ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เค้าบอกว่าให้ดูก่อน อย่าบอกว่าเก๊ เอ้าก็ดูกันไว้ แล้วก็จำให้ได้ ไปหาเก็บเอาไว้ ของดีนา...

    [​IMG]
    <table style="padding-bottom: 10px;" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td><table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td style="padding: 5px;">[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    <table style="padding-bottom: 10px;" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td><table align="left" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td style="padding: 5px;">[​IMG]

    จากเวบ
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    วันนี้ทุนนิธิฯ ได้ดำเนินกิจกรรมข้างต้นครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว ยกเว้นเครื่องดันอาหารซึ่งคาดว่าเครื่องจะส่งไปยัง รพ.ศรีนครินทร์ในสัปดาห์หน้า โดยผมจะรอการยืนยันจากคุณวรารัตน์อีกครั้ง ว่าเครื่องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ผมถึงจะชำระเงินให้ผู้ขายต่อไป

    และจากยอดบริจาคข้างต้น เกิดความผิดพลาดในการบวกเลขของผมข้างต้นดังนี้

    ยอดรวมบริจาคที่แจ้งไว้เดิมในข้อ 1.
    รวมเป็นงบประมาณบริจาคทั้งสิ้น 57,000.-


    ยอดรวมบริจาคที่ถูกต้อง ต้องแก้ไขตัวเลขเป็นดังนี้
    รวมเป็นงบประมาณบริจาคทั้งสิ้น 62,000.-

    โดยจำนวนเงินที่ขาดไป 5,000.- นี้ ผมและคณะกรรมการทุกคนได้ประชุมกันแล้ว ตกลงที่จะเบิกเงินจำนวนนี้ออกจากบัญชีทุนนิธิฯ อีกครั้ง และมีผลทำให้ยอดบริจาคในเดือนนี้หลังจากปรับปรุงตัวเลขแล้วเป็นเงินเพิ่มขึ้นเป็น 110,300.- (เดิม 105,300.-)แต่เนื่องจากยังคงมีปัจจัยเหลือคืนจากค่าภัตตาหารในวันนี้ 50.- ดังนั้นโดยสรุปคือยอดที่บริจาคจริงสำหรับกิจกรรมในเดือนตุลาคม 2552 นี้ เมื่อหักลบจากปัจจัยเหลือคืนแล้ว เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น 110,250.- (หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นสองร้อยห้าสิบบาทถ้วน)

    ขออนุโมทนาและสาธุบุญกับทุกๆ ท่านที่ได้บริจาคปัจจัยเข้ามาครับส่วนรูปกิจกรรมในวันนี้ คุณโสระและน้องธนพัฒน์จะได้นำมาลงให้ดูกันภายหลังครับ

    นับถือ

    พันวฤทธิ์
    25/10/52


     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2009
  3. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายการทำบุญ ณ โรงพยาบาลสงฆ์

    ประจำเดือนตุลาคม 2552 ครับ

    เริ่มต้นด้วยการจัดภัตรหารสำหรับถวายครับ

    [​IMG]

    และภัตรหาร 4 อย่าง

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    และการบริจาคที่ รพ.สงฆ์ครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    หลังจากนั้นแล้ว ผมก็ไม่ได้ถ่ายภาพครับ

    เนื่องจากรีบไปเรียน มีการนำเสนองาน และสอบย่อยครับ

    เสียดายจริงๆ นะครับ

    ไว้พี่ๆ นำมารูปมาลงต่อครับ

    ขอทุกท่านมีความสุข สมหวัง ดังใจหมายสิ่งดี ไร้โรคาพยาธิ

    ทุกท่านครับ

    สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SDC11798 2.JPG
      SDC11798 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      108.7 KB
      เปิดดู:
      1,140
    • SDC11799 2.JPG
      SDC11799 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      107.1 KB
      เปิดดู:
      119
    • SDC11802 2.JPG
      SDC11802 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      114.4 KB
      เปิดดู:
      107
    • SDC11803 2.JPG
      SDC11803 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      109.8 KB
      เปิดดู:
      1,209
    • SDC11805 2.JPG
      SDC11805 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      114.4 KB
      เปิดดู:
      1,142
    • SDC11806 2.JPG
      SDC11806 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      104.8 KB
      เปิดดู:
      1,159
    • SDC11808 2.JPG
      SDC11808 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      108.8 KB
      เปิดดู:
      1,111
    • SDC11810 2.JPG
      SDC11810 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      110.9 KB
      เปิดดู:
      1,086
    • SDC11811 2.JPG
      SDC11811 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      100 KB
      เปิดดู:
      68
    • SDC11814 2.JPG
      SDC11814 2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      105.7 KB
      เปิดดู:
      1,056
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 ตุลาคม 2009
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <table class="tablebg" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr class="row2"><td valign="top"> <table cellspacing="5" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]

    เปิดปูม ‘ลอยกระทง’ ตามวิถีแห่งวัฒนธรรม

    ใกล้ ถึงวันเพ็ญ เดือน ๑๒ หรือ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ อันเป็นวันลอยกระทงแล้ว ซึ่งปีนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๒

    “ประเพณีลอยกระทง” มีคติความเชื่อที่มาแตกต่างกัน โดยในทางพระพุทธศาสนาเชื่อว่าการลอยกระทงเป็นการทำพิธีเพื่อต้อนรับองค์ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในวันเสด็จจากเทวโลกสู่โลกมนุษย์ ภายหลังจากทรงเทศนาโปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ บ้างก็เชื่อว่าเพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุไว้ในพระจุฬามณี พระเจดีย์บนสวรรค์ บ้างก็ว่าเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทที่ทรงประทับไว้ ณ หาดทรายริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานทีในประเทศอินเดีย รวมถึงลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระแม่คงคาที่ให้ได้อาศัยน้ำกินน้ำใช้ และขออภัยพระแม่คงคาที่ทิ้งสิ่งปฏิกูลต่างๆ ลงในน้ำ

    การลอยกระทงในบ้านเรานั้น มีชื่อเรียกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด อาทิ ที่เชียงใหม่ เรียกว่า ประเพณียี่เป็ง ซึ่งมีการลอยกระทงทั้งในแม่น้ำและจุดประทีปโคมลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วย, ส่วนที่สุโขทัย เรียกว่า ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ, ที่ตาก เรียกว่า ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวง โดยใช้กะลามะพร้าวเป็นกระทง, ที่แม่ฮ่องสอน เรียกว่า ประเพณีลอยกระทงสวรรค์, ที่สมุทรสงคราม เรียกว่า ประเพณีลอยกระทงสายกาบกล้วย, ที่พะเยา เรียกว่า ประเพณียี่เป็ง ลอยโคม กว๊านพะเยา, ที่ลำปาง เรียกว่า ประเพณีล่องสะเปาจาวละกอน ประเพณีลอยประทีปทางน้ำแบบโบราณของทางภาคเหนือ ซึ่ง “สะเปา” ในภาษาเหนือ ก็หมายถึงคำว่า “สำเภา” ในภาษากลางนั่นเอง, ที่พระนครศรีอยุธยา เรียกว่า ประเพณีลอยกระทงตามประทีป ซึ่งเป็นการจำลอง ‘พระราชพิธีชักโคมลอยพระประทีป’ ตามที่ปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุ และที่ฉะเชิงเทรา เรียกว่า ประเพณีลอยกระทง ย้อนเวลา หาวิถีไทย ซึ่งจัดบนพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำบางปะกง เพื่อถ่ายทอดวิถีชีวิตประเพณีแบบไทยโบราณ เป็นต้น


    [​IMG]
    โคมลอยถูกปล่อยเกลื่อนฟ้าในงานประเพณียี่เป็ง จ.เชียงใหม่


    • ทำไมกระทงจึงต้องเป็นรูปดอกบัว

    ใน หนังสือ ‘ตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ หรือตำรับนางนพมาศ’ กล่าวไว้ว่า ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนสิบสอง จะมีพระราชพิธีจองเปรียง ซึ่งเป็นนักขัตฤกษ์ชักโคมลอยโคม นางนพมาศได้ประดิษฐ์โคมลอยเป็นรูปดอกกระมุทบานกลีบรับกับแสงจันทร์ใหญ่ ประมาณเท่ากงระแทะ (กงล้อเกวียน) และเสียบแซมเทียนธูป แลประทีปน้ำมันเปรียงเจือด้วยไขข้อพระโค เมื่อพระร่วงเจ้าทอดพระเนตร ก็ตรัสชมว่างามประหลาดกว่าที่เคยมี แล้วตรัสถามว่านางคิดเช่นไรหรือ

    นางก็กราบบังคมทูลว่า “ข้าพระองค์สำคัญใจคิดเห็นว่า เป็นนักขัตตฤกษ์วันเพ็ญเดือนสิบสอง ปราศจากเมฆมลทิน อัน ว่าดวงดอกชาติโกสุมภ์ประทุมมาลย์มีแต่จะเบ่งบานกลีบรับแสงพระอาทิตย์ ถ้าชาติ อุบลเหล่าใดบานผกาเกษรรับแสงพระจันทร์แล้วก็ได้ชื่อว่า ดอกกระมุท ข้าพระองค์จึ่งทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท ซึ่งบังเกิดมีอยู่ยังนัมมทานที อันเป็นที่บวรพุทธบาทประดิษฐานกับแกะรูปมยุราพนานกวิหคหงษ์ประดับ แลมีประทีปเปรียงเจือด้วยไขข้อพะโคถวายในการทรงพระราชอุทิศครั้งนี้ด้วยจะ ให้ถูกต้องสมกับนัตขัตตฤกษ์ วันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีจองเปรียงโดยพุทธศาสน์ไสยศาสตร์”

    พระ ร่วงเจ้าจึงมีพระราชดำรัสว่า แต่นี้สืบไปเบื้องหน้าโดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตตฤกษ์ วันเพ็ญเดือนสิบสองพระราชพิธีจองเปรียงแล้ว ก็ให้กระทำโคมลอยเป็นรูปดอกกระมุท อุทิศสักการะบูชาพระพุทธบาทนัมมทานที ตราบเท่ากัลปาวสาน


    [​IMG]
    ประเพณีลอยกระทง เผาเทียน เล่นไฟ จ.สุโขทัย


    • นางนพมาศมีตัวตน ?

    จากตำรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์ ทำให้คนไทยเชื่อว่าประเพณีลอยกระทงถือกำเนิดมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัย แต่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ทรงเชื่อว่าหนังสือดังกล่าวเป็นพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๓ ดังความตอนหนึ่งที่ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงพระยาอนุมานราชธน อธิบายเหตุผลข้อพิรุธต่างๆ และสรุปว่า

    “...ประเพณีลอยกระทง จึงหามีในรัฐสุโขทัยไม่ เนื่องจากพิธีลอยกระทงมีพัฒนาการมาจากการบูชาแม่น้ำของรัฐในพื้นที่ราบลุ่ม แม่น้ำ ซึ่งมีพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ นอกจากพิธีลอยกระทงแล้วยังมีอีกมาก และกลายเป็นประเพณีที่สำคัญมากๆ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา...”


    • ลอยกระทงไม่ได้มาจากอินเดีย

    พระยาอนุมานราชธน หรือเสฐียรโกเศศ ปราชญ์เอกของไทย ได้รวบรวมและสอบถามถึงการลอยกระทงในที่ต่างๆ แล้วจึงสันนิษฐานว่า การ ลอยกระทงจะเป็นคติของชน ชาติที่ประกอบกสิกรรม ซึ่งย่อมอาศัยน้ำเป็นสำคัญ เมื่อพืชพรรณธัญชาติงอกงามดี และเป็นเวลาน้ำเจิ่งก็ทำกระทงลอย ไปตามกระแสน้ำไหล เพื่อขอบคุณแม่คงคาหรือเทพเจ้าที่ประทานน้ำมาให้อุดมสมบูรณ์ เหตุนี้จึงได้ลอยกระทงในฤดูกาลน้ำมาก เสร็จแล้วก็เล่นรื่นเริงกันด้วยความยินดี เท่ากับสมโภชการงานที่กระทำว่าได้ลุล่วงรอดมาจนเห็นผลแล้ว ต่อมาเมื่อมนุษย์มีความเจริญแล้ว ความวิตกทุกข์ร้อนเรื่อง เพาะปลูกว่าจะไม่ได้ผลก็น้อยลงไป แต่ก็ยังทำการเซ่นสรวง ตามที่เคยทำมาจนเป็นประเพณี เพียงแต่ต่างก็แก้ให้เข้ากับคติลัทธิทางศาสนาที่ตนนับถือ เช่น มีการทำบุญสุนทานเพิ่มขึ้น เป็นต้น

    ที่ชาวอินเดียในมัธยม ประเทศอธิบายว่าการลอยกระทง เป็นเรื่องบูชาเทวดาที่ตนนับถือไม่จำกัดองค์แน่นอนลงไป ก็เป็นเรื่องที่แก้รูปให้เข้ากับคติศาสนา ที่แท้ก็เป็นเรื่องเซ่นบูชาผีสางเทวดามาแต่ดั้งเดิม ซึ่งเข้าใจว่าเป็นผู้ให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ตนและครอบครัว ที่บอกว่าเป็นพิธีทำเป็นประเพณีสืบมาแต่โบราณนมนานไกล จนไม่ทราบได้ว่ามีขึ้นเมื่อไร ก็แสดงว่าการลอยกระทงเป็นของเก่า จนไม่รู้ต้นเหตุเสียแล้ว


    [​IMG]
    ประเพณีลอยกระทงสายไหลประทีปพันดวง จ.ตาก


    • แต่อินเดียมีการจุดประทีป

    พระยาอนุมานราชธน บอกไว้ว่า การจุดประทีปนี้ทางอินเดียก็มี เรียกว่า พิธีปวลีหรือทีวลี ซึ่งเขาให้ต้นเหตุมีอยู่มากเรื่อง ในหนังสือ Hindu Fasts and Feasts ของ A.C. Muderji กล่าวไว้ในตอนเทศกาลทีวลีหรือทีปมาลิกา ว่า มีเรื่องเป็นต้นเหตุจุดประทีปไว้หลายเรื่อง แต่ว่าเหตุที่แท้จริงอาจเกี่ยวกับการบูชาผีปู่ ย่า ตา ยาย เป็นจำพวกทำพิธีศราทธ์อุทิศผลส่งไปให้ดังนี้ เรื่องก็มาเข้าเค้ากับลอยกระทงในลางลักษณะ

    ส่วนใน หนังสือสังกัปพิธีกรรม โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุเมธ เมธาวิทยากุล ได้กล่าวถึงประเพณีลอยกระทงในอินเดียว่าเป็นประเพณีของพราหมณ์ โดยเฉพาะที่เป็นฮินดู เรียกว่า “ทีปวลี” เป็นเทศกาลแห่งแสงสีที่ยิ่งใหญ่งานหนึ่ง โดยพิธีจะมีขึ้นในวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๑ เป็นการบูชาพระพรหม พระนารายณ์ พระอิศวร และเทพเจ้าอื่นๆ โดยจะมีการจุดประทีปในถ้วยดินเผาในเวลาค่ำคืน บางแห่งก็มีการลอยประทีปในน้ำเพื่อบูชาพระแม่คงคา รวมทั้ง มีการจุดพลุ ประทัด และดอกไม้ไฟนานาชนิด


    [​IMG]
    ประเพณีลอยกระทงสวรรค์ จ.แม่ฮ่องสอน


    • รัชกาลที่ ๕ ทรงเล่าถึงเรื่องลอยกระทง

    ใน ‘พระราชพิธี ๑๒ เดือน’ พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้กล่าวถึงพระราชพิธีจองเปรียง ทรงระบุว่าพระราชพิธีในเดือน ๑๒ ซึ่งมีมาในกฎมณเทียรบาลว่า พิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม นั้น “...มีความแปลกออกไปนิดเดียวแต่ที่ว่าการพิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม และเติม “ลงน้ำ” เข้าอีกคำหนึ่ง...การก็ตรงกันกับลอยกระทง ลางทีจะสมมติว่าลอยโคม...” และทรงกล่าวต่อไปว่า “...การที่ยกโคมขึ้นนั้นตามคำโบราณกล่าวว่า ยกขึ้นเพื่อบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามคือ พระอิศวร พระนารายณ์ พระพรหม การซึ่งว่าบูชาพระเป็นเจ้าทั้งสามนี้เป็นต้นตำราแท้ในเวลาถือไสยศาสตร์ แต่ครั้นเมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงนับถือพระพุทธศาสนาก็กล่าวว่าบูชาพระบรม สารีริกธาตุพระจุฬามณีในดาวดึงสพิภพ และบูชาพระพุทธบาทซึ่งปรากฏอยู่ ณ หาดทรายเรียกว่า นะมะทานที เป็นที่ฝูงนาคทั้งปวงสักการบูชาอยู่...” และทรงระบุต่อไปว่าในเดือนสิบสอง นี้มีการลอยพระประทีปด้วย

    โดยทรงอธิบายว่า “...การ ลอยพระประทีป ลอยกระทงนี้ เป็นนักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วไป ไม่เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ได้มีพิธีสงฆ์พิธีพราหมณ์อันใดเกี่ยวเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น

    ส่วนเทียนที่จุดในพระราชพิธีจองเปรียงนั้น ทรงกล่าวไว้ว่า “...แต่ ถึงว่าโคมชัยที่อ้างว่าบูชาพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธบาทดังนี้แล้ว ก็ยังเป็นพิธีของพราหมณ์พวกเดียวคือตั้งแต่เริ่มพระราชพิธี พราหมณ์ก็เข้าพิธีที่โรงพิธีในพระบรมมหาราชวัง และเวลาเช้าถวายน้ำพระมหาสังข์ตลอดจนวันลดโคม เทียนซึ่งจุดในโคมนั้นก็ทาเปรียง คือไขข้อพระโค ซึ่งพราหมณ์นำมาถวายทรงทา การที่บูชากันด้วยน้ำมันไขข้อพระโคนี้ก็เป็นลัทธิพราหมณ์แท้ เป็นธรรมเนียมสืบมาจนแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริว่า การพระราชพิธีทั้งปวงควรจะให้เนื่องด้วยพระพุทธศาสนาทุกๆ พระราชพิธี...”

    นอกจากนั้นในพระราชพิธี ๑๒ เดือน ยังทรงกล่าวถึงกระทงหลวงที่มีมาแต่เดิมนั้นคือเรือรูปสัตว์ต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ ๓ กระทงหลวงสำรับใหญ่ที่ทำถวายนั้น ต่อเป็นถังบ้าง ทำเป็นแพหยวกบ้าง กว้างแปดศอกบ้าง เก้าศอกบ้าง กระทงสูงตลอดยอดสิบศอกสิบเอ็ดศอก ทำประกวดประขันกัน นับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ขนาดใหญ่ที่ลอยน้ำได้ และในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการใช้เรือพระที่นั่งอนันตนาคราชและเรือชัยแทนกระทงใหญ่ ตั้งเทียนขนาดใหญ่และยาวตาม กระทงเรือ ส่วนในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการใช้เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์แทนเรือชัย และยังมีกระทงขนาดใหญ่ที่ตกแต่งอย่างอลังการอีกด้วย แต่ก็ไม่โปรดให้จัดทำทุกปี เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่าตรงกับคำที่ว่าลอยโคมลงน้ำเช่นที่กล่าวมาแล้ว แต่ควรนับได้ว่าเป็นราชประเพณีซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ...”


    [​IMG]
    ประเพณีลอยกระทงสายกาบกล้วย จ.สมุทรสงคราม


    • ทำไมต้องใส่เงินลงในกระทง

    พระยาอนุมานราชธน ได้ให้คำตอบในเรื่องนี้ไว้ว่า

    “...ลอย กระทงของเราในหมู่ราษฎรที่มีเงินปลีกใส่ไปด้วย ก็เห็นจะเป็นเรื่องเซ่นผีสางเทวดา เดิมเห็นจะใช้เบี้ยอย่างที่เรียกว่า เบี้ยบน เหลือเป็นเค้าอยู่ ก่อนนั้นขึ้นไปเห็นจะมีอาหารและข้าวของใส่ลงไปในกระทงด้วย อย่างที่ภาคพายัพและภาคอีสานยังทำกัน หากของเราเป็นกระทงขนาดเล็ก ไม่ใช่เป็นกระทงขนาดใหญ่ จึงได้เปลี่ยนเป็นใส่เงินปลีกแทน ส่วนกระทงใหญ่มีแต่ของหลวง แต่ก็ไม่ปรากฏว่าใส่อะไร และก็เลิกไปนานแล้ว ชาวบ้านอำเภอศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ซึ่งส่วนมากเป็นพวกลาวพวน มีอาหารคาวหวานและผลไม้ต่างๆ ทำรวมกันทั้งหมู่บ้าน บรรจุลงในแพหยวกแล้วปล่อยไปในวันเพ็ญเดือน ๑๒ นอกนี้ในแพยังมีธูปเทียนและสตางค์ แล้วแต่จะใส่ไป นี่เห็นจะเพิ่มเติมทีหลัง...”

    [​IMG]
    ประเพณีล่องสะเปาจาวละกอน จ.ลำปาง


    • ลอยกระทงจากยุคโบราณสู่ยุคไซเบอร์

    จากกระทง สมัยโบราณที่ทำด้วยวัสดุธรรมชาติ เช่น หยวกกล้วย ใบตอง เป็นต้น ก็เริ่มหันมาสู่การใช้โฟมและกระดาษมากขึ้น แต่โฟมย่อยสลายตามธรรมชาติได้ยากจึงเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม หน่วยงานต่างๆ จึงออกมาช่วยกันรณรงค์ให้ใช้วัสดุธรรมชาติทำกระทงแทนโฟม ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีผู้คิดค้นวัสดุต่างๆ ที่ย่อยสลายง่ายมาทำกระทงในปัจจุบัน เช่น กระทงที่ทำมาจากเทียนหอม, กระทงที่ทำมาจากแป้งมันสำปะหลัง และกระทงที่ทำมาจากขนมปัง ฯลฯ โดยเฉพาะกระทงที่ทำมาจากขนมปังนั้น กล่าวกันว่านอกจากใช้เป็นสิ่งบูชาแล้ว ยังเป็นทานสำหรับสัตว์น้ำได้อีกด้วย

    และเมื่อโลกก้าวสู่ยุคไซ เบอร์ที่คอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทอย่างมากในสังคม ก็ได้มีการนำการลอยกระทงมาสู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เรียกกันว่า “ลอยกระทงออนไลน์” โดยจัดทำทุกอย่างเหมือนกับการไปลอยกระทงยังสถานที่จริง นับตั้งแต่การเลือกประดิษฐ์กระทงที่ต้องการ แล้วเริ่มจุดธูปเทียน (มีควันลอยเหมือนจริง) เขียนคำอธิษฐาน รวมถึงการเลือกสถานที่ที่ต้องการลอย เช่น แม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณวัดพระแก้ว, ที่จังหวัดสุโขทัย หรือที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นต้น เพียงแค่คลิ๊กเมาท์ไม่กี่ครั้ง กระทงก็จะเริ่มลอยไปยังสถานที่ที่ต้องการภายในเวลาไม่ถึงนาที

    [​IMG]
    ประเพณียี่เป็ง ลอยโคม กว๊านพะเยา จ.พะเยา


    • วิธีลอยกระทงตามจารีตพุทธ

    ศาสตราจารย์ (เกียรติคุณ) ดร.อภิณัฏฐ์ กิติพันธุ์ จาก ชมรมชีวานุภาพ ได้บอกถึงวิธีลอยกระทงตามจารีตแห่งพุทธว่า “วันนี้เป็นวันน้ำสมบูรณ์ที่สุด พระจันทร์สวยที่สุด ในฝั่งไทย ควรตั้งใจบูชาพระพุทธเจ้าอย่างเต็มที่ เพราะบางทีน้ำทุกสายขยายไปทับวัด ในน้ำอาจจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เช่น พระพุทธรูป พระธาตุ พระบาท พระเจดีย์อยู่ ขณะที่ลอยต้องทำกาย วาจา ใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด อย่างน้อยถือศีล ๕ ตั้งใจให้อิ่มเต็มในกุศลเหมือนน้ำที่เต็มฝั่ง คนโบราณใช้วันนี้เป็นวันที่เรียกว่าส่งท้ายขอขมา แต่ไม่ได้ขอขมาแต่เพียงพระแม่คงคา แต่ขอขมาในนัยพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันเราได้เคยล่วงเกินมา ขอให้น้ำนี้ได้ช่วยนำขอขมาทั้งหมด เพราะกระทงล่องไปผ่านวัดริมน้ำทั้งหมด แปลว่าเราไหว้ทุกวัดแล้วนะ เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นวันที่รื่นเริงในธรรมเบิกบานในบุญ ไม่ได้หมายความว่าเราจะเอาอกุศลมาเติมกับตัวเอง”

    [​IMG]
    ประเพณีลอยกระทงตามประทีป จ.พระนครศรีอยุธยา


    • อธิษฐานอย่างไรดี

    ดร.อภิ ณัฏฐ์ ได้บอกถึงวิธีอธิษฐานโดยย่อดังนี้ “ตั้งนโม ๓ จบเสร็จแล้วบอกว่าพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา พุทธบูชามหาเตชวันโต ข้าพเจ้าขอบูชาคุณพระพุทธด้วยเครื่องสักการะนี้ ในการบูชานี้ขอให้ข้าพเจ้าอุดมด้วยเดชเดชะ ธรรมบูชามหาปัญโญ ข้าพเจ้าขอบูชาพระธรรมเจ้าด้วยเครื่องสักการะนี้ ด้วยการบูชาครั้งนี้ขอให้ข้าพเจ้าอุดมด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่ สังฆบูชามหาเตชวโห ด้วยการบูชาพระสังฆเจ้าด้วยเครื่องบูชานี้ ขอให้ข้าพเจ้าจงอุดมด้วยโภคสมบัติ แล้วบอกว่าข้าพเจ้าชื่อเรียงเสียงอะไร อยู่บ้านที่ไหน ได้อาศัยอยู่บนพื้นแผ่นดินพระแม่ธรณี อันจะกลับไปสู่แผ่นพระแม่ธรณีเช่นเดิม หล่อเลี้ยงชีวิตให้ชุ่มชื่นด้วยพระแม่คงคา ด้วยคุณน้ำคุณนทีมีความอบอุ่น เพราะอาหารอันทำให้เกิดความอบอุ่นแห่งไฟในร่างกายเคลื่อนไหวได้ด้วยธาตุลม ขอเอาทั้งหมดมาประชุมกันเพื่อเป็นเครื่องบูชาในวันนี้ อาศัยเอาท่าน้ำสายน้ำนี้เป็นเครื่องบูชาความบริบูรณ์ของพระพุทธเจ้า มีวิชาและจารณะเป็นต้น

    วันนี้ ข้าพเจ้าบูชาแล้วซึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในโอกาสวันเพ็ญเดือน ๑๒ ขออวิชชาทั้งปวง กิเลสทั้งหลายของข้าพเจ้าจงบรรเทาหายหมดไป ขอปัญญาข้าพเจ้ารุ่งเรืองผ่องใสดุจพระจันทร์ในวันเพ็ญเดือน ๑๒ นี้เถิด แล้วก็ตั้งใจวางลงไปด้วยความเคารพนบนอบบูชา พอลอยไปเสร็จแล้ว ก็บอกว่าข้าพเจ้าขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงในสายน้ำนทีนี้ และที่ใดๆ ก็ตามที่ข้าพเจ้าได้เคยข้ามได้เคยเหยียบได้เคยใช้ ล่วงล้ำก้ำเกิน จะเป็นด้วยกายวาจาใจก็ดี ทั้งนี้เพราะว่าข้าพเจ้ารู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่มีปัญญาลึกซึ้ง ข้าพเจ้าขอขมาในสิ่งนี้ด้วย แล้วกลับบ้านไปไหว้พระสวดมนต์นั่งสมาธิจิตใจผ่องใส จะทำแบบนี้ก็ได้ หรืออาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือมีจารีตที่เคยกระทำมา ก็ไม่ว่ากัน”

    [​IMG]
    ประเพณีลอยกระทง ย้อนเวลา หาวิถีไทย จ.ฉะเชิงเทรา


    ลอยกระทงของนานาชาติ

    พม่า ลอยเพื่อบูชาพระอุปคุต พระยานาค ที่อยู่กลางสะดือทะเล แต่ก็ไม่มีการบรรจุอาหารหรือสิ่งของลงไปในกระทง มีต้นเหตุเรื่องลอยกระทงของชาวบ้านเรื่องหนึ่งว่า พระเจ้าธรรมาโศกราชจะทรงสร้างพระเจดีย์ ๘๔,๐๐๐ แต่ถูกพระยามารคุกคามทำลายพระเจดีย์เหล่านั้น พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงทรงขอร้องพระอุปโคต พระยานาค ให้ช่วยจับพระยามารด้วย พระอุปคุตจึงจัดการปราบพระยามารเป็นผลสำเร็จ แต่นั้นมาราษฎรจึงทำพิธีลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระอุปโคต พระยานาค สืบมาทุกปี

    กัมพูชา มีการลอยสองครั้ง คือ ลอยกระทงของหลวงกลางเดือน ๑๑ ส่วนราษฎรก็ทำกระทงเล็กและบรรจุอาหารไปด้วย แต่ไม่มีเสื้อผ้าหรือของอื่น ส่วนกลางเดือน ๑๒ จะมีกระทงของหลวงเป็นกระทงใหญ่ ราษฎรจะไม่ได้ทำ และกระทงนี้จะมีอาหารบรรจุลงไปด้วย โดยมีคติว่าเพื่อส่งส่วนบุญไปให้เปรต

    อินเดีย เป็นเรื่องที่มีมาแต่ดึกดำบรรพ์จนไม่ทราบสาเหตุ จึงเป็นเพียงการปฏิบัติสืบกันมาเป็นประเพณี เป็นเรื่องบูชาพระเป็นเจ้าหรือเทวดาที่ตนนับถือเท่านั้น สิ่งของที่บรรจุในกระทงจึงมีแต่ประทีปและดอกไม้บูชามากกว่าอย่างอื่น การลอยไม่มีการกำหนดเป็นฤดูกาลแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นหากอยู่ในที่ดอนก็จะนำกระทงไปวางบนดินเฉยๆ ก็มี

    [​IMG]

    ลาว เป็นการบูชาแม่น้ำด้วยการลอยประทีปและไหลเรือไฟ โดยเชื่อว่าเป็นการบูชาคุณแห่งแม่น้ำโขงที่เลี้ยงดูมา และเพื่อบูชาพระพุทธเจ้าซึ่งเสด็จกลับมาจากการเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์

    จีน ประเทศจีนทางตอนเหนือในหน้าน้ำ น้ำท่วมเสมอ บางปีไหลแรงมากจนทำให้มีคนจมน้ำตายนับจำนวนเป็นแสนๆ ประเทศจีนจึงมักมีการลอยกระทงในช่วงเดือนเจ็ด (ตามปฏิทินจีน) เพราะเชื่อกันว่าเป็นเดือนแห่งวิญญาณ มีการจุดประทีปโคมไฟลอยน้ำ เพื่อเป็นไฟนำทางแก่วิญญาณเร่ร่อน เพื่อมุ่งไปสู่การเดินทางของจิตวิญญาณไปยังปรโลก ในกระทงจะจุดโคมและมีอาหารบรรจุเพื่อเป็นทานแก่ดวงวิญญาณ

    นอก จากนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเวียดนาม เกาหลี หรือญี่ปุ่น ก็มีพิธีกรรมในการขอขมาและลอยทุกข์ลงในน้ำเช่นกัน โดยสันนิษฐานกันว่าต้นแบบของความเชื่อนี้มาจากศาสนาพุทธแบบมหายานที่แพร่ หลายไปจากประเทศจีน


    [​IMG]
    </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr class="row2"> <td class="profile" align="center">
    </td><td height="22">[​IMG]
    </td> </tr> <tr> <td class="setcek" colspan="2" height="20">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table class="tablebg" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr class="row1"> <td class="profile" align="center">
    </td> <td height="25" width="100%">
    </td></tr><tr class="row1"><td class="profile" valign="top">
    </td> <td valign="top"> <table cellspacing="5" width="100%"> <tbody><tr> <td> จะใช้อะไรทำ “กระทง” มีทางเลือกไหน...ถ้าไม่ลอยโฟม

    ปัจจุบันก็มีกระทงทางเลือกมากมายที่ไม่กลายเป็นขยะย่อยสลายยากเหมือนกระทงโฟม อาทิ กระทงแป้งมันสำปะหลัง กระทงขนมปัง กระทงดอกบัว กระทงใบตอง กระทงกะลา กระทงหยวกกล้วย และกระทงอีกมากมายตามแต่ความคิดสร้างสรรค์จะรังสรรค์ออกมา นับเป็นโชคดีของคนรักสิ่งแวดล้อมในยุคนี้

    [​IMG]
    กระทงมันสำปะหลัง

    [​IMG]
    กระทงขนมปัง

    [​IMG]
    กระทงดอกบัว

    [​IMG]
    กระทงกะลา

    [​IMG]
    กระทงกาบกล้วย

    [​IMG]
    กระทงใบพารา

    [​IMG]
    กระทงลอตเตอรี

    [​IMG]
    กระทงใบตอง
    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
    [​IMG]
    ทางเดินสายคลาสสิคสู่ “พระมณฑปพระพุทธบาท”
    วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี



    การลอยกระทงในเมืองไทยมีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย เรียกว่า การลอยพระประทีป หรือ ลอยโคม เป็นงานนักขัตฤกษ์รื่นเริงของประชาชนทั่วไป ต่อมานางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์สนมเอกของพระร่วง ได้คิดประดิษฐ์ดัดแปลงเป็นรูปกระทงดอกบัวแทนการลอยโคม การลอยกระทงหรือลอยโคมในสมัยนางนพมาศ กระทำเพื่อเป็นการสักการะรอยพระพุทธบาทที่แม่น้ำนัมมทานที ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่ในแค้วนทักขิณาบถของประเทศอินเดีย ปัจจุบันเรียกว่า แม่น้ำเนรพุททา

    [​IMG]

    การลอยกระทงเพื่อบูชารอยพระพุทธบาท

    รอย พระพุทธบาทของพระพุทธเจ้า ที่ไปปรากฏอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ คือ ครั้งหนึ่งพญานาคทูลอาราธนาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เสด็จไปแสดงธรรมโปรดในนาคพิภพ เมื่อพระองค์จะเสด็จกลับ พญานาคทูลขออนุสาวรีย์ไว้กราบไหว้บูชา พระพุทธองค์จึงทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทไว้ที่หาดทราย ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที เพื่อให้บรรดานาคทั้งหลายได้สักการบูชา

    การลอยกระทงที่มีความเป็นมาเกี่ยวข้องกับพุทธประวัติ ยังมีอีก 2 เรื่อง คือ

    1. การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณีบนสวรรค์ และ

    2. การลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธองค์ในวันที่เสด็จกลับจากเทวโลก


    [​IMG]

    ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี

    เมื่อครั้งที่ เจ้าชายสิทธัตถะ เสด็จออกจากพระนครกบิลพัสดุ์ในเวลากลางคืนด้วยม้ากัณฐกะ พร้อมนายฉันทะมหาดเล็กผู้ตามเสด็จ ครั้นรุ่งอรุณก็ถึงฝั่งแม่น้ำอโนมานที เจ้าชายทรงขับม้ากัณฐกะกระโจนข้ามแม่น้ำไปโดยสวัสดี เมื่อทรงทราบว่าพ้นเขตกรุงกบิลพัสดุ์แล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงเสด็จลงประทับเหนือหาดทรายขาวสะอาด ตรัสให้นายฉันทะนำเครื่องประดับและม้ากัณฐกะกลับพระนคร ทรงตั้งพระทัยปรารภจะบรรพชา โดยเปล่งวาจา “สาธุ โข ปพฺพชฺชา” แล้ว จึงทรงจับพระเมาลีด้วยพระหัตถ์ซ้าย พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ตัดพระเมาลี แล้วโยนขึ้นไปบนอากาศ พระอินทร์ได้นำผอบทองมารองรับพระเมาลีไว้ และนำไปบรรจุยังพระจุฬามณีเจดียสถานในเทวโลก

    พระจุฬามณีตามปกติมี เทวดาเหาะมาบูชาเป็นประจำแม้พระศรีอริยเมตไตรยเทวโพธิสัตว์ซึ่งในอนาคต จะมาจุติบนโลกและตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งก็ยังเสด็จมาไหว้ การลอยกระทงเพื่อบูชาพระจุฬามณี จึงถือเป็นการไหว้บูชาพระศรีอริยไตรยด้วย


    [​IMG]

    ตำนานการลอยกระทงเพื่อต้อนรับพระพุทธเจ้าเสด็จกลับจากเทวโลก

    เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวชจนได้บรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หลังจากเผยพระธรรมคำสั่งสอนแก่สาธุชนโดยทั่วไปได้ระยะหนึ่ง จึงเสด็จไปจำพรรษาอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อทรงเทศนาธรรมโปรดพระพุทธมารดา ครั้งจำพรรษาจนครบ 3 เดือน พระองค์จึงเสด็จกลับลงสู่โลกมนุษย์ เมื่อท้าวสักกเทวราชทราบพุทธประสงค์ จึงเนรมิตบันไดทิพย์ขึ้น อันมี บันไดทอง บันไดเงิน และบันไดแก้ว ทอดลงสู่ประตูเมืองสังกัสสนคร บันไดแก้วนั้นเป็นที่ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จลง บันไดทองเป็นที่สำหรับเทพยดาทั้งหลายตามส่งเสด็จ บันไดเงินสำหรับพรหมทั้งหลายส่งเสด็จ

    ในการเสด็จลงสู่โลกมนุษย์ครั้ง นี้ เหล่าทวยเทพและประชาชนทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันทำ การสักการบูชาด้วยทิพย์บุปผามาลัย การลอยกระทงตามคตินี้ จึงเป็นการรับเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากดาวดึงส์พิภพ (เป็นตำนานเดียวกับประเพณีการตักบาตรเทโวรับเสด็จพระพุทธองค์ลงจากดาวดึงส์)


    [​IMG]

    การลอยกระทงเพื่อบูชาพระนารายณ์บรรทมสินธุ์

    ยังมีพิธีการลอยกระทงตามคติพราหมณ์อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งกระทำเพื่อบูชาพระผู้เป็นเจ้า คือ พระนารายณ์ที่บรรทมสินธุ์อยู่ในมหาสมุทร นิยมทำกันในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 หรือ วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เป็น 2 ระยะ จะทำในกำหนดใดก็ได้

    ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม

    นิทานต้นเหตุเกี่ยวกับอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นนิทานชาวบ้าน กล่าวถึงเมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ มีกาเผือกสองตัวผัวเมียทำรังอยู่บนต้นไม้ในป่าหิมพานต์ใกล้ฝั่งแม่น้ำ วันหนึ่งกาตัวผู้ออกไปหากินแล้วหลงทางกลับรังไม่ได้ ปล่อยให้นางกาตัวเมียซึ่งกกไข่อยู่ 5 ฟองรอด้วยความกระวนกระวายใจ จนมีพายุใหญ่พัดรังกระจัดกระจาย ฟองไข่ตกลงน้ำ แม่กาถูกลมพัดไปทางหนึ่ง

    [​IMG]

    เมื่อ แม่กาย้อนกลับมามีรังไม่พบฟองไข่ จึงร้องไห้จนขาดใจตาย ไปเกิดเป็นท้าวพกาพรหมอยู่ในพรหมโลก ฟองไข่ทั้ง 5 นั้นลอยน้ำไปในสถานที่ต่างๆ บรรดาแม่ไก่ แม่นาค แม่เต่า แม่โคและแม่ราชสีห์ มาพบเข้า จึงนำไปรักษาไว้ตัวละ 1 ฟอง ครั้งถึงกำหนดฟักกลับกลายเป็นมนุษย์ทั้งหมดไม่มีฟองไหนเกิดมาเป็นลูกกาตาม ชาติกำเนิดเลย กุมารทั้ง 5 ต่างเห็นโทษภัยในการเป็นฆราวาสและเห็นอานิสงส์ในการบรรพชา จึงลามารดาเลี้ยงไปบวชเป็นฤาษีทั้ง 5 ได้มีโอกาสพบปะกันและถามถึงนามวงศ์และมารดาของกันและกัน จึงทราบว่าเป็นพี่น้องกัน ฤาษีทั้ง 5 มีนามดังนี้


    คนแรก ชื่อ กกุสันโธ (วงศ์ไก่)
    คนที่สอง ชื่อ โกนาคมโน (วงศ์นาค)
    คนที่สาม ชื่อ กัสสโป (วงศ์เต่า)
    คนที่สี่ ชื่อ โคตโม (วงศ์โค)
    คนที่ห้า ชื่อ เมตเตยโย (วงศ์ราชสีห์)

    ต่าง ตั้งจิตอธิษฐาน ว่าถ้าต่อไปจะได้ไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ร้อนไปถึงมารดา ด้วยแรงอธิษฐาน ท้าวพกาพรหมจึงเสด็จมาจากเทวโลก จำแลงองค์เป็นกาเผือก แล้วเล่าเรื่องราวแต่ทนหลังให้ฟัง พร้อมบอกว่าถ้าคิดถึงมารดา เมื่อถึงเพ็ญเดือน 11 เดือน 12 ให้เอาด้ายดิบผูกไม้ตีนกา ปักธูปเทียนบูชาลอยกระทงในแม่น้ำ ทำอย่างนี้เรียกว่าคิดถึงมารดา แล้วท้าวพกาพรหมก็ลากลับไป

    [​IMG]
    ‘รอยพระพุทธบาท’ ภายในพระมณฑปพระพุทธบาท
    วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี



    ตั้งแต่นั้นมา จึงมีการลอยกระทงเพื่อบูชาท้าวพกาพรหม แล้วเพื่อบูชารอยพระบาท ซึ่งประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนัมมทานที ส่วนฤาษีทั้ง 5 ต่อมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ดังนี้

    ฤาษีองค์แรก กกุสันโธ ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกกุสันโธ

    ฤาษีองค์ที่สอง โกนาคมโน ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระโกนาคมน์

    ฤาษีองค์ที่สาม กัสสโป ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระกัสสปะ

    ฤาษีองค์ที่สี่ โคตโม ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระสมณโคดม

    ฤาษีองค์ที่ห้า เมตเตยโย ได้แก่ พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระศรีอาริยเมตไตรย

    พระพุทธเจ้า 3 พระองค์แรก ได้มาบังเกิดบนโลกแล้วในอดีตกาล พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 4 คือ พระสมณโคดม พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 คือ พระพุทธเจ้าที่จะมาบังเกิดบนโลกในอนาคต ได้แก่ พระศรีอาริยเมตไตรย

    ตำนานการลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์

    การลอยกระทงเพื่อบูชาพระอุปคุตต์นี้ เป็นประเพณีของชาวเหนือและชาวพม่า พระอุปคุตต์ เป็นพระอรหันต์เถระหลังสมัยพุทธกาล โดยมีตำนานความเป็นมาดังนี้

    เมื่อ พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงมีพระราชศรัทธาในพระพุทธศาสนา ได้โปรดให้สร้างพระสถูปเจดีย์และพุทธวิหารขึ้นทั่วชมพูทวีป มหาวิหารที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ “อโศการาม” ซึ่งตั้งอยู่ในเขตแคว้นมคธ หลังจากที่สร้างพระสถูปเจดีย์ถึง 84,000 องค์สำเร็จแล้ว พระเจ้าอโศกทรงมีพระราชประสงค์จะนำพระบรมสารีริกธาตุของสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปบรรจุในในพระสถูปต่างๆ และบรรจุในพระมหาสถูปองค์ใหญ่ที่สร้างขึ้นใหม่มีความสูงประมาณครึ่งโยชน์ และประดับประดาด้วยแก้วต่างๆ ประดิษฐานอยู่ริมฝั่งแม่น้ำคงคาให้ปาฎลีบุตร อีกทั้งต้องการให้มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เป็นเวลา 7 ปี 7 เดือน 7 วัน


    [​IMG]
    รูปหล่อพระอุปคุตต์


    แต่ด้วยเกรงว่าพญามารจะมาทำลายพิธีฉลอง มีเพียงพระอุปคุตต์ที่ไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลเพียงท่านเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถปราบพญามารได้ เมื่อพระอุปคุตต์ปราบพญามารจนสำนึกตัวหันมายึดเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง แล้ว พระอุปคุตต์จึงลงไปจำศีลอยู่ในสะดือทะเลตามเดิม

    พระอุปคุตต์นี้ ไทยเรียกว่า พระบัวเข็ม ชาวไทยเหนือหรือชาวอีสานและชาวพม่านับถือพระอุปคุตต์มาก ชาวพม่าไม่ว่าจะมีงานอะไรเป็นต้องนิมนต์มาเช้าพิธีด้วยเสมอ ไทยเราใช้บูชาในพิธีขอฝนหรือพิธีมงคล ฯลฯ


    <!-- m -->http://www.lib.ru.ac.th/journal/nov/nov ... hong1.html
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]

    วิถีบุญ วิถีธรรม : ลอยกระทง...อธิษฐานอะไรดี

    คำบูชากล่าวก่อนลอยกระทง

    อะ หัง อิมินา ปะทีเปนะ อะสุกายะ นัมมะทายะ นะทิยา ปุลิเน ฐิตัง มุนิโน ปาทะวะลัญชัง อะภิปูชะยามิอะยัง ปะทีเปนะ มุนิโน ปาทะวะลัญชัง ปูชา มัยหัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ สังวัตตะตุ

    (จะกล่าวเฉพาะคำแปลก็ได้)

    ข้าพเจ้า ขอน้อมบูชา รอยพระพุทธบาท ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งประดิษฐานอยู่ ณ หาดทรายริมแม่น้ำนัมมทา โน้น ด้วยประทีปนี้ขอให้การบูชารอยพระพุทธบาทนี้ จงเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลเพื่อความสุขแก่ข้าพเจ้า ตลอดกาลนานเทอญ
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <big><big> <!--Topic-->ประมวลภาพ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จประทับรถเข็นสักการะรูปหล่อร.5-สมเด็จย่า ปชช.ปลาบปลื้มปีติ

    </big></big>
    ทรงพระเจริญ ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ ฯ

    <!--MsgFile=0-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td><td rowspan="2" bgcolor="#000000" valign="top"><table bgcolor="#204080" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td colspan="2" align="left" bgcolor="#000000"><table bgcolor="#204080" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td width="10">[SIZE=-3] [/SIZE]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>

    2. <!--MsgFile=1--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>


    <!--MsgFile=10-->
    <center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>

    ปลื้มปิติหาที่เปรียบมิได้ <!--MsgFile=11--><center><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td><table bgcolor="#222244" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td>[​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></center>

    ดูต่อเพิ่มเติมที่
    http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P8465695/P8465695.html
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ในหลวงจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล!!
    "ครูบาอาจารย์"กับ"ในหลวง"

    จาก การที่ได้หาโอกาสศึกษาและมีวาสนาได้กราบไหว้ใกล้ชิด พระอัจฉริยเถราจารย์ผู้ทรงคุณธรรมเบื้องสูงจำนวนมาก ตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ทำให้ได้รับการบอกกล่าวถึงเรื่องอันพิเศษๆเป็นอันมาก ที่นอกเหนือจากสามัญมนุษย์ทั่วไป ซึ่งไร้ซึ่งญาณปรีชาจะพึงทราบชัดให้ถูกถ้วนตามความเป็นจริงได้เป็นอันเอนก ปริยาย ดังที่ได้นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะและความรู้รอบตัวต่างๆเป็นธรรม วิทยาทานมาโดยลำดับ ความย่อมเป็นที่แจ้งใจอยู่โดยทั่วไปแล้วนั้น

    บัด นี้ เป็นกาลอันสมควรแล้ว ที่จะได้นำเอาเรื่องราวที่บรรดาพระอริยคณาจารย์ทั้งหลาย ที่ได้เคยกล่าวถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมา แสดง เพื่อน้อมถวายความจงรักภักดีแด่พระมหาธรรมราชา ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐแห่งประชาชาติไทยพระองค์นั้น และเพื่อยังความเป็นสวัสดิมงคลอันยิ่งให้บังเกิดขึ้นแก่แผ่นดินและมหาชน ทั้งหลายสืบไปตราบชั่วจิรัฏฐิติกาล...

    [​IMG]

    "ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ..!!!!"
    พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต(ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ)วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพมหานคร

    [​IMG]

    สำหรับปฐมเหตุที่ทำให้ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯกล่าวความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือนญาติโยมบางรายที่ไปนมัสการว่า
    "การ ที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูป ในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้น ไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ..!!?!"


    [​IMG]

    และ ความเป็น"พระโพธิสัตว์"ของในหลวงนั้น ก็เป็นถึงระดับ"นิยตโพธิสัตว์"ผู้เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้อง หน้าโน้นอย่างแท้จริงด้วย สมจริงดังที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองทีเดียวว่า
    "ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ..!!!!!"

    [​IMG]


    ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้ว ฯ
    ในลำดับ นั้น อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวนี้ก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอัน มาก จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ในอนาคตกาลพระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น มีพระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับ มีประการต่างๆ ด้วยพระพุทธานุภาพ ฝูงมนุษย์ทั้งหลายในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำซึ่งกสิกรรม วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประพฤติเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายมีความผาสุกสบาย ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลกฯ สมเด็จ พระสุมงคลทศพลญาณเจ้า ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ ฯ อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง พระองค์กระทำมาแต่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดอย่างเอกอุดมทาน ฯ

    ดูก่อนสำแดงสารี บุตร แต่กาลก่อนล่วงลับไปแล้วช้านาน ช้าง ปาลิไลยตัวนี้เป็นพระบรมโพธิสัตว์ บังเกิดเป็นสมเด็จพระบรมจักรพรรตราธิราช ทรงพระนามว่าพระเจ้ามหาปนาทบรมจักร ในภัทรกัปป์อันนี้ และมีแก้ว
    ๗ ประการคือ จักรแก้ว ๑ นางแก้ว ๑ แก้วมณีโชติ ๑ ช้างแก้ว ๑ ม้าแก้ว ๑ ปรินายกแก้ว ๑ คฤหบดีแก้ว ๑

    สมเด็จ พระเจ้ามหาปนาทบรมจักร ได้เสวยศิริราชสมบัติอยู่ในทวีปทั้ง ๔ มีทวีปน้อย ๒ พันเป็นบริวาร พระองค์ทรงพระสำราญอบู่เป็นปรกติ มาจนถึงกาลสมเด็จพระกุกกุสันธสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดในโลก กาลครั้งนั้นสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทบรมจักรได้ทรงทราบว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าได้ตรัสในโลกแล้ว

    จึงตรัสประกาศสั่งจักรแก้วว่า ดูก่อนจักรแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปยังท้องพระมหาสมุทรถือเอาซึ่งดวงแก้วมณีมาให้แก่เรา จักรแก้วนั้นก็ไปยังท้องพระมหาสมุทร ดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ นำเอาแก้วมณีมาถวาย ฯ

    แล้วอยู่มาภายหลังพระองค์จึงตรัสสั่งช้างแก้ว ว่า ดูก่อนช้างแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปที่ฉัตรทันต์สระ แล้วพาช้างแก้วมาให้แก่เราฯ ครั้งนั้นช้างแก้วก็เหาะไปยังฉัตรทันต์สระ พาเอาช้างชาติฉัตรทันต์ทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นมาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์ จึงตรัสสั่งกับม้าแก้วว่า ดูก่อนม้าแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปยังท่าสินธพนที แล้วพาม้าแก้วทั้งหลายมาให้แก่เรา ม้าแก้วนั้นก็เหาะไปในอากาศ ถึงริมฝั่งสินธพนที แล้วพาม้าแก้วมาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์จึงตรัสสั่ง นางแก้วพระราชมเหสีนั้นว่า ภทฺเท ดูก่อนเจ้าผู้มีพักตร์อันเจริญ เจ้าจงไปยังแว่นแคว้นอุดรกุรุทวีปพานางแก้วทั้งหลายมาให้แก่เรา ฯ ขณะนั้นนางแก้วผู้เป็นพระราชมเหสีก็เหาะไปยังอุดรกุรุทวีป พาเอานางแก้วทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นมาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์จึงตรัสสั่ง แก้วมณีโชติว่า ดูก่อนแก้วมณีโชติผู้เจริญ ท่านจงไปยังเขาวิบุลบรรพต นำเอาแก้วมณีมาให้แก่เรา ฯ อันว่าแก้วมณีโชติก็เลื่อนลอยไปยังเขาวิบุลบรรพตพาเอาแก้วมณีทั้งหลายประมาณ ๘ หมื่นดวงมาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์ตรัสสั่งปรินายกขุนพลแก้วของพระองค์ ว่า ดูก่อนปรินายกแก้วผู้เจริญ ท่านจงไปยังอุดรกุรุทวีป และอมรโคยานทวีป และบุพพวิเทหทวีป ทั้ง ๓ ถอดเอาดวงแก้วในยอดเขากัมพูฉัตรมาให้แก่เรา ฯ ฝ่ายขุนพลแก้วผู้เป็นปรินายกรับพระราชโองการแล้ว ก็เหาะไปยังทวีปทั้ง ๓ จึงถอดเอาดวงแก้วมณีที่ยอดเศวตฉัตรแห่งมหากษัตริย์ผู้เสวยศิริราชสมบัติใน ทวีปทั้ง ๓ มาถวาย ฯ

    แล้วพระองค์ก็ตรัสสั่งคฤหบดีแก้วผู้เป็นขุนคลัง ว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว ท่านจงไปในโสฬสมหานครใหญ่ทั้ง ๑๖ เมืองนั้น นำเอาดวงแก้วมณีมาให้แก่เรา ฯ คฤหบดีแก้วก็เหาะไปในโสฬสมหานคร ครั้นถึงแล้วได้ทัศนาการเห็นสมเด็จพระพุทธกุกกุสนธสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จยับยั้งอยู่ในพระวิหารในกาลนั้น คฤหบดีแก้วก็มิได้รู้จักซึ่งสมเด็จพระกุกกุสนธเจ้า ว่าเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทโธ จึงเข้าไปยังสำนักกุกกุสนธเจ้าแล้วถามว่า มณว ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ตัวท่านนี้มีนามชื่อไร จึงมีรูปโฉมงามบริสุทธิ์เป็นอันดี ฯ

    ครั้งนั้นสมเด็จพระผู้ทรงพระภาค เจ้า จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว เราหรือมีนามชื่อว่าพระศาสดาจารย์ คฤหบดีจึงถามอีกว่า ฯ ดูก่อนมาณพผู้เจริญท่านมีนามชื่อว่าศาสดาจารย์ด้วยเหตุเป็นดังฤา ฯ จึงทรงพระมหากรุณาตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว เราชื่อพระศาสดาจารย์นั้นเพราะเหตุประกอบไปด้วยอาจริยคุณ ๓๑ ประการ ฯ

    คฤหบดี จึงถามว่า คุณ ๓๑ ประการแห่งท่านปรากฏเป็นประการใด จึงได้ชื่อว่าอาจริยคุณฯ สมเด็จพระกุกกุสนธเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนคฤหบดีแก้ว คุณเป็นอาทิคือ อิติปิ โส ภควา นี่แหละเป็นคุณแห่งเรา ปรากฏกิตติศัพท์ไปทั่วโลก จึงมีนามว่า พระศาสดา จริยคุณทั้ง ๓๑ ประการ ฯ เมื่อคฤหบดีแก้วได้สดับพระพุทธวจนะดังนั้น จึงจารึกเอาพระอิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ ลงไว้ในแผ่นทองเป็นตัวอักษรเสร็จแล้ว จึงถามพระผู้ทรงพระภาคเจ้าว่า ดูก่อนมาณพผู้เจริญ ท่านรู้คุณวิเศษมีประมาณเท่านี้แลหรือ หรือว่าคุณวิเศษอย่างอื่นยังมีอยู่เป็นประการใด ฯ

    จึงมีพระพุทธฎีกา ตรัสว่าดูก่อนคฤหบดีแก้ว อันว่าคุณวิเศษอย่างอื่นแห่งเรามีอยู่เป็นอันมาก ฯ คฤหบดีแก้วก็ให้พระกุกกุสันธเจ้าแสดงต่อไป ฯ สมเด็จพระพุทธเจ้าจึงตรัสพระสัทธรรมเทศนา ทรงแสดงซึ่งคุณในกายคตาสติกัมมัฏฐาน บอกอาการ ๓๒ มี เกศา โลมา เป็นอาทิ ให้แก่คฤหบดีแก้ว

    คฤหบดีแก้วก็จารึกพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสน ธเจ้าอัน งาม พร้อมด้วยทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะเป็นอันดีลงในแผ่นทอง แล้วจึงกำหนดพระองค์สูงประมาณ ๖๐ ศอก ลงในแผ่นทองทั้ง ๒ เสร็จแล้ว คฤหบดีแก้วก็เหาะนิวัตตนากลับมายังสำนักสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทถวายซึ่ง แผ่นพระสุวรรณบัตร ให้ทอดพระเนตรพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธเจ้า กับทั้งตัวอักษรที่จารึกพระพุทธคุณมานั้น ฯ

    ฝ่ายสมเด็จพระบรมจักรมหา ปนาททอดพระเนตรพระอักษร ซึ่งจารึกพระพุทธคุณในแผ่นพระสุวรรณบัตรนั้น ฯ ทรงอ่านแล้วก็มิได้ทรงรู้จักว่าเป้นพระพุทธคุณจึงตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่า ดูก่อนท่านอาจารย์ อันว่าอักษรที่คฤหบดีจารึกมานั้น จะเป็นพระพุทธคุณจริงแลหรือประการใด ฝ่ายว่าพราหมณ์ปุรหิตนั้น เป็นผู้ทรงคุณวิชชาไสยศาสตร์ จึงกราบทูลว่า มหาราชข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐอันว่าอักษรนี้เป็นคุณอันวิเศษแน่แล้ว เป็นยอดคุณทั้งปวงสิ้น ก็คุณวิเศษอย่างอื่นๆ นั้นจะได้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้หาบ่มิได้ อักษรนี้เป็นพระพุทธคุณเที่ยงแล้ว สมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทำด้ทรงฟังพราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลดังนั้น ก็ทรงพระโสมนัส ปิติ ปลาบปลื้มพระทัย สลบลงกับที่ ฯ

    ครั้นพระองค์ ฟื้นสมประดีแล้ว ตรัสถามพราหมณ์ปุโรหิตว่า ดูก่อนท่านอาจารย์ เราได้ฟังว่า คุณวิเศษนี้เป็นพระพุทธคุณจริงดังนั้นหรือประการใด ปุโรหิตก็กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ อันว่าคุณวิเศษนี้ พระองค์อย่าได้สงสัยในพระกมลหฤทัยเลย เป็นพระพุทธคุณของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเที่ยงแท้แล้ว

    ครั้นได้ ทรงสดับฟังพราหมณ์ปุโรหิตกราบทูลซ้ำอีกดังนั้น พระองค์ทรงปิติ ปลื้มพระทัย สลบลงอีกครั้งหนึ่งเป็นคำรบ ๒ แล้วพระองค์ก็ฟื้นขึ้น จึงตรัสถามปุโรหิตอีกว่ารูปภาพที่คฤหบดีแก้ววาดเขียนมานี้ เป็นอย่างพระพุทธรูปจริงหรือประการใด ปุโรหิตก็กราบทูลว่าพระรูปพระโฉมที่คฤหบดีแก้ววาดเขียนมานี้ คือ พระรูปพระโฉมของสมเด็จพระพุทธเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์อย่าได้สงสัยเลย ฯ สมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทได้ทรงฟังว่าเป็นพระพุทธรูปของสมเด็จพระพุทธเจ้า จริงแน่ ก็สลบสิ้นสติสมปฤดีไปอีกครั้งหนึ่งเป็นคำรบ ๓ ฯ

    ครั้นได้พระ สติขึ้นมา จึงตรัสแก่คฤหบดีแก้วว่า บัดนี้เราได้ฟังประพฤติเหตุแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าอันเป็นดวงแก้วหาค่ามิได้ เพราะเหตุตัวของท่านอันเราใช้ไป เครื่องสักการบูชาสิ่งอื่นหาควรจะกระทำสักการบูชาแก่ท่านไม่ ด้วยท่านมีความชอบครั้งนี้แก่เราเป็นที่สุด เราจะยกสมบัติจักรพรรดิอันยิ่งในมนุษย์โลกนี้ กระทำสักการบูชาแก่ตัวท่าน ตรัสประภาษสรรเสริญคฤหบดีแก้วดังนี้แล้ว จึงอภิเษกคฤหบดีแก้วให้เสวยศิริราชสมบัติจักรวรรดิยศ ยกให้เป็นบำเหน็จความชอบแก่คฤหบดีแก้ว ในครั้งนั้นคฤหบดีแก้วก็ตั้งอยู่ในศิริราชสมบัติบรมจักร เสวยอิสริยยศสมบัติสืบต่อไป ฯ

    ส่วนสมเด็จพระบรมจักรมหาปนาทนั้นแต่ พระองค์เดียว ก็เสด็จบทจรไต่เต้าไปตามมรรคาหนทางโดยทิศาภาค ในที่สถิตแห่งสมเด็จพระบรมครูกุกกุสนธเจ้านั้น ฯ ครั้นไปถึงมหานิโครธไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ก็ทรงประทับนั่งอาศัยอยู่ใต้ต้นไทรนั้นพอหายเหนื่อยเป็นอันดีแล้ว ก็ยกอัญชลีประนมถวายนมัสการลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์อันได้สดับว่า สมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่ตรงนี้ ทรงกระทำอธิษฐานปรารถนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเป็นอันงาม ความปิติโสมนัสแห่งข้าพระพุทธเจ้าบังเกิดมีในพระองค์แล้ว ด้วยเดชะความสัตย์นี้ ขอให้เครื่องอัฏฐบริขาร ๘ ประการ อันเป็นทรัพย์มรดกแห่งพระภิกษุสงฆ์ จงเลื่อนลอยมายังสำนักแห่งข้าพระพุทธเจ้า ด้วยเเถิด ฯ”

    ครั้งนั้น สมเด็จพระกุกกุสนธสัพพัญญูทรงทราบวาระน้ำจิตแห่ง บรมจักรมหาปนาท ปรารถนาจะบรรพชาบวชในพระพุทธศาสนา จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “ดูก่อนอัฏฐบริขาร ๘ ประการ บัดนี้บุคคลมีชื่อโน้น ปรารถนาจะทรงบรรพชา ท่านจงไปยังสำนักแห่งบุคคลผู้นั้นเถิด ฯ” ขณะนั้นเครื่องอัฏฐบริขารทั้ง ๘ ประการ ก็ลอยมาตกลงตรงพระพักตร์แห่งสมเด็จพระเจ้ามหาปนาทด้วยพุทธานุภาพ ฯ

    ครั้น สมเด็จพระบรมจักรมหาปนาท ทรงเห็นเครื่องอัฏฐบริขาร ๘ ประการพร้อมแล้ว ด้วยพระเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้าเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก ก็ทรงยกเครื่องอัฏฐบริขารขึ้นทูนเหนือพระเศียรเกล้าแล้วออกพระวาจาว่า ดูก่อนอัฏฐบริขาร ๘ ประการผู้เจริญ เราอาศัยซึ่งท่านจักใคร่ออกจากสังสารทุกข์ ให้ได้พบเห็นพระนิพพานอันประเสริฐสุดโลกวิสัย ตรัสเท่านั้นแล้วก็เปลื้องเครื่องราชอาภรณ์ของพระองค์ออกจากพระสรีรกาย ทรงสบง จีวร สังฆาฏิ คาดกายพันมั่นคง ทรงบรรพชาเป็นพระภิกษุภาวะเสร็จแล้ว จึงเอาพระมงกุฎแก้ววางลงในฝ่าพระหัตถ์ตรัสว่า ดูก่อนมงกุฏแก้ว ท่านจงไปยังสำนักแห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า กราบทูลแจ้งประพฤติเหตุข่าวศาสน์แก่พระองค์ว่า บัดนี้พระเจ้ามหาปนาทบรมจักร เสียสละศิริราชสมบัติออกทรงบรรพชาในพระพุทธศาสนาแล้ว มีความปรารถนาเพื่อจะมายังสำนักสมเด็จพระทศพลญาณ ท่านจงไปกราบทูลศาสน์แด่องค์สมเด็จพระพุทธองค์ด้วยประการดังนี้ ฯ

    พระองค์ ทรงพระอธิษฐานฉะนี้แล้ว มงกุฏแก้วก็ลอยเลื่อนไปในอากาศเวหาประดุจว่าพระยาสุวรรณราชหงส์ลงยังสำนัก แห่งสมเด็จพระพุทธเจ้า ตั้งอยู่แทบฝ่าพระบาท กราบทูลประพฤติเหตุดังนั้นแก่สมเด็จพระกุกกุสนธ ประดุจดังว่ามีจิตวิญญาณ สมเด็จพระบรมโลกุตตมาจารย์ก็มีพระพุทธฎีการับว่าสาธุ ฯ

    ลำดับนั้น พระยามหาปนาทซึ่งทรงเพศเป็นภิกษุ ก็เที่ยวโคจรบิณฑบาตไปตามบ้าน ได้อาหารพอเป็นยาปนมัตต์ บริโภคสำเร็จแล้วก็เจริญพระกัมมัฏฐานอยู่ในที่อันสมควร พิจารณาซึ่งพระพุทธคุณมีพระ อิติปิ โส ภควา เป็นอาทิ และพระกายคตาสติกัมมัฏฐาน มีเกศาเป็นต้น เจริญไปด้วยความอุตสาหะดังนั้น ยังโลกียฌานให้บังเกิดขึ้น

    ในขณะนั้นแล้วเหาะไปโดยอากาศเวหาถึงสำนัก สมเด็จพระพุทธเจ้า ได้ทัศนาการพระรูปพระโฉมของสมเด็จพระกุกกุสนธ อันประดับไปด้วยพระทวัตติงสมหาบุรุษลักษณะ และพระอสีตยานุพยัญชนลักษณะ งามบริบูรณ์พร้อมทุกประการ ก็บังเกิดความปิติเต็มตื้นซาบทั่วสรรพางค์ ตลอดสิ้นสกลกายก็สลบลงในที่นั้น สมเด็จพระภควันตบพิตรเจ้าก็ทรงเอาอุทกวารีมาประพรมลงเหนือพระอุระ ก็ฟื้นสมปฤดีขึ้นมา แล้วถวายนมัสการกราบลงด้วยเบญจางคประดิษฐ์แทบพระบาท กราบทูลอาราธนาให้สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนา ฯ

    ครั้ง นั้นสมเด็จพระกุกกุสนธบรมทศพลญาณ ก็ทรงประทานพระสัทธรรมเทศนาว่า “ดูก่อนภิกษุ ท่านจงพิจารณาซึ่งสภาวธรรมที่จะนำตนไปสู่พระนิพพานเถิด” มีพระพุทธบรรหารตรัสดังนี้ ฝ่ายพระเจ้ามหาปนาทบรมพุทธางกูรได้ทรงสดับกระแสพระพุทธฎีกาตรัสเป็นนัย ดังนั้นพระองค์ก็มีปิติซาบซ่านทั่วสกลกาย จึงทรงพระอธิษฐานเด็ดพระเศียรเกล้าด้วยเล็บของพระองค์ ทรงกระทำสักการบูชาแทบพระบาทมูลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ฝ่ายพระเศียรเกล้านั้นจึงกราบทูลพระกรุณาว่า

    “ภนเต ภควา ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระภาคเจ้า พระองค์ได้โปรดฝูงสัตว์ทั้งหลายก่อนข้าพระบาท ข้าพระบาทก็มีความปรารถนาเป็นเป็นพระพุทธเจ้าเมื่อภายหลัง ด้วยผลศีลทานของข้าพระบาทในครั้งนี้ ขอเชิญองค์อัครมุนีผู้ทรงพระภาคเจ้าจงเสด็จเข้าสู่พระนิพพานก่อนข้าพระบาท เถิด ข้าพระบาทขอตามเสด็จพระพุทธองค์เจ้าเข้าสู่พระนิพพานต่อภายหลัง” พอขาดคำลงแล้วพระเจ้ามหาปนาทก็ดับขันธ์สิ้นชีวิตอินทรีย์ ไปบังเกิดในดุสิตาสวรรค์ เสวยทิพยศิริสมบัติเป็นสุขสถาพร ไปในอนาคตกาลเบื้องหน้า จะได้ตรัสเป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ฯ
    ดูก่อนสำแดงสารีบุตร ฝูงสัตว์ทั้งหลายไม่ได้มรรคและผลธรรมวิเศษในศาสนาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระ ตถาคตเป็นต้น มีพระติสสะเป็นปริโยสานแล้ว ก็ให้มหาชนปรารถนาไปให้พบเห็นพระศาสนาช้างปาลิไลยหัตถี ที่ได้เป็นพระบรมจักรมหาปนาทนี้ ซึ่งจะได้ตรัสเป็นองค์สมเด็จพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ทรงพระนามว่า พระสุมงคลสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น จะได้มรรคและผลธรรมอันวิเศษสิ้นสังสารทุกข์ทั้งปวง เข้าสู่พระอมตะมหานครนิพพาน ฯ
    ที่มา,คัมภีร์อนาคตวงศ์

    เพราะด้วยเหตุที่ท่านเจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม พุทฺธาจาโร)ซึ่ง เป็นพระขีณาสวสงฆ์ผู้ทรงญาณวิสัยอันลึกล้ำ สามารถแทงตลอดในการทุกสิ่งอัน และได้แจ้งในใจในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าเป็นอย่างดีที่สุด หลวงปู่สิมจึงได้ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ท่านอย่างยิ่ง แม้ตราบเท่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตท่านอย่างน่าซาบซึ้งประทับใจที่สุด ไม่มีใดจะเทียมทันได้ ซึ่งการทั้งปวง อาจเข้าไปชมได้ในหัวข้อ"จงรักภักดีด้วยชีวิต"


    (
     
  8. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มาชมภาพการทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์ประจำเดือนตุลาคมครับ รอบนี้เป็นตากล้องจำเป็นเพราะมือกล้องประจำติดเรียนปโท เลยต้องใช้กล้องจากโทรศัพท์มือถือถ่าย มาชมกันครับ
    [​IMG]

    มาร่วมถ่ายภาพกันหน้าตึก เดือนนี้คิดว่าจะมากันไม่มากเพราะติดเทศกาลกฐินและวันหยุดยาว แต่ผิดคาดมากันพร้อมเพรียงเช่นเดิม

    [​IMG]

    รองประธานทุนนิธิฯกล่าวนำถวายอาหารให้เป็นสังฆทานแด่สงฆ์ที่อาพาธ
     
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    [​IMG]

    โต๊ะหมู่ในโรงพยาบาลสงฆ์
     
  10. หนึ่ง1

    หนึ่ง1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,455
    ค่าพลัง:
    +7,638
    อนุโมทนาสาธุ ครับ
     
  11. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    [​IMG]

    เครื่องดูดเสมหะที่ทางทุนนิธิฯจะนำไปถวายให้กับหลวงปู่ใบศิษย์ในสายหลวงตามหาบัวครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 26 ตุลาคม 2009
  12. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    ครอบครัวนี้เดินทางมาจากจังหวัดนครสวรรค์เพื่อมาทำบุญที่โรงพยาบาลสงฆ์กับทุนนิธิฯ ขอโมทนาด้วยครับเพราะคงต้องตื่นกันตั้งแต่ตีสี่กว่าถึงมาทัน
    [​IMG]

    รูปนี้ขาประจำทำบุญกันเกือบทุกเดือนโมทนาทุกๆท่านครับ
     
  13. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    ภาพนี้ประธานทุนนิธิฯนั่งคุมเลขานับเงินทำบุญอยู่ห่างๆ ไม่รู้กลัวอะไร....

    [​IMG]

    [​IMG]

    จากนั้นก็เป็นการสอนดูพระพิมพ์สกุลวังหน้า จากรองประธานทุนนิธิฯ บางท่านดูทางตาเนื้อ บางท่านดูทางตาในครับ
     
  14. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    พระผงบารมีพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช พระดีที่ยังพอหาได้ อายุการสร้างก็55ปีมาแล้ว
    มีอยู่ด้วยกันหลายพิมพ์ทรง เช่น พิมพ์ขุนแผน นางตรา ชินราช ยอดขุนพล และ อื่นๆ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ต้องขออนุญาตเจ้าของภาพด้วยครับที่นำมาเผยแพร่
    พิมพ์ขุนแผน

    [​IMG]

    พิมพ์พระชินราช

    [​IMG]

    [​IMG]

    พิมพ์ยอดขุนพล


    ๑.เรื่องเจตนาการสร้าง
    เป็นการสร้างขึ้นเพื่อแจกส่วนหนึ่ง,ให้ทำบุญกฐินโดยนำเงินรายได้มาสร้างกำแพงล้อมรอบวัดพระบรมธาตุ และอีกส่วนหนึ่งนำมาบรรจุบนเจดีย์พระบรมธาตุ โดยเริ่มจาก”ตาขรัวคง”หรือ”อาจารย์คง” อาจารย์ของขุนแผนได้เข้าประทับร่างศิษย์ของท่านอาจารย์ชุม ซึ่งอาจารย์คงได้เคยอธิษฐานเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ว่า สมัยใด กาลใด พระพุทธศาสนาถึงซึ่งความเสื่อมทรามทางจิตใจของมนุษย์ ประเทศชาติได้รับความเดือดร้อน ท่านต้องมาช่วยและกาลนี้ก็ถึงเข้าแล้วจึงได้ปรากฎวิญญาณให้ท่านอาจารย์ชุมได้จัดสร้างพระผงบารมีพระบรมธาตุ(ในขั้นตอนที่ได้มีการพิสูจน์ว่าเป็นอาจารย์คงจริงๆก็มีการเขียนไว้แต่ผมคงไม่เขียน )
    ๒.เรื่องมวลสาร
    ท่านอาจารย์คงได้ให้อาจารย์ชุมเดินทางไปเก็บ”ผงวิเศษ ๑๐๘กรุทั่วประเทศไทย”
    อาทิ-ที่สุพรรณบุรี:-ผงก้นกรุ-ผงกระดูกของอาจารย์คง,ผงขุนแผนไข่ผ่าซีก,ผงวัดบ้านกลาง(ผงพระพลายเพชรพลายบัว,ผงขุนแผนเนื้อดินเผา),ผงวัดดอนไก่เตี้ย(ผงยา,ผงพระเนื้อชิน) เป็นต้น
    -สุโขทัย:-ผงวัดมหาธาตุ(พระเนื้อชิน,พระนาคปรกเนื้อดินเผา,พระโมคัลลาน์สารีบุตร,พระเรือนแก้ว,พระสะดุ้งมาร),เนื้อดินหลวงพ่อโต วัดป่ามะม่วง,ผงดินเผาของวัดดอนลาน-วัดช้างล้อม-วัดป่ากล้วย-นางพญาวัดต้นจันทร์และของวัดพระเชตุพน
    -พิษณุโลก:-ผงดินเผา วัดท่ามะปราง-วัดจุฬามณี-วัดอรัญญิก-วัดตาปะขาวหาย-วัดวิหารทอง-วัดประตูไชย,ผงพระเศียรหัก วัดพระพุทธชินราช,ผงนางพญา วัดนางพญา
    -ลำพูน:-ผงพระรอดพระคงพระเปิม,ผงพระสิบสอง-พระเปิม-พระสามของวัดพระธาตุ
    -กำแพงเพชร:-ผงดินเผา,ผงพระหักป่น วัดพระปรางค์
    -พัทลุง:-ผงพระดินดิบสมัยศรีวิชัย วัดถ้ำคูหาสวรรค์-ถ้ำอกทะลุ
    -ตรัง:- ผงพระดินดิบสมัยศรีวิชัย วัดถ้ำเขาลายและถ้ำคีรีวิหาร
    รวมผงก้นกรุและผงพระหักป่นมากกว่า ๑๐๘ กรุ โดยได้ทำการเก็บครบเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ.๒๔๙๗
    นอกจากนี้ยังมีผงวิเศษอื่นๆอีกดังนี้
    -ผงพระมหาว่าน อาจารย์เฒ่า วัดเขาอ้อ
    -ผงว่าน ๑๐๘ ชนิด และผงดอกไม้ ๑๐๘ วัด
    -ผงพระเทพนิมิตรและผงนะปถมัง ของอาจารย์ชุม(สร้างไว้เมื่อ มิ.ย.๒๔๙๖)
    -ผงพระหักป่น,ผงวิเศษจากสำนักอาจารย์ผู้เฒ่า ซึ่งท่านขุนพันธรักษ์ได้รวบรวมไว้หลายสำนัก
    -ผงว่าน ๑๐๘ของท่านขุนพันธรักษ์
    -ผงสมเด็จวัดอินทร์ พระนคร
    -ผงนะปถมัง วัดหงษ์แพรก นนทบุรี
    -ผงสมเด็จวัดระฆัง,ผงอิทธิเจ วัดหิรัญรูจี ธนบุรี
    -ผงอิทธิเจของท่านพระครูสิทธิยาภิรัตน์ วัดดอนศาลา
    -ผงอาจารย์แปลก วัดราษฎร์บูรณะ
    ๓.การกดพิมพ์พระ
    ได้ฤกษ์เริ่มพิมพ์องค์พระ วันที่ ๒ สค.พ.ศ.๒๔๙๗ โดยได้พระครบ ๘๔,๐๐๐ องค์เมื่อ ๑ กย.พ.ศ.๒๔๙๗
    โดยผู้พิมพ์พระ คือพระภิกษุ,สามเณรและศิษย์ของอาจารย์ชุมซึ่งสมาทานศีล๕ นุ่งขาวห่มขาว ถวายพรหมจรรย์ตลอดพิธี มีพระสงฆ์เจริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ วันละ ๑๐๘ จบ,พาหุง ๑๓ จบและสวดพุทธาภิเษกตลอดพิธี.ในพิธีหากมีลูกศิษย์คนใดได้ทำผิดเช่นแอบไปกินเหล้า,พูดจาไม่เป็นมงคล หรือแอบกลับไปนอนกับเมีย ท่านอาจารย์คงจะพูดให้คนในพิธีฟังก่อนที่ผู้กระทำผิดได้ย้อนกลับมา ท่านจะรอต้อนรับที่หน้าโบสถ์โดยสั่งห้ามไม่ให้ผู้นั้นเข้าในวงล้อมสายสิญจน์ จนกว่าจะถูกปรับโทษเสียก่อน การปรับโทษนั้นต้องรับสารภาพจนหมดเปลือก หากมีการปกปิดซ่อนเร้น ท่านจะแฉขึ้นเอง จากนั้นต้องอยู่กรรมถูกจำกัดสถานที่เป็นเวลา ๓ วัน ต้องสวดมนต์ภาวนา ห้ามพูดคุยข้องแวะกับผู้อื่นทุกกรณีจนกว่าจะครบกำหนด ปกติต้องถือศีลห้า แต่ผู้ที่ทำผิดต้องถือศีลแปด.
    ๔.พิธีการปลุกเสก
    ได้ทำการขอเชิญวิญญาณอาจารย์คง เพื่อกำหนดสถานที่ตั้งโรงพิธี โดยได้จัดตั้งที่ พระวิหารหลวง วัดพระบรมธาตุ โดยทำพิธีปลุกเสกตั้งแต่ ๑๔ กย.ถึง ๑๒ ตค. พ.ศ.๒๔๙๗ ได้นิมนต์พระเถราจารย์ ๑๐๘ รูปมาร่วมพิธี มีท่านเจ้าคุณพระภัทรมุนี เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุฯเป็นประธานฝ่ายสงฆ์.การปลุกเสกแบ่งออกเป็นตอนๆและมีการตรวจสอบพุทธคุณด้านนั้นๆ เช่นเสกคงกระพัน ๗ วัน,เสกแคล้วคลาด ๗ วัน,เสกมหานิยม ๗ วัน,เสกกันปืน-มหาอุด ๗ วัน,เสกป้องกันโรคภัยไข้เจ็บและภูติผีปีศาจ ๗ วัน และเสกกันโจรป้องกันสัตว์ร้าย ๗ วัน.หลังจากเสกจบระยะหนึ่งๆนั้นได้มีการทดลองด้วยการตรวจรังสีพระและทดสอบโดยการให้ลูกศิษย์กำพระไว้แล้วใช้มีดทั้งฟันและเฉือน,ใช้ปืนยิงเข้าที่กองวัตถุมงคลโดยใช้ปืนหลายขนาด ปรากฎว่าปืนไม่ลั่นสักกระบอก จากนั้นให้ลูกศิษย์กำพระคนละองค์แล้วใช้ปืนยิงใส่ ปรากฎว่ามีเสียงดังแช๊ะๆ ๓ ครั้ง และได้นำพระไปแช่ในน้ำมันหอมแล้วทาที่ตัวหนู,แมวและสุนัข ปรากฎว่าทั้งสามชนิดกินด้วยกันนอนด้วยกันและเล่นด้วยกันโดยไม่ทำอันตรายกัน.
    สำหรับคณาจารย์ ๑๐๘ รูปนั้นได้หมุนเวียนสับเปลี่ยนกันเป็นชุดๆ โดยจากคำบอกเล่าของผู้ที่อยู่ในพิธีนั้น รู้จักแต่เกจิทางใต้ ส่วนเกจิบางรูปนั้นไม่รู้จัก แต่อาจารย์ชุมได้มีการบันทึกไว้(แต่ผมยังไม่เคยได้ผ่านตาเลยครับ)
    เท่าที่พอจำได้มีดังนี้
    ๑.หลวงพ่อคล้าย วัดสวนขัน
    ๒.หลวงพ่อโอภาสี บางมด
    ๓.หลวงพ่อเขียว วัดหรงบน
    ๔.หลวงพ่อเมือง วัดท่าพญา
    ๕.หลวงพ่อคง วัดคลองน้อย
    ๖.หลวงพ่อมุ่ย วัดป่าระกำ
    ๗.หลวงพ่อแดง วัดโท ท่าศาลา
    ๘.หลวงพ่อคลิ้ง วัดถลุงทอง
    ๙.หลวงพ่อแดง วัดเขาหลัก
    ๑๐.หลวงพ่อตุด วัดทุ่งกง
    ๑๑.หลวงพ่อวัน มะนะโส วัดประสิทธิชัย
    ๑๒.หลวงพ่อแสง วัดคลองน้ำเจ็ด
    ๑๓.หลวงพ่อปาล วัดเขาอ้อ
    ๑๔.หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน
    ๑๕.หลวงพ่อดิษฐ์ วัดปากสระ
    ๑๖.หลวงพ่อเจ็ก วัดเขาตะวันตก
    ๑๗.หลวงพ่อหมุน วัดเขาแดงตะวันออก
    ๑๘.หลวงพ่อพัว วัดเขาราหู
    ๑๙.หลวงพ่อแดง วัดคลองไทร
    ๒๐.หลวงพ่อวิรัช วัดกะเปา
    ๒๑.หลวงพ่อทอง วัดดอนสะท้อน
    ๒๒.หลวงพ่อสงฆ์ วัดศาลาลอย
    ๒๓.หลวงพ่อจีด วัดถ้ำเขาพลู
    ๒๔.หลวงพ่อรุ่ง วัดบางแหวน
    ๒๕.หลวงพ่อท้วม วัดเขาโบสถ์
    ๒๖.หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก
    ๒๗.หลวงพ่อทองศุข วัดโตนดหลวง
    ๒๘.หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ
    ๒๙.หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
    ๓๐.หลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม
    ๓๑.หลวงพ่อจันทร์ วัดทุ่งเฟื้อ
    ในพิธีปลุกเสกนั้นมีเกจิร่วมปลุกเสกอยู่เต็มโบสถ์ ซึ่งจำนวนที่แท้จริงท่าน(ผู้บอกเล่า)ไม่ได้นับ และยังมีเกจิจากทางภาคกลางที่ท่าน(ผู้บอกเล่า)ไม่รู้จัก.โดยผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นการปลุกเสกในคืนวันที่ ๑๒ ตค. พ.ศ.๒๔๙๗มากกว่า โดยมีการปลุกเสกตั้งแต่เวลา ๑๘.๐๐ น. มีพระสงฆ์สวดพุทธมนตร์และพุทธาภิเษกมีอาจารย์นั่งปรกตลอดทั้งคืน.ดังนั้นที่ว่าเริ่มปลุกเสกตั้งแต่ ๑๔ กย.นั้นได้ระบุว่า “เริ่มเปิดพิธีปลุกเสกโดย อาจารย์นำ ชินวโร วัดดอนศาลา,อาจารย์ปาล ปาลธัมโม วัดเขาอ้อ และอาจารย์คง สิริมโต วัดบ้านสวน โดยอาจารย์ที่ทำการปลุกเสกตลอดพิธี ได้แก่อาจารย์ชุม ไชยคีรี และอาจารย์ขุนพันธรักษ์ราชเดช” น่าจะมีการปลุกเสกมาก่อนนั้นแล้วทำพิธีปลุกเสกใหญ่ปิดท้าย.
    ในตอนท้ายพิธี ขณะที่พระกำลังให้พร วิญญาณอาจารย์คงสั่งให้กลุ่มศิษย์ออกจากโบสถ์ให้มองดูที่ท้องฟ้า ปรากฎว่าดวงไฟโตเท่าบาตรมีหลากสีร่วงตกจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ พอพระสวดถึงภวันตุเมเป็นจังหวะที่ดวงไฟดวงนั้นตกที่หลังคาโบสถ์แล้วหายไป
    อ้างอิงจาก
    ๑.พระปรกโพธิ์พิมพ์วัดท่าเรือ และพระนาคปรกพิมพ์วัดนางตรา รุ่นพ.ศ.๒๔๙๗ สร้างโดยอาจารย์ชุม ไชยคีรี เขียนโดย นายแพทย์จรัญ วัยศิริ ในนิตยสารลานโพธิ์ ฉบับเดือน พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๖
    ๒.พระชินราชท่าเรือ 2497 เขียนโดย เชิดศักดิ์ รัศมีพงศ์ ในนิตยสาร สนามพระ พระเครื่องสะสม ฉบับที่ ๓๐ ปี ๒๕๓๗

    ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับพระเครื่องรุ่นนี้
    สำหรับเกียรติคุณของอาจารย์ชุม ผมว่าไม่จำเป็นต้องเล่าแล้วเป็นแน่ๆ สิ่งที่ผมได้นำมาเล่า เพื่อนำไปสู่ศรัทธาต่อพระผงบารมีพระบรมธาตุ ซึ่งตัวผมเองเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า พระเครื่องวัตถุมงคลจะแผ่บารมีพลังคุ้มครองได้อย่างเต็มที่ถ้าผู้อาราธนานั้นมีศรัทธาอย่างแท้จริง. สำหรับรายการวัตถุมงคลอื่นๆ ผมขอข้ามไปเลยเพราะไม่ตรงตามความประสงค์ที่กล่าวมาแล้วในข้างต้น.เชื่อไหมครับว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางเสาะหาผงพระกรุ๑๐๘กรุ สามหมื่นห้าพันบาท ส่วนค่าใช้จ่ายในพิธี หกหมื่นห้าพันบาท คิดดูว่าในปีพ.ศ.๒๔๙๗นั้นทองบาทละไม่กี่ร้อย พระสมเด็จกรุบางขุนพรหมที่เปิดกรุมาในปี พ.ศ.๒๕๐๙นั้นสวยๆให้บูชากันที่วัดพันถึงสองพันบาท เทียบกันดูสิครับค่าใช้จ่ายในการสร้างหนึ่งแสนบาท เรื่องมวลสารก็เดินทางนำเอาผงกรุจนครบ ๑๐๘กรุจริงๆ แถมดูผู้สร้างมีความตั้งใจให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนแบบนี้ ผมขอถามสักทีว่าในยุคการสร้างพระเครื่องรุ่นใหม่โดยเฉพาะที่ส่งให้โรงงานปั๊มกันเกือบทุกที่ เทียบกันได้ไหมครับ มีสำนักไหนที่สร้างพระเครื่องอย่างพิถีพิถันทำถูกตำรา จะมีแต่คงน้อยมากหรือส่วนมากก็เป็นแค่คำโฆษณาเท่านั้น และมีพิธีไหนที่กล้าลองพุทธคุณกันหลังปลุกเสก มีแต่คงไม่มากครับ
    ผมไม่ได้เชียร์พระรุ่นนี้นะครับ แต่ได้นั่งอ่านข้อมูลแล้วทึ่งกับการสร้างครับ ถ้าผมอยากได้พระเครื่องอาราธนาไว้คุ้มครองตัวเองให้รอดปลอดภัยจากภัยทั้งหลาย แต่จำกัดด้วยปัจจัยเรื่องเงินทอง และในยุคปัจจุบันที่พระเครื่องที่สร้างออกมาใหม่ก็เอาแน่เอานอนกับการจัดสร้างแทบไม่ได้ แถมอย่างน้อยองค์หนึ่งร้อยสองร้อย บางทีอาจถึงห้าร้อยบาท ผมนึกถึงพระพิมพ์ปรกโพธิ์วัดท่าเรือพิมพ์เล็กของอาจารย์ชุมปี ๒๔๙๗เป็นหนึ่งในพระเครื่องพุทธคุณเยี่ยมแต่ราคาเยาว์ชน.
    ขนาดองค์พระจริงๆ ไม่เกินพระผงวัดปากน้ำรุ่นหนึ่ง…..สำหรับพิธีนี้ยังมีพระเครื่องแบบอื่นอีกแต่ไม่ได้นำมารวมด้วย
    บทความต้นเรื่องในamulet2u.com

    พระนี้พี่ใหญ่สัมผัสแล้วบอกว่าดีๆ รัศมีออกเป็นสีรุ้งเลย หาไม่ได้ง่ายๆกับพระเครื่องนะครับ พิมพ์ขุนแผนก็แพงหน่อย พิมพ์ชินราช กับพิมพ์นางตราก็ราคาย่อมเยาว์พอหาบูชาหาเก็บได้
     
  15. Punipa

    Punipa Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +57
    ดิฉันได้โอนเงินจำนวน 500 บาท เข้าบัญชี ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ บ/ชธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต เลขที่ 348-1-23245-9 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2009 เรียบร้อยแล้วค่ะ และจะแจ้งให้ทราบการโอนครั้งต่อๆไปอีกค่ะ
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขอโมทนาและสาธุบุญกับคุณ Punipa ด้วยครับ ผมและคณะกรรมการฯ ทุกคน ขออาราธนาพระบารมีและพระปริสุทธิคุณแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ให้คุณและครอบครัว ได้พบพานแต่สิ่งที่ดีจนกว่าชีวิตจะหาไม่ด้วยครับ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ.

    [​IMG]

     
  17. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886

    รายชื่อมีดังนี้ครับ
    อนันต์ ตั้งธาราวิวัฒน์
    สุนารี ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    พลภัทร ตั้งธาราวิวัฒน์ 1000 บาท
    วิศัลย์ ณ ระนอง 1000 บาท
    ปิยะวัฒน์ วรัทเศรษฐ์ 1000 บาท
    สงวนชัย อัครวิทยาภูมิ 6000 บาท
    นาลดา อมรพัชระ และบุตร 400 บาท
    ชมพู ดิษฐ์ประเสริฐ 200 บาท
    พจนา รัชตะนาวิน
    ชวรรษ บุญญเสฏฐา 500 บาท
    รวมเป็นเงิน 11100 บาท

    โมทนาทุกๆท่านครับ

     
  18. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    โอนเงินร่วมบุญด้วยค่ะ 1,000.00 บาท (เวลาประมาณ 7.37 น.)

    โมทนาสาธุกับทุกๆท่านค่ะ


    .
     
  19. unzizu

    unzizu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    120
    ค่าพลัง:
    +227
    ผมขอร่วมทำบุญด้วยครับ

    [​IMG]
     
  20. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    เข้ามาอนุโมทนาสาธุ กับทุกๆท่านค่ะ ในฐานะแฟนพันธุ์แท้
    ฝากคุณ narongwate เอาธรรมะมาลงให้อ่านอีกนะคะ มาติดตามอ่านธรรมะที่นี่บ่อยๆค่ะ ขอบคุณค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...