สโมสรนักบุญภูเหล่าเงินฮาง ร่วมสร้างสรรกับ คณะเบิกบาน บันเทิงบุญ(อดีตรำลึกของบุญกุศล)

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย Nar, 8 กรกฎาคม 2006.

  1. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ครั้นจบคำอธิษฐานลง พระโกณฑัญญสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงพิจารณาดูไปใน อนาคตกาล ก็ได้ทรงทราบด้วยพุทธจักษุญาณว่า ความ ปรารถนาของบรมกษัตริย์องค์นี้จักสำเร็จสมพระประสงค์ จึงได้ทรงพยากรณ์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในที่สุดแห่ง 3อสงไขยแสนกัลป์ นับแต่กัลป์นี้ไปในอนาคตกาลภายหน้า บรมจักรพรรดิ์พระองค์นี้ จักได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า “โคดม” พระนครที่ประสูตินั้นมีนามชื่อว่า “กบิลพัสดุ์” พระพุทธบิดาจักทรงพระนามว่า “สุทโธทนมหาราช” พระพุทธมารดาจักทรงพระนามว่า “สิริมหามายาเทวี” จักมีพระอัครมเหสีพระนามว่า “พิมพา” จักมีพระราชโอรสพระนามว่า “พระราหุลกุมาร”

    พระโคดมพุทธเจ้านั้น จักเป็นฆราวาสครองเรือนอยู่ 29 ปี แล้วจักเสด็จออกสู่มหาภิเนษกรมณ์ ด้วยม้ากัณฐกะ จักทรงทำมหาทุกกรกิริยาอยู่ 6 ปี แล้วก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรากฏขึ้นมาในโลก ในวันแห่งวิสาขปุรณมี เพ็ญเดือน 6 และจะมีปริพาชกทั้ง 2 ซึ่งมีชื่อว่า “โกลิตะ” (พระมหาโมคคัลลานเถรเจ้า) และ ชื่อว่า “อุปติสสะ” (พระสารีบุตรเถรเจ้า) เป็นพระอัครสาวกซ้าย-ขวา จักมีภิกษุผู้อุปัฏฐากประจำชื่อว่า “อานนท” จักมีอัครสาวิกาทั้ง 2 ชื่อ “เขมาภิกษุณี” และชื่อว่า “อุบลวัณณาภิกษุณี” จักมีมหาอุบาสกชื่อว่า “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” จักมีมหาอุบาสิกาชื่อว่า “วิสาขา” ดังนี้

    ครั้นสมเด็จพระเจ้าจิตรราชบรมจักรพรรดิ์ ได้ทรงสดับพระพุทธพยากรณ์ดังนั้นแล้ว ก็ทรงมั่นพระราชหฤทัยเต็มเปี่ยมไปด้วยพระปิติปราโมทย์ ได้ยกพระหัตถ์ทั้ง 2 ขึ้นถวายนมัสการ ๆ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า โกณฑัญญะ ก็ทรงแสดงพระธรรมเทศนา มีทานกถา เป็นต้น ครั้นจบพระธรรมเทศนาลง หมู่มหาชนคนทั้งหลายก็ได้บรรลุธรรมาภิสมัย คือ มรรคผล เป็นอันมาก ส่วนสมเด็จ พระเจ้าจิตรราชบรมจักรพรรดิ์นั้น ก็ได้เสวยราชสมบัติอยู่ใน รัมมวดีมหานครตลอดกาลนาน และได้ทรงบำเพ็ญมหาทานอันยิ่งใหญ่ ครั้นเมื่อสิ้นพระชนมายุสังขารแล้ว ก็ได้ขึ้นไปบังเกิดในเทวโลก ได้เสวยทิพยสมบัติเป็นอนุโลม ปฏิโลม ไป ๆ มา ๆ อยู่ในฉกามาพจรสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ซึ่งบริบูรณ์ด้วยสังคีตและดนตรีอันเป็นทิพย์ ทั้งนี้ก็ด้วยอานิสังสผลแห่งทานการบริจาคนั้น ๆ อำนวยผลส่งให้ ครั้นจุติจากเทวโลกแล้ว ก็ได้ลงมาบังเกิดในมหานครชื่อว่า “กุสาวดี” ได้เป็นบรมจักรพรรดิ์ราช ทรงพระนามว่า “อติเทวบรมจักรพรรดิ์” คอรบครองราชสมบัติอยู่ในกุสาวดีราชธานีโดยยาวได้ 33 โยชน์ โดยกว้างได้ 17 โยชน์ พระเจ้าอติเทวจักรพรรดิราชนั้นทรงเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการ คือ จักรแก้ว 1 ช้างแก้ว 1 ม้าแก้ว 1 แก้วมณี 1 นางแก้ว 1 ขุนคลังแก้ว 1 ขุนพลแก้ว 1 รวมเป็นแก้ว 7 ประการด้วยกัน ดังนี้

    คัดจาก http://www.watpa.us/WIP/pn/prod/PagE...age_id-35.html<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2006
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ guawn
    ท่านหลวงตาย้าของฝากจากจำศีลยังไม่ได้เลยครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ตกลงหลวงตาย้า เป็นปลาช่อนหรือกบละ ถึงได้จำศีล แล้วจำศีลกี่เดือนละครับ

    .
     
  3. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    ในตอนนี้ ได้มีคำปุจฉาสอดถามเข้ามาว่า การที่พระเจ้าอติเทวบรมกษัตริย์ ได้เป็นพระบรมจักรพรรดิราชนั้น ด้วยทำบุญกรรมอะไรไว้ หนึ่งรันตะ 7 ประการ มีจักรแก้วเป็นต้นนั้นได้บังเกิดแก่พระเจ้าอติเทวจักรพรรดิ์นั้น เพราะอานิสังสผลแห่งบุญกรรมอะไร ? จึงมีคำวิสัชนาว่า พระเจ้าอติเทวราช ได้เป็นพระบรมจักรพรรดิ์ และทรงเป็นผู้บริบูรณ์ด้วยแก้ว 7 ประการนั้น เพราะอานิสังสผลที่พระองค์ได้ถวายผ้ากฐินทาน ไว้แก่พระภิกษุสงฆ์ มีพระโกณฑัญญสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน ครั้งเมื่อพระองค์เป็นพระราชาจักรพรรดิ์ ทรงพระนามว่า “จิตรราช” เมื่อพระเจ้าอติเทวจักรพรรดิ์ ได้เสวยราชสมบัติอยู่ในทวีปทั้ง 4 มีเมืองกุสาวดีราชธานีเป็นประธานนั้น เมื่อท้าวเธอเสด็จไปสู่ทวีปใด ๆ ก็ได้ทรงพระราชทานทรัพย์ให้แก่ประชาชน ในทวีปนั้น ๆ จน เพียงพอ แล้วได้ทรงสั่งสอนให้ประชาชนพลเมืองในทวีปนั้น ๆ ให้บำเพ็ญทานรักษาศีล ตามเยี่ยงอย่างของพระองค์ทุกประการ เมื่อพระเจ้าอติเทวบรมจักรพรรดิ์ ได้เสวยสมบัติอยู่ใน มนุษย์โลกอันยิ่งใหญ่ไพศาลเห็นปานฉะนี้ ครั้นเมื่อพระองค์ ทรงสวรรคตแล้วก็ได้ขึ้นไปเกิดเป็นท้าวสักกเทวราช เสวยทิพยสมบัติอยู่ในดาวดึงส์สวรรค์ แต่ได้เป็นท้าวสักกเทวราชอยู่นั้น นับได้ถึง 8 หมื่น 4 พันชาติ ได้เป็นพระบรมจักรพรรดิราชอีก 8 หมื่น 4 พันชาติ ได้เป็นพระราชาเอกราชอยู่อีก 8 หมื่น 4 พันชาติ ได้เป็นอัครมหาเสนาบดีอยู่อีก 8 หมื่น 4 พันชาติ ได้เป็นอัครปุโรหิตาจารย์อยู่อีก 8 หมื่น 4 พันชาติ ได้เป็นมหาเศรษฐีอยู่อีก 8 หมื่น 4 พันชาติ

    คัดจาก http://www.watpa.us/WIP/pn/prod/PagE...age_id-35.html<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2006
  4. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369

    โหย พูดแบบนี้ ผมเหมือนโดนตบหน้าแล้วเอาบาทาลูบพักตร์ จริงๆผมม่ายช่ายปลาช่อนหรือกบนะครับ แต่เป็นหมี

    หมีโคอาล่า อิอิ
     
  5. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    <!-- / message --><!-- sig -->
    กฐินทาน มีผลานิสงส์อันยิ่งใหญ่จะนับประมาณมิได้ ทั้งจะให้บุคคลผู้บริจาคสิ้นจากทุกขภัย พ้นจากความพิบัติและยากจนขัดสน จนได้ล่วงถึงพระอมตมหานิพพานในอวสานชาติที่สุด จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จะพร้อมใจกันประกอบตามประเพณีการทอดกฐินนี้ ซึ่งนอกจากจะได้บำเพ็ญกุศลอันมีผลานิสงส์มากยิ่งแล้ว ยังจะได้ชื่อว่า ได้รักษาประเพณีที่บรรพบุรุษของเราได้ กระทำกันมาจนถึงพวกเราเหล่าลูกหลานทุกวันนี้ และยังได้ชื่อว่าช่วยกันดำรงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำชาติไทยของเราอีกด้วย.

    คัดจาก http://www.watpa.us/WIP/pn/prod/PagE...age_id-35.html<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2006
  6. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2006
  7. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>[FONT=MS Sans Serif, Arial, Georgia]อานิสงส์สร้างกุฎีวิหาร[/FONT]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=left>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=justify>[FONT=MS Sans Serif, Arial, Georgia]......ในกาลครั้งนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา เสด็จประทับอยู่ ณ ลัฏฐิวันสวนตาลหนุ่ม พระองค์เที่ยวโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้มรรค ๔ ผล ๔ ในครั้งนั้นพระเจ้าพิมพิสาร ได้ครองราชสมบัติที่กรุงราชคฤห์ก็มีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า แล้วก่อสร้างกุฎีวิหารในพระราชอุทยานเวฬุวัน สวนป่าไม้ไผ่ ให้เป็นวัดแรกในพุทธศาสนาถวายแก่องค์สมเด็จพระพุทธเจ้าพร้อมกับภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป พร้อมกับถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานสมเด็จพระบรมศาสดา พร้อมกับภิกษุสงฆ์เสร็จภัตตากิจแล้ว พระเจ้าพิมพิสารทูลถามว่า ภนฺเต ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสาธุชนทั้งหลายมีใจศรัทธา ปสันนาการ เลื่อมใสมาก่อสร้างกุฎีวิหารถวายเป็นสังฆทานนั้น จะได้ผลานิสงส์เป็นประการใด ขอให้พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาให้ข้าพุทธเจ้า พร้อมบริษัททั้งหลายให้รู้แจ้งเห็นจริงด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า

    องค์สมเด็จพระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาว่า ดูกรมหาบพิตรพระราชสมภาร บุคคลผู้ใดมีจิตศรัทธาเลื่อมใสพระรัตนตรัยแล้วก่อสร้างกุฎีวิหารศาลาคูหาน้อยใหญ่ ถวายเป็นทาน จะประกอบด้วยผลอานิสงส์มาก เป็นอเนกประการนับได้ถึง ๔๐ กัลป์

    พระองค์ทรงนำอดีตนิทานมาเทศนาต่อไปว่า อดีต ในอดีตกาลล่วงมาแล้ว พระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติบังเกิดในโลกยังศูนย์เหล่าอยู่สิ้นกาลช้านานในระหว่างนั้นพระปัจเจกโพธิเจ้าทั้งหลายก็ได้บังเกิดตรัสรู้ในโลกนี้เมื่อพระปัจเจกโพธิเจ้าก็อาศัยในป่าหิมพานต์อยู่มาวันหนึ่งมีความปรารถนาเพื่อจะมาใกล้หมู่บ้านอันเป็นว่านแคว้นกาสิกราชมาอาศัยอยู่ในราวป่าแห่งหนึ่งแถบใกล้บ้านนั้นมีนายช้างคนหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านนั้น ก็ไปป่ากับลูกชายของตน เพื่อจะตัดไม้มาขายกินเลี้ยงชีพตามเคย ก็แลเห็นพระปัจเจกโพธิเจ้านั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พ่อลูกสองคนก็เข้าไปใกล้น้อมกายถวายนมัสการแล้ว ทูลถามว่าข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าจะไปไหน จึงมาอยู่ในสถานที่นี้

    พระปัจเจกโพธิจึงตอบว่าดูกรอาวุโส บัดนี้จวนจะเข้าพรรษาแล้ว อาตมาเที่ยวแสวงหากุฏีวิหาร ที่จะจำพรรษา นายช่างก็อาราธนาให้อยู่จำพรรษาในที่นี้พระปัจเจกโพธิ ทรงรับด้วยการดุษณียภาพสองคนพ่อลูกก็ดีใจ จึงขออาราธนา พระผู้เป็นเจ้าเข้าไปสู่เรือน ถวายบิณฑบาตทานแก่พระปัจเจกโพธิสองคนพ่อลูกก็เที่ยวตัดไม้แก่นมาทำสร้างกุฎีวิหารที่ริมสระโบกขรณีใหญ่ และทำที่จงกรมเสร็จแล้วขออาราธนา พระผู้เป็นเจ้าจงอยู่ให้เป็นสุขเถิดพระเจ้าข้า

    ครั้นพระปัจเจกโพธิได้รับนิมนต์แล้ว สองคนพ่อลูกตั้งปฏิธานความปรารถนา ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากทุกข์ยากไร้เข็ญใจ และขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองนี้ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพผู้ประเสริฐองค์หนึ่งเถิด

    พระปัจเจกโพธิก็รับอนุโมทนาซึ่งบุญ นายช่างสองคนพ่อลูกอยู่จนสิ้นอายุขัยแล้วก็ทำกาลกริริยาตายไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีวิมานทองเป็นที่รองรับ และเทพอัปสรแวดล้อมเป็นบริวาร เสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์สิ้นกาลช้านานจุติจากสวรรค์นั้นแล้วก็ไปบังเกิดเป็นราชบุตรของพระเจ้าสุโรธิบรมกษัตริย์ในเมืองมิถิลามหานคร ทรงพระนามว่ามหาปนาทกุมาร ๆ เจริญวัยขึ้นได้เสวยราชสมบัติ เป็นพระยาจักรพรรดิราช ด้วยอานิสงส์ที่ได้สร้างกุฎีวิหารถวายเป็นทานแก่พระปัจเจกโพธิ ครั้นตายจากชาติเป็นพระยามหาปนาทแล้ว ก็เวียนว่ายตายเกิดในมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ แล้วก็มาเกิดเป็นเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฎิอยู่ในภัททิยนคร ชื่อว่า ภัททชิ ก็ได้ปราสาท ๓ หลัง อยู่ใน ๓ ฤดู ครั้นเจริญวัยได้บวชในศาสนาสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ในศาสนาของตถาคตดังนี้แล

    ส่วนเทพบุตรองค์พ่อนั้น ยังเสวยทิพย์สมบัติอยู่ในสวรรค์ช้านานจนถึงศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย์ลงมาตรัสสัพพัญญู เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในมนุษย์โลก ได้จุติลงมาปฏิสนธิในครรภ์ พระอัครมเหสีสมเด็จพระเจ้ากรุงเกตุมวดี ทรงพระนามว่าสังขกุมาร ครั้นเจริญวัยแล้วก็ขึ้นครองราชย์สมบัติ ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าสังขจักรบรมกษัตริย์ มีทวีปน้อยใหญ่เป็นบริวาร พระองค์จึงได้สละราชสมบัติบ้านเมืองออกไปบรรพชา ในสำนักพระศรีอริยเมตไตรย์ กับทั้งบริวาร ๑ โกฎิ ก็ได้ถึงอรหันต์ได้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา ทรงพระนามอโสกเถระ ก็ด้วยอานิสงส์ได้สร้างกุฎีให้เป็นทานนั้นแล อันเป็นบุญให้ถึงความสุข ๓ ประการ คือ มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ
    [/FONT]



    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    คัดมาจาก http://www.watpa.us/WIP/pn/prod/PagE...age_id-35.html ครับ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ตุลาคม 2006
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ guawn
    ท่านหลวงตาย้าของฝากจากจำศีลยังไม่ได้เลยครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    ตกลงหลวงตาย้า เป็นปลาช่อนหรือกบละ ถึงได้จำศีล แล้วจำศีลกี่เดือนละครับ

    .

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ผมมิกล้าครับ แต่เป็นท่านแม่ทัพเบาหวิวต่างหากที่นำทางไปอะครับ

    .
     
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ที่หมายในชีวิต ของคนเรานั้น มีทั้งที่เลือกได้และเลือกไม่ได้

    ในขณะยังมีลมหายใจอยู่นี่ซิ เราต่างก็มีความสามารถเลือกที่หมายในชีวิตได้ จึงควรดำรงและดำเนินชีวิตไปด้วยความตั้งมั่นในคุณความดีด้วยแรงศรัทธา

    หากลงได้อาศัยชีวิตมายาวนานตามอายุแล้วที่หมายในชีวิตของแต่ละชาติ ที่ทุกคนต้องประสบพบทั้งนั้นก็คือ การสิ้นลมล้มตายกลายเป็นศพ นั่นเอง

    แม้ความสำเร็จของคนเราจะไม่เหมือนกัน แต่ใช่ว่าจะมีคุณค่าน้อยกว่ากัน เพราะคุณค่าของความสำเร็จล้วนขึ้นอยู่กับว่า ใครทำ ทำอย่างไรและทำเพื่ออะไร

    ผู้ที่มีที่หมายในชีวิตด้วยความมั่นคงในเจตนา แม้ความล้มเหลวผ่านมาครั้งแล้วครั้งเล่า ย่อมสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ เพียงเพื่อที่หมายในชีวิตที่ดีนั่นเอง


    โดย พี่ดอกแก้ว
     
  10. ลัก...ยิ้ม

    ลัก...ยิ้ม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2005
    โพสต์:
    3,409
    ค่าพลัง:
    +15,762
    เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ ความสามัคคี ปรองดอง เป็นสิ่งสำคัญและมีคุณค่าหาสิ่งใดมาทดแทนมิได้ค่ะ

    ลักยิ้มก็ฉีกยิ้มทุกวันแหละค่ะ คุณโคม(กระเช้า) ไม่เห็นเองนิ ว่าแต่ลักไปเรื่อยๆ ก็ดีนิไม่เห็นเสียหายเลย เป็นลักฯ ที่ไม่ผิด ศีล เสียด้วยจิ 555(b-oneeye) อยากจะเข้ามาอ่านกระทู้จัง แต่เห็นความขยันของแต่ละท่านแล้ว เป็นอัน สลบ

    โบกมือลา เสียงเพลงครางมา ต้องลาแล้วท่าน(b-oneeye)
     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    โหย....คุณหนุ่ม ผมเพิ่งจะย่าง 15 ปีนี้ นะครับ 55555555555
     
  12. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    พูดถึงเรื่องแก่เนี่ย ไม่มีใครยอมแก่เลยนะครับ

    มีเรื่องตลกๆมาเล่าให้ฟัง

    เรื่องหนึ่งก็คือว่า สรรพนามเรียกน่ะแหละครับ คงเห็นบ่อยๆ คนสองคนแบบมีธุระเจอกัน ต่างคนต่างไม่ยอมแก่

    นาย ก. "พี่ครับ ผมว่าทำอย่างนี้ดีแล้ว"

    นาย ข. " เอ แต่ผมอยากให้พี่ทำอย่างนี้ดีกว่านะ"

    นาย ค. (ผมเอง) นึกในใจ "ตกลง ใครเป็นพี่กันแน่ฟ่ะ ?"


    อีกเรื่องหนึ่ง คือ เราคงเคยได้ยินข้อหาพรากผู้เยาว์

    แต่ไม่ทราบมีใครเคยได้ยินข้อหา "พรากผู้เฒ่า" บ้างไหมครับ ?
     
  13. khomeraya

    khomeraya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    1,833
    ค่าพลัง:
    +21,369
    วันนี้ผมได้รับใบเสร็จรับเงินแล้วครับ กองทุน "ข้ามนทีสีทันดร" เลขที่ 6533 ครับ

    ก็ขอเชิญชวนทุกคนร่วมกันตั้งกองทุนเพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาในถิ่นทุรกันดารนะครับ อาจจะร่วมกับครอบครัว หรือเพื่อนสนิทก็ได้ครับ
     
  14. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    กะลังรอใครสักคนมาพรากผู้เฒ่าอยู่ครับ
    จะได้จารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ชาติชรา 55555555555555555555555
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    555555555555555555555555

    เอาละครับ ผมกำลังรอฟังข่าวพรากผู้เฒ่า สงสัยฮิตติดชาร์ทอันดับ 1 3 ปีซ้อนแน่เลย

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมเองได้รับ Fwd Mail จากเพื่อนคนหนึ่ง เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันครับ

    เพื่อนแท้<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ชายคนหนึ่งมีเพื่อนเกลออยู่3 คน
    เกลอคนที่1 เขารักมาก ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเกลอคนนี้
    เกลอคนที่2 เขารักรองลงมาจากคนแรก
    เกลอคนที่3 เขาไม่สนใจ และไม่เคยทำอะไรเพื่อเกลอผู้นี้เลย

    ต่อมาในไม่ช้าไม่นาน เขาก็ได้ตายลง
    ความที่จิตเขาผูกพันกับอยู่กับเกลอคนที่หนึ่ง เขาจึงไปหา
    แต่เกลอคนนี้ไม่ไยดีเขาเลย เขาพูดด้วยก็ไม่ยอมเจรจาตอบ
    เขารู้สึกเสียใจมาก
    และนึกเสียดายว่าขณะที่มีชีวิตอยู่เขาไม่ควรทุ่มเทเพื่อเกลอคนนี้

    จากนั้นเขาจึงไปหาเกลอคนที่ 2
    เกลอผู้นี้ดีกว่าเกลอคนแรกตรงที่ตามไปส่ง เมื่อเขาเดินทางไปปรโลก
    แต่ส่งเพียงครึ่งทางก็กลับ
    คงมีแต่เกลอคนที่ 3 เท่านั้นที่ติดตามเขา
    และร่วมเดินทางไปกับเขาตลอดเส้นทาง ไม่เคยทอดทิ้งเขาแม้เพียงอึดใจเดียว

    หลังจากอ่านจบขอถามนะว่า รู้ไหมว่าเกลอคนที่ 1 , 2 และ 3 เป็นใครกันบ้าง
    ลองคิดกันก่อนนะ แล้วค่อยดูเฉลย

    เกลอคนที่1 คือ ทรัพย์สมบัติ เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่
    เราจะทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา
    แถมเราพูดด้วย มันก็ไม่พูดกับเรา
    เกลอคนที่2 คือ ลูกเมีย ญาติพี่น้อง
    เพราะพอเราตาย เขาก็ทำบุญให้เรา ทำศพให้ แปลว่า เขาไปส่งเราแค่ครึ่งทาง
    เกลอคนสุดท้าย คือ บุญกับบาป
    เมื่อเราตายไป เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้
    ยกเว้นเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้น ที่จะตามเราไป
    เพราะฉะนั้น เราต้องเอาใจใส่เกลอคนที่3 ให้มากโดยเฉพาะ
    คนที่ ชื่อนายบุญ ส่วนนายบาป เราต้องหนีให้ไกล
    อย่าได้เอาไปเป็นเพื่อนร่วมทางโดยเด็ดขาด

    จำไว้ว่าใครที่มัวหลงใหลเอาใจแต่เกลอคนที่หนึ่งจึงเป็นคนโง่

    หลังจากอ่านจบแล้วได้แง่คิดอะไรกันบ้างไหม ? <O:p</O:p

    ถ้าจะดี อ่านจบแล้วช่วยส่งต่อให้คนที่ยังไม่ตื่นตัวอีกหลายๆคนด้วย
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมีคำถามที่จะถาม ไม่รอให้เรื่องรังสีจิตจบดีกว่า ลองตอบกันดูและให้ตอบในกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้... นะครับ


    เอกสารอ้างอิงที่ใช้เป็นเอกสารอ้างอิงในหนังสือวิเคราะห์พระพิมพ์สมเด็จและพระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า เจ้าพระยาภานุวงศ์มหาโกษาธิบดี ท้วม บุนนาค มีอะไรบ้างและท่านอาจารย์ประถม อาจสาครท่านได้มอบหนังสือเล่มดังกล่าวให้กับหอสมุดแห่งชาติ จำนวน กี่เล่ม

    ผมมีพระพิมพ์ไพ่ตองเล็กจำนวน 1 องค์ มอบให้กับผู้ที่ตอบถูกเป็นท่านแรกเท่านั้นครับ และคำตอบที่ท่านตอบต้องไม่มีการแก้ไขนะครับ ถ้าตอบแล้วคิดว่ายังตอบไม่ถูกให้ตอบใหม่ ผมจะยึดคำตอบที่ถูกที่สุดเป็นเกณฑ์ครับ


    ขอให้ทุกๆท่านโชคดี และเข้ามาตอบเร็วๆนะครับ


    .<O:p</O:p
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมได้รับเมล์จากเพื่อน เลยนำมาลงให้ได้อ่านกันครับ

    ทำไงดีขับรถตอนน้ำท่วม

    ข้อแรก ถ้าไม่จำเป็น ควรหลีกเลี่ยงอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ต้องกลัวว่า
    รถจะดับหรือปล่าว หรือจะมีปัญหาอะไรตามมา เช่น น้ำจะเข้ารถหรือปล่าว
    แล้วจะเกิดผลเสียต่ออุปกรณ์อื่น ๆ หรือไม่
    แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราควรทำอย่างไรดีละ

    ข้อ 1 คือ ห้ามเปิดแอร์เด็ดขาด ในขณะขับรถลุยน้ำลึก หรือแม้จะน้ำตื้นก็ตาม
    เพราะ สาเหตุที่รถดับ ส่วนใหญ่เกิดจากการเปิดแอร์แล้วขับลุยน้ำ
    ที่ผมบอกอย่างนี้ ก็เพราะว่า เมื่อเราเปิดแอร์ พัดลมจะทำงาน และอย่าลืมสิครับ
    ว่าเรากำลังลุยน้ำลึก อย่างที่ผมเจอวันนี้ ก็คิดว่า น่าจะเกินระดับพัดลม
    เพราะฉะนั้น ถ้าเราขืนเปิดพัดลมละก็ สิ่งที่จะตามมาคือ
    ใบพัดจะพัดให้น้ำกระจายไปทั่วห้องเครื่อง แล้วคุณลองคิดดูว่า อะไรจะเกิดขึ้น
    นั่นก็คือ เครื่องจะดับเอาง่าย ๆ

    หรือ ถ้าโชคดี หรือโชคร้าย ถ้าเครื่องไม่ดับ ใบพัดก็จะหมุน ๆ ซึ่ง
    เราก็ไม่รู้หรอกว่า ขณะที่เราลุยน้ำ อะไรมันจะลอยมาบ้าง มันมีสารพัด
    ไม่ว่าจะเป็น ขยะ กิ่งไม้ ไม้หน้าสาม ถุงพลาสติก รองเท้า ซึ่ง สิ่งของพวกนี้
    มันมีโอกาสที่จะเข้ามาในห้องเครื่องแล้วโดนใบพัดตัดจนใบพัดหัก
    ซึ่งถ้าใบพัดหัก แน่นอนว่า เราขับรถต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน


    เพราะระบบระบายความร้อนจะมีปัญหา

    ข้อ 2 ควรใช้เกียร์ต่ำ สำหรับเกียร์ธรรมดา ก็ใช้ประมาณเกียร์ 2 หรือสำหรับออโต้


    ก็ใช้เกียร์ L ก็ได้ครับ รวมถึงการขับขี่ที่มีความเร็วต่ำที่สุด
    เท่าที่จะเป็นไปได้ และควรใช้ความเร็วสม่ำเสมอ อย่าหยุดอย่าเร่งความเร็วขึ้น


    ข้อ 3 คือ ไม่ควรเร่งเครื่องให้รอบสูง ๆ เพราะเห็นผู้ขับขี่หลาย ๆ คนมักจะ


    เร่งเครื่องแรง ๆ เพราะอะไรรู้ไหมครับ เพราะกลัวเครื่องดับ
    เพราะกลัวน้ำเข้าท่อไอเสีย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นความคิดที่ผิดมาก ๆ
    แท้ที่จริงแล้ว การเร่งเครื่อง ยิ่งทำให้รถมีความร้อนสูงขึ้น
    เมื่อเครื่องมีความร้อนสูงขึ้น ใบพัดระบายความร้อนก็จะทำงาน
    และสิ่งที่จะตามมาก็เหมือนกับข้อ 1 ครับ
    ไม่ต้องกลัวว่าน้ำจะเข้าท่อไอเสียครับ เพราะต่อให้น้ำจะท่วมท่อไอเสีย
    แล้วคุณสตาร์ทรถอยู่ที่รอบเดินเบา
    แรงดันที่ออกมาเพียงพอที่จะดันน้ำออกมาอย่างสบาย ๆ




    ต่อให้คุณจอดรถทิ้งไว้จนน้ำท่วมท่อไอเสียก็ตาม เมื่อคุณเข้าไปในรถ แล้วสตาร์ทรถ
    ผมกล้าพูดได้เลย ทีเดียวติดครับ (กรณีนี้ ที่ผมกล้าพูดว่า รถสามารถสตาร์ทติด


    คือ น้ำท่วม แค่ท่วมท่อไอเสียนะครับ ไม่ใช่ท่วมฝากระโปรงนะครับ) แต่
    สำหรับรถคาบู ผมเองก็ไม่แน่ใจนะครับ ว่าถ้าถึงขั้น น้ำท่วมท่อไอเสียแล้วมันจะสตาร์ทติดหรือไม่ แต่สำหรับเครื่องหัวฉีด
    สบายใจได้ครับ


    4. ควรลดความเร็วลง เมื่อ กำลังจะขับรถสวนกับอีกคันที่กำลังขับมา
    เพราะไม่งั้นจะกลายเป็นคลื่นชนคลื่น อย่างที่ผมบอก
    ซึ่งน้ำที่ปะทะระหว่างรถของเราและรถที่วิ่งสวนมา
    มันก็อาจทำให้น้ำกระเด็นไปทำอันตรายต่ออุปกรณ์ภายในได้
    หลังจากเราลุยน้ำลึกมา สิ่งที่ควรทำต่อ ก็คือ

    ข้อแรก พยายาม ย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำ เพราะในช่วงแรก ๆ หลังจากการลุยน้ำลึกมา
    มันจะเบรกไม่อยู่ และเป็นอันตรายมาก
    ถ้าเราไม่ทำการย้ำเบรกเพื่อไล่น้ำออกจากระบบเบรก

    สำหรับ เกียร์ธรรมดา ต้องมีการย้ำคลัชเช่นเดียวกับการย้ำเบรก
    เพราะหลังการลุยน้ำมา อาจมีปัญหาคลัชลื่น จึงต้องทำทั้งย้ำคลัชและย้ำเบรก

    อีกข้อนึงคือ ไม่ควรดับเครื่องทันที ถึงแม้ถึงจุดหมายก็ตาม
    เพราะอาจมีน้ำค้างอยู่ในหม้อพักของท่อไอเสีย ซึ่งควรสตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก
    ซึ่งจะสังเกตได้ว่า มีไอออกจากท่อไอเสีย ก็ไม่ต้องตกใจครับ
    ก็สตาร์ทรถทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำในหม้อพักมันระเหยออกไป เพราะ
    ถ้าไม่ทำอย่างนี้ จะทำให้เกิดน้ำค้างอยู่ในหม้อพัก สิ่งที่จะตามมาคือ มันจะผุ

    และหลังจากวันที่เราลุยน้ำมาแล้ว เราควรจะทำอย่างไร ไปดูกันต่อค่ะ !!!

    1. ล้างรถ รวมถึง การฉีดน้ำเข้าไปในบริเวณใต้ท้องรถด้วย
    รวมทั้งบริเวณซุ้มล้อ เพื่อล้างพวกเศษทรายต่าง ๆ ที่มันเกาะติดอยู่ หรือ
    บริเวณใต้ท้องรถ ซึ่งอาจมีพวกเศษขยะ เศษหญ้า ติดอยู่ ต้องเอาออกให้หมด
    เพราะถ้าเศษหญ้าแห้งมันติดอยู่ใต้รถ อันตรายที่จะเกิดขึ้น มันใหญ่หลวงนัก


    หนัก ๆ หน่อย ไฟอาจไหม้ได้

    ในคู่มือยังบอกเลยครับว่า รถที่ติดตั้งตัวกรองไอเสีย หรือ ( CAT)
    ไม่ควรจอดรถไว้บริเวณที่มีต้นหญ้าขึ้นสูง เพราะอุณหภูมิของเจ้า


    Catalytic Converter นั้น มันค่อนข้างสูงมาก ๆ

    2. สำรวจน้ำมันเกียร์ ว่า มันมีสีผิดปกติหรือไม่ คือ
    ถ้ามีลักษณะคล้ายสี ชาเย็น นั่นแสดงว่า
    ต้องมีน้ำเข้าไปอยู่ในระบบเกียร์อย่างแน่นอน หรือถ้าเป็นไปได้
    ก็เปลี่ยนน้ำมันเกียร์มันซะเลย เพื่อความสบายใจ
    เพราะก้านวัดน้ำมันเกียร์นั้นอยู่ค่อนข้างต่ำ และยิ่งรถผ่านการลุยน้ำลึก ๆ มา
    มันก็จะท่วมตัวเจ้าก้านวัด ซึ่งเป็นไปได้ที่น้ำจะซึมเข้าไปในระบบเกียร์
    และมันก็จะทำให้ระบบเกียร์พัง

    3. เช็คลูกปืนล้อ ซึ่ง พูดง่าย ๆ ว่า เจอน้ำทีไร
    ลูกปืนล้อมันก็จะดัง เวลาวิ่งความเร็วสูง ๆ อันนี้ทำใจไว้ได้เลย ว่า
    อาจต้องเปลี่ยน แต่ โดยปกติแล้ว เจ้าลูกปืนล้อมันจะพังเร็ว ก็เพราะสาเหตุที่ว่า
    จอดแช่น้ำมากกว่า แต่ถ้าวิ่งผ่านน้ำ โดยปกติ จะไม่ค่อยมีปัญหาอะไร
    แต่ถ้าแช่น้ำเมื่อไหร่ละก็ เตรียมตัวเสียเงินได้เลย

    4. ตรวจสอบ พื้นพรมในรถ ว่า เปียกชื้นหรือไม่ เพราะ
    หลังการลุยน้ำลึกมา มีโอกาสมากที่น้ำจะซึมเข้ามาภายในห้องโดยสาร


    เพราะฉะนั้น ต้องเปิดผ้ายาง เปิดพรม เอามือ กดแรง ๆ ดู
    หรือลองเอากระดาษซับดูว่ามีน้ำอยู่หรือปล่าว

    ถ้ามีน้ำขังอยู่ภายในห้องโดยสาร ผมคิดว่า น่าจะถึงเวลารื้อพรมกันเลยละครับ
    เพื่อป้องกันปัญหาตามมา เพราะถ้าคุณไม่รื้อพรม แต่คุณอาจแค่เพียง เอาผ้าซับ ๆ
    ให้พื้นแห้ง แล้วจอดตากแดด จริง ๆแล้ว มันก็แห้งเหมือนกัน แต่
    สิ่งที่คุณไม่เห็นก็คือ สิ่งสกปรกที่มันยังค้างอยู่ในรถของคุณ
    ซึ่งคุณก็น่าจะรู้ว่า น้ำมันมีเชื้อโรคสารพัด แล้วเมื่อมันแห้ง
    มันก็จะแพร่เชื้อและเป็นเชื้อราอยู่ในพรม สิ่งที่อยากบอกต่อคือ นอกจากนี้

    ในรถยังมีระบบปรับอากาศ
    ที่มันจะเป็นตัวช่วยพัฒนาการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ


    ได้เป็นอย่างดี แล้วมันก็จะหมุนเวียน กลับไปกลับมา อยู่ในรถของคุณ
    นั่นก็เป็นสาเหตุของการเกิดภูมิแพ้ เพราะคุณก็สูดเอาเชื้อโรคต่าง ๆ เข้าไปตลอดเวลา
    จะว่าไปแล้ว รถสมัยนี้ค่อนข้างออกแบบมาดี ลุยน้ำไม่ค่อยดับกันหรอกครับ

    ถ้าทำอย่างที่ผมบอกนะครับ ผมว่า จากสายตา วันนี้ผมลุยน้ำลึกไม่น่าต่ำกว่า 50 ซม
    เพราะรถรุ่นใหม่ ๆ จะย้ายอุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ โดยเฉพาะเจ้า ECU


    ไว้ในตำแหน่งที่สูง พูดง่าย ๆ ว่า อยู่ในรถกันเลยหละ รวมถึงกล่องฟิวส์ต่าง ๆ
    ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง เพื่อป้องกันน้ำท่วมนี่เหละครับ




    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกเรื่องนะครับ

    ยาพิษในใจ

    ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
    เด็กสาวคนหนึ่งนามว่าลี่ลี่
    เมื่อเธอแต่งงานจึงได้ย้ายนิวาสสถานมาอยู่กับสามีและแม่สามี...
    ภายในเวลาอันสั้นลี่ลี่ก็พบว่าเธอไม่สามารถเข้ากับแม่สามีได้เลย
    ใช่สิ
    บุคลิกของทั้งคู่ช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง...ลี่ลี่ทนนิสัยหลายอย่างของแม่สามีไม่ได้
    ฝ่ายแม่สามีก็ได้แต่วิพากษ์วิจารณ์ลี่ลี่เสมอมา


    วันเวลาผ่านไปจากวันเป็นเดือน
    ลี่ลี่และแม่สามีทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน
    แต่สิ่งที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ ตามธรรมเนียมจีน สะใภ้จะต้องก้มหัว
    และเชื่อฟังแม่สามีในทุกเรื่องราว
    นำมาซึ่งความทุกข์โศกแก่ผู้เป็นสามีเป็นอย่างยิ่ง


    ในที่สุดวันที่ลี่ลี่หมดสิ้นความอดทนได้มาถึง
    จึงตัดสินใจที่จะทำอะไรบางอย่าง
    เธอตรงไปหาคุณหวางเพื่อนรักของพ่อที่ขายสมุนไพรหลังจากเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟัง
    เธอจึงถามว่า
    พอจะหายาพิษอะไรสักอย่างเพื่อแก้ปัญหาทั้งหมดทั้งมวลในคราเดียวได้ไหม
    คุณหวางคิดอยู่ชั่วขณะในที่สุดจึงกล่าวกับลี่ลี่ว่า
    "ลุงจะช่วยหนูเอง...แต่หนูต้องฟังคำของลุงและเชื่อฟังสิ่งที่ลุงบอกนะ"
    ลี่ลี่ตอบรับทันทีว่า "ค่ะ หนูจะทำตามที่คุณลุงแนะนำทุกอย่าง"


    คุณหวางหายไปหลังร้าน และกลับมาภายในเวลาชั่วครู่พร้อมกับห่อสมุนไพรในมือ
    เขากล่าวกับลี่ลี่ว่า
    "ลุงจะจ่ายยาสมุนไพรให้หนูจำนวนหนึ่ง
    แต่หนูต้องไม่ใช้ยาพิษนี้ทั้งหมดในคราวเดียวกันนะ
    เพราะนั่นจะทำให้ทุกคนสงสัย
    หนูจงเติมสมุนไพรนี้ลงไปในหมูเห็ดเป็ดไก่ที่ปรุงวันเว้นวัน
    สารพิษนี้จะได้ค่อย ๆ สะสมอยู่ในตัวเธอ ...
    ขณะเดียวกัน หนูก็ต้องพูดจากับเธอดี ๆ และเชื่อฟังเธอด้วย


    วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อแม่สามีตายลงจะได้ไม่มีใครสงสัยในตัวหนูไงล่ะ
    อย่าลืมนะ...ห้ามเถียงเธอ
    แต่จงเชื่อฟังทุกอย่างที่เธอบอกและปฏิบัติต่อเธออย่างดีที่สุด"
    ได้ยินดังนั้น ลี่ลี่รู้สึกสุขใจยิ่งนัก
    จึงกล่าวขอบคุณและล่ำลาคุณหวางเพื่อกลับไปเตรียมอุบายสังหารแม่สามี


    วันและคืนผ่านไป...ลี่ลี่จะต้องปรุงอาหารจานพิเศษให้แม่สามีทุกวันเว้นวัน
    เธอจดจำคำของคุณหวางได้เป็นอย่างดี...พยายามควบคุมอารมณ์ตนเอง
    เชื่อฟังและดูแลเธอเหมือนดั่งเป็นแม่ของตนเอง


    เวลาล่วงไปได้หกเดือน
    ทุกสิ่งทุกอย่างภายใต้หลังคาบ้านนั้นกลับแปรเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
    ลี่ลี่ได้ฝึกตนให้ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก
    ไม่เคยมีปากเสียงกันเลยตลอดหกเดือนนี้
    แม่สามีดูเหมือนจะมีเมตตาต่อเธอและเข้ากันได้เป็นอย่างดี
    ในขณะที่ทัศนคติของแม่สามีที่มีต่อลี่ลี่ได้เปลี่ยนไปเช่นกัน
    เธอเริ่มรักลี่ลี่เหมือนกับลูกสาวแท้ ๆ
    ของตัวเอง...เธอพร่ำบอกเพื่อนฝูงและคณาญาติว่า
    ลี่ลี่เป็นลูกสะใภ้ที่ดีที่สุดและยากจะหาใครมาเสมอเหมือน


    บัดนี้ ลี่ลี่ และแม่สามีรักกันดุจแม่-ลูกจริง ๆ
    แล้ว...ฝ่ายสามีลี่ลี่รู้สึกสุขใจเป็นที่สุดที่ได้เห็นภาพนั้น


    วันหนึ่ง...ลี่ลี่กลับไปหาคุณหวางเพื่อขอความช่วยเหลืออีกครั้ง
    เธอละล่ำละลัก "คุณลุงหวางคะ กรุณาช่วยหนูด้วยค่ะ
    หนูไม่อยากให้แม่สามีตายแล้วค่ะ... คุณลุงรู้มั้ยคะว่า
    ตอนนี้แม่เปลี่ยนไปมาก
    ท่านดีกับหนูมากและหนูก็รักท่านเหมือนแม่จริง ๆ ของหนู


    หนูไม่อยากให้ท่านตายด้วยยาพิษของหนูเลย..."

    คุณหวางพรายยิ้ม ผงกศีรษะและกล่าวว่า
    ลี่ลี่เอ๋ย...ไม่มีอะไรต้องกังวลาว ลุงไม่เคยให้ยาพิษอะไรแก่หนูเลย
    สมุนไพรที่ให้ไปเมื่อคราวก่อนนั้นเป็นพวกวิตามินที่บำรุงร่างกาย...
    ยาพิษอย่างเดียวนั้นอยู่ที่จิตใจและทัศนคติของหนูที่มีต่อแม่สามีต่างหาก
    และนั่นก็ได้รับการชำระล้างหมดแล้วด้วยความรักทั้งหมดทั้งมวลที่หนูมอบให้ท่าน

    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  20. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    สุดยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวครับ
    [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...