ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. รับโชค

    รับโชค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,131
    ค่าพลัง:
    +11,878
    ตอนน้ีอาการอาพาธของหลวงปู่ดีข้ึนหรือยังครับท่าน
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    เท่าที่สอบถามจากพยาบาลที่ ward เช้านี้ ทราบว่า ขณะนี้ หลวงปู่มีอาการดีขึ้นมาก ญาติโยมทางเชียงใหม่ จึงนิมนต์ท่านกลับไปรักษาตัวที่เชียงใหม่ (เข้าใจว่าน่าจะเป็นที่ รพ.มหาราช ที่ทุนนิธิฯ ให้การบริจาคทุกเดือนๆ ละ 5,000.-บาท อยู่) ซึ่งในขณะนี้ทาง โรงพยาบาลปลายทางเตรียมจัดห้องสำหรับเตรียมรักษาท่านอยู่ และหากไม่มีอาการแทรกซ้อนอะไรที่มีผลต่ออาการของหลวงปู่ เข้าใจว่าท่านน่าจะอยู่ที่ รพ.บำรุงราษฏร์สัปดาห์นี้ อาจเป็นสัปดาห์สุดท้าย แต่วันเสาร์-อาทิตย์น่าจะไปกราบท่านได้ทัน อย่างที่บอกพอท่านถึงเชียงใหม่แล้ว พวกเราทางกรุงเทพฯ คงเข้าไปกราบท่านยาก เอาเวลาที่ท่านมาอยู่ที่กรุงเทพฯ นี่ล่ะ กราบท่านได้สบายมาก ใครไม่ติดภารกิจอะไร เสาร์-อาทิตย์นี้ ไปกราบท่านเถอะครับ กราบพระดีรับขวัญปีใหม่กัน แถมได้ทำบุญช่วยค่ารักษาพยาบาลท่านด้วย (ห้องพักพระอุปัฏฐากท่านออกจากลิฟท์ตรงไปที่สำหรับลงนามสมุดเยี่ยมจะอยู่ด้านขวามือ ติดต่อท่านก่อนครับ)
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทความเก่า นำมาเล่าใหม่ เพราะยังไม่ตกสมัย และใช้ได้ทุกกาลเวลา

    พี่ใหญ่ที่เป็นครูอาจารย์คนหนึ่งสอนว่า เวลาทำบุญ ถ้าทำบุญแล้วตนเองเดือดร้อน ก็อย่าเพิ่งทำ ทำแล้วบุญก็ไม่เต็ม จิตตนเองก็ตก เพราะคิดถึงเงิน พอดีอ่านเจอเทพธิดาข้าวตอก ที่เธอเป็นนางฟ้า เพราะเธอเต็มใจทำบุญ จึงนำเรื่องมาให้อ่านกันครับ ตอนนี้ ผมและครอบครัว หยอดเหรียญที่เหลือจากทำงาน จากโรงเรียน หยอดในกระปุกทุกวัน 3 บาทบ้าง 5 บาทบ้าง ก่อนหยอดก็ตั้งใจทุกครั้ง และว่าคาถา พระปัจเจกฯ ของหลวงพ่อปาน ตั้งใจให้บุญที่ได้ ตกอยู่กับพ่อแม่ ทำมาทุกวัน บอกแต่ละคนไว้ เดือนนึงแคะกระปุกทีนึง ทำบุญกับทุนนิธิฯ บวกกับเงินที่จะต้องสมทบในฐานะประธานฯ มากบ้างน้อยบ้าง ทำด้วยความเต็มใจ ไม่คิดถึงเงิน คิดถึงบุญที่ทำให้พ่อที่ไม่อยู่กับเราแล้ว ส่งบุญให้กับแม่ที่แก่มาก และไม่สบายบ่อยๆ ให้ได้รับบุญของลูกในครั้งนี้ สุขใจดีครับ ใครเอาอย่างผมบ้างก็ได้ ใจสงบดีครับ ไม่เดือดร้อนด้วย แถมเป็นกตัญญูตาธิคุณอีกทางหนึ่งแม้จะนามธรรมก็ตามที


    เทพธิดาข้าวตอก
    <script language="JavaScript">MsgStatus(Msv[0], 0);</script>
    ตายจากคนจนถวายข้าวตอก ๑ ขัน เพียงครั้งเดียวไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


    “..เมื่อ วันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๑ พูดถึงเรื่อง “ลาชเทวธิดา” หรือ “เทพธิดาข้าวตอก” เพราะว่าเป็นนางฟ้าในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องมีอยู่ว่าเธอเป็นลูกคนจน ไปรับจ้างเฝ้าไร่อ้อยของเจ้านาย ได้นำข้าวตอกไปเพื่อจะกิน เพราะคิดว่าในตอนเช้ากว่าคนจะไปส่งอาหาร ถ้าเขาส่งสายเราก็หิว แต่ก็เป็นการบังเอิญวันนั้นเป็นเวลาพอดีที่ พระมหากัสสป พระสาวกองค์สำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติ พระที่ออกจากนิโรธสมาบัติออกไม่ตามเวลาที่เขาบิณฑบาตกัน อาจจะสายไป ไปบิณฑบาตไม่ทัน ก็ต้องใช้ทิพย์จักขุญาณว่าจะไปรับบาตรที่ไหน ใครจะให้เราวันนี้ ท่านพระมหากัสสปก็ทราบว่าหญิงสาวที่เฝ้าไร่อ้อยอยู่ตรงโน้น เธอมีข้าวตอกไม่มีนํ้ากะทิอยู่ ๑ ขัน เพื่อจะมากินเวลาเช้า แต่ทว่าถ้าเราไปบิณฑบาต เธอเต็มใจพร้อมจะถวายเพื่อทำ บุญ ความจริงท่านไม่ตั้งใจจะเบียดเบียน ต้องดูก่อนว่าถ้าเขาให้แล้วเขาเดือดร้อนไหม ก็ทราบว่าเรื่องอาหารเขาไม่เดือดร้อน แต่ท่านอาจจะทราบว่าให้แล้วเธอจะตายจึงตั้งใจมาโปรดคนนี้โดยตรง จึงเหาะมาในอากาศพอใกล้จะถึงก็ลงเดิน เหาะให้ชาวบ้านเห็นไม่ได้เป็นการแสดงปาฏิหาริย์คนจะติดเหาะ

    เมื่อ เธอเห็นเข้าก็มีความรู้สึกว่าเราเป็นคนจน บางโอกาสที่เราเห็นพระเราก็ไม่มีของถวายไม่ได้ทำบุญกับเขา บางโอกาสที่เรามีของเราก็ไม่เห็นพระ วันนี้เรามีข้าวตอกด้วยและพระท่านก็มาด้วย ขอถวายพระเถิด ตอนสายจะหิวสักหน่อยเขาเอาอาหารมาให้ช้าไปก็ไม่เป็นไร พอทนได้เธอก็นำข้าวตอกออกไปนั่งกระหย่งพนมมือกล่าววาจาว่า “ขอหยุดก่อนเถิดเจ้าข้า” พระมหากัสสปท่านก็หยุด หยุดแล้วเธอก็เดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆ บรรจงเทข้าวตอกลงในบาตรพระมหากัสสป เมื่อเทเสร็จแล้วก็นั่งกระหย่งพนมมือด้วยความเคารพกล่าววาจาว่า “ธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันเห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าข้า” ท่านพระมหากัสสปก็ให้พรว่า “เอวัง โหตุ” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “เธอปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา” เพียงเท่านี้แล้วพระมหากัสสปก็หลีกไป

    เธอ ดีใจที่ได้ทำบุญ ขณะที่เดินออกไปมีงูมีพิษร้ายอยู่ตัวหนึ่งมันนอนอยู่ที่ตรงนั้น ด้วยความดีใจที่เธอได้ทำบุญมีปีติในการทำบุญ คำว่า “ปีติ” แปลว่า “อิ่มใจ ชื่นใจ” ก็กระโดดโลดเต้น เสียงตึ้กตั้กๆ เจ้างูมันก็ตกใจ ผงกหัวขึ้นมาเห็นเข้ามันก็ฉกกัด เธอก็ล้มลงถึงแก่ความตาย

    การ ทำบุญของเธอมีครั้งเดียวในชีวิต แต่ว่าเธอตายด้วยกำลังของบุญจริงๆ นั่นคือ จิตใจจับบุญเต็มอัตรา คือมีปีติเต็มที่ถึงกับกระโดดโลดเต้น ก็เลยไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ รอบๆ วิมานก็มีขันทองคำเต็มไปด้วยข้าวตอกทองคำห้อยเต็มไปหมด และมีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร..”
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]
    การทำสมาธิอาจจะทำให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
    ( โดย เจนนิเฟอร์ วอร์นเนอร์ )
    รายงานจากศูนย์ข่าวทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2004
    [​IMG]

    ที่ เมือง นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ข่าวล่าสุดรายงานมาว่าการทำสมาธินั้นไม่เพียงแต่จะสร้างความสงบให้แก่จิตใจ เท่านั้น ผลการวิจัยชิ้นใหม่ที่ศึกษาเกี่ยวกับการฝึกทำสมาธิในแบบของพุทธศาสนิกชนนั้น อาจจะทำให้สมองเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างถาวรอีกด้วย นักวิจัยได้ค้นพบว่า พระสงฆ์หลายรูปผู้ซึ่งฝึกสมาธิมาเป็นเวลาหลายปีนั้น สมองส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการเรียนรู้ และส่วนรับความรู้สึก มีกระบวนการทำงานที่ดีกว่าหลายๆคนที่ไม่เคยทำสมาธิมาก่อน ผลการวิจัยยังบอกอีกว่า การฝึกการทำสมาธิ เช่น การฝึกทำสมาธิในแบบของพุทธศาสนิกชนนั้นสามารถเปลี่ยนการทำงานของสมองได้ทั้ง ในการฝึกระยะยาวหรือระยะสั้น

    ผลการวิจัยต่อเนื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ได้ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์ เนต ซึ่งเป็นผลงานของสถาบันวิทยาศาสตร์การศึกษาแห่งชาติ นักวิจัยหลายๆคนได้ศึกษาและเปรียบเทียบกระบวนการทำงานของสมองระหว่างพระสงฆ์ จำนวน 8 รูปผู้ฝึกสมาธิมาเป็นเวลานานกว่า 10,000 ถึง 50,000 ชั่วโมงและมีอายุอยู่ในช่วง 49 ปี และ นักเรียนที่มีสุขภาพที่ดีจำนวน 10 คน มีอายุอยู่ในช่วง 21 ปี ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์ในการทำสมาธิมาก่อน และเพิ่งได้รับการฝึกสมาธิมาเพียง 1 สัปดาห์ ก่อนที่จะมีการศึกษา ทั้งสองกลุ่มจะต้องฝึกการทำสมาธิและเรียนรู้เรื่องความเมตตาไปพร้อมๆกัน การฝึกนี้ไม่ต้องการผลสัมฤษธิ์เรื่องความรู้ที่ได้รับมากมาย เพียงแต่ต้องการให้ทุกคนได้เรียนรู้ถึงการก่อกำเนิดความรักความเมตตาเท่า นั้นเอง

    นักวิจัยหลายๆคนซึ่งได้ทำการตรวจกระบวนการทำงานของสมองทั้ง ก่อน ระหว่าง และ หลังการฝึกดังกล่าวโดยใช้การตรวจด้วยภาพคลื่นกระแสไฟฟ้าของสมอง และแล้วเหล่านักวิจัยก็ได้พบความแตกต่างที่น่าทึ่งของผลการตรวจระหว่างกลุ่ม พระสงฆ์ และ กลุ่มของนักเรียนในเรื่องของกระบวนการทำงานของสมองที่เรียนว่า " gamma wave activity " ซึ่งภาพคลื่นดังกล่าวแสดงผลรวมไปถึงการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมด้านความ รู้สึก และ จิตใจ ความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องการงาน และ การเรียนรู้การเข้าใจ จากการสำรวจพบการเปลี่ยนแปลงในกลุ่มของพระสงฆ์ และสามารถเห็นความแตกต่างซึ่งมีแนวโน้มไปในทางที่ดีอย่างน่าทึ่งระหว่างการ ฝึก ซึ่งนัวิจัยได้เปิดเผยความจริงว่าระดับคลื่นสมองที่สำรวจพบในกลุ่มของพระ สงฆ์ดังกล่าวนั้นเป็นคลื่นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เคยมีดารสำรวจคลื่นสมอง มา ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มดังกล่าวต่อมาก็ยังมีการพัฒนาอยู่เรื่อยๆเช่นพัฒนาด้านความรู้สึกที่ เป็นสุข

    ท้ายสุดนักวิจัยกล่าวว่าความจริงแล้วกระบวนการทำงานของสมองของพระสงฆ์นั้นมี การพัฒนามาก่อนการฝึกครั้งนี้แล้ว ซึ่งก็สรุปได้ว่าการฝึกสมาธิที่ฝึกมาเป็นเวลานานสามารถเปลี่ยนกระบวนการทำ งานของสมองได้ ถึงแม้ว่าอายุจะแตกต่างกัน แต่ สิ่งที่เป็นตัวแปรสำคัญคือ ระยะเวลาที่ใช้ในการฝึก และปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ต้องทำการศึกษาโดยผ่านภาพคลื่นกระแสไฟฟ้าของสมอง กันต่อไปก็คือ กระบวนการทำงานของสมองที่ได้เปลี่ยนแปลงไปนั้นเป็นเพราะการฝึกสมาธิมาเป็น เวลานาน หรือ เป็นความสามารถเฉพาะตัวของแต่ละคนก่อนที่จะได้รับการฝึก

    --------------------------------------------------------------------------------
    http://www.budpage.com/bn191.shtml
    แปล โดย ปิยนุช (อาสาเยาวชนชาวพุทธ)



    คุณประโยชน์ของการปฏิบัตินั่งสมาธิ
    1. ทางร่างกาย
    1.1 อัตราการหายใจลดลง คาร์บอนไดออกไซด์น้อยลง เป็นผลดีต่อปอด
    1.2 อัตราเต้นของหัวใจน้อยลงเป็นผลดีต่อหัวใจ
    1.3 ปริมาณ กรดแลคเตท ในเลือด ซึ่งเกี่ยวกับความคิด ความวิตกกังวล จะลดลงเป็นลำดับทำให้คิดรอบคอบมากขึ้นก่อนที่จะทำอะไรลงไป
    1.4 เลือดจะมีความเป็นกรดสูงขึ้นเล็กน้อย แสดงถึงสุขภาพที่ดี
    1.5 คลื่นสมองของผู้นั่งสมาธิ จะมีความราบเรียบ และทิ้งช่วงห่างมากกว่าผู้ที่นอนหลับปกติ
    1.6 ความต้านทานของผิวหนังสูงขึ้นทันทีที่เริ่มมีสมาธิ
    1.7 อายุยืน

    2. ทางจิตใจ
    2.1 ทำให้ลดทิฐิ ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตนเอง
    2.2 ทำให้จิตใจได้ผ่อนคลายความตึงเครียด ผ่องใส เกิดความสงบเยือกเย็น
    2.3 ทำให้เกิดประสิทธิภาพในการศึกษาเล่าเรียนและในการทำงานต่าง ๆ
    2.4 ทำให้เป็นผู้มีความเมตตากรุณา และเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
    2.5 เป็นผู้ที่มีสติ ไม่หลงลืม มีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่า กำลังทำอะไรอยู่
    2.6 เป็นผู้มีศีล คือทำดี ไม่ทำชั่ว
    2.7 ทำให้เป็นผู้ที่มีจิตใจมั่นคง
    2.8 ทำให้เป็นผู้มีปัญญา คือ รอบรู้ในสิ่งต่าง ๆ ทั้งที่เป็นประโยชน์และโทษภัยต่าง ๆ
    2.9 เป็นกุศล นำไปสู่สุคติ ไม่ตกไปสู่อบาย

    -จบ -



    ขอขอบคุณ
    การทำสมาธิ อาจจะทำให้สมองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างถาวร
     
  5. ก้าวพ้น

    ก้าวพ้น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2008
    โพสต์:
    157
    ค่าพลัง:
    +390
    โอนแล้วครับจากไทยพานิช300บาทตอน8โมงเช้า
     
  6. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ยอดเงินทำบุญที่ผมได้เก็บรวบรวมนำมาให้ที่โรงพยาบาลสงฆ์เมื่อวันอาทิตย์ที่22มีรายชื่อดังนี้ครับ
    อนันต์ ตั้งธาราวิวัฒน์

    สุนารี ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    พลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    วิศัลย์ ณ ระนอง 1000 บาท
    ปิยะวัฒน์ วรัทเศรษฐ์ 1000 บาท
    สงวนชัย อัครวิทยาภูมิ 1000 บาท
    นาลดา อมรพัชระ และบุตร 400 บาท
    ชมพู ดิษฐ์ประเสริฐ 200 บาท
    พจนา รัชตะนาวิน
    ชวรรษ บุญญเสฏฐา 100 บาท
    พิชญ์ธนัน อนันธรสิริ 800 บาท
    รวม6500บาทครับ
     
  7. nu_wa

    nu_wa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    2,740
    ค่าพลัง:
    +10,697
    ผมโอนเงินร่วมบุญ 500 บาทครับให้ทาง ATM เวลา17.38 น.วันนี้ครับ

    เนื่องในวันพรุ่งนี้เป็นวันเกิด ขอถวายส่วนบุญกุศลแด่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

    แลเจ้ากรรมนายเวร ครับ
     
  8. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 18 พฤศจิกายน 2552 7:39:22 น.-->คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ ยักษ์ นาค
    <!-- Main --><DD class=small>มีข้อสงสัยจากวันก่อนว่า กุมภัณฑ์ กับ ยักษ์ ต่างกันอย่างไร
    <DD class=small>วันนี้จึงขอให้เทวดากับอสูรพักรบกันสักวันก่อน แล้วมาแนะนำตัวละคร คือ เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาให้รู้จักกันคร่าวๆ ครับ
    <DD>


    ประเภทของเทวดา
    <DD>สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีภพภูมิอยู่รายรอบเขาสิเนรุมาศ ตั้งแต่กลางเขา ลงมาเชิงเขา กินพื้นที่ครอบคลุมมหานทีสีทันดร ภูเขาสัตตบริภัณฑ์ ไปจนจรดภูเขาจักรวาล รวมทั้งมีภพภูมิซ้อนอยู่กับมนุษย์ภูมินี้ด้วย

    <DD>เทวดาในสวรรค์ชั้นนี้แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ

    <DD>๑. ภุมมเทวดา เป็นเทวดาที่มีฤทธิ์น้อย มีวิมานอยู่เรี่ยๆ พื้นน้ำและพื้นดิน
    <DD>๒. รุกขเทวดา เป็นเทวดาที่มีฤทธิ์ปานกลาง มีวิมานอยู่ตามต้นไม้ที่มีแก่น
    <DD>๓. อากาศเทวดา เป็นเทวดามีฤทธิ์มาก มีวิมานลอยอยู่ในอากาศ



    เทวดาในทิศทั้งสี่
    <DD class=red>เทวดาแต่ละทิศของเขาสิเนรุมาศยังมีรูปร่างแตกต่างกันไปอีก ทำนองเดียวกับที่มนุษย์บนโลกนี้มีรูปร่างหน้าตาแตกต่างกัน และมีชื่อเรียกต่างกัน คือ

    <DD class=red>ทิศตะวันออก
    <DD class=red>เป็นที่อยู่ของ คันธัพพเทวดา หรือเทวดาคนธรรพ์ และพวกวิทยาธร
    <DD class=red>มีจอมเทพปกครองนามว่า ท้าวธตรฐ

    <DD class=red>ทิศใต้
    <DD class=red>เป็นที่อยู่ของ กุมภัณโฑเทวดา หรือเทวดากุมภัณฑ์ และพวกรากษส
    <DD class=red>มีจอมเทพปกครองนามว่า ท้าววิรุฬหก

    <DD class=red>ทิศตะวันตก
    <DD class=red>เป็นที่อยู่ของ นาคเทวดา
    <DD class=red>มีจอมเทพปกครองนามว่า ท้าววิรูปักษ์

    <DD class=red>ทิศเหนือ
    <DD class=red>เป็นที่อยู่ของ ยักขเทวดา
    <DD class=red>มีจอมเทพปกครองนามว่า ท้าวเวสสุวัณณ์
    <DD>


    คนธรรพ์และวิทยาธร
    <DD>คนธรรพ์ หรือคันธัพพเทวดา เป็นเทวดาในปกครองของท้าวธตรฐ มหาราชแห่งทิศบูรพา เป็นเทวดาที่มีวรรณะงาม มีรัศมีรุ่งเรือง
    <DD>คนธรรพ์ชั้นสูงเป็นอากาศเทวดา มีวิมานลอยอยู่ในอากาศ เป็นพวกที่มีความชำนาญในการฟ้อนและขับร้องเพลง จึงมีหน้าที่ในการฟ้อนและบรรเลงเมื่อมีงานรื่นเริงในสวรรค์ เช่น ปัญจสิขเทพบุตรคนธรรพ์
    <DD>คนธรรพ์ชั้นกลางเป็นรุกขเทวดา ส่วนใหญ่อยู่ในป่าหิมพานต์ มีวิมานอยู่ในต้นไม้ที่มีกลิ่นหอม อาจจะเป็นรากหอม แก่นหอม กะพี้หอม เปลือกหอม ใบหอม ดอกหอม หรือผลหอม เป็นพวกที่ชอบเล่นฤทธิ์ อดีตชาติเคยเป็นผู้มีวิชาอาคม ตายแล้วจึงมาเกิดเป็นวิทยาธร
    <DD>คนธรรพ์ชั้นล่างเป็นเทวดาที่กำเนิดในแก่นไม้ เรียกว่า คันธัพพเทวดา หรือคันทัพโพ บางทีเรียกว่า นางไม้ เทวดาพวกนี้อาศัยอยู่ในต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งตลอดไปจนกว่าจะหมดอายุขัย แม้ต้นไม้นั้นจะถูกตัดฟันไปทำเรือ แพ บ้านเรือน หรือเครื่องใช้ไม้สอย ก็ยังคงสิงอยู่ในไม้นั้นไม่อาจย้ายไปอาศัยต้นไม้อื่นได้ ต่างจากรุกขเทวดาที่แม้จะอาศัยอยู่ตามต้นไม้เหมือนกัน แต่ถ้าต้นไม้นั้นตายหรือถูกตัดก็จะย้ายวิมานจากต้นนั้นไปต้นอื่น ด้วยเหตุนี้ คันธัพพเทวดาจึงมักทำร้ายมนุษย์ที่นำไม้มาให้เจ็บป่วย หรือทำอันตรายต่อทรัพย์สมบัติของมนุษย์ คันธัพพเทวดาพวกนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นเทวดาใจร้าย



    กุมภัณฑ์
    <DD>กุมภัณฑ์ เป็นเทวดาในปกครองของท้าววิรุฬหก มหาราชแห่งทิศใต้
    <DD>กุมภัณฑ์ชั้นสูงเป็นอากาศเทวดา มีวิมานลอยอยู่ในอากาศ
    <DD>กุมภัณฑ์ชั้นกลางเป็นเทวดาอยู่ตามป่าเขา มือถือกระบองใหญ่ ทำหน้าที่รักษาทรัพย์ในดิน รักษาป่าและภูเขา กุมภัณฑ์พวกนี้มีรูปร่างกำยำ แต่มีท้องใหญ่จนมองดูคล้ายว่ามีลูกอัณฑะใหญ่เท่าหม้อ จึงเป็นที่มาของชื่อ กุมภัณฑ์
    <DD>กุมภัณฑ์ชั้นล่างอาศัยอยู่ตามแม่น้ำ สระน้ำ เรียกว่า รากษส ตัวโต หน้าแดง ท้องเขียว มือเท้าแดง เขี้ยวใหญ่ เท้าคด เป็นพวกที่ดุร้าย ชอบกินเนื้อสัตว์ รากษสไม่ปรารถนาสิ่งใดเลยนอกจากการได้กินเนื้อสัตว์เท่านั้น



    นาค
    <DD>นาค เป็นเทวดาในปกครองของท้าววิรูปักษ์ มหาราชแห่งทิศตะวันตก มีวิมานอยู่กลางเขาสิเนรุและในนทีสีทันดร ส่วนในเมืองมนุษย์นั้น นาคอาศัยอยู่ใต้หนองน้ำ แม่น้ำลำคลอง และในมหาสมุทร
    <DD>นาคเป็นเทวดาที่มีฤทธิ์ ปกติมีรูปร่างเป็นงูใหญ่ มีหงอน แต่เมื่อมาเที่ยวในถิ่นมนุษย์ก็มักจำแลงกายให้เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง บางครั้งก็จำแลงกายเป็นสัตว์ต่างๆ ตามชอบใจ
    <DD>นาคมีกำเนิด ๔ จำพวก คือ เกิดในไข่ (อัณฑชะกำเนิด) เกิดในครรภ์ (ชลาพุชะกำเนิด) เกิดในเถ้าไคล (สังเสทชะกำเนิด) และเกิดโดยอุบัติขึ้น (โอปปาติกะกำเนิด)
    <DD>นาคทั้ง ๔ จำพวกนี้มีทิพย์สมบัติ มีฤทธิ์อำนาจ แตกต่างกัน นาคที่เป็นโอปปาติกะกำเนิดจะมีฤทธิ์อำนาจและทิพย์สมบัติรุ่งเรืองที่สุด รองลงมาคือนาคสังเสทชะกำเนิด นาคชลาพุชะกำเนิด และนาคอัณฑชะกำเนิด ตามลำดับ

    <DD class=green>นาคมี ๔ ตระกูลใหญ่ คือ
    <DD class=green>๑. ตระกูลวิรูปักษ์ เป็นนาคมีสีทอง
    <DD class=green>๒. ตระกูลเอราปถ เป็นนาคมีสีเขียว
    <DD class=green>๓. ตระกูลฉัพพยาปุตตะ เป็นนาคมีสีรุ้ง
    <DD class=green>๔. ตระกูลกัณหาโคตมะ เป็นนาคมีสีดำ

    <DD>นาค แม้จะเป็นเทวดาอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา มีทิพย์สมบัติรุ่งเรืองประณีตกว่าพระเจ้าจักรพรรดิในเมืองมนุษย์ แต่ก็จัดว่านาคนี้เป็นเพียงสัตว์สวรรค์เท่านั้น ไม่อาจถึงมรรคผลนิพพานได้
    <DD class=red>ในครั้งพุทธกาล นาคตัวหนึ่งเบื่อหน่ายในอัตภาพนาค อยากจะกลับไปเกิดเป็นมนุษย์ คิดว่าหากได้บวชปฏิบัติธรรมในสำนักของพระศาสดา ก็คงจะได้พ้นจากความเป็นนาคได้เร็วพลัน คิดแล้วจึงแปลงกายเป็นชายหนุ่มเข้าไปบวชในธรรมวินัย อาศัยอยู่ในวิหารร่วมกับภิกษุรูปหนึ่ง
    <DD class=red>ครั้นถึงยามราตรี ภิกษุรูปนั้นตื่นนอนออกไปเดินจงกรมอยู่นอกวิหาร พระนาควางใจจำวัด แต่ธรรมชาติของนาคจะคืนร่างยามเมื่อเสพสังวาสกับนาคด้วยกันหรือเมื่อนอนหลับ พอพระนาคหลับร่างจึงกลับคืนเป็นงูใหญ่ ขนดยื่นออกไปทางหน้าต่าง ครั้นภิกษุร่วมวิหารกลับเข้ามาเห็นงูก็ตกใจส่งเสียงร้อง ภิกษุอื่นพากันวิ่งมาดู ส่วนพระนาคได้ยินเสียงเอะอะจึงตื่นขึ้น กลับร่างเป็นพระนั่งอยู่บนอาสนะ
    <DD class=red>ภิกษุอื่นสอบถามว่าท่านเป็นใครกันแน่ พระนาคยอมรับว่าตนเองเป็นนาค แอบมาบวชเพราะอยากกลับไปเกิดเป็นมนุษย์ ภิกษุเหล่านั้นจึงไปกราบทูลให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ
    <DD class=red>พระพุทธเจ้าทรงประทานโอวาทแก่นาคภิกษุว่า พวกเจ้าเป็นนาค ไม่อาจงอกงามในธรรมวินัยนี้ได้ เจ้าจงไปเสียเถิด ไปรักษาอุโบสถในวันธรรมสวณะนั่นแหละ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะพ้นจากกำเนิดนาคและได้ไปเกิดเป็นมนุษย์
    <DD class=red>พระนาครู้ว่าอัตภาพนาคของตนไม่อาจสำเร็จมรรคผลในธรรมวินัยได้ ก็หลั่งน้ำตาเสียใจ กลับสู่นาคพิภพไป
    <DD class=red>จากนั้น พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติสิกขาบท ไม่ให้สงฆ์บวชให้แก่ผู้ที่ไม่ได้เป็นมนุษย์ แม้ใครที่บวชอยู่ก่อนแล้วก็ให้สึกเสีย เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่อาจบรรลุธรรมวิเศษได้
    <DD>


    ยักษ์
    <DD>ยักษ์หรือยักขเทวดา เป็นเทวดาในปกครองของท้าวเวสสุวัณณ์ มหาราชทางทิศอุดร เป็นพวกที่ชอบกินเนื้อ ดุร้าย และโกรธง่าย
    <DD>ในสมัยพุทธกาลนั้น ภิกษุจำนวนมากเมื่อรับกรรมฐานแล้วก็มักจะหลีกจากหมู่ไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของยักษ์ ยักษ์พวกนี้เป็นเทวดาดุร้าย ชอบทำปาณาติบาต ยักษ์บางพวกมีอาณาเขตเป็นของตน มนุษย์หรือสัตว์ถ้าหลงเข้าไปในเขตยักษ์ก็จะถูกจับกิน
    <DD>ยักษ์ จึงถูกเรียกว่า อมนุษย์ นอกจากนี้คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ และนาค ที่ดุร้ายจึงพลอยถูกเรียกว่า อมนุษย์ ไปด้วย
    <DD>อมนุษย์พวกนี้ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วไม่ชอบใจ เพราะพระศาสดาตรัสสอนให้ละอกุศลกรรม เลิกทำปาณาติบาต แต่คำสอนของพระศาสดาขัดกับอุปนิสัย อมนุษย์เหล่านี้ทำไม่ได้จึงไม่เลื่อมใสพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เมื่อมีภิกษุเข้าไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าเปลี่ยว จึงมักถูกอมนุษย์พวกนี้เบียดเบียนจนไม่สามารถบำเพ็ญสมณธรรมได้
    <DD>ท้าวเวสสุวัณณ์ในฐานะเป็นเทพบดีของเหล่ายักษ์ จึงเชิญท้าวมหาราชทั้ง ๔ ไปประชุมกันที่ อาฏานาฏิยนคร ในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เพื่อหาทางป้องกันไม่ให้บริวารของตนทำร้ายภิกษุสาวกของพระพุทธองค์ โดยผูกพุทธมนต์ขึ้นมาบทหนึ่ง เรียกว่า อาฏานาฏิยรักขา ประกาศว่าหากอมนุษย์ตนใดทำร้ายผู้สาธยายพุทธมนต์บทนี้จะต้องถูกลงอาญาอย่างรุนแรง เมื่อผูกมนต์เสร็จแล้วท้าวมหาราชทั้ง ๔ จึงไปเฝ้าพระศาสดาที่เขาคิชฌกูฏ เขตนครราชคฤห์ ถวายอาฏานาฏิยรักขาเพื่อประทานแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ใช้สาธยายคุ้มครองตนต่อไป
    <DD>พระพุทธองค์ทรงรับ อาฏานาฏิยรักขา จากท้าวมหาราชแล้ว ได้นำมาตรัสประทานแก่พุทธบริษัทในภายหลัง
    <DD>พุทธมนต์อาฏานาฏิยรักขาของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นี้ ประกอบด้วยคาถา ๖ บทที่พรรณนาคุณของพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ คือ พระวิปัสสี พระสิขี พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ และพระสมณโคตมะ เป็นพระปริตรศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ขับไล่พวกอมนุษย์ร้าย ต่อมาโบราณจารย์ได้ประพันธ์เพิ่มเติมบทบูชาพระพุทธเจ้าเป็น ๒๘ พระองค์ และนำไปใช้ในการสวดปัดรังควาญ เรียกว่า สวดภาณยักษ์
    <DD>แต่สำหรับพระภิกษุผู้มีเมตตาหรือพระธุดงค์กรรมฐาน ท่านมักจะหลีกเลี่ยงไม่สวดบทอาฏานาฏิยรักขานี้ เนื่องจากนอกจากเป็นการลงโทษอย่างรุนแรงต่อพวกอมนุษย์ร้ายแล้ว แม้แต่อมนุษย์ดีเมื่อได้ยินพุทธมนต์บทนี้ก็ไม่อาจทนอยู่ได้ ท่านจึงมักจะเลือกสวดบทเมตตาสูตร ธชัคคสูตร หรือรตนสูตรก่อน หากสวดแล้วยังถูกอมนุษย์รบกวนอยู่อีกจึงจะสวดอาฏานาฏิยสูตร หรือไม่ก็หลีกไปอยู่ที่อื่นเสียเลยจะได้ไม่ต้องรบกวนกัน



    เทวดาในต้นไม้
    <DD>พระธุดงค์ท่านหลีกเลี่ยงไม่รบกวนเทวดาที่อาศัยอยู่ในป่า ภูเขา และต้นไม้ แต่ก็ยังมีพระภิกษุและมนุษย์อีกจำนวนมากที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ รบกวนถึงขั้นทำลายวิมานของเทวดาโดยไม่รู้ตัว
    <DD>ภิกษุในเมืองอาฬวีรูปหนึ่งไปตัดต้นไม้ในป่าเพื่อนำมาสร้างกุฏิ เทวดาผู้มีวิมานอยู่ในต้นไม้นั้นได้ปรากฏกายบอกภิกษุรูปนั้นว่า ท่านโปรดอย่าตัดต้นไม้อันเป็นที่อยู่ของข้าพเจ้าเพื่อไปสร้างที่อยู่ของท่านเลย
    <DD>แต่ภิกษุรูปนั้นไม่ฟังตัดต้นไม้ลงมาจนได้ และยังฟันถูกแขนทารกลูกของเทวดาองค์นั้นอีกด้วย เทวดาองค์นั้นโกรธคิดจะฆ่าภิกษุเสีย แต่ก็คิดได้ว่าเป็นการสร้างบาปกรรมต่อไปอีก จึงระงับความโกรธแล้วไปกราบทูลให้พระศาสดาทรงทราบ
    <DD>พระผู้มีพระภาคทรงทราบแล้ว จึงทรงบัญญัติสิกขาบทห้ามภิกษุพรากของเขียว ซึ่งรวมถึงการตัดต้นไม้หรือกิ่งไม้ด้วย โดยทรงห้ามทั้งการลงมือตัดเองรวมถึงการสั่งให้ผู้อื่นเป็นผู้ตัดแทนด้วย




    <DD class=small>เล่าเรื่องเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกาเพียงคร่าวๆ เท่านี้ ตอนต่อไปจะได้กลับไปดูพวกเทวดากับอสูรเขารบกันต่อ และขอย้ำอีกครั้งครับว่าเรื่องทั้งหมดนำมาจากพระไตรปิฎกและอรรถกถาพระไตรปิฎกนะครับ ไม่ใช่นำมาจากศาสนาอื่นใดที่ไม่ใช่พุทธศาสนา เดี๋ยวจะหาว่าไปเอาเรื่องแขกที่ไหนมาเล่า นี่เป็นเรื่องในพุทธศาสนาครับ แต่เป็นเพียงกระพี้ ไม่ใช่แก่นแท้นะครับ</DD></TD></TR></TBODY></TABLE>


    Bloggang.com : oddy.freebird :
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันนี้ผมได้ดำเนินการโอนเงินเข้าบัญชีสำหรับสงเคราะห์สงฆ์อาพาธที่ รพ.ปัตตานี ซึ่งเป็น รพ.แห่งที่ 9 ครบถ้วนตามแผนงานประจำปี 2552 แล้ว เป็นจำนวนเงิน 5,000.-

    สำหรับเรื่องผ้าห่มหนาวได้ตัวเลขมาทั้งหมดแล้ว รอเวลาที่คณะกรรมการจะประชุมกันในวันอาทิตย์นี้ โดยมีรายละเอียดแยกเป็นชุดค่าใช้จ่ายโดยประมาณดังนี้

    1. ผ้าห่มฟูกสีเหลืองราคาประมาณ 480.-500.-/ผืน
    2. อังสะและหมวกไหมพรมราคาประมาณ 200.-/ชุด

    โดยทั้งผ้าห่มและอังสะฯ นั้น ราคาแต่ละพื้นที่ไม่เท่ากัน เช่นที่แม่สอด จ.ตาก กับที่ อ.ปัว จ.น่าน หรือที่ ด่านซ้าย จ.เลย บางอย่างถูก บางอย่างแพง จึงต้องใช้ราคาเฉลี่ย หากใครสนใจบริจาคอย่างไหน เชิญบริจาคได้ โดยโอนเข้าบัญชีทุนนิธิฯ มาได้เลยครับ เพราะหากนับคร่าวๆ แล้ว ความต้องการของแต่ละ รพ.รวมๆ กันแล้ว น่าจะไม่ต่ำกว่ารายการละ 40 ชุดครับ

    พันวฤทธิ์
    27/11/52
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระสมเด็จศาสดา รุ่นแรก

    พระสมเด็จศาสดา รุ่นแรก สมเด็จพระญาณสังวร

    คอลัมน์ มุมพระเก่า
    สรพล โศภิตกุล
    ที่มา... ข่าวสดรายวัน ฉบับที่ 6639
    www.khaosod.co.th


    [​IMG]
    พระสมเด็จศาสดา รุ่นแรก

    พระศาสดา เป็นพระพุทธรูปที่สร้างคราวเดียวกับพระพุทธชินราชและพระพุทธชินสีห์ ได้ประดิษฐานอยู่ในวิหารด้านทิศใต้ของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุมาแต่ต้น ต่อมาพระวิหารด้านทิศใต้ได้ชำรุดไม่มีผู้ปฏิสังขรณ์ จึงได้อัญเชิญพระศาสดามาไว้ที่วัดบางอ้อช้าง ทางแม่น้ำอ้อมจังหวัดนนทบุรี ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติปฏิสังขรณ์วัดประดู่ คลองบางหลวง จึงได้ขออัญเชิญพระศาสดาไปเป็นพระประธาน

    ล่วงมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริว่า พระศาสดาเป็นพระพุทธรูปอยู่ที่พระอารามหลวงมาแต่โบราณ ไม่สมควรอยู่ที่วัดอื่น จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่มุขหน้าพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวราราม เมื่อ พ.ศ.2396 ต่อมาได้มีพระราชดำริว่าพระศาสดาและพระพุทธชินสีห์เคยประดิษฐานอยู่ในพระ อารามเดียวกันที่เมืองพิษณุโลก จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระวิหารขึ้นในวัดบวรนิเวศวิหาร แล้วอัญเชิญพระศาสดาจากวัดสุทัศนเทพวรารามไปประดิษฐานไว้ในพระวิหารนั้น เมื่อ พ.ศ.2406

    ในปี พ.ศ.2516 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เมื่อครั้งยังทรงสมณศักดิ์ที่สมเด็จพระญาณสังวร ทรงเจริญพระชนมายุครบ 5 รอบ หรือ 60 ปี นับเป็นโอกาสพิเศษยิ่ง บรรดาศิษยานุศิษย์ในสมเด็จพระญาณสังวรฯ ได้ประชุมปรึกษาหารือกันถึงการจัดงานแซยิด และจัดหาของที่ระลึกเพื่อถวายให้ทรงแจกในงานครบรอบวันเกิดของพระองค์ในวัน ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ.2516 ซึ่งเป็นที่ตกลงกันว่า ให้สร้างวัตถุมงคลเนื้อผงสี่เหลี่ยมแบบเดียวกับพระสมเด็จวัดระฆังโฆสิตาราม และให้จำลองพระศาสดาลงบนวัตถุมงคลที่สร้างขึ้น

    สำหรับมวลสาร"พระสมเด็จศาสดา"นั้นในที่ประชุมได้ตกลงว่า ให้ช่วยกันหาตามแต่จะหามาได้ แต่ต้องเป็นมงคลวัตถุที่ควรค่าแก่การนำมาเป็นส่วนผสมในการสร้างพระสมเด็จ ศาสดา

    การสร้างวัตถุมงคล"พระสมเด็จศาสดา"ในครั้งนี้ ม.ล.เกษตร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา องคมนตรี และเป็นพระภิกษุจรตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ในการพระราชพิธีเสด็จออกทรงพระผนวชในปี พ.ศ.2499 ได้นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทถึงการจัดงานฉลองอา ยุครบ 5 รอบของสมเด็จพระญาณสังวร และได้ขอพระราชทานผงที่เหลือจากการทรงสร้างพระสมเด็จจิตรลดา ทรงพระราชทานผงที่เหลือนั้นทั้งหมดแก่ ม.ล.เกษตร สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เพื่อนำมาเป็นส่วนผสมอันเป็นมงคลแก่พระสมเด็จศาสดา

    สำหรับแม่พิมพ์ที่ใช้ในการกดพิมพ์พระสมเด็จศาสดา กองกษาปณ์แห่งประเทศไทย กรมธนารักษ์ ได้เป็นผู้ออกแบบแม่พิมพ์ โดยได้ออกแบบรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดสูง 35 มิลลิเมตร กว้าง 23 มิลลิเมตร ความหนา 6 มิลลิเมตร มีรูปจำลองพระศาสดาประดิษฐานภายในซุ้มครอบแก้ว

    เมื่อแกะพิมพ์แล้วได้ทดลองพิมพ์ออกมาจำนวนหนึ่ง เพื่อให้ ม.ร.ว.ประสมศักดิ์ จรูญโรจน์ ซึ่งเป็นอธิบดีกรมธนารักษ์ในขณะนั้นได้ดูแบบ เมื่อดูแล้วได้ให้ความเห็นว่า พื้นที่บริเวณด้านบนพระเศียรภายในซุ้มครอบแก้วมีความโล่งกว้างเกินไป มองดูแล้วเวิ้งว้างมาก จึงได้ให้แกะพิมพ์เพิ่ม โดยแกะเป็นเส้นรัศมีกระจายนับได้ 17 เส้น จากนั้นจึงได้กดพิมพ์พระออกมา นับรวมทั้งพิมพ์ลองพิมพ์ ซึ่งไม่มีรัศมีได้ 6,164 องค์ จากนั้นได้นำพระสมเด็จศาสดาทั้งหมดถวายแด่สมเด็จพระญาณสังวร พระองค์ทรงอธิษฐานจิตเป็นการส่วนพระองค์ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2516 จนถึงเดือนกันยายนปีเดียวกันนั้น จึงได้จัดพิธีพุทธาภิเษกขึ้นที่พระอุโบสถวัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ.2516 โดยมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังร่วมในพิธีพุทธาภิเษกมากมาย

    พระสมเด็จศาสดานี้ สมเด็จพระญาณสังวรฯ ทรงแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ร่วมแสดงมุทิตาจิตอย่างทั่วถึง ส่วนที่เหลือได้นำออกมาให้ประชาชนทั่วไปบูชานำปัจจัยที่ได้ไปทอดกฐินที่วัด วังโพธิการาม จังหวัดกาญจนบุรี และบางส่วนได้เก็บเป็นที่ระลึกไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดบวรนิเวศวิหาร

    พระสมเด็จศาสดาที่พบเห็นโดยมากมักเป็นพิมพ์รัศมี คือเบื้องบนมีรัศมีเป็นแฉก ซึ่งปัจจุบันนิยมเล่นหาสะสมกันถึงหลักหมื่นประมาณสองหมื่นบาทขึ้นไป ส่วนอีกพิมพ์หนึ่งที่พบเห็นน้อยมาก เนื่องเพราะมีจำนวนน้อย คือ พิมพ์ไม่มีรัศมี ปัจจุบันเล่นหากันหลักหมื่นต้นๆ

    นอกจากนี้ยังมีเหรียญพระศาสดา หลังตาชั่ง ที่เล่นหากันอยู่ในหลักพันบาท

    พระศาสดานี้นับถือว่ามีพระพุทธคุณเป็นวาสนาบารมี แคล้วคลาด ปลอดภัย เจริญก้าวหน้า เมตตามหานิยม และโชคลาภ

    พระสมเด็จศาสดานี้ พิมพ์ทรงจะมีความคมลึก และเนื้อแน่น ของทำเทียมจากการถอดแบบพิมพ์จะไม่คม เนื้อสวก หรือไม่ก็กระด้างเกินไป และผงจิตรลดาที่กระจายอยู่นั้นของแท้มีน้อยกว่าของเทียม ซึ่งจงใจใส่เป็นพิเศษ

    ผงจิตรลดาบนพระสมเด็จศาสดาจะมองเห็นเป็นจุดแดงและสีเลือดหมู กระจายอยู่ในเนื้อพระทั้งด้านหน้าและด้านหลังของ "พระสมเด็จศาสดา" <!-- / message --><!-- attachments -->

    <FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เลขประชาชนเป็นมงคลไม่สงวนสิทธิ์หากนำไปเสี่ยงโชคจ้า...(เห็นมานานแล้วเพิ่งนึกได้)


    [​IMG]
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ช้างเผือกของพ่อ...

    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=left>[​IMG]</TD><TD vAlign=center align=left>เป็นบุญตาครับ ช้างเผือกทรงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
    « เมื่อ: มิถุนายน 09, 2009, 10:30:32 PM »

    </TD><TD style="FONT-SIZE: smaller" vAlign=bottom noWrap align=right height=20></TD></TR></TBODY></TABLE>


    <HR class=hrcolor width="100%" SIZE=1>นี่แหละช้างคุ๋บารมีของพ่ออยู่หัวเรา

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ฑีฆายุโก โหตุ มหาราชา

    ofishingshop.com/webboard/index.php?PHPSESSID=ba9616914ec2b0353c75955758903373&topic=128.msg1552#msg1552
     
  14. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันนี้ เวลา 17.25 น. ผมได้โอนเงิน 200.- บาท
    ร่วมทำบุญฯ ขอโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    จดหมายที่ไม่ได้เปิดอ่าน
    <!-- Main -->[SIZE=-1] ณ แดนนรกภูมิ ชายชราวัย 70กว่า คุกเข่าอยู่หน้ายมบาล เขากำลังฟังคำตัดสินอยู่ ยมบาลตัดสินให้เขาไปลงนรก ฐานที่ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยทำความดี

    ชายชราพูดว่า "ท่าน ช่างไม่ยุติธรรมเลย ท่านน่าจะได้บอกข้าพเจ้าก่อน ถ้าข้ารู้ ข้าก็จะได้ตั้งใจทำความดี "

    ยมบาล " ใครบอกว่าข้าไม่ได้บอก ข้าได้ส่งจดหมายไปเตือนเจ้าอยู่เป็นระยะ หลายฉบับ"

    ชาย ชรา "จดหมายอะไรกันท่าน ข้าไม่ได้เคยรับเลย จดหมายคงส่งไปผิดบ้านแน่นอน ข้าไม่ได้รับจริงๆ" ชายชราทำท่าครุ่นคิด เขาไม่ได้รับจดหมายใดๆเลยนี้นา

    ยมบาล "ไม่ผิดบ้านหรอก เจ้านะได้รับจดหมายของข้าทุกฉบับ แต่เจ้าไม่เคยใส่ใจเปิดอ่านต่างหาก"

    ชายชรายืนยันว่า ไม่มีแน่นอน เขาไม่เคยได้รับจดหมายใดๆ

    ยมบาล " เจ้าจำได้ไม๊ เมื่อตอนเจ้าอายุ 45 ปี เจ้าต้องใส่แว่นสายตายาวเพราะเจ้ามองหนังสือไม่เห็น นั่นแหละคือ จม ฉบับแรกของข้า" "แล้วเมื่อตอนเจ้าเจอผมขาวเส้นแรก ตอนอายุ 50 ปี นั้นคือ จม ฉบับที่2 และตอนฟันแท้ซี่แรกของเจ้าหลุด เมือเจ้าอายุ 60 ปี
    ทุกอย่าง ก็คือ จม ที่ข้าส่งให้กับเจ้า แต่เจ้าไม่ได้ใส่ใจกับมันเท่านั้นเอง"


    ข้างชายชรา มีชายหนุ่ม อายุ 27 ปี กำลังนั่งรอฟังคำพิพากษาเช่นเดียวกัน

    ชายหนุ่มพูดขึ้นว่าท่านยมบาล ท่านไม่ยุติธรรมเลย ชายชรายังมี จม เตือน แต่ข้าพเจ้าไม่มีการเตือนเลย"

    ยมบาล " ใครบอกกันละ เจ้าจำไม่ได้เหรอ เมื่อ 2 ปีก่อน เด็กน้อยอายุ 5 ขวบ ที่อยู่ข้างบ้านของเจ้า ป่วยเป็นไข้เลือดออกตาย เจ้าก็ได้ไปงานศพของเด็กน้อย นั่นแหละ คือ จม ของข้าเตือนเจ้าว่า แม้แต่เด็กน้อยอายุเพียงแค่นี้ ก็ตายได้ แล้วเจ้าละอายุมากกว่าเด็กน้อยคนนั้นเสียอีกเวลาของเจ้าบนโลกใบนี้ก็ใช่ว่า จะอีกนาน เจ้าควรจะเร่งทำความดีเพราะความตายจะมาแน่นอนและมาได้ทุกเมื่อ"

    ***แล้วพวกเราละ ได้รับจดหมาย กันคนละกี่ฉบับแล้ว?? และเคยอ่านมันบ้างไม๊?? ***

    อย่า ลืมนะ ทุกครั้งได้รับจดหมาย อย่าลืมเปิดอ่าน และเราคงรู้แล้วนะว่าเราต้องทำยังไงกับชีวิตที่เรายังเหลืออยู่ในทุกๆวัน อย่าประมาทในชีวิต ขอให้ทุกคนโชคดี และ ได้สะสมเสบียงไว้ในการเดินทางครั้งใหญ่นะครับ

    ปล. ศีลเป็นสะพาน บุญ! และทานเป็นเสบียง นิพพาน คือ เป้าหมาย มา !!ไปด้วยกัน.....




    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=bannlangwat&month=25-11-2009&group=17&gblog=1[/SIZE]
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น


    [​IMG]


    <!-- Main -->[SIZE=-1]หลวงปู่ชา สุภัทโท สอนคนที่ชอบยุ่งกับเรื่องของคนอื่นว่า .. [/SIZE]
    [SIZE=-1] อย่ายุ่งกับเรื่องของคนอื่น
    ภาวนามากๆ ดูตัวเองมากๆ
    หลวงปู่บอกว่า ..
    "ธรรมดาเราดูแต่คนอื่น 90% ดูตัวเองแค่ 10%"
    คือ คอยดูแต่ความผิดของคนอื่น เพ่งโทษคนอื่น
    คิดแต่จะแก้ไขคนอื่น กลับเสียใหม่นะ
    ดูคนอื่นเหลือไว้ 10%
    ดูเพื่อศึกษาว่า เมื่อเขาทำอย่างนั้น
    คนอื่นจะรู้สึกอย่างไร
    เพื่อเอามาสอนตัวเองนั้นแหละ
    ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง 90%
    จึงเรียกว่าปฏิบัติธรรมอยู่
    ธรรมชาติของจิตใจมันเข้าข้างตัวเอง
    โบราณพูดว่า เรามักจะเห็น ความผิดของคนอื่นเท่าภูเขา
    ความผิดของตนเองเท่ารูเข็ม
    มันเป็นความจริงอย่างนั้นด้วย
    เราต้องระวังความรูสึกนึกคิดของตัวเองให้มากๆ
    เห็นความผิดของคนอื่น ให้หารด้วย 10
    เห็นความผิดของตนเอง ให้คูณด้วย 10
    จึงจะใกล้เคียงกับความจริงและยุติธรรม
    เพราะเหตุนี้เราจะต้องพยายามมองแง่ดีของคนอื่นมากๆ
    และตำหนิติเตียนตัวเองมากๆ
    แต่ถึงอย่างไรๆ เราก็ยังเข้าข้างตัวเองนั้นแหละ
    พยายามอย่าสนใจการกระทำ การปฏิบัติของคนอื่น
    ดูตัวเอง สนใจแก้ไขตัวเองนั้นแหละมากๆ
    เช่น เข้าครัวเห็นเด็กทำอะไรไม่ถูกใจ
    แล้วเกิดอารมณ์ร้อนใจ ..
    ยังไม่ต้องบอกเขาให้แก้ไขอะไรหรอก
    รีบแก้ไข ระงับอารมณ์ร้อนใจของตัวเองเสียก่อน
    เห็นอะไร คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็สักแต่ว่าใจเย็นๆ ไว้ก่อน
    ความเห็น ความคิด ความรู้สึกก็ไม่แน่ใจ..
    ไม่แน่..อาจจะถูกก็ได้ อาจจะผิดก็ได้
    เราอาจจะเปลี่ยนความเห็นก็ได้
    สักแต่ว่า.. สักแต่ว่า.. ใจเย็นๆ ไว้ก่อน ยังไม่ต้องพูด
    ดูใจเราก่อน สอนใจเราก่อน หัดปล่อยวางก่อน
    เมื่อจิตสงบแล้ว เมื่อจิตปกติแล้ว
    จึงค่อยพูด จึงค่อยออกความคิดเห็น
    พูดด้วยเหตุ ด้วยผล ประกอบด้วยจิตเมตตากรุณา
    ขณะมีอารมณ์อย่าเพิ่งพูด..
    ทำให้เสียความรู้สึกของผู้อื่น
    ทำให้เสียความรู้สึกของตนเอง
    ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร
    มักจะเสียประโยชน์ด้วยซ้ำไป
    เพราะฉะนั้น อยู่ที่ไหน อยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน
    ก็สงบๆ ๆ ไม่ต้องดูคนอื่นว่าเขาทำผิดๆ ๆ
    ดูแต่ตัวเรา ระวังความรูสึก ระวังอารมณ์ของเรามากๆ
    พยายามแก้ไข พัฒนาตัวเรา.. นั้นแหละ
    เห็นอะไรชอบ ไม่ชอบ ปล่อยไว้ก่อน
    เรื่องของคนอื่น พยายามอย่าให้เข้ามาที่จิตใจเรา
    ถ้าไม่ระวัง ก็จะยุ่งแต่เรื่องของคนอื่นไปเรื่อยๆ
    หาเรื่องอยู่อย่างนั้น
    เอาเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเป็นเรื่องของเราไปหมด
    มีแต่ยินดี ยินร้าย พอใจ ไม่พอใจ ทั้งวัน
    อารมณ์มาก จิตไม่ปกติ ไม่สบาย ทั้งวันๆ ก็หมดแรง ระวังนะ
    พยายามตามดูจิตของเรา
    รักษาจิตของเราให้ปกติให้มาก
    ใครจะเป็นอะไร ใครจะทำอะไร ดีหรือไม่ดี เรื่องของเขา
    แม้เขาจะทำกับเรา ว่าเรา..
    ก็เป็นเรื่องของเขา
    อย่าเอามาเป็นอารมณ์
    อย่าเอามาเป็นเรื่องของเรา

    ดูใจเรานั้นแหละ
    พัฒนาตัวเองนั้นแหละ
    ทำใจเราให้ปกติ สบายๆ มากๆ.....


    Bloggang.com : ���������sp

    [/SIZE]
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หลวงปู่แหวนกับเหรียญรุ่น 1 ที่สวยงามมาก และยังมีให้ดูอีกที่ PRALANNA.COM • พระล้านนา.คอม


    [​IMG] <!--<table height="" width="" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0" background=""> <tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </table>-->



    [​IMG] <!--<table height="" width="" border="0" cellspacing="0" cellpadding="0" background=""> <tr> <td>[​IMG]</td> </tr> </table>-->


    <!-- ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- --> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="80%"><tbody><tr> <td>
    </td> </tr> <tr> <td>เหรียญ รุ่น หนึ่ง เหรียญกลม หรือ ทอ ๑
    ผู้ประสบเหตุการณ์คือ ลูกสาวคุณครู วิรัตน์ อยู่อำเภอ พร้าว ถูกสุนัขกัดไม่เข้า ที่คอแขวนเหรียญรุ่น หนึ่งเพียงเหรียญเดียว สุนัขตัวนี้กัดคนอื่นจนต้องไปหาหมอมาแล้ว หลายราย

    อีกเรื่อง หนึ่ง เหตุเกิดในป่าลึกเขตติดต่อ ระหว่างอำเภอ เชียงดาวกับอำเภอ พร้าว เจ้าหน้าที่ป่าไม้ได้ออกตรวจจับพวกลักลอบตัดไม้ ในป่า พวกเพื่อนๆ ต่างวิ่งหนีกันป่าราบ แต่ นาย ประเสริฐ ไม่ทราบนามสกุลวิ่งไม่ทันจึงแอบซ่อนอยู่ในร่องดิน พร้อมทั้งภาวนาขอให้ หลวงปู่แหวนช่วย เจ้าหน้าที่ป่าไม้ผ่านไปผ่านมา แต่ไม่เห็นนายประเสริฐ ผู้เล่าเหตุการณ์ คือ คุณ เสรี พ่อเลี้ยงไม้ท่อนอำเภอพร้าว ในคอนายประเสริฐแขวนเหรียญรุ่นหนึ่งของหลวงปู่แหวน 2 เหรียญ คุณเสรีเลยขอเหรียญนายประเสริฐไว้ใช้ 1 เหรียญ รายนี้ แสดงถึงการแคล้วคลาดและกำบังตน
    </td></tr></tbody></table>
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หลวงปู่มั่นกับพระแก้วมรกต
    [​IMG]


    เรื่องราวต่อไปนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำของอดีตพระอุปปัฐฐากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    จะเรียกว่าอดีตพระก็ไม่ได้ เพราะแม้นท่านจะเคยสึกไปมีครอบครัว แต่ปัจจุบันได้บวชใหม่แล้ว หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ หรืออดีตพระทองคำ

    เรื่องราวมีดังนี้

    คำบอกเล่าของหลวงปู่มั่น เรื่องประวัติความเป็นมาของพระแก้วมรกต

    เรื่อง นี้อัตถุปัตติเหตุเกิดขึ้นเมื่อครั้ง พระอาจารย์มั่น พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือ พระอุปัชฌาย์อุ่น หรือ พระครูบริบาลสังฆกิจ (อุ่น อุตฺตโม) วัดอุดมรัตนาราม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร) ได้ไปกราบนมัสการฟังเทศน์ และได้นำรูปพระแก้วมรกตขนาด 20 นิ้ว เป็นภาพพิมพ์ใส่กรอบไปถวายท่านพระอาจารย์ แต่ดูท่านจะลืมทำความสะอาด เพราะมีฝุ่นจับอยู่ ท่านพระอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความเคารพ

    หลังจาก ท่านอุปัชฌาย์อุ่นลาลงกุฏิไปแล้ว ท่านพระอาจารย์ได้ทำความสะอาด โดยนำผ้าสรงน้ำของท่านฯ มาเช็ดถู ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) เอาผ้าเช็ดพื้นเข้าไปช่วยทำความสะอาดด้วย เพราะเห็นว่าผ้ายังสะอาดอยู่ ท่านหันมาเห็นเข้า พูดว่า

    “อะไรกัน นั่นรูปพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังเอาผ้าเช็ดพื้นมาถูได้”

    ผู้ เล่าสะดุ้งไปทั้งตัว เพราะความโง่เขลาปัญญาอ่อน ท่านฯ ก็เลยทำความสะอาดเอง เสร็จแล้วก็มีเพื่อนภิกษุทยอยกันขึ้นไป รวมทั้งท่านอาจารย์วิริยังค์ด้วย ท่านเลยเทศน์ถึงความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต ท่านว่า

    “พระแก้ว มรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม”

    ท่านพระ อาจารย์มั่นเล่าว่า พระแก้วมรกตหล่อที่ลังกาทวีป ผู้เป็นประธานหล่อคือ พระจุลนาคเถระ เป็นชาวลังกา หล่อเมื่อศาสนาล่วงมาได้ 300 ปี ส่วนแก้วนั้น ท่านเล่าเชิงปาฏิหาริย์ พอเริ่มจะหล่อไม่ได้ตั้งใจจะเอาแก้วมรกตเพราะเป็นของหายาก บอกบุญตามแต่ศรัทธา จะเป็นแก้วอะไรก็ได้ ร้อนถึงพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ มาอาสาเป็นช่างหล่อ และพระองค์มีแก้วอยู่ดวงหนึ่ง ขออนุโมทนาเป็นกุศลด้วย พระอินทร์ไม่ได้เป็นช่าง แต่ช่างคือเทพบุตรชื่อ วิษณุกรรม ส่วนแก้วก็ไม่ใช่ของพระอินทร์ แต่เป็นแก้วอยู่ในถ้ำจิตรกูฏหรืออินทสารนี้ละ ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) ไม่มั่นใจ

    ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่า เป็นแก้วหน่อเนื้อพุทธางกูร ประจำภัทรกัปป์ เหลืออยู่ 2 ลูก มียักษ์รักษา พระอินทร์ไปขอแก้วดวงใหญ่ ซึ่งสุกใสกว่าจากยักษ์ตนนั้น แต่ยักษ์ไม่ให้ บอกว่าไม่ใช่ของเจ้า จึงให้แก้วดวงเล็กมา พระอินทร์นำมาหล่อเป็นผลสำเร็จ แต่ยังมีแก้วเหลือค้างอยู่ที่เรียกว่าแก้วก้นเตา เผาอย่างไรก็ไม่ละลาย พระจุลนาคเถระจึงอธิษฐานบรรจุไว้ใต้ฐาน ปรากฏว่าเป็นกระปุกระปะ ไม่เรียบ

    หล่อ เสร็จมีการสมโภช ท่านจุลนาคเถระ ได้อธิษฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน 5 แห่ง คือระหว่างพระขนง 1 แห่ง พระอังสาทั้งสอง 2 แห่ง พระเมาลี 1 แห่ง และพระนาภี 1 แห่ง ท่านฯ ว่าอย่างนี้

    การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก

    ท่านพระ อาจารย์เล่าต่อว่า ได้มีการอัญเชิญจากกรุงลังกาสู่นครศรีธรรมราชโดยทางเรือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา นำโดยเถรเจ้าป่า (คำว่า เถรเจ้าป่า หมายความถึง พระกัมมัฏฐานที่ชอบออกปฏิบัติภาวนาอยู่ตามป่าเขา) อยู่นครศรีธรรมราชก็ไม่ได้กำหนดว่านานเท่าไร ต่อจากนั้นจึงอัญเชิญไปสู่นครวัด นครธม ประเทศเขมร เพื่อเผยแผ่พระศาสนา นำโดยเถรเจ้าป่าอีกนั่นแหละ

    จากนครวัด นครธม สู่กรุงจันทบุรีศรีสัตตนาคนหุต (ประเทศลาว) ปัจจุบันคือเวียงจันทน์ สาเหตุเกิดกลียุคแย่งราชสมบัติ เถรเจ้าป่าท่านเห็นว่าพระแก้วจะไม่ปลอดภัย จึงได้เอาผ้าห่อแล้วบรรจุลงในบาตร (คงจะเป็นบาตรขนาดใหญ่) เพื่ออำพรางผู้ทุศีลไม่ให้แย่งชิงไป เถรเจ้าป่าองค์นั้นไปอยู่ที่เวียงจันทน์ก็ไม่มีกำหนดปีเหมือนกัน

    จาก นครเวียงจันทน์ก็ได้เสด็จสู่นครลำปาง และนครเชียงใหม่ ด้วยสาเหตุแห่งความรัก เนื่องจากเจ้าผู้ครองเวียงจันทน์ได้บุตรเขยเป็นชาวเชียงใหม่ หลังจากนั้นจะนำบุตรีสู่เชียงใหม่ บิดาให้พรบุตรีว่าอยากได้อะไรก็จะให้ บุตรีจึงขอพระแก้วมรกตไปด้วย ด้วยความรักของบิดาก็จำยอมยกให้

    พอไป ถึงลำปาง ช้างที่นั่งไปไม่ยอมไปเอาดื้อๆ จะขับไสอย่างไรช้างก็ไม่ไป ตกลงกันว่าองค์พระแก้วมีพระประสงค์จะประทับที่ลำปางแน่ พระแก้วก็เลยประดิษฐานที่ลำปางก่อน นานพอสมควรจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านก็ไม่ได้บอกว่ากี่ปี ต่อมาบุตรเขยก็เสียชีวิตลง บุตรีเจ้าผู้ครองนครก็กลับสู่เวียงจันทน์ และนำพระแก้วมรกตกลับมาด้วย จึงประดิษฐานอยู่ที่เวียงจันทน์อีกเป็นครั้งที่สอง

    ท่านพระอาจารย์ มั่นเล่าว่า ไทยคือลาว ลาวคือไทย เป็นชาติเดียวกัน แต่ครั้งอยู่ราชคฤห์ แต่หนีตายมาคนละสาย มาบรรจบกันที่แม่น้ำใหญ่ๆ 4 สาย คือ แม่น้ำโขง เจ้าพระยา สาละวิน และแม่น้ำตาปี


    ต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองใน ลาวเปลี่ยนแปลง เกิดกลียุค ราชวงศ์และราชบุตรเป็นศัตรูกัน ราชบุตรมักถูกรังแกใส่ความ ทนไม่ไหวจึงอพยพครอบครัวข้ามโขงมาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง (ปัจจุบัน คือ จังหวัดหนองบัวลำภู) ราษฎรก็ทยอยติดตามมา โดยมีพระตา น้องชายราชบุตรเป็นหัวหน้า ราชวงศ์ยังยกกองทัพมารังแกข่มเหงอีก

    ฝ่าย พระตาและพระวอก็ได้ถอยร่นลงมาสู่ดอนมดแดง คืออุบลราชธานีในปัจจุบันอย่างทุลักทุเล บังเอิญกองทัพทางเวียงจันทน์เสบียงขาดแคลนลง จึงต้องยกทัพกลับ หลังจากนั้นก็ได้ยกทัพมาตีอีกครั้งที่สอง ชาวดอนมดแดงได้ต่อสู้ถวายหัวเต็มกำลังความสามารถ

    พระตาสวรรคตใน สนามรบอย่างสมพระเกียรติ พระวอเห็นท่าไม่ได้การ ได้ให้ม้าเร็วนำสาส์นขอกองกำลังจากบางกอกไปช่วย สมัยนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ จึงส่งกองทัพม้าเป็นทัพหน้าเดินทางไปก่อน กองทัพหลวงนำโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นแม่ทัพยกตามไป ชาวดอนมดแดงก็มีกำลังใจสู้ถวายหัว พอกองทัพหลวงยกมาถึง กองทัพทางเวียงจันทน์จึงแตกพ่ายกลับไป

    ทั้งทัพม้าศึกและทัพหลวงแห่ง บางกอก พร้อมกองอาสาสมัครแห่งดอนมดแดง ก็ติดตามไล่ตีไม่ลดละ จนถึงฝั่งโขง และข้ามโขงเข้ายึดนครเวียงจันทน์ได้ทั้งหมด

    หลังจากชนะศึกแล้ว ชาวลาวได้ยินยอมพร้อมใจมอบพระแก้วมรกตและพระบาง ให้มาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ นี่คือสาเหตุที่พระแก้วมรกตมาประดิษฐานในประเทศไทย

    ปีนั้นบางกอกเกิด ฝนแล้ง โหรหลวงทำนายว่า เพราะพระแก้วและพระบางมาอยู่รวมกันเป็นเหตุ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก จึงส่งสาส์นแจ้งไปยังเจ้ามหาชีวิตลาว พระองค์ทรงยินดีรับคืน แต่ให้ส่งไปนครหลวงคือ กรุงศรีสัตตนาคนหุต ไทยได้ทำการสักการะจัดส่งอย่างสมพระเกียรติ ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าอย่างนี้ ตั้งแต่วันพระบางไปถึงกรุงศรีสัตตนคนหุต ก็เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองหลวงพระบางมาจนบัดนี้

    ท่านฯ ยังเล่าต่อไปว่า เดิมไม่ได้เรียกเมือง “หลวงพระบาง” เรียก “หลวงพระบ้าง” เพราะว่าทองที่หล่อนั้นเป็นทองหลายชนิด ผู้มีศรัทธาไปร่วมพิธีเททองหล่อนั้น มีทั้งสร้อยทองคำ ตุ้มหูทองคำ กำไลทองคำ เงิน ทองแดง นาถ ทองสัมฤทธิ์ เอาออกมาใส่ลงในเบ้าหล่อ โดยทุกคนก็กล่าวว่า ฉันบ้าง ข้าบ้าง กูบ้าง ข้าน้อยบ้าง เมื่อเป็นพระออกมาก็คงจะมีชื่ออย่างอื่น ชื่ออะไรท่านมิได้กล่าวๆ แต่คนนั้นก็ว่าพระบ้าง คนนี้ก็พระบ้าง ลักษณะชายจีวรบางแผ่ออกทั้งสองข้าง เป็นแผ่นบางๆ คนภายหลังมาเห็น เลยกลายจากบ้าง มาเป็นบาง จากพระบ้างมาเป็นพระบางไป

    หลังจากสมเด็จเจ้าพระมหากษัตริย์ศึก ได้เสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ 1 แล้ว ได้ยกฐานะบ้านดอนมดแดงขึ้นเป็นเมืองให้ชื่อว่า เมืองอุบลราชธานี ตั้งพระวอเป็นพระวรวงศาธิราชครองเมืองอุบลฯ พระวรวงศาธิราชสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พ้นภัยพิบัติมาได้ จึงได้ประกาศเป็นทางการว่า แผ่นดินฝั่งขวาแม่น้ำโขงทั้งหมดขอขึ้นตรงต่อบางกอก ไม่ขึ้นตรงต่อเวียงจันทน์ ตั้งวันนั้นมาถึงปัจจุบันปรากฏอยู่ในแผนที่ประเทศไทยโดยสมบูรณ์

    หลัง เทศน์จบ พระไปกันหมดแล้วก่อนจะจำวัด ท่านพระอาจารย์ (หลวงปู่มั่น) มักมีคำพูดขำขันบ้าง เป็นปริศนาบ้าง เป็นคำของบุคคลสำคัญพูดบ้าง อย่างที่ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) กำลังจะเล่าเรื่องภาคกลาง ต่อไปนี้

    [​IMG]

    สมเด็จ พระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เคยพูดว่า ภาคกลางคือ “จอมไทย” (ผู้ปฏิบัติใกล้ชิด คิดอยากรู้อยากฟัง ไม่ต้องถามท่านพระอาจารย์ดอก ถวายการนวดไปท่านก็เล่าไป พอจบเรื่องท่านก็หลับ โปรดเข้าใจการสนทนาธรรมด้วยอิริยาบถนอน เป็นการไม่เคารพธรรม แต่ท่านพระอาจารย์กล่าวว่า เวลานอนมิเป็นการสนทนาธรรม เป็นการพูดกันธรรมดาๆ แบบกันเอง ท่านจึงไม่เป็นอาบัติ)

    คำว่า “จอม” หมายถึง วัตถุแหลมๆ อยู่บนที่สูง เช่น ยอดพระเจดีย์เป็นต้น “จอมไทย” ก็คือ กรุงเทพมหานครเรานี้เอง ท่านที่เป็นปราชญ์ ก็เรียกว่า จอมปราชญ์ มงกุฎฉลองพระมหากษัตริย์ก็เรียก จอมมงกุฎ พระมหากษัตริย์ก็เรียก จอมกษัตริย์ วัดพระแก้วมรกตอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า จอมวัด ก็ไม่ผิด

    วัด พระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว

    ท่านฯ ว่า ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาลก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้ แต่จอมไทยคือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้ว ได้ทรงสร้างวัดถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้น

    พระ มหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า (พระพุทธศาสนาก็เป็นจอมพุทธศาสนาที่กรุงเทพฯ นี้)

    ไทยนั้นเป็นเจ้า ขององค์พระแก้วมรกต ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ชาวต่างชาติ จะเป็นฝรั่ง อังกฤษ อเมริกา มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมีสำเร็จมรรคผลได้

    นี้คือบทสนทนาแบบกันเองของครูและศิษย์

    คัดลอกจาก..ปกิณกะธรรมในหนังสือ “รำลึกวันวาน”
    [​IMG]


    เขียนโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ หน้า 141-145

    สวนขลังดอทคอม


     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    หลวงปู่ดู่กล่าวถึงการสวดมนต์


    [​IMG]

    ๑. หลวงปู่กล่าวรับรองว่าบทสวดมนต์แต่ละบท ๆ ในเจ็ดตำนานก็ดี ๑๒ ตำนานก็ดี ท่านว่าท่านเคยได้พิจารณาโดยตลอดแล้ว พบว่าดีทั้งนั้น ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทุก ๆ บทเลยทีเดียว

    ๒. บทไตรสรณาคมน์นั้น (พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ) ท่านว่า “สวดครั้งหนึ่ง (ด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาและเป็นสมาธิ) มีอานิสงส์ไปถึง ๕ กัลป์เชียว”

    ๓. สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าตนประสบเคราะห์นั้นท่านแนะให้สวดอิติปิโสฯ (บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) เท่าอายุบวกหนึ่ง

    ๔. บางครั้ง ผู้ที่เขามาคอยรับส่วนบุญ เขามีเวลาน้อย (อาจขออนุญาตผู้คุมมาได้เดี๋ยวเดียว) หรืออยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีเวลาน้อย หรือจะด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี หลวงปู่จึงได้มีบทแผ่เมตตาชนิดสั้นแต่มีประสิทธิผลมากคือ “พุทธัง อนันตังฯ”) แทนบทกรวดน้ำ ซึ่งค่อนข้างยาวและกินเวลามากและเหมาะกับการแผ่เมตตาประจำวันหลังสวดมนต์ทำ วัตรมากกว่า

    ๕. บทบูชาพระ (นะโมพุทธายะฯ) หลวงปู่บอกว่า “สวดแล้วรับรองว่าไม่มีจน” ท่านเอามาจากวัดประดู่ทรงธรรม สมัยที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่นั่น และเพื่อให้ลูกศิษย์ไม่มองข้ามความสำคัญ เพราะเหตุที่ได้มาจากหลวงปู่ง่าย ๆ ท่านจึงพุดแบบอมยิ้มไปด้วยว่า “คาถาดี ๆ นี่ อาจารย์สมัยก่อนเขาหวงกันนะ เขาไม่เอามาบอกง่าย ๆ หรอกแก”

    ๖. จุดสำคัญในเวลาสวดมนต์หรืออธิษฐานคาถาใด ๆ ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิ ให้จิตสว่าง ให้จิตมีภาวะตื่น จึงจะมีผลมาก และถือเป็นสร้างความชำนาญในการทำกรรมฐานไปด้วยทุกครั้ง (สำหรับบทสวดมนต์ (ไม่ใช่คาถา) นั้น ถ้ามีโอกาสก็ควรศึกษาคำแปลเพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อธรรมและซาบซึ้งในคุณพระ รัตนตรัย ยิ่ง ๆ ขึ้นไป)

    ๗. สุดท้าย หลวงปู่บอกว่า “สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน” สวดมนต์นานเท่าไรไม่ว่า แต่ภาวนาให้มากกว่าจึงจะถือว่าได้จัดสรรเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    บทพุทธังอนันตัง ฯ


    [​IMG]

    บางท่านอาจเคยสงสัยในเรื่องบทแผ่เมตตาที่หลวงปู่ดู่ท่านแนะนำ คือ พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ว่าทำไม่ไม่เห็นมีเนื้อหาเกี่ยวกับให้สัตว์ทั้งหลายจงพ้นทุกข์ จงมีสุข จงอย่ามีเวรต่อกันและกัน ฯลฯ

    ทั้งนี้ เพราะบทนี้มิใช่บทแผ่เมตตาโดยตรง หากจะเรียกให้ถูกตรง ควรเรียกว่าบทอธิษฐานแผ่เมตตา กล่าวคือเป็นการกล่าวอ้างเอาคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ ในอนันตจักรวาล อันหาประมาณมิได้ มาเป็นทุนในการแผ่เมตตา

    โดยปกติผู้ปฏิบัติกรรมฐาน เมื่อจะเลิกปฏิบัติจะน้อมจิตแผ่เมตตาให้เทพผู้ปกปักรักษา เจ้ากรรมนายเวร บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ญาติมิตรและศัตรู ผีเหย้าผีเรือน พระภูมิเจ้าที่ อีกทั้งเทพ พรหม และสรรพสัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณ ที่มีทุกข์ ขอจงพ้นทุกข์ ที่มีสุขอยู่แล้ว ขอจงมีสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วจึงว่าพุทธังอนันตังฯ

    การเจริญเมตตาเป็นเรื่องสำคัญ นักปฏิบัติบางคนได้สมาธิ รวมทั้งรักษาสมาธิอยู่ได้นานก็เพราะอาศัยการเจริญเมตตานี้แหล่ะ


    ขอขอบคุณบทความและรูปภาพข้างต้นจาก
    สวนขลังดอทคอม

     

แชร์หน้านี้

Loading...