ขอเชิญท่านที่มีความจงรักภักดีและเทิดทูนในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช

​

 

​

 

​

ข่าวงานบุญฝากบอกญาติธรรมจากหลวงพี่พระมหาฤทธิชัย กัลยาโณ

อันเนื่องจากหลวงพี่มีดำริจะนำองค์พระพุทธชินราชสีทอง 9 องค์ นำไปไว้ชายแดน

เพื่อปลดปล่อยวิญญาณทหารพม่าที่ป้วนเปี้ยนอยู่และวิญญาณทหารไทย

พระมหาท่านว่าจะไว้ที่ด่านเจดีย์สามองค์ กำหนดเวลายังไม่ได้ระบุค่ะ ท่านว่าจะแจ้งให้ทราบกันภายหลัง

เอา SMS หลวงพี่เกี่ยวกับภารกิจนี้มาให้อ่าน อ่านแล้วฮาดี สำนวนหลวงพี่พระมหาฯ เมื่อสองสามวันก่อนหลวงพี่ไปพนมทวน ยิงSMS มาดังนี้

 

Wat Boeretiet หรือวัดวรเชษฐ์ ปรากฏในจดหมายเหตุ วันวลิต

​

[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.680276/[/MUSIC]​

เจอข้อมูลเพิ่มเติม วัน วลิต บันทึกในจดหมายเหตุ ในปี 1636 (พ.ศ. ๒๑๗๙) ในวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. ๒๑๗๙ ดังนี้​

สรุปเรื่องคือ ฝรั่งชาติฮอลันดาจำนวน 12 คนตามชื่อที่ปรากฏในบันทึก เป็นลูกจ้างบริษัทการค้าของฮอลันดา ซึ่งทำงานหนักตลอดปีแม้กระทั่งวันอาทิตย์ แต่ว่าตามธรรมเนียมฝรั่งจะมีตรุษฝรั่ง จึงมี่วันหยุดพอให้ได้พักผ่อนกัน พวกเขาทั้งสิบสองคนจึงจัดอาหารออกไปปิคนิคนอกสถานที่ เพื่อจะได้กินดื่มกันอย่างเต็มที่ โดยไปนั่งที่ริมตลิ่งในบริเวณวัดวรเชษฐ์ ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ตรงข้ามกับวังเจ้าชาย (ถ้าคนศึกษาแผนที่กรุงศรีอยุธยาโบราณจะทราบว่า วังหลัง ซึ่งปัจจุบันไม่เหลือซากแล้ว อยู่ตรงข้ามกับวัดวรเชษฐ์โดยอยู่กันคนละฝั่งแม่น้ำ) ​

ในจดหมายเหตุวัน วลิต เขียนว่า Boeretiet ตัววัดอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าไปหนึ่งกิโลเมตร ​

พอจะเป็นหลักเป็นฐานได้หรือไม่ว่า วัดนี้เรียกว่า วัดวรเชษฐ์ มาตั้งแต่อย่างน้อยสมัยพระเจ้าปราสาททอง เพราะบันทึกนี้บันทึกในช่วงเวลาที่ตรงกับสมัยของพระองค์​

ข้อมูลนี้คงนำไปยืนยันว่าวัดใช้ชื่อนี้มานานมากแล้ว​

อ้างอิงและอ่านบันทึก The Dutch in Siam: Jeremias van Vliet and the 1636 Incident at Ayutthaya จาก​

http://www.une.edu.au/asiacentre/PDF/Kraan_2.pdf​

 

บันทึกของวัน วลิต บอกว่าพระเจ้าปราสาททองทรงเสด็จวัดวรเชษฐ์เสมอๆ

​

พระเจ้าปราสาททองทรงเสด็จที่วัดวรเชษฐ์บ่อยเพื่อทนุบำรุงพระอารามและพระศาสนา แสดงว่าน่าจะเป็นวัดที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปเสมอๆมาแต่ไหนแต่ไรแล้วใช่ไหมคะ​

ดังนี้แล้ววัดที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จเสมอๆ จะไม่มีความสำคัญได้อย่างไร​

Boeretiet is one of the holiest temples in Siam วัดวรเชษฐ์เป็นหนึ่งในวัดที่คนเคารพศรัทธามากที่สุดในสยามค่ะ​

ข้อมูลจากอีกบทความหนึ่งเขียนโดยสรุปโดยใช้ชื่อเรื่องว่า 12 Dutchmen Drunk On Chao Phya River, Stories of Siam ความตอนหนึ่งกล่าวถึงวัดวรเชษฐ์ดังนี้​

ข้อมูลชัดเจนวัดวรเชษฐ์ Wat Worachet ที่วัน วลิตเขียนเป็น Wat Boeretiet ตั้งอยู่นอกเกาะเมืองทางด้านทิศตะวันตก ตัวพระอารามห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยา 1 กิโลเมตร

12 Dutchmen Drunk On Chao Phya River - Thailand Forum

 

โอวาทเจ้าคุณนรฯ"ผิดนี้...อภัยไฉน?"




.....จึงเป็นเรื่องราวที่หาอ่าน-หารู้จากหนังสือทั่วไปที่ไหนไม่ได้ นอกจากเล่มที่แฟนไทยโพสต์จากย่านสามเสนในส่งมาให้ผม ซึ่งเป็นเล่ม "พิมพ์ครั้งที่ ๒" โดยคณะศิษย์พระอาจารย์ปราโมทย์ ปาโมชโช ซึ่งต้องขอบคุณจริงๆ!

ในภาคผนวก ๒ "สันติวรบท" ธรรม ๙ บท อันเป็นโอวาทของท่านธัมมวิตักโก ภิกขุ ซึ่งท่านปรารภไว้ว่า เป็นชื่อที่ดี หมายถึง "หนทางอันประเสริฐสู่ความสงบ" ท่านสอนให้เชื่อในเรื่องกรรม หมั่นทำความดี ให้ศึกษาธรรมและปฏิบัติตามด้วย จึงจะทำให้ชีวิตพ้นทุกข์ ประสบความสำเร็จ และมีความสงบได้อย่างแท้จริง

เห็นมั้ย...ท่านเน้นว่า "ศึกษาธรรมและปฏิบัติตามด้วย" ความหมายก็คือ จะศึกษาเพื่อรู้เฉยๆ หามีประโยชน์ไม่ จะต้องปฏิบัติตนเองตามธรรมด้วยจึงจะพ้นทุกข์ จึงจะประสบความสำเร็จ

อย่างผมนี่เป็นตัวอย่าง "ศึกษาเพื่อรู้" เท่านั้น ไม่ได้นำที่รู้นั้นมาปฏิบัติตน ชีวิตจึงตกอยู่ในวังวนทุกข์ ยังไม่สามารถพบความสำเร็จใดๆ ได้ คิดแล้วก็นึกถึงตอนไปกราบ "หลวงพ่อจรัญ" ที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี ท่านบอกว่า....

"โยมจำไว้นะ สวดมนต์เป็นยาทา วิปัสสนาเป็นยากิน!"

ฟังท่านเตือนสติแล้วต้องรีบกราบด้วยสำนึก เพราะทุกวันนี้ผมเข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์แบบใช้ "ยาทา" อย่างที่หลวงพ่อท่านว่าอย่างนั้นจริงๆ

แล้วอย่างนี้ โรคร้ายในตัวที่ต้องรักษาจากข้างในมันจะหายได้อย่างไร เพราะเล่นแต่ทา-ถู...ทา-ถู..ใช้ธรรมเป็นยาหม่องอยู่ร่ำไป ไม่เคยไปถึงขั้น "ยากิน" ซึ่งรักษาจากภายในซักที

วันนี้ อ่านสันติวรบท ของท่านธัมมวิตักโก ภิกขุ แล้ว กราบท่านในใจ ขอลอกท่อนหนึ่งมาประกอบการทำมาหากินประจำวันเหมือนเคย ท่านใดจะนำไปใช้แบบยาทา หรือแบบยากิน ก็เชิญตามอัธยาศัย โอวาทธรรมของท่านตอนนี้มีความว่า

"ความผิดนี้แหละเป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเองที่ทำอะไรผิดพลาดและควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษคือ ความผิด จะได้ตรงกับคำว่า 'เจ็บแล้วต้องจำ' ตัวทำเอง ผิดเอง นี้แหละเป็นอาจารย์ผู้วิเศษ เป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จดจำไว้ สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท

อดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่ คอยกระซิบเตือนใจอยู่เสมอทุกขณะว่า 'ระวัง! อย่าประมาทนะ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ!'

@ ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง

เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า

สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย

ถึงสี่อีกทีห้า หกซ้ำอภัยไฉน!

จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่า นักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดี และท่านผู้วิเศษที่เป็นศาสดาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดี ล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนมาแล้วด้วยกันทุกท่าน".........

๐๐๐ คัดลอกจาก คอลัมน์ คุณเปลว สีเงิน ไทยโพสต์ 5 มี.ค. 53

ขอขอบพระคุณครับ

 

........................

...."ปฏิบัติไปทำไม ปฏิบัติเพื่ออะไร ทำไมจึงต้องปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วจะได้อะไร"

หลวงพ่อตอบทันทีว่า "กินข้าวไปทำไม กินข้าวเพื่ออะไร

ทำไมจึงต้องกินข้าว กินข้าวแล้วจะได้อะไร"

ปรากฏว่าพระอาคันตุกะเกิดความซึ้งใจในทันที

และบอกว่าได้พยายามหาคำตอบสั้นๆเช่นนี้มานานแล้ว ส่วนมากคำตอบที่ได้มักยาว หลวงพ่อฟังแล้วท่านก็เฉยๆไม่ตอบเพียงกล่าวต่อไปว่า"มีปัญหาอีกไหม"
เขาจึงถามต่อไปว่า "คนไม่รู้ คือ ใคร"
หลวงพ่อ "คนไม่รู้ คือ คนหลง"
พระอาคันตุกะ "คนหลง คือ ใคร"
หลวงพ่อ "คนหลง คือ คนไม่รู้ "

..................


๐๐๐ คัดลอกจากกระทู้ "เมื่อหลวงพ่อชา..ตอบพระเซ็น(ญี่ปุ่น) ในห้องพุทธศาสนาสำหรับผู้เริ่มต้น โดยคุณ hura

ขอขอบคุณครับ

 

<TABLE class=ipbtable cellSpacing=1><TBODY><TR><TD class=row2 vAlign=center width="1%">eric67
<!-- member menu -->


View Member Profile


<!-- member menu --><SCRIPT type=text/javascript> ipsmenu.register( "post-member-457966", '', 'popmenubutton-new', 'popmenubutton-new-out' ); </SCRIPT>

</TD><TD class=row2 vAlign=center width="99%"><!-- POSTED DATE DIV --> 2005-08-29 16:15:44

<!-- REPORT / DELETE / EDIT / QUOTE DIV -->Post #3​

</TD></TR><TR><TD class="post2 post_left" vAlign=top>

Member


Group: Members
Posts: 18
Joined: 2004-02-23
Member No.: 7,769





</TD><TD class=post2 id=post-main-457966 vAlign=top width="100%"><!-- THE POST 457966 -->Interesting........I'll keep an eye out for the book

<!--quoteo-->QUOTE
<!--quotec-->Baker, who speaks fluent Thai with his Cambridge accent, said he believed the picnic incident took place at Wat Worachet, which van Vliet called Boeretiet.<!--QuoteEnd-->
<!--QuoteEEnd-->


A good thing the king didn't speak any dutch, or van Vliet probably wouldn't have lived to tell the tale (boeretiet = farmer's tit) <!--IBF.ATTACHMENT_457966-->
<!-- THE POST -->

</TD></TR></TBODY></TABLE>

อ่านความเห็นนี้แล้วทำให้เห็นได้ชัด เวลาชาวต่างประเทศเรียกชื่อทับศัพท์มักจะใช้ทับภาษาแม่ของตนเองให้อ่านและเขียนได้ง่าย

อย่างเช่นคำว่า Boeretiet ในภาษาดัตช์แปลว่า Farmer's tit ในภาษาอังกฤษ หรือแปลว่า หัวนมเกษตรกร :d

วัน วลิตใช้ภาษาดัตช์อย่างง่ายๆในการเรียกสถานที่ต่างๆ คงเพื่อช่วยในการจำชื่อสถานที่ต่างๆที่ยากสำหรับคนต่างชาติ

ทีนี้นาย Baker ผู้นำบันทึกนายวัน วลิตมาศึกษาและเขาเป็นผู้ที่พูดภาษาไทยได้แต่สำเนียงแคมบริดจ์ แสดงว่ามีการเรียนการสอนภาษาไทยที่แคมบริดจ์มั้งคะ เขาก็ให้ความสำคัญกับการเรียกชื่อสถานที่ให้ถูกต้องตามหลักของเจ้าของภาษา เช่นออกชื่อวัดวรเชษฐ์ว่า Wat Worachet ได้อย่างถูกต้อง

ถ้าพระเจ้าปราสาททองทรงรู้ภาษาดัตส์ด้วย นายวัน วลิตอาจต้องติดคุกเป็นจำเลยคนที่ 13 ของคดีนี้แน่นอน

 

12 Dutchmen Drunk On Chao Phya River

บันทึกวัน วลิตเกี่ยวกับเหตุทะเลาะวิวาทระหว่างชาวฮอลันดา12คน กับคนของเจ้าชาย ผู้มีตำหนักอยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดวรเชษฐ์

วังหลัง ในสมัยอยุธยานั้นอยู่ในบริเวณเจดีย์พระสุริโยทัยในปัจจุบัน ซึ่งตรงกันข้ามกับวัดกษัตริยา

เท่าที่เคยศึกษาเอกสาร สมัยก่อนนั้นบริเวณของวัดวรเชษฐ์กว้างใหญ่เป็นหลายร้อยไร่ กินอาณาบริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยายาวตลอดแนว

วัดไชยวัฒนาราม ตั้งอยู่บริเวณชายทุ่งประเชต ข้ามคลองตะเคียนมาแล้ว คาดว่าบริเวณวัดไชยวัฒนารามในปัจจุบันเป็นบริเวณชายขอบของอาณาบริเวณวัดวรเชษฐ์ในสมัยก่อนค่ะ

 

ชาวฮอลันดาทั้ง 12 คนนี้เข้าไปในบริเวณวัดโดยพลการไม่ได้รับความยินยอมจากพระภิกษุ เนื่องจากวัดนี้ถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์

ในบันทึกพูดถึงถนนโบราณเส้นที่อยู่ระหว่างวัดวรเชษฐ์กับแม่น้ำเจ้าพระยาด้วย

 

ข้างต้นเป็นพระราชกำหนดว่าด้วยอัตราภาษีสมัยพระเจ้าปราสาททอง มีเรื่องแปลกว่า ทำไมฝรั่งชาติตะวันตกทุกชาติจะต้องขึ้นอยู่กับกรมท่าขวา มียกเว้นชาติฮอลันดาชาติเดียวที่ขึ้นอยู่กับกรมท่าซ้าย หรือขึ้นอยู่กับขุนนางเชื้อสายจีน

ฮอลันดากับคนจีนในสมัยก่อนคงจะสนิทกันมาก เคยอ่านประวัติวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ผู้สร้างโบสถ์โบราณดั้งเดิมของวัดก็คือเจ้าสัวคนจีน 2 คนกับชาวฮอลันดา 1 คน แล่นเรือไปจอดที่ท่าน้ำหน้าวัดอัมพวัน แสดงว่าคบกันสนิทสนมทีเดียว

 

‘That the party had gone to the temple of Boeretiet where they had sat down to eat,

drink and make merry, even though this temple is so sacred that his Majesty, the Prince,
​

and all the Mandarins frequently go there to make offerings and to pray.’

ในบันทึกระบุว่าวัดวรเชษฐ์แห่งนี้ เป็นสถานที่พระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์ และขุนนางข้าราชสำนักมาเพื่อปฎิบัติธรรมบ่อยๆ ก็น่าจะมีพระสงฆ์องค์สำคัญๆอยู่พำนักที่วัดนี้ด้วยค่ะ

 

ขอลองลายเซ็นต์ใหม่หน่อยค่ะ เมื่อได้เจอข้อมูลหลักฐานที่มั่นคงเช่นนี้ ทางสายธาตุก็รู้สึกดีใจมากและจะนำข้อมูลนี้ไปถวายวัด เพื่อร่วมแรงร่วมใจกันเปิดเผยความจริงของวัดวรเชษฐ์ต่อไป

 

สาธุ ช่างทรงสง่างามนักพระพุทธเจ้าข้า

 

เมื่อสักครู่โทรหาคุณสมเกียรติ กาญจนชาติ เพื่อติดตามข่าวของวัด

ข่าวล่าสุด คือทางหอสมุดแห่งชาติ ได้กรุณาส่งข้อมูลสำคัญที่กรมศิลปากรเคยศึกษาไว้ว่า วัดวรเชษฐ์ (นอกเกาะ) แห่งนี้น่าจะเป็นวัดวรเชษฐ์ที่สมเด็จพระเอกาทศรถสร้างถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแน่นอน ด้วยเหตุผลบางอย่างที่ไม่ทราบแน่ชัด กรมศิลปากรไม่ได้ดำเนินการเรื่องนี้ต่อ

และได้รับทราบถึงข่าวมหามงคล ว่ากลุ่มคณะทำงานได้ฏีกาทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ผ่านทางท่านองคมนตรี และทางกองงานในสมเด็จพระเทพฯ ได้ติดต่อมาที่คณะทำงานแล้ว ดีใจ ขนลุกเลยค่ะ ดีใจจริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ

ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

 

อนุโมทนา สาธุ ครับ คุณทางสายธาตุ

Where there's a will there's a way. จริงนะครับ

 

วัดวรเชษฐ์ คือวัดอรัญญาวาสีแห่งกรุงศรีอยุธยา

ได้รับอีเมลล์นี้มาจากคุณบุญญสิกขา เนื้อความในเรื่องอัตตลักษณ์ของคนไทย ขอบคุณเนื้อหาดีๆนี้ค่ะ

&&&http://palungjit.org/threads/“มุทรา...ญมหาสติ-ที่มาแห่งเอกอัตลักษณ์ชนชาวไทย.200849/&&&

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"ในหลวง" พระราชทานวโรกาสให้ "อภิสิทธิ์" เข้าเฝ้าถวายรายงานบ้านเมือง</TD><TD vAlign=baseline align=right width=85></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>8 มีนาคม 2553 21:01 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> <CENTER></CENTER>

วันนี้ (8 มี.ค.) เวลา 17.57 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จ ณ ห้องประชุม ชั้น 14 อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ถวายรายงานสถานการณ์บ้านเมือง
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

เมื่อสังคมไทย "ผจญมาร " สู่ด่านวิโมกข์
เปลว สีเงิน คอลัมน์ คนปลายซอย ไทยโพสต์


...เพราะโลกมีกิเลส-ตัณหาให้ละ ให้ต้องบำเพ็ญตบะ-บารมี ตราบเมื่อฟาดฟันกิเลส-ตัณหาอันเรียกว่า "พญามาร" ให้แพ้พ่ายไปแล้วนั่นแหละ จึงวิมุตติสู่แดนวิโมกข์ คือสลัดหลุดจากกิเลสเครื่องร้อยรัดพ้นจากความเป็นสัตว์ปุถุชน สู่ความเป็น "ผู้พ้นโลก"

บริสุทธิ์สู่แดนพุทธธรรมอันล้ำเลิศนั่นแล!

..................... ประหนึ่งตัวกิเลส-ตัณหาอันเป็น "พญามาร" ที่ปัญญาชนต้องผจญ ด้วยใช้ความเสียสละ-อดทน บนศรัทธาบารมี ต่อชาติ ต่อพระศาสนา ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ฟาดฟันและฟันฝ่าพาสังคมชาติไปสู่แดนวิมุตติ-วิโมกข์ให้ได้ ถ้าไม่ได้ ก็เหมือนมนุษย์ผู้ผจญมารฝ่าด่านกิเลส-ตัณหาไม่ผ่าน ก็ต้องตกเป็น "ทาสมาร" ไม่ต้องคิดเป็นอื่น

มารไม่มี บารมีไม่เกิด...


๐๐๐ คัดลอกบางตอนจากคอลัมน์ คนปลายซอย หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ฉบับวันที่ 9 มีนาคม 2553 : ขอขอบพระคุณ


อนุโมทนา สาธุ