รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. wuttichai0329

    wuttichai0329 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    1,015
    ค่าพลัง:
    +741
    นึกแล้วว่าท่านต้องแก้ปัญหาได้ ครับท่านชัด ขอบพระคุณมากครับ
     
  2. นายวีระศักดิ์ ท

    นายวีระศักดิ์ ท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2006
    โพสต์:
    309
    ค่าพลัง:
    +1,003
    ผมฝึกอานาปานสติ (หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ กำหนดความรูสึกที่ปลายจมูก)ภาวนา๒-๓ นาทีน้ำตาจะไหล ต่อมา ลมหายใจจะละเอียดขึ้นตามลำดับแล้วคำภาวนากับลมหายใจจะหายไป ช่วงนี้จะคิดอะไรไม่ได้ หูไม่ได้ยินอะไร อยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงแทบจะทุกครั้ง (ผมนั่งสมาธิตอนตีห้าครึ่งถึงเจ็ดโมงเช้าทุกวัน ส่วนตอนเย็นถ้ามีเวลาจะสวดมนต์และนั่งสมาธิ)เมื่อสมาธิถอยออกมาจึงพิจารณาพระไตรลักษณ์ ผมมาถูกทางหรือเปล่าครับ เป็นฌานไหนครับต้องฝึกอะไรหรือทำอะไรต่อครับ ถ้าจะขึ้นกสิน กองไหนดีครับที่ถูกกับจริต ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ
     
  3. chart2k

    chart2k เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    1,131
    ค่าพลัง:
    +5,302
    ทำยังไงให้นั่งแล้วถูกจริตกับตัวเองครับ จิตยังมีความฟุ้งอยู่
     
  4. sfhanksn

    sfhanksn Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +82
    ทำไมอาการของปิติที่เกิดขึ้นในขณะนั่งสมาธิแต่ละครั้งไม่เหมือนกัน บางครั้งผมก็รู้สึกว่าขนลุก บางครั้งก็เหมือนมีแสงแว่บไปแว่บมา บางครั้งก็ตัวโยก บางครั้งก็เหมือนข้างในตัวมันโคลงเคลง เป็นเพราะอะไรหรอครับ

    แล้วก็บางครั้งเวลาผมนั่งสมาธิ ผมจะรู้สึกเหมือนว่าจากทีแรกที่ตัวผมนั่งทิศตรงไปข้างหน้าโต๊ะหมู่บูชา แต่สักพักจะรู้สึกเหมือนว่าทิศทางที่นั่งมันเปลี่ยนไป แต่พอลืมตาขึ้นมาดูทิศทางการนั่งก็ยังเหมือนเดิม เป็นเพราะอะไรหรอครับ
     
  5. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ choosake ครับ

    รบกวนถามครับ
    ช่วงนี้ งานค่อยข้างยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลาฝึกเท่าไหร่ แต่เวลาทำบุญหรืออารธนาพระ ก็จะจับภาพซึ่งคล่องเป็นปกติอยู่แล้ว อันนี้เรียกว่า อารมณ์ชินหรือเปล่าครับ

    เป็นอารมณ์ชิน ถูกแล้วครับ ชินในการทรงภาพพระ ทรงสมาธิ ทรงภาพพระอยู่เป็นปกติ

    พอดีว่า มีน้องคนหนึ่งที่ทำงาน เรามองหน้าแล้วรู้สึกแปลก ๆ มันตะงิ๊ด ๆ บอกไม่ถูกก็เลยลองจับภาพพระดูสะหน่อย(แต่ก็เก็บไว้ในใจคนเดี่ยวนะครับ)บังเอิญน้องเขาก็ถามอะไรบอกอย่างพอผมตอบไป มันตรงเพ่ง อันนี้เรียกว่า คล่้องหรือเปล่าครับ

    ถือว่าคล่องครับ ยิ่งใจของเรามีความสบาย มีความสว่าง มีเมตตา มีภาพพระอยู่ในใจมากเท่าไหร่
    ความชัดเจนจะยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้นครับ

    บังเอิญผมติดตามการตอบคำถามของคุณ Xorce ในกระทู้เป็นประจำลองนำเอา วิธีการชำระมโน ทำดู ทำไมมันง่ายทั้ง ๆ ที่เราก็ไม่เคยทำแต่ถูกผิดนี้ คงฟันธงไม่ได้ เพราะคิดว่าตัวเองยังห่วยอยู่ อันนี้เรียกว่า คล่องตัวหรือเปล่า

    มานะทิษฐิ เป็นกิเลสตัวนึงที่ปราบยากที่สุด การที่เราคอยพิจารณาตัดกิเลสตัวนี้อยู่เสมอ ถือว่าทำได้ดีแล้วครับ ทำเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆครับ
    ส่วนที่เรานำไปปฏิบัตินั้น ไม่มีผิดหรอกครับ หลวงพ่อฤาษีเอง ท่านก็เน้นสอนให้ง่าย ทำได้โดยง่ายน่ะ ดีแล้วครับ
    ชำระใจให้ใสให้เป็นเพชร ความชุ่มเย็นของใจก็เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
    เป็นการปรับอารมณ์ใจของเรา ให้มีความสุข สงบ สะอาด สว่างยิ่งขึ้น

    เราก็สัมผัสได้เอง ถึงพัฒนาการทางจิตของเรา หลังจากชำระจิตให้เป็นเพชรแล้ว
    เมื่อประจักษ์แก่จิตของเราเองแล้ว ก็สิ้นสงสัยครับ
    รวมถึงต้องหมั่นชำระ หมั่นล้างซ้ำเรื่อยๆครับ
    เมื่อใดที่ใจของเรา มีกิเลสตัวใดกำเริบขึ้นมา ก็ให้ชำระจิตของเราให้สะอาด
    ทำซ้ำเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายความเป็นเพชร จะคงอยู่กับดวงจิตของเราตลอดไปครับ

    ทั้ง ๆ ที่เกือบประมาณเดือนแล้วที่ไม่ค่อยได้ นั่งเป็นจริงเป็นจังครับ

    การปฏิบัติสมาธิอยู่ที่จิต ปฏิบัติที่จิต หากเราไม่ได้นั่งสมาธิเลย
    แต่ว่าทรงสมาธิเอาไว้ให้ได้ในทุกๆอิริยาบถ ย่อมได้อานิสงค์ และเกิดพัฒนาการแน่นอนครับ

    สิ่งที่ได้ปฏิบัติมาถือว่าวางกำลังใจได้ถูกแล้วครับ ผมขอมายืนยันให้แน่ใจ
    และอนุโมทนาด้วยครับ

    ปฏิปทาใดที่หลวงพ่อ ท่านได้แนะนำ ได้สั่งสอน ธรรมที่ได้ถ่ายทอดโดยตรงจากพระพุทธองค์
    ขอให้ยึดให้ตั้งมั่นในปฏิปทาเหล่านี้ เอาไว้เป็นหลักชัยที่จะต้องทำจิตของเราให้เข้าถึง
    ให้เราคอยประคองอารมณ์ใจให้มีความสุข ความชุ่มเย็น มีจิตแน่วแน่ในพระรัตนตรัย ในศีล5 ในพระนิพพานเอาไว้เสมอๆ
    แล้วจะมีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันแน่นอนครับ
     
  6. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    อนุโมทนาบุญกับคำตอบครับ เรื่องของการซ้อมตายนั้น ผมว่าเป็นเรื่องปรกติไปเสียแล้วคับ ตอนนี้คิดเสมอทุกลมหายใจคือเราไม่ได้หายใจ อยู่ก็เหมือนกับไม่ได้อยู่ เป็นก็เหมือนกับไม่ได้เป็น บางครั้งจิตคิดพิเลน ลองนึกตอนนี้ตัวเองไม่ได้อยู่ที่นี่ไม่ใช่คน แต่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ที่ไหนสักที่ แต่ยังมีสายเชื่อมโยงถึงร่างนี้ โดยที่เราไม่ได้กำหนด มันเป็นไปเองพอเราไล่ตามก็ดูอยู่เรื่อยๆมันก็ไปของมัน แต่ถ้าเกินจากนั้นก็ดึงกลับ ผมทำถูกไหมคับ เพราะถ้าเกินไปกว่านั้นมันคงไม่ดีแน่ ทั้งๆที่มันยังหนักอึ้งอยู่มากโขทีเดียว

    ประคองใจได้คล่องดีแล้วครับ
    ปล่อยให้จิตมันไปอยู่ข้างบนเลยครับ
    แล้วถ้าใจจะไปอยู่กับพระ ก็ปล่อยมันไปครับ ไม่ต้องรั้งเอาไว้

    แต่จิตก็ใฝ่ดีมีอยู่บ้างที่คิดเสมอเวลาตายจิงๆ นึกถึงภาพพระนิพพานตลอดและเราอยู่ตรงภาพนิพพานนั้นเมื่อนึงถึงความตายจิงๆที่เราประสบ
    ตอนนี้ทรงไว้อยู่คับ ไม่รีบเหมือนแต่ก่อน แต่ มันรู้สึกว่า หลังจาก พ้น ช่วงๆนึงไป มันจะดีขึ้นมากโขทีเดียวเพราะบุญบารมีเก่ามาเสริมบวกกับเราปฏิบัติจริงๆไม่ชล่าใจ หรือผมวิตกคิดไปเองคับแต่ความรู้สึกมันเป็นเช่นนั้น

    ทำไปเรื่อยๆ ดีแล้วครับ การปฏิบัติจะมีบางช่วงที่จะก้าวหน้า แบบกระโดด
    แล้วก็จะเป็นช่วงที่ไปเรื่อยๆ พออีกซักพัก ก็จะมีช่วงก้าวกระโดดอีก สลับกันไปแบบนี้เรื่อยๆครับ

    และใน3ข้อนี้ผมมีพร้อมหมดหัวใจโดยเฉพาะข้อ2 ผมเจอเหตุการณ์ที่เหลือเชื่อ แต่ถึงครานั้นไม่ได้เจอเหตุการณ์นั้นผมก็ยังคงเคารพนอบน้อมพระรัตนตรัย อยู่เสมอคับ

    1.ศีล5บริสุทธิ์ อันเกิดจากเมตตามาก จนทำร้ายใครไม่ลง
    2.เคารพ นอบน้อม ต่อพระรัตนตรัย อย่างถึงที่สุด
    3.พิจารณาว่า เราอาจจะตายได้ตลอดเวลา ถ้าตายตอนนี้เราจะไปพระนิพพานเท่านั้น

    สาธุครับ พบเจอเหตุการณ์อัศจรรย์ ก็ช่วยยังความแน่วแน่ที่เรามีในพระรัตนตรัยให้มากขึ้น สูงขึ้น ยิ่งๆขึ้นไปได้ครับ

    ผมลองปฏิบัติดูมันต่างจากแต่ก่อนที่หวือหว๋า แต่ผมก็แผ่เมตตาได้เหมือนเดิมหรืออาจจะดีกว่าเดิมเสียอีก และเห็นชัดกว่าแต่ก่อนด้วยคับ หรืออาจจะเป็นเพราะผมทรงไว้จนชินหรือว่าอย่างไรก็ไม่รู้ หรือไม่รู้ตัว จนตอนนี้ เรามาตั้งใจทำตั้งใจปฏิบัติก็ทำได้คับ เพราะแต่ก่อนเคยปักหมุดเอาไว้(แต่ไม่ได้ตึงเหมือนเมื่อก่อน) และตอนนี้กลับมีความรู้สึก ไม่ใช่อารมณ์เบื่อแต่มันมีความรู้สึกคล้ายกลับเบื่อ เรื่อยๆคับ มีเพื่อประทังชีวิต ทำเืพื่อให้ขันติ์5ไม่เสื่อม หน่ะคับ บางครั้งลองคิดว่าตัวเองตายไปแล้วก็มีตายอยู่ ตายเป็นปรกติ

    สาธุด้วยครับ เมตตาจะยิ่งเย็นขึ้นๆ เรื่อยๆ ตามความชินในอารมณ์ของเราครับ
    ความเย็นของเมตตาเป้นเครื่องวัดความก้าวหน้าในการปฏิบัติอย่างนึงครับ
    ยิ่งใกล้พระนิพพานมากเท่าไร่ เมตตาจะยิ่งเย็นขึ้นเท่านั้นครับ
    แล้วอารมณ์ของเมตตาก็จะเริ่มเป็นความปรารถนาให้ผู้อื่นได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
    แบบเดียวกับที่เราได้สัมผัสแล้ว ซึ่งเป็นอารมณ์สุดของเมตตาครับ
    มันจะเบื่อแบบเฉยๆ เบื่อแบบสบายๆ เย็นๆ แบบนี้ดีแล้วครับ
    แต่ต้องคอยดูประคองอารมณ์ไปเรื่อยๆ ไม่ให้มันเผลอหนักไปครับ บางครั้งอาจจะมีขึ้นๆลงๆได้ครับ

    จะว่าอีกทีนึงผมไม่ได้นั่ง ตั้งสมาธิปฏิบัติสมาธิ เลยคับในช่วงระยะเวลาหลังๆ จะมีก็แต่กำหนดในช่วงเวลากิจวัตร ประจำวันเท่านั้น เอง ไม่ได้นั่งเป็นเรื่องเป็นราว จึงคิดว่าตัวเองไม่ได้ปฏิบัติธรรมเลย

    จริงๆแล้ว ไม่ต้องตั้งท่า จะเป็นเรื่องเป็นราวมากกว่าครับ
    เพราะถ้าเราตาย เราก็ไม่ตายตอนนั่งสมาธิหรอกครับ น้อยคนนัก
    ดังนั้นควรจะพร้อมเอาไว้เสมอ อย่างที่ทำนั่นแหละครับ
    นั่งสมาธิอย่างมากก็ 4ชั่วโมง แต่เวลาที่เรามีในหนึ่งวันคือ 24ชั่วโมง
    ปฏิบัติเรื่อยๆ ตลอดเวลา โดยไม่ต้องตั้งท่า ก็จะได้ถึง 10-20กว่าชั่วโมงต่อวัน ได้อานิสงค์มากกว่าครับ

    ขออภัยคำถามอาจจะไม่เรียงคับ

    ไม่เป็นไรครับ ผมพอจะเข้าใจได้

    อนุโมทนาบุญกับคุณชัดด้วยครับ

    สิ่งใดสมประสงค์ขอให้สิ่งนั้นมาบรรจบอยู่ที่ๆเราอยู่ด้วยเทอญ

    ขอให้ธรรมของพระพุทธเจ้าใดที่คุณ makoto ได้เข้าถึงแล้ว
    ขอให้ช่วย ถ่ายทอดและจุดแสงเทียนแห่งธรรมนั้นต่อไปยังดวงจิตอื่นๆจำนวนมากมายด้วยเทอญ
    การช่วยเหลือคนตามโอกาสที่ทำอยู่เสมอๆ ก็ขอให้ทำให้ยิ่งๆขึ้น ทำต่อไปเรื่อยๆครับ
    ขอให้ทุกๆดวงจิตมีพระนิพพานเป็นที่สุด ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยบารมีของพระพุทธองค์ด้วยเทอญ<!-- google_ad_section_end -->
     
  7. takamura15

    takamura15 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    27
    ค่าพลัง:
    +34
    พี่ xorce ครับ มโนเต็มกำลัง วัดท่าซุง มีวันไหนครับ
     
  8. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    วันเสาร์ที่ 12 - อาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม 2552
    เวลาเริ่ม 11:00 แต่ควรไปก่อนนะครับ

    แล้วเจอกันนนนนนน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ธันวาคม 2009
  9. น้องบู

    น้องบู สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่ สนใจในส่วนของมโมมยิทธิครับ

    จากความรู้ที่มีมาบ้าง ทราบว่าจะต้องได้ ฌาน 4 ก่อนใช่หรือไม่ครับ ถึงจะทำ มโนมยิทธิได้

    เคยได้ยินมาอีกว่า เมื่อได้ ฌาน 4 คือมี เอกกคัตตรมณ์ + อุเบกขาแล้ว ถ้าฌานนั้นแนบแน่นจนเป็น อัปปนาสมาธิ ให้ถอยลงมาจนเหลือเพียงอุปจารสมาธิ แล้วจึงทำ มโมยิทธิได้

    ตรงนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ

    แล้วถ้าผมถอนมาจนถึงอุปจารสมาธิแล้ว ควรทำในจิตอย่างไรให้ถอดกายทิพย์ออกไปได้ครับ ตรงนี้ผมไม่เข้าใจเลยครับ
     
  10. น้องบู

    น้องบู สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีครับ ผมเป็นสมาชิกใหม่ สนใจในส่วนของมโมมยิทธิครับ

    จากความรู้ที่มีมาบ้าง ทราบว่าจะต้องได้ ฌาน 4 ก่อนใช่หรือไม่ครับ ถึงจะทำ มโนมยิทธิได้

    เคยได้ยินมาอีกว่า เมื่อได้ ฌาน 4 คือมี เอกกคัตตรมณ์ + อุเบกขาแล้ว ถ้าฌานนั้นแนบแน่นจนเป็น อัปปนาสมาธิ ให้ถอยลงมาจนเหลือเพียงอุปจารสมาธิ แล้วจึงทำ มโมยิทธิได้

    ตรงนี้ผมเข้าใจถูกไหมครับ

    แล้วถ้าผมถอนมาจนถึงอุปจารสมาธิแล้ว ควรทำในจิตอย่างไรให้ถอดกายทิพย์ออกไปได้ครับ ตรงนี้ผมไม่เข้าใจเลยครับ
     
  11. suthipongnuy

    suthipongnuy ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +1,428
    สวัสดีครับ ขอรับคำปรึกษาด้วยคนครับ

    หลังจากได้ไปบวชทดแทนพระคุณบิดามารดาเมื่อพรรษาที่ผ่านมา3เดือน ก็ได้รู้อะไรมากมายครับ หลังจากลาสิกขาออกมาทำงานต่อ ก็ได้ปฏิบัติธรรมต่อเนื่องเรื่อยมา แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ครับ ทุกวันนี้ที่ได้ปฏิบัติบ่อยๆคือ จับลมหายใจเข้าออก จะทำทุกครั้งที่นึกได้ครับ
    อ้อ...ก่อนหน้าที่จะดูลมหายใจ ผมใช้บริกรรม พุทโธ หรือไม่ก็สวดอิติปิโสฯ แต่รู้สึกว่าไม่สะดวกเวลาทำงานครับ เพราะมันต้องคิดต้องทำงานไปด้วย เลยใช้วิธีดูลมแทน
    ถึงแม้จะผ่านการบวชมาแล้ว แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอีกหลายอย่างครับ แม้ว่าครูบาอาจารย์จะอธิบายให้เข้าใจแล้วทุกครั้งที่กราบเรียนถาม แต่ก็อย่างว่าละครับ ความสงสัยจะหมดไปเมื่อตัวเราก็รู้ได้เห็นได้ปฏิบัติแล้วเท่านั้น จบการแนะนำตัวไปแล้วขอถามเลยละกันครับ

    1. ช่วงที่บวช ตอนเคลิ้มๆใกล้จะหลับ มักจะได้ยินเสียงสวดมนต์บ่อยๆครับ ถามครูบาอาจารย์แล้วท่านบอกว่าจิตมันว่าง
    2. ช่วงที่บวช ตอนเดินจงกรม ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ แต่ได้กลิ่นแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นเองครับ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เทวดาเค้ามาอนุโมทนาด้วย
    3. ช่วงที่บวช นั่งสมาธิบริกรรมพุทโธ มีช่วงนึงที่รู้สึกว่าหลับไป แล้วก็รู้สึกตัวใหม่ ก็บริกรรมต่อ แล้วก็เหมือนว่าหลับไปอีก จนตัวเองคิดว่าง่วงก็เลยนอน ครูบาอาจารย์ท่านว่า จิตเข้าสู่สมาธิ แต่ตัวเราไม่รู้ เลยคิดว่าหลับไป
    4. หลังลาสิกขาออกมาแล้ว ไม่ค่อยได้นั่งสมาธิครับ ใช้วิธีก่อนนอนจะบริกรรมหรือใช้วิธีดูลมครับ บางวันก็ไม่หลับเหมือนมันจะตื่นๆอยู่ตลอด
    5. เวลาทำงาน ก่อนที่จะใช้วิธีดูลม ผมบริกรรมพุทโธ รู้สึกตึงๆที่หว่างคิ้วครับ ถ้าไม่สนใจมันก็จะหายไป แต่ถ้าเอาสติจดจ่อดูตรงที่มันปวด สักพัก มันก็รู้สึกโล่งๆในหัวครับ
    6. เวลาสวดมนต์ไหว้พระเสร็จก็จะแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล ช่วงนี้จะรู้สึกขนลุก หรือเย็นวาปไปทั้งตัวครับ เป็นมาตั้งแต่ตอนบวช ทุกวันนี้ก็เป็นครับ
    7. ตอนนั่ง/นอน ดูลม มันจะมีช่วงนึงที่คำบริกรรมหายไป แล้วรู้สึกว่างๆ โล่งๆ หมดความคิด เคยถามครูบาอาจารย์ท่านว่าให้ดูตรงนี้ไปเรื่อยๆ แต่ผมลองแล้ว มันเกิดคำถามขึ้นมาตลอด สักพักมันก็หลุดจากจุดนี้ไปครับ อยากถามว่าจะให้มันทรงตัวอยู่นานๆต้องทำยังไงครับ
    8. การเดินวิปัสสนา ครูบาอาจารย์ท่านแนะว่า ให้เข้าฌาน4ก่อนแล้วให้จิตเค้าอิ่มพอเค้าอิ่มก็จะถอยออกมาเอง ช่วงนี้เราค่อยเดินวิปัสสนา เพราะจะทำให้จิตเค้ายอมรับในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่เนื่องจากผมยังไม่เคยถึงขั้นนั้น ถ้าสมาธิผมถึงแค่อุปจาร ผมจะเดินวิปัสสนาได้มั๊ยครับ
    9. บางครั้งก่อนนอนจะคิดเรื่องทั่วๆไปเรื่อยเปื่อย อยู่ดีๆจิตก็เข้าสู่สมาธิเอง ถ้าเราคิดใคร่ครวญในทางธรรม อย่างเช่นมรณสติ อสุภะ กายคตานุสติ ธาตุ4 ขันธ์5 ถ้าจิตเข้าสู่ความสงบ ก็จะเป็นแบบนี้ใช่มั๊ยครับ

    บางข้อก็ไม่ใช่คำถาม แต่อยากเล่าให้ฟัง เผื่อว่าท่าน <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Xorce<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2653299", true); </SCRIPT> จะมีคำแนะนำให้ครับ
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ Ukie ครับ<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ช่วยแนะนำวิธีปฏิบัติให้ถูกกับจริตหน่อยค่ะ

    ของเดิมคือ พุทโธ ๆ ๆ ๆ ภาวนาไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้กำหนดตามลมหายใจเข้าและออกค่ะ แบบภาวนา พุทโธ ๆๆๆๆ ต่อ ๆ กัน
    พอจิตนิ่ง ๆ สักพัก จะหยุดภาวนา และเลิกคิด นั่นนี่โน่นค่ะ ถูกไหมค่ะ แต่ว่าสมาธิยังไม่แข็งแรงเท่าไหร่<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ถูกครับ อารมณ์ที่จิตหยุดนิ่ง คำภาวนาหาย ลมหายใจดับ <o:p></o:p>
    จิตประคองอยู่ในอารมณ์สบายๆ นิ่งๆ เย็นๆ เบาๆ เป็นอารมณ์ที่ถูกแล้วครับ<o:p></o:p>
    เพราะเป็นเป้าหมายของการภาวนาพุทโธ เป็นตัวสุดของอารมณ์ในขั้นสมถะ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    แต่ว่า หากไม่จับลมหายใจควบคู่ไปด้วย จะทำให้ประคองได้ไม่นาน<o:p></o:p>
    วิธีการทำให้ดียิ่งขึ้นนะครับ ลองใช้วิธีนี้แทนครับ<o:p></o:p>
    1.ให้หายใจเข้าแรงๆ ลึกๆ สูดลมหายใจให้เต็มปอด สัมผัสความบริสุทธิ์ของอากาศ ความเย็นของลมหายใจ<o:p></o:p>
    2.กักลมหายใจ กลั้นลมหายใจเอาไว้สบายๆ เสร็จแล้ว<o:p></o:p>
    ให้เราภาวนา พุทโธๆๆๆๆ รัวๆ ซ้ำไปซ้ำมา ที่บริเวณท้อง ยิ่งถี่มาก ยิ่งกลั้นลมหายใจได้นาน จิตจะยิ่งนิ่งมาก พอไปเรื่อยๆ จะรู้สึกได้ถึงความนิ่ง หยุดของจิต<o:p></o:p>
    3.พอผ่านไป10-20 วินาที ให้เราหายใจออก<o:p></o:p>
    4.ทำซ้ำอีกสิบครั้ง แต่ละครั้ง เราจะกักลมหายใจได้นานขึ้นๆ<o:p></o:p>
    5.พอครบสิบครั้ง ให้เราปล่อยลมหายใจเลย ไม่ต้องบังคับลมหายใจ พุทโธก็ปล่อย ก็หยุดภาวนาเช่นกัน<o:p></o:p>
    ให้เราตามดูลมหายใจสบายๆตามดูไปเรื่อยๆ <o:p></o:p>
    ลมหายใจจะหายใจแรงก็ปล่อยมันไป จะเบา จะช้า จะเร็วก็ปล่อยมันไป<o:p></o:p>
    ตามดูลมหายใจสบายๆไปเรื่อยๆ<o:p></o:p>
    ลมหายใจของเราจะค่อยๆ ช้าลงๆ เบาลงๆ จนหยุดไป จนคล้ายกับไม่หายใจ<o:p></o:p>
    เมื่อนั้นความคิดของเราจะหยุดนิ่ง ไม่คิด จิตจะลอยนิ่ง<o:p></o:p>
    เหลือแต่ความเบาสบาย เย็น เป็นอารมณ์เดียวกันกับที่เราเข้าถึงไปแล้วจากการภาวนาพุทโธ<o:p></o:p>
    แต่คราวนี้ จะสงบ สบาย เย็น และประคองได้นานยิ่งกว่าเดิมมาก<o:p></o:p>
    ให้เราประคองอารมณ์สบาย ความเบาสบายใจนี้ เอาไว้ตราบนานเท่าที่เราต้องการ<o:p></o:p>
    ถ้าลมหายใจกลับมาแล้วก็ตามดูไปเรื่อยๆสบายๆ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เสร็จแล้วก่อนจะออกจากสมาธิ ให้อธิษฐานปปักหมุดเอาไว้ด้วยครับ<o:p></o:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งลมสบาย อารมณ์สบาย สภาวะจิตที่นิ่ง หยุด เบาสบาย ไม่หายใจ จากการภาวนาพุทโธนี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<o:p></o:p>
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    จากนั้นค่อยๆถอนจิตออกจาสมาธิช้าๆ<o:p></o:p>
    เวลาจะถอนออกจากสมาธิ ให้หายใจเข้าลึกๆช้าๆ หายใจออกช้าๆ สามครั้ง<o:p></o:p>
    และภาวนา พุท โธ ธัม โม สัง โฆ ในแต่ละครั้งที่หายใจ<o:p></o:p>
    เสร็จแล้วก่อนจะลืมตาขึ้น ให้ทำความรู้สึกว่า <o:p></o:p>
    ดวงจิตของเราค่อยๆแย้มกลีบเบ่งบานเหมือนกับดอกไม้<o:p></o:p>
    แล้วก็ตื่นขึ้น พร้อมๆกับที่ออกจากสมาธิ<o:p></o:p>


    แล้วจะทราบได้อย่างไรว่านั่งถึงขั้นไหนแล้ว แต่ชอบนั่งสมาธิมาก ๆ คิดว่าคนอื่น ๆ สงบได้ ข้าพเจ้าก้อน่าจะทำได้ แต่ไม่ได้หวังเทียบเท่าคนอื่น เพราะคิดว่าแต่ละคนทำมาไม่เหมือนกัน<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    ขั้นวัดกันที่ความสุขใจ ความสบายของใจ ยิ่งใจสบายมาก ยิ่งมีความสุขมาก ยิ่งเคารพพระมาก <o:p></o:p>
    ยิ่งเมตตาต่อผู้อื่นมาก ยิ่งรักพระนิพพานมาก จิตเรายิ่งสูงเท่านั้น<o:p></o:p>
    เคารพพระแค่ไหน มีความสุขแค่ไหน เมตตาแค่ไหน วัดกันด้วยสิ่งเหล่านี้ครับ

    แล้วก้อไม่เคยเห็นอะไรเลย ควรนั่งให้สงบ ๆ รักษาจิตที่สงบ ๆ ไปนาน ๆ ใช่ไหม ไม่ควรไปติดใจสงสัยอะไร รึเปล่าค่ะ แล้วสักวันจะพัฒนาเองใช่ไหม
    จะรู้ได้อย่างไรว่าฐานของเราดี<o:p></o:p>
    ถ้าจะให้เห็นจะต้องฝึก นึกถึงภาพพระ ให้เราสามารถนึกถึงภาพพระได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่เราต้องการ<o:p></o:p>
    และให้เห็นภาพพระท่านแย้มยิ้ม และใสสว่างเป็นเนื้อ แก้ว เนื้อเพชรระยิบระยับ ด้วยจะยิ่งดีครับ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>

    แล้วเวลาสวดมนต์ควรสวดออกเสียงใช่ไหมค่ะ จะดีกว่าภาวนาในใจ<o:p></o:p>
    <o:p></o:p>
    แบบไหนก็ได้ครับ อานิสงค์ขึ้นอยู่กับความอิ่มใจที่เกิดขึ้นจากสมาธิครับ

    ตั้งแต่มานั่งสมาธิได้ 2 วันอ่ะค่ะ รู้สึกว่าชอบนั่งสมาธิมากกว่า สวดมนต์ซะอีก
    ทั้ง ๆ ที่ ก้อยังนั่งไม่ได้ สงบเท่าไหร่ (มีแววไหมค่ะ)<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ถ้าวางอารมณ์ได้ถูกต้อง ไปพระนิพพานได้ทุกคนครับ แล้วไปได้ทันทีด้วยครับ<o:p></o:p>
    ขึ้นอยู่กับว่าเราวางอารมณ์ได้ถูกแค่ไหน ก็จะยิ่งเร็ว ยิ่งง่ายเท่านั้นครับ<o:p></o:p>
    ทุกอย่างเป็นเรื่องของการหาอารมณ์จิตที่ถูกต้อง แล้วรักษาเอาไว้ให้ได้ตลอดไปครับ<o:p></o:p>
    ถ้าเรารู้ว่าอารมณ์แต่ละขั้นในการปฏิบัติ เป็นอย่างไร แล้วจี้ลงไปให้ได้ในทันที<o:p></o:p>
    ฌาณ4เป็นไง เมตตาเป็นไง กสิณเป็นไง อรูปเป็นไง อารมณ์ที่ใช้ตัดสังโยชน์แต่ละข้อเป็นอย่างไร อารมณ์พระนิพพานเป็นอย่างไร<o:p></o:p>
    แล้วเราค่อยๆไล่ระดับขึ้นไปจากหยาบไปละเอียด แปปเดียวได้ทุกอย่างครับ<o:p></o:p>
    ปรารถนาในคุณวิเศษอะไร สามารถจะได้ทั้งหมด ในการฝึกครั้งเดียว<o:p></o:p>
    ในสมัยพุทธกาล พระท่านถ่ายทอดธรรมะจากจิตสู่จิต ถ่ายทอดกันให้เข้าใจง่ายๆ จึงได้เกิดบรรลุธรรมฉับพลันได้<o:p></o:p>
    หากธรรมะถูกถ่ายทอดในลักษณะเดียวกันนี้ ย่อมเข้าถึงมรรคผล ได้โดยฉับพลันทันใด ได้เสมอกันทุกๆดวงจิตครับ<o:p></o:p>

    แล้วพอชอบนั่งสมาธิมากกว่า จิตเลยไม่สงบเวลาสวดมนต์ เพราะอยากนั่งสมาธิเร็ว ๆ ค่ะ

    ควรปฏิบัติควบคู่กันใช่ไหมค่ะ ไม่ควรละทิ้งอย่างใด<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทำควบคู่กันไปแหละครับ แต่ว่าปรับให้เหมาะสมกับความสบายใจของเราด้วยครับ<o:p></o:p>
    ถ้าสวดนานไปจนไม่เหลือเวลาทำสมาธิก็ ปรับบทสวดให้ลดลงก็ได้ครับ<o:p></o:p>
    การสวดมนต์ ก็เป็นการทำสมาธิอย่างนึง<o:p></o:p>
    เวลาสวดมนต์หากจะเอาให้ได้อานิสงค์สูงสุด ให้เรานึกภาพว่า<o:p></o:p>
    ตัวเรากำลังนั่งสวดมนต์อยู่ ต่อหน้าพระพุทธรูปที่เราเคารพ อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า จริงๆ<o:p></o:p>
    แล้วเวลากราบพระ ก็ให้ตั้งใจว่า <o:p></o:p>
    พระพุทธเจ้ากำลังประทับอยู่ข้างหน้าเราจริงๆ<o:p></o:p>
    แล้วเราจะกราบพระองค์ที่เบื้องพระบาทอย่างไร จะกราบส่งๆไป หรือค่อยๆบรรจงกราบด้วยจิตที่อ่อนโยน นอบน้อม เคารพอย่างถึงที่สุด<o:p></o:p>
    ยิ่งความเคารพในพระพุทธเจ้าของเราสูงมากแค่ไหน<o:p></o:p>
    เราก็ยิ่งใกล้พระนิพพานมากเท่านั้น เวลากราบพระก็จะยิ่งอ่อนน้อมมากเท่านั้นตามไปด้วย<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ต่อมาให้เรามาดูศีลของเรา ในขณะที่เรากำลังเคารพพระพุทธเจ้าอยู่นี้<o:p></o:p>
    จิตใจเรามีความอ่อนโยน นุ่มนวล ทำร้ายใครไม่ลง ไม่ได้เบียดเบียนใคร ขณะนี้เราจึงมีศีล5บริสุทธิ์<o:p></o:p>
    มีศีล5บริสุทธิ์ก็เกิดในอบายภูมิไม่ได้ เป็นการปิดอบายภูมิถาวร<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    แล้วเราก็ตั้งใจว่า ขณะนี้พระพุทธองค์ประทับอยู่บนพระนิพพาน<o:p></o:p>
    ถ้าเราตายจากชาตินี้เมื่อไหร่ อบายภูมิเราไม่ไป มนุษย์เราจะไม่เป็น เทวดา พรหมก็ไม่เอา ตายเมื่อไหร่จะไปพระนิพพานเท่านั้น<o:p></o:p>
    เกาะพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ตายเมื่อไหร่ เราจะไปอยู่ที่เดียวกันกับพุทธองค์เท่านั้น ที่อื่นไม่ยอมไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เป็นวิธีการ กราบพระครั้งเดียวให้ถึงพระนิพพาน ครับ<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ขอให้มีพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันนี้ กันทุกๆดวงจิต ด้วยบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเทอญ
     
  13. Ukie

    Ukie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +594
    ขอบคุณค่ะ

    ถึงแม้บางข้อจะยังไม่กระจ่างเพราะด้วยปัญญาอันน้อยนิด
    แต่จะไม่ละความพยายาม

    วัน ๆ อยากจะนั่งสมาธิอย่างเดียวค่ะ ถึงแม้จะรักษาสมาธิ
    ได้ไม่มากเท่าไหร่ ไม่เกิน 5 นาที นั่งครั้งนึงก้อ ตกประมาณ 1-2 ชั่วโมง
    เป็นอย่างน้อย

    มีเมื่อเช้า ตื่นมาก้อนั่งเลย 7โมงครึ่งถึง 9 โมงเช้า ไม่อยากไปไหน
    แต่ก้อสมาธิไม่ดีเท่าไหร่นะคะ แต่พอนั่ง นั่ง นั่ง นั่ง เริ่มเคลิ้มจะหลับ
    เคลิ้มปุ๊บ จิตดีดปั๊บ จิตตื่นเลย สว่าง(ไม่มากพอประมาณ) ว่างเปล่า
    ไร้ความคิด ไม่รู้จะไปไหนต่อ ไปไม่เป็น เลยกลับมาขั้นเริ่มต้นใหม่

    สงสัยต้องกำหนดควบคู่กับลมหายใจเข้า-ออก ตามที่แนะนำมา

    แต่ถ้าเรา ภาวนาตามลมหายใจเข้า-ออก ดูจิตไปเรื่อย ๆ สบาย ๆ
    จะเข้าถึงได้เหมือนกันไหมรึเปล่าค่ะ

    ทำไมรู้สึกว่าไม่ถนัดเลย กับการกำหนดลมหายใจอ่ะค่ะ ทำไม
    กำหนดที่หว่างติ้มได้ไหมค่ะ หรือต้องที่ท้อง

    ขอบคุณค่ะ
     
  14. Kritsada_In

    Kritsada_In Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2009
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +29
    สวัสดีครับพี่ๆ
    คือผมอยากจะปรึกษาเรื่องการทำสมาธิครับ
    ผมไม่เคยมีพื้นฐานมาก่อน
    แต่สนใจที่จะฝึกสมาธิครับ
    ไม่ทราบว่าต้องเริ่มจากการฝึกอะไร
    แล้วพอจะมีบทความอันไหนที่เหมาะกับผู้เริ่มต้นบ้างครับ
    คิดอยู่นานว่าจะถามดีหรือป่าวคือ
    รู้สึกเกรงใจยังไงก็ไม่รู้
    เพราะอ่านข้อความของแต่ละท่านก็ฝึกกันมาแล้วทั้งนั้น
    กลัวจะรบกวนพี่ๆครับ
    ผมอายุ21ปี รู้สึกว่าช่วงหลังชีวิตจะเซไปมากเลยอยากหาทางดึงตัวเองกลับมาครับ รบกวนพี่ๆแนะนำด้วยนะครับ

    ปล.ขออภัยถ้าผมทำอะไรไม่เหมาะสมเพราะนี้ก็ครั้งแรกเลยครับที่ผมเข้ามาศึกษาที่นี้เลยไม่ค่อยรู้พิธีการต่างๆ

    ขอบพระคุณครับ
     
  15. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    ขออนุญาติ ตอบแทน แบบ ง่ายๆ ว่า ไม่จำเป็นต้องได้ ณาน 4 ครับ
    ไปฝึกได้เลยครับแบบครึ่งกำลัง ที่วัดท่าซุง(น่าจะมีทุกวันแต่ไม่แน่ใจครับ) หรือ ซอยสายลม(กรุงเทพฯ เสาร์ต้นเดือนครับ) ครับ
    ไม่ก็ 12 - 13 ธันวาคมนี้ วัดท่าซุง ฝึกมโนเต็มกำลัง ครับ

    แล้วเจอกันนนน
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ นักพรต99 ครับ

    ผมฝึกอานาปานสติ (หายใจเข้าพุธ หายใจออกโธ กำหนดความรูสึกที่ปลายจมูก)ภาวนา๒-๓ นาทีน้ำตาจะไหล

    ช่วงที่น้ำตาไหลเป็นปีติครับ

    ต่อมา ลมหายใจจะละเอียดขึ้นตามลำดับแล้วคำภาวนากับลมหายใจจะหายไป ช่วงนี้จะคิดอะไรไม่ได้ หูไม่ได้ยินอะไร อยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงแทบจะทุกครั้ง

    ฌาณ4ละเอียดครับ อารมณ์จะรู้สึกว่าคำภวานาหายไป ลมหายใจหายไป จิตหยุดนิ่ง หยุดคิด ประคองอยู่ในความสบาย เบาเย็น จะรู้สึกลอยๆ ว่างๆ

    (ผมนั่งสมาธิตอนตีห้าครึ่งถึงเจ็ดโมงเช้าทุกวัน ส่วนตอนเย็นถ้ามีเวลาจะสวดมนต์และนั่งสมาธิ)เมื่อสมาธิถอยออกมาจึงพิจารณาพระไตรลักษณ์ ผมมาถูกทางหรือเปล่าครับ

    ถูกแล้วครับ ตามขั้นตอนทุกอย่างเลยครับ

    เป็นฌานไหนครับต้องฝึกอะไรหรือทำอะไรต่อครับ

    ฌาณ4ในอาณาปานสติแล้วครับ จับอะไรก็ได้หมดครับ
    อย่าลืมอธิษฐานปักหมุดด้วยนะครับ
    ก่อนจะออกจากสมาธิให้อธิษฐานว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่ง อาณาปานสติกรรมฐาน จนจิตเข้าสู่สภาวะของฌาณ4ละเอียดนี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไว้สามครั้งครับ
    เพื่อที่จะได้คล่องยิ่งๆขึ้น ตลอดไปครับ

    ถ้าจะขึ้นกสิน กองไหนดีครับที่ถูกกับจริต ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ

    เอากสิณภาพพระพุทธรูปก็แล้วกันครับ
    ระลึกถึงภาพพระที่เราเคารพมากที่สุดมา1องค์ เห็นภาพพระท่านยิ้มด้วยครับ
    แล้วเปลี่ยนภาพพระให้เป็นเนื้อสีขาวนวลทั้งองค์ สวยงามถึงที่สุด
    พอภาพพระเป็นสีขาวแล้ว ให้เปลี่ยนต่อให้เป็นเนื้อแก้วใส สว่าง สวยงาม
    พอภาพพระเป็นเนื้อแก้วใสแล้ว ให้เปลี่ยนภาพพระเป็นเนื้อเพชรใส ประกายระยิบระยับ
    มีความใส มีแสงสว่าง เปล่งออกมา มีฉัพพรรณรังสี มีรัมีความสว่าง สวยงามเป็นเพชรใสระยิบระยับทั้งองค์
    ภาพพระท่านแย้มยิ้มอย่างถึงที่สุดเมื่อเปลี่ยนเป็นเนื้อเพชร

    เห็นภาพพระอยู่ในอกของเรา แล้วให้ใจของเราแย้มยิ้มตามภาพพระที่เราเห็น
    แล้วก็มีแสงสว่าง เป็นรัศมีเพชรแผ่จากภาพพระกลางอกของเรา ส่องสว่าง แผ่กระจายเป็นคลื่นของความเย็น ความปีติ ความสุขเอิบอิ่ม กระจายส่องสว่างไปยังร่างกายของเราจนเป็นเพชรไปหมด ไปยังทั้งบ้านของเราให้เป็นเพชร มีแต่คลื่นของความเย็น
    แผ่กระจายส่องสว่างไปยังทั้งประเทศ ทั้งโลก ทั้งจักรวาล
    ทุกๆอย่างในจักรวาลเปลี่ยนกลายเป็นเพชรใสประกายระยิบระยับทั้งหมด ด้วยบารมีของพระพุทธเจ้า
    แผ่ไปยังทุกภพทุกภูมิ ในรัศมีเพชรจากภาพพระ คลื่นแห่งความเย็น ความเป็นเพชร
    แผ่กระจายออกจากภาพพระในอกของเรา มอบความสุข ความร่มเย็นให้กับทุกๆดวงจิตในจักรวาล
    แผ่ออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใจของเราเกิดความเบาสบาย เอิบอิ่ม แย้มยิ้มจากภายใน เบิกบานจากภายในจิตใจ มีแต่ความสุข ความชุ่มเย็น
    แล้วให้เราทรงภาพพระเอาไว้อยู่เสมอๆ แผ่เมตตา แผ่รัศมีเพชรจากภาพพระออกไปเรื่อยๆ อยู่เสมอ
    ให้ดวงจิตของเราตื่นขึ้น สว่างขึ้น งดงามขึ้น เบิกบานขึ้น แย้มยิ้มออก
    เป็นเพชรขึ้นจากภายในจิตใจของเราอย่างแท้จริง ด้วยอำนาจแห่งกสิณภาพพระพุทธรูป

    แล้วให้ตั้งจิตอธิษฐานก่อนจะออกจากสมาธิว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถทรงภาพพระ เป็นเพชร และแผ่อารมณ์ที่เปยี่มด้วยเมตตาจากภาพพระในอกของข้าพเจ้านี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง

    แล้วก็หมั่นประคอง หมั่นทรงสมาธิเอาไว้เรื่อยๆ ทั้งอาณาปานสติ ภาพพระเป็นเพชร แย้มยิ้ม
    และแผ่คลื่นแห่งเมตตา คลื่นแห่งความเย็นออกจากภาพพระที่กลางอกของเราอยู่เสมอๆครับ

    ขอให้เข้าถึงซึ่งความดีในพระพุทธศาสนาทุกประการ อันมีพระนิพพานเป็นที่สุด ได้โดยฉับพลันทันใดด้วยบารมีของพระพุทธเจ้าด้วยเทอญ<!-- google_ad_section_end -->
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ขอโทษด้วยครับ ที่พักนี้ผมมาตอบให้ล่าช้าครับ
    ช่วงนี้เป็นช่วงใกล้งานหล่อพระเจ้าองค์แสนแล้ว ผมจะยุ่งนิดนึงครับ
    พระเจ้าองค์แสนหล่อที่วัดท่าซุง ในวันที่ 12 ธ.ค.
    ซึ่งเป็นวันฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังพอดีครับ เวลาหล่อ 2 ทุ่มครับ

    หากใครยังไม่ได้เขียนคำอธิษฐานเพื่อในหลวง เพื่อส่วนรวม
    ให้รีบเขียนคำอธิษฐานในกระทู้นี้
    http://palungjit.org/threads/เว็บพล...ค์แสน-ปลุกตื่นทุกดวงจิตสู่สัมมาอภิญญา.203839/

    ก่อนวัน อังคารนี้นะครับ

    ขอน้อมนำอานิสงค์ทั้งหมดของการสร้างพระเจ้าองค์แสน
    และบุญกุศลทั้งหมด ที่ทุกๆดวงจิตได้สร้างเคยบำเพ็ญมา น้อมถวายต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    ขอให้พระองค์ทรงพระเจริญ ทรงมีพระชนมายุยิ่งยืนนาน อยู่เป็นมิ่งขวัญ ปกเกล้าประชาชนชาวไทย ตลอดไปด้วยเทอญ

    ขอเชิญทุกๆท่าน มาร่วมหล่อพระเจ้าองค์แสนด้วยกันครับ ใครไม่สะดวกมา ก็ร่วมส่งใจมาอนุโมทนามาร่วมกันได้ครับ
    ย้ำอีกครั้ง วันที่ 12 ธ.ค.เวลา 2 ทุ่ม ที่วัดท่าซุงครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2009
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ของขวัญวันพ่อครับ

    แบบแผนการฝึกทั้งหมด ไล่ตั้งแต่ อาณาปานสติ เมตตา กสิณ อรูป วิปัสสนาญาณ
    ฝึกกันให้จิตใจ สว่างไสวกันไปเลยครับ

    อาณาปานสติ ลมสบาย
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    งั้นจะเริ่มจากการจับลมหายใจก่อนก็แล้วกันนะครับ<O:p></O:p>
    ตอนนี้ให้เราลองรู้สึกถึงลมหายใจ <O:p></O:p>
    ที่กระทบบริเวณปลายจมูกของเรา เบาๆ เวลาหายใจเข้า<O:p></O:p>
    กระทบบริเวณปลายจมูกของเราเบาๆ เวลาหายใจออก<O:p></O:p>
    ลองดูซัก10ครั้ง ครับ<O:p></O:p>
    จะรู้สึกถึงลมเบาๆ ที่จมูก สัมผัสถึงอาการกระทบ ความนุ่มนวล ชุ่มเย็น พริ้วไหวของลมหายใจ ไปเรื่อยๆด้วยใจสบายๆ<O:p></O:p>
    ยิ่งสัมผัสกับความชุ่มเย็นของลมหายใจมาก ใจยิ่งเบา ยิ่งสบาย ยิ่งชุ่มเย็น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วเราจะมาต่อกันครับ<O:p></O:p>
    คราวนี้เราจะเพิ่มเป็นสามจุดครับ<O:p></O:p>
    คือให้เรารูสึกถึงลมหายใจที่กระทบจมูกไหลมายังอก และไหลลงไปที่ท้อง<O:p></O:p>
    เวลาหายใจออก ก็จากท้อง มาอก มาจมูกเราจะรูสึกว่าลมหายใจกระทบที่จมูก อก ท้อง ท้อง อก จมูก<O:p></O:p>
    เราจะสามารถสัมผัสได้ ถึงความต่อเนื่องของสติในการรับรู้ลมหายใจทีกระทบเบาๆ ที่จมูก อก ท้อง<O:p></O:p>
    สัมผัสความเนียนนุ่ม ชุ่มเย็น พริ้วไหวของลมหายใจ<O:p></O:p>
    ยิ่งสัมผัสลมหายใจมาก ใจของเรายิ่งเบา ยิ่งสบาย ยิ่งอิ่มเอิบอิ่มเอม เติมเต็มมากเท่านั้น<O:p></O:p>
    ลองดูซัก10ครั้งครับ จมูก อก ท้อง ท้อง อก จมูก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    คราวนี้จะไปขั้นต่อไปครับให้เราจินตนาการ <O:p></O:p>
    ทำความรู้สึกว่าลมหายใจของเราเป็นแสงสีขาวๆเป็นเส้นสีขาวๆที่ไหลเข้ามาตั้งแต่จมูกตลอดทางจนถึงท้องจากท้องก็ไหลตลอดทางออกมาจนถึงจมูก<O:p></O:p>
    เราจะรู้สึกถึงความลื่นไหลต่อเนื่องของลมหายใจ<O:p></O:p>
    ลองดูซัก10ครั้งครับ<O:p></O:p>
    จะรู้สึกถึงความนุ่มเนียน ไหลลื่นของลมหายใจ<O:p></O:p>
    ไหลจากจมูก มาถึงท้อง จากท้องก็ไหลออกมาจนถึงจมูก<O:p></O:p>
    ลมหายใจพริ้วผ่าน พริ้วไหลอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งสาย<O:p></O:p>
    ยิ่งสัมผัสกับความชุ่มเย็น อิ่มเอิบ ของลมหายใจมากเท่าไหร่<O:p></O:p>
    ใจของเรายิ่งรู้สึกสบายมากขึ้นเท่านั้น พริ้วไหล ลื่นไหล เนียนนุ่ม ชุ่มเย็น<O:p></O:p>
    จนของเรารู้สึกเบา สบาย ได้พักผ่อนจากความคิด มีแต่ความเบาโล่ง ชุ่มเย็น<O:p></O:p>
    แล้วประคองความสุขจากความสงบนี้ เอาไว้ซักระยะหนึ่ง ประคองสุข ความอิ่มใจนี้เอาไว้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    คราวนี้เราจะไปขั้นต่อไปครับ<O:p></O:p>
    มีชื่อว่า การกักลมและล้างลมหยาบ<O:p></O:p>
    ก็คือให้เราหายใจเข้าลึกๆ แรงๆกลั้นลมหายใจเอาไว้<O:p></O:p>
    จากนั้น ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ ซ้ำไปซ้ำมาประมาณ10วินาที<O:p></O:p>
    จากนั้นจึงหายใจออก<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้เราทำซ้ำ 10ครั้งนะครับ<O:p></O:p>
    เวลาหายใจเข้าให้สัมผัสถึงความเย็น เบาสบาย โล่ง ของลมหายใจที่ไหลเข้ามาจนเต็มปอดด้วยครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พอครบ10ครั้ง<O:p></O:p>
    คราวนี้ให้เราจับลมหายใจไร้ฐาน ลมตลอดสายองเราให้เป็นเส้นสีขาวๆ<O:p></O:p>
    ที่ไหลตั้งแต่จมูก จนถึงท้อง พริ้วผ่านทั้งร่างกายเหมือนเดิม<O:p></O:p>
    แต่คราวนี้เราจะรู้สึกว่าลมหายใจของเราค่อยๆช้าลงๆค่อยเบาลงๆค่อยๆช้าลงเรื่อยๆเบาลงเรื่อยๆ<O:p></O:p>
    ใจของเรายิ่งเบาสบาย ยิ่งชุ่มเย้น ยิ่งอิ่มเอิบมากขึ้นเรื่อยๆ<O:p></O:p>
    จนเรารู้สึกว่าลมหายใจของเราหายไปรู้สึกว่าลมหายใจของเราหยุดไป<O:p></O:p>
    คล้ายเราไม่หายใจแล้วให้เราประคองลมหายใจของเราให้นิ่ง<O:p></O:p>
    ให้จิต หยุดนิ่ง หยุดคิด ประคองความสุข จากความสงบ ความนิ่งปราศจากความคิดอาการหยุดแบบนี้เอาไว้ซักระยะหนึ่ง<O:p></O:p>
    ประคองความสุข ความเบาสบาย ความนิ่งนี้ไว้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    พอลมหายใจของเรากลับมา<O:p></O:p>
    ก็ให้จับลมหายใจของเราตามเดิม<O:p></O:p>
    แล้วให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งลมหายใจสบาย จนลมหายใจหยุดไปได้นี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    อธิษฐานสามครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้วประคองความสุข เบาสบายจากความสงบนี้ เอาไว้ตราบนานเท่านาน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วให้หันมาทำขั้นแผ่มตตาต่อไปครับ<O:p></O:p>
    ใจของเราจะยิ่งเบาสบาย ชุ่มเย็น อิ่มเอิบอิ่มเอม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    <O:p> </O:p>
    เมตตา<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ให้เราเข้าสภาวะที่จิตของเรามีความเบาสบาย หยุด นิ่ง มีความสงบสุข ที่สุดของเราก่อน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    หลังจากนั้น ให้เรานึกถึง<O:p></O:p>
    ความสุขกายสุขใจ ความอิ่มเอิบกายอิ่มเอิบใจความชุ่มเย็น ความเบากายสบายใจ ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อผู้อื่น บุญกุศล คุณงามความดี<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้ความรู้สึกแห่งความสุข ความชุ่มชื่น ชุ่มเย็น ค่อยๆหลั่งไหลเข้ามา<O:p></O:p>
    จนกระทั่งความสุขกายสบายใจ อิ่มเอิบใจ เอ่อล้น ท่วมท้น ในดวงจิตของเรา<O:p></O:p>
    จนดวงจิตของเราเริ่มรู้สึกชุ่มเย็น เบาสบาย อิ่มเอิบอิ่มเอม<O:p></O:p>
    จนจิตใจของเราแย้มยิ้ม กายภายนอกของเราก็แย้มยิ้ม<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ดวงจิตของเราเป็นเหมือนกับดอกบัว ดอกบัวนี้เป็นเหมือนดอกไม้แห่งความดีงามในจิตใจของเรา<O:p></O:p>
    ที่ค่อยๆ เบ่งบานขึ้น จนกระทั่งดอกบัวนี้ เบ่งบาน แย้มกลีบออกมา<O:p></O:p>
    ความดีงามของเราก็ตื่นขึ้นจากภายในพร้อมๆกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้ความสุข ความแช่มชื่นใจ หล่อเลี้ยงดวงจิตของเรา<O:p></O:p>
    จนดวงจิตของเราเบิกบาน เอิบอิ่ม เปี่ยมด้วยความรักความเมตตา ต่อผู้อื่น<O:p></O:p>
    เราจะสัมผัสได้ถึงความชุ่มเย็น ที่บริเวณลิ้นปี่ของเรา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นก็ให้เรานึกภาพ จินตนาการ ทำความรู้สึกว่า<O:p></O:p>
    มีคลื่นสีทองแห่งความเมตตาชุ่มชื่นชุ่มเย็นนี้ แผ่ขยายออกมาเป็นวงกว้างจากดวงจิตของเรา<O:p></O:p>
    แผ่ออกไปปกคลุมยังทุกๆคนที่อยู่ในห้องของเรา จนห้องของเราเรืองแสงสว่างเป็นสีทองทั้งหมด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากห้องของเราแสงสว่างสีทองนี้ ความสุขก็แผ่ขยายออกไป จนปกคลุมยังบ้านทั้งหลังของเรา<O:p></O:p>
    ขอให้ทุกๆคน ที่อยู่ในบ้านหลังนี้ มีแต่ความสุข ความรักความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากบ้านของเราแสงสว่างสีทองนี้ ก็แผ่ขยายความสุขออกไปจนปกคลุมยังบริเวณรอบๆบ้านของเรา<O:p></O:p>
    และขยายออกไปเรื่อยๆ ยังทั้ง ตำบล อำเภอ ยังทั้งจังหวัดที่เราอาศัยอยู่<O:p></O:p>
    จนกระทั่งจังหวัดของเราเรืองแสงสว่างเป็นสีทอง<O:p></O:p>
    ขอให้ทุกๆคนที่อยู่ในจังหวัดนี้มี แต่ความสุขกายสบายใจ มีแต่ความรักความเมตตาต่อกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากจังหวัดนี้เรืองแสงสว่างสีทอง ก็ให้เราแผ่คลื่นสีทอง แห่งความรักความเมตตาของเราออกไป<O:p></O:p>
    จนความสุขปกคลุมยังทั้งประเทศไทยเอาไว้ทั้งหมด เห็นว่าประเทศไทยเรืองแสงสว่างเป็นสีทอง<O:p></O:p>
    ขอให้ทุกๆคนในประเทศไทย มีแต่ความรัก ความปรองดองสมานฉันท์ ไม่มีศึกสงคราม ไม่มีความแตกแยก มีแต่ความรักความเมตตาต่อกัน ปราศจากซึ่งภัยพิบัติอันตรายทั้งปวง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากประเทศไทย คลื่นแห่งความเมตตาของเรา ก็แผ่ขยายจนไปปกคลุมยังทั้งโลก<O:p></O:p>
    โลกใบนี้เรืองแสงสว่างเป็นสีทอง<O:p></O:p>
    ขอให้โลกใบนี้มีแต่สันติสุข มีแต่ความสงบสุข ปราศจากซึ่งสงคราม ซึ่งความวุ่นวาย<O:p></O:p>
    ทุกๆคนมีแต่ความรักความเมตตาปรารถนาดีต่อกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากโลกใบนี้ คลื่นแห่งความรักความเมตตาของเรา ก็แผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ แผ่ออกไปยังทุกๆทิศทาง แผ่ออกไปยังทั้งจักรวาล<O:p></O:p>
    ไม่มีสถานที่ใด ดวงจิตใด ที่ไม่ได้รับสัมผัสจากความรักความเมตตาของเรา<O:p></O:p>
    ขอให้ทุกๆดวงจิต ทั่วทั้งอนันตจักรวาล มีแต่ความสุขกายสุขใจ มีแต่ความชุ่มเย็น เบากายสบายใจอิ่มเอิบอิ่มใจ มีแต่ความรักความเมตตาต่อกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นคลื่นสีทองแห่งความเมตตาของเรา ก็แผ่ลงไปยังทิศเบื้องล่าง<O:p></O:p>
    ยังภพภูมิของสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก<O:p></O:p>
    ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้พ้นจากความทุกข์ ได้สัมผัสกับความสุข ความชุ่มเย็น เบากายสบายใจ<O:p></O:p>
    แบบที่เรากำลังสัมผัสอยู่ ณ ขณะนี้ด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้เราแผ่คลื่นสีทองแห่งความเมตตา ขึ้นไปยังทิศเบื้องบน<O:p></O:p>
    ผ่านสวรรค์ พรหม ตลอดไปจนถึงพระนิพพาน<O:p></O:p>
    ขอให้ พรหม เทพ เทวดา คุณครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ ทุกๆท่านทุกๆพระองค์<O:p></O:p>
    ได้สัมผัสกับความชุ่มเย็น อิ่มเอิบอิ่มเอม ที่ละเอียดประณีตยิ่งๆขึ้นไปด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วให้เราแผ่คลื่นความสุขความเมตตาสีทองนี้ออกไปยัง เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย<O:p></O:p>
    ข้าพเจ้าขอกราบขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย<O:p></O:p>
    ขอเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายได้สัมผัสความสุขความชุ่มเย็นแบบที่ข้าพเจ้ากำลังสัมผัสอยู่ ณ ขณะนี้<O:p></O:p>
    และได้โปรดเมตตาอโหสิกรรมโทษ อดโทษงดโทษ ให้กับข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้เราแผ่เมตตาอัปปมาณฌาณ คือ <O:p></O:p>
    ความรักความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณของเรา ออกไปยังทุกๆทิศทางอีกครั้งนึง<O:p></O:p>
    แผ่คลื่นสีทองแห่งความรัก ความเมตตาของเราออกไปเรื่อยๆ<O:p></O:p>
    สัมผัส เสวยสุขจากเมตตา จนจิตใจของเราอิ่มเอิบอิ่มเอม มีแต่ความชุ่มเย็น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งเมตตาอัปปมาณฌาณ คือ ความรักความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณนี้<O:p></O:p>
    ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อธิษฐานย้ำไปสามครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้เราทรงสมาธิเอาไว้นานตราบเท่าที่เราต้องการ<O:p></O:p>
    แล้วจึงค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อารมณ์จิตแห่งเมตตานี้เป็นอารมณ์ที่มีความสำคัญมากในการเจริญพระกรรมฐาน<O:p></O:p>
    ให้เราฝึกประคองให้อารมณ์จิตของเราเต็มเปี่ยมด้วยเมตตาเอาไว้ทุก ขณะจิต<O:p></O:p>
    ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญาของเรา จะทรงตัว ไม่ถอยหลัง <O:p></O:p>
    จะยิ่งมีแต่ความเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เมตตา ภาค2<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้ทำความรู้สึกว่า มีคลื่นแห่งความสุขกาย สุขใจอารมณ์ที่ทำให้เรามีความสุข ความชุ่มเย็น ความเบาสบาย ความอิ่มเอิบใจที่เรากำลังสัมผัสอยู่ ณ ขณะนี้<O:p></O:p>
    ให้แผ่กระจายออกไปเป็นวงคลื่น คล้ายผืนน้ำราบเรียบมีหินตกกระทบแผ่คลื่นวงน้ำ<O:p></O:p>
    คลื่นแห่งความสุข ความเย็น กระจายออกไป จากหัวใจจากดวงจิตที่กลางอกของเรา<O:p></O:p>
    ออกไปยังรอบๆตัวของเรา คลื่นที่แผ่ออกไป ให้เป็นคลื่นสีเพชรประกายเพชรระยิบระยับ<O:p></O:p>
    มหาสมุทรที่ราบเรียบ มีคลื่นเพชร รัศมีเพชร ส่องสว่างจากดวงจิตของเราแผ่กระจายออกไป<O:p></O:p>
    ไปยังทั้งร่างของเราก่อน เห็นว่าร่างกายของเรา ทุกส่วน เปลี่ยนเป็นเพชรใสประกายระยิบระยับทั้งร่าง<O:p></O:p>
    ปรับธาตุ ชำระธาตุ ล้างธาตุที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บในร่างกายของเราออกไปด้วยรัศมีเพชรแห่งเมตตา<O:p></O:p>
    แล้ให้รรัศมีเพชร คลื่นความเย็นจากเมตตานี้ ส่องสว่างออกไปจนปกคลุมยังบ้านของเรา<O:p></O:p>
    จนบ้านของเราเป็นเพชรทั้งหมด แผ่ขยายกระจายออกไปจนปกคลุมยังทั้งจังหวัดประเทศ<O:p></O:p>
    เห็นว่า อณุของ ธาตุดินน้ำลมไฟ ทั้งหมดบนผืนแผ่นดินไทยเปลี่ยนสภาพกลายเป็นเพชรไปหมด<O:p></O:p>
    ให้มีบรรยากาศแห่งความสุข บรรยากาศแห่งความเมตตาแผ่กระจายส่องสว่างไปยังทั้งโลกใบนี้<O:p></O:p>
    ผืนน้ำ ผืนมหาสมุทรทั้งโลก เปลี่ยนเป็นผลึกเพชร ใส สว่าง สัตว์น้อยใหญ๋ทั้งบนบกในน้ำ<O:p></O:p>
    เมื่อได้สัมผัสคลื่นแห่งความเมตตาของเราแล้ว ก็เห็นร่างกายของเขาทั้งหมดดวงจิตของทุกๆคนบนโลกใบนี้<O:p></O:p>
    แปรสภาพ เปลี่ยนสภาพ กลายเป็นเพชรเม็ดงาม<O:p></O:p>
    ทำความรูสึกว่า ดวงจิตของเรา ค่อยๆแย้มยิ้ม ค่อยเบิกบานเหมือนกับดอกไม้จากภายในจิตใจของเรา<O:p></O:p>
    ให้ใจของเราเบิกบาน ตื่นขึ้น สว่างขึ้น จากภายในสัมผัสให้ถึงซึ่งอาการที่ดวงจิตเบิกบาน เบ่งบาน แย้มยิ้ม จากภายใน<O:p></O:p>
    ให้รอยแย้มยิ้มภายในจิตใจของเรา ฉายออกมาทางรูปกายภายนอกให้แย้มยิ้มตามดวงจิตของเรา ฉายออกมาในการกระทำที่มีความอ่อนโยนออกมาทางวาจาที่จรรโลงจิตใจของผู้อื่น ออกมาทางความคิดที่คิดแต่บุญแต่กุศล<O:p></O:p>
    แผ่ความรักความเมตตาส่องสว่างออกไปยังทั้งจักรวาล แผ่ออกไปยังทุกๆทิศทางทุกมิติทุกภพภูมิ แผ่ออกไปยังทั้งจักรวาลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ<O:p></O:p>
    ส่องสว่างทั้งจักรวาล ให้เป็นเพชร ให้ใสสว่าง เป็นเพชรระยิบระยับด้วยความเมตตาจากหัวใจของเรา<O:p></O:p>
    เรามีแต่ความรัก ความเมตตาความปรารถนาดีต่อทุกๆดวงจิตเสมอกัน<O:p></O:p>
    แผ่คลื่นแห่งความสุข ความรัก ความชุ่มเย็นจากหัวใจของเราออกไปเรื่อยๆ<O:p></O:p>
    จนใจของเราเกิดความเบาสบาย ความชุ่มเย็น ความอิ่มใจ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    รักษาประคองอารมณ์ใจ ให้ดวงจิตของเราเป็นเพชร เป็นดอกไม้บานแย้มยิ้มอยู่เสมอ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วก็ให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งความรักความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ ความงดงามภายในจิตใจความเป็นเพชรของดวงจิต<O:p></O:p>
    ได้ตลอดไป ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    อธิษฐานย้ำเอาไว้สามครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วให้เราประคองอารมณ์เมตตานี้เอาไว้<O:p></O:p>
    แล้วค่อยๆหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ หายใจออกช้าๆ<O:p></O:p>
    แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิ<O:p></O:p>
    ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ<O:p></O:p>
    แล้วให้จิตเบิกบาน เบ่งบาน แย้มยิ้ม อย่างถึงที่สุดพร้อมๆกับที่เราถอนออกจาสมาธิ และลืมตาขึ้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    กสิณ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอแนะนำให้เราลองปฏิบัติแบบลืมตาเลยครับ<O:p></O:p>
    ขณะที่เรากำลังอ่านข้อความนี้ ให้เรานึกตามเลยครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้เราจินตนาการ นึกถึงภาพของลูกบอลสีแดงกลมๆ<O:p></O:p>
    ได้ไหมครับภาพของลูกบอลกลมๆสีแดง<O:p></O:p>
    ลืมตานะคัรบ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วนึกภาพต่อว่าลูกบอลกลมสีแดงนี้<O:p></O:p>
    ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีขาว<O:p></O:p>
    จนกลายเป็นลูกบอลกลม สีขาวทั้งลูก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้นึกภาพต่อว่าลูกบอลสีขาวนี้ค่อยๆใสขึ้นๆ<O:p></O:p>
    ใสขึ้นๆ จนกลายเป็นเนื้อแก้วทั้งลูก<O:p></O:p>
    กลายเป็นลูกแก้ว เนื้อใสทั้งลูก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ให้นึกภาพต่อว่ามีแสงสว่างพวยพุ่งออกมาจากลูกแก้วนี้ มีประกายระยิบระยับออกมาจากลูกแก้ว<O:p></O:p>
    แสงสว่าง และประกายระยิบระยับมากขึ้นๆ<O:p></O:p>
    จนลูกแก้วนี้กลายเป็นเนื้อเพชรทั้งลูก<O:p></O:p>
    เป็นลูกเพชรใสสว่าง มีประกายระยิบระยับทั้งลูก<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เสร็จแล้วให้เรานึกถึงภาพพระพุทธรูปที่เราเคารพมาองค์หนึ่ง<O:p></O:p>
    จากนั้นนึกภาพว่าพระพุทธรูปนี้<O:p></O:p>
    เปลี่ยนเป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรใสสว่างเปล่งประกายระยิบระยับทั้งองค์<O:p></O:p>
    เป็นพระพุทธรูปเนื้อเพชรทั้งองค์<O:p></O:p>
    มีความใสสว่างงดงามถึงที่สุด<O:p></O:p>
    ทุกส่วนของพระพุทธรูปเป็นเนื้อเพชรทั้งหมด<O:p></O:p>
    มีแสงสว่างพวยพุ่งออกมาเป็นประกายระยิบระยับทั้งองค์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้เรานึกต่อว่า<O:p></O:p>
    มีภาพพระพุทธรูปเป็นเพชรนี้<O:p></O:p>
    ลอยอยู่เหนือศรีษะของเราองค์หนึ่ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    มีองค์ที่สอง อยู่ในสมองขนานกับระหว่างคิ้วของเรา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    มีองค์ที่สาม อยู่ในอกของเรา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นนึกให้เห็นภาพพระพุทธรูปทั้งสามองค์พร้อมๆกัน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถทรงภาพพระพุทธรูปเป็นเพชรทั้งสามฐานนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    อธิษฐานย้ำไปสามครั้ง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ ออกช้าๆสามครั้ง<O:p></O:p>
    ครั้งที่1 เข้า พุทออก โธ<O:p></O:p>
    ครั้งที่2 เข้า ธัมออก โม<O:p></O:p>
    ครั้งที่3 เข้า สังออกโฆ<O:p></O:p>
    แล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขั้นตอนทั้งหมด ขอให้เราลืมตาทำ และใช้จินตนาการจินตภาพของเราครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    อรูปฌาณ<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
    ผมจะขอนำการฝึกอรูปฌาณมาลงให้นะครับ

    ก่อนอื่นนะครับ ให้เราจับภาพพระพุทธรูปให้เป็นเพชรใส ประกายพรึกก่อน

    จากนั้นให้เราจินตนาการว่ามีตัวเราอีกคนกำลังก้มลงกราบภาพพระพุทธรูปที่เราเห็น
    จากนั้นให้เราตั้งจิตขอบารมีพระท่านนะครับ

    ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอรูปฌาณทั้ง4ได้ด้วยเทอญ

    คราวนี้จะเริ่มแล้วครับให้เราจับภาพพระเป็นเพชรเหมือนเดิม

    เสร็จแล้วให้จินตนาการว่า ภาพพระพุทธรูปค่อยๆหายไป
    ร่างกายของเราค่อยๆหายไปสรรพสิ่งวัตถุทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆหายไป
    โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาลค่อยๆหายไป
    เหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า สีขาวที่แผ่ขยายออกไปอย่างสุดลูกหูลูกตา
    ความเวิ้งว้างว่างเปล่าแผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    มีแต่ความว่างเปล่าสีขาวว่างสีขาวสงบนิ่ง
    ไม่มีผนัง ไม่มีเพดานมาขวางกั้น มีแต่ความว่างเปล่า สีขาวที่แผ่ขยายออกไปอย่างสุดลูกหูลูกตา

    เสร็จแล้วให้เราประคองจิตเอาไว้กับความว่างเปล่าสีขาวนี้จากนั้น
    ให้เราตั้งจิตอธิษฐานปักหมุดเพื่อให้เกิดความคล่องในการเข้าสู่อารมณ์ใจนี้

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอรูปฌาณที่1นี้
    ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไปสามครั้งจากนั้นให้เราจับภาพพระให้เป็นเพชรอีกครั้งนึง



    ให้เราคิดพิจารณาว่า
    รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสทางกาย
    เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์
    เราจะไม่สนใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งหลายอีกต่อไป
    ขอให้ความยึดติด ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกายทั้งหลายหายไปให้หมด
    ภาพพระพุทธรูปก็ค่อยๆหายไป
    ร่างกายของเราค่อยๆหายไป สรรพสิ่งวัตถุทุกสิ่งทุกอย่าง ค่อยๆหายไป
    โลกทั้งโลกจักรวาลทั้งจักรวาลค่อยๆหายไป
    เหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า สีขาวที่แผ่ขยายออกไปอย่างสุดลูกหูลูกตา
    ความเวิ้งว้างว่างเปล่าแผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    มีแต่ความว่างเปล่าสีขาวว่างสีขาวสงบนิ่ง
    ไม่มีผนัง ไม่มีเพดานมาขวางกั้น มีแต่ความว่างเปล่า สีขาวที่แผ่ขยายออกไปอย่างสุดลูกหูลูกตา

    เสร็จแล้วให้เราประคองจิตเอาไว้กับความว่างเปล่าสีขาวนี้จากนั้น
    ให้เราตั้งจิตอธิษฐานปักหมุดเพื่อให้เกิดความคล่องในการเข้าสู่อารมณ์ใจนี้

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอรูปฌาณที่2นี้
    ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไปสามครั้งจากนั้นให้เราจับภาพพระให้เป็นเพชรอีกครั้งนึง


    เสร็จแล้วให้เราพิจารณาต่อไปว่าสรรพสิ่งทุกๆอย่างนี้แท้ที่จริงแล้วมันก็ไม่เที่ยง
    เราเกิดมาซักวันเราก้จะต้องตาย วัตถุต่างๆมันก็จะต้องพังทลายแตกสลายไปในที่สุด
    จินตนาการว่าภาพพระพุทธรูปค่อยๆแตกสลายไปกลายเป็นผง
    ร่างกายของเราค่อยๆแตกสลายไปเป็นผง
    วัตถุทุกๆอย่างแตกสลายพังทลายหายไปหมด
    จักรวาลทั้งจักรวาลแตกสลายหายไปหมดไม่เหลืออะไรเลย

    เหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า สีขาวที่แผ่ขยายออกไปอย่างสุดลูกหูลูกตา
    ความเวิ้งว้างว่างเปล่าแผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมาณ
    มีแต่ความว่างเปล่าสีขาวว่างสีขาวสงบนิ่ง
    ไม่มีผนัง ไม่มีเพดานมาขวางกั้น มีแต่ความว่างเปล่า สีขาวที่แผ่ขยายออกไปอย่างสุดลูกหูลูกตา

    เสร็จแล้วให้เราประคองจิตเอาไว้กับความว่างเปล่าสีขาวนี้จากนั้น
    ให้เราตั้งจิตอธิษฐานปักหมุดเพื่อให้เกิดความคล่องในการเข้าสู่อารมณ์ใจนี้

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอรูปฌาณที่3นี้
    ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐานย้ำไปสามครั้งจากนั้นให้เราจับภาพพระให้เป็นเพชรอีกครั้งนึง


    เสร็จแล้วก็ให้เราคิดพิจารณาว่าความทรงจำต่างๆ
    การจดจำ หมายรู้สิ่งต่างๆนี้
    เมื่อเราได้จดจำสิ่งที่ไม่ดีเมื่อเรามาหวนนึกถึงมัน
    เราก็เกิดความทุกข์
    หรือเมื่อเราได้จดจำความทรงที่ดีๆแต่มันได้ผ่านพ้นมาแล้ว<O:p></O:p>
    หากเราปรารถนาที่จะให้ความทรงจำเหล่านั้นหวนกลับมาอีกครั้งนึง
    มันก็เป็นเหมือนกับพยับหมอกที่ไม่อาจสัมผัสได้ซึ่งก็จะทำให้เราเกิดความทุกข์

    เราจะขอเพิกเฉยต่อความทรงจำ สัญญา หมายรู้ทั้งมวลทั้งหมด
    ขอให้ความทรงจำต่างๆสลายมลายหายไปให้หมด
    ความทรงจำทั้งหลายหายไปไปทั้งหมด


    ภาพพระพุทธรูปก็ค่อยๆหายไป
    ร่างกายของเราค่อยๆหายไป สรรพสิ่งวัตถุทุกสิ่งทุกอย่างค่อยๆหายไป
    โลกทั้งโลก จักรวาลทั้งจักรวาลค่อยๆหายไป
    เหลือแต่ความเวิ้งว้างว่างเปล่า สีขาวที่แผ่ขยายออกไปอย่างสุดลูกหูลูกตา
    ความเวิ้งว้างว่างเปล่าแผ่ขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีประมณ
    มีแต่ความว่างเปล่าสีขาวว่างสีขาวสงบนิ่ง
    ไม่มีผนัง ไม่มีเพดานมาขวางกั้น มีแต่ความว่างเปล่า สีขาวที่แผ่ขยายออกไปอย่างสุดลูกหูลูกตา

    เสร็จแล้วให้เราประคองจิตเอาไว้กับความว่างเปล่าสีขาวนี้
    ลองสัมผัสกับความสุขที่เกิดจากความว่างเปล่านี้
    จากนั้น
    ให้เราตั้งจิตอธิษฐานปักหมุดเพื่อให้เกิดความคล่องในการเข้าสู่อารมณ์ใจนี้

    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งอรูปฌาณที่4นี้
    ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการ
    ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไปสามครั้งจากนั้นให้เราจับภาพพระให้เป็นเพชรอีกครั้งนึง



    แล้วพิจารณาต่อไปว่า
    อรูปฌาณ นั้น มีความสุขมากก็จริงอยู่แต่ว่ายังไม่ใช่ความสุขที่สูงที่สุดยังมีความสุขที่มากกว่านี้นั่นก็คือพระนิพพาน
    เราจะไม่พอใจเพียงแค่อรูปฌานเราจะพอใจเพียงจุดเดียวคือพระนิพพานอันเป็นสถานที่ ที่มีความสุขที่สุดเพียงจุดเดียวเท่านั้น

    เสร็จแล้วให้เราค่อยหายใจ เข้าลึกๆช้าๆหายใจออกลึกๆช้าๆ
    ครั้งแรกหายใจเข้าภาวนา พุทธ หายใจออก ภาวนาโธ
    ครั้งที่สองหายใจเข้าภาวนา ธัมหายใจออก ภาวนา โม
    ครั้งแรกหายใจเข้าภาวนา สัง หายใจออกภาวนา โฆ


    เสร็จแล้วค่อยๆถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆ

    เสร็จแล้วก็ให้เราหมั่นเข้า ออกให้คล่อง
    อรูปฌาณนี้ มีประโยชน์มากในการสลายอารมณ์และใช้ในชำระล้างจิตของเราให้สะอาดจากความคิดต่างๆ

    ขอให้ทุกๆคนที่สนใจจะฝึกอรูปฌาณสามารถที่จะทำได้อย่างง่ายดายด้วยเทอญ

    แต่ควรจะให้เริ่มจากจับภาพพระเป็นเพชรก่อนนะครับ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    วิปัสสนาญาณ<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ส่วนวิธีการพิจารณาในร่างกายนั้น<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในอารมณ์ต้น ให้พิจารณา ในมรณานุสติกรรมฐานหรือความตาย<O:p></O:p>
    เมื่อร่างกายของมนุษย์ทุกคน เกิดมาแล้ว ย่อมมีความตายเป็นที่ตั้งเป็นธรรมดา<O:p></O:p>
    ไม่มีใครร่างกายของบุคคลใดที่จะพ้นจากความตายไปได้<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แม้ร่างกายของเรานี้ ก็มีความไม่เที่ยง ต้องพังแตกสลาย ตายเป็นธรรมดาเช่นกัน<O:p></O:p>
    แต่ว่าเราจะตายเมื่อไหร่นี้เราไม่อาจจะทราบได้<O:p></O:p>
    ดังนั้นเราจึงควรเป็นผู้ทรงศีลบริสุทธิ์มีความเคารพในพระรัตนตรัยอยู่ทุกขณะจิต<O:p></O:p>
    เพราะหากเราตาย ณ ขณะจิตนี้ด้วยความเคารพที่มีต่อพระรัตนตรัย และศีลบริสุทธิ์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จักเป็นเหตุให้เราได้เข้าถึงซึ่งสุขคติภูมิ มีสวรรค์ พรหมพระนิพพานเป็นที่สุด
    เมื่อระลึกถึงความตายของร่างกายอยู่เสมอจิตย่อมยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม<O:p></O:p>
    และเป็นเหตุให้จิต ทรงอยู่ในศีลและเคารพพระรัตนตรัยอยู่ทุกขณะจิต<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในอารมณ์กลาง ให้พิจารณาในกายคตานุสติอสุภะ10 และอาหาเรปฏิกูลสัญญา <O:p></O:p>
    คือความเป็นปฏิกูลของร่างกาย อาหาร และ วัตถุธาตุว่าเป็นของธรรมดา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ร่างกายของมนุษย์ทุกคน มีความสกปรก <O:p></O:p>
    มีน้ำเลือด น้ำเหลือง ปอด ตับ ไต ลำไส้ สมอง มีอาการ32 ซึ่งเป็นของที่ไม่สะอาด<O:p></O:p>
    เป็นรังของโรคทุกๆส่วนในร่างกายของเรานี้มีแต่ความสกปรก เป็นของธรรมดา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอให้พิจารณาดูทุกส่วนของร่างกายว่ามีความสะอาดหรือสกปรกประการใด<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    นอกจากร่างกายของเราจะสกปรกแล้ว ร่างกายของบุคคลอื่นก็มีความสกปรกไม่ต่างจากของเรา<O:p></O:p>
    เมื่อร่างกายของทุกๆคนมีความสกปรกเหมือนกัน<O:p></O:p>
    จิตใจของเราก็มีความปล่อยวางจากความยึดติดทั้งในร่างกายของเราและบุคคลอื่น<O:p></O:p>
    นอกจากนี้วัตถุธาตุทั้งหมดก็มีความสกปรกเป็นของธรรมดาเช่นกัน<O:p></O:p>
    จิตของเราจึง ไม่รังเกียจ ไม่รัก และไม่ติด ในร่างกายและวัตถุธาตุทั้งหมด เพราะเห็นว่าเป็นสภาวะธรรมดาของมัน<O:p></O:p>
    กามราคะ ก็ไม่กำเริบอีกเพราะด้วยเห็นถึงความสกปรกอันเป็นธรรมดาของวัตถุทุกๆอย่าง<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในอารมณ์ปลายให้ พิจารณาว่าร่างกายนี้แท้จริงแล้วไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา<O:p></O:p>
    ไม่อยู่ในอำนาจที่เราจะควบคุมมันได้และเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ตัวเราที่แท้จริง คือ ดวงจิตอันมีความสว่างบริสุทธิ์<O:p></O:p>
    ร่างกายของเรานี้เป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์การหิวก็ทุกข์ การขับถ่ายก็ทุกข์การประคับประคองร่างกายทุกอย่างเป็นความทุกข์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    และในเมื่อร่างกายไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ของเราร่างกายจะป่วย จะเจ็บ จะตาย ก็เป็นเรื่องธรรมดาของมัน<O:p></O:p>
    เราจะประคับประคองเอาไว้ตามที่สามารถจะทำได้แต่ท้ายที่สุดถ้าร่างกายจะตาย <O:p></O:p>
    เราก็จะไม่ทุกข์ ไม่ร้อนเพราะว่านอกจากร่างกายนี้จะไม่ใช่ตัวเราแล้วมันยังเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์อีกด้วย<O:p></O:p>
    ดวงจิตก็จะมีความปล่อยวางจากความยึดคิดจากความปรารถนาในร่างกาย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ความเป็นมนุษย์ ซึ่งมีร่างกายแบบนี้เราไม่มีความปรารถนาอีกต่อไปเพราะยังเป็นปัจจัยให้เกิดความทุกข์<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ความเป็นเทวดา ซึ่งเมื่อบุญหมด ก็ต้องกลับมาเป็นมนุษย์มามีร่างกายอีกเราก็ไม่ปรารถนา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ความเป็นรูปพรหม ซึ่งได้เสวยสุขในฌาณสมาธิอยู่นานแต่เมื่อกำลังฌาณเสื่อมลง ก็ต้องกลับมาเป็นมนุษย์มามีร่างกายนี้อีกเราก็ไม่ปรารถนา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ความเป็นอรูปพรหม ทรงอยู่ในอรูปฌาณ อันมีความสุข อยู่นานหลายกัปแต่เมื่ออรูปฌาณเสื่อมลงมาแล้ว เราก็ต้องกลับมามีร่างกายอีกเราก็ไม่ปรารถนา<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เราจะตั้งจิตตั้งความปรารถนาเอาไว้เพียงจุดเดียวคือพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขอันเป็นแดนพ้นจากการเกิด<O:p></O:p>
    หากอัตภาพร่างกายนี้พังทลายลงไปเมื่อใด เราจะไปเพียงจุดเดียวคือพระนิพพาน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จากนั้นก็ขอให้พิจารณา เป็นอนุโลม ปฏิโลมถอยหน้าถอยหลัง ซ้ำไปซ้ำมา<O:p></O:p>
    ในความตายอันเป็นธรรมดาของร่างกาย<O:p></O:p>
    ในความสกปรกเป็นปฏิกูล อันเป็นธรรมดาของร่างกาย<O:p></O:p>
    และความเป็นทุกข์อันเกิดขึ้นเสมอเป็นธรรมดาของร่างกาย<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    จิตก็จะปล่อยวางคลายจากความปรารถนาในการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา พรหมและมีความปรารถนาเพียงจุดเดียวคือ พระนิพพาน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ขอบารมีแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยังดวงจิตของทุกๆคนให้มีความสว่างไสว สามารถพิจารณาธรรม โดยรู้แจ้งแทงตลอดในกองทุกข์<O:p></O:p>
    เข้าถึงซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุดในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ธันวาคม 2009
  19. รักในหลวงครับ

    รักในหลวงครับ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +101
    ผมมีปัญหาครับ
    ที่บอกว่าให้นึกดวงกสิณเป็นเพชรระยิระยับเเวววาวผ่องใสอ่า
    ใช้จิตนึกหรือต้องเห็นด้วยดวงตา
    ถ้าใช้จิตคิด
    ทำไมผมถึงนึกได้อย่างรวดเร็ว
    ผมลองนึกถึงน้ำเเล้วเปลียนน้ำเป็นลูกบอลเเก้วเเล้วทำให้มันเป็นเพชรแวววาวระยิบระยับ
    ย่อให้เล็กขยายให้ใหญ่ได้ตามใจนึกเเต่ไม่ชัดเจนเท่าไหร่แบบนี้เรียกนิมิตหรือสิ่งที่จิตปรงแต่งขึ้นมาอ่าครับ
    ป.ล.ไม่เคยเพ่งกสิณน้ำแบบจริงๆจัง ไม่ได้เพ่งน้ำด้วยเเค่ใช้จินตนาการนึกภาพน้ำขึ้นมา
     
  20. Ukie

    Ukie เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +594
    ดีจังเลยนะคะ เดี๋ยวก๊อปปี้เก็บไว้เป็นสมบัติค่ะ

    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...