิตครับ<O:p</O:p
    ทุกวันนี้ ผมมีลูกชายที่กำลังซน จึงอดไม่ได้สักทีที่จะนึกถึงภาพที่คุณแม่ที่กำลังวิ่งตามผมตอนนั้น ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นไอแห่งความอบอุ่น แม้จะไม่ได้อยู่ในความทรงจำอย่างชัดเจนนัก แต่ความสุขของทารกที่ได้ดื่มน้ำนมจากอกของแม่คนนึงคนนี้ จะขอทดแทนพระคุณของแม่ตราบเท่าที่ลมหายใจของผมยังมี ทุกวันนี้ผมกอดและหอมแม่ผมทุกครั้งที่เจอ ไม่รู้ว่าผมทำบุญมาด้วยอะไร ถึงมีโอกาสได้พานพบคุณแม่ที่ประเสริฐอย่างนี้ และไม่รู้ว่าจะเอาปัญญาที่ไหนมาใช้หนี้น้ำนมที่ทำให้ผมได้เติบโตมาเป็นคนอย่างสมบูรณ์<O:p</O:p
    ขอขอบคุณที่ติดตามบทความนะครับ ด้วยความเคารพครับ<O:p</O:p
    ปั้น<O:p</O:p
    ปล. ปีนี้ผมมีแม่สองคนแล้วนะครับ ( เพราะผมรักเมียเยี่ยงแม่ครับ ) คงต้องไหว้เมียโชว์ลูกชายซะหน่อย<O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2010
  16. siwarit

    siwarit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,159
    ค่าพลัง:
    +6,173
    สุภาษิตกระเหรี่ยงโบราณก็สอนไว้แล้วนะครับว่า

    "มีเมีย เหมือนมีแม่... มีเมียแก่ เหมือนมีแม่สองคน"

    ถ้าผบ.ทบ.มาอ่านเจอ ตัวใครตัวมัน ยิ่งถ้าหายไปหลายวัน มาเยี่ยมผมด้วยนะครับ :cool:
     
  17. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    มงคลชีวิต....

    ความหมายของสามี – ภรรยา
    สามี แปลว่า ผู้เลี้ยง ผัว
    ภรรยา แปลว่า คนควรเลี้ยง เมีย
    คำทั้งสองนี้ เป็นคำที่แฝงความหมายอยู่ในตัว และเป็นคำคู่กัน ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าสามี ก็เพราะเลี้ยงดูภรรยา ผู้หญิงที่จะได้ชื่อว่าภรรยาก็เพราะทำตัวเป็นคนน่าเลี้ยง

    ประเภทของภรรยา
    ภรรยาทั้งหลายในโลกนี้ แบ่งได้เป็น ๗ ประเภทคือ
    ๑. วธกภาริยา ภรรยาเสมอด้วยเพชรฆาต คือภรรยาที่มีใจคิดล้างผลาญชีวิตสามี พยายามฆ่าสามี ยินดีในชายอื่น ตบตี แช่งด่าสามี
    ๒. โจรีภาริยา ภรรยาเสมอด้วยโจร คือ ภรรยาที่ชอบล้างผลาญทรัพย์สามี ใช้ทรัพย์ไม่เป็นบ้าง ยักยอกทรัพย์เพื่อความสุขส่วนตัวบ้าง สร้างหนี้สินให้ตามใช้บ้าง
    ๓. อัยยภาริยา ภรรยาเสมอด้วยนาย คือ ภรรยาที่ชอบล้างผลาญศักดิ์ศรีสามี ไม่สนใจช่วยการงาน เกียจคร้าน กินมาก ปากร้าย กล่าวคำหยาบ ชอบข่มขี่สามีซึ่งขยันขันแข็ง เหมือนเจ้านายข่มขี่ข้า ภูมิใจที่ข่มสามีได้
    ๔. มาตาภริยา ภรรยาเสมอด้วยแม่ คือ ภรรยาที่มีความรัก เมตตาสามีไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนมารดารักบุตร เช่นสามีจะตกต่ำหมดบุญวาสนาจะป่วยจะพิการตลอดชีวิตก็ไม่ทอดทิ้ง ไม่พูด ไม่ทำให้สะเทือนใจ แม้ตายจากไปตั้งแต่ตนยังสาว ก็ไม่ยอมมีสามีใหม่
    ๕. ภคินีภริยา ภรรยาเสมอด้วยน้องสาว คือ ภรรยาที่เคารพสามีเป็นคนละอายบาป มีความรักยั่งยืน แต่มีขัดใจกันบ้าง ทั้งซน ทั้งงอน ทั้งขี้ยั่ว ทั้งขี้แย ต้องทั้งขู่ทั้งปลอบ ประเดี๋ยวจะเที่ยว ประเดี๋ยวจะกิน จะแต่งตัว แต่ก็ซื่อสัตย์ต่อสามี
    ๖. สขาภริยา ภรรยาเสมอด้วยเพื่อน คือ ภรรยาที่มีรสนิยม มีความชอบเหมือนสามี ถูกคอกัน เป็นคนมีศีลธรรม มีความประพฤติดี แต่มีความทะนงตัวโดยถือว่าเสมอกัน หากฝ่ายตรงข้ามขาดเหตุผลก็ไม่ยอมกัน
    ๗. ทาสีภริยา ภรรยาเสมอด้วยคนใช้ คือ ภรรยาที่ทำตัวเหมือนคนใช้ถึงสามีจะเฆี่ยนตี ดุด่า ขู่ตะคอกก็ไม่คิดพิโรธโกรธตอบสามี อดทนได้อยู่ในอำนาจสามี
    จะดูว่าใครเป็นสามี – ภรรยาชนิดไหน ต้องดูหลังจากแต่งงานแล้ว ระยะหนึ่งจึงจะชัด การแต่งงานมีอยู่ 2 ระยะ คือ
    ระยะแต่ง คือก่อนเป็นผัวเมียกัน ต่างคนต่างแต่ง ทั้งแต่งตัว แต่งท่าทางอวดคุณสมบัติให้อีกฝ่ายหนึ่งเห็น
    ระยะงาน คือหลังจากเป็นผัวเมียกันแล้ว ต่างคนต่างต้องทำงานตามหน้าที่ ใครมีข้อดีข้อเสีย ความรู้ความสามารถ ความประพฤติอย่างไรก็จะปรา
    ฏชัดออกมา

    หน้าที่ของสามีต่อภรรยา
    ๑. ยกย่องให้เกียรติ คือยกว่าเป็นภรรยาไม่ปิดๆบังๆหากทำดีก็ชมเชยด้วยใจจริง หากทำผิดก็เตือน แต่ไม่ตำหนิต่อหน้าสาธารณชนหรือคนในบ้านเพราะจะเสียอำนาจการปกครอง สิ่งใดเป็นเรื่องส่วนตัว เช่น การเลี้ยงเพื่อนพบปะญาติมิตร ควรให้อิสระ
    ๒. ไม่ดูหมิ่น ไม่เหยียบย่ำว่าต่ำกว่าตน ไม่ดูถูกเรื่องตระกูล ทรัพย์ ความรู้ การแสดงความคิดเห็น ไม่กระทำเรื่องที่เกรียวกับครอบครัวโดยไม่ปรึกษา ห้ามทุบตีด่าทอเด็ดขาด
    ๓. ไม่นอกใจ ไม่ไปสมสู่กับหญิงอื่นในฐานะเป็นภรรยาเหมือนกัน เพราะเป็นการดูหมิ่นความเป็นหญิงของภรรยา ให้เอาใจเขามาใส่ใจเรา ภรรยาทุกคนจะปลื้มใจที่สุด ถ้าสามีรักและซื่อตรงต่อตนเพียงคนเดียว
    ๔. มอบความเป็นใหญ่ให้ คือ มอบให้เป็นผู้จัดการภาระทางบ้านไม่เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องการครัว การปกครองภายใน นอกจากเรื่องใหญ่ๆ ซึ่งภรรยาไม่อาจแก้ปัญหาได้
    ๕. ให้เครื่องแต่งตัว ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงล้วนชอบแต่งตัว สนใจเรื่องสวยๆงามๆ ถ้าได้เสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวสวยๆงามๆแล้วชื่นใจ ถึงจะโกรธเท่าโกรธ ถ้าได้เครื่องแต่งตัวถูกใจ ประเดี๋ยวก็หาย สามีก็ต้องต
    ามใจบ้าง


    อานิสงส์การสงเคราะห์ภรรยา (สามี)
    ๑. ทำให้ความรักยืนยง
    ๒. ทำให้สมานสามัคคีกัน
    ๓. ทำให้ครอบครับมีความสุข
    ๔. ทำให้ได้รับการยกย่องสรรเสริญ
    ๕. เป็นตัวอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลัง “ภรรยานั้นอยู่ใกล้ชิด หากไม่ผูกมิตร ชีวิตจะสั้น ภรรยานั้นอยู่ร่วมกัน หากคิดสร้างสรรค์ บ้านนั้
    นเจริญ”

    นำมาฝาก...ไปอ่านเจอค่ะ
    ที่มา...ʧ
     
  18. ลูกวัด

    ลูกวัด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,071
    ค่าพลัง:
    +5,194
    อยู่แถวไหนครับคุณ siwarit จะำได้ไปเยี่ยมถูกครับ
     
  19. 2zani

    2zani เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,549
    สวัสดีครับพี่หนุ่มและพี่ทุกๆท่าน


    บัญชีนิพพาน สิ่งที่หลวงพ่อฤาษีไม่เคยรู้มาก่อน<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]

    วันนี้แปลกท่านพระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดี ท่านมา
    แต่งเต็มอัตราเลย ก่อนท่านมาขนลุกซู่ทั้งตัว
    หลังจากนั้นแล้ว ก็เห็นนายบัญชีท่าน ก็เลยถามท่านว่า
    "คนที่เจริญกรรมฐานนี่จะมีผลอันดับสูงสุดสักกี่คน?"
    ท่านบอกว่า "นี่ท่านถามนิพพานใช่ไหม?"
    บอก "ใช่" ท่านก็บอกว่า "บัญชีนิพพานไม่ได้อยู่
    ที่ผม บัญชีมี ๓ บัญชี" เพิ่งรู้วันนี้ คือว่า

    ๑. บัญชีขึ้นๆ ลงๆ ได้แก่ นายบัญชีใหญ่ อยู่ที่พระยายม
    ไปนรกก็ได้ ไปสวรรค์ก็ได้ ไปพรหมก็ได้ ใครจะ
    ไปพรหมท่านก็รู้ พรหมโลกีย์นะ ผู้ทรงฌานโลกีย์
    จะไปสวรรค์ท่านก็รู้ จะไปนรกท่านก็รู้ บัญชีเขามี
    ๒. บัญชีสวรรค์กับพรหมโดยเฉพาะ อยู่ที่ท่าน
    ปัญจสิกขเทพบุตร เลขาพระอินทร์
    ๓. บัญชีนิพพาน อยู่ที่ท่านท้าวสหัมบดีพรหม
    ท่านบอกว่า ถ้าบัญชีพระอริยเจ้าเบื้องสูง ต้องที่ผม
    ใครจะไปนิพพานหรือไม่ อยู่บัญชีนั้น และใครที่เป็น
    พระอริยเจ้าเบื้องสูงอยู่ในบัญชีนั้น

    ความจริงเพิ่งรู้เหมือนกัน ไม่ใช่เห็นมาก่อน คือวันนี้แปลก
    พระยายมก็ดี นายบัญชีก็ดี ท่านมาเต็มอัตราแต่งเต็มอัตราเลย
    คือเครื่องแบบของเทวดากับพรหมมี ๓ ประเภทคือ
    ๑. ปล่อยตัวเหมือนกับมนุษย์ นุ่งกางเกงใส่เสื้อธรรมดา
    บางทีก็ลืมใส่เสื้อบ้าง ทำสะดือจุ่น
    ๒. เครื่องแบบปกติ เครื่องแบบปกติมีชฏาเหมือนกัน
    แต่ไม่แวววาว เหมือนกับปักดิ้นด้านน่ะ
    ๓. เครื่องแบบเต็มอัตรา เต็มยศ
    วันนี้มาเต็มยศหมด สว่างมาก สว่างทั่วจักรวาลเลย
    มาคู่กัน ก็เลยบอกว่า ลุง สว่างมาก ท่านก็บอกลุงใหญ่
    คำว่าลุงใหญ่หมายความว่านายบัญชี ท่านเป็นลุงจริงๆ
    ของฉันนะ แต่พระยายมน่ะพี่ชาย เป็นพี่มาในชาติก่อน


    เมื่อปี ๒๕๐๘ ในปีนั้นเริ่มสอนมโนมยิทธิ ท่านบอกว่า
    คุณ ลูกหลานของคุณก็คือลูกหลานของผม
    บอกมันด้วยนะ เวลาอุทิศส่วนกุศลบอกให้ผมเป็นพยาน
    เวลามันเผลอ ดีไม่ดีมันเผลอได้ ถ้าเผลอแต่ให้ผมเป็นพยาน
    มันลงนรกไม่ได้ ท่านก็เลยบอกว่า ผมเป็นพี่คุณมาแสนชาตินะ
    รวมความว่าท่านสงเคราะห์ และการที่ท่านเป็นพยาน
    ลองอ่านในหนังสืออ่านเล่นนะ ไม่ใช่โฆษณานะ
    ในนั้นน่ะมี เวลาให้ท่านเป็นพยาน ไปถึงท่านแล้ว
    เป็นอย่างไรบ้าง

    บางทีฉันก็ต้องนอนสะดุ้งอยู่บ่อยๆ ถ้าคนที่เนื่องถึงกัน
    คือคนที่เคยทำบุญด้วย มีพวกหนึ่ง ประมาณ ๓๐ คน
    ไม่เคยไปทำบุญที่วัด แต่เคยส่งไปทางไปรษณีย์
    และเวลาที่จำเป็นต้องช่วย นอนๆ อยู่สะดุ้งโหยง
    สะดุ้งแรงมาก ถ้าเรานอนเฉยๆ สดุ้งเกือนตกเตียง
    ก็นึกว่ามันมีอะไรหว่า พอมีอะไรขึ้นก็นึกถึงพระ ก็เห็นพระ
    ท่านก็บอกว่าจะมีอะไรเล่า คนเขาจะตาย เขาเคยทำบุญกับคุณ
    มันเนื่องถึงคุณ คุณต้องไปนำ


    บัญชีนิพพาน สิ่งที่หลวงพ่อฤาษีไม่เคยรู้มาก่อน ตอน ๒<!-- google_ad_section_end -->

    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- google_ad_section_start -->ไม่ใช่เราช่วยนะ ถ้าบาปมีนี่ ไม่มีใครช่วยกันได้
    ทีนี้เขามันกึ่งบุญกึ่งบาป ความชั่วก็มีความดีก็ปรากฏใช่ไหม
    ก็ต้องช่วยกันไป แต่วิธีช่วยท่านบอกว่า อย่าไปกายละเอียดนะ
    ต้องไปกายหยาบ ถ้ากายละเอียดบางทีพวกนี้ไม่เห็น
    ถ้าเห็นบางที่ก็เฝือจำไม่ได้ เพราะไม่ได้เข้าฌานนี่คนจะตาย
    ก็ต้องไปกายหยาบ กายหยาบมันเห็นชัด และก็นำไปโน่น
    ไปส่งให้ลุง

    ทีนี้คนไปกับพระเขาเอาลงนรกไม่ได้ เขาต้องสอบสวนตามระเบียบ
    ในที่สุดเขาก็จะบอกว่า ในเมื่อเธอเห็นพระ มีจิตเป็นกุศล
    นึกถึงพระได้ ความดีมีอยู่ ต้องไปสวรรค์ก่อน หากินแค่นี้
    ต่อไปนี้น่ากลัวจะลำบาก มันเริ่มจะลำบากแล้ว
    มันเนื่องถึงกันนี่ ทางด้านบัญชีเขาเตือนทันที
    นายบัญชีเขาบอก เขาจะช่วยนี่ ทางนี้ก็เป็นหน้าที่ช่วยอย่างเดียว
    การไปสอบสวน ไม่ใด้หมายความว่าต้องการให้ลงนรก
    เขาจะช่วยให้พ้นนรก บาปตั้งเยอะแยะแต่บุญมีคราวเดียว
    เขาบอกว่าความดีมีอยู่ไปสวรรค์ ทีนี้ถ้าเอาพระเป็นพยานก็หมดเรื่องกัน
    เขาบอกพระนำมา ไปสวรรค์ก่อน

    บัญชีนี่มีสีหนังสือไม่เหมือนกัน บัญชีพระยายมมีสีหนังสือ ๓ สี
    ถ้า สีแดง แสดงว่าโทษหนัก ถ้า สีน้ำเงิน โทษปกติธรรมดา
    ความชั่วก็มี ความดีก็ปรากฏ ก้ำกึ่งกัน ถ้าอักษร สีทอง
    ประเภทนี้ลงนรกไม่ได้ อาจจะต้องผ่านที่นั่นแต่ลงไม่ได้
    ไม่ใช่กระดาษทองนะ เป็นหนังสือสีทอง
    ทีนี้มาอีกบัญชีหนึ่ง บัญชีพิเศษ เป็นบัญชีของท่านสหัมบดีพรหม
    บัญชีสวรรค์ไม่ต้องห่วงเขาทองทั้งหมด บัญชีของท่านสหัมบดีพรหม
    สีเป็นเพชร แพรวพราวระยับเลย เหมือนกับเพชรสะท้อนแสงอาทิตย์น่ะ
    ก็ถามว่าบัญชีท่านเขียนแบบนี้รึ ท่านบอกบัญชีผมเขียนแบบนี้
    มีบัญชีพระอริยเจ้า ตั้งแต่อนาคามีขึ้นไป และอยู่ชั้นอุทธังโสโต
    คือชั้นที่ ๑๒ ขึ้นไปถึงบัญชีนิพพาน
    และท่านก็พูดต่อว่าบอกต่อว่า พวกที่ปฏิบัติอยู่แล้ว ตั้งแต่พอใจนิพพานนะ
    เมื่อคืนนี้นะ ( ๘ ต.ค. ๓๑ ) ยังขาดอยู่เปอร์เซ็นต์เดียว ให้เร่งรัดตัวเอง
    ขาดอยู่ไม่ใช่ทุกคนขาด ปริมาณของคนที่มานั่งขาดอยู่ ๑ เปอร์เซ็นต์
    ฉะนั้น คนที่มีสิทธิ์ก็ต้องทำบุญให้มาก ไม่งั้นจะพลัดบรรไดนิพพาน

    ฉะนั้น ทุกคนเวลาจะทำบุญให้ปรารภอย่างนี้ อย่าว่าตามเขานะ
    บางคนเขาว่าทำบุญด้วยวัตถุไม่มีความหมาย ไอ้นี่อย่าไปเชื่อเขา
    เราทำบุญทุกอย่างทำให้หนัก แต่อย่าใช้เงินมาก ใช้เงินมากเกินไปเดือดร้อน
    ทำน้อยๆ ทำบ่อยๆ แต่กำลังใจต้องเต็ม
    อันดับแรกต้องถือว่าเราต้องการนิพพาน ถ้ายังไม่ถึงนิพพาน
    พักอยู่สวรรค์หรือพรหม มันจะพักเองไม่ต้องหวัง
    ในเมื่อกำลังใจเดิมต้องการนิพพาน ไปเป็นเทวดาหรือพรหม
    ก็หวังนิพพานต่อไป มีหวังไปได้นะ ท่านบอกเมื่อคืนนี้ว่า
    คนจะไม่ไปในชาติปัจจุบัน เฉพาะคนเมื่อคืนนี้ ( ๘ ต.ค. ๓๑ )
    จะเหลืออยุ่ ๑ เปอร์เซ็นต์ ให้เร่งรัด

    คำว่าเร่งรัด ถามท่านว่าเร่งรัดอะไร
    ท่านบอกว่า "วิปัสนาญาณ แต่อันดับแรกต้องระวังศีลให้มาก"
    คนที่อยู่ในเขตว่าจะไปได้นี่ ศีลแหว่งตั้งเยอะ เวลาเจอพระก็ศีลเต็ม
    ศีลน้ำขึ้นน้ำลง แต่ว่าเขามีความจริงใจ ความเข้มข้นส่วนอื่นเขามี
    ก็แหว่งอยู่เท่านี้ พอจะตายจิตใจก็ปรับปรุงตัวเอง คิดว่าร่างกายไม่ดี ใช่ไหม
    เวลาป่วยทำลายศีลไม่ได้ ศีลไม่ขาด เวลาป่วยจิตนึกถึงเรื่องอื่นไม่ไหว
    เพราะจะตายก็เห็นโทษของสังขาร เมื่อศีลเวลานั้นมันไม่ขาด
    และเห็นโทษของสังขาร ก็มีหวังนิพพาน

    ฉะนั้นทุกคนต้องมีศีลบริสุทธิ์ทุกวัน ตั้งแต่เช้ามาถึงเย็น อาจจะพลาดพลั้ง
    เรื่องศีลบ้าง เวลาตอนค่ำพอเริ่มบูชาพระให้สมาทานศีลก่อน แล้วก็ตัดสินใจว่า
    ศีล ๕ ข้อ หรือ ๘ ข้อ เราจะรักษาให้ครบถ้วน พอสว่างขึ้น เรามีภารกิจ
    ต้องพลาดพลั้งบ้างเป็นของธรรมดา สมาทานใหม่ เอาแบบนี้นะ....


    ความเป็นมาของการสวดภาณยักษ์ โดย พระราชพรหมยาน<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->[​IMG]


    ท่านผู้อ่าน และท่านผู้ฟังทั้งหลาย ต่อไปนี้ก็ฟังความเป็นมาของการเทศน์ภาณยักข์หรือว่าสวดภาณยักข์ ก็เป็นอันว่า เรื่องราวต่าง ๆ ก็เป็นของ จุไร กับท่านท้าวเวสสุวัณ ตามเดิม เป็นอันว่า เมื่อท่านลุงท้าวเวสสุวัณ คลายจากความเมื่อย ความปวด แต่ความจริงท่านผู้ฟังอาจจะสงสัยว่า เทวดาไม่มีทุกขเวทนาแบบนี้ ทำไมเรื่องนิทานเรื่องจึงบอกว่า มีความเมื่อย ความปวด ก็ต้องขอบอกให้ทราบว่า นี่เป็นนิทาน แต่ความจริงเวลามันหมด จะไปบอกอย่างนั้นว่า หมดเวลา กำลังใจก็เสีย หาจุดจบไม่ได้ จึงบอก ปวดไป เมื่อยไป ก็หมดเรื่องราวกัน ก็เป็นอันว่า ในเมื่อเวลาปรากฏขึ้นมาใหม่ ก็ขอนำความเป็นมาจากเรื่องภาณยักข์ เรื่องภาณยักข์นี่ บรรดาท่านพุทธบริษัทได้ฟังบ้าง ไม่ได้ฟังบ้าง ต่างคน ต่างก็เล่าลือกันว่า การสวดภาณยักข์ มีความสำคัญ ถ้าสวดเมื่อไร คนที่ถูกคุณไสยก็ตาม ผีเข้าเจ้าสิงก็ตาม เขาจะอยู่ไม่ได้ จะต้องออกจากร่างกายของคนนั้น



    แต่ว่าพิธีกรรมการสวดภาณยักข์ต้องมีพิธีกรรมให้ถูกต้อง ถ้าจะถามคนเล่านิทาน ก็ตอบว่า ไม่เข้าใจเหมือนกัน เพราะคนเล่านิทานนี่ เป็นคนเคยแต่เพียงว่า ไปเทศน์เรื่องภาณยักข์ แต่พิธีกรรมต่าง ๆ นี่เป็นเรื่องของเจ้าภาพท่าน แต่ผลที่เป็นมาจริง ๆ ที่เวลาเขาสวดภาณยักข์ พระท่านสวดกัน การสวดภาณยักข์ต้องเลือกพระเฉพาะพระพิธีกรรม คือ มีความเข้าใจในบทสวดทั้งหลายเหล่าจริง ๆ และก็สวดกันน่าตื่นเต้นมาก ผีออก จริง ๆ คนที่ถูกผีเข้าสิงเจ้าสิงวิ่งพล่านไป วิ่งพล่านมา บางคนก็ดิ้น บางคนก็ร้อง บางคนทั้งร้อง ทั้งดิ้น ประเดี๋ยวก็หายไป เมื่อเลิกแล้วปรากฏว่า หายหมด ทุกคนบอก สบายขึ้นมาก ความเป็นมาของภาณยักข์ เป็นมาอย่างไร ก็ฟังลุงกับหลานคุยกัน

    เป็นอันว่า จุไร ก็ถามท่านลุงว่า คุณลุงเจ้าคะ หนูเคยไปกับแม่ไปที่วัด ๒-๓ แห่งด้วยกัน เมื่อปีที่แล้ว ปรากฏวัดทั้งหลายเหล่านั้นมีพิธีกรรม สวดภาณยักข์ แต่ผลพิธีกรรมสวดภาณยักข์ ไม่ค่อยจะเหมือนกัน วัดแรกมีความศักดิ์สิทธิ์มากเพราะว่าเวลาสวดภาณยักข์จริงๆ เสียงพระที่สวดน่ากลัวมาก เสียงกระแทกกระทั้น เสียงดังกึกก้อง ตกใจ หนูเองฟังแล้วยังหวั่นไหวในเสียงของพระ แต่สิ่งที่อัศจรรย์คือว่า คนที่นั่งในศาลาทั้งหมด ทีแรกก็นั่งกันเงียบ พอพระสวดถึงบทตอนสำคัญ

    เสียงกระแทกกระทั้นมาก ๆ หนักเข้า คนบาง
    คนหรือหลาย ๆ คน ลุกขึ้นวิ่งบ้าง บางคนก็นอนดิ้น ร้องบ้าง ดิ้นแล้วก็ร้อง ร้องแล้วก็ดิ้น บางคนก็สิ่งไป บางคนก็ชัก ดิ้นพราด ๆ ในที่สุด เมื่อพระสวดจบ คนทั้งหลายเหล่านั้น ก็สงบและทุกคนก็บอกว่า มีความสุข บางคนก็บอกว่า คล้าย ๆ กับอะไรออกจากร่างกาย ซู่ซ่า บางคนออกอย่างแรง บางคนก็ออกเรียบ ๆ แต่ว่าในที่สุด ทุกคนบอกว่า มีความสุขหมด มีความสบายมาก หนูอยากจะทราบความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่องภาณยักข์ คำว่า ภาณยักข์ นี่หมายความว่าอะไร คือว่า เขาพูดกัน ๒ คำ ภาณยักข์ ด้วย และก็ ภาณพระ ด้วย หนูมาเห็นลุงทั้งสองคือ ท่านลุงวิรุฬหกก็ดี ท่านลุงท้าวเวสสุวัณก็ดี ท่านทั้งสองในตอนต้นท่านเป็นยักข์ แสดงตัวโต ๆ ใหญ่ หน้าตาใหญ่ ดุดัน ฉะนั้นคำว่า ภาณยักข์ เป็นพานใส่ของของยักข์ใช่ไหมเจ้าคะ ท่านลุงเวสสุวัณฟังแล้วก็ยิ้ม บอกว่า หลาน คำว่า ภาณยักข์ เป็นภาษาบาลี ไม่ใช่ภาษาไทย บาลีน่ะ ภาณ ตัวนี้แปลว่า พูด ยักข์ ก็คือ ยักข์ คำว่า ภาณยักข์ แปลว่า ยักข์พูด

    ต่อมาในตอนที่สอง เรียกว่า ภาณพระ ภาณพระ ก็คือ ตอนพระพูด จุไรก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ ของเรื่อง การสวดมนต์ภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นอย่างไรเจ้าคะ เห็นพระท่านสวดกันยาวมาก ท่านลุงก็บอกว่า การที่พระสวดยาว ๆ เป็นการเล่าเรื่องในตอนต้นให้ฟัง เล่าความเป็นมาของภาณยักข์ ตอนยักข์พูด และตอนภาณพระ ตอนพระพูด แต่ตอนบทจริง ๆ ที่ใช้เนื่องในการภาณยักข์หรือภาณพระ นี่ก็คือบท วิปัสสิส ใน๗ ตำนาน บทนี้บรรดาพระเณรทั้งหลายในวัดได้กันหมด หรือคนที่รักษาศีลอุโบสถ ที่เขาอยู่วัดกัน เขาก็สวดกันได้

    จุไรก็ถามว่า บทวิปัสสิสนี้ สวดแล้วมีผลอย่างไรเจ้าคะ ลุงก็บอกว่า บทวิปัสสิส เป็นบทสวด แสดงความเคารพพระพุทธเจ้า เป็นต้น แต่ว่าบุคคลใด ถ้าสวดไว้ เจริญไว้ ต้องสวดต้องเจริญแบบปกตินะ ไม่ใช่สวด ไม่ใช่เจริญแบบประเภทไล่ผี ขับผี ถ้ามีเจตนาร้าย ผีจะเกลียด

    ถ้าสวดไว้เป็นแบบปกติ ผีจะไม่รบกวน เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิ จะไม่รบกวน เธอก็บอกว่า สวดอย่างไรเจ้าคะ สวดตามปกติ สวดด้วยความเคารพ ท่านก็เลยบอกว่า ก่อนที่จะสวด ก็ตั้งใจนึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย พระธรรมด้วย พระอริยสงฆ์ด้วย เทวดา กับพรหมทั้งหมดด้วย และก็สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น หนูก็อยากจะทราบความเป็นมา บทวิปัสสิส นี่ ถ้าไปถามพระองค์ไหน องค์นั้นก็รู้ใช่ไหมเจ้าคะ

    ท่านลุงก็บอกว่า ใช่ เธอก็ถามว่า ความเป็นมาจริง ๆ เป็นมาอย่างไร ท่านลุงจะเล่าให้ฟังได้ไหม ท่านลุงก็บอก ถ้าหลานต้องการจะฟังลุงจะเล่าให้ฟัง คือ บทภาณยักข์ หรือภาณพระ นี่เป็นเครื่องความเป็นมาของลุงเอง ท่านก็เล่าความเป็นมาว่า ความเป็นมาจริง ๆ มีอย่างนี้ เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว

    หลังจากนั้น องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัท คนที่หวังมรรค หวังผลมีความสุข หวังไม่ต้องการความเกิด แก่ ตาย ในวันหน้า หมายความว่าร่างกายนี้ตายแล้วก็แล้วกัน ไปนิพพาน จะถึงนิพพาน หรือยังไม่ถึงก็ตาม ก็ตั้งใจปฏิบัติตามด้วยความจริงใจ ด้วยความเคารพ ทุกคนเมื่อปฏิบัติตามนี้ มักจะนั่งในที่สงัด อยู่ในป่าชัฏบ้าง อยู่ในป่าช้าบ้าง อยู่ในเรือนว่างเปล่า อย่างนี้เป็นต้น แต่ว่าเมื่อคนทั้งหลายตั้งใจทำความดีเพื่อตัดกิเลสแบบนี้ ก็ยังมีบรรดาภูติผีทั้งหลายก็ดี เทวดาบางพวกก็ดีที่ไม่มีความเคารพในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เขาจะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า เขาก็ทำไม่ได้ ก็เลยหาทางกลั่นแกล้งลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า คือ คนที่ปฏิบัติความเพียร อยู่ในที่สงัด เข้าไปแสดงตัวให้ปรากฏบ้าง ส่งเสียงร้องคำรามบ้าง ทำให้กลัว หรือนั่งใกล้ ๆ ทำให้ขนลุกซูซ่า ทำให้กลัวบ้างอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเหตุให้คนทั้งหลายเหล่านั้นมีความหวาดหวั่นไม่สามารถจะบำเพ็ญบารมีหรือไม่สามารถจะบำเพ็ญฌานสมาบัติเป็นการตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน

    ลุงก็มีความเห็นว่า ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ตั้งใจทำความดี แต่เทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ผีที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี กลั่นแกล้งแบบนี้ เป็นการไม่ชอบธรรม ในฐานะที่ ลุงเป็นท้าวจตุโลกบาล คือ ลุงกับคณะ คือ ลุงเอง ๑ ท้าวเวสสุวัณ ๒.ท่านท้าววิรุฬหก ๓. ท่านท้าววิรูปักข์ ๔. ท่านท้าวธตรฐ ทั้ง ๔ คนนี้มีหน้าที่รักษาชาวโลก คือ ชาวมนุษย์โลก ถ้าสร้างความดีก็หาทางป้องกัน ช่วยเหลือ ถ้าเขาสร้างความชั่ว ก็สุดวิสัยที่จะช่วยได้ ก็อดใจไว้ แล้วก็มีหน้าที่ ต้องบันทึกความดีหรือความชั่วของคน ทั้งการพูด การคิด การทำทุกอย่าง ใครทำความดี ใครทำดี ใครพูดดี ใครคิดดี ก็จดบันทึก ใครคิดร้าย พูดร้าย ทำร้าย ก็บันทึกตอนนี้จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาพูดก็ดี เขาทำก็ดี ย่อมเป็นสิ่งที่ปรากฏ แต่ตอนเขาคิดในใจนี่ ลุงรู้ได้

    อย่างไร ท่านท้าวเวสสุวัณ ก็บอกว่า เทวดาทุกองค์ นางฟ้าทุกองค์ หรือพรหมทุกองค์ ร่างกายเป็นทิพย์ และก็มีจิตใจเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์นี่ สามารถรู้การเคลื่อนไหว ความรู้สึกของคนได้ทุกอย่าง แล้วจุไรก็ถามว่า คนมีมาด้วยกัน ทั้งโลก ไม่ใช่ล้าน สองล้าน นับเป็นพันล้าน แล้วลุงคนเดียวจะรู้ได้อย่างไร

    ท่านเวสสุวัณก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงคนเดียวที่จะต้องรู้ ผู้ที่รู้อันดับแรกก็คือ ภูมิเทวดา ภูมิเทวดา ที่ชาวบ้านตั้งศาลให้นั่นแหละ เขาเป็นคนรู้ เป็นเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต เป็นจุดแคบ ๆ แล้วท่านผู้นี้ไม่ต้องไปนั่งจ้อง คิดว่า ใครจะทำโน่น ใครจะทำนี่ ใครจะคิดอะไร ไม่จำเป็น รู้เอง เมื่อเขาคิดดี ก็ขึ้นบัญชีดี ความคิดขึ้นบัญชีเอง เมื่อเขาคิดชั่ว ความคิดนั่นก็ขึ้นบัญชีชั่ว แต่ว่าไม่ใช่แผ่นทองคำหรือแผ่นหนังสุนัข เพราะว่า เมืองเทวดาไม่มีสุนัข ไม่สามารถจะเอาหนังสือมาเขียนได้ เป็นอันว่า มีบัญชีของเทวดาก็แล้วกัน

    ถ้าพูดไป หลานจะงง หลังจากนั้น ในกลุ่มหนึ่งของภูมิเทวดาหลาย ๆ องค์ ก็มีอากาสเทวดาชั้นจาตุมหาราช ไปคุม ๑ องค์ ถึงเวลาวันโกนหรือวันกลางเดือน หรือวันสิ้นเดือน เขาก็นำบัญชีมาให้เทวดาชั้นจาตุมหาราช ชั้นจาตุมหาราชก็นำบัญชีทั้งหมด เท่าที่ได้รับมา แต่ละหน่วย ๆ มาให้เทวดาที่เป็น
    มหาอำมาตย์รองจากอินทกะหลังจากนั้นท่านมหาอำมาตย์ก็มอบให้ท่านอินทกะ ท่านอินทกะก็มอบให้ลุงแจ้งให้ทราบ ลุงก็แยกบัญชี ส่วนบัญชีส่วนไหนเป็นความดี แจ้งไปดาวดึงส์ ให้เทวดาไปมอบให้ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร เป็นเลขาของพระอินทร์ แล้วท่านปัญจสิกขเทพบุตร ก็อ่านประกาศในวันที่ประชุมเทวดา และนางฟ้า บัญชีที่ทำบาป ลุงก็ส่งไปให้พระยายม แต่ความจริงบัญชีพระยายนั้นมีทั้งบัญชีทำความดี และบัญชีทำความชั่ว ทั้งบุญ และบาป ส่งไป ๒ อย่าง เหมือนกัน ก็เป็นอันวา ลุงรู้ตามนี้

    จุไรฟังแล้วก็นั่งงงคิดไม่ออกว่า ความเป็นทิพย์ ทำไมมีการคล่องตัวมาก แต่ก็ไม่ถาม เธอก็ย้อนถามมาว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงเจ้าคะ ขอเล่าเรื่องความเป็นมาของภาณยักข์ก็แล้วกัน ท่านลุงก็บอกว่า ในเมื่อเทวดาที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี ภูติผีปีศาจต่าง ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฐิก็ดี คอยกลั่นแกล้งลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ลุงเองในฐานะที่เป็นมนุษย์ก็เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน ลุงเป็นพระอริยเจ้าได้ เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ก็มีความจำเป็น ต้องหาทางสงเคราะห์คนพวกเดียวกัน คือ ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า จึงได้ประชุมท่านท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ คือ ท่านท้าวธตรฐ ท่านท้าววิรุฬหก ท่านท้าววิรูปักข์ เวลานี้ท่านทั้งสามก็มาอยู่ร่วมกันที่นี่แล้วก็เป็นอันว่า ในเวลานั้น

    เมื่อประชุมกันเสร็จก็หารือกันว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ มันเกิดขึ้นอย่างนี้ เราจะช่วยคนที่เขาตั้งใจทำความดีสร้างบุญสร้างกุศล เราจะทำอย่างไร ในที่สุด ทั้งสี่ท่านก็มีมติเห็นชอบพร้อมกันว่า เราจะสร้างบทสวดมนต์ขึ้นบทหนึ่ง บทสวดมนต์นี้มีการสรรเสริญพระพุทธเจ้า เป็นต้น เมื่อสร้างบทสวดมนต์แล้วเสร็จ แล้วก็สั่งประชุมเทวดาทั้ง ๔ ทิศ ให้ประกาศให้ทราบว่า ทุกคน เทวดาหรือนางฟ้าทุกองค์ จะนับถือพระพุทธเจ้าหรือไม่นับถือก็ตาม อันนี้ไม่รับทราบ ให้พึงทราบว่า ถ้าบุคคลใด เขาสวดมนต์บทนี้อยู่ด้วยความตั้งใจดี ไม่ใช่กลั่นแกล้ง ไม่ใช่ขับเทวดา ไม่ใช่ขับผี เมื่อเขาไปอยู่ที่ไหนก็ตาม พอเริ่มต้นปั๊บ ก็สวดมนต์ตั้งแต่ นโม ตสส เรื่อยไป และขั้นต่อไปก็สวดบทนี้ ด้วยความเคารพ ถ้าหากว่า ท่านผู้ใดเขาสวดมนต์บทนี้อยู่ ไม่ใช่สวดทั้งวันนะ เอาแค่จบเดียวก็พอ ก็ห้ามบรรดาเทวดากับนางฟ้าทั้งหมด และภูติผีปีศาจทั้งหมด ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ คนที่เขาเจริญมนต์แบบนี้ บทวิปัสสิสนี่นะ ห้ามเข้าไปนั่งใกล้ ห้ามไปล้อ ไปเลียน ห้ามไปหลอก ไปหลอน ห้ามไปกลั่นแกล้ง ถ้าเทวดาหรือนางฟ้า หรือภูติผี ท่านใดฝ่าฝืน ท้าวมหาราชทั้งสี่จะปรับโทษ ในฐาน กบฎ เอาโทษหนัก

    ในเมื่อลุงประชุมเทวดากับนางฟ้าทั้งหมดแล้ว ลุงทั้งสี่ก็ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินสีห์ แล้วกราบทูลความเป็นมาเรื่องนี้ให้ทราบ ตามที่กล่าวมาแล้ว ถ้าขืนย้อน ๆ ไป มันจะช้าจะเนิ่นนานรำคาญ ขณะที่ลุงกราบทูลพระพุทธเจ้า ตอนนี้เขาเรียกว่า ภาณยักข์ ซึ่งเขาลือว่า ท้าวเวสสุวัณนี่เป็นยักข์ เขาจึงได้เขียนรูปเหมือนยักษ์

    แต่ยักษ์ที่เขาเขียนมันไม่เหมือนยักษ์ที่ไหน ไม่ว่ายักษ์ที่ไหนจะมีเขี้ยวออกนอกปาก เป็นเขาวัว เขาควายแบบนั้น กัดใครไม่ได้ เขี้ยวยักษ์ ไม่ใช่เขี้ยวขวิด เขี้ยวยักษ์เป็นเขี้ยวกัด ในเมื่อทำเขี้ยวโง้งออกจากปาก จะกัดได้อย่างไร อ้าปากมันไม่หุบเขี้ยว เขี้ยวไม่อยู่ในปาก ก็รวมความว่า ขณะที่ลุงเป็นผู้แทนของท้าวมหาราช อีก ๓ องค์ ปกติเวลาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ลุงเองเป็นผู้กราบทูลแทน ท้าวมหาราชอีก ๓ องค์ ท่านไม่พูด เป็นแต่เพียงยอมรับว่า ท่านร่วม

    เมื่อขณะที่ลุงรายงาน ขอให้พระพุทธเจ้าส่งมนต์บทนี้ให้แก่บรรดาสาวกทั้งหมด แจ้งให้ทราบว่า มนต์นี้ ถ้าใครสวดขึ้นแล้วก็ตาม คำว่า สวด ให้สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ ไม่ใช่ตั้งใจขับผี ขับสาง ถ้าสวดมนต์บทนี้อยู่หรือสวดแล้วก็ตาม ในวันนั้นไม่ใช่ต้องนั่งสวดกันทั้งวัน ก็เป็นอันว่า ผีก็ดี เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี ไม่สามารถจะเข้ามานั่งใกล้ ไม่สามารถจะกลั่นแกล้ง ไม่สามารถจะล้อเลียน ไม่สามารถจะหลอกได้

    ถ้าใครฝ่าฝืนจะต้องถูกท้าวมหาราชทั้งสี่ลงโทษ ฐานกบฎ เป็นอันว่า ตอนนี้ลุงรายงานให้ท่านทราบ เขาเรียกว่า ภาณยักข์

    ต่อมาเมื่อลุงกลับแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ทรงเรียกพระประชุม เล่าความเป็นมาอย่างนี้ทั้งหมด ให้พระรับทราบ และแนะคำสวดมนต์ทั้งบทให้พระทั้งหลายสาธยายคือให้ท่องให้จำได้ แล้วก็ซ้อมพร้อมกัน

    ตอนนี้ท่านเรียกว่า ภาณพระ คือ พระพูด พระ คือ พระพุทธเจ้าพูด ก็เป็นอันว่าเรื่องราวภาณยักข์ กับภาณพระ เป็นมาเท่านี้เองหลานรัก

    แล้วจุไรก็ถามว่า เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกว่า เรียบ ๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ว่าหนูมีความรู้สึกอยู่อย่างหนึ่ง คุณปู่เล่าให้ฟังว่า เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๒ มีพระองค์หนึ่ง ไปอยู่ในเขต เขาวงพระจันทร์ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวัด ท่านปลูกกระท่อมอยู่ในป่า พระองค์นี้เป็นพระเสียงดัง ท่าทางห้าวหาญ หนูจำชื่อท่านไม่ได้ แต่ไม่ขอบอกชื่อ เพราะเกรงว่าจะไปตรงกับชื่อพระองค์ใดองค์หนึ่งเข้า จะหาว่ากล่าววาจาเสียดสี เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอกล่าวปฏิปทาของท่าน เพราะว่าท่านทราบมาจากคนแก่ คนเก่า ๆ หรือพระเก่า ๆ เคยเล่าให้ฟังว่า บทวิปัสสิสนี้ ถ้าสวดเสียงดังขนาดไหน ผีก็ดี เทวดา หรือยักข์ร้ายก็ตาม ที่จะกลั่นแกล้ง จะต้องอยู่สุดปลายเสียงโน้น ขณะได้ยินเสียงอยู่นี่ อยู่ไม่ได้ ต้องหนีไปให้พ้นเสียง

    ฉะนั้น ตอนเช้าก็ดี ตอนกลางวันก็ดี ตอนเย็นก็ดี ตอนกลางคืน หัวค่ำก็ดี ตอนดึกก็ตาม ตอนเช้า ตื่นเช้าท่านจะสวดบทวิปัสสิส สวดเสียงดังมาก เลยต้องอยู่คนเดียว คนอื่นเขารำคาญ ตอนกลางวันก็สวดเสียงดัง ตอนเย็นก็สวดเสียงดัง พอค่ำไปหน่อยก็สวดเสียงดัง ตอนดึกก่อนจะนอนก็สวดเสียงดัง สวดอย่างนี้ทุกวัน แต่ปรากฏว่า มีวันหนึ่ง ตอนเย็นประมาณ ๔ โมงเย็นเศษ ใกล้จะ ๕ โมงเป็นเวลาที่พระองค์นี้สวดมนต์ แต่แทนที่จะได้ยินเสียงสวดมนต์ กลับได้ยินเสียงพระองค์นี้ร้อง โอ๊ย…ๆ ๆ ตายแล้ว ๆ ๆ กลัวแล้ว ๆ โอ๊ย… เสียงลั่นห้อง เสียงก้องไปในป่า ปรากฏว่า พระที่อยู่ไม่ไกลนัก หรือชาวบ้านที่อยู่ไม่ไกลนัก ได้ยินเสียงท่าน ต่างคนก็ต่างวิ่งไปที่กระท่อมนั้น คิดว่า ใครมาทำร้ายร่างกายพระองค์นี้

    แต่เมื่อทุกคนเข้าไปถึงประตูห้อง ก็ต้องผงะ เพราะเห็นบุคคลคนหนึ่ง ตัวสูงมาก หัวแค่ขื่อ นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดหัวผ้าสีแดง แล้วก็หวายท่อนใหญ่ ตีพระองค์นี้ หวดอย่างขนาดหนัก เมื่อทุกคนเข้าไปที่นั่น ไปยืนอยู่ก็ยังตีอยู่ พอดีพระองค์หนึ่งท่านได้สติ ท่านยกมือไหว้ บอกว่า ท่านขอรับ ขออภัยเถิด หยุดแค่นี้เถิดขอรับ ท่านผู้นั้นก็หันมา แล้วก็หยุด แล้วก็ถอยหลังไปนิดหนึ่ง แล้วก็เอามือชี้หน้าอาจารย์องค์นั้น องค์ที่ถูกตี แล้วก้าวขึ้นขื่อหายไป

    ก็เป็นอันว่า อยากจะทราบว่า คุณลุงเจ้าคะ ในเมื่อพระองค์นี้สวดขนาดนี้ ทำไมถูกเทวดาตี หนูคิดว่าเป็นเทวดา ท่านลุงบอกว่า การสวดแบบนี้ไม่ใช่สวดด้วยความเคารพในพระพุทธเจ้าโดยตรง เป็นการตั้งใจขับผี ขับเทวดา ที่นี้เทวดาที่เขาดี เป็นสัมมาทิฐิเขาก็มีมาก แล้วผีก็เหมือนกัน ที่เป็นสัมมาทิฐิก็มีมาก มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าก็มีเยอะ ที่เป็นมิจฉาทิฐิมีน้อย การสวดแบบนั้นตั้งใจขับทั้งหมด ไม่เจาะจงเฉพาะที่เป็นมิจฉาทิฐิ และเจตนาจริง ๆ ก็ต้องการขับผี ขับเทวดา ฉะนั้น ในเมื่อโอกาสพึงมี เขาก็ต้องลงโทษ เป็นการสั่งสอนว่า ไม่ควรจะทำอย่างนั้น จุไรก็บอกว่า โอ้โฮ…การลงโทษหนักหนาเหลือเกินนะคะ คุณลุงท่านบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดา แต่เขาตีท่านไม่ถึงตาย เพราะเทวดาฆ่าคนให้ตายไม่ได้ เธอก็ถามว่า เทวดาผ้าแดง นุ่งแดง ใส่เสื้อแดง ผ้าคาดหัวแดง มีที่ไหน

    ท่านลุงท่านก็บอกว่า หลานรัก มองไปดูข้างหลังซิ พอมองไปเห็นข้างหลังลุง เป็นร้อยเป็นพันเลย นุ่งกางเกงสีแดง ใส่เสื้อสีแดง คาดผ้าสีแดง ทุกคนเห็นจุไรแล้วก็ยิ้ม แล้วมีท่านหัวหน้าองค์ใหญ่ ๆ บอกว่า หลานรัก ลุงนี่ตามปกติก็มีเพชรเต็มตัวเหมือนกัน แต่ว่ายามที่ออกปราบปราม ท่านที่เป็นศัตรูกับพุทธศาสนา ก็ใช้สีแดง หรือมิฉะนั้น ถ้าบุคคลใดเขาจะตาย ถ้ามีความจำเป็นต้องเข้าไปช่วยเหลือนำไปสำนักพระยายม ก็ต้องใช้ชุดนี้ ถ้าอยู่ตามปกติ ลุงก็อาจจะนุ่งกางเกงในเฉย ๆ ก็ได้ แต่เวลาเข้าเฝ้าพระอินทร์ ต้องแต่งเต็มยศ ท่านพูดแล้ว เครื่องเต็มยศก็ปรากฏขึ้น มีชฎาแหลมเปี๊ยบ รูปร่างคล้ายพรหม

    จุไรก็ยกมือไหว้ จุไรก็ถามว่า คุณลุงเจ้าคะ เขาลือว่า เทวดาสีแดง มีฤทธิ์มากใช่ไหม ท่านลุงก็บอกว่า มีฤทธิ์มากพอสมควร ไม่เกินวิสัยของลุง เพราะว่าลุงตายจากความเป็นคน ก่อนจะตายลุงได้ฌานสมาบัติ แต่ว่าเวลาจะตายไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ จึงไม่ได้เป็นพรหม มีจิตเป็นกุศล แต่ไม่ถึง จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น คุณลุงรู้จัก เลขหวย ไหมคะ ท่านลุงก็บอกว่า เรื่องเลขหวยน่ะหลาน ลุงรู้ทั้งหมด รางวัลไหนจะออกเลขอะไร รู้หมด แต่มันบอกไม่ได้ ตามระเบียบ ถ้าต้องการเลขหวยให้แม่นจริง ๆ ก็ถามลุงท้าวเวสสุวัณก็แล้วกัน

    ท่านเวสสุวัณหันมาโบกมือบอก อย่ายุ่ง ๆ ซิ ไปยุให้เด็กขอหวยฉัน ฉันก็ให้ไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นกฎของกรรมก็เป็นอันว่า จุไรกับท่านลุงก็คุยเรื่อง ภาณยักข์ ท่านลุงก็บอกว่า การสวดภาณยักข์หรือเทศน์ภาณยักข์นะหลานรัก เขาต้องทำพิธีให้ถูก ถ้าการทำพิธีไม่ถูก ไม่ต้อง ก็ไม่มีการศักดิสิทธิ์ จุไรก็ถามว่า การศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏขึ้นเพราะอะไร ท่านท้าวเวสสุวัณก็บอกว่า ถ้าเขาทำถูกตามพิธีกรรม เขาเชิญเทวดาด้วยความเคารพ เขาตั้งศาลบวงสรวงด้วยความเคารพ เขามีเครื่องสังเวยถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างทำเพื่อความเป็นสุขของคน และต้องการผลการปฏิบัติดี คือ การฟังเทศน์เรื่องนี้ เพราะเทศน์เรื่องนี้มีข้อปฏิบัติที่ดี ๆ มีมาก ตั้งใจให้ทุกคนมีความสุข โดยศีล โดยธรรม อย่างนี้ เทวดาชุดแดงเขาไปช่วย จุไรก็หันไปถามคุณลุงหัวหน้าบอก คุณลุงเจ้าคะ คุณลุงไปทุกงานหรือ ท่านลุงก็บอกว่า หลาน งานไหนทำถูก งานนั้นลุงไป ถ้างานไหนทำไม่ถูก งานนั้นลุงไม่ไปจุไรก็ถามว่า ถ้าจะทำให้ถูกอย่างไร ลุงก็บอกว่า ไม่ใช่วาระที่จะถามลุงในเวลานี้นะ เพราะว่าพิธีกรรมต่าง ๆ ทุกคนต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เขามีระเบียบปฏิบัติอยู่แล้ว ทำด้วยความเคารพจริง ๆ ไม่ใช่สักแต่ว่าทำ ทำเป็นการค้า ถ้าวัดไหนต้องการทำเพื่อการค้า หวังได้เงินอย่างเดียว ขายข้าว ขายของ อยากได้งิน อย่างนั้นลุงก็ไม่ไปช่วย ตามที่ลุงพูดกับท่านท้าวมหาราชเมื่อสักครู่นี้ว่าบางวัดก็มีผล บางวัดก็ไม่มีผล วัดที่มีผล เขาตั้งใจเป็นกุศลจริง ๆ

    จุไรก็ถามว่า ถ้าอย่างนั้น ลุงจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ของลุงเสียแล้ว จุไรจึงหันมาถามท่านท้าวเวสสุวัณว่า คุณลุงเจ้าคะจะบอกพิธีกรรมได้ไหม ท่านลุงก็บอก บอกได้ แต่ลุงคิดว่า ไม่บอกดีกว่า เพราะพิธีกรรมเขามีอยู่ ถ้าบุคคลใดต้องการอยากจะรู้ ต้องการอยากจะทำ ก็เข้าไปหาเจ้าพิธีเขา เจ้าพิธีเขาจะบอก เขาจะบอกวัตถุต่าง ๆ ที่ใช้ในพิธีกรรมด้วย จะบอกลีลาที่จะปฏิบัติในพิธีกรรมด้วย จะได้ช่วยทำถูกต้องเอาละ หลานรัก ตอนนี้คุยกันเรื่องเดียว หมดเวลาพอดีนะ ตอนนี้หมดเวลาตอนที่ ๒ นี้แล้ว ก็ขอยุติไว้ก่อน


    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคล สมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่าน ผู้รับฟังทุกท่าน


    จากหนังสืออ่านเล่น เล่มที่ ๑๑
    <!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2010
  20. 2zani

    2zani เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +5,549

แชร์หน้านี้

Loading...