พระแก้วบารมี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย HONGTAY, 2 กรกฎาคม 2010.

  1. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]

    <TABLE style="BORDER-BOTTOM: white 1px solid; BORDER-LEFT: white 1px solid; BACKGROUND-COLOR: black; BORDER-TOP: white 1px solid; BORDER-RIGHT: white 1px solid" border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR vAlign=center><TD style="TEXT-ALIGN: center" id=lightboxholder vAlign=center colSpan=2 align=middle> </TD></TR><TR class=lightboxtextrow><TD style="PADDING-BOTTOM: 4px; BACKGROUND-COLOR: black; PADDING-LEFT: 4px; PADDING-RIGHT: 4px; COLOR: white; PADDING-TOP: 4px" class=smallfont></TD></TR></TBODY></TABLE>​


    พระแก้วบารมี


    การบำเพ็ญบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อทรงโปรดสรรพสัตว์ ให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสาร ด้วยน้ำพระทัยอันตั้งมั่นในพระโพธิญาน แม้พระองค์จะต้องเสียสละชีวิต เลือดเนื้อในกายก็ไม่ทรงหวั่นไหว พระองค์ต้องบำเพ็ญบารมีอย่างยาวนาน นับอสงไขไม่ถ้วน ทรงเกิดเป็นสรรพสัตว์ต่าง ๆ เพื่อบำเพ็ญเพียร แม้บางคร้งเมื่อจะมีภัยบังเกิด แก่สรรพชีวิต ในหมู่คณะ พระองค์ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ก็จะยอมเสียสละ แม้ชีวิต เมื่อให้หมู่คณะ พ้นจากภัย

    เมื่อพระองค์ได้ตั้งความปรารถนา ในพระโพธิญาน เป็นพระพุทธเจ้าแบบปัญญาธิกะ ศัทธาธิกะ วิระยาธิกะ ก็จะมีการบำเพ็ญบารมีแตกต่างกัน ตามความปรารถนาปัญญาธิกะ บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขยแสนมหากัปล์
    ศัทธาธิกะ บำเพ็ญบารมี 8 อสงไขยแสนมหากัปล์
    วิริยาธิกะ บำเพ็ญบารมี 16 อสงไขยแสนมหากัปล์
    นับจากได้รับพุทธพยากรณ์

    เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมามาก บางภพชาติพระองค์ต้องเกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เพื่อปกครองโลกให้ร่มเย็นด้วยธรรมบารมีท่านจะมีของคู่บุญบารมีวิเศษ 7 อย่าง
    1 ช้างแก้ว 2 ม้าแก้ว 3 ขุนพลแก้ว 4 ขุนคลังแก้ว 5 นางแก้ว
    6 จักรแก้ว 7 แก้วจักรพรรดิ์

    ซึ่งของสำคัญทั้งหมดนี้เกิดขึ้นด้วยบุญ

    เมื่อพระโพธิสัตว์ ได้บำเพ็ญบารมีครบทุกประการ ก็จะทรงเกิดมาอีกชาติหนึ่ง เพื่อทรงตรัสรู้เป็นพระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกาศพระศาสนา สั่งสอนพระธรรมให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้พ้นจากทุกข์

    เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้ธรรม แล้วก็ทรงพิจารณาว่า ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้นั้นเป็นธรรมที่มีความละเอียดลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่ง เมื่อท่านได้เทศนาธรรมแก่พระสาวกทั้ง5 มีท่านอัญญาโกณทันยะ เพียงผู้เดียวที่ได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อนั้นโลก จึงบังเกิดแก้วรัตนตรัยอันประเสริฐ คือแก้วแห่งพระพุทธ แก้วแห่งพระธรรม แก้วแห่งพระสงฆ์ เป็นเนื้อนาบุญแห่งโลก

    เมื่อครั้งในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง ประกาศธรรม สั่งสอนหมู่สรรพสัตว์ ไปทั่วทุกสถาน ในแดนพุทธภูมิ มีในบางฤดูกาล เหล่าสาวกที่เป็นสมณทูตเผยแผ่ธรรมไปในแดนต่าง ๆ เมื่อย่างเข้าหน้าฝน ประชาชนต่างทำการเกษตร ทำไร่ ทำนา เมื่อพระสาวกไปโปรดแสดงธรรม ประกาศพระศาสนา ก็ทำให้เกิดการเดินไปเหยียบข้าว หรือพืชพรรณต่าง ๆ ของชาวเมือง ทำให้เสียหาย พระองค์ทรงมีพุทธบัญญัติให้พระสงฆ์ อยู่จำพรรษาในสถานที่อันควร เป็นเวลา 3 เดือน ในช่วงเวลาเข้าพรรษา พระองค์ทรงระลึกถึงพุทธมารดา ที่ทรงมีประคุณอันประเสริฐ ทรงเสด็จไปโปรดพุทธมารดาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก

    เพลานั้นพระเจ้าประเสนทิโกศล แห่งแคว้นโกศล ได้รำลึกถึงพระพุทธองค์ที่มิได้เห็นเป็นเวลาช้านาน จึงตรัสให้ นายช่างทำพระพุทธรูปขึ้นด้วยไม้แก่นจันทร์แดง (พระแก่นจันทร์) ประดิษฐาน ไว้เหนืออาสนะที่พระพุทธองค์ทรงประทับ
    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงเสด็จไปโปรดพุทธมารดา ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วเมื่อกาลออกพรรษา พระพุทธองค์ทรงได้เสด็จลงจากดาวดึงส์ โดยมีพระอินทร์ทรงส่งเสด็จพุทธองค์ลงทางบันไดแก้วมณี พระอินทร์ แลพระพรหม ลงทางบันไดทอง บันไดเงินที่เมืองสังกัสนคร ทรงแสดงพุทธปาฏิหาริย์ เปิดโลกให้สรรพสัตว์ทุกข์ดวงจิตได้มองเห็นกัน ทั้ง 3 ภพ มี แดน นรก มนุษย์ สวรรค์

    เพลานั้นทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้ เกิดความเห็นแจ้งในบุญ และกรรมที่ทำ เป็นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่สิ้นสุด เห็นพระพุทธองค์ทรงเปล่งฉัพพรรณรังษีแลมีรัศมีพระวรกายผุดผ่องเป็นที่สุด สัตว์ทั้งหลายเห็นพระมหาเมตตา กรุณาอันประมาณมิได้ จึ่งมีบางดวงจิตหลายดวงอันประมาณมิได้ตั้งความปรารถนาในพระโพธิญาณดังพุทธองค์

    เมื่อนั้นพระพุทธองค์ทรง เสด็จมาสู่ที่ประทับด้วยพระบรมพุทธานุภาพ ก็บันดาลให้พระแก่นจันทร์ เลื่อนหลีกจากพุทธอาสน์ จึงตรัสให้รักษาพระแก่นจันทร์นั้นไว้ แลเป็นพระพุทธรูป บางห้ามญาติแก่นจันทร์ เพื่อสาธุชนได้เป็นแบบอย่างในการสร้างพระพุทธรูปสืบไป

    เมื่อจะพิจารณาแห่งการสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้ สรรพสัตว์ได้เป็นที่พึ่งกราบไว้บูชา ก็จะกล่าวถึง พระพุทธฉาย ที่พระพุทธองค์ทรงประทานไว้ในตำนาน เมื่อพระพุทธองค์ประทับยังพระวิหารบุพพารามในกรุงสาวัตถี มีพราหมณ์ชื่อ "ปิณโฑละ" ได้เกิดศรัทธาทูลขอ อุปสมบท พระพุทธองค์ได้มอบหมายให้ พระโมคคัลลาน์ เป็นผู้ฝึกสอนเป็นเวลาช้านาน ก็หาได้สำเร็จมรรคผลไม่ จึงพิจารณาอุปนิสัยของเธอนั้นชอบปัจจันตชนบท จึงได้พาเหาะมาสู่สุวรรณภูมิประเทศ
    ถึงภูเขาฆาฏกะ แล้วลงสู่บ้านพราณฆาฏกะ เพื่อสงเคราะห์นายพรานผู้มีความดุร้าย

    หลังจากนั้นไม่นาน ท่านปิณโฑละ ก็สำเร็จมรรคผล จึงพิจารณาว่าอุปนิสัยของพรานผู้นี้เกี่ยวข้องกับพุทธองค์ จึ่งไปกราบทูลให้พระองค์ทรงเสด็จมาโปรดนายพรานฆาฏกะ เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมโปรด "สัพเพ ตะสันติ ทัณฑัสสะ สัพเพสัง ชีวิตัง ปิยัง อัตตานัง อุปะมัง กัตวา นะหะเนยยัง นะ ฆาฏะเย"

    "สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ย่อมสะดุ้งกลัวต่ออาชญา ชีวิตย่อมเป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลายทั้งสิ้น บุคคลทำตนให้เป็นอุปมาดังนี้แล้ว ไม่ควรเบียดเบียน และไม่ควรฆ่า"

    เมื่อพราณและบริวารได้ฟังพระพุทโธวาทดังนี้แล้วเกิดความเลื่อมใส พรานฆาฏกะได้ทูลขอออกบวช แล้วไม่นานก็สำเร็จบรรลุอรหัตผล พระฆาฏกะได้เปล่งวาจาดังนี้

    "แต่ก่อนนี้ เราเข้าใจผิดมานาน ได้กระทำการฆ่าสัตว์เสียเป็นอันมาก บัดนี้เรารู้พระสัทธรรมแล้ว เราไม่กระทำเช่นนั้นอีก ต่อไปเราได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงแล้ว เราอยู่เป็นสุขสบายดีหนอ.."

    กล่าวดังนี้จึงเสวยวิมุตติสุขอยู่ในสมาบัติตลอด 3 วัน และก่อนที่สมเด็จภควันต์บรมศาสดาจะเสด็จกลับ จึงได้ทรง ฉายพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ปรากฏอยู่ ณ เงื้อมผานั้น ซึ่งเรียกว่า

    "พระพุทธฉาย" ซึ่งปรากฏอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้

    การสร้างพระพุทธรูป เมื่อพระพุทธองค์ทรงมีพุทธบัญชา มีดังนี้

    " พระนั่งดิน" ในขณะที่พระองค์เสด็จมาโปรด พระยาคำแดง เจ้าผู้ครองนครพุทธรส (อ.เชียงคำในปัจจุบัน)

    พระพุทธองค์ตรัสสั่งให้พระยาคำแดงสร้างรูป เหมือนของพระองค์ไว้ยังเมืองพุทธรสนี้ พอองค์สมเด็จพระชินสีห์พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสจบปรากฏว่า มีพระอินทร์ พญานาค ฤาษี 2 ตน และพระอรหันต์ 5 องค์ ช่วยกันนำเอาดินศักดิ์สิทธิ์จากลังกาทวีป มาสร้างรูปเหมือนของพระพุทธองค์ โดยใช้เวลาสร้าง 1 เดือน กับ 7 วัน จึงแล้วเสร็จ

    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์เสร็จไปยังเมืองอื่นแล้วจึงเสด็จมาที่เมืองพุทธรสอีกครั้งหนึ่ง ทรงเห็นรูปเหมือนที่ให้สร้างไว้นั้นเล็ก กว่าพระองค์จึงตรัสให้เอาดินมาเสริมให้เท่าพระองค์ แล้วพระสัพพัญญูเจ้าได้แผ่ฉัพพรรณรังษีครอบจักรวาล เพลานั้นรูปปั้นจำลองจึงเลื่อนลงมาจากฐานชุกชี(แท่นพระ) มากราบไหว้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธองค์ทรงตรัสกับรูปเหมือนที่สร้างขึ้นนั้นว่า ขอให้ท่านจงอยู่รักษาพระศาสนาของตถาคตให้ครบ 5000 พระพรรษา พระรูปเหมือนจึงได้กราบน้อมรับพระบัญชาแล้วประดิษฐานอยู่บนพื้นดินนั้น พระรูปเหมือนดังกล่าว คือ "พระนั่งดิน"

    (เป็นที่น่าสังเกตุว่าพระพุทธรูปองค์นี้ ไม่ได้นั่งอยู่บันฐานชุกชีโดยทั่วไปเหมือนพระพุทธรูปองค์อื่น) เคยมีผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าเคยมีชาวบ้านช่วยกันสร้างแท่น แล้วอัญเชิญพระนั่นดินขึ้นประทับ แต่มีเหตุการณ์ปาฏิหาริย์เกิดฝ้าผ่าลงมาที่พระวิหารถึง 3 ครั้ง ชาวบ้านทั้งหลายจึงอัญเชิญอาราธนาลงมาที่พื้นดังเดิม

    ในสมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จลงมาถึง บ้านกุมภเศรษฐี (นายช่างหม้อ ) ทรงประทับอยู่เพื่อแสดงธรรมโปรด 3 วัน เรื่องอานิสงส์การสร้างพระพุทธรูป จนเศรษฐีนายช่างหม้อเกิดความเลื่อมใสใคร่จะสร้างพระพุทธรูปจึง ชักชวนชาวบ้านทั้งหลายช่วยกันเอาดินที่ใช้ปั้นหม้อ มาปั้นเป็นพระพุทธรูปได้จำนวน 3,300,000 องค์ ตามกำลังศัทธาแห่งตน

    "สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สาธุ.. สาธุ.. ดีนักแล ดูก่อนกุมภเศรษฐี ท่านทั้งหลายพร้อมใจกันสร้างรูป แห่งตถาคต เพื่อไว้เป็นที่สักการบูชา เป็นการดียิ่งนัก เมื่อตถาคตนิพพานแล้ว สถานที่นี้จักเป็นมหานครใหญ่แห่งหนี่ง ศาสนาแห่งตถาคตจะมาตั้งอยู่ในเมืองนี้จักจำเริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก คนทั้งหลายที่เกิดมาในกาลยามนั้นก็จะบำเพ็ญบุญกุศล เขาจะได้ถึงมรรคถึงผลในศาสนาแห่งตถาคต หากบุญบารมียังหย่อนไม่อาจบรรลุถึงนิพพานในศาสนาแห่งตถาคตได้ พวกเขาก็จะถึงมรรคผลในศาสนาแห่งพระอาริยเมตไตรยเจ้า"

    เมื่อพระศาสดาตรัสเทศนาจบ ต่างช่วยกันขุดหลุมแล้วนำพระพุทธรูปทั้งหมดผังลงในหลุมนั้น แล้วกลบถมเสียเป็นอันดี พระพุทธองค์ทรงเล็งพระญาณในภายภาคหน้า แล้วตรัสทำนายทายไว้ว่า

    "เมื่อใดพระพุทธรูปที่ปั้นด้วยดินเหล่านี้ปรากฏขี้นมา ให้คนและเทวดาทั้งหลายได้กราบไหว้สักการบูชา เมื่อนั้นศาสนาของเราตถาคต ก็จะจำเริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก"

    ในกาลเวลาสมัยหนึ่ง เป็นเวลาที่พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จมาถึงสถานที่แห่งหนี่ง ทรงทอดพระเนตรเห็นชาวนากำลังขึ้นคันนาอยู่ (คำเมืองเรียกว่า "ป้านคันนา") องค์สมเด็จพระบรมครูก็เข้าไปประทับยืนอยู่ใกล้ชาวนาผู้นั้น แล้วจึงตรัสถามว่า

    "ดูก่อนอุบาสก ท่านกำลังทำอะไร" ชาวนาผู้นั้นแหงนหน้าขึ้นมาเห็นพระพุทธเจ้าเช่นนั้นก็เข้าใจว่าเป็นยักษ์ จึงตกใจกลัว แต่หลังจากรู้แล้วว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็ก้มลงกราบด้วยความเคารพ แล้วไปเอาหญ้าคามาปูลาดคันนา เพื่อถวายให้พระองค์ได้ประทับค้างแรม ณ ที่นั้น

    ครั้นรุ่งขึ้น ก็ได้นำข้าวปลาอาหารมาถวายพระพุทธเจ้ากับพระสงฆ์ทั้งหลาย แล้วพระพุทธองค์ ก็ทรงประทานเส้นเกศาให้แก่พระอานนท์
    บรรจุไว้ ณ ที่นั้น พร้อมกับตรัสให้ชาวนาสร้างพระพุทธรูปไว้ที่คันนานี้
    แต่ชาวนาอ้างว่าอายุมากแล้ว เกรงจะก่อไม่ทันเสร็จ ก็จะตายไปเสียก่อน
    เพลานั้นพระอินทร์และวิษณุกรรมเทพบุตร จึงรับอาสาว่าจะช่วยสร้าง แล้วได้กราบทูลถามองค์สมเด็จพระบรมศาสดาว่าจะให้สร้างเมื่อใด พระองค์จึงตรัสว่า ถ้าตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ได้ 100 ปี

    ท่านจงก่อรูปพระตถาคตไว้ที่นี้เถิด

    ในอนาคตกาล บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรือง ณ ที่แห่งนี้ ถ้าหากพระธาตุ และพระพุทธรูปมัวหมองเมื่อใด เมื่อนั้นบ้านเมืองจักมัวหมองเช่นกัน และหากผู้ใดได้สร้างและบูชาพระธาตุและพระพุทธรูปตถาคตที่บรรจุไว้ที่นี้ ก็จักถึงนิพพานโดยง่ายแล ณ สถานที่นี้ภายหน้าจะเรียกว่า "พระป้าน" แม่น้ำอันชาวนากั้นน้ำเข้านา จักเรียกว่า "น้ำแม่ปูคา"ดังนี้

    การสร้างพระพุทธปฏิมากรเพื่อสืบอายุพระศาสนา แลเพื่อเป็นที่กราบไหว้บูชาแก่ มนุษย์ เทพ พรหมและสรรพสัตว์ทั้งหลายเพื่อให้มีจิตเข้าถึงคุณแห่งพระพุทธองค์ใด้โดยง่าย จึงมีการสร้างพระพุทธรูปจากวัตถุธาตุต่าง ๆ อันมีค่า เช่น ไม้แก่นจันทร์ ดินศักดิ์สิทธิ์จากแดนพุทธภูมิ และสร้างจากดิน ดังปรากฏในตำนานต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กรกฎาคม 2010
  2. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]

    กาลเวลาได้ผ่านมา ถึง 500 ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานได้มีพระมหาเถระเจ้า นามว่าพระนาคเสน เป็นพระอรหันต์ จำพรรษาอยู่ที่อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร เป็นยุคที่พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก ท่านได้รำพึงถึงการจะสร้างพระพุทธรูปไว้เป็นที่สักการะแก่ เทพเทวา พรหม มนุษย์ และสรรพสัตว์ ได้กราบไหว้บูชา เพื่อให้ได้เข้าถึงคุณพระรัตนตรัย เพื่อสืบอายุพระศาสนาให้ครบถ้วน 5000ปี

    การจะสร้างพระจากวัตถุ อันมีค่า จากทองคำ เงิน อันบริสุทธิ์ก็เกรงจะถูกพวกมิจฉาชีพทำลาย จะก่อภัยแก่ชนเหล่านั้น จึงคิดจะสร้างพระจากแก้วอันบริสุทธิ์วิเศษให้เหมาะดังเป็น พุทธรัตนะ อันประเสริฐ ก็ยังไม่อาจหาแก้วนั้นได้ดังประสงค์

    ความตั้งมั่นแห่งจิตของท่าน ก็บังเกิดให้ทิพยอาสน์ แห่งองค์อัมรินอินทราธิราชเจ้าแข็งกระด้าง จึงทราบด้วยทิพยจิกษุ จึงตรัสให้พระวิษณุกรรม ไปนำดวงแก้วอันมีค่ายิ่งคือแก้วมณีจักรพรรดิ์ มีรัศมีรุ่งเรือง ที่เขาวิปุละ จึงเป็นเหตุให้เกิด พระแก้วบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระสมณโคดม คือ" พระแก้วมรกต"

    ที่เขาวิปุละซึ่งกั้นเขตแดน มคธ และอยู่ด้านหนึ่งของ กรุงราชคฤห์เป็นแดนสำคัญที่เก็บรักษาแก้วอันสำคัญต่าง
    1 แก้วมณีโชติจักรพรรดิ์ มี บริวารแก้วบารมีล้อมรอบ 3000 ดวง
    2 แก้วไพฑูรย์ มี บริวารแก้วบารมีล้อมรอบ 2000 ดวง
    3 แก้วมรกต มี บริวารแก้วบารมีล้อมรอบ 1000 ดง
    แก้ววิเศษนี้มี กุมภัณฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์ และเทพยดา รักษาอยู่ เป็นจำนวนมาก
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระวิษณุกรรมเห็นว่าการจะไปอัญเชิญดวงแก้วมณีโชติจักรพรรดิ์นั้นหากไปเพียงผู้เดียว เห็นจะเป็นการยากที่จะอัญเชิญมาได้ จึงขอให้พระอินทร์ทรงเสด็จไปร่วมอัญเชิญด้วย เพราะท่านเป็นเทพปกครองสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น เป็นจอมเทพทั้งปวง พวกกุมภันฑ์ คนธรรพ์ ยักษ์มาร และเทพที่รักษาดวงแก้วจะต้องเกรงใจในบารมี แต่เมื่อพระองค์ได้เสด็จไปอัญเชิญดวงแก้วมณีที่เขา วิปุละ นั้น พวกเทพที่รักษาดวงแก้วมณีอันสำคัญนั้น ไม่สามารถให้แก้วมณีโชติจักรพรรดิ์ได้เพราะต้องเก็บรักษาให้กับพระเจ้าจักรพรรดิ์ ที่เมื่อถึงยุคที่แผ่นดินว่างจากพระศาสนา ก็จะมีพระเจ้าจักรพรรดิ์ บังเกิดขึ้นในโลกปกครองให้มนุษย์ในแผ่นดินทั้งหมดในโลก มีความสุขด้วยธรรม เป็นการปูพื้นฐานกำลังใจให้มนุษย์ในยุคนั้นมีธรรม บังเกิดขึ้นในดวงจิต เพื่อรอการมาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะมาบังเกิดขึ้นในภายภาคหน้า

    เมื่อไม่อาจทูลถวายแก้วมณีจักรพรรดิ์ได้ เทพเทวาจึงได้ถวายแก้วสำคัญอีกดวงหนึ่ง คือ แก้วมรกต มีรัศมีรุ่งเรืองยิ่ง ให้นำไปถวายพระนาคเสน สร้างพระพุทธรัตนะอันประเสริฐ์ คือ พระแก้วมรกต เมื่อประนาคเสนได้รับแก้วมรกตก็บังเกิดปิติ เป็นอย่างยิ่ง จึงคิดว่าจะต้องการสร้างให้สวยงาม วิจิตร แต่ก็ยังมิอาจหาช่างได้ พระวิษณุกรรมจึงได้แปรงกายเป็นมนุษย์ เข้าไปหาพระนาคเสน อาสาสร้างพระแก้วมรกตเอง เมื่อพระนาคเสน พิจารณาแล้วก็เห็นสมควร พระวิษณุกรรมจึงเนรมิตด้วยอิทธิฤทธิสร้างพระแก้วมรกตสำเร็จเป็นพระแก้วบารมี ตามพุทธลักษณะงดงาม มีรัศมีพวยพุ่งออกจากพระวรกายสว่างไสว มีเทพบุตร เทพธิดา พรหม ตลอดจนเจ้าฟ้า มหากษัตริย์ ประชาชนได้มาถวายสักการะบูชาเป็นอันมาก
    พระนาคเสนเถระเจ้าพร้อมด้วย ทวยเทพ เทวา พรหม ทั้งปวง ได้อธิฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ แห่งพระตถาคตเจ้าบรมศาสดาให้เข้าไปประดิษฐานในพระแก้วมรกต ทั้ง 7 พระองค์ ดังนี้

    1.ในพระโมฬีพระองค์หนึ่ง
    2.ในพระนลาตพระองค์หนึ่ง
    3.ในพระอุระพระองค์หนึ่ง
    4.ในพระอังสา ทั้ง 2 ข้าง
    5.ในพระชานุ ทั้ง 2 ข้าง

    รวมเป็น 7 พระองค์ เมื่อประดิษฐานแล้ว ก็บังเกิดพุทธปาฏิหารยิ์เนื้อแก้วมรกต ก็ได้ปิดสนิทเป็นเนื้อเดียวกัน

    เพลานั้นได้เกิดปาฏิหารยิ์ แผ่นดินไหวสั่นสะเทือนไปทั้งโลกธาตุ เป็นอัศจรรย์ยิ่ง พระแก้วมรกตได้ยกฝ่าพระบาทดุจดังเสด็จลงจากแท่นที่ประทับ เมื่อเกิดเหตุการปาฏิหารยิ์ขึ้นนั้น ท่านนาคเสนเถระเจ้าได้ทำนายว่าพระแก้วมรกต นี้จะมิได้ประดิษย์ฐานในเมืองปาฏลีบุตรตลอดไปเป็นแน่แท้ จักต้องเสด็จท่องเที่ยวโปรด เวไนยสัตว์ไปประเทศทั้ง 5 เพื่อ
    ให้พระศาสนาตั้งมั่นยั่งยืนครบถ้วน 5000 พระพรรษาตามพุทธพยากรณ์ คือ
    1. ลังกาทวีป 2. ศรีอยุธยา 3. โยนกบุรี 4. สุวรรณภูมิ 5. ปะมะหล

    เมื่อกาลเวลาได้ผ่านไป 300 ปีหลังจากพระนาคเสนดับขันปรินิพาน พระแก้วที่ประดิษฐานอยู่ที่เมือง ปาฏลีบุตร ในสมัยพระเจ้าสิริกิติราช เกิดภัยสงครามมิได้ขาด ประชาชนจึงพร้องใจอัญเชิญพระแก้วมรกต พร้อมพระไตรปิฏก ลงเรือสำเภาหนีมาสู่ลังกาทวีป ประดิษฐานอยุ่ลังกา ได้ประมาณ 200 ปี

    เมื่อถึงสมัยพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช กษัตริย์พุกามประเทศ ได้ไปอัญเชิญพระแก้วมรกต พร้อมพระสงฆ์ และอำมาตย์ที่ไปด้วยได้ขอบรรพชา ท่านศีลขันท์หัวหน้าคณะพระสงฆ์ได้ร่วมทำสังคายนาพระไตรปิฏก เมื่อเสร็จแล้วได้ทูลขอพระแก้วมรกต ต่อพระราชากรุงลังกาพระองค์จนพระทัย จึงต้องจำยอมยกให้

    เมื่อได้พระแก้วมาแล้วก็อัญเชิญขึ้นเรือสำเภา 2 ลำ แต่เรือสำเภานั้นได้พลัดหลงมาสู่เมืองอินท์ปัตถ์ พร้อมพระไตรปิฏก (น่าจะเป็นเมืองเขมร) เจ้าเมืองพุกาม (พม่า) ได้ทูลขอพระแก้วคืน แต่ทางกรุงอินท์ปัตถ์ ได้มอบแต่พระไตรปิฏกเพียงอย่างเดียว ส่วนพระแก้วมรกตได้นำไปประดิษฐานเพื่อสักการะบูชาเป็นเวลาช้านาน

    สันนิฐานว่า น่าจะนำไปประดิษฐานที่ นครวัด คือได้สร้าง นครวัด ทั้งพระนครให้เป็นที่ประดิษฐาน และกษัตริย์จักต้องเป็นผู้มีบุญญาธิการ และพระราชอำนาจมาก จึงเกณไพร่พลในการสร้างได้ดังเนรมิตยิ่งใหญ่เป็นอันมาก และจากศัทธาในพระศาสนาของคนในยุคนั้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาอันสูงสุด

    เมื่อพระแก้วมรกตได้ประดิษฐานอยู่เป็นเวลาอันควร จนถึงสมัยของพระเจ้าเสนกราช มิได้ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พญานาคได้บันดาลให้น้ำท่วมเมือง ได้มีพระเถระรูปหนึ่งได้อัญเชิญพระแก้ว หนีภัยไปทางทิศเหนือของเมืองอินทปัตถ์

    ในเพลานั้น ราชอาณาจักรไทย คือ กรุงศรีอยุธยา มีพระเจ้าอทิตยราชทรงปกครอง ได้ทราบว่าทาง กรุงอินทปัตถ์ เกิดน้ำท่วมบ้านเมืองเสียหาย จึงจัดทัพไปอัญเชิญ พระแก้วมรกตลงเรือสำเภามายังกรุงศรึอยุธยา เมื่อมาถึง ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตประดิษฐานในมหาเวชยันต์ปราสาทประดับตกแต่งด้วยเครื่องสักการะอันประณีตยิ่ง ได้จัดงานสมโภชเป็นพุทธบูชาอย่างยิ่งใหญ่

    พระเจ้ากรุงศรีอยุธยา ได้สักการะบูชาพระแก้วมรกตสืบต่อมา จนกาลได้มีพระยากำแพงเพรช ได้ทูลขอนำพระแก้วไปสักการะบูชา

    เมื่อพระราชโอรส ของพระองค์ได้เจริญวัย ได้ส่งไปครองกรุงละโว้

    เมื่อไปครองกรุงละโว้ ก็มีพระทัยอยากอัญเชิญพระแก้ว ไปบูชาที่เมืองจึงทูลขอพระราชมารดา ให้ทูลพระราชบิดาขอนำพระแก้วไปบูชา

    พระองค์ให้ไปเลือกเอาเอง หากมีบุญบารมีก็จักเลือกพระแก้วมรกตไปถูก เพราะพระแก้วประดิษฐานอยู่กับพระแก้วองค์อื่น ๆ พระโอรสไม่ทราบจึงให้สินบน แก่คนเฝ้าประตู ๆ ได้รับว่าจะนำดอกไม้แดงไปวางบนพระหัตถ์พระแก้วองค์จริง พระแก้วมรกตจึงได้ถูกอัญเชิญไปประดิษฐาน ณ เมืองละโว้ เป็นเวลา 1 ปี 9 เดือน ก็อัญเชิญพระแก้วกับเมืองกำแพงเพชรคืนดังเดิม

    ในเวลาพุทธศักราช 1977 พระเจ้าพรหมทัตเจ้าเมืองเชียงรายทรงทราบว่าพระยากำแพงเพรช มีพระแก้วมรกตไว้สักการะบูฃา ทรงเป็นพระสหาย ก็ปรารถนาจักได้บูชาพระแก้วมรกตบ้าง จึงทูลขออัญเชิญพระแก้วมรกตไปที่เมืองเชียงราย ได้จัดการสมโภชอย่างยิ่งใหญ่มีประชาชนมาบูชากันเป็นอันมาก

    กาลต่อมาเจ้าเมืองเชียงราย เกรงว่าหากมีภัยสงครามขึ้นจะเป็นอันตรายต่อองค์พระแก้ว จึงได้นำปูนมาพอกทับ ลงรักปิดทอง บรรจุไว้ในสถูปเจดีย์อย่างมิดชิดไม่มีผู้ใดทราบได้
    พระแก้วมรกตได้สูญหายไปในเวลาอันนาน เมื่อถึงกาลอันควรที่พระแก้ว จะปรากฏให้มหาชน ทั้งหลายได้บูชา ก็บังเกิดเหตุอัศจรรย์ที่ฟ้าได้ฝ่าลงที่พระสถูปเจดีย์ ทำให้ได้พบพระแก้วมรกตอีกครั้งหนึ่ง

    แต่ชาวเมืองยังไม่ทราบ จึงได้นำพระแก้วไปประดิษฐาน ณ วัดแห่งหนึ่ง ครั้นด้วยเทพบันดาล หรือกาลแห่งพระแก้วจักปรากฏ ทำให้ปูนที่พอกไว้ตรงพระนาสิก กะเทาะออก เห็นแก้วสีเขียว เป็นพระแก้วมรกตมีรัศมีรุ่งเรืองสว่างไสวสุกใสเป็นอย่างยิ่ง จึงอัญเชิญให้ เทพไท้เทวา แลมนุษย์ทั้งหลายได้สักกาละบูชาเป็นบุญยิ่ง

    กาลนั้นได้ทราบถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่ จึงจัดขบวนตกแต่งด้วย เครื่องสักการะอันงาม มีช้างทรง และไพร่พลเป็นอันมาก ไปอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับสู่มหานครเวียงเชียงใหม่
    ครั้นขบวนแห่อัญเชิญมาถึงทางแยก จะไปนครลำปาง ช้างที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ก็วิ่งเตลิดไปทางนครลำปาง จักทำเช่นใดช้างทรงก็ไม่กลับเมืองเวียงเชียงใหม่ แม้จะเปลี่ยนช้าง ก็มีเหตุเช่มเดิม

    พระแก้วมรกตจึงเสด็จประทับ ณ นครลำปางเป็นเวลาอันควร
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ครั้นต่อมาในพุทธศักราช 2011 สมัยพระเจ้าติโลกราช เจ้านครเชียงใหม่ ทรงเป็นกษัตริย์มีศักดานุภาพมาก ทรงพิจารณาถึง พระแก้วมรกตอันเป็นสมบัติล้ำค่า จึงทรงจัดขบวน ช้าง ม้า เครื่องสูง ฉัตร ธง ไพร่พล ไปอันเชิญพระแก้วมรกตกลับมาสู้ นครเชียงใหม่ ทรงสร้าง พระอาราม ถวาย และวิหารปราสาทมียอด เป็นที่ประดิษฐาน อยู่นครเชียงใหม่นานนับเวลา 84 ปี

    เมื่อถึงกาลเวลาเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระราชบิดาของพระนางหอสูงเสด็จสวรรคต เมืองเชียงใหม่ว่างจากกษัตริย์ คณะเสนาบดี สมณะชีพราหมณ์ จึงพร้อมกันแต่งตั้งราชทูตไปทูลเชิญพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช อันเป็นราชโอรสที่เกิดจากพระนางหอสูง มาครองราชสมบัติแทนพระอัยกา พระเจ้าโพธิสาร เจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตทรงทราบจึงให้ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชไปครองเวียงเชียงใหม่ ในเวลานั้น พระองค์มีพระชนมายุ 12 พรรษา

    เมื่อกระทำพิธีราชาภิเษกแล้ว พระเจ้าโพธิสาร เสด็จกลับกรุงศรีสัตนาคนหุตได้ 3 ปี ก็สวรรคต เหล่าเสนาเห็นว่า พระราชโอรสองค์อื่น ๆ ไม่ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรม เกรงจะเกิดการแก่งแย่งราชสมบัติ ด้วยบุญแห่งพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเจ้า เป็นบรมหน่อวงค์โพธิญาณ เป็นดังโพธิสัตว์ ก็ขึ้นเสด็จเป็นพระเจ้าแผ่นดินครอง เมืองกรุงศรีสัตนาคนหุต อีกเมืองหนึ่ง

    พระองค์ทรงอันเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานเป็นมิ่งขวัญแก่เมืองศรีสัตนาคนหุต เพื่อบูชาและคุ้มครองเมือง

    เมื่อพระองค์มาครองนาน ทางเมืองเชียงใหม่คิดว่าพระองค์ไม่เสด็จมาครองเมือง จึงอัญเชิญเชื้อพระวงศ์องค์อื่นขึ้นครองราชแทน

    เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐา ทรงทราบ ทรงกรีฑาทัพมาเพื่อตีเมืองเชียงใหม่ พระเจ้าสุทธิวงศ์ ทรงทราบจึงส่งราชสาส์น เครื่องบรรณาการ พร้อมสาวพรหมจารี 12 นาง ไปถวายพระเจ้ากรุงอังวะ (พม่า) ให้ยกทัพไปช่วยเมืองเชียงใหม่ เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้พระเจ้าไชยเชษฐา เห็นว่า รบกับเชียงใหม่ ก็เหมือนรบกับพม่า จะทำให้เสียไพร่พลเป็นจำนวนมาก จึงสั่งถอยทัพและอัญเชิญพระแก้วมรกตกลับมาอยู่เมืองหลวงพระบาง นาน 12 ปี
     
  5. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    กาลล่วงมาถึงพุทธศักราช 2107 พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนอง เจ้าเมืองมอญ กำลังเรืองอำนาจ พระเจ้าไชยเชษฐา เห็นว่าการศึกครั้งนี้จะมิอาจสู้มอญได้ จึงสั่ง แก่เสนาอำมาตย์ และพระอนุชา ทั้งสอง ว่าพระนครศรีสัตนาคนหุต นี้เป็นเขตแดนใกล้ภูเขา ไม่เหมาะแก่การศึก และเป็นราชธานี จึงเห็นควรอพยพไพล่พลทั้งปวง ไปสร้างพระนครใหม่ อยู่ที่เวียงจันทร์ อันเป็นแดนที่อุดมสมบูรณ์ ใกล้แม่น้ำโขง

    เมื่อสร้างบ้านเมือง เสร็จ พระองค์ทรงเสด็จขึ้นครองราชเป็นพระเจ้าแผ่นดินครองกรุงเวียงจันทร์ และได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานไว้ในปราสาท ตั้งแต่นี้เป็นต้นมา เป็นเวลา 214 ปี


    กาลเวลาทีพระแก้วจะเสด็จกลับมาสู่พระนครสยาม

    ครั้นเมื่อพุทธศักราช 2321 พระเจ้าตากสินมหาราช เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าเมืองกำแพงเพรช เป็นพระยาวชิรปราการ ขึ้นแก่กรุงศรีอยุธยา ได้รวบรวมไพล่พลที่เหลือจากการศึกเสียกรุง แก่พม่า ตั้งตัวเป็นพระมหากษัตริย์สิบราชวงศ์แห่งสยามประเทศ ตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานี

    ได้ยกทัพไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุต เพื่อประสงค์จะแผ่พระเกียรติยศให้แผ่ไปศาล ขยายขอบเขตขันธเสมาให้กว้างไกล โดยให้สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกขึ้นไปตีกรุงศรีสัตนาคนหุตเวียงจันทร์ แล้วได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร พระแก้วมรกต และพระบาง อันสำคัญ ขึ้นคานหามมายับยั้งอยู่ที่เมืองสระบุรี มีพระราชสาส์นแจ้งการมีชัยชนะแก่ข้าศึก และได้อัญเชิญพระแก้วมรกต กับพระบาง มาจากเวียงจันทร์ เมื่อพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงทราบ

    ทรงเลื่อมใสศรัทธาปสาทะ ให้อาราธนาพระสังฆราชเจ้า พระราชาคณะฐานานุกรมเปรียญทั้งปวง จัดขบวนเกียรติยศ ทางเรือขึ้นไปรับพระแก้วมรกต กับพระบางมายังกรุงธนบุรี
    โดยได้ให้เรือพระที่นั่งศรีเป็นเรือพระ รับพระแก้วมรกต ให้เรือพระที่นั่งกราบ รับพระบาง
    มีขบวนเรืออันวิจิตร เครื่องสูง เศรตฉัตร กลองชนะ มโหระทึกประโคมตลอดทุกเช้าค่ำ แห่มายังพระนครกรุงธนบุรี

    จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกต และพระบางขึ้นประดิษฐาน ไว้ในโรงราชพิธีในมหาราชวัง ซึ่งปลุกไว้ริมพระอุโบสถวัดแจ้ง ตั้งเครื่องสักการะบูชาเป็นามโหฬารดิเรกด้วยเงิน ทอง แก้วรัตนอันมีค่า บูชาพระตรัยรัตนคุณอันประเสริฐ โปรดใด้มีการถวายพุทธสมโภช มีมหรสพฉลองจุดดอกไม้ไฟทุกทิวาราตรี ล่วง 7 วัน

    ครั้นสิ้นพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราชเสด็จเถลิงราชสมบัติ ณ กรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อปีขาลพุทธศักราช 2325 โปรดให้สร้างพระอารามขึ้นเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต คือพระพุทธมณีรัตนปฏิมากร เมื่อพระอาราม เสร็จ ทรงตั้งชื่อ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อวันจันทร์ เดือน 4 แรม 15 ค่ำ ปีมะโรง พุทธศักราช 2327 นับกาลบัดนั้นเป็นต้นมา
     
  6. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    จากตำนานพระแก้วบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดม
    สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ


    [​IMG]

    มีพระแก้วบารมีอีกหลายองค์ที่ได้ถูกกล่าวถึง จากครูบาอาจารย์ผู้มีอภิญญาญาณ เป็นดังพระโพธิสัตว์เจ้าแห่งวัดสะแก อยุธยาคือ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ได้บอกเล่าให้เราได้รู้ถึงพระแก้วบารมีประจำองค์พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์

    พระแก้วบารมีประจำองค์พระพุทธเจ้า แต่ละพระองค์จะมีได้ตั้งแต่ยังเป็นพระโพธิสัตว์ และจะปรากฎชัดเจนขึ้น ตามความเข้มข้นของบารมีที่สร้างพระแก้วบารมีประจำองค์พระพุทธเจ้า 5 พระองค์

    1. พระกุกุสันโธพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จะมีพระแก้วขาวมีวรรณะใสดังเพรช มีหน้าตักกว้าง 20 วา
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครั้งแรก จากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพระพุทธเจ้า อายุไขย 40,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 40 ศอก หรือ 20 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 10 เดือน
    พุทธรังษีสร้านไปไกล 10 โยชน์ หรือ 160 กิโลเมตร

    2.พระโกนาคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จะมีพระแก้วเหลืองมีวรรณะดังบุษราคัม ประจำองค์ มีหน้าตัก 15 วา
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อครั้งสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าประมาณ 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพระพุทธเจ้า อายุไข 30,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 30 ศอก หรือ 15 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 1 เดือน
    พุทธรังษีสร้านไปไกลตามแต่พระประสงค์

    3. พระกัสสปพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    มีพระแก้วน้ำเงินมีวรรณะดังไพริน มีหน้าตัก 10 วา
    หลังได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครังแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น 8 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้า 37,024 พระองค์
    เป็นศรัทธาพระพุทธเจ้า อายุไข 20,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 20 ศอก หรือ 10 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังษีสร้านไปไกล ตามแต่พระประสงค์

    4. พระศากยมุณีโคดมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    มีพระแก้วสีเขียวมีวรรณะดังมรกต หน้าตัก 5 วา ***
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์เป็นครั้งแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น 4 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้า 24 พระองค์ (ข้อมูลเดิม) อาจมากว่านี้
    เป็นปัญญาพุทธเจ้า อายุไข 80 พรรษา
    พระสรีระสูง 4 ศอก หรือ 2 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยา ชาติสุดท้าย 6 ปี ***
    พุทธรังษีสร้านไปข้างละ 1 วา เป็นปกติ

    5. พระศรีอริยเมตตรัยสัมมาสัมพุทธเจ้า
    มีพระแก้วแดงวรรณะดังทับทิมทรงเครื่องจักรพรรดิ์ หน้าตัก 20 วา
    หลังจากได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นครังแรกจากพระพุทธเจ้า
    เมื่อสมัยเป็นพระโพธิสัตว์ หลังจากนั้น 16 อสงไขยแสนกัป
    ได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้า 477,029 พระองค์
    เป็นวิริยะพุทธเจ้า อายุไขย 80,000 พรรษา
    พระสรีระสูง 80 ศอก หรือ 40 เมตร
    บำเพ็ญทุกกิริยาชาติสุดท้าย 7 วัน
    พุทธรังษีสร้านไปไกล กำหนดไม่ได้
    พระแก้วบารมีประจำองค์ เป็นเสมือนพุทธมณีปฏิมา แห่งบารมีรวมสูงสุดของแต่ละพระองค์
    พระแก้วบารมีแต่ละพระองค์นั้นจะช่วยคอยค้ำจุนอายุพระศาสนาของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ตลอดไป

    นำธรรม อนันตชัย

    เรื่องพระแก้วบารมีประจำองค์พระพุทธเจ้า 5 พระองค์ในภัทรกัปนี้
    ในกาลต่อมาในสมัยแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมนโคดม
    ได้มีผู้มีจิตเลื่อมในในคุณแห่งพระรัตนตรัยเป็นจำนวนมาก ที่จะสร้างพระพุทธปฏิมากร ด้วย วัสดุล้ำค่า เช่น ทองคำ เงิน และแก้วมณีรัตนชาติทั้งหลาย เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา แลค้ำจุนพระศาสนาให้ครบถ้วน 5000 ปี

    ในบรรดาของมีค่าต่าง ที่จะนำมาสร้างพระ แก้วมณีต่าง ๆ ถูกนำมาสร้างพระเป็นจำนวนมาก เพราะถือว่าแก้วบารมีมณีเป็นของสูงค่าหาได้ยาก เป็นแก้วมณีสำคัญแห่งบารมีผู้สร้าง และเป็นแก้ววิเศษมีเทวดารักษา ดังจะกล่าวถึงพระแก้วบารมีอีกองค์หนึ่ง คือ
    พระแก้วเสตังคมณี สร้างจากแก้วบารมี มณีขาว ใสบริสุทธิดังเพรชน้ำค้าง เป็นคติของกษัตริย์ให้สมัยโบราณที่จะสร้างพระแก้วบารมี แห่งพระองค์ที่จักเป็นที่ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง แลสืบต่ออายุพระศาสนาให้ครบถ้วน 5,000 ปี เป็นพระแก้วบารมีแห่งองค์พระนางเจ้าจามเทวีจอมนางผู้เป็นกษัตริย์แห่งเมืองหริภุญไชย และในสมัยพระองค์ทรงถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้สร้างพระแก้วบารมีเป็นจำนวนมากที่สุด มีหลากหลายสีสัณวรรณะ แกะสลักโดยช่างฝีมือเอก ถวายไว้บรรจุตามพระธาตุเจดีย์ต่าง ๆ ที่มีจำนวนมากคือพระแก้วบารมีกรุเมืองฮอด*
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  7. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]


    ตำนานพระแก้วขาวเสตังคมณี

    หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ได้ 700 ปี ในวันเพ็ญเดือน 7
    พระสุเทวฤาษีได้นำดอกจำปา 5 ดอก ขึ้นไปบูชาพระจุฬามณียังดาวดึงส์ ได้พบปะสนทนากับพระอินทร์ ฯ จึงบอกแก่สุเทวฤาษีว่า

    ขึ้นเดือนวิสาขะเพ็ญที่ ลวะรัฐจะสร้างพระพุทธมณีปฏิมากรด้วยแก้วขาว ครั้นท่านฤาษีกลับจากเทวโลกแล้วจึง ไปสู่เมืองละโว้ ขณะนั้นพระยารามราชเจ้าเมืองละโว้กับพระกัสสปะเถระเจ้าจะสร้างพระแก้วขาว ซึ่งพระอรหันต์ได้นำแก้วขาวมณีบริสุทธิ์บุษยรัตนมาจาก
    จันทเทวบุตร และขอให้พระวิษณุกรรมมาเนรมิต สำเร็จเป็นองค์พระปฏิมากรล้ำค่า พระสุเทวฤาษี และฤาษีองค์อื่น ๆ ได้ประชุมช่วยในการสร้างองค์พระเป็นจำนวนมาก

    ครั้นสำเร็จ ก็อัญเชิญพระบรมธาตุบรรจุในการสร้างองค์พระแก้วขาวด้วยพระบรมธาตุบรรจุในพระแก้วขาว 4 พระองค์
    1.พระโมลี(กระหม่อม) 2.พระนลาต(หน้าผาก)
    3.พระอุระ(หน้าอก) 4. พระโอษฐ์(ปาก)

    เมื่อสร้างเสร็จพระแก้วขาวได้ประดิษฐานอยู่ที่กรุงละโว้ สืบมาเป็นเวลานาน
    เมื่อพระฤาษีที่เป็นบรมครูแห่งพระนางเจ้าจามเทวี ได้สร้างพระนครหริภุญชัย กับฤาษีทั้ง 108 ตน สำเร็จ ได้ใช้ให้ควิยะอำมาตย์ ไปเชิญพระนางเจ้าจามเทวี พระธิดา ของเจ้ากรุงละโว้ มาครองเมืองหริภุญชัย พระนางจึงของอนุญาติจากพระราชบิดา นำพระแก้วเสตังคมณีมาประดิษฐาน ณ เมือง นครลำพูนหริภุญชัย เพื่อเป็นพระแก้วบารมีประจำพระองค์ ปกปักรักษาบ้านเมือง สืบพระศาสนาให้ถาวร

    พระแก้วขาวเสตังคมณีได้มาประดิษฐานอยู่เมืองหริภุญชัยนานหลายร้อยปี บรรดากษัตริย์ราชวงค์ลำพูน แลราชวงค์อื่น ๆ ต่างเคารพบูชาพระแก้วเสตังคมณี เป็นพระแก้วบารมีประจำองค์ สืบมาและยังได้สร้างหอพระแก้วเป็นที่ประดิษฐานในพระราชวัง
    พระแก้วขาวประดิษฐานอยู่นคร หริภุญชัย มาจนถึงรัชสมัยพระยายีบา เป็นกษัตริย์ครองเมือง

    ในครั้งนั้นพระเจ้าเม็งรายเป็นเจ้านครเงินยวง (เชียงแสน) ได้ยกทัพไปปราบเมืองต่าง ๆ ตกเป็นเป็นเมืองขึ้นเป็นอันมาก แต่พระนครหริภุญชัยมีกำลังกล้าแข็งเป็นอันมาก
    พระองค์จึงคิดอุบายให้ขุนอ้ายฟ้า คนสนิท ไปทำการจารกรรม และทำให้แตกความสามัคคี นานถึง 7 ปี เมื่อได้โอกาสจึงส่งข่าวให้พระเจ้าเม็งรายยกทัพไปตี จนถึงศักราช 1824 ได้ทำศึกโดยใช้ธนูไฟยิงเข้าไปเผาบ้านเมือง แลราชวังเป็นการเสียหายอย่างมาก แต่มีเหตุแห่งพระแก้วขาวบารมีที่สถิตอยู่ในหอพระแก้ว ไม่ได้ถูกไฟไหม้แต่อย่างใด
    จึงทำให้ พระเจ้าเม็งรายเกิดพระราชศรัทธา อัญเชิญพระแก้วขาวมาประดิษฐานที่นครเงินยวงเชียงแสน และทรงถือว่าเป็นพระแก้วบารมีประจำพระองค์ และบ้านเมืองตลอดมา

    นำธรรม อนันตชัย
    <!-- / message --><!-- attachments -->
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    [​IMG]
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    การสร้างพระแก้ว จากแก้วมณีล้ำค่า เป็นพระแก้วบารมีประจำองค์พระมหากษัตริย์ ด้วยบารมีแห่งพระแก้วจะปกป้องคุ้มครองบ้านเมืองให้มีความอุดมสมบูรณ์ และเพื่อสืบพระศาสนาให้ครบถ้วน 5,000 ปี ตามพุทธพยากรณ์

    ในกาลต่อมาพระมหากษัตริย์ หลายพระองค์ที่มีพระบรมเดชานุภาพมาก จะถือตามคติการสร้างพระแก้วบารมีประจำพระองค์ และได้มีการสร้างพระแก้วที่สำคัญอีกหลายองค์ในเวลาต่อมา คือ

    1.พระแก้วบุษราคัม
    2.พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง
    3.พระแก้วโกเมน
    4.พระแก้วไพฑูรย์
    5.พระแก้วขาวบุษยรัตน (พระแก้วหยดน้ำค้าง)
    6.พระแก้วขาวบุษยรัตน์จักรพรรดิพิมลมณีมัย
    7.พระแก้วดอนเต้า

    พระแก้วสำคัญทั้ง7 องค์นี้จะกล่าวถึงประวัติในกาลต่อไป
    พระแก้วบุษราคัม ประดิษฐาน อยู่ที่ วัดศรีอุบลรัตนาราม
    พระแก้วขาวเพรชน้ำค้าง อยู่ที วัดสุปัฏนาราม
    พระแก้วโกเมน อยู่ที่วัดมณีวนาราม
    พระแก้วไพฑูรย์ อยู่ที่วัดทุ่งศรีเมือง
    เป็นพระแก้วบารมีคู่บ้านคู่เมืองอุบลราชธานี

    พระแก้วบุษยรัตน(พระแก้วขาวหยดน้ำค้าง) ปัจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่ เมืองยโสธร
    พระแก้วขาวบุษยรัตน์จักรพรรดิ์พิมลมณีมัย ปัจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต กรุงเทพมหานคร
    พระแก้วดอนเต้า ปัจุบันประดิษฐานอยู่ที่ พระธาตุลำปางหลวง เมือง ลำปาง


    พระแก้วบารมีทั้งหลาย ส่วนใหญ่สร้างจากทางเหนือ ของประเทศ
    แต่เมื่อมีภัยแห่งสงคราม หรือบ้านเมืองเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ
    พระแก้วก็จะถูกอัญเชิญไปประดิษฐานในที่อันควร
    หรือ มีการนำพระแก้วไปเก็บไว้ในเมืองที่เป็นที่ตั้งแห่งพระศาสนา
    เมืองอุบลราชธานี นับว่าเป็นเมืองสำคัญยิ่งที่มีพระแก้วคู่บ้านเมืองมาประดิษฐานถึง 4 พระองค์ หากมีเมื่อถึงเวลาอันควร ก็จะมีพระแก้วปรากฏขึ้นอีก นับเมื่อถึงเวลาพระศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นตลอดไป

    ในเวลาที่พระศาสนาเจริญรุ่งเรืองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์

    ได้มีการถือคติการสร้างพระแก้วบารมีประจำรัชกาล

    รัชกาลที่ 1 พระพุทธมณีรัตนปฏิมากร พระแก้วมรกต เป็นพระแก้วประจำรัชกาล
    รัชกาลที่ 2 พระพุทธบุษยรัตน์จักรพรรดิ์พิมลมณีมัย พระแก้วขาว
    รัชกาลที่ 3 พระแก้วนากสวาติเรือนแก้ว พระแก้วเขียวหยก
    รัชกาลที่ 4 พระแก้วเชียงแสน พระแก้วผลึกใส
    รัชกาลที่ 5 พระบุษยรัตนน้อย พระแก้วขาวน้อย
    รัชกาลที่ 6 พระแก้วเพชดาญาณ พระแก้วผลึกขาว
    พระแก้วมรกตน้อย (มีพระแก้วประจำรัชกาล 2 องค์)
    รัชกาลที่ 7 พระแก้วนิลกัณฐพรพายัพ พระหยกเขียว
    รัชกาลที่ 8
    รัชกาลที 9 พระปฏิมาแก้วผลึก พระแก้วขาว ศิลปะเชียงแสน องค์พระทรงเครื่องศิราภรณ์ทำด้วยทองคำบุเงินไว้ ภายใน สังวาลนพเก้า เครื่องบนกั้นฉัตร 3 กษัตริย์
    มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ สร้างถวาย เมื่อ 11 กรกฏาคม 2539 เนื่องในวโรกาสฉลองครองราชครบรอบ 50 พรรษา
     
  9. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อพระศาสนาเจิรญรุ่งเรืองตั้งมั่นเป็นอันมาก ดังพุทธพยากรณ์

    ในพุทธศักราช 2552 อันเป็นยุคกึ่งพระศาสนา ในปัจุบันได้มีผู้มีจิตเลื่อมในในคุณพระรัตนตรัย เป็นจำนวนมาก มีกำลังใจที่จะเข้าถึงเหตุแห่งธรรม แห่งพระพุทธองค์ แลประกอบไปด้วยอภิญญา สมาบัติ เป็นกำลังใหญ่ในการค้ำจุนพระศาสนา


    ในยุคนี้จึงเป็นเหตุให้เกิดการตั้งสำนักปฏิบัติธรรมเป็นจำนวนมากตามสายที่ท่านทั้งหลาย ได้เคยบำเพ็ญมาในกาลก่อน เหมาะควรแก่ศรัทธา แลจริตของท่านผู้เจริญในธรรม มีพระเถระเจ้าผู้ทรงคุณเป็นพุทธภมิ และสาวกภูมิ มีกำลังมากในการเผยแผ่ พระธรรมคำสั่งสอนแห่งพุทธองค์ ให้ไปทั่วทิศานุทิศ ทั้งใน และต่างประเทศเพื่อนำธรรมแห่งความ สงบ เย็น เข้าสู่จิตของท่านผู้เจริญทั้งหลาย

    ในยุคกึ่งพุทธกาลนี้ ได้มี พระอริยเจ้าเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากดังเช่น

    หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่ปาน วัดบางนมโค หลวงปู่โต วัดระฆัง หลวงพ่อสด หลวงปู่ครูบาเจ้าศรีวิชัย หลวงพ่อพุทธทาส หลวงปู่ดู่ วัดสะแก อยุธยา

    หลวงพ่อพระราชพรหมญาณ ฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ท่านพระอริยเจ้าทั้งหลาย บางท่านเป็นพุทธภูมิ มาเป็นเวลายาวนาน สั่งสมบารมีมานับอสงไขย หลาย กัป มีบริวาลลูกหลานเป็นจำนวนมากติดตามกันมา เมื่อถึงเวลาที่ท่านลาพุทธภูมิ เพื่อเป็นสาวกภูมิ จึงทำให้ลูกหลานที่ติตตามท่าน ก็ลาพุทธภูมิ เป็นจำนวนมากปรารถนาเข้าสู่นิพพานในปัจุบันชาติ

    ในกาลนี้จึงมี คณะที่มีกำลังในการเผยแผ่พระธรรม รวบรวมเรื่องราวสำคัญต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับพระศาสนา ที่อาจสูญหาย ไปกับกาลเวลา

    ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จึงทำตามคำอธิฐาน ในกาลก่อน ตามความปรารถนา เพื่อเป็นหลักฐาน ความรู้ แก่ชนรุ่นหลัง ดังมีเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญเช่น งานตามรอยพระพุทธบาท พระบรมธาตุต่างๆ ให้กลับคืนมาสมบูรณ์ด้วย ประวัติ หลักฐานอ้างอิง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
    สืบพระศาสนาสืบไป

    ความรู้เรื่องพระแก้วบารมี ก็อาศัยคุณพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
    มีพระเถระผู้ทรงคุณ แห่งวัดสะแก อยุธยา นาม หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นผู้ให้ความรู้พิเศษนี้ แก่ชนรุ่นหลัง

    นับจากพระอริยะเถระ ที่ได้ให้ความรู้ยิ่งอีกองค์ หนึ่ง คือหลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ท่านให้ความรู้เกี่ยวกับ ดวงแก้วกายสิทธิ์จักรพรรดิ์ เจ้าแห่งสมบัติ

    ในการสร้างพระแก้วบารมีหลายองค์ ในตำนานได้กล่าวถึงดวงแก้วกายสิทธิ์สำคัญ หลายดวง ดังนี้

    1.ดวงแก้วจักรพรรดิ์มณีโชติ มีบริวารแก้วล้อมรอบ 3000 ดวง
    2.ดวงแก้วไพฑูรย์ มีบริวารแก้วล้อมรอบ 2000 ดวง
    3.ดวงแก้วมรกต มีบริวารแก้วล้อมรอบ 1000 ดวง

    เรื่องดวงแก้วกายสิทธิ์นี้ในประวิติพระอริยเจ้า หลายท่าน ได้กล่าวถึง เป็นลูกแก้วคู่บารมีแห่งท่าน คือ

    1. หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด ได้รับ ลูกแก้วบารมี จากพญางู หรือแก้วจากพญานาคราช
    2. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ มีปาฏิหารย์ ลูกแก้วบารมี เสด็จมาตกยังวัดปากน้ำ มีทั้งหมด 3 ดวง ปัจจุบัน บรรจุในรูปเหมือนยืน หลวงพ่อสด ท่านบอก ลูกแก้ว นี้เลี้ยงคนได้ทั้งวัด ปรากฏว่าเป็นความจริง ดังท่านบอก

    3. พลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง ได้รับ ลูกแก้วบารมี จักรพรรดิ์จากหลวงปู่ ชุ่ม เป็นลูกแก้วประจำตระกูล ทำให้วัดเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก

    ผู้ค้นพบดวงแก้วกายสิทธิ์

    พระมงคลเทพมุณี หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ ได้เป็นผู้ค้นพบดวงแก้วกายสิทธิ์ ด้วยญาณทัสสะวิชาธรรมกาย ท่านเป็นดังพระโพธิสัตว์มีบริวารติดตามเป็นจำนวนมาก ท่านได้ให้ความรู้โดยละเอียดเกี่ยวกับดวงแก้วกายสิทธิ์

    ในดวงแก้วนั้นมีอะไร ท่านได้บอกว่าในดวงแก้วนั้นมีกาย อาศัยอยู่ เป็นกายละเอียดมองด้วยตามนุษย์ไม่เห็น ต้องมองด้วยญาณทัสสนะของธรรมกาย หรือทิพยจักขุ จึงจะเห็น เป็นกายขาวใสแต่งกายดังตัวละคร เรียกว่า กายสิทธิ์

    ความสำคัญของกายสิทธิ์ หลวงพ่อได้บอกว่า "กายสิทธิ์ช่วยผู้มีบารมีธรรม ให้การคุ้มครองรักษา ไม่ให้ผู้เป็นเจ้าของต้องเป็นอันตราย ป้องกันไม่ให้เจ็บไข้ ดูแลการบำเพ็ญเพียรสร้างบารมี ให้ผู้ครอบครองสมบูรณ์ ทั้งทางโลก และ ทางธรรม
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    ลักษณะแก้วกายสิทธิ์มีรูปร่างอย่างไร

    แก้วกายสิทธิ์มีลักษณะขาวใส เป็นหินผลึก 6 เหลี่ยมสั้นบ้างยาวบ้างเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ภาษาบาลีในพระไตรปิฏกหินผลึก หินชนิดนี้เกิดขึ้นมาในโลก มีอายุ ยาวนานนับ ล้าน ๆ ปี บางก้อนน้ำพัดพา จนกลมดังก้อนกวดก็มี หินชนิดนี้มักเกิดและพบ บริเวณเหมืองแร่ทองคำ เหมืองแร่ เพชร พลอยรัตนชาติ อันถือว่า เป็นทรัพย์แผ่นดิน มีเทวดารักษาอยู่ มีความแข็งคือ 7 นำมากลึงกลม เป็น รูป ไข่ หรือรูปดอกบัว
    เรียกว่า "รัตนปทุมกายสิทธิ์" นิยมอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบนยอดสูงสุดของฉัตร ของพระธาตุเจดีย์ ต่าง ๆ และยอดฉัตรของเจ้าฟ้ามหากษัตริย์มาตั้แต่ยุคโบราณ ถือว่าเป็นดวงแก้วกายสิทธิ์คู่บัลลังก์เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน คู่บ้านคู่เมือง ซึ่งแก้วเหล่านี้วันดี คืนดี ก็จะเปล่งแสงสว่างเป็นดวง ลอยไปมาหากัน ที่เรียกว่า "แก้วเสด็จ"

    เรื่องแก้วบารมี อัญมณี รัตนชาติ เป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง

    มีคติความเชื่อต่าง ๆ กัน ไป ในประเทศไทยเรานิยมรัตนชาติที่เรียกว่า แก้วเก้าประการ หรือนพรัตน์ ถือเป็นสิ่งที่มีมงคล ถือเป็นของคู่บุญญาบารมีเจ้าฟ้า พระมหากษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดิน เจ้านายชั้นสูง ตลอดจนขุนนางมาทุกยุคสมัย

    แสดงให้เห็นว่า แก้วบารมี รัตนชาติมักอยู่กับผู้มีบุญวาสนา มีบารมี ถือว่าเป็นสิ่งมงคล มีกายสิทธิ์ รักษา ผู้ได้ครอบครองจะได้รับความสุขกาย สุขใจ ความเจริญรุ่งเรือง เป็นอันมาก ถือเป็นสิ่งเสริมบารมีแก่ผู้มีวาสนา คนบาปหนาอาภัพ ยากที่จะมีแก้วบารมี รัตนชาติกายสิทธิ ติดตัว

    ในทางคัมภีร์ทางพุทธศาสนา ในหนังสือปฐมสมโพธิกถา ได้กล่าวถึงเจ้า ชายสิทธัตถกุมาร เจริญพระชนพรรษาได้ 7 ขวบ พระราชบิดา โปรดให้ ขุดสระโบกขรณี เพื่อให้พระราชกุมารเล่นน้ำ พระอินทร์ทราบเหตุก็ให้พระเวสสุวรรณเทพบุตร ลงมาเนรมิตสระซึ่งล้วนสำเร็จไปด้วยแก้ว กายสิทธิ์ 7 ประการ ในผนังสระทั้ง 4 ทิศ ก่อด้วยอิฐแก้ว เขื่อนก็เป็นแก้ว 7 ประการทั้งรอบสระ บันไดก็ทำด้วยแก้วประพาฬ สิ่งพิเศษคือ เนรมิตรเรือแก้วมณีบัลลังก็แก้วประพาฬ ปักฉัตรแก้วมณี 7 ประการ หรือ ในพระเวสสันดรชาดก ก็กล่าวถึง ฝนแก้ว 7 ประการ ตกลงมาเป็นของคู่บุญบารมีของพระเวสสันดรพระบรมโพธิสัตว์

    บุคคลสำคัญที่มีดวงแก้วกายสิทธิ์

    ในสมัยพุทธกาล โชติกะเศรษฐี เป็นผู้มีบุญมากพระมีสมบัติกายสิทธิ์มากมาย มีบุญวาสนาเป็นอยู่ดีกว่า พระเจ้า อชาติศัตรู เพราะที่อยู่ของโชติกะเป็นสมบัติรัตนชาติ ล้วนไปด้วยแก้วกายสิทธิ์ อดีตชาติท่านเคยถวาย ดวงแก้วบารมีจักร์พรรดิ์ กลมใหญ่เท่าลูกแตงโมแด่พระบรมสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยนั้น พอเกิดมาในยุคพุทธกาลจึงมีสมบัติจักรพรรดิ์แก้ว กายสิทธิผุดจากพื้นปฐพี เป็นคฤหาสห์ ปราสาทแก้วผลึก ภายในล้วน อุดมสมบูรณ์ไปด้วยรัตนชาติ ดวงแก้วกายสิทธิ์ สว่างไสวเย็นอกเย็นใจมีแต่ความสุขสำราญดียิ่งกว่าราชสมบัติของพระเจ้าอชาติศัตรู

    พระนางละเวง เจ้าผู้ครองเมืองลังกา มีแก้วกายสิทธิชื่อตราราหู เป็นของคู่บุญบารมีในเวลาเช้า มีสีรุ้ง ตอนเที่ยง มีสีขาวใส ตอนบ่ายมีสีออกเหลือง พอตกค่ำมีรัศมีเหมือนแสงไฟ เป็นแก้วกายสิทธิ์ ดวงวิเศษถ้านำติดตัวไป ฝนตกไม่เปียก และถ้าเก็บไว้ในห้องนอนก็ทำให้สดชื่นสุขสบาย ถ้านำออกศึกสงครามก็ช่วยให้แคล้วคลาดปราศจากคมอาวุธใด ๆ ไม่กล้ำกลาย

    เรื่องแก้วกายสิทธิ์เปลี่ยนสีได้ นี้มีของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (นวม) เป็นพระแก้วบารมีเปลี่ยนสีได้

    สมัยกรุงศรีอยุธยา เจ้าพระยาโกษาปาน ไปฝรั่งเศส ได้เห็นพระเจ้าหลุยส์ที่14
    เวลาออกขุนนาง จะมีรัศมีสีแสงแก้วกายสิทธิจับพระองค์ สีต่าง ๆ กัน
    วันหนึ่งเสด็จประพาสอุทยาน ทรงม้าสีขาวเป็นราชพาหนะ ประดับเครื่องม้าด้วยแก้วกายสิทธิ์ต่าง ๆ และมีดวงแก้วกายสิทธิ์ดวงโตเท่าผลหมาก ผูกห้อยคอม้าพระที่นั่ง

    แสงจากดวงแก้วนั้นจับพระองค์และม้าทรงสว่างไสวมาก
    ท่านได้ตรัสถามว่าที่กรุงศรีอยุธยามีดวงแก้วกายสิทธิ์ดวง โตๆ แบบนี้หรือไม่
    พระยาโกษาปาน ตอบว่า ตนเคยเห็นของพระนารายณ์มหาราชมีดวงแก้วกายสิทธิ์

    ดวงโตเท่าไข่เป็ด ดวงหนึ่ง มีแสงสว่างนวลใสในยามค่ำคืน
    ในสมัยพระองค์ มีพระบารมีมากเจ้าเมืองมิลลา มีความสวามิภักดิ์ แต่งจานแก้วหุ้มแสรกทองประดับมรกต และแหวนแดง ทั้งปวงร้อยยี่สิบพลอย เข้ามาถวาย ปีเดียวกันพระยาตุกสาก์ ก็แต่งพลอยมรกตลูกโตมาถวาย นอกจากนั้น นางพระยาอาแจ ก็แต่งแหวนแก้วกายสิทธิ์ขาวใสเท่าผลมะขามป้อมมากถวาย นับว่าปีนั้นมีชาวต่างชาติมาทูลเกล้าถวายแก้วบารมีมณีมีค่าเป็นประวัติการณ์

    มีเรื่องกล่าวว่า มาร์โคโปโล ได้บอกเล่าว่ากษัตริย์เมืองลังกา มีอยู่ 1 ดวง ขนาด 1กำมือ มีความใสบริสุทธิ์ มีรัศมีสว่างไสว ความงาม ความวิเศษ ของดวงแก้วนี้ได้แพร่ไปถึงพระกรรณของพระเจ้ากุบไลข่าน (พระเจ้าหงวนสีโจ้วฮ่องเต้) เกิดชอบพระทัยได้ส่งทูตไปขอซื้อ แต่กษัตริย์ลังกาไม่อาจขายให้ได้

    เรื่องแก้วกายสิทธิวิเศษขนาดใหญ่ในสมัยโบราณเห็นจะมีอยู่มาก เพราะมีเรื่องเล่าหลายแห่ง

    อย่างกษัตริย์เกาะสุมาตรา ก็มีดวงแก้วบารมี กายสิทธิ์ ดวงขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 5 นิ้ว เวลากลางคืนส่องแสงสว่างโชติช่วง พระองค์จะถือดวงแก้ววิเศษนี้ติดกายเสมอ และได้ใช้ถูพระพักตร์ทุกวันซึ่งเชื่อกันว่าทำให้พระองค์ดูเป็นหนุ่มเสมอ แม้พระองค์มีพระชนมายุจะกว่า 90 พรรษา ก็ยังดูเปล่งปลั่งสดชื่นอยู่เสมอ

    แก้วบารมีกายสิทธิ์ขนาดใหญ่

    ทางประเทศพม่าเคยขุดค้นพบก้อนหินแก้วกายสิทธิ์ขนาดใหญ่ ต่อมาพระเจ้าจักรพรรดิ์จีนได้ไปครอบครอง ทรงเจียรนัยเป็นดวงแก้วกลมใหญ่ที่สุดในโลก มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 12 นิ้ว ต่อมาราชบังลังจีนหมดบุญล่มสลาย ดวงแก้วจักรพรรดิ์ดวงนี้จึงตกทอดเป็นสมบัติของประเทศ สหรัฐอเมริกา พิพิธภัณฑ์สมิชโซเนียน จึงทำให้ประเทศอเมริกามีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก

    ยังมีแก้วบารมีกายสิทธิ์ ของ ยีน ดิกชั่น ซึ่งเธอได้รับมาจากชาวยิปซี และทำให้เธอมีชื่อเสียงโด่งดัง โดยอาศัย แก้วบารมีนี้รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ในอนาคตได้

    ในจีนนั้นตำนานเซียนทั้ง 8 ของจีน ได้กล่าวถึงหลีเล่ากุน มีดวงแก้ววิเศษขนาดเท่าผลส้ม มีแสงเปล่งรัศมีงามมาก ใช้แก้วนี้ดูภาพต่าง ๆ ตามความเป็นจริง

    ในฝ่ายมหายานมีพระพุทธรูปตรีกาย องค์กลางจะนั่งสมาธิในพระหัตถ์มีดวงแก้วกายสิทธิอยู่เสมอ

    ในเมืองไทยได้มีการพบ แก้วอมชาน ซึ่งเป็นแก้ววิเศษเจียรนัยจากหินแก้วมณีโป่งข่ามชนิดใสบริสุทธิ์ ขุดพบได้ที่เชียงแสน เพราะเป็นอาณาจักรเก่าแก่ เมื่ออดีตเจริญรุ่งเรื่องมาก มีความอุดมสมบูรณ์ทุกประการ พระศาสนาก็เจริญถึงขีดสุด เพราะอาณาจักรเชียงแสนได้นำแก้วบารมี กายสิทธิ์มาสร้างเป็นพระพุทธรูปบรรจุไว้ในพระธาตุเจดีย์มากมาย และทำเป็นดวงแก้วใสกลม ไว้บนยอดพระเจดีย์บ้าง ทำเป็นดอกบัวตูม บนเศียรพระพุทธรูป เป็นจำนวนมาก เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
     
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อได้กล่าว ถึงความสำคัญ แห่งดวงแก้วมณีต่าง ๆมาแล้วนั้น ก็จะได้
    กล่าวถึงพระแก้วบารมีที่สำคัญอีกหลายองค์ ดังนี้

    พระแก้วดอนเต้า

    มีตำนานกล่าว ณ กุกุตตนคร มีพระเถระองค์หนึ่ง เป็นศิษย์แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้จุติจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ลงมายังโลกมนุษย์ เมื่อถึงกาลเจริญวัยขึ้น ได้บรรพชาและอุปสมบทโดยตั้งอยู่ในสมณเพศจนได้ขนานนามจากผู้คนทั้งหลายว่าพระมหาเถระ

    ในขณะนั้นได้มีอุบาสิกาผู้หนึ่งซึ่งมีศรัทธาในบวรพุทธศาสนา รับเป็นผู้อุปัฏฐากให้แก่พระมหาเถระเจ้า ท่านมีนาม ว่า สุชาดา ซึ่งในอดีตเป็นเทวดาผู้ประเสริฐในสรวงสวรรค์ จุติมาเพื่อคอยรับใช้พระมหาเถระแลกิจแห่งพระศาสนา

    นางสุชาดา เป็นผู้มีอาชีพปลูกแตงโมขาย อยู่มาวันหนึ่งพระมหาเถระได้ดำริคิดจะสร้างพระพุทธรูปองค์หนึ่ง เพื่อประดิษฐานยังวัดที่ตนพักอาศัยอยู่ และเพื่อสืบพระศาสนาให้ยั่งยืน แต่ยังมิอาจหาวัสดุที่จะสร้างได้ ในขณะนั้นได้มีพญานาคตนหนึ่ง อาศัยอยู่ในแม่น้ำ วังคะนที (แม่น้ำวังในปัจจุบัน) ได้ทราบความว่าพระมหาเถระคิคจะสร้างพระพุทธรูป จึงเกิดศรัทธา ได้ดำลงไปยังนครบาดาล ซึ่งเป็นที่อยู่แห่งตน จากนั้นได้นำลูกแก้วมรกตขึ้นมา แล้วได้นำลูกแก้วมรกตนั้นไปใส่ไว้ในหมากเต้ง (แตงโม) ซึ่งอยู่ในไร่แตงโมของนางสุชาดา

    รุ่งขึ้นนางสุชาดาได้ตรงไปยังไร่เพื่อเก็บแตงโมไปขาย ยังตลาดอย่างเช่นทุกวัน ขณะเก็บแตงโมไปขายยังตลาดอยู่นั้นพลัน นางฯ ก็มองไปเห็นแตงโมผลหนึ่ง ที่มีสีสันและลักษณะใหญ่กว่าแตงโมผลอื่น เป็นไปตามเทวะบันดาล นางสุชาดาจึงนำแตงโมลูกที่สวยงามนั้น ไปถวายพระมหาเถระ เมื่อพระมหาเถระรับแตงโมนั้นแล้ว จึงจัดการผ่าแตงโมนั้นออก ทันทีที่แตงโมถูกผ่าออก ก็มีสิ่งอัศจรรย์ อยู่ภายในเป็นลูกแก้วมรกตลูกหนึ่ง มีรัศมีงดงามยิ่งนัก

    หลังจากได้ ลูกแก้วมรกต นั้นแล้วพระมหาเถระจึงคิดจะแกะสลักลูกแก้วมรกตนั้นให้เป็นพระพุทธรูป แต่พยายามแกะเท่าใดก็มิอาจเป็นผลสำเร็จ เพราะอุปกรณ์ที่นำมาแกะนั้นหาได้ระคายเคืองผิวแม้แต่น้อย สร้างความแปลกใจแก่มหาเถระเป็นอันมาก

    อยู่มาวันหนึ่งขณะที่พระมหาเถระนั่งพิจารณาลูกแก้วมรกตอยู่นั้น ได้มีชายแก่คนหนึ่งตรงเข้ามาที่หน้ากุฏิ พร้อมกับเอ่ยปากถามพระมหาเถระเจ้าว่า" ท่านกำลังทำอะไร" พระมหาเถระจึงตอบว่า "กำลังหาวิธีที่จะแกะแก้วมรกตนี้ให้เป็นพระพุทธรูป" แต่หาวิธีเท่าใดก็มิอาจเป็นผลสำเร็จ

    ชายแก่ผู้นั้นจึงรับอาสาที่จะแกะพระให้จากดวงแก้วมรกต โดยอ้างตนว่าพอจะมีความรู้ในการแกะพระบ้าง ซึ่งพระมหาเถระก็อนุญาติให้ทำการแกะ ด้วยความโสมนัสยิ่ง

    หลังจากตกลงกันแล้วพระมหาเถระ ได้เข้าไปในกุฏิเพื่อจัดหาเครื่องมือที่ใช้ในการแกะสลักลูกแก้วนั้น

    แต่เมื่อพระมหาเถระกลังออกมา ก็เกิดเหตุอัศจรรย์ เห็นเพียง พระพุทธรูปแก้วมรกตงดงามวางอยู่ แต่ไม่เห็นชายแก่ผู้นั้นแล้ว

    "หรือชะรอยพระอินทร์แลเทวดาคงลงมานิมิตให้อย่างแน่นอน"

    พระมหาเถระคิด พระแก้วมรกตองค์นี้มีความงดงามเป็นอย่างมาก สีสันวรรณะผ่องใส ทำให้กิตติศัพท์ความงามขององค์พระแก้วแพร่สะพัดไปในหมู่ประชาชนจนทั่วเมือง บรรดาเหล่าประชาชนต่างพากันมาสักการะบูชาเป็นอันมาก ส่วนพระมหาเถระและนางสุชาดา ก็พร้อมกันนิมนต์พระภิกษุสงฆ์ มาร่วมสมโภชองค์พระแก้วมรกตอย่างมโหฬาร และได้ขนานนามวัดที่อยู่ของตนนั้นว่า วัดพระแก้วดอนเต้า จนกระทั่งปัจจุบัน

    ต่อมาในสมัยนั้นเจ้าผู้ครองนคร กุกุตตนคร ไร้ทศพิธราชธรรม เชื่อคำยุยงของเหล่ามารศาสนา ซึ่งกล่าวหาว่าพระมหาเถระและนางสุชาดาประพฤติผิดในศีลข้อกาเมฯ ร่วมกัน จึงมีราชโองการให้เพชรฆาตนำตัวของนางสุชาดา ไปประหารชีวิต โดยมิมีการสอบสวนไตร่ตรองใด ๆ ทั้งสิ้น

    เมื่อนางสุชาดาถูกนำไปยังหลักประหาร ริมฝั่งแม่น้ำวังคะนที (แม่น้ำวัง) นางจึงคิดว่าพระราชาไม่มีธรรม จึงตั้งสัตยาธิฐานไปว่า ถ้าหากนางฯ ได้กระทำผิดร่วมพระมหาเถระแล้ว ก็ขอให้เลือดนี้ไหลทั่วปฐพี หากนางฯ มิได้กระทำผิดแล้วก็ขอให้เทวดาฟ้าดินโปรดรับรู้อย่าให้เลือดของข้าฯ นี้ตกต้องลงสู่พื้นแม่พระธรณีเป็นอันขาด สิ้นคำสัตยาธิฐาน เพรชฆาตก็ลงดาบฟันทันที เมื่อนั้นเลือดของนางสุชาดา ก็มิได้ตกสู่พื้นดินเลย สร้างความตระหนกตกใจให้แก่ผู้คน เหล่าเสนาข้าราชบริพารเป็นอันมาก เมื่อการณ์เป็นเช่นนั้นจึงได้นำความขึ้นกราบทูลเจ้าผู้ครองนครฯ เมื่อทรงทราบความก็เกิดความโทมนัส เป็นอย่างยิ่ง
    ลุกขี้นจากพระแท่นบัลลังก์ล้มลงกระอักเลือดตาย ณ บัดนั้น

    ฝ่ายพระมหาเถระ ด้วยความเสียใจจึงหนีออกจากวัดพระแก้วดอนเต้าโดยอัญเชิญ พระแก้วมรกตดอนเต้า มาประดิษฐาน ณ วัดพระธาตุลำปางหลวงจนถึงปัจจุบัน
     
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระแก้วบารมี ที่สำคัญ แห่งเมืองอุบลราชธานี

    พระแก้วบุษราคัม

    เป็นพระแก้วพุทธปฏมากร ปางมารวิชัยสมัยเชียงแสน แกะสลักจากแก้วบุษราคัม
    ตามตำนาน เล่ามาว่า พระวรราชภักดี (พระวอ) พร้อมด้วยบุตรหลานของพระตา คือเจ้าคำผง เจ้าทิดพรหม และเจ้าก่ำ บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งเมืองอุบลราชธานี ได้เชิญพระแก้วบุษราคัมมาจากกรุงศรีสัตนาครหุต (เวียงจันทน์) เดิมทีพระแก้วบุษราคัมประดิษฐานอยู่ที่บ้าน ดอนมดแดง และได้อัญเชิญมาประดิษฐานอยู่วัดศรีอุบลรัตนาราม พร้อมทั้งได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัม เป็นองค์ประธานในพิธีอันสำคัญยิ่ง ทางพระศาสนา และถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นพระแก้วบารมีคู่บ้านเมือง สืบมาแต่โบราณกาล ในปัจจุบันในเทศกาลสงกรานต์ของทุกปี ชาวอุบลจะร่วมใจกันอัญเชิญพระแก้วบุษราคัมแห่ไปรอบเมืองอุบลฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนได้สักการะบูชา สรงน้ำกันโดยถ้วนหน้าเป็นสิริมงคลแก่ตนเป็นอย่างยิ่ง

    สำหรับประวัติตำนานการสร้างโดยละเอียด ขอบารมีคุณพระรัตนตรัยอันประมาณมิได้ ขอให้ได้ทราบประวัติครบถ้วนทุกประการเทอญ

    ก็จะนำมากล่าวในภายภาคหน้าต่อไป
    <!-- / message -->
     
  13. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระแก้วขาวเพรชน้ำค้าง

    พระแก้วบารมีองค์นี้ เป็นพระปางสมาธิสูง 17 ซ.ม. ทำด้วยแก้วผลึกสีขาว ท่านผู้รู้ คือ หม่อมเจ้าภัทรดิส ดิศสกุล สันนิษฐานว่า ดูจากพุทธศิลป์ เป็นพระอยู่ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น

    เจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสโส อ้วน) ได้ควบคุมการก่อสร้างพระอุโบสถวัสุปัฏนาราม ตั้งแต่ พ.ศ. 2460-2473 เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้รวบรวมพระพุทธรูปเก่าแก่จำนวนมาก มีพระปางต่าง ๆ จากหลายที่หลายแห่ง เช่นพระพุทธรูปหินสมัยลพบุรี 3 องค์ และมีสิ่งอื่นอีกเป็นจำนวนมาก พระแก้วขาวองค์นี้ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จถือเป็นพระแก้วบารมี แห่งองค์ท่าน ท่านได้มาอย่างไร ไม่ปรากฏชัดเจน

    ในช่วงปี พ.ศ. 2485 ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านมาจำพรรษาที่วัดสุปัฏนาราม ท่านได้มอบพระแก้วขาวองค์นี้ ให้เป็นพระแก้วบารมีศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติของวัดสุปักนาราม เพื่อเป็นพระแก้วคู่เมืองอุบลราชธานีสืบไป

    ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้มอบนโยบาย และวางหลักเกณท์แก่คณะสงฆ์ เช่น

    การอัญเชิญพระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง ลงมาให้ประชาชนสรงน้ำขอพรปีใหม่สากล คือ 31 ธันวาคม ถึง 2 มกราคม ของทุกปี

    การอันเชิญพระแก้วบุษราคัม วัดศรีอุบลรัตนาราม ลงให้สาธุชนสรงน้ำของพรปีใหม่ของไทย คือ 13 เมษายนถึง 17 เมษายน ของทุก ๆ ปี

    พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง เนื้อองค์พระเป็นแก้วผลึกสีขาวใน ซึ่งความใสขององค์พระประดุจน้ำค้างยามเช้าที่เปล่งแสงแวววาวในตัวเองดุจประกายเพชร จึงเรียก "พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง " ฉลององค์ด้วยทองคำเป็นบางส่วน เพื่อความสวยงามและทรงคุณค่า

    พระแก้วรัตนมงคลนี้ เจ้าอาวาสวัดสุปัฏนาราม ได้กล่าวว่ามีนักโบราณคดีหลายฝ่ายสันนิษฐานดูจาก พุทธศีลป์ องค์พระคาดว่า "พระแก้วขาวเพชรน้ำค้าง" น่าจะเป็นพระรุ่นเดียวกับ "พระแก้วบุษราคัม" โดยยึดหลักตำนานการมาตั้งถิ่นฐานของชาวเมืองอุบลฯ เมื่อ 200 ปี เศษมาแล้วนั้น บรรพบุรุษผู้มาสร้างเมืองได้อัญเชิญมาเพื่อเป็นสิริมงคลในการเดินทางอันยาวไกล และเป็นขวัญกำลังใจในการสู้รบกับศัตรูผู้รุกรานจนสร้างบ้านแปลงเมืองจนเป็นหลักแหล่งทุกวันนี้
    <!-- / message -->
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    จากคุณแห่งพระรัตนตรัย อันเป็นแก้วมณี แห่งพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ อันประเสริฐยิ่งในโลกธาตุ ทำให้ได้รับทราบประวัติพระแก้วบุษราคัม โดยละเอียดดังนี้


    พระแก้วบุษราคัม เป็นพระแก้วคู่บ้านคู่เมืองมาก่อนตั้งเมืองอุบลฯ

    เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ศิลปกรรมเชียงแสน แกะสลักจากแก้วบุษราคัม หน้าตัก กว้าง 3 นิ้ว สูง 5 นิ้ว เป็นสมบัติของเจ้าปางคำ ราชวงศ์จากเมืองเชียงรู้แสนหวีฟ้า ที่แตกหนีภัยสงครามจากพวกฮ่อ มาเวียงเชียงรุ้ง และมาสร้างเมืองขึ้น ชื่อ นครเขื่อนขันกาบแก้วบัวบาน การมีพระแก้วบุษราคัม มีความเกี่ยวเนื่องกับพระแก้วมรกต เนื่องด้วยสมัยพระเจ้าพรหมมหาราชแห่งโยนกเชียงแสนนครเงินยาง มีพระแก้วมรกตไว้ในพระนคร เพื่อสืบทอดอายุพระศาสนา ประกอบด้วย แก้ว 3 ประการ

    พุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ พระสังฆรัตนะ

    เมื่อดินแดนแห่งทรัพย์แผ่นดิน มีมณีแห่งแม่พระธรณี อยู่เป็นจำนวนมาก ทั้ง แดนดิน สิบสองปันนา ล้านนา ล้านช้าง ซึ่งมีลำธารอุดมสมบูรณ์ด้วยรัตนชาติหลากหลาย จึงมีพระพุทธรูปที่สร้างจากแก้วมณี เป็นจำนวนมาก

    พระแก้วบุษราคัม ก็เกิดจากการสร้างพระพุทธปฏิมาเพื่อสืบพระศาสนาให้ยั่งยืนครบถ้วน 5000 ปี จึงสร้างพระให้งดงาม ด้วยแก้วมณีอันมีค่า

    พระแก้วบุษราคัมมีสีเหลืองผ่องผุดด้วยพุทธบารมี ประวัติแห่งผู้สร้างก็ลางเลือนไปกับกาลเวลา พระแก้วนี้ได้ตกทอดมาถึงพระเจ้าตาผู้เป็นลูกพระเจ้าปางคำ และ ในปีพ.ศ. 2314 นครเขื่อนขันกาบแก้วบัวบาน ได้ถูกเจ้าสิริบุญสารแห่ง เวียงจันทร์ ยกทัพมาตี พระเจ้าตาได้สู้ปกป้องบ้านเมือง และได้สิ้นพระชนชีพ ในสนามรบ พระเจ้าวอ และพระเจ้าคำฝางจึงอพยพหนีศึก มาสร้างบ้านแปลงเมืองที่ บ้าน ดอนมดแดง จ. อุบลราชธานี ซึ่งได้อัญเชิญพระแก้วบุษราคัม มาด้วย และขออยู่ในขอบขันธสีมาแห่งพระเจ้ากรุงธนบุรี โดยท่านได้สร้างวัดหลวงไว้ประดิษฐานพระแก้วบุษราคัม

    จนถึงรัชสมัย แห่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สั่งข้าหลวงมากำกับดูแลตามหัวเมือง ทำให้ราชบุตรหนูคำ เจ้าเมืองสมัยนั้น เกรงว่าข้าหลวงจะแสวงหาของสำคัญของเมืองไปเป็นของสำคัญของตนจึงนำพระแก้วฯ ออกจากวัดหลวงไปซ่อนไว้ที่บ้าน วังกางฮุง (บ้าน หนึ่งในอุบล อ. วารินชำราบ) จนกระทั่งอุปราชโท สร้างวัดศรีอุบล มีญาท่านเทวธัมมี ซึ่งรัชกาลที่ 4 ให้ความเคารพเป็นเจ้าอาวาส พระอุปราชโท จึงอัญเชิญพระแก้วบุษราคัม มาไว้ที่วัดศรีอุบลรัตนาราม
    <!-- / message -->
     
  15. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระแก้วสำคัญอีกองค์ที่ได้ค้นพบ ในยุคกึ่งพระพุทธศาสนา 2552 นี้ มีความเกี่ยวข้องกับราชวงค์เวียงเชียงรุ้งแสนหวีฟ้า สร้างจาก แก้วมณีมีค่านาม ลาพิชลาซูลี ได้ตกทอดมาอยู่ที่ เมืองอุบลราชธานี เป็นพระแก้วที่ในอดีตเราแลท่านทั้งหลายในคณะพระธาตุแก้วมณีโชติ ได้ร่วมสร้างเพื่อสืบพระศาสนา มีความงดงามมาก ภายภาคหน้าจะนำรูปมาให้ท่านเจริญศรัทธา

    พระแก้วโกเมนทร์ ที่สำคัญ ในกึ่งพุทธกาล อีกองค์หนึ่ง สร้างในยุครัตนโกสินทร์ โดยพระเถระสำคัญแห่งยุค

    พระแก้วบารมี องค์นี้ พระนามว่า "พระพุทธรัตนสัมมาบุษราคัมมิ่งมงคล"


    พระเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (วัดบรมนิวาส) กรุงเทพมหานคร
    ตรวจราชการคณะสงฆ์ เจ้าประคุณสมเด็จได้พักจำวัด ณ. วัดสิมนาโก ต.นาโก หมู่ 7 อ. กุฉินารายณ์ จ. กาฬสินทร์ ในสมัยหลวงปู่พระครูทิศาลศิลปะยุต (กงมา ) เป็นเจ้าอาวาส ท่านได้พักอยู่ 3 วัน ได้มอบพระแก้วโกเมนทร์ ประดับพลอยบุษราคัม (ทรงเครื่อง) ขนาดหน้าตัก 21 ซม. หนัก 12 กิโลกรัม 7 ขีด ฐานพระทำด้วยงาช้าง มีพลอยบุษราคัม สีเหลืองประดับองค์พระจำนวน 145 เม็ด มีอักษรสลักองค์พระมีความว่า

    พระพุทธรัตนสัมมาบุษราคัมมิ่งมงคล เป็นพระที่ขรัวโต สร้างให้ ขรัวจาด ลูกวัด ปลายปี 2408

    จากประวัติของพระที่ ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จโต พรหมรังสี สร้างนี้ คงจะต้องขอบารมี พระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ให้ทราบโดยละเอียดในพระแก้วบารมีองค์นี้ อีกครั้งหนึ่ง
     
  16. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อได้กล่าวถึงท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ก็ทำให้ได้รับทราบตำนานพระแก้วมณีโชติ โดยสมเด็จโต นิมิต ดังนี้

    ตำนานพระแก้วมณีโชติ


    เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไป 2500 ปี จะเกิดกลียุค มนุษย์รบราฆ่าฟันกันเอง โลกมนุษย์จะพบภัยพิบัติจากธรรมชาติ แผ่นดินจะไหว ลมพายุจะพัดผ่านทำลายทุกสิ่ง ไฟจะลุกไหม้ น้ำจะท่วมเมือง และเกิดโรคระบาดที่ร้ายแรงต่าง ๆ มาทำลายชีวิตทั้งคน สัตว์ ให้ล้มตายเป็นจำนวนมาก คนที่จะรอดพ้นจากภัยทั้งหลาย ต้องมีศีล มีธรรม และมีพระอันเป็นมงคล จากคำอธิฐาน ของพระอริยะเจ้า ที่ทรงคุณแห่งพระรัตนตรัยอันประเสริฐ และยังมีพระแก้วมณีโชติบูชา ก็จะปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง

    ท่านเจ้าประคุณสมเด็จโต ท่านได้นิมิตบอกหลวงปู่ทิพย์ พระอรหันต์แห่งถ้ำเชียงดาว จ.เชียงใหม่ ปัจจุบันท่านได้ละสังขารไปแล้ว ท่านได้อนุญาติให้ท่านพรหมบุตร เปิดเผยเรื่องราวพระแก้วมณีโชติโดยพิศดาร เป็นพระแก้วกายสิทธิ์ที่เทวดาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า โดยท่านได้เล่าว่า

    เมื่อครั้งสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพอยู่ พระพุทธองค์ทรงจาริกประกาศเทศนาธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ ได้เสด็จจาริกมายังถิ่งต่าง ๆ ทรงพยากรณ์ที่ต่าง ๆ มากมายจนมาถึงดอยจอมทอง และดอยน้อย (ปัจจุบันอยู่ในเขต อำเภอจอมทอง เชียงใหม่) ทรงประทานพระเกศาธาตุและรอยพระพุทธบาท อันทรงสมควรและทรงเล็งด้วยพระพุทธญาณว่าต่อไปจะเป็นที่อุดมในธรรม ก็เสด็จต่อมายังดอยกรอม (ปัจจุบันอยู่ในเขต อำเภอ ฮอด เชียงใหม่) พระองค์ทรงกระหายน้ำ จึงให้พระอานนท์ไปตักน้ำที่แม่น้ำระมิงค์ พบพญานาคขวางทางแกล้งทำให้น้ำขุ่น พระพุทธองค์ทรงแสดงอิทธิฤทธิ์ให้พญานาคเคลื่อนไหวไม่ได้ พญานาคจึงยอมแพ้ บันดาลให้น้ำพุ่งออกจากแผ่นดิน เมื่อพระพุทธองค์ทรงเสวยน้ำเสร็จแล้ว พญานาคลดทิฐิมานะขอสมาทานเบญจศีล พระองค์ทรงประทานให้ด้วยความเมตตา พญานาคทรงเลื่อมใสศรัทธามาก จึงควักดวงตาทั้งสองถวายเป็นพุทธบูชา พระพุทธองค์ทรงพยากรณ์ว่า ต่อไปภายภาคหน้าสถานที่นี้จักได้เป็นเมืองปรากฏชื่อนามว่า "พิศดารมหานคร"

    พระพุทธองค์เสด็จลุกขึ้นประทับรอยพระบาทซ้ายเหนือหินก้อนหนึ่ง

    (ปัจจุบันคือพระบาทแก้วข้าว อยู่ที่ อ.ฮอด เชียงใหม่) พญานาคทูลลากลับนครบาดาล ทันใดนั้นดวงตาทิพย์ได้บังเกิดขึ้นแก่พญานาคเป็นดวงตาที่แจ่มใสยิ่งกว่าเดิม
     
  17. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    จำเนียรกาลผ่านมา 1200 ปี มีพระอรหันต์นามว่า พระธรรมราชมีฤทธิ์ศักดามาก เป็นที่เคารพนับถือของเหล่ามนุษย์และพญานาคตลอดจนเทวดาทั้งหลาย พระธรรมราชคิดว่าพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองได้ต้องให้คนทั้งหลายระลึกถึงพระพุทธคุณ จึงคิดจะสร้างพระพุทธรูปองค์เล็กจำนวนมาก จำลองเป็นรูปพระพุทธเจ้าเพื่อให้เป็นที่พึ่งของเหล่ามนุษย์ แต่จะสร้างด้วยทองคำ หรือเงิน ก็จะทำให้มนุษย์เกิดความโลภ ทำอันตรายต่อรูปจำลองของพระพุทธเจ้าได้

    ความคิดนี้ได้ทราบถึง องค์ท่านท้าวมหาพรหม นามว่า "ชินนะปัญจะระ" ท่านจึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวนำเอาแก้วมณีโชติ ซึ่งถือเป็นแก้วกายสิทธิ์ อยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต มาถวายให้พระธรรมราช ท่านจึงให้ช่างแกะสลักในเมืองช่วยกันแกะเป็นรูปจำลองของพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าช่าง ไม่สามารถแกะสลักแก้วมณีโชตินั้นได้ ช่างจึงปรึกษากันด้วยจนปัญญา ความนี้ทราบถึงพระอินทร์ จึงสั่งให้เทวดาประจำวันทั้ง 7 องค์ แปลงร่างเป็นมนุษย์มารับอาสา แกะสลักให้เป็นรูปจำลองพระพุทธเจ้า ด้วยการแกะสลักเป็นพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ ใช้ติดกายแ
    ละองค์ใหญ่ สูงครึ่งคืบไว้ประจำบ้านเมือง เพียงเวลา 7 วัน แกะได้เป็นจำนวน 84000 องค์ เมื่อสร้างเสร็จท่านธรรมราช ได้ประชุมกับเจ้าเมือง และชาวเมือง เพื่อจัดงานทำบุญฉลองสมโภชพระแก้วมณีโชติ เป็นกาลใหญ่

    ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระและพระอินทร์ จึงแปลงร่างเป็นชีปะขาวมาร่วมงานฉลองสมโภชด้วย เมื่อถึงเวลาพระธรรมราชเป็นผู้เจริญพุทธมนต์ ชีปะขาวทั้งสอง เจริญทิพย์มนต์บูชาพระพุทธเจ้า และมีการจุดบ้องไฟ เป็นพุทธบูชานับได้ 108 กระบอก ชาวเมืองพร้อมใจกันจุดบ้องไฟ เมื่อบ้องไฟติด พวกช่างแกะสลักทั้ง 7 และชีปะขาวทั้ง 2 ก็กระโดดขึ้นนั่งบนหัวบ้องไฟ บ้องไฟได้พาเอาร่างเทวดาทั้งหลายสูงขึ้น สูงขึ้น จนหายไปในกลีบเฆม ชาวเมืองจึงรู้ว่าเป็นเทวดาแปลงร่างมาร่วมสร้างพระแก้วมณีโชติ จึงส่งเสียงแซ่ซ้อง สาธุกาล กึกก้องอึงคะนึงไปทั่วเมือง ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ จึงประพรมน้ำพระพุทธมนต์ อวยพรชัย โดยบันดาลให้ฝนทิพย์ตกลงมาทั่วเมือง

    เมื่อเสร็จงานสมโภชแล้วชาวเมืองช่วยกันขุดหลุมลึก 7 ศอก 56 หลุม
    นำเอาพระทั้งหมดใส่ไห 56 ไห ฝั่งในหลุมฝากพระแม่ธรณีเอาไว้ พระธรรมราชขอให้พญานาคชื่อ"พระพญาศรีเสน" เป็นผู้เฝ้ารักษามิให้ผู้ใดมาเหยียบย่ำที่แห่งนี้

    ศาสนาตถาคตผ่านไปกึ่งพุทธกาล พระแก้วมณีโชติจะปรากฏขึ้นมาให้มนุษย์สักการะบูชากราบไหว้ เป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวของคนดีมีศีลธรรมที่เคารพนบถือพระพุทธเจ้า มนุษย์ที่ได้ครอบครองพระแก้วมณีโชติจะปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวง มีความสุขสมบูรณ์ เจริญด้วยโภคทรัพย์ เทวดาปกปักษ์คุ้มครองรักษา เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไปจนครบถ้วน 5000 ปี ตามพุทธพยากรณ์
     
  18. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    พระมหาเถระท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังษี

    เป็นพระผู้เป็นดังพระโพธิสัตว์โปรดโลก ในสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ในกาลที่ท่านจะสร้างพระสมเด็จ ที่เลื่องลือในพุทธบารมี

    ท่านได้นิมิตพบท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ เมื่อจะทำพิธีการปลุกเสกพระสมเด็จให้ถูกต้องตามหลักแห่งโลกทิพย์ และท่านได้พบทางนิมิตกับท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระเมื่อครั้งธุดงค์ไปที่กำแพงเพชร ท่านฯ ได้สอนคัมภีร์ธรรมศาสตร์ และพิธีการปลุกเสกพระสมเด็จให้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เลื่องระบือไปทั่วทิศ พร้อมทั้งได้บอกเล่าตำนานพระแก้วมณีโชติ ให้ท่านสมเด็จโต ไปนำเอาพระแก้วมณีโชติมา 5 ไห เก็บรักษาไว้ ภายภาคหน้าจะช่วยเกื้อกูลบำรุงพระพุทธศาสนาให้ครบถ้วน 5000 พรรษา

    ท่านสมเด็จโตพร้อมศิษย์ จึงเดินทางมายังเมื่องพิศดารมหานคร และได้พบกับพญานาค ที่เป็นผู้รักษาพระแก้วมณีโชติ พญานาคได้พ่นไฟพิษเข้าใส่ท่าน ท่านเจ้าประคุณสมเด็จจึงภาวนาแผ่เมตตา นึกถึงท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ไฟพิษไม่อาจทำอันตรายท่านได้ ท่านได้บอกแก่พญานาคตนนั้นว่า ท่านท้าวมหาพรหมชินนะปัญจะระ ให้มาเอาพระแก้วมณีโชติ 5 ไห ถ้าท่านพญานาคไม่เชื่อก็ให้เอ่ยนาม "ชินนะปัญจะระ" เมื่อพญานาคฟังก็รู้ว่าท่าน ชินนะปัญจะระ ให้มาจริง จึงได้มอบพระแก้วมณีโชติ ให้ 5 ไห สมเด็จโตท่านนำมาเก็บรักษาไว้ที่กุฏิท่าน ให้วิญญาณหญิงสาวเป็นผู้เฝ้าดูแล จึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้
    ด้วยเกรงกลัวในอิทธิฤทธิ์ของวิญญาณหญิงสาวนั้นที่ชอบ ปรากฎตัวให้คนเห็น

    ก่อนสมเด็จโตท่านจะมรณภาพท่านได้นำเอาไหทั้ง 5 ใบไว้บนเพดาลโบสถ์วัดระฆังโดยไม่มีใครรู้ จนเวลาผ่านไป 100 ปี สมเด็จโตได้นิมิตบอก ท่านหลวงปู่ทิพย์ ให้รับรู้ตำนานพระแก้วมณีโชติ และได้มอบพระแก้วมณีโชติทั้งหมดให้ ท่านหลวงปู่ทิพย์ เป็นผู้เก็บรักษา จนถึงกาลที่ท่านจะมรณภาพ ได้ให้ลูกศิษย์ใกล้ชิดเป็นผู้เก็บรักษา และอนุญาติให้เปิดเผยเรื่องราวตำนานพระแก้วมณีโชติ

    พระแก้วมณีโชติ เป็นมหาปูชนียวัตถุสูงสุดประจำพระพุทธศาสนาเป็นที่เคารพกราบไหว้บูชาและเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวของโลกทั้ง 3 มาแต่โบราณกาล และขอเชิญท่านมาสักการะบูชาพระแก้วมณีโชติพระคู่บ้านคู่เมือง 1 ใน 9 องค์ แห่งเมืองพิสดาลนคร ภายในพระเมาลีบรรจุพระสารีริกธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคลสูงสุดในชีวิต ได้ที่บ้านธรรมะโตทุกวันเสาร์ อาทิตย์ เสาร์เวลา 9.00-18.00 น.อาทิตย์ เวลา 9.00-16.00 น.
     
  19. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    จากการได้กล่าวถึงตำนานพระแก้วบารมีที่สำคัญต่าง ๆ มาแล้วนั้น ก็จะกล่าวถึงความสำคัญแห่งแก้วบารมีกายสิทธิ์ ที่ท่านหลวงปู่สด แห่งวัดปากน้ำ ได้ให้ความรู้อันยอดยิ่ง ของแก้วกายสิทธิ์

    กายสิทธิ์ ในวิชาธรรมกาย ท่านเรียกว่า ภาคผู้เลี้ยงมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงมนุษย์มีหน้าที่ เลี้ยงดูพิทักษ์รักษาพวกกายมนุษย์ กายสิทธิ์ มีรูปร่างคล้ายพระพุทธรูปทรงเครื่อง มีเรือนแก้วเป็นที่อาศัย กล่าวโดยย่อมี 3 ขั้น

    1.จุลจักร พร้อมทั้งบริวาร มีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ ที่มีบารมีอย่างต่ำ
    2.มหาจักร พร้อมทั้งบริวารมีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ ที่มีบารมีปานกลาง
    3.บรมจักร พร้อมทั้งบริวารมีหน้าที่เลี้ยงรักษากายมนุษย์ ที่มีบารมีชั้นสูง

    มนุษย์คนหนึ่ง ๆ มีจักรพรรดิทั้ง 3 พร้อมบริวารชุดหนึ่ง ๆ เป็นผู้เลี้ยงรักษาและอาจผลัดเปลี่ยนกันรักษาไปตามคราว ๆ เช่น คราวใดจุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษาก็มีทรัพย์สมบัติและความสุขน้อย

    คราวใดมหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา ก็จะมีทรัพย์สมบัติและความสุขปานกลาง
    คราวใดบรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา ก็จะมีทรัพย์สมบัติและความสุขบริบูรณ์ทุกประการ
    ไม่ได้เลี้ยงรักษาเฉพาะกายมนุษย์เท่านั้น สิ่งไม่มีวิญญาณก็สมบูรณ์ไปด้วย
    เมื่อถึงยุคสมัยของโลกก็เลี้ยงรักษาทั่วไปเป็นสาธารณะ ตามยุคสมัยแห่งความเจริญในธรรมของมนุษย์ และกาลเวลาแห่งพระศาสนาที่จะเจริญรุ่งเรือง กายสิทธิ์ จักรพรรดิ์ ก็จะดูแลโลกให้ได้รับสุขทุกประการ
    <!-- / message -->
     
  20. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,892
    เมื่อกายสิทธิ์จักรพรรดิ์เลี้ยงรักษา โลก

    ถ้ายุคใดสมัยใด จุลจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็มีความสุขน้อย สมบัติและอาชีพต่าง ๆ ก็อัตคัดกันดารไม่สมบูรณ์

    ถ้ายุคใดสมัยใด มหาจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็มีความสุขเป็นมัชฌิมา ทรัพย์สมบัติและเครื่องกินใช้ก็พอปานกลางไม่ฟุ่มเฟือยนัก ไม่กันดารนัก

    ถ้ายุคใดสมัยใด บรมจักรกับบริวารเลี้ยงรักษา โลกก็บริบูรณ์ไปด้วยความสุขทุกประการ ทรัพย์สมบัติ สวิญญาณทรัพย์ อวิญญาณทรัพย์ก็หาได้ง่ายมั่งคั่งสมบูรณ์ไปตาม ๆ กัน ไม่เบียดเบียนกัน

    ทรัพย์ที่มีวิญญาณ ท่านเรียกว่า สวิญญาณทรัพย์ เช่นแก้วกายสิทธิ์ ต่าง ๆ
    ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณ ท่านเรียกว่า อวิญญาณทรัพย์ เช่น เงินทอง ที่สวนไร่นา ตึกรามบ้านช่อง

    แต่สิ่งที่สำคัญคือตัวเราเอง ถ้าเราทำตัวตนให้ดีมีศีลธรรม มีความรู้ความสามารถ เป็นที่พึ่งแก่ตน และคนอื่นได้ ก็มีผู้ต้องกันให้อยู่อาศัยด้วย อยากได้เป็นพรรคพวก ร่วมวงศ์วานด้วย เช่นหญิงเป็นผู้มีความงามแห่งกาย แลใจเป็นที่เรื่องลือ ก็มีเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ส่งเสนาอำมาตย์ไปเชิญมาอภิเษกด้วยท่านเรียกว่ามี สวิญญาณทรัพย์เกิดขึ้นแก่ตัวเอง

    การทำตนให้เป็น สวิญญาณทรัพย์ชั้นดี หรือ เลว ก็ขี้นอยู่กับตัวของตัวเองเป็นสำคัญ ถ้าทำตัวให้มีประโยชน์แก่ผู้อื่น รู้จักสร้างหลักฐาน รู้จักปรับปรุงแก้ไขตัวเอง ไม่ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม เรียกว่ารู้จักสร้างสวิญญาณทรัพย์ให้เกิดแก่ตัวเอง ในสากลโลกนี้ต้องการแต่สิ่งดี ๆ ทรัพย์ในโลกก็ต้องการแต่เนื้อ เยี่ยม ๆ ตั้งแต่เนื้อเงิน เนื้อทอง เนื้อเพชร เนื้อแก้วมณีต้องคัดกันอย่าง ละเอียด จึงถือว่าเป็นของเลิศของประเสริฐแก่ชนทั้งหลาย ดัง แก้วมณีต่าง ๆ พระแก้วบารมีมณีโชติ จึงถือว่าเป็นพระแก้วรัตนอันสำคัญแห่งโลก ควรแก่การ สักการะบูชา แลครอบครองเพื่อความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลก และทางธรรม นิพพานเทอญ
     

แชร์หน้านี้

Loading...