ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    [​IMG]

    ห้องที่ชื่อว่า "ใจ"

    <!-- Main -->ใจ ของเรานั้น
    ไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า
    เมื่อเราใส่อะไรเข้าไปในห้องที่ว่างเปล่านั้น
    สถานภาพของห้องก็จะเปลี่ยนไปทันที
    เป็นต้นว่า
    เรามีห้องว่าง
    เปล่าอยู่ห้องหนึ่ง
    เมื่อ - - **

    เราใส่น้ำเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องน้ำ **
    เราใส่พระพุทธรูปเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องพระ **
    เราใส่เครื่องมือปรุงอาหารเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องครัว **
    เราใส่เครื่องนอนเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องนอน **
    เราใส่ชุดรับแขกเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องรับแขก **
    เราใส่บุคคลสำคัญเข้าไป ก็จะกลายเป็นห้องวีไอพี **

    ห้องแห่งหัวใจของเรา
    ก็ไม่ต่างอะไรกับห้องว่างเปล่าที่กล่าวมาข้างต้นนั้นเลย
    ทุกครั้งที่เราบรรจุอะไรเข้าไปในใจ
    ใจของเราก็จะเปลี่ยนสถานภาพเหมือนกัน **

    เราใส่ความเมตตาเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจดี **
    เราใส่ธรรมะเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจบุญ **
    เราใส่ความโกรธเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจร้อน **
    เราใส่ความเลวเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจทราม **
    เราใส่ความกลัวเข้ าไป ก็จะกลายเป็นคนใจเสาะ **
    เราใส่ความเป็นนักสู้เข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจสู้ **
    เราใส่ความขาดสติเข้าไป ก็จะกลายเป็นคนใจลอย **
    **
    เห็นด้วยหรือไม่ว่า
    ใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกาย
    เป็นสิ่งที่คอยออกแบบชีวิตของเราให้เป็นไปอย่างไรก็ได้
    พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า **

    ใจเป็นนาย ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้สร้างสรรค์ ...
    หรือบางทีก็ตรัสว่า จิตฺเตน นียติ โลโก
    แปลว่า โลกหมุนไปตามใจสั่งการ **
    *
    โลกในที่นี้ หมายถึง ชีวิตของเรานั่นเอง
    โลกคือชีวิต จะหมุนซ้าย หมุนขวา หมุนตรงหรือหมุนเอียง หมุนไปข้างหน้า
    หรือว่าหมุนไปข้างหลัง
    ทั้งหลายทั้งปวงนั้นขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของใจทั้งหมดทั้งสิ้น *

    ใจของเราไม่ต่างอะไรกับห้องที่ว่างเปล่า
    เราบรรจุอะไรลงไป
    ชีวิตของเราก็เป็นไปตามสิ่งที่บรรจุนั้น

    ทุกวันนี้ เราเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า
    เราบรรจุอะไร *
    ลงไปในห้องแห่งหัวใจของเราบ้าง
    ความรู้ ความงมงาย
    ความรัก ความโกรธ ความเกลียด
    ความโลภ ความดี ความชั่ว
    ความริษยา ความหน้าด้าน ความสะอาด *
    สว่าง สงบ หรือความตื่นรู้

    ชีวิตจะ เป็นอย่างไร
    รุ่งโรจน์หรือร่วงโรย
    ขึ้นสูงหรือลงต่ำ
    สำคัญที่เราบรรจุอะไรลงไปในใจของเราเอง ...
    *

    *ว.วชิรเมธี *


    ปีนี้ท่านจำพรรษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ ออกพรรษาแล้ว ในเดือน พฤศจิกายน ผมมีนัดเข้าพบกับท่านในเรื่องงาน ไว้ถึงวันนั้น อาจจะได้ข้อคิดดีๆ มาบอกพวกเราชาวทุนนิธิฯ นี้ครับ

    พันวฤทธิ์
    8/6/53
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ธรรมมะจาก bloggang

    หว่านเมล็ดข้าวลงในดิน




    <!-- Main -->[SIZE=-1]<CENTER>[​IMG]</CENTER>[/SIZE]

    "เอาเม็ดข้าวปลูกลงดิน รดน้ำลงไป ทุกเม็ดจะต้องพองจะต้องงอก"

    นี่เป็นประโยคที่หลวงพ่อเทียนเทศน์สอนหมู่พระสงฆ์ในกัณฑ์เทศน์นึงที่ได้ฟังค่ะ

    เมื่อหลายปีก่อน คราวที่ไปกราบหลวงพ่อพิชิต อดีตเจ้าอาวาสวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย (วัดหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) ท่านได้พูดว่า การปฏิบัติธรรมก็เหมือนกับเราเอาตุ่มมาใส่น้ำ หมั่นใส่น้ำลงไปทุกวันๆ วันนึงมันก็เต็ม แต่อยู่ที่เรานั่นแหละ จะเลือกเอาตุ่มขนาดไหน ตุ่มเล็ก หรือตุ่มใหญ่

    เช่นเดียวกับที่เคยอ่านหนังสือของหลวงพ่อชา สุภัทโท ท่านก็ได้พูดทำนองเดียวกันว่า ปลูกต้นมะม่วง ต้องหมั่นรดน้ำพรวนดิน ใส่ปุ๋ย หน้าที่ของเรามีเพียงเท่านั้น ไม่สามารถไปบังคับให้มะม่วงออกดอก ออกลูกได้

    มีเพื่อนนักปฏิบัติ บ่นเสมอว่า "การปฏิบัติไม่ก้าวหน้า ไม่ไปไหนซะที"

    จะรีบเร่ง.. จะเอาก้าวหน้าไปไหน จะอยากเอาให้มันได้เห็นอะไรล่ะคะ ...

    เมื่อก่อนก็เคยเป็นนะ อยากให้มันได้ผล อยากเห็นผลเร็วๆ

    แต่ยิ่งรีบร้อน ยิ่งอยากมันยิ่งทำไม่ได้...

    เรามีหน้าที่สร้างเหตุในปัจจุบันให้ดีเท่านั้น เปรียบเหมือนที่เราหมั่นรดน้ำลงในดิน ที่เราได้หว่านเมล็ดพืชลงไปแล้ว ตอนนี้แหละมันอยู่ที่เราจะรดน้ำบ่อย หรือรดน้ำไม่บ่อย ไม่ค่อยรด... หรือรดมันปีละครั้ง สองปีครั้ง แล้วจะหวังให้เม็ดมันงอกหรือ

    นับตั้งแต่เก้าหันมาเจริญสติ แรกๆ มันก็อาจจะมีต้องบังคับตัวเอง แต่เมื่อทำจนคุ้นชินจนเป็นนิสัยแล้ว ไม่บังคับตัวเอง มันก็คอยเจริญสติของมันเอง ลืมตัวเมื่อไหร่ ก็เอาใหม่ รู้สึกตัวใหม่ ค่อยๆสะสมมันไปทีละน้อย

    เรื่องออกดอก ออกผล จะเร็วจะช้า ไม่ต้องไปกังวลหรอกค่ะ

    แค่ให้ปลูกข้าวด้วยเมล็ดข้าว ไม่ใช่เอาเมล็ดถั่วไปปลูก แล้วเืมื่อไหร่จะได้ข้าว..ก็เท่านั้นแหละ...


    เร่งปฏิบัติกันเน้อ...แต่อย่าเพิ่งเร่งเอาผลจากการปฏิบัติกันเด้อ...เดี๋ยวเข่ามันจะตาย เพิ่นว่าไว้จังซิ

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kaoim&month=04-06-2010&group=23&gblog=17
     
  3. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ธรรมะ-รักษา...................พลังจิต - พลังจักรวาล

    พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
    แสดงธรรมที่กระทรวงศึกษาธิการ
    เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๓๙




    บัดนี้ จะได้แสดงพระธรรมเทศนา พรรณนาศาสนธรรมคำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าด้วยพลานุภาพของพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ที่นำเรื่องนี้มาแสดงก็เพราะเหตุว่า ในปัจจุบันนี้ ชาวพุทธของเรานี่กำลังพากันตื่นพลังใหม่ ซึ่งมีชาวต่างประเทศเขานำมาเผยแพร่ พลังที่เขานำมาเผยแพร่นั้นเรียกว่า พลังจักรวาล

    ทีนี้อะไรเป็นพลังจักรวาล... ในจักรวาลนี้มีสิ่งที่เป็นวัตถุซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ ๔ อย่าง ๔ อย่างนี้ ทางภาษาศาสนาพุทธท่านบัญญัติว่าเป็นธาตุ ๔ ธาตุ ๔ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ในจักรวาลนี้มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ และในกายในใจของเรานี่ก็มีธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ เราอาศัยกายกับใจของเราเป็นหลัก แล้วมาปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตามหลักคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราสามารถที่จะสร้างพลังซึ่งเกิดจากส่วนผสมของธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ให้เกิดมีพลังมหาศาลขึ้นมาได้ เรียกว่า พลังพุทธะ

    พลังพุทธะนี้ก็หมายถึง สภาวะจิตของเรามีสมรรถภาพ มีความเข้มแข็ง เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เมื่อท่านผู้ใดสามารถทำจิตของตนเองให้เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน หมายถึง จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีปีติ มีความสุข มีความเป็นหนึ่ง ผู้นั้นสามารถสร้างพลังขึ้นภายในจิตในใจของตนเองได้

    การสร้างพลังตามแนวทางของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ...เป็นอุบายวิธีสร้างสมรรถภาพทางจิตของตนเองให้มีพลังเหนือพลัง ที่ว่าจิตของเรามีพลังเหนือพลัง หมายถึงจิตที่บริสุทธิ์สะอาด ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งหลายทั้งปวง บรรลุถึงพระนิพพานสำเร็จเป็นพระอรหันต์ สภาพจิตของพระอรหันต์เป็นสภาพจิตที่มีพลังเหนือพลัง ที่เรียกว่าเหนือพลังก็เพราะเหตุว่าไม่มีพลังแห่งธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ใด ๆ สามารถที่จะดึงดูดจิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ให้มาตกอยู่ในอำนาจของสิ่งนั้น ๆ ได้ จึงได้ชื่อว่าจิตของพระอรหันต์

    พระพุทธเจ้าเป็นพลังเหนือพลัง เพราะฉะนั้น อุบายวิธีปฏิบัติของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราศึกษาและปฏิบัติกันอยู่ในปัจจุบันนี้ พระองค์สอนให้เราสร้างจิตของเราเองให้มีพลังพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จนกระทั่งจิตของเรามีสภาวะสะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลสอาสวะทั้งปวง แล้วจิตของเราจะกลายเป็นจิตที่มีพลังเหนือพลัง

    อุบายวิธีการที่เราจะสร้างจิตของเราให้มีพลังงาน ต้องมีจุดยืน คือ เราจะต้องมีศรัทธา เชื่อมั่นในคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ปัญหามีว่าคุณของพระพุทธเจ้าตามตำรับตำรา ได้แก่ บทสวดมนต์ที่เราใช้สวดกันอยู่ทุกวัน บางท่านอาจจะยังไม่เข้าใจหรือแปลไม่ออก

    อิติปิ โส แม้เพราะเหตุนี้ ภะคะวา พระผู้มีพระภาคเจ้า อะระหัง เป็นพระอรหันต์ ไกลจากกิเลส ดับเพลิงกิเลสและเพลิงทุกข์สิ้นเชิง สัมมาสัมพุทโธตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง วิชชาจะระณะสัมปันโน สมบูรณ์ด้วยวิชชา และจรณะคือข้อวัตรปฏิบัติที่ถูกต้อง สุคะโต เสด็จไปดีแล้ว โลกะวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ยอดเยี่ยมไม่มีใครอื่นเสียยิ่งไปกว่า สัตถาเทวะมะนุสสานัง เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พุทโธ เป็นผู้รู้แล้ว เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้ตื่นแล้ว ภะคะวา เป็นผู้จำแนกธรรมะคำสั่งสอนให้เป็นประโยชน์แก่ประชุมชนอันนี้คือคุณของพระพุทธเจ้าที่เราสวดอิติปิโสเป็นต้นนั้นเอง..

    [​IMG]

    ทีนี้เราจะสร้างจิตของเราให้มีพลังงาน จะต้องมีความยึดมั่นในพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ทีนี้พระพุทธเจ้านี่อยู่กันที่ตรงไหน ใคร ๆ เรียนพุทธประวัติแล้วก็ว่า พระพุทธเจ้าเกิดที่ประเทศอินเดีย เวลานี้พระองค์ก็ปรินิพพานไปนานแล้ว เราจะไปยึดเอาพระองค์ที่ไหนเป็นที่พึ่งที่ระลึก เราเคยกล่าวคำบูชาพระพุทธองค์ว่า ข้าพเจ้าขอบูชาคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้ว แต่ยังปรากฏอยู่โดยพระคุณ อาศัยเหตุผลดังกล่าวนี้ คุณความเป็นพุทธะไม่ได้หายสาบสูญไปจากโลก และเป็นคุณธรรมที่ทุกคนสามารถที่จะสร้างขึ้นให้มีในจิตในใจของตนเองได้ โดยที่เรามายึดมั่นในพระคุณของพระองค์ ดังที่กล่าวแล้ว อย่างน้อยเราก็มีศรัทธาตั้งมั่นในคุณของพระพุทธองค์อย่างมั่นคง มีความรักในพระพุทธองค์อย่างมั่นคงมีศรัทธาไม่คลอนแคลน

    ในเมื่อเรามีศรัทธาเชื่อมั่นและตั้งมั่นในสิ่งไหน จิตที่เชื่อมั่นนั้นย่อมเกิดมีพลัง พลังที่จะปรากฏเด่นชัดก็คือ วิริยะ ความแกล้วกล้าอาจหาญ กล้าเสียสละกายและใจของตนเอง เพื่อบูชาข้อวัตรปฏิบัติ เช่น การปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เป็นต้น เมื่อเรามีวิริยะความพากความเพียร ความพยายาม สติที่จะระลึกรู้สิ่งที่ผิดชอบชั่วดีก็ย่อมมีปรากฏขึ้น เมื่อเป็นเช่นนั้น จิตใจมั่นคงเพราะอาศัยความมีศรัทธาตั้งมั่น จิตใจมั่นคงนั้นคือสมาธิ ทีนี้เมื่อมีสมาธิแล้วก็มีสติ ปัญญา เมื่อจิตสงบ ตั้งมั่น นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน อย่างน้อยเราก็รู้ มีปัญญารู้ว่า จิตแท้ จิตดั้งเดิมของเรานี่มันเป็นอย่างไร เมื่อจิตสงบ นิ่ง ว่าง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ขึ้นมาเมื่อไร เราสามารถรู้ความจริงของจิตแท้ จิตดั้งเดิมของเราเมื่อนั้น เราจะมีความรู้สึกว่านี่แหละคือจิตแท้ จิตดั้งเดิมของเรา

    เมื่อจิตสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน นอกจากจะรู้ความจริงของจิตของตนเอง เราก็ยังจะได้รู้ว่าคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ได้บังเกิดขึ้นในจิตของเราแล้ว เพราะฉะนั้น ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ในเมื่อเรามาปฏิบัติให้ถึงพร้อม จิตสงบ นิ่ง มีสติ รู้ตัวอยู่ มีความมั่นคง เมื่อจิตมีความมั่นคง แม้ว่าเราจะเคลื่อนไหวไปมาทางใด เราก็มีสติสัมปชัญญะรู้พร้อมอยู่ทุกขณะ การทำ การพูด การคิด เรามีสติรู้ตัวอยู่ทุกขณะ ความมีสติรู้ตัวนั่นแหละคือธรรมะแท้แห่งพุทธะที่เกิดขึ้นที่จิตของเรา เราจะต้องสังเกตดูความเป็นไปของจิตของเราอย่างนี้

    ทีนี้ในเมื่อในขณะใดที่เราสามารถทำจิตให้นิ่ง ว่าง สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน แล้วก็มีปีติ มีความสุข จิตของเราได้สัมผัสกับคุณธรรมที่ทำจิตให้เป็นพุทธะ เมื่อเราสามารถสร้างจิตให้เป็นพุทธะ ให้บังเกิดขึ้นพร้อมที่จิตของเราแล้ว ธรรมะก็ปรากฏขึ้น ธรรมะก็คือคุณธรรม ได้แก่ สภาวะจิต รู้ ตื่น เบิกบาน นั้นเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น ธรรมชาติของความเป็นพระสงฆ์ก็ย่อมบังเกิดขึ้นพร้อมกัน เพราะธรรมชาติของผู้ที่มีสภาพจิตเป็นเช่นนั้น เขาจะต้องมีความรู้สึกสำนึกเสมอว่า เราจะต้องละความชั่ว ประพฤติความดี ทำจิตของตนเองให้บริสุทธิ์ สะอาด อันนี้เป็นจุดเริ่มของความมีพุทธะ เป็นจุดเริ่มของพลังจิต เป็นจุดเริ่มของพลังจักรวาล

    ในเมื่อท่านผู้ใดปฏิบัติได้อย่างนี้ แม้แต่เพียงเชื่อมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างมั่นคง อธิษฐานจิตของตนเองให้แน่วแน่ ขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บและอันตรายทั้งหลายทั้งปวงให้ไปปราศจากกาย วาจา และจิตของข้าพเจ้าโดยเด็ดขาด และปลูกความเชื่อมั่นลงในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อย่างมั่นคง สามารถที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บของตนเองและคนอื่นให้หายได้ แต่ความจริงการใช้พลังจิตรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ในเมืองไทยเรานี้มีมาแต่เก่าแก่โบราณสมัยที่โรงพยาบาลยังไม่มีในประเทศไทย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย หมอชาวบ้านทั้งหลายเขาก็อาศัยอมยาพ่น ฝนยาทา ตามประสาจน ใช้เวทย์มนต์คาถาเสกเป่า กระดูกแตก กระดูกหัก ใช้มนต์เสกน้ำมนต์หรือน้ำ หรือน้ำมัน แล้วก็เอามาทา เป่า กระดูกมันก็สามารถต่อกันได้ อันนี้คือตัวอย่างที่คนโบราณรักษาโรคด้วยพลังจิต

    [​IMG]

    .>>>>>>...แม้ว่าในสมัยปัจจุบันนี้ ครูบาอาจารย์บางท่าน..เวลาท่านเจ็บป่วย ท่านไม่ได้คำนึงถึงมดหมอ หรือคิดจะไปโรงพยาบาล พอรู้สึกว่าไม่สบาย ท่านก็เข้าสมาธิ นั่งสมาธิภาวนาของท่าน ทำจิตให้สงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน บางทีสภาพจิตของท่านมีความรู้สึกสว่าง รู้ตื่น เบิกบาน ร่างกายตัวตนหาย ในเมื่อร่างกายตัวตนหาย โรคภัยไข้เจ็บมันก็ไม่มีปรากฏ เพราะมันไม่มีที่เกิด โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดที่กาย แต่ที่ใจมันไม่มีโรคอะไรที่จะไปบังเบียดมันได้ นอกจากกิเลสเท่านั้นเอง ในเมื่อท่านปฏิบัติอย่างนี้ก็สามารถรักษาโรคภัยไข้เจ็บให้หายได้

    เพราะฉะนั้น ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จุดเริ่มที่ว่าสามารถสร้างพลังจิตพลังใจของเราให้เกิดมีเพื่อประโยชน์แก่ชีวิตของเราได้ หนึ่ง เราจะต้องมีศรัทธาตั้งมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความรัก ตั้งมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ และมีความเชื่อมั่นว่าคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ คือคุณธรรมที่อยู่ในจิตใจของเรา ...

    เมื่อเราทำสมาธิให้จิตใจสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ได้เมื่อไร เมื่อนั้นคุณของพระพุทธเจ้าก็ปรากฏแก่เราได้อย่างชัดเจน จิตของเราก็เป็นจิต ในเมื่อจิตของเราเป็นจิตพุทธะ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ถ้าจิตของเราจะก้าวหน้าไปในทางปฏิบัติ ทางไปของจิตจะมีอยู่ ๓ ทาง ขอให้ท่านทั้งหลายพึงสังเกตเอาไว้

    ถ้าหากว่าในช่วงนั้นกระแสจิตส่งออกนอก จะเกิดมโนภาพได้แก่ภาพนิมิต ในเมื่อภาพนิมิตปรากฎ อย่าไปเอะใจ อย่าตกใจกำหนดสติ รู้จิตเฉยอยู่เท่านั้น เพราะนิมิตอันนั้นเป็นจิตของเราสร้างมโนภาพขึ้นมาเท่านั้น อย่าไปสำคัญมั่นหมายว่ามีสิ่งอื่นมาแสดงตัวให้เรารู้เราเห็น จิตของเราเองแท้ ๆ เป็นผู้แสดงขึ้นมา แต่ในช่วงที่เราภาวนาแล้วเกิดนิมิตเกิดมโนภาพขึ้นมา ถ้าหากมีใครมาชักจูงว่าเมื่อเห็นนิมิตแล้วให้น้อมเข้ามาในจิตในใจของเรา ให้ผู้วิเศษทั้งหลายเหล่านั้นมาช่วยพลังสมาธิ สติ ปัญญาให้แก่กล้า ถ้าน้อมมโนภาพนั้นเข้ามาถึงตัวได้เมื่อไร เมื่อนั้นจะกลายเป็นการทรงวิญญาณ..เพราะเมื่อนิมิตเข้ามาถึงตัวแล้ว สมาธิที่ปลอดโปร่ง สบาย เบา จะ รู้สักว่าอึดอัด หนักหน่วงไปทั้งตัว หัวใจเหมือนถูกบีบ จิตซึ่งเคยเป็นอิสระจะตกอยู่ในอำนาจของสิ่งที่เข้ามาแทรกสิง ในที่สุดกลายเป็นการทรงวิญญาณ นี่ ในจุดนี้นักปฏิบัติต้องระมัดระวังให้ดี.....

    [​IMG]


    ทีนี้ทางหนึ่ง ถ้าหากว่าจิตไม่ออกนอก วิ่งเข้ามาข้างใน มาสงบ นิ่ง สว่างอยู่ภายในของร่างกาย เมื่อจิตสงบ สว่างในท่ามกลางของร่างกาย ถ้าหากว่ามีครูบาอาจารย์มาแนะนำ ว่าให้รวมเอาความสว่างเป็นดวงแก้ว สร้างดวงกลมให้กลายเป็นพระพุทธรูป เพ่งให้ใสบริสุทธิ์สะอาด แล้วจะเห็นดวงธรรมปรากฏเด่นชัดขึ้นมา ถ้าหากมีใครแนะนำชักจูงให้เป็นไปอย่างนั้น ก็จะเป็นไปตามคำแนะนำชักจูงนั้น ๆ แต่ในทางปฏิบัติที่ถูกต้อง

    ในเมื่อมีปรากฏการณ์เช่นนั้นปรากฏขึ้น นักปฏิบัติต้องกำหนดรู้ เฉยอยู่เท่านั้น ไม่ต้องไปนึกปรุงแต่งให้ดวงหรือความสว่างนั้นเป็นอะไร ถือแต่เพียงว่าสิ่งนั้นเป็นอารมณ์สิ่งรู้ของจิต สิ่งระลึกของสติเท่านั้น


    แล้วในขณะที่..จิตนิ่ง ...สว่างอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย ความสว่างของจิตจะพุ่งออกมารอบ ๆ เราจะรู้สึกว่าเรานั่งอยู่ในท่ามกลางแห่งความสว่าง แต่ภายในดวงจิตนั้นสามารถมองเห็นอวัยวะต่าง ๆ ภายในทั่วหมด ในขณะจิตเดียว เรียกว่ารู้อาการ ๓๒ จนกระทั่งจิตสงบละเอียดยิ่งลงไป จนถึงขนาดร่างกายตัวตนหาย ยังเหลือจิตดวงเด่น นิ่ง สว่างไสวอยู่เท่านั้น ถ้าหากว่าจิตจะเดินไปในทางสมถะทางสายฌานสมาบัติ จิตก็มีจะแต่สงบ นิ่ง สว่าง ละเอียดยิ่งขึ้นไปตามลำดับขั้นของฌานสมาบัติ แต่

    ถ้าหากว่าจิตไม่ไปเช่นนั้น เมื่อร่างกายตัวตนหายไปแล้วจะย้อนกลับมามองร่างกายของตัวเอง จะปรากฏว่าร่างกายของตัวเองตาย ขึ้นอืด เน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไปไม่มีอะไรเหลือ เมื่อจิตถอนจากสมาธิ จะได้ความรู้ขึ้นมาว่า นี่แหละคือการตาย ตายแล้วก็ต้องเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป ไม่มีอะไรเหลืออยู่ เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา มีที่ไหน ถ้ามองเห็นความตาย จิตก็รู้ว่านี่แหละคือความตาย มองเห็นความเน่าเปื่อยผุพัง นี่แหละ...

    อสุภกรรมฐาน.....มองเห็นร่างกายสลายตัวไปเป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ก็จะรู้ธาตุสมถะ รู้ว่ากายของเราสักแต่เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคล ตัวตนเราเขา มีที่ไหน อันนั้น อนัตตานุปัสนาญาณ ความรู้ว่าร่างกาย ตัวตน ไม่มีอัตตาตัวตน เป็นอนัตตาเท่านั้น เราจะได้ความรู้ตามลำดับขั้นตอน อย่างนี้........
    [​IMG]


    ในขณะที่จิตมองดูเห็นว่าร่างกายเน่าเปื่อยผุพัง สลายตัวไป ความรู้ความเห็นอันนั้นเป็น..สมาธิขั้นสมถกรรมฐาน.... แต่..เมื่อจิตถอนออกมาแล้ว สิ่งรู้เห็นทั้งหลายหายไป จิตมาสัมพันธ์กับร่างกายเมื่อไรเกิดความรู้ เป็นภาษาอธิบายซ้ำเติมสิ่งที่รู้นั้นอีกทีหนึ่ง ตอนนี้เรียกว่า.. เจริญวิปัสสนา เพราะฉะนั้น ในคำที่บางท่านกล่าวว่า ถ้าไม่มีสมาธิก็ไม่มีญาณ ไม่มีญาณก็ไม่มีวิปัสสนาคือปัญญา ไม่มีวิปัสสนาปัญญา ก็ไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง เมื่อไม่มีความรู้แจ้งเห็นจริง ก็ไม่มีวิมุติความหลุดพ้น ท่านผู้กล่าวอย่างนี้กล่าวถูก ...แต่ท่านผู้ที่กล่าวว่าสมาธิขั้นสมถะไม่เกิดภูมิรู้อะไรนั้น เป็นการกล่าวผิด ...

    เราจะบอกตรง ๆ ว่าท่านเหล่านั้นภาวนาไม่ถึงขั้น อันนี้ขอฝากท่านนักปฏิบัติผู้สนใจทั้งหลาย ลอง ๆ จดจำเอาไว้พิจารณา ตามที่อาตมากล่าวมานี้ อย่าเพิ่งเชื่อ ให้รับฟังเอาไว้ก่อน สิ่งใดที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น ยังปฏิบัติไม่ถึง ให้รับฟังเอาไว้ก่อน อย่ารับรองแล้วก็อย่าปฏิเสธทันทีจนกว่าเราจะพิสูจน์ให้รู้ได้ด้วยตนเอง อันนี้คือทางไปของจิตเมื่อมีสมาธิตามธรรมชาติแล้ว

    อีกทางหนึ่งจิตไม่ไปอย่างนั้น..... เมื่อจิตสงบแล้ว กระแสจิตไม่ส่งออกนอก แล้วไม่วิ่งเข้ามาภายในกาย แต่ไปกำหนดรู้อยู่ที่จิตเพียงอย่างเดียว ก็จะรู้เห็นอารมณ์ที่เกิดดับกับจิตอยู่ตลอดเวลา เมื่อผู้ปฏิบัติมีสติสัมปชัญญะกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา ในเมื่อความรู้มันเกิดขึ้น ผุดขึ้นมา ๆ อย่างกับน้ำพุ ผู้ปฏิบัติมีสติกำหนดรู้เองโดยอัตโนมัติ เมื่อไปถึงจุด ๆ หนึ่ง จิตจะหยุดนิ่ง สว่างไสว รู้ ตื่นเบิกบาน สภาวะทั้งหลายที่เป็นอารมณ์จะไปวนรอบจิตอยู่ตลอดเวลา แต่จิตหาได้หวั่นไหวต่อเหตุการณ์นั้นๆ ไม่ มีแต่ทรงอยู่ในความเที่ยงตรง รู้ ตื่น เบิกบาน เป็นจิตพุทธะแท้ ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์

    ในจุดนี้ ท่านอาจารย์มั่น...ท่านบัญญัติศัพท์ของท่านเรียกว่า... ฐีติภูตัง... ฐีติ คือจิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสว ภูตัง มีสภาวะที่เป็น
    ปรากฏการณ์ให้จิตรู้เห็นเกิดขึ้นแล้วดับไป เกิดขึ้นแล้วดับไปอยู่ตลอดเวลา อันนี้ทางหนึ่งที่จิตสมาธิธรรมชาติแล้วจะพึงเป็นไป


    แต่สิ่งที่กล่าวทั้งหลายนี้ ในขณะที่จิตสงบเป็นสมาธิ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ความรู้สึกที่จะน้อมจิตไปทางใดนั้นย่อมไม่มี จิตจะออกนอกไปเกิดนิมิต ก็จะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จะวิ่งเข้ามารู้ภายในกายก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ จะไปรู้ที่จิตก็เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ ถ้าหากว่าเราสามารถยังมีสัญญาเจตนา น้อมจิตให้เป็นไปอย่างไรนั้น จิตดวงนั้นยังไม่ใช่สมาธิตามธรรมชาติ... เป็นแต่เพียงความสงบที่เราตกแต่งเอาได้เท่านั้น ถ้าเป็นสมาธิตามธรรมชาติจริง ๆ สัญญาเจตนาที่จะไปควบคุมบังคับจิตใด ๆ นั้นย่อมไม่มี มีแต่ความเป็นเองตามธรรมชาติของสมาธิ


    [​IMG]

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า....ของเราทรงตรัสรู้เรื่องอดีตคือ ปุพเพนิวาสนุสติญาณ รู้เรื่องปัจจุบันคือควรประพฤติอย่างไรจึงจะได้ถึงคุณงามความดี รู้อนาคต ผู้ทำดี ทำชั่วแล้ว เมื่อตายแล้ว วิถีชีวิตของเขาจะเป็นไปอย่างไร จึงได้ชื่อว่า รู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต

    ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ความแตกต่างของลัทธิศาสนามีเฉพาะในภพภูมิของมนุษย์เท่านั้น ในเมื่อมนุษย์ทั้งหลายและสัตว์ทั้งหลายตายไปแล้ว ไปเกิดเป็นวิญญาณในโลกอื่น มีแต่กฎของกรรมอย่างเดียวเท่านั้นเป็นศาสนา ท่านผู้ใดได้รับการเสี้ยมสอนมาว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป เพราะสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ อันนี้ก็เป็นเพียงความเข้าใจของศาสดาของเขา มันไม่ใช่....กฎธรรมชาติของกรรม.... แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรานี่ พระองค์ตรัสรู้เรื่องอดีตเป็นเรื่องสำคัญ พระองค์ระลึกชาติได้ พระองค์ไปเกิดแต่ละภพแต่ละชาตินั้น เพราะกรรมอะไร พระองค์รู้ละเอียดหมด ในเมื่อพระองค์รู้แล้ว จึงนำมาสอนพวกเราทั้งหลาย เพราะฉะนั้น...

    ความแตกต่างของศาสนามีเฉพาะในภพภูมิของมนุษย์ แต่เมื่อมนุษย์ทั้งหลายตายไปแล้ว มีแต่กฎของกรรมเท่านั้นเป็น

    ศาสนา ....ผู้ที่ถูกเสี้ยมสอนว่า ฆ่าสัตว์ไม่บาป เพราะสัตว์เกิดมาเป็นอาหารของมนุษย์ แต่เมื่อเขาตายปุ๊บลงไป เขาได้รับผลของกรรมเกิดจากการฆ่าสัตว์ เขาจะได้ความรู้สึกขึ้นมาทันทีว่า อ้อ ! พระสมณโคดมสอนถูกต้อง ศาสดาเราสอนผิด อันนี้เป็นเรื่องกฎของกรรม


    วันนี้ขอบรรยายธรรมะพอเป็นเครื่องประดับสติปัญญาของท่านผู้ฟังพอสมควรแก่กาลเวลา ในท้ายที่สุดนี้ ขอบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลายมีจิตใจสงบตั้งมั่นยึดมั่นในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นจุดยืนตลอดไปแล้วก็ยึดมั่นในข้อวัตรปฏิบัติที่พระองค์สอนให้เราบำเพ็ญศีล สมาธิ ปัญญา เป็นอุบายสร้างความรัก ความเมตตาในสังคมของมนุษย์ เมื่อเรามีความรัก ความเมตตาปราณีต่อกัน เราจะได้ผนึกกำลังกันช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศชาติศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตลอดไป


    -----------------------------------------------------------------
    ขอขอบคุณ
    http://www.indigothai.com/thai/Arada/4.htm
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    ทฤษฎีแห่งจักรวาลวิทยาไทย
    "ถ้าจะมีศาสนาใดๆ ที่เข้ากันได้
    กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
    ศาสนานั้นก็คือ พระพุทธศาสนา"
    อัลเบิร์ต ไอสไตน์ (Albirt Einstein )
    (18793-1955)


    จักรวาลวิทยา (Cosmology) เป็นสาขาวิชาหนึ่งของอภิปรัชญา ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับต้นกำเนิด รูปแบบ โครงสร้าง เนื้อหา เวลา การจัดระเบียบ ความมีอยู่จริงและวิวัฒนาการของเอกภพ (Universe) ตลอดจนความสัมพันธ์และอิทธิพลที่มีต่อมนุษย์
    เนื่องจากหลักปรัชญาของคนไทยเกี่ยวเนื่องอยู่กับจิตเป็นปรัชญากระแสหลัก แนวคิดเรื่องจักรวาลวิทยาจึงเกี่ยวเนื่องอยู่กับวิญญาณ ซึ่งถือว่าเป็นระบบจักรกลแห่งเอกภพ
    วิญญาณตามแนวคิดของนักปรัชญาไทย จึงถูกอธิบายในฐานะเป็นจิตของจักรวาล ครอบคลุมมิติต่างๆ ของชีวิต ดำรงอยู่ในมนุษย์สัตว์ และสรรพสิ่ง เป็นผู้ดูแลให้สรรพสิ่งเกิดความสมดุล ดำรงอยู่ในจักรวาลในฐานะเป็นจิตของจักรวาล ทำให้เกิดระเบียบหรือกฎเกณฑ์ในระบบจักรราศี เป็นผลให้เกิดโชคชะตา พรหมลิขิต เคราะห์หามยามร้ายหมุนเวียนเปลี่ยนไปในชีวิต สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์อยู่กับดวงดาวและระเบียบบนท้องฟ้า
    คนไทยเชื่อว่า โชคลางเคราะห์กรรมสัมพันธ์อยู่กับการโคจรของดวงดาว มนุษย์ไม่สามารถรับรู้เหตุการณ์ทั้งดีและร้ายได้โดยตรง นอกจากต้องอาศัยวิธีการคำนวณวิถีโคจรของดวงดาว คนไทยเรียกวิธีการคำนวณระบบจักรราศีว่า โหราศาสตร์ และการสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
    โหราศาสตร์ เป็นส่วนหนึ่งของการกำหนดทิศทางชีวิตของบุคคลและสังคม คนไทยใช้โหราศาสตร์เป็นเครื่องสะกิดเตือนและบ่งชี้ว่าชีวิตและสังคมควรจะดำเนินไปในทิศทางใด ความรู้ด้านโหราศาสตร์เป็นความรู้ที่ได้มาจากการสังเกตธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกระหว่างปรากฏการณ์และความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดกับชีวิตและสังคม เป็นการใช้ประสบการณ์และภูมิปัญญาเข้าไปสกัดคัดเฟ้น ค้นหาสารัตถะจากปรากฏการณ์ต่างๆ ในธรรมชาติ จนกลายเป็นความเชื่อและความรู้ของสังคม

    ที่มาจากหนังสือ ทฤษฎีเบื้องต้นแห่งปรัชญาไทย ผู้แต่ง ญาณวชิระ

    ทฤษฎีแห่งจักรวาลวิทยาไทย
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    โหราศาสตร์

    เครื่องมืออธิบายการเคลื่อนไหวของระบบจักรวาล
    ความรู้ด้านโหราศาสตร์ของไทยที่พัฒนาขึ้นเป็นองค์ความรู้ จนสามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของระบบจักรวาล อย่างน้อยก็ได้มาจาก ๒ ระบบ คือ

    ความรู้ด้านโหราศาสตร์ระบบแรก เกิดจากพื้นฐานความเชื่อที่ว่าปรากฏการณ์ทางธรรมชาติย่อมมีผลต่อชีวิตและสังคมด้านใดด้านหนึ่ง เช่น แมลงมุมตีอก จิ้งจกทัก จิ้งจกตกมาตายต่อหน้า ตาเขม่น นกแสกร้อง ผึ้งทำรังตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย หนูร้อง การ้อง บ้านลั่น ฟ้าร้อง ดาวตก เป็นต้น
    ความเชื่อเหล่านี้ถูกเก็บไว้เป็นสถิติในรูปแบบ "โฉลก" ทำนายปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติพร้อมทั้งแสดงวิธีการแก้ไข เรียกว่า "สะเดาะเคราะห์" "แก้เคราะห์" หรือ "เสียเคราะห์" อันจะยังความปกติให้เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน

    ความรู้ด้านโหราศาสตร์ระบบนี้ เป็นผลมาจากการดำเนินชีวิตของชาวบ้านที่สัมพันธ์กับธรรมชาติอย่างแนบแน่น อาศัยการสังเกตปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ค่อยๆ สั่งสมพอกพูนขึ้นจากคนไทยทุกสาขาอาชีพทั้งชาวนา ชาวประมง พรานป่า กระทั่งขุนโจร จนกลายเป็นองค์ความรู้ที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นตัวของตัวเอง

    ส่วนโหราศาสตร์ระบบที่สอง เกิดจากการสังเกตการโคจรของดวงดาว ความสัมพันธ์ระหว่างชีวิตและสรรพสิ่ง จนทำให้เกิดการสังเกตซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงระเบียบการเดินของดวงดาว ลักษณะของอุปราคา วัตถุต่างๆ บนท้องฟ้าที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกและจักรวาล ทำให้เกิดการเก็บสถิติขึ้นเป็นคำทำนายอีกชุดหนึ่ง เป็นความรู้เฉพาะทางที่พัฒนาขึ้นอย่างเป็นตัวของตังเองเช่นกัน
    ความรู้ด้านโหราศาสตร์ระบบที่สองนี้เกี่ยวพันอยู่กับวิถีการโคจรของดวงดาวโดยตรง ถูกบันทึกไว้เป็นตำรับตำราฝ่ายดาราศาสตร์โบราณ มีคัมภีร์สุริยศาสตร์ ซึ่งเป็นคัมภีร์ว่าด้วยการเอนของดาวพระเคราะห์สดมภ์หลัก คัมภีร์สารัมภ์ อันว่าด้วยการคำนวณจันทรคราสและสุริยคราส คัมภีร์อสีติธาตุ คัมภีร์อันว่าด้วยการแจกแจงธาตุต่างๆ
    โหราศาสตร์ระบบนี้เต็มไปด้วยการคำนวณรายละเอียดของสัมผัสดวงดาว และพระเคราะห์ต่างๆ หรือองศาแสดงตำแหน่งและการโคจรของวงดาวบนท้องฟ้า
    ความรู้ที่เกิดจากการสังเกตเหล่านี้มิใช่ความรู้ที่ดำรงอยู่อย่างเลื่อนลอย ไร้หลักฐาน หากแต่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ กลั่นกรอง ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนรุ่นหนึ่ง จนกลายเป็นองค์ความรู้ที่แม่นยำในการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
    ตำรับตำราว่าด้วยศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ ได้มีการจดจำ ศึกษา คัดลอก ถ่ายทอดสืบต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง รวมอยู่กับตำราดูเพชร(1)ดูดวงดาว ดูเมฆ ดูคลองฟ้า ดูอุปราคา ดูดาวหาง ดูพระจันทร์ ดูผึ้ง และตำราดูสัตว์ต่างๆ ซึ่งถูกบันทึกไว้ในสมุดไทยอายุเวลาอยู่ในช่วงปลายอยุธยาถึงต้นรัตนโกสินทร์ ดังที่นายมีกล่าวถึงดวงดาวตามคติความเชื่อของคนไทยไว้ในนิราศสุพรรณว่า


    เห็นพระจันทร์วงแหว่งตะแคงเหนือ เหมือนรูปเรือลอยขว้างนางสวรรค์
    พระอังคารเข้าเรียงเคียงพระจันทร์ ตำรานั้นมีอยู่แต่บูราณ
    ถูกชะตาราศีผู้ดีไพร่ ว่าจะได้คู่ชมภิรมย์สมาน
    เพราะพระจันทร์จรสบพบอังคาร ไม่ช้านานกำหนดพอหมดเดือนฯ

    (นิราศสุพรรณ)

    ข้อสังเกตที่นายมีกล่าวในเบื้องต้น ยืนยันว่าคนไทยดูดาวมิใช่ดูเพื่อรู้จักดวงดาวเท่านั้น แต่การดูดาวแบบไทยเต็มไปด้วยการสังเกตลักษณะต่างๆ ของดวงดาว การขึ้น การตก การเอียง การทอประกายว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตและสังคมอย่างไร
    _________________________________
    (1) สำหรับลิลิตตำราว่าด้วยที่เกิดเนาวรัตน์ แต่งเป็นคำประพันธ์ประเภทลิลิตสุภาพ เป็นตำราว่าด้วยที่เกิดของรัตนชาติทั้ง ๙ ชนิด แสดงถึงลักษณะคุณและโทษของอัญมณีตามคติความเชื่อของคนไทย ซึ่งหลวงนรินทาภรณ์ ประพันธ์ในสมัยรัชกาลที่ ๒

    ที่มาจากหนังสือ ทฤษฎีเบื้องต้นแห่งปรัชญาไทย ผู้แต่ง ญาณวชิระ

    โหราศาสตร์
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    จากจักรวาลวิทยาถึงดาราศาสตร์

    ในหนังสือวรรณคดีต่างๆ ได้กล่าวถึงชื่อดวงดาวแบบไทยๆ ไว้หลายเล่ม เช่น พระอภัยมณี สิงหไกรภพ จันทรโครพ สรรพสิทธิคำฉันท์ อิเหนา สมบัติอมรินทร์คำกลอนฯลฯ วรรณคดีเหล่านี้ยืนยันหลักฐานว่าคนไทยสนใจและสังเกตวัตถุบนท้องฟ้ามาแต่โบราณ ในพระอภัยมณีได้ปรากฏชื่อดาวแบบไทย ดังนี้

    ดาวเต่า ดาวไถ ดาวธง ดาวอาชาไนย(ดาวม้า) ดาวลูกไก่ ดาวไถ ดาวโลง ดาวกา ดาวลำสำเภา ดาวจระเข้ ดาวยอดมหาจุฬามณี ดาวคันชั่ง ดาวหามผี เจ้าพระยาพระคลังได้กล่าวถึงดาวจุฬามณีไว้ในสมบัติอมรินทร์คำกลอนว่า

    หนึ่งเจดีย์พระจุฬามณีสถิต อันไพจิตรด้วยฤทธิ์สุเรนทร์ถวาย
    สูงร้อยโยชน์โชติช่วงประกายพราย ยิ่งแสงสายอสุนีในอัมพร
    เชิญเขี้ยวขวาเบื้องบนพระทนต์ธาตุ ทรงวิลาศไปด้วยสีประภัสร
    แทนสมเด็จพระสรรเพชญ์ชิเนนทร สถาวรไว้ในห้องพระเจดีย์ ฯ
    (สมบัติอมรินทร์คำกลอน)

    พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ก็ได้แสดงโลกทัศน์ด้านดาราศาสตร์ดังกล่าวไว้ในวรรณคดีเรื่องอิเหนาเช่นกันว่า

    ต่างองค์ทัศนาดารากร ในอัมพรเลื่อนลอยล้อมบุหลัน
    นักขัตฤกษ์มีนามเป็นสำคัญ บ้างเด่นดั้นเมฆานภาลัย
    โรหิณีสีสดบริสุทธิ์ กัตติกาโลกสมมุติดาวลูกไก่
    ที่สามดวงช่วงเรียงเคียงกันไป เขาเรียกว่าดาวไถแต่บุราณ
    ดาวจระเข้เหราปลาเต่า ดาวสำเภาหัวทรงดาวหงส์ห่าน
    ดาวพระเคราะห์เห็นจำเพราะแต่อังคาร สีแดงห้าวหาญกว่าทุกดวง ฯ
    (อิเหนา)


    ที่มาจากหนัง ทฤษฎีเบื้องต้นแห่งปรัชญาไทย ผู้แต่ง ญาณวชิระ

    ส่วนที่เหลืออ่านเองตามไฟล์แนบครับ นับว่าเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยโดยแท้จริง

    จากจักรวาลวิทยาถึงดาราศาสตร์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" align=center border=1><TBODY><TR><TD class="text6 style11" vAlign=center bgColor=#fead0b height=23>
    อิทธิพลแห่งดาว ใน...วันสำคัญทางศาสนาสากล​
    </TD></TR><TR><TD class=text6 vAlign=top width="100%" bgColor=#ffffcc height=117><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" align=center border=0><TBODY><TR><TD> </TD></TR><TR><TD align=middle>[​IMG]
    </TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD> ในพุทธศานา ได้ใช้ปรากฏการณ์แห่งดวงจันทร์ คือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ หรือ จันทร์เพ็ญ เพื่อกำหนดเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น



    และด้วยเหตุที่ศาสนาพุทธ กำเนิดท่ามกลางสิ่งแวดล้อมของศาสนาฮินดู ชื่อเดือน ชื่อวัน รวมทั้งศัพท์แสงต่างๆ ที่เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ วันสำคัญทางศาสนาพุทธ จึงอิงพื้นฐานของชาวภารตทั้งสิ้น แต่ในเมื่อศาสนาพุทธฉีกแนวออกมาคนละทางจากฮินดู จึงต้องทำอะไรที่แตกต่างไปบ้าง

    วันสำคัญของพุทธศาสนา ได้แก่ วันมาฆบูชา ตรงกับขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓, วันวิสาขบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖, วันอาสาฬหบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘, รุ่งขึ้น แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ เป็นวันเข้าพรรษา และสุดท้ายวันออกพรรษา ตรงกับ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑



    นอกจากนี้แล้ว ยังใช้ดวงจันทร์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ หรือวันพระ ทั้งขึ้น ๘ ค่ำ แรม ๘ ค่ำ ขึ้น ๑๕ ค่ำ และแรม ๑๕ ค่ำด้วย

    อย่างไรก็ตาม เมื่อปฏิบัติไปได้ไม่กี่ปี ก็เกิดปัญหา เพราะปฏิทินจันทรคติเคลื่อนเร็วขึ้นปีละ ๑๑ วัน (เมื่อเทียบกับปฏิทินสุริยคติ) ทำให้วันเข้าพรรษาล่วงไปอยู่ในฤดูแล้ง และวันออกพรรษาไปอยู่ในต้นฤดูฝน ซึ่งขัดต่อพุทธบัญญัติ ที่ให้สงฆ์เข้าพรรษาในต้นฤดูฝน จึงจำเป็นต้องปรับชดเชยตามหลักดาราศาสตร์ที่ให้เพิ่มเดือนแปดทุกๆ ๒ หรือ ๓ ปี เพื่อให้วันเข้าพรรษาตรงกับฤดูกาลแถวเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม และออกพรรษาในเดือนตุลาคม

    ทั้งนี้ หากท่านย้อนกลับไปดูปฏิทินปี ๒๕๕๐ จะเห็นว่า เป็นปีที่มีเดือนแปดสองหน ตรงกับวันที่ ๓๐ กรกฎาคม เรียกว่า ปีอธิกมาส มาจากรากศัพท์ภาษาอินเดีย



    และปี ๒๕๕๑ นี้ เรากำลังจะเข้าสู่วันสำคัญทางศาสนาอันดับแรก คือ ๒๑ กุมภาพันธ์ เป็น วันมาฆบูชา ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ระลึกถึงการชุมนุมครั้งใหญ่ของสงฆ์ในครั้งพุทธกาล โดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า

    "พูดได้เต็มปากว่า วันสำคัญของศาสนาต่างๆ ล้วนอ้างอิงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ โดยใช้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ รวมทั้งกลุ่มดาวฤกษ์ เป็นเครื่องมือกำหนดช่วงวัน เดือน ปี และเวลาในการประกอบพิธี เมื่อทำซ้ำไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็น ปฏิทิน นักดาราศาสตร์แห่งบรรพกาล ทราบดีว่า วัตถุประสงค์ดั่งเดิมของการสร้างปฏิทิน ก็เพื่อใช้กำหนดวันประกอบพิธีทางศาสนา"

    นี่คือความเห็นของ นายสรรค์สนธิ บุณโยทยาน ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ และผู้เขียนหนังสือสุริยปฏิทินพันปี



    ทั้งนี้นายสรรค์สนธิ อธิบายให้ฟังว่า ปฏิทินฉบับแรกของมนุษยชาติที่เป็นชิ้นเป็นอันถูกสร้างขึ้นมาเมื่อ ๓,๗๖๐ ปี ก่อนคริสตกาล (๓๗๖๐ B.C.) ที่เมืองนิปปูร์ ในดินแดนอู่อารยธรรมของโลก รู้จักกันดีในชื่อว่า “เมโสโปเตเมีย” ปัจจุบันเป็นประเทศอิรัก

    ปฏิทินนิปปูร์ เป็นต้นแบบของปฏิทินศาสนายูดา ที่ใช้ในประเทศอิสราเอล วันสำคัญทางศาสนา ที่ยึดเอาดาราศาสตร์เป็นเครื่องกำหนดของแต่ละศาสนา คือ

    ศาสนาที่ใช้ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ได้แก่ ศาสนาคริสต์ ฮินดู และพุทธ เพราะวันสำคัญของศาสนาเหล่านี้ มีเรื่องของฤดูกาลเข้ามาเกี่ยวข้อง



    ในกรณีของชาวคริสต์ มีวันสำคัญ คือ วันอีสเตอร์ เรียกเต็มๆว่า อีสเตอร์ซันเดย์ ภาษาลาตินใช้คำว่า Pascha เป็นเหตุการณ์ที่พระเยซูฟื้นคืนชีพในวันที่สาม หลังจากสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

    ปฏิทินของวันดังกล่าว ถูกกำหนดโดยสภานักบวชแห่งเมืองนีเซียร์ เมื่อ ค.ศ. ๓๒๕ (Council of Nicaea A.D. ๓๒๕)

    โดยนับเริ่มต้นที่วัน วสันตวิษุวัต (Vernal equinox) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่แกนของโลกตั้งฉากกับดวงอาทิตย์ ทำให้กลางวันเท่ากับกลางคืน และเป็นจุดเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ ตามด้วยวันพระจันทร์เต็มดวง หรือ ขึ้น ๑๕ ค่ำ และตามด้วยวันอาทิตย์ถัดไป

    แต่เนื่องจากจำนวนวันในรอบปีของดวงอาทิตย์ กับวันในรอบปีของดวงจันทร์ เป็นคณิตศาสตร์ที่ไม่ลงตัว จึงทำให้วันอีสเตอร์ซันเดย์ กระโดดไปกระโดดมา อยู่ในระหว่างปลายเดือนมีนาคม และปลายเดือนเมษายน

    "ในปี ๒๕๕๑ นี้ ชาวคริสต์ทั่วโลกคงได้ฉลองกันครั้งใหญ่อีกปีหนึ่ง เพราะปี ๒๕๕๑ นี้ วันอีสเตอร์ซันเดย์ ตรงกับ ๒๓ มีนาคม ย้อนประวัติศาสตร์แห่งการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูอย่างถูกต้อง ราวกับถ่ายทอดสดผ่านรายการ The History Channel กล่าวคือ วัน “วสันตวิษุวัต” ๒๑ มีนาคม ๒๕๕๑ ตรงกับวันศุกร์ และพระจันทร์เต็มดวงพอดี ถัดไปวันที่สามเป็นวันอาทิตย์ ทุกอย่างตรงกับเหตุการณ์จริง ตามความเชื่อของชาวคริสต์ ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนในวัน วสันตวิษุวัต เป็นวันศุกร์ และพระจันทร์เต็มดวง ฟื้นคืนชีพในวันที่สามซึ่งเป็นวันอาทิตย์" นายสรรค์สนธิ กล่าว พร้อมกับอธิบายต่อว่า

    ศาสนาฮินดูในประเทศอินเดีย ใช้ปฏิทินมหาศักราช (Saka calendar) วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวสันตวิษุวัต คือ ๒๑ มีนาคม เรียกว่า เริ่มต้นแห่งเดือนไจตระ และวันขึ้น ๙ ค่ำ ของเดือนนี้ ก็ตรงกับวันเกิดของพระราม ซึ่งเป็นอวตารอับดับที่เจ็ดของพระวิษณุ

    ช่วงเวลาดังกล่าว เป็นวันสำคัญทางศาสนาของชาวภารต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่นับถือพระวิษณุ จะมีการสวดภาวนาขณะที่ดวงอาทิตย์เริ่มเรืองแสงที่ขอบฟ้า และเมื่อถึงตอนเที่ยงวัน พระอาทิตย์ตรงหัว ซึ่งตรงกับเวลาเกิดของพระราม พิธีอันยิ่งใหญ่ประกอบด้วยการสวดภาวนาสรรเสริญ ตามด้วยขบวนแห่รูปสมมติของพระราม พระลักษมณ์ และหนุมานเข้าสู่วิหาร

    พิธีนี้จัดอย่างอลังการที่สุด ที่เมืองอโยธยา สถานที่เกิดของพระราม ชื่อของพระราม คำว่า “รา” เกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์คนอินเดียที่ชื่อ ราวี หรือ ราวินด้า จึงหมายความว่า You are Mr.Sun

    สำหรับศาสนาที่ใช้ดวงจันทร์เป็นปฏิทินเพียงอย่างเดียวนั้น คือ ปฏิทินของศาสนาอิสลาม ปีหนึ่งมี ๑๒ เดือน และมีจำนวนวันทั้งสิ้น ๓๕๔ วัน น้อยกว่าปฏิทินสากลปีละ ๑๑ วัน

    เนื่องจากจำนวนวันในรอบปีของดวงจันทร์ น้อยกว่ารอบปีของดวงอาทิตย์ อยู่ ๑๑ วัน และเดือนที่สำคัญที่สุดคือ เดือน ๙ ชื่อว่า เดือนรามาดาน ชาวมุสลิมทั่วโลกจะถือศีลอดเป็นเวลา ๑ เดือนเต็มๆ จากเหตุผลความต่างดังกล่าว ทำให้เดือนรามาดานเคลื่อนเร็วขึ้นเรื่อยๆ ปีละ ๑๑ วัน

    เมื่อเทียบกับปฏิทินสากล ดังตัวอย่าง ปี ๒๕๔๘ เริ่มเดือนรอมาดอน วันที่ ๕ ตุลาคม ปี ๒๕๕๐ วันที่ ๑๓ กันยายน ปี ๒๕๕๑ เริ่มวันที่ ๒ กันยายน และในปีหน้า ๒๕๕๒ จะขยับเป็น ๒๒ สิงหาคม พิธีถือศีลอดในเดือนรอมาดอน จึงไม่ยึดติดกับฤดูกาล

    อนึ่ง การประกาศให้เริ่มต้นพิธีถือศีลอด ในเดือนรามาดาน จะต้องมีผู้เห็นดวงจันทร์ขึ้น ๑ ค่ำ และมีการรับรองอย่างเป็นทางการเสียก่อน

    "วันสำคัญของศาสนาต่างๆ ล้วนอิงปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ทั้งสิ้น แม้กระทั่งในครั้งโบราณกาล เช่น ศาสนาของอียิปต์ พวกเขาสร้างมหาพีระมิดเรียงกัน ๓ หลัง ให้ตรงกับตำแหน่งเข็มขัดของกลุ่มดาวนายพราน (Orion belt) ส่วนชาวดรูอิท ในเกาะอังกฤษ จะฉลองอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นที่กองหินลึกลับ “สโตนส์เฮนจ์” ในวัน “ครีษมายัน” (summer solstice) ตรงกับ ๒๑ มิถุนายน กลางวันยาวที่สุดในรอบปี เพราะดวงอาทิตย์ทำมุมฉากกับผิวโลกที่เส้นรุ้ง ๒๓.๕ องศาเหนือ ในขณะที่ชาวมายาโบราณที่ประเทศเม็กซิโก บูชางูยักษ์เป็นเทพพระเจ้า ดังนั้นจึงออกแบบก่อสร้างให้พีระมิด ชื่อ El Castillo ให้เงาแสงอาทิตย์เป็นภาพพญางูยักษ์เลื้อยลงมาจากยอดพีระมิด ในวันวสันตวิษุวัต" นายสรรค์สนธิ กล่าว



    เรื่อง ไตรเทพ ไกรงู
    ภาพ ประเสริฐ เทพศรี

    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ :คม ชัด ลึก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  8. pucca2101

    pucca2101 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    5,805
    ค่าพลัง:
    +20,896
    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ พี่พงศ์ขอร่วมบุญด้วยค่ะ

     
  9. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    [​IMG]




    [​IMG]
    Uploaded with ImageShack.us



    [​IMG]
    Uploaded with ImageShack.us



    ปล.มีผู้บริจาคเพิ่มเติมภายหลังด้วยดังนี้ครับ
    1.ครอบครัวทรัพย์เจริญ 2760 บาท
    2.ครอบครัวนาคศิลป์ 520 บาท
    3.เฮียตี๋ 1000 บาท

    ขอขอบพระคุณและโมทนาในบุญในครั้งนี้ด้วยครับ
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2010
  10. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    พุทธศาสนา…
    เป็นศาสนาประจำชาติอิตาลี...แล้ว

    **************************************************

    ราวสิบกว่าปีมาแล้ว สื่อมวลชนในยุโรปได้แถลงกันยกใหญ่ว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่จะเติบโตเร็วที่สุดในสมัยศตวรรษที่ 21 เพราะเห็นว่ากระแสผู้นับถือเติบโตเร็วมากทั้งในทวีปยุโรป, ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ ไม่ว่าฝรั่งเศส, เยอรมนี, อิตาลี, อังกฤษ, สเปน, ออสเตรเลีย ฯลฯ วัดวาอารามผุดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง คนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการนำพระพุทธศาสนาเข้าสู่ประเทศฝรั่งเหล่านี้แต่ไหนแต่ไรมาส่วนมากแล้วนับถือศาสนาคริสต์มาก่อน และกระแสชาวคริสต์หันมานับถือพระพุทธศาสนานี้ก็ก่อตัวอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 19
    ประเทศยุโรปบางแห่ง เช่น อิตาลีได้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ ยกพระพุทธศาสนาให้เป็นหนึ่งในศาสนาสำคัญของชาติ ไม่ต่างอะไรกับศาสนาคริสต์

    สมเด็จพระสันตปาปา จอห์น ปอล ที่สองซึ่งเป็นประมุขของคริสตจักร นิกายโรมันคาทอลิก
    ทรงมองเห็นกระแสดังกล่าว ครั้งได้ประทานสัมภาษณ์แก่วิตโดริโอ เมสซุรี่ นักเขียนและนักสื่อมวลชนที่มีชื่อของอิตาลี เมื่อ ค.ศ. 2536 อันเป็นช่วงที่มีการเฉลิมฉลองครบ 15 นับแต่ที่พระองค์ได้ ทรงรับเลือกให้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตปาปา จึงทรงตั้งพระทัยวิพากษ์วิจารณ์เนื้อหาพระพุทธศาสนาอย่างตรงๆ ต่อมาบทประทานสัมภาษณ์ซึ่งมีหลายตอนนี้มาพิมพ์รวมเล่มในรูปหนังสือชื่อ Crossing the Threshhold of Hope (London, Jonathan Cape, 1994) มีทั้งหมด 244 หน้า (รวมดรรชนีคำศัพท์)
    ตอนที่ทรงวิพากษ์วิจารณ์คำสอนพระพุทธเจ้า (ซึ่งทรงเข้าพระทัยผิดๆ อยู่มาก) อยู่ในบทที่ 12 มีทั้งหมด 7 หน้า (ตั้งแต่หน้า 84-90)
    สาเหตุที่ทรงวิจารณ์พระพุทธศาสนา มีกล่าวชัดในบทประทานสัมภาษณ์ กล่าวคือทรงต้อง การเตือนสติชาวคริสต์ทำนองว่าไม่ควรด่วนเข้าไปนับถือคำสอนพระพุทธศาสนา แต่ควรใช้วิจารณญาณ (For this reason, it is not inappropriate to caution those Christians who enthusiastically welcome certain ideas originating in the religious traditions of the Far East, pp.89-90) ที่เป็นดังนี้ เพราะกระแสคนหันมานับถือพระพุทธศาสนา และช่วยกันเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างแข็งขันในยุโรป ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมักเป็นชาวคริสต์มาก่อน หลายคนเคยเป็นบาทหลวงระดับสูง ต่อมาก็มีฝรั่งนักวิชาการชาวพุทธหลายคนทั้งพระ ทั้งฆราวาส ซึ่งเคยเป็นชาวคริสต์มาก่อน ได้เขียนตอบโต้พระองค์ลงวารสารต่างๆ มากมาย ที่โดดเด่นก็ คือ กลุ่มพระสงฆ์ชาวอิตาเลี่ยนในอิตาลี นำโดย พระฐานวโร ได้เข้าเฝ้าเพื่อทูลชี้แจงให้สมเด็จพระสันตปาปาทรงทราบด้วยซ้ำว่าทรงอธิบายพระพุทธศาสนาผิดๆ

    ยุโรปตอนนี้จึงเหมือนอินเดียครั้งพุทธกาล ศาสนาเดิมที่ผู้คนนับถือคือศาสนาพราหมณ์ แต่เมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาก็มีผู้เคยนับถือศาสนาพราหมณ์มานับถือ และขวนขวายเผยแผ่พระพุทธศาสนาเป็นการใหญ่
    ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเดือดเนื้อร้อนพระทัยว่าใครจะหันมานับถือศาสนาของพระองค์หรือไม่ ทรงสอนให้ผู้ฟังเทศน์ของพระองค์รู้จักไตร่ตรองหาเหตุผลให้รอบคอบก่อนถึงจะเชื่อ หลายคนที่หันมานับถือคำสอนของพระองค์เคยให้ความอุปถัมภ์ศาสนาอื่นมาก่อนก็มี พระองค์ก็ทรงแนะให้คนเหล่านี้กลับไปคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ มิหนำซ้ำพระองค์ยังคงแนะให้บรรดาผู้หันมานับถือพระพุทธศาสนาเหล่านี้ยังคงอุปถัมภ์บำรุงศาสนาอื่นๆ ที่ตนเคยนับถือตามปกติไปด้วย
    แต่เดิม ศาสนาคริสต์ถูกลัทธิมาร์กซ์โจมตีอย่างรุนแรงมาร์กซ์ได้ประณามศาสนาว่า คือยาเสพติด เพราะสอนให้ประชาชนศรัทธาแบบหัวปักหัวปำโดยไม่ใช้ปัญญาไตร่ตรอง หลายอย่างขัดแย้งหลักวิทยาศาสตร์ เช่น โลกแบน, โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ฯลฯ นักวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบความจริงใหม่ ๆ หลายคนถูกศาสนจักรลงโทษจนตายในคุก
    แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเข้าสู่ยุโรป พระพุทธศาสนาได้สอนให้ปัญญาชนชาวยุโรปได้เข้าใจความหมายของ Religion เสียใหม่ว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าคือคำสอน ซึ่งทรงสอนให้ผู้ฟังใช้ปัญญาพิจารณาอย่างถ่องแท้ก่อนจะปลงใจเชื่อ ไม่ใช่เทวโองการ (Gospel)จากพระเจ้าซึ่งแย้งไม่ได้ พระสงฆ์หรือพุทธสาวกก็มิใช่มิชชันนารี ซึ่งมีภารกิจหลักคือจาริกไปชี้ชวนให้ใครต่อใครมานับถือพระศาสนา พระสงฆ์หรือพุทธสาวกมีหน้าที่เพียงอธิบายคำสอนของพระพุทธเจ้าให้ คนที่สนใจฟังเท่านั้น ใครไม่สนใจฟัง ชาวพุทธก็ไม่เคยใช้กฎหมายหรือรัฐธรรมนูญบังคับให้นับถือ ไม่เคยตั้งกองทุนให้การศึกษาฟรี แล้วสร้างเงื่อนไขให้ผู้รับทุนเปลี่ยนมาเป็นชาวพุทธ ไม่เคยสร้างที่พักอาศัยให้หรือแจกทานให้อาหารฟรีๆ แล้ววางเงื่อนไขให้คนมาขออาศัยตนต้องหันมานับถือศาสนาในภาวะจำยอม

    ขณะที่ศาสนาคริสต์ต้องใช้ความพยายาม อย่างหนักเพื่อดึงศรัทธาชาวยุโรปให้นับถือเหมือนเดิม ในเวลาเดียวกัน
    ก็พยายามแสวงหาผู้นับถือใหม่ๆ ในประเทศเอเชียให้มากยิ่งขึ้น การเผยแพร่หนังสือ “พลังชีวิต”
    ซึ่งจัดพิมพ์โดยมูลนิธิอาร์เธอร์ เอส เดอมอส ในประเทศไทยคือหนึ่งในความพยายามดังกล่าวนี้

    ความใจกว้างและมีหลักคำสอนที่เป็นสัจธรรม เชิญชวนให้มาพิสูจน์ด้วยการปฏิบัติเองและเน้นให้ใช้ปัญญาไตร่ตรองให้รอบคอบก่อนนับถือ ทำให้พระพุทธศาสนาได้รับการยอมรับจากวิญญูชนไปทั่วโลก นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ดัง ๆ ระดับโลกจำนวนมาก เช่น โซเพน ฮาวเออร์, ไอน์สไตน์ ต่างหันมานับถือพระพุทธศาสนา

    นับแต่พระพุทธศาสนาเข้ายุโรปสมัยศตวรรษที่ 19 ก็มีงานวิจัยหลายชิ้นแสดงสถิติว่าคนยุโรปและอเมริกาชาติต่าง ๆ หันมาเข้าวัดในพระพุทธศาสนามากขึ้นบ้าง ประกาศตนเป็นพุทธมามกะมากขึ้นบ้าง สถานปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนาซึ่งรวมทั้งวัดวาอารามเพิ่มขึ้นที่นั่นที่นี่ประจำบ้าง

    เดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาก็มีข่าวออกมาอีกว่า ดาราฮอลลี้วูดอังกฤษ ชื่อ ออร์นันโด บลูม ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้แสดงนำในหนังเรื่อง The Lord of the Rings ได้ทำพิธีประกาศตนเป็นพุทธมามกะต่อหน้าสาธารณชนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว

    ระหว่างทหารอเมริกันพยายามไล่บี้ทหารอิรักอย่างเมามันตามคำสั่งของประธานาธิบดีบุชไม่นานมานี้ ทหารอเมริกันคนหนึ่งนามว่า เจเรมี่ ฮินซ์แมน วัย 26 ปี ได้ตัดสินใจหนีทัพอเมริกาในอิรักไปปักหลักลี้ภัยในแคนาดา เขาให้เหตุผลว่าสงครามที่อเมริกาทำกับชาวอิรักเป็นสงครามผิดกฎหมาย ประเด็นที่น่าสนใจก็คือเขาเป็นชาวพุทธที่สนใจปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง เขาให้สัมภาษณ์ว่าคำสอนพระพุทธศาสนาสอนให้เขาไม่อยากทำสงคราม เขาตั้งปฏิญาณว่าจะรับใช้ชาติหรือพิทักษ์ชาติจากการรุกรานของข้าศึกศัตรู แต่มิใช่ไปทำสงครามแบบก้าวร้าวต่อชาติอื่นดังที่ทหารอเมริกันกำลังทำอยู่ในอิรักเวลานี้

    ผมได้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ Lanka Daily News ในลังกาตั้งแต่ 23 ต.ค. ที่แล้วว่าปัจจุบันพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่เติบโตเร็วที่สุดในแคนาดา ประเทศแคนาดาเป็นประเทศที่มีพื้นที่กว้างที่สุดในอเมริกาเหนือ พระพุทธศาสนาเข้าแคนาดาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และมาบูมขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2503-2513 (1960s) เป็นต้นมา ช่วงนั้นมีการสำรวจพบว่าวัดชาวพุทธมีแค่ 18 วัด มีชาวแคนาดาปฏิบัติธรรมราวๆ 10,000 คน แต่เมื่อสำรวจผู้นับถือพระพุทธศาสนาอีกครั้งในพ.ศ. 2528 ชาวพุทธมีเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 คน หกปีหลังจากนั้นคือพ.ศ. 2534 รัฐบาลสำรวจคร่าวๆ อีกครั้งพบว่าผู้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะมีเพิ่มเป็น163,415 คน รัฐมาสำรวจครั้งล่าสุดอีกครั้ง เมื่อพ.ศ. 2544 พบว่าพุทธมามกะแท้ ๆ มีไม่ต่ำกว่า 5 แสนคน แซงหน้าจำนวนผู้นับถือศาสนาฮินดูและศาสนาซิกข์ ซึ่งเคยตามหลัง จำนวนผู้นับถือยังเติบโตแบบก้าวกระโดดเช่นนี้ทุกปี

    ผลสำรวจยังบอกว่าวัด, สถานที่ปฏิบัติธรรม หรือศูนย์กลางของชาวพุทธในแคนาดาตอนนี้มีเกือบๆ จะถึงหนึ่งพันแห่งทั่วประเทศ เมืองที่มีชาวพุทธมากที่สุดคือ ออนตาริโอ, บริติชโคลัมเบีย และควิเบก ข่าวยังลงด้วยว่าแม้จำนวนคนนับถือจะยังอยู่เรือนแสน แต่จำนวนผู้แสดงความสนใจและเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนาบ้างแล้วมีหลายล้านคนทั่วประเทศ

    เมื่อ 9 พ.ย. ที่ผ่านมา โฆษกประจำรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย กระพือข่าวว่า
    องค์ทะไลลามะจะได้รับอนุญาตให้เข้ารัสเซีย หลังจากถูกแบนเพราะเกรงจะกระทบความสัมพันธ์กับจีน หลังจากรัสเซียเซ็นสัญญามิตรภาพกับจีน เมื่อ พ.ศ. 2544 แต่ชาวรัสเซียก็แสดงจุดยืนชัดเจน
    ว่าองค์ทะไลลามะจะมาเยือนด้วยภารกิจศาสนา เมื่อกระแสประชาชนเรียกร้องหนักขึ้น รัสเซียก็ยอมอนุญาตให้ท่านเข้ารัสเซียแต่โดยดี ปลาย พ.ย.ที่ผ่านมา ท่านทะไลลามะจึงมีโอกาสแสดงธรรมโปรดพุทธบริษัทและประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกที่เมืองกัลมิเกีย ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมอสโกประมาณหนึ่งพันไมล์
    ชาวรัสเซียหลายคนในเมืองนี้มีบรรพบุรุษเป็นชาวมองโกลซึ่งอพยพจากทางตะวันตกของจีนเข้าสู่รัสเซียเมื่อราว 4 ร้อยกว่าปีมาแล้ว พระพุทธศาสนาที่นำเข้ามาจึงเป็น พระพุทธศาสนาแบบทิเบต ผลปรากฏว่า มีชาวพุทธและผู้สนใจทั่วๆ ไปชาวรัสเซียแห่กันมาฟังธรรมล้นหลามเป็นจำนวนหลายพันคน
    ผู้สื่อข่าวรายงานลงใน Ireland Online ว่าจากจำนวนประชากรของเมืองนี้ ทั้งหมดราว 3 แสนคน ประมาณครึ่งหนึ่งนับถือพระพุทธศาสนา รัสเซียมีประชากรราว 144 ล้านคน ในจำนวนนี้มีราว 1 ล้านคน ที่ประกาศตนเป็นพุทธมามกะ

    ผมดูภาพรวมพระพุทธศาสนาจากข่าวสารต่างๆ แล้วก็รู้สึกได้ว่าวัฒนธรรมแบบพุทธกำลังเติบโตและเบ่งบานในหลาย ๆ ประเทศของทวีปยุโรป, ออสเตรเลีย และอเมริกาบางแห่ง เช่น รัสเซียแม้จะเติบโตช้า แต่ปีที่กำลังจะผ่านไปนี้ก็เริ่มมีการติดต่อกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ผมคิดว่าปัญญาชนในประเทศทุนนิยมทั่วโลกเวลานี้คงเอือมระอากับ “ทุนนิยมเสรี” หรืออีกชื่อหนึ่งว่า กระแสโลกาภิวัตน์กันไม่น้อยและก็คงเห็นชัดเจนแล้วว่ามีแต่ศาสนาเท่านั้นที่จะช่วยเปลี่ยนให้มนุษย์มีความเป็นผู้เป็นคน(ใจสูง) มากขึ้น ท่ามกลางกระแสสังคมที่มีแต่นายทุนจอมตะกละตะกรามแสวงหากำไรสูงสุดอยู่ทุกแห่ง ดังนั้น จึงเริ่มผ่อนปรนให้ผู้นำศาสนาทำงานได้สะดวกขึ้น



    [​IMG]

    ที่มา : ดร.ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
    http://www.siamrath.co.th/Education.asp?ReviewID=89725
    http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=buddhiststudies&id=61



    "นี่ๆ เลโกลัส ทำไมพุทธศาสนาจึงเสื่อมมาจาก...แล้วมาเจริญทางยุโรปอเมริกาเราได้ล่ะ..???"
    "เอ..ข้าว่า อาจเป็นเพราะคนยุโรปอย่างเราถือเหตุผลแบบวิทยาศาสตร์เป็นหลักใหญ่ ซึ่งพุทธศาสนาเข้ากับหลักนี้ได้อย่างพอดีนะ ท่านอารากอน"
    "มิผิดแล้ว ข้าก็คิดเยี่ยงนั้น"
    "แต่ว่า พุทธศาสนาก็มีติดเชื้อ(สัทธรรมปฏิรูป)ปลอมปนเข้ามาเหมือนกัน ท่านอารากอนจงพิจารณาให้ดีก่อนจะเลือกเชื่อนะ"
    "ขอบใจที่เตือน แต่ข้ารู้ดี เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้าดอก"
    "สาธุ.....ดีแล้วละท่าน"

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>










    "ต่อไป ศาสนาพุทธจะเสื่อมจากเมืองไทย(แม้รูปแบบวัดวาพระบทพระบาทพระธาตุเจดีย์จะยังคงมีอยู่ แต่มรรคผลนิพพานอันเป็นเนื้อแท้แห่งศาสนาแทบไม่เหลือ เพราะสัทธรรมปฏิรูปเข้ามาปลอมปนจนวิปริตผิดเพี้ยนจากพุทธพจน์เดิมไปจนหมดสิ้น) แต่จะไปเจริญทางยุโรป,จีน,รัสเซีย,ออสเตรเลียแทน..!!?!"

    ประมวลคำพยากรณ์ของครูบาอาจารย์หลายองค์ มีหลวงพ่ออุตตมะ,หลวงพ่อพุธ,หลวงพ่อบุญฤทธิ์และ ฯลฯเป็นต้น


    "หากคนตะวันตก(ยุโรป)นับถือพระพุทธศาสนา จะดีกว่าคนไทยเรา เพราะคนตะวันตกนั้นเขาตั้งใจจริง,ศึกษาจริง,ค้นคว้าเจาะลึกจริงและปฏิบัติจริงยิ่งกว่าเราเยอะ..!!!!"
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา




    ขอขอบคุณเว็บไซท์
    http://www.phuttawong.net
     
  11. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    916
    ค่าพลัง:
    +4,291
    พระเครื่องภาคภาษาอังกฤษ.!!!!!
    ****************************

    แท้จริงแล้ว ก็คือ"พระสมเด็จหลังโอวาทปาฏิโมกข์"ที่ไม่ลงเป็น"อักขระยันต์"หรือ"ตัวขอม"ใดๆเหมือนอย่างที่เห็นๆมาต่อไปอีกแล้ว...
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE>


    แต่ปริวรรติดัดแปลงทำเป็น"ภาษาอังกฤษ" ที่"พุทธวงศ์"และคณะร่วมกันจัดสร้าง โดยจะถวายพระเถรานุเถระไปถวายวัดหรือแจกพุทธศาสนิกชนที่ต่างประเทศ เพื่อเป็นการรักษาหัวข้อธรรมอันเป็น"หัวใจของพระพุทธศาสนา"ให้คงอยู่ในอีกรูปแบบหนึ่งตลอดไป.... <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    สพฺพปาปสฺส อกรณํ
    กุสลสฺสูปสมฺปทา
    สจิตฺตปริโยทปนํ
    เอตํ พุทฺธาน สาสนํ . . . ฯ
    Abstention from all evil,
    Cultivation of the wholesome,
    Purification of the heart;
    This is the Message of the Buddhas.
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    *****************************

    ปริยัติอันตรธาน</B>

    พระปริยัติ ได้แก่พระไตรปิฏกทั้ง ๓ คือ พระวินัยปิฏก พระสุตตันตปิฏก และพระอภิธรรมปิฏก ตราบใดที่พระไตรปิฏกยังดำรงอยู่ พระพุทธศาสนาก็ชื่อว่าดำรงอยู่ตราบนั้น เพราะบุคคลจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ก็ด้วยอาศัยการศึกษาเล่าเรียนพระไตรปิฏก เมื่อพระปริยัติเสื่อมถอยหาบุคคลที่จะศึกษาเล่าเรียนน้อย ศาสนาก็เสื่อมถอยตามไปด้วย การเสื่อมถอยแห่งพระปริยัตินั้นจะมีสิ่งบอกเหตุให้ทราบเป็นลำดับคือ
    เมื่อถึงกลียุคสมัย พระราชามหากษัตริย์มิได้ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมประเพณี อีกทั้งหมู่อำมาตย์ราชเสนาบดี รวมทั้งอาณาประชาราษฏร์ทั้งในเมืองและชนบท ต่างพากันงดเว้นจากการประพฤติธรรม พากันหาความสุขสำราญตามอัธยาศัย ข่มเหงเบียดเบียนผู้ที่อ่อนแอกว่าให้เดือดร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ ดินฟ้าอากาศก็วิปริต ผิดปกติฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชพันธุ์ธัญญาก็หายาก หมู่มนุษย์และสัตว์พากันลำบากเดือดร้อนขาดแคลนอาหารทั้งทรัพย์สินเงินทอง เมื่อมนุษย์ทั้งหลายต่างพากันอดอยากยากเข็ญแล้ว จตุปัจจัยไทยทานที่จะถวายแก่พระภิกษุสงฆ์ให้อยู่ดีมีสุขก็หายาก ภิกษุสงฆ์ก็พลอยได้รับความลำบากไปด้วย เมื่อสถานการณ์บ้านเมืองเป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถสงเคราะห์กุลบุตรให้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติได้ ครั้นเมื่อพระปริยัติขาดผู้เล่าเรียนแล้วก็เสื่อมทรุดลงตามลำดับ ภิกษุทั้งหลายจะไม่รู้ความหมายแห่งพระปริยัติ จะเหลือแต่บาลีอย่างเดียวแต่ขาดผู้รู้ความหมาย
    ในการเสื่อมสูญแห่งพระไตรปิฏกนั้น พระอภิธรรมปิฏกจะเสื่อมก่อน พระอภิธรรมนั้นมี ๗ คัมภีร์ ได้แก่
    ๑.พระสังคิณี
    ๒.พระวิภังค์
    ๓.พระธาตุกถา
    ๔.พระปุคคลบัญญัติ
    ๕.พระกถาวัตถุ
    ๖.พระยมก
    ๗.พระมหาปัฏฐาน

    ในพระอภิธัมทั้ง ๗ คัมภีร์นี้ เมื่อจะเสื่อมก็เสื่อมลงจากยอด คือคัมภีร์มหาปัฏฐานก่อน ลำดับต่อไปก็เป็นคัมภีร์ยมก กถาวัตถุ จนถึงสังคิณี โดยลำดับ
    เมื่อพระอภิธรรมปิฏกเสื่อมแล้ว ถ้าพระสุตตันตปิฏกและพระวินัยปิฏกยังดำรงอยู่ ก็ชื่อว่าพระพุทธศาสนายังดำรงอยู่เช่นกัน
    พระสุตตันตปิฏกนั้น เมื่อจะเสื่อมก็เสื่อมมาจากยอดคือ อังคุตรนิกายเสื่อมก่อน จากนั้นก็ถึง สังยุตนิกาย มัชฌิมนิกาย และทีฆนิกายเป็นสุดท้าย เมื่อทีฆนิกายเสื่อมแล้ว พระสุตตันตปิฏกจึงได้ชื่อว่าเสื่อมสูญ จากนั้นภิกษุทั้งหลายไม่สามารถจะทรงจำซึ่งชาดกต่างๆ ได้ และชาดกที่จะเสื่อมเป็นชาดกแรกก็คือ เวสสันดรชาดก
    ต่อจากนั้น ภิกษุทั้งหลายก็จะทรงจำไว้ซึ่งพระวินัยปิฏกเพียงอย่างเดียว ครั้นเวลาล่วงไป พระวินัยปิฏกก็เสื่อมลงเป็นปิฏกสุดท้าย และเมื่อเสื่อมคัมภีร์บริวารจะเสื่อมเป็นคัมภีร์แรก ต่อจากนั้นก็เป็นคัมภีร์ขันธกะ คือ จุลวรรค คัมภีร์ภิกขุวิภังค์ ภิกขุณีวิภังค์ เสื่อมลงมาตามลำดับ จึงได้ชื่อว่าพระวินัยปิฏกเสื่อมสูญ
    แม้กระนั้น พระปริยัติก็ชื่อว่าไม่เสื่อม ถ้าตราบใดที่ยังมีบุคคลสามารถจำคาถาแม้ไม่มากเพียง ๔ บาทเท่านั้น พระปริยัติก็ยังชื่อว่าไม่อันตรธาน แต่ถ้าเมื่อใด หาผู้รู้คาถาเพียง ๔ บาทนั้นไม่ได้แล้ว เมื่อนั้น พระปริยัติ ชื่อว่าอันตรธานสูญสิ้นหาเศษมิได้​



    ขอขอบคุณเว็บไซท์
    http://www.phuttawong.net
     
  12. rawats_99

    rawats_99 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,020
    ค่าพลัง:
    +1,947
    เป็นไปตามกฏไตรลักษณ์ครับ...ศาสนาอยู่ที่คนครับไม่ใช้วัตถุ
     
  13. kung_9894

    kung_9894 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +1,584
    ได้ทำการโอนเข้าบัญชีธ.กรุงศรีฯไปวันนี้เวลาประมาณ 11.45 น. จำนวน 500 บาทค่ะ
    ขออนุโมทนากับทุกท่านด้วยทุกประการค่ะ
     
  14. สิทธิชัยพัทยา

    สิทธิชัยพัทยา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2009
    โพสต์:
    52
    ค่าพลัง:
    +304
    แจ้งโอนเงิน ครับ
    <TABLE class=MainTb border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>ชื่อบัญชีผู้โอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>นาย สิทธิชัย ว่องสารกิจ </TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>ธนาคารผู้รับโอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>ธ.กรุงศรีอยุธยา - BAY </TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>เลขที่บัญชีผู้รับโอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>348-1-23245-9 </TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>ชื่อบัญชีผู้รับโอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>PRATOM F. </TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>จำนวนเงิน (บาท)</TD><TD class=RightCL colSpan=2>500.00 </TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>ค่าธรรมเนียม </TD><TD class=RightCL colSpan=2>0.00</TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>กำหนดวันโอน</TD><TD class=RightCL colSpan=2>14/06/2010 03:03:39 PM </TD></TR><TR class=SwapR><TD class=LeftCL>หมายเลขอ้างอิงรายการ</TD><TD class=RightCL colSpan=2>tmbi2615698 </TD></TR><TR class=SwapBR><TD class=LeftCL>หมายเลขอ้างอิงระหว่างธนาคาร</TD><TD class=RightCL colSpan=2>276502641774 </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    วันนี้ 14.02 น.ได้โอนตังทำบุญประจำเดือนมิถุนายนเข้าไปจำนวน 2700 บาท
    ขอขอบคุณเพื่อนๆผู้ใจดี ใจบุญ ทุกคนที่ได้ร่วมบุญกันมาตลอดระยะเวลาร่วม 2 ปี
    ขอบุญนี้ที่พึงได้ ทุกท่านจงเป็นผู้มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง โรคภัยไม่กล้ำกลาย
    จงเป็นผู้มีสุขภาพอันเลิศ ขอบารมีพ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย โปรดได้เมตตาคุ้มครองท่านทั้งหลาย สาธุ
     
  16. san02

    san02 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +145
    ได้ทำการโอนเข้าบัญชีธ.กรุงศรี เมื่ิอวันที่ 15 จำนวน 500 บาท
     
  17. fullmoonsun

    fullmoonsun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    735
    ค่าพลัง:
    +2,321
    Anumothana Sathu
     
  18. Numsai

    Numsai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    5,778
    ค่าพลัง:
    +87,677
    ขออนุโมทนาบุญกับท่านจขกท.และทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    วันนี้ได้โอนเงินจาก ATM No.C316B180 เวลา 16.33 น.
    เพื่อเข้าบัญชี ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร หมายเลข 348-1-23245-9
    ธ.กรุงศรีอยุธยา จำนวน 300 บาท

    ขออานุภาพแห่งบุญนี้ จงส่งผลให้ข้าพเจ้าและครอบครัว ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ตลอดทั้งเวรภัยทั้งหลาย อย่าได้ประสบทั้งโจรภัย วาตะภัย อัคคีภัย และอุทกภัย นับแต่บัดนี้ เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ...สาธุ

    ขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านด้วยค่ะ

    Numsai
    rat_wting
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 มิถุนายน 2010
  19. Guide_Raito

    Guide_Raito เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    892
    ค่าพลัง:
    +2,990
    โมทนาบุญครับ
    _____________________________________________________________________________________________________________________________
    มีบุญมาฝากคับทางกลุ่มพระพุทธศาสนา ม. สงขลานครินทร์ ภูเก็ต ได้ จัดทำโครงการแจกสือ่ ธรรมะของสายหลวงพ่อฤาษีลิงดำคับ เพราะ ที่นี่มีเด็กหลายคนสนใจมาฝึกมโนมยิทธิและหันมาทำความดีกัน เนื่องด้วย สื่อ ธรรมะ ของหลวงพ่อ ครับทางชมรมเลยจัดโครงการแจกสือ่ธรรมะเป็นสาธารณะประโยชน์ แก่ โรงเรียน ห้องสมุดต่างๆเพื่อ ชักจูง คนให้เป็นสัมมาทิฐิและเป็นกำลังพระศาสนา สืบต่อไปครับ
    ขอให้ชาวเวปพลังจิตทุกท่าน เจริญขึ้นทั้งทางโลก และทางธรรม เข้าถึงธรรมขององค์สมเด็จฯ ได้โดยง่ายครับ
    [​IMG] [​IMG]
    เข้าชมรายละเอียดได้ที่http://palungjit.org/threads/ขอเชิญร่วมบุญ-โครงการธรรมทานกับนักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์-ภูเก็ต-218421.html<O:p></O:p>


    ขอเชิญร่วมสร้าง ถนน สายบุญ พระพุทธบาทสี่รอย ซึ่งเป็นที่น่าสักการะ และศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งด้วยพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ในกัปเจริญนี้

    http://palungjit.org/threads/%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%8D%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%8D.235467/
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,101
    [​IMG]



    เด็กข้างเตียง กับคำพ่อสอน
    <!--Main-->เด็กข้างเตียง กับคำพ่อสอน"
    คุณทิพาภรณ์ เจียรวนนท์
    ลูกสาวคนสุดท้องของ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์
    ประธานกรรมการและประธานคณะบริหารบริษัท เครือ เจริญโภคภัณฑ์


    เทคนิค การสอนลูกของเจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ หรือท่านประธานของลูกๆ ที่บอกว่าเมื่อไหร่สวมบทท่านประธานก็จะดุ ต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมตอบอยู่เสมอ ถ้าตอบไม่ได้ก็ต้องทำตัวลีบๆ แล้วไปหาคำตอบมารายงานใหม่

    แต่ถ้าเป็นบทบาทคุณพ่อ จะเป็นคุณพ่อใจดีที่คอยสอนและให้คำแนะนำที่ดีเสมอ คุณบีเล่าว่าตอนเด็กๆ คุณแม่เป็นคนที่สอนไม่ให้ดูถูกคน สอนให้อ่อนน้อมถ่อมตน อย่าง พี่เลี้ยงเราต้องยกมือไหว้หมด อาละวาดไม่ได้ ตีพี่เลี้ยงไม่ได้ ต้องให้ เกียรติคน คุณแม่บอกว่าคุณแม่มาจากฐานะยากจน เคยถูกคนอื่นดูถูก จะสอนเราเรื่องพวกนี้

    ส่วนคุณพ่อสอนให้เรามองตัวเองตลอด เวลามีความผิดพลาด ก่อนที่จะมองคนอื่นให้มองตัวเอง ก่อน ตั้งแต่เด็กๆ มีหลายเรื่องที่คุณพ่อสอนและติดเป็นนิสัย ซึ่งมีประโยชน์มากๆ ตอนโต

    ทุกคืนจะเป็นเด็กข้างเตียง ไปเกาะเตียงคุณพ่อเล่าโน่นเล่านี่ คุณพ่อจะสอนว่า ทุกวันตอนนั่งรถกลับจากโรงเรียน ให้คิดว่าวันนี้ไปพูดจาใจร้ายกับใครหรือเปล่า ทำตัวไม่ดีหรือเปล่า ไปทำตัวให้ใครเสียใจหรือเปล่า ก็มาเล่าให้คุณพ่อ ฟังว่าวันนี้เปิดกระโปรงเพื่อน หรือว่าเถียงคุณครู หรือไปช่วยคุณยายขายขนม ท่านเป็นคนที่ encourage ให้ทำเรื่องดีๆ ท่านก็จะชื่นชมถ้าเราไปทำเรื่อง ดีๆ พอเล่าเสร็จ ท่านจะเอาเรามากอด แล้วบอกว่า ฉลาดที่สุดเลย เก่งที่สุดเลย ทำให้เราที่ตัวเล็กๆ หัวใจคับตัว ทำให้เราคิดแต่จะทำความดี

    หรือถ้าไปทำเรื่องไม่ดี ท่านก็จะสอนว่า พอ รู้ว่าเป็นความไม่ดี ให้คิดต่อว่าแล้วพรุ่งนี้จะไปแก้ตัวว่าอย่างไร จะปรับปรุงอย่างไร อย่างเช่นเปิดกระโปรงเพื่อน วันพรุ่งนี้ไปขอโทษ เอาขนมไปให้

    ตอนแรกๆ ก็เริ่มจากการ analyse ตัวเองทุกวันว่า เราทำอะไรไม่ดี แต่พอเราได้รับคำชมเรื่องดีๆ เยอะๆ ความคิดก็เริ่มคิดที่จะทำความดีๆ ไปโรงเรียนก็พกดินสอไปเยอะๆ เผื่อใครลืมดินสอก็เอาไปให้เขา

    นิสัยจากที่ถูกสอนให้เราได้วิเคราะห์ตัวเองทุกวัน เวลาเราตัดสินใจผิด หรือตัดสินใจเรื่องนี้ขาดทุนยับเยิน หรือบางทีใช้อารมณ์กับลูกน้อง กลุ้มใจ พอคิดถึงสิ่งที่เราถูกฝึกมา ก็จะเตือนตัวเองว่าอย่ากลุ้มใจนาน เอาคืนไม่ได้แล้ว คิดต่อว่าพรุ่งนี้จะไปแก้ปัญหาอย่างไร

    การวิเคราะห์ตัวเองทุกวันให้อยู่กับความ เป็นจริง เป็นนิสัยที่เป็นประโยชน์มากๆ

    อีกเรื่องที่คุณพ่อสอน คือ สอนให้เห็นข้อ ดีของคน วันหนึ่งมีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งมาหาคุณพ่อ ตอนเด็กๆ เราจะรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้ไม่ดีเราไม่คบ และผู้ใหญ่คนนี้มีพฤติกรรมบางอย่างที่เราไม่ชอบ แต่เราเดินผ่านคุณพ่อเห็นจะเรียกเรามาสวัสดี และจะชื่นชมเขาให้ฟังต่อหน้าเขา วันหนึ่งกล้ามาก ถามคุณพ่อว่าคนนี้ไม่เห็นดีเลย ทำไมคุณพ่อไปชมเขา แกล้งชมหรือเปล่า เหมือนไม่จริงใจหรือเปล่า ซึ่งตอนนั้นไปเรียนหนังสือที่อเมริกา แล้ว (ไปเรียนที่ อเมริกาตอนอายุ 14 ปี)

    ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าคนเราทุกคนมีทั้งข้อดีและข้อไม่ดี ท่านถามว่าสมมติมีเพื่อนที่ชอบนินทา ถามว่าบีจะคบไหม บีฟันธงว่าไม่คบ ท่านถามต่อว่าเพื่อนคนเดียวกันนี้เป็นคนใจอ่อน เห็นใครไม่สบาย ใครมีปัญหาไปช่วยเสมอ ถามว่าบีจะคบไหม ก็เริ่มลังเล แต่ก็ยืนยันว่าไม่คบ ท่านก็สอนว่า ต้องคบคนในเรื่องที่เขาดี ต้องรู้จักชื่นชมในสิ่งที่เขาดี ในเมื่อเขามีน้ำใจช่วยเหลือทุกคน เราต้องเห็นความดีตรงนี้ของเขา ขณะที่เรื่องไม่ดีของเขา ชอบนินทา ก็ต้องรู้จักคบเขา เรื่องอะไรที่ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องให้เขาฟัง หากเราไปเล่าให้ฟัง ถ้าเขาไปเล่าต่อก็ต้องเขกหัวตัวเอง

    ท่านก็ยกตัวอย่างอีกว่าสมมติมีผู้ชายคนหนึ่ง เป็นขโมย บีก็บอกว่าไม่ดีแน่นอน และผู้ชายคนเดียวกันนี้กตัญญูมากๆ มีแม่ไม่สบาย ดูแลแม่ ป้อนข้าวป้อนน้ำ เงินที่ได้มาก็รักษาแม่ ถามว่าเป็นคนไม่ดีหรือเปล่า อันนี้เริ่มลังเล ท่านบอกว่า

    ในมนุษย์ทุกคนมีข้อดีและไม่ดี เราต้องสามารถมองเห็นข้อดีของคน ข้อไม่ดีของคน

    ท่านบอกว่าท่านชมคนท่านชมจากใจจริง หากเราไม่จริงใจกับคน ชมเขา 3 ครั้งเขา ก็รู้ เพราะมนุษย์มี sense เพราะฉะนั้น เราต้องชมในเรื่องที่เป็นจริง ท่านสอนว่ามนุษย์รู้ว่าตัวเองเก่ง ไม่เก่ง หรือถนัด ไม่ถนัดเรื่องอะไร เขาจะ sense ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องรู้ว่าข้อดีของเขาคืออะไร ต้องหาให้ได้ และหากจะชมเขา เราต้องชื่นชมเขาอย่างจริงใจ

    ท่านสอนว่าเรื่องความไม่ดีของคนอย่าไปพูด ความดีเหมือนผ้าขาว ดูง่าย แต่ความไม่ดีเหมือนสีดำ และถ้าเราไม่รู้จริง และไปว่าคน เท่าเป็นการทำร้ายเขา คือความไม่ดี ไม่ต้องพูด ให้รู้เพื่อระวัง และสอนไม่ให้อคติ คือท่านบอกว่ามนุษย์ทุกคนมีความไม่ดี อย่าไปโกรธ อย่าไปอคติ แต่ให้เราทำดีเป็นหลัก

    ตอนไปเรียนที่อเมริกา ถูกฝรั่งแกล้ง เป็นเพื่อนผู้หญิงรุ่นเดียวกัน เขาดูถูกเราตลอด เป็นนักเรียนคนเดียวที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ถูกแกล้ง เอาหนังสือไปทิ้งบ้าง เดี๋ยวถูกขโมยกล่องดินสอบ้าง เดินชนบ้าง และผู้หญิงคนนี้ชอบทำหน้ารังเกียจเราบางทีก็มาด่าเราด้วย และเราไม่ชอบผู้หญิงคนนี้มาก

    แต่ด้วยที่ศรัทธาคุณพ่อมาก ตอนแรกๆ ไม่ได้เชื่อคำสอน 100% แต่คิดว่าถ้าทุกคนมีความดี ผู้หญิงคนนี้มีความดีอะไร ก็เริ่มทำตัวเหมือนนักสืบอยู่หลายเดือน สะกดรอย พยายามหาข้อดีของเขา สังเกตว่าเขาไปทำอะไร เขามีข้อไม่ดี เช่นจีบผู้ชายหลายคน ชอบโดดเรียน แต่เราบังคับตัวเองว่าต้องหาข้อดีให้เจอ คิดว่าจะต้องไปรายงานคุณพ่อ สิ่งสุดท้ายที่เห็น ผู้หญิงคนนี้มีเพื่อนคนหนึ่ง ที่เดี๋ยวก็ร้องให้ เดี๋ยวก็มีเรื่องกับคนอื่น เป็นคนที่อ่อนแอมากๆ และผู้หญิงคนนี้รักเพื่อนมากๆ ต่อให้เรียนอยู่ก็โดดเรียน เดตกับผู้ชายอยู่ก็มาดูแลเพื่อนคนนี้ ทำให้เห็นข้อดีของเขา ถ้าหากให้เราโดดเรียนมาปลอบเพื่อน ถามตัวเองทำได้หรือเปล่า แต่สิ่งที่เขาทำให้เพื่อนเขา เราก็ชื่นชมเขา พอเริ่มเห็นข้อดีของเขาเราก็เริ่มๆ เปลี่ยนมุมมอง ไม่เกลียดเขา เราก็ไม่เป็นทุกข์

    หลังจากนั้นฝึกตัวเอง เชื่อว่าทุกอย่างฝึก ได้หมด พอไม่ชอบขี้หน้าใคร ก็ต้องหาข้อดีให้เจอ ทำมาจนอายุ 24 ปี ประมาณ 10 ปีเต็ม ทำแบบไม่รู้ตัว จนมีวันหนึ่งเมื่อเรียนจบ นั่งคุยกับเพื่อน เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง มีเพื่อน 2 คนเขาบอกว่าไม่จริง บอกว่าทุกคนจะต้องมีข้อดี เขาเริ่มโยนชื่อเพื่อนสมัยเรียนขึ้นมา เราก็สามารถตอบข้อดีได้หมด วันนั้นทำให้คิดว่าเรื่องนี้มีอยู่ในเราแล้ว 10 ปีที่ฝึกอย่างจริงจัง มันเห็นผล มันเป็นการชำระใจ บีดูแลใจตัวเองมากๆเลย พยายามไม่โกรธ ไม่เกลียดใคร พยายามไม่ให้ทุกข์ข้ามคืน ทบทวนทุกวันว่าทำอะไร

    คุณพ่อสอนว่าเวลาคนมาว่าเรา มาด่าเรา จะไปโกรธเขาทำไม เพราะเวลาคนมาว่าเรา มีเหตุผลอยู่ 2 ข้อ 1.เขาคงเข้าใจผิด เขาจึงมาโกรธเรา ถ้าเข้าใจผิดเราก็หาทางไปชี้แจง จะไปโกรธตอบทำไม 2.เราต้องไปทำอะไรเขาจริงๆ ซึ่งเราอาจจะทำโดยไม่ตั้งใจ ท่านบอกว่าไปขอโทษเขาเสีย มานั่งโกรธเขาไม่ถูก

    มีช่วงหนึ่งที่มีข่าวว่าท่านเยอะ ช่วงที่ทำโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย เคยถามท่านว่า ทำไมถึงมีคนว่ามากขนาดนี้ ตอนนั้นเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสุดท้าย เพื่อนเอาหนังสือพิมพ์มาให้ดู เขียนด่าครอบครัว สาปแช่งว่าโกงกินประเทศชาติ ตอนนั้นเรียนจบ นัดกับเพื่อนว่าก่อนจบจะไปเที่ยวกัน ก็มีเพื่อนของเพื่อนอีกที ไม่รู้จักกัน เขาบอกว่าถ้าทริปนี้มีบีด้วยเขาไม่มา เขาไม่คบกับตระกูลนี้ที่โกงกินประเทศชาติ มันแย่มาก วันหนึ่งก็มาถามคุณพ่อว่าทำไมเขามาว่าเราขนาดนี้ คุณพ่อไม่พูดอะไรที่เป็นลบ ท่านบอกว่าเขาเข้าใจผิด เขาพยายามทำหน้าที่ของเขาคือรักษาผลประโยชน์ให้ประเทศชาติ และหลังจากนั้นเวลาที่บีอยู่ในกลุ่ม ซี.พี. หากมีใครว่าอะไรก็จะบอกว่าคุณพ่อบอกว่าอย่างนี้ ไม่ต้องไปโกรธเขา ไม่ต้องไปว่าเขา

    คุณพ่อเป็น role model สิ่งที่อยากเหมือนคุณพ่อคืออยากทำงานได้เยอะ ช่วยเหลือคนได้เยอะ และมีความสุข คุณพ่อเป็นคนที่ไม่ทุกข์ งานหนักแค่ไหนไม่มีเรื่องเนกาทีฟ ไม่มีระบายอารมณ์ที่บ้าน ไม่เก็บความทุกข์มาใส่ใจ

    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=chettapat&month=16-06-2010&group=37&gblog=8
     

แชร์หน้านี้

Loading...