ปิดตำนานฮูฒันร่าแล้ว เรามาคุยเรื่อพระพุทธเจ้าต่อเถอะ

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย ME_O, 31 กรกฎาคม 2009.

  1. Kathaleeya

    Kathaleeya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +207
    พระพุทธเจ้ามีมากถึง3หมื่นกว่าพระองค์เชียวหรือคะ เคยอ่านในหนังสือบอกว่ารวมพระองค์ปัจจุบันแล้วมีเพียง28พระองค์นะคะ เพราะการอุบัติของพระพุทธเจ้าเป็นของยาก ใครทราบช่วยใขข้อสงสัยทีค่ะ
     
  2. ME_O

    ME_O สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +16
    เยอะมากครับ ถ้านับพระพุทธเจ้าทั้งหมด เฉพาะกัปป์นี้ มีมากกว่า 3 ล้านองค์ ไม่ใช่แค่ 30,000นะ แต่เกือบทั้งหมด เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า

    จริง ๆ พระพุทธเจ้า มีในทุกกัปป์ แม้แต่สุญกัปป์ แต่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีการประกาศศาสนา หรือสั่งสอน เพราะพระปัจเจกพุทธเจ้า จะเป็นผู้รู้ได้ด้วยพระองค์เองเช่นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่สามารถถ่ายทอดให้ใครรู้ได้เหมือนพระองค์

    ผู้เข้าถึงนิพพาน เยอะมาก ส่วนใหญ่ จะรู้ได้ ด้วยพระองค์เองด้วย เพราะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2009
  3. JK!

    JK! สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +2

    บอร์ดก็คือบอร์ดครับ เป็นกระดานแสดงความคิดเห็นของผู้คน
    ไม่มีเจริญขึ้นหรือเสื่อมลงหรอกครับ
    มันเป็นอพยากฤตครับ ไม่ได้มีดีมีชั่วใด ๆ ในตัวของมัน
    มันขึ้นอยู่กับคนอ่านครับว่าจิตใจเป็นอย่างใร มีอคติมั๊ย

    ถ้ามีอคติ๔
    ฉันทาคติ (รักชอบ)
    โทสาคติ (เกลียดชัง)
    โมหะคติ (หลง)
    ภยาคติ (กลัว)
    อยู่ในใจ
    ก็จะไม่ได้มองว่าบอร์ดมันเป็นแค่กระดาษว่าง ๆที่ใครจะเขียนอะไรก็ได้มีทั้งมีความหมายและไร้ความหมาย

    ถ้ามีอคติอยู่ในใจบอร์ดก็ไม่เป็นบอร์ดคือกระดานว่าง ๆ
    ถ้าความเห็นในบอร์ดตรงกับใจตนก็ชอบมีฉันทาคติในใจ
    ชอบสิ่งที่ได้อ่านก็จะบอกว่าดี ชอบข้อความนั้น ชื่นชมคนที่โพสท์
    ถ้าความเห็นในบอร์ดไม่ตรงกับใจตนมีโทสาคติในใจก็จะบอกว่าไม่ดี
    แล้วก็จะพาลไม่ชอบคนที่โพสท์เข้าไปนั่น
    ถ้ามีความหลงผิดบางสิ่งบางอย่างแล้วข้อความนั้นเป็นไปตามความเห็นตน
    ความเห็นที่ตรงกับตนก็จะชอบ ใครกล่าวขัดแย้งก็จะพาลตำหนิคนโพสท์ว่าเป็นคนไม่ดี หรือคนไม่รู้จริง
    ถ้ามีภยาคติใจใน เช่นกลัวเขาจะเปิดโปงความลับ กลัวต้องสูญเสียประโยชน์จากบางสิ่งบางอย่าง
    ก็จะพาลเกลียดคนที่นำข้อมูลเหล่านั้นมาเปิดเผย

    บอร์ดมันก็แค่กระดาษว่าง ๆ ครับ ใครอยากวาดเสริมเติมแต่งฉาบทาอะไรก็ตามใจสมัคร
    มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะมองเป็นกระดาษว่าง ๆ หรือจะหลงจมเข้าไปกับภาพนั้น ก็แค่นั้นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2009
  4. จื่อหลิง

    จื่อหลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +698
    ที่ว่าเป็นล้านนะเป็นคติของมหายานครับ แต่ที่น่าสังเกตุ คือตอนที่พระโมคคัลลานะเหาะตามหาบาตรของพระพุทธองค์เหาะไปไกลจนหลงทางจนได้ไปเจอพระผู้พระภาคเจ้าพระองค์หนึ่งซึ่งอยู่คนละจักรวาลกับเรา (ไปไกลมั้ย) จึงทำให้คิดได้ว่าจักรวาลของเรานี้มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติขึ้นแล้ว 27 พระองค์ องค์ต่อไปคือพระศรีอาริย์ แล้วจักรวาลอื่นละ ?
    แล้วจักรวาลมีเท่าไรละ ? ฉะนั้นถ้ารวมทุกจักรวาลแล้ว พระผู้พระภาคเจ้ามีเป็นเอนกอนันต์ครับ

    ส่วนนี้เกี่ยวกับจักรวาลครับ
    [​IMG]
    จูฬนีสูตร
    พระไตรปิฎกเล่มที่ 20 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 12
    อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต ทุติยปัณณาสก์ อานันทวรรค จูฬนีสูตร
    [๕๒๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
    ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
    ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
    ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก
    ให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า
    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า
    ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
    ดูกรอานนท์ นั้นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน ฯ
    ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ ๒ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
    ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู
    ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พ้นแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า
    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า
    ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน
    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
    ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู
    ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า
    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า
    ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน
    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า
    ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู
    ยืนอยู่ในพรหมโลกทำให้พันโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า
    ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า
    ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ
    อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต
    บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์จะพึงตรัส
    ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
    ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
    ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร
    ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน
    ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง
    มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง
    มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน
    มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง
    มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง
    มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง
    ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล (สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุ)
    โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุ
    (ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุ)
    อย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น
    นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
    (ติสหัสสีมหาสหัสสีโลกธาตุ)
    ดูกรอานนท์ ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
    ให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ
    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
    ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ
    พ. ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้
    พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลเมื่อใด
    หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้น
    พระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน
    พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง
    หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ
    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ
    ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้
    เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า
    ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้
    เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า
    ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป
    เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้ง พึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง
    เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น
    ดูกรอุทายีก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ
    จบอานันทวรรคที่ ๓
    ที่มา : เอามาจากบอร์ดอกาลิโกครับ
    �����Ѻ�ͧ�ѡ���� 㹾����ûԯ� - �����͡����� ไม่รู้ลิงค์ทำไมเป็นภาษาต่างดาว<!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2009
  5. จื่อหลิง

    จื่อหลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +698
    เกี่ยวกับจักรวาลอีกนิดหนึ่งครับ
    ความลับของจักรวาล ในพระไตรปิฏก
    ขนาดของจักรวาล

    จักรวาลอันหนึ่ง โดยยาวและโดยกว้าง ประมาณ ๑,๒๐๓,๔๕๐ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร)
    ส่วนโดยรอบปริมณฑลทั้งสิ้น (ของจักรวาลนั้น) ประมาณ ๓,๖๑๐,๓๕๐ โยชน์

    ขนาดหนาของแผ่นดิน ในจักรวาลนั้น
    แผ่นดินนี้ กล่าวโดยความหนา มีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๒๔๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดหนาของน้ำรองแผ่นดิน สิ่งที่รองแผ่นดินนั้นหรือ
    คือน้ำอันตั้งอยู่บนลม โดยความหนามีประมาณถึงเท่านี้ คือ ๔๘๐,๐๐๐ โยชน์

    ขนาดความหนาของลมรองน้ำ
    ลมอัน (พัดดัน) ขึ้นฟ้า (โดยความหนา) มีประมาณ ๙๖๐,๐๐๐ โยชน์ นี่เป็นความตั้งอยู่พร้อมมูลแห่งโลก

    ขนาดภูเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) และต้นไม้ประจำทวีป
    อนึ่ง ในจักรวาลที่ตั้งอยู่พร้อมมูลอย่างนี้นั้น มี
    ภูเขาสิเนรุอันเป็นภูเขาสูงที่สุด หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็ประมาณเท่ากันนั้น
    ภูเขาใหญ่ทั้งหลาย คือภูเขายุคันธร ภูเขาอิสินธร ภูเขากรวีกะ ภูเขาสุทัสสนะ ภูเขาเนมินธระ
    ภูเขาวินตกะ ภูเขาอัสสกัณณะ อันตระการไปด้วยรัตนะหลากๆ ราวกะภูเขาทิพย์ หยั่ง (ลึก) ลงไป
    (ในมหาสมุทร) และสูงขึ้นไป (ในฟ้า) โดยประมาณกึ่งหนึ่งแต่ประมาณแห่งภูเขาสิเนรุไปตามลำดับ
    ภูเขาใหญ่ทั้ง ๗ นั้น (ตั้งอยู่) โดยรอบภูเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ (จาตุ)มหาราช เป็นที่ๆ เทวดา และยักษ์อาศัยอยู่

    ภูเขาหิมวาสูง ๕๐๐ โยชน์ ยาวและกว้าง ๓,๐๐๐ โยชน์ (เท่ากัน) ประดับไปด้วยยอดถึง ๘๔,๐๐๐ ยอด
    ต้นชมพู (หว้า) ชื่อนคะ วัดรอบลำต้นได้ ๑๕ โยชน์ ลำต้นสูง ๕๐ โยชน์ และกิ่ง (แต่ละกิ่ง)
    ก็ยาว ๕๐ โยชน์ แผ่ออกไปวัดได้ ๑๐๐ โยชน์โดยรอบ และสูงขึ้นไปก็เท่ากันนั้น ด้วยอานุภาพของ
    ต้นชมพู (นี้) ไรเล่า ทวีปนี้จึงถูกประกาศชื่อว่า ชมพูทวีป
    ก็แลขนาดของต้นชมพูนี้ใด ขนาดนั้นนั่นแหละเป็นขนาดของต้นจิตรปาฏลี (แคฝอย) ของพวกอสูร
    ต้นสิมพลี (งิ้ว) ของพวกครุฑ ต้นกทัมพะ (กระทุ่ม) ในอมรโคยานทวีป ต้นกัปปะในอุตตรกุรุทวีป
    ต้นสิรีระ (ซึก) ในบุพพวิเทหทวีป ต้นปาริฉัตตกะ ในดาวดึงส์ เพราะเหตุนั้นแล ท่านโบราณจารย์จึงกล่าวไว้ว่า
    (ต้นไม้ประจำภพและทวีป คือ) ต้นปาฏลี ต้นสิมพลี ต้นชมพู ต้นปาริตฉัตตะของพวกเทวดา
    ต้นกทัมพะ ต้นกัปปะ และต้นที่ ๗ คือ ต้นสิรีสะ ดังนี้
    ภาพประกอบ
    [​IMG]

    ขนาดภูเขาจักรวาล

    ภูเขาจักรวาล หยั่ง (ลึก) ลงไปในมหาสมุทร ๘๒,๐๐๐ โยชน์
    สูงขึ้นไป (ในฟ้า) ก็เท่ากันนั้น
    ภูเขาจักรวาลนี้ตั้งล้อมโลกธาตุทั้งสิ้นนั้นอยู่

    ขนาดของภพและทวีป
    ในโลกธาตุนั้น มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภพดาวดึงส์ ๑๐,๐๐๐ โยชน์ ภพอสูร มหานรกอเวจี และชมพูทวีปก็
    เท่ากันนั้น อมรโคยานทวีป ๗,๐๐๐ โยชน์ บุพพวิเทหทวีปก็เท่านั้น อุตตรกุรุทวีป ๘,๐๐๐ โยชน์ อนึ่ง ในโลกธาตุนั้น
    ทวีปใหญ่ๆ ทวีป ๑ ๆ มีทวีปน้อยเป็นบริวาร ทวีปละ ๕๐๐
    สิ่งทั้งปวง (ที่กล่าวมานี้) นั้น (รวม) เป็นจักรวาล ๑ ชื่อว่า โลกธาตุอัน ๑ ๑ในระหว่างแห่งโลกธาตุ
    ทั้งหลายมีโลกันตนรก (แห่งละ ๑)

    ๑. มหาฎีกาว่า จักรวาล ก็คือโลกธาตุ โลกธาตุได้ชื่อว่า จักรวาล ก็เพราะมีภูเขาจักรวาล ซึ่งสัณฐานดังกง
    รถล้อมอยู่โดยรอบเท่านั้นเองไม่ใช่จักรวาลอัน ๑ โลกธาตุอัน ๑
    ๒. ท่านว่าจักรวาลหรือโลกธาตุนั้นมีมากนัก ช่องว่างในระหว่างจักรวาล ๓ จักรวาลต่อกัน มีโลกันตนรก ๑
    ทุกแห่งไป โดยนัยนี้ คำว่า โลกันตนรก ก็แปลว่า นรกอันตั้งอยู่ในช่องระหว่างจักรวาล ๓ อันนั่นเอง
    พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "จูฬนีสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๒๑๕ เล่ม ๒๐ ว่า
    จักรวาล ประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลายโคจร ไปร่วมกัน
    จะมีขุนเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ) (เป็นภูเขาทิพย์ที่เห็นได้เฉพาะผู้มีอภิญญา) ทวีปต่างๆ ที่ตั้งชื่อกันในสมัย
    นั้นคือ ชมพูทวีป อปรโคยานทวีป อุตรกุรุทวีป และปุพพวิเทหทวีป มหาสมุทรทั้ง ๔ (นับกันได้ในสมัยนั้น)
    มีนรกขุมต่างๆ สวรรค์ชั้นต่างๆ และพรหมโลกชั้นต่างๆ
    โลกธาตุ มี ๓ ขนาด คือ โลกธาตุอย่างเล็กมีจำนวนพันจักรวาล โลกธาตุอย่างกลางมีจำนวนล้านจักรวาล
    โลกธาตุอย่างใหญ่มีจำนวน แสนโกฏิจักรวาล

    ทั้งโลกธาตุอย่างเล็กก็ดี อย่างกลางก็ดี อย่างใหญ่ก็ดี ยังมีอีกจำนวนมากมาย
    "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับไปในที่สุด"
    กำเนิดของโลกพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ใน "อัคคัญญสูตร" พระไตรปิฎก หน้า ๖๑ เล่ม ๑๑ ว่า
    เกิดมีน้ำขึ้นในห้วงอวกาศอันมืดมิดก่อนแล้วนานๆไปเกิดการรวมตัวงวดเข้าเป็นง้วนดิน แล้วพัฒนาเป็นกระบิดิน
    ต่อไปเป็นเครือดิน จากนั้นมีต้นข้าวและพืชทั้งหลายเกิดขึ้น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ หมู่ดาว
    นรกขุมต่างๆ เทวโลก และพรหมโลกชั้นต่างๆ ก็เกิดขึ้นเอง

    กำเนิดชีวิตพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า "เพราะมีความอยาก จึงมีการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลขึ้นมา
    เมื่อไม่มีความอยากการเกิดเป็นสัตว์เป็นบุคคลก็ไม่มี"

    กำเนิดชีวิตในจักรวาลอื่น ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังถกเถียงกันอยู่ว่ามีหรือไม่มี ?
    และยังคงไม่มีใครสามารถสร้างเครื่องมือติดต่อค้นหาเพื่อตอบคำถามนี้ได้
    แต่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แน่นอนมากว่าสองพันปีแล้วว่า "มี"

    นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า "ดวงอาทิตย์ มีเส้นผ่าศูยน์กลางประมาณ ๑,๔๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร
    หรือโตกว่าโลกประมาณ ๑๐๙ เท่า มีน้ำหนักประมาณ ๒ x ๑,๐๓๐ กิโลกรัม (หรือ ๒๐ ตามด้วย ๐ จำนวน ๓๐ ตัว)
    เนื้อตัวทั้งหมดของดวงอาทิตย์เป็นธาตุไฮโดรเจนซึ่งเป็นธาตุเบา เผาไหม้ตัวเองด้วยปฏิกิริยา
    เทอร์โมนิวเคลียร์ จากภายในใจกลางออกมาไม่ใช่เผาไหม้เฉพาะพื้นผิว
    สิ้นมวลของตัวเองวินาทีละ ๔ ล้านตัน เผาไหม้อย่างนี้มาแล้ว ๕,๕๐๐ ล้านปี
    และจะเผาไหม้อย่างนี้ต่อไปอีก ๕,๕๐๐ ล้านปี" เมื่อเป็นเช่นนี้ลองคิดดูว่าวันหนึ่งมีกี่วินาที ?
    ต่อให้ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นใหญ่โตขนาดไหนก็ตาม น่าจะย่อยยับหมดสิ้นภายในวันเดียว
    แต่ดวงอาทิตย์หรือดาวฤกษ์นั้นก็ยังอยู่ยืนยาวมานานนับพันๆล้านปี โดยยังมีขนาดเท่าเดิม "
    นี้คือความมหัศจรรย์ที่ยังคงเหนือการพิสูจน์
    อีกอย่างหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์คาดคะเนว่า "เวลาอันยาวนานในอนาคต
    ดวงอาทิตย์จะขยายตัวบวมขึ้นจนมีขนาดโตถึงวงโคจรของโลก
    แล้วกลืนกินโลกและดาวเคราะห์วงในทั้งหมด และเมื่อเวลายาวนานอีกต่อไป
    ก็จะค่อยๆยุบตัวลงกลายเป็นดาวแคระ คือจะมีขนาดเล็กลงเท่าโลกแต่มีความร้อนจัด
    ดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นดาวนิวตรอนที่มีขนาดเส้นผ่าศูยน์กลางเพียง ๒๕-๓๐
    กิโลเมตร และดาวฤกษ์บางดวงก็ยุบตัวลงเป็นหลุมดำ"

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ในอนาคตอันยาวไกลในสุริยะจักรวาล จะมีดวงอาทิตย์เกิดขึ้น
    เองเพิ่มขึ้นทีละดวงๆ จนครบ ๗ ดวง แล้วเผาไหม้โลกและดาวเคราะห์บริวารทั้งหมด
    นรกทุกขุม สวรรค์ทุกชั้น และพรหมโลกชั้นต่ำๆ รวมทั้งดวงอาทิตย์ทั้ง ๗ ดวงนั้น
    ก็พินาศไปด้วย แล้วก็จะมีแต่ความมืดมิดจนนานแสนนาน ก็ก่อตัวขึ้นมาใหม่อีก" (สุริยะสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ หน้า ๘๓)

    นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย คือปุถุชนผู้ที่ยังมีกิเลสตัณหา ตั้งทฤษฎีมาจากการคาดคะเน
    การนึกคิด การเดา การสันนิษฐาน การค้นคว้าทดลอง การสังเกตจดจำ
    การใช้เครื่องมือและอุปกรณ์เป็นจำนวนมาก แต่ทฤษฎีเหล่านั้นก็ยังไม่ตายตัว
    พร้อมที่จะถูกลบล้างได้ตลอดเวลา
    พระพุทธเจ้าทั้งหลาย คือบุคคลพิเศษ วิเศษ เป็นอัจฉริยะมนุษย์ เป็นบุคคลเอก
    ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน เป็นผู้สิ้นกิเลสตัณหา เป็นผู้มีญาณวิเศษรู้อดีต ปัจจุบัน
    และอนาคต เป็นผู้ตรัสรู้ เป็นผู้รู้แจ้งโลก ดังนั้นพระสูตรหรือทฤษฎีต่างๆที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ดีแล้ว
    จึงตายตัวไม่มีใครลบล้างได้
    ลักษณะของจักรวาล คือ มีเขาสิเนรุเป็นแกนกลาง มี เขาสัตตบริภัณฑ์ คือ เขาล้อมรอบ ๗ ชั้น
    ซึ่งมี สีทันดรมหาสมุทร คั่นอยู่ในระหว่าง ตั้งเป็นรูปร่างขึ้นไว้ก่อน ภูมิสวรรค์อยู่พ้นทวีปทั้งหลาย
    ซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ เช่น ชมพูทวีปซึ่งมีอินเดียเป็นศูนย์กลาง จึงอยู่พ้นป่าหิมพานต์
    พ้นภูเขาหิมวันตะหรือ หิมาลัย พ้นมหาสมุทรแห่งทวีปทั้งปวง แล้วถึงภูเขาสัตตบริภัณฑ์
    ตั้งต้นแต่ภูเขาสุทัสสนะ จนถึงภูเขาอัสสกัณณะ จึงเป็นอันถึงสวรรค์ชั้นที่ ๑ เพราะยอดเขา
    สัตตบริภัณฑ์เหล่านี้เองเป็นที่อยู่ของท้าวมหาราช ๔ องค์กับบริวาร นับเป็นสวรรค์ชั้นที่ ๑ เรียกว่า จาตุมหาราชิก

    ท้าวมหาราช ๔ องค์นี้ แบ่งกันครอบครอง ดั่งนี้

    ๑)ด้านทิศตะวันออกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวธตรัฏฐะ
    มีพวกคนธรรพ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นปุพพวิเทหทวีป)

    ๒)ด้านทิศใต้เป็นที่อยู่ของ ท้าววิรุฬหก มีพวกกุมภัณฑ์เป็นบริวาร
    (ถัดออกไปเป็นชมพูทวีป) พวกกุมภัณฑ์นี้ ท่านอธิบายว่าได้แก่ ทานพรากษส

    ๓)ด้านทิศตะวันตกของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าววิรูปักข์ มีพวกนาคเป็นบริวาร (ออกไปเป็น อมรโคยานทวีป)

    ๔)ด้านทิศเหนือของเขาสิเนรุเป็นที่อยู่ของ ท้าวกุเวร มีพวกยักษ์เป็นบริวาร (ถัดออกไปเป็นอุตตรกุรุทวีป)

    ท้าวมหาราชที่ ๔ ครองอยู่ ๔ ทิศของเขาสิเนรุ มีกล่าวถึงใน อาฏานาฏิยสูตร
    หน้าที่ของท้าวมหาราชที่ ๔ และบริวารตามที่ได้กล่าวไว้ คือเป็นผู้รับด่านหน้า
    ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพื่อป้องกันพวกอสูรซึ่งเป็นศัตรูของเทพชั้นดาวดึงส์จะ
    ยกมาตีเอาถิ่นสวรรค์ชั้นนั้น แต่ใน สุตตันตปิฎก ติกนิบาต ได้มีแสดงหน้าที่ให้
    เป็นผู้ตรวจ ซึ่งเป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์อีกด้วย แสดงเป็นพระพุทธภาษิตมีความว่า
    ในวัน ๘ ค่ำแห่งอมาตย์บริษัทของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๔ ค่ำแห่งปักข์
    บุตรทั้งของท้าวมหาราชทั้ง ๔ เที่ยวตรวจดูโลก ในวัน ๑๕ ค่ำแห่งปักษ์
    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ตรวจดูโลกเองว่าพวกมนุษย์พากันบำรุงบิดามารดา
    บำรุงสมณพราหมณ์ เคารพนบน้อมผู้ใหญ่ในตระกูล รักษาอุโบสถ ทำบุญกุศล
    มีจำนวนมากด้วยกันอยู่หรือ เมื่อตรวจดูแล้ว ถ้าเห็นว่ามีจำนวนน้อย ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์
    ซึ่งประชุมกันใน สุธรรมสภา พวกเทพชั้นดาวดึงส์ เมื่อได้ฟังดั่งนั้นก็มีใจหดหู่ว่า ทิพยกายจักลดถอย
    อสุรกายจักเพิ่มพูน แต่ถ้าเห็นว่าพวกมนุษย์พากันทำดี มีบำรุงมารดาบิดาเป็นต้น เป็นจำนวนมาก
    ก็ไปบอกแก่พวกเทพชั้นดาวดึงส์เหมือนอย่างนั้น พวกเทพชั้นดาวดึงส์ก็พากันมีใจชื่นบานว่า
    ทิพยกายจักเพิ่มพูน อสุรกายจักลดถอย ๑
    ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มีหน้าที่เป็น จตุโลกบาล คือ เป็นผู้คุ้มครองโลกทั้ง ๔ ทิศ
    ตามที่เชื่อถือกันมาเก่าก่อนพระพุทธศาสนา แต่เมื่อพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นแล้ว
    พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดง ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลกไว้ ๒ ข้อ คือ หิริ
    ความละอายใจ ที่จะทำชั่ว โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว เพราะเหตุนี้
    จึงไม่กล่าวให้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ทำหน้าที่คุ้มครองโลกโดยตรง จะไม่กล่าวถึงเลย
    ก็จะขัดขวางต่อความเชื่อของคนทั้งหลายจนเกินไป จึงกล่าวเปลี่ยนไปให้มีหน้า
    ที่เที่ยวตรวจดูโลกมนุษย์ ว่าได้พากันทำดีมากน้อยอย่างไร แล้วก็นำไปรายงาน
    พวกเทพชั้นดาวดึงส์ พวกเทพชั้นนั้นได้รับรายงานแล้วก็เพียงแต่มีใจชื่นบานหรือ
    ไม่เท่านั้น เห็นได้ว่าท่านผู้รวบรวมร้อยกรองเรื่องนี้ไว้ในพระสุตตันตปิฎก ต้องการ
    จะรักษาเรื่องเก่าที่คนส่วนมากเชื่อถือ ด้วยวิธีนำมาเล่าให้เป็นประโยชน์ในทางตักเตือนให้ทำดี
    เหมือนอย่างที่มีคำเก่ากล่าวไว้ว่า ถึงคนไม่เห็น เทวดาก็ย่อมเห็น คือ สดงจตุโลกบาลที่
    เขาเชื่อกันอยู่แล้วในทางที่อาจเข้าใจเป็นธรรมาธิษฐาน ซึ่งเป็นข้อมุ่งหมายโดยตรง
    ถึงจะเชื่อว่ามีตัวตนอยู่จริงและคอยมาตรวจดูโลกว่า ใครทำดีไม่ดีอย่างไรก็ไม่เสียหาย
    กลับจะดีเพราะจะได้เกิดละอายกลัวเกรงว่า จตุโลกบาลจะรู้จะเห็นว่าทำไม่ดี หรือไม่ทำดี
    เป็นอันหนุนให้เกิดหิริโอตตัปปะขึ้นได้ ผู้ที่ไม่ยอดเชื่อเสียอีกอาจจะร้ายกว่า
    เพราะไม่มีที่ละอายยำเกรง เว้นไว้แต่จะมีภูมิธรรมในจิตใจดีอยู่แล้ว หรือมีที่ละอายยำ
    เกรงอย่างอื่นแทนอยู่ วันที่ท่านกล่าวว่าจตุโลกบาลมาตรวจดูโลก เดือนหนึ่งมีไม่กี่วัน
    ดูเหมือนจะน้อยไป แต่คงไม่หมายความว่าตรวจกรรมของคนเฉพาะวันนั้น วันอื่นไม่เกี่ยวข้องด้วย
    ควรเข้าใจว่า ตรวจดูรู้ย้อนไปถึงวันอื่นๆ ในระหว่างที่ไม่ได้ลงมานั้นด้วย ตัวของเราเองทุกๆ
    คนนึกย้อนตรวจดูกรรมของตนเองภายใน ๗ วันยังจำได้ ไฉนโลกบาลจะไม่รู้กรรมที่ตนเองทำ
    แม้จะลืมไปแล้ว โลกบาลก็ต้องรู้ เมื่อเชื่อว่าโลกบาลมีจริง ก็ควรจะเชื่ออย่างนี้ด้วย
    จึงจะเป็นโลกบาลที่สมบูรณ์ สรุปลงแล้วทำความเข้าใจว่า โลกบาลมาตรวจตราดูที่จิตใจนี้เอง
    จะเกิดประโยชน์มาก.

    ตามหลักในการจัดภูมิต่างๆ สัตว์ดิรัจฉานเป็นอบายภูมิต่ำกว่าภูมิมนุษย์และสวรรค์
    พระอาจารย์จึงกล่าวว่าในสวรรค์ไม่มีสัตว์เดียรัจฉาน การเกิดในสวรรค์ เกิดโดยอุปปาติก
    กำเนิดอย่างเดียว จึงน่ามีปัญหาว่า พวกนาคซึ่งเป็นบริวารของท้าวมหาราชจะจัดว่าเป็นภูมิอะไร
    นอกจากนี้ บริวารของท้าวมหาราชจำพวกอื่น เช่น พวกกุมณฑ์ ก็มีลักษณะพิกล
    ยักษ์บางพวกก็ดุร้าย เป็นผีเที่ยวสิงมนุษย์ก็มี ดูต่ำต้อยกว่าภูมิมนุษย์
    แต่ก็อยู่ในสวรรค์ชั้นหนึ่งนี้ด้วย ตามที่กล่าวมานี้ น่าเห็นว่าเก็บเอามาจากเรื่องเก่าๆ
    จึงฟังไม่สนิทตามหลักการจัดภูมิต่าง ๆ ดั่งกล่าว
    ชมพูทวีป หมายถึง โลกมนุษย์ทั้งหมด ไม่ใช่อินเดีย-เนปาล
    อย่างที่หลายๆคนเข้าใจ ดังมีหลักฐานที่พระพุทธเจ้าแสดงดังนี้

    ทวีปต่างๆในจักรวาล

    ๑) ชมพูทวีป ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)

    -มีธาตุมรกตอยู่ทางทิศใต้ของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุมรกตทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของชมพูทวีปมีสีน้ำเงินแกมเขียว
    -มนุษย์ที่ชมพูทวีป มีความสูง ๔ ศอก มีอายุประมาณ ๑๐๐ ปี (อาจตายก่อนอายุได้ ไม่แน่นอน)
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ อายุยิ่งหย่อนขึ้นอยู่กับคุณธรรม ไม่แน่นอน
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระวิปัสสี" มนุษย์ในชมพูทวีปมีอายุถึง ๘๐,๐๐๐ ปี
    -สมัยของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระเรวะตะ" มนุษย์ในชมพูทวีปมีความสูงถึง ๘๐ ศอก
    -แต่เมื่อคุณธรรมเสื่อมลง จิตใจหยาบช้าลง อาหารเลวลง อายุก็ลดลง ร่างกายก็เตี้ยลง
    -ต่อไปภายภาคหน้ามนุษย์ในชมพูทวีป จะมีอายุเพียง ๑๐ ปี เท่านั้น และตัวจะเตี้ยถึงขนาด
    ต้องสอยมะเขือกิน เรียกยุคนั้นว่า "ยุคทมิฬ" เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดของ "ชมพูทวีป"
    -ดอกไม้ประจำชมพูทวีปคือ "ชมพู (ไม้หว้า)" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกว่า "ชมพูทวีป"
    เพราะดอกไม้ประจำทวีปนี้คือ ดอก "ชมพู"
    -ชมพูทวีป เป็นทวีปเดียวที่พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องมาตรัสรู้ที่ทวีปนี้เท่านั้น

    ๒) อมรโคยานทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เป็นแผ่นดินกว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ ประกอบด้วยเกาะ และแม่น้ำใหญ่น้อย
    -มีธาตุแก้วผลึกอยู่ทางทิศตะวันตกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุแก้วผลึกทำให้ทองฟ้าและมหาสมุทรของอมรโคยานทวีปมีสีแก้วผลึก
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์ครึ่งซีก มีใบหน้าวงกลม คล้ายวงพระจันทร์ คนหน้าเหมือนดั่งเดือนแรม จมูกโด่ง คางแหลม
    -มนุษย์ที่อมรโคยานทวีป มีความสูง ๖ ศอก มีอายุ ๕๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำอมรโคยานทวีปคือ "กะทัมพะ (ไม้กระทุ่ม)"

    ๓) ปุพพวิเทหะทวีป ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -เนื้อที่กว้าง ๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะ ๔๐๐ เกาะ
    -มีธาตุเงินอยู่ทางทิศตะวันออกของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุเงินทำให้ทองฟ้า
    และมหาสมุทรของปุพพวิเทหะทวีปมีสีเงิน
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ มีรูปหน้าเหมือนพระจันทร์เต็มดวง คนหน้ากลมเหมือนดวงจันทร์
    มีใบหน้าตอนบนโค้งตัดลงมาเหมือนบาตร
    -มนุษย์ที่ปุพพวิเทหะทวีป มีความสูง ๙ ศอก มีอายุ ๗๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -ดอกไม้ประจำปุพพวิเทหะทวีปคือ "สิรีสะ (ไม้ทรึก)"

    ๔) อุตรกุรุทวีป ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ (เขาพระสุเมรุ)
    -มีพื้นที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม เนื้อที่กว้าง ๘,๐๐๐ โยชน์ เป็นที่ราบ
    -มีธาตุทองคำอยู่ทางทิศเหนือของเขาสิเนรุ แสงสะท้อนของธาตุทองคำทำให้ทองฟ้า
    และมหาสมุทรของอุตรกุรุทวีปมีสีเหลืองทอง
    -มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในทวีปนี้ รูปร่างงาม มีลักษณะใบหน้าเป็นรูป ๔ เหลี่ยม รักษาศีล ๕ เป็นนิจ
    ไม่ยึดถือสมบัติ บุตร ภรรยา สามี ว่าเป็นของๆตน
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป มีความสูง ๑๓ ศอก มีอายุ ๑,๐๐๐ ปี (จะไม่ตายก่อนอายุ เป็นกฏตายตัว)
    -มีต้นไม้นานาชนิด ดอกไม้ประจำอุตรกุรุทวีปคือ "กัปปรุกขะ (กัลปพฤกษ์)"
    ถ้าอยากได้อะไร ก็ไปนึกเอาที่ต้นกัลปพฤกษ์ จะสมปรารถนา
    -มนุษย์ที่อุตรกุรุทวีป เมื่อตายจากทวีปนี้ ทุกคนจะได้ไปเกิดใน "เทวภูมิ ชั้นตาวติงสาห์ภูมิ" ทุกๆคน เป็นกฏตายตัว
    -ในภาษาบาลี "อุตร" แปลว่า "เหนือ" ...เพราะเหตุนี้ ถึงเรียกทวีปนี้ว่า "อุตรกุรุทวีป"

    ที่มา : บอร์ดอกาลิโก ลิงค์
     
  6. ผู้ไร้ความกังวล

    ผู้ไร้ความกังวล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    40
    ค่าพลัง:
    +60
    ขอบคุณที่ปิดซะที่กระทู้ ฮุรันต้า น่าจะไปเปิดในห้อง สตั้นแมน
     
  7. Wonder Girls

    Wonder Girls สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +15
    ไม่ใช่ 3 ล้านหรอกค่ะ เพราะในเอกภพมีจักรวาล (แกแล็กซี่) อยู่ประมาณ 1 แสนล้านจักรวาล (แกแล็กซี่)
    แล้วในแต่ละจักรวาล (แกแล็กซี่) จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ทุกจักรวาล (แกแล็กซี่) ไม่ใช่เฉพาะ
    จักรวาลของเรา (Milky Way Galaxy) เท่านั้น

    สรุปมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในทุกจักรวาลมากกว่า 1 แสนล้านองค์
    เพราะในแต่ละจักรวาล (แกแล็กซี่) น่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้มากกว่า 1 องค์ขึ้นไป
    จึงน่าจะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในทุกจักรวาลมากกว่า 1 แสนล้านองค์
     
  8. JK!

    JK! สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +2
    เอ่อไม่ทราบเอาอ้างอิงมาจากใหนครับ
    ถ้าอ้างจากพระไตรปิฏกช่วยบอก เล่ม นิกาย วรรค ให้ด้วยครับ
    ว่าผมตกหล่นเรื่องนี้ไปจริง ๆหรือ?
    จริง ๆ ผมก็จำพระไตรปิฏกไม่ได้ทั้งหมดหรอกนะครับ
    แต่เท่าที่จำได้ พุทธเขตมีอยู่สามระดับ
    พุทธชาติเขต ขอบเขตหมื่นจักรวาล
    พุทธอาณาเขต ขอบเขตแสนโกฏิจักรวาล
    พุทธวิสัยเขต ขอบเขตอนันตจักรวาล
    ถ้าผมจำไม่ผิด พุทธอุบัติจะเกิดขึ้นในระดับพุทธอาณาเขตเท่านั้น
    คือในแสนโกฏิจักรวาล แต่ละจักรวาลมีหมื่นโลกธาตุที่มนุษย์สามารถถือกำเนิดขึ้นได้
    แต่พุทธอุบัติจะไม่เกิดขึ้นทุกจักรวาล
    จะเกิดใด้ใน "มงคลจักรวาล" เท่านั้นนะครับ
    และพุทธอุบัติจะเกิดขึ้นได้คราวละหนึ่งองค์เท่านั้น
    จำนวนของพระพุทธเจ้าจึงมีจำกัดเพราะในแสนโกฏิจักรวาลไม่ได้มีพระพุทธเจ้าทุกจักรวาล
    แล้วก็ไม่ได้มีพุทธอุบัติเกิดขึ้นทุกกัปป์
    จำนวนของพระพุทธเจ้าจึงไม่มีทางถึงแสนล้านองค์ได้ครับ
    เพราะในบางจักรวาลที่ไม่ใช่มงคลจักรวาลต่อให้เกิดดับนับอสงไขยก็จะไม่มีพุทธอุบัตินะครับ
     
  9. ME_O

    ME_O สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +16
    ที่ผมพูดถึง คือพระปัจเจกพุทธเจ้าครับ แล้วที่สำคัญ ไม่ใช่ทุกจักรวาล จะมีพระพุทธเจ้านะ มีแค่บางจักรวาล แล้วก็ไม่ได้จำกัดอะไรด้วย บางจักรวาล อาจมีมากกว่า 1 ด้วยซ้ำ
     
  10. ME_O

    ME_O สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +16
    หมายความว่า มีบางกัปป์ ที่ไม่มี แม้แต่พระปัจเจกพุทธเจ้าเหรอคับ(เพิ่งรู้นะเนี่ย)
     
  11. JK!

    JK! สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +2
    ข้างบนนั้นผมโต้แย้งคุณวันเดอร์เกิลด์ครับที่บอกว่ามีพระพุทธเจ้าทุกจักรวาล
    และใช้คำว่า "พระพุทธเจ้า" ซึ่งจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดได้
    ว่าพูดถึงพุทธอุบัติการเกิดมาของพระพุทธเจ้า
    เพราะข้างบนอ้างอิงถึงพระพุทธเจ้า
    เดี๋ยวคนจะสับสนเลยต้องแก้ความเข้าใจครับ
    เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้มีมาทุกกัปป์ครับ
    ซึ่งบางทีหายไปนานถึง ๔๐ ๖๐ กัปป์ก็มีครับ

    แต่พระปัจเจกพุทธเจ้านี่มีเอนกอนันต์อยู่แล้วครับ
    โพสท์ของคุณ ME O ใช้คำว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า
    ซึ่งชัดเจนอยู่แล้วผมจึงไม่ได้โต้แย้งใด ๆครับ
     
  12. ME_O

    ME_O สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +16
    ขอบคุณหลาย นึกว่าผมเข้าใจผิดซะอีก
     
  13. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    แนะนำ หาอ่านใน มหาสมยสูตร ที่พระพุทธองค์ท่านเนรมิตพระพุทธนิมิตมาอีกองค์เหาะมา

    ตรงนี้ กล่าวว่า

    เทพ เป็น ปุถุชน คิดว่า พระพุทธเจ้าพระองค์เดียวยิ่งใหญ่ขนาดนี มี 2 พระองค์จะยิ่งใหญ่ขนาดไหน

    แต่

    เทพที่เป็นพระอริยะ ท่านตรึกว่า พระัพุทธเจ้ามีพระองค์เดียวในแต่ละยุค และไม่มีในจักรวาลอื่น ชะรอยจะเป็นพระพุทธเนรมิตร

    สุดท้ายถ้าผมจำไม่ผิด พระพุทธเนรมิตนั้น ตอบโต้คำถามกลับพระองค์แล้ว ซ้อนรวมร่างให้เป็นองค์เดียวกัน เพื่อไขปัญหาของเทพปุถุชน

    เอวัง ....
    เ่อ่อ เรื่องพระมหาโมคคัลลานะ ไปเจอพระพุทธเจ้าพระองค์อื่นในจักรวาลอื่น ในเถรวาทไม่มี
    มีในมหายานที่ แปร่ง เพี้ยนมากขึ้น เท่าัน้น

    เพราะ เค้าถือพระพุืทธะหลายองค์มาก
    พระอมิตาภะใน สวรรค์ทิศตะวันตก สุขาวดี ก็องค์หนึ่ง
    พระศรีศากยะมุนี คือพระพุทธองค์ปัจจุบัน พระองค์หนึ่ง
    พระพุทธไภสัช ก็พระองค์หนึ่ง

    ....บางที แม้ หลวงพ่อพระประยุทธ์ ปยุตโต ท่านยังบอกว่า พระไตรปิฏกมหายาน เพี้ยนจากคำสอนเดิม ไปมาก ถือเอาคำของอาจารย์ มาเป็นใหญ่ มากกว่าพุทธวจนะ

    ที่สำคัญคือ คาถาเก่าแก่ที่จารึกไว้ มักจารึกเป็นพระคาถา เยธัมมา ซึ่งมีลักษณะออกเป็นบาลี มากกว่าสันสกฤต อย่าง มหายาน นิยมใช้ ครับ
    พระคาถานี้ น่าจะ เก่าแก่ที่สุด ที่ได้จารึกไว้ มั้งครับ เพราะ(ที่ผม)คิดว่ามีตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช (พ.ศ. 240 - พ.ศ. 312 ครองราชย์ พ.ศ. 270 - พ.ศ. 311)

    ประมาณห่างแค่ช่วงกลางกรุง อยุธยา กะ รัตนโกสินทร์ช่วงนี้พอดี และไม่มีวัฒนธรรมอื่นแทรก มากนักเช่นของตะวันตก คงไม่ผืดเพี้ยนมากนัก แถม พระเถระสมัยก่อน อายุ 100 กว่าๆก็มี (สืบช่วงแค่ 3 คนเอง แหมๆ )
    และอย่าดูถูกความจำคนสมัยก่อน คัมภีร์พระเวท ยังท่องจำมาได้ ความจำดีขนาดไหน เพระไม่มีเรื่องอะไรให้ยุ่งยาก หรือข้อมูลเยอะแบบปัจจุบัน แถมขยะความจำเช่น ดารา หนัง ยังไม่มี ในสมัยนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 สิงหาคม 2009
  14. BATIOHM

    BATIOHM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +114
    เห็นด้วยกับพี่นายเมครับ เพราะผมหาอ่านในพระไตรปิฎกก็ไม่พบ อีกทั้งไปสอบถามท่านผู้รู้รวมทั้งพระอาจารย์หลายๆ ท่าน ปรากฎว่าไม่เคยมีท่านใดเคยได้ยินเรื่องนี้รวมทั้งเรื่องพระอมิตาภะพุทธเจ้าที่ท่านพระโมคคัลลานะท่านเหาะไปหาบาตรก็เช่นกันครับ ผมจึงสรุปเอาเองว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องแต่งขึ้นมากว่า(ผมสรุปเองนะฮ่ะ ถ้าใครมีข้อมูลมาก็แย้งได้เลยนะครับ)

    ส่วนเรื่องที่กระทู้ตอนต้นถามเรื่องพระพุทธเจ้าพระองค์แรกนั้น ท่านทรงพระนามว่าสมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 หรือ "สมเด็จองค์ปฐม" เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกในสากลมหาจักรวาล ก่อนพระตัณหังกรที่ท่านถามมาอีกครับ พระองค์ทรงบำเพ็ญบารมีมามากกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ และพระองค์ก็ทรงเป็นผู้ที่บัญญัติว่าต่อไปในอนาคตกาลจะมีลักษณะของการบำเพ็ญบารของพระพุทธเจ้ามี 3 ลักษณะ คือ
    1. ปัญญาธิกะ
    2. ศรัทธาธิกะ
    3. วิริยะธิกะ
     
  15. จื่อหลิง

    จื่อหลิง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    294
    ค่าพลัง:
    +698
    ใช่ครับ เรื่องพระโมคคัลลานะเหาะไปหาบาตร ผมก็อ่านเจอในของมหายานนั่นแหละครับ
    เห็นโพส คุณBATIOHM แล้วอยากรู้เลยว่าประวัติ ของสมเด็จพระพุทธสิกขีที่ 1 หรือ สมเด็จองค์ปฐม มีใครพอทราบไหมครับ
     
  16. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    หาอ่านในหนังสือหลวงพ่อฤาษีครับ
     
  17. BATIOHM

    BATIOHM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +114
    เรื่องของสมเด็จองค์ปฐม ผมหาอ่านในพระไตรปิฏกไม่พบอย่างชัดแจ้งนะฮ่ะ แต่มีข้อความกล่าวถึงพระองค์ท่านแบบเล็กๆ คือ สมเด็จพระพุทธสิกขี 1 จอมมุนีพระพุทธเจ้า (เข้าใจว่าองค์นี้คือ สมเด็จองค์ปฐม) เพราะพระไตรปิฎกกล่าวถึงพระพุทธเจ้าเพียงแค่ 500 องค์หลังเท่านั้นครับ เพราะจริงๆ พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านมาแล้ว มีหลายแสนองค์ครับ

    ประวัติสมเด็จองค์ปฐม ผมคัดมาจากหนังสือท่านพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง บ่ได้แต่งเองนะครับ

    "สมเด็จองค์ปฐม" ก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์แรกหรือองค์ที่หนึ่ง ทรงพระนามว่า "สมเด็จพระพุทธสิกขีที่" แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้วอาจมีชื่อซ่ำกันได้ โดยเฉพาะชื่อนี้มีด้วยกันถึง 5 พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น "พระพุทธสิกขีที่ 1" พระองค์จึงเป็นต้นพระวงศ์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระพุทธองค์ว่า ทรงเป็น "สมเด็จองค์ปฐมบรมครู" อย่างแท้จริง
    สมันที่สมเด็จพระพุทธองค์ได้ทรงอุบัติขึ้นในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัยประมาณ 8 หมื่นปี พระพุทธองค์ทรงผนวชออกมหาภิเนษกรมณ์ เมื่อพระชนมายุได้ 4 หมื่นปี หลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก 2 หมื่นปี จึงได้ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ 2 หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง 40 อสงไขยกัปในการบำเพ็ญพระบารมีเพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง (40 อสงไขยนี้เฉพาะตอนที่ท่านบำเพ็ญเป็นนิยตโพธิสัตว์เท่านั้น หากว่านับตั้งแต่เริ่มต้นจริงๆ ไม่รู้กี่ร้อยอสงไขยกัป) เนื่องจากพระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แรก จึงไม่มีแบบอย่างที่จะให้พระพุทธองค์ได้ศึกษาเป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุพระโพธฺญาณ ระยะเวลาที่บำเพ็ญพระบารมีจึงใช้ถึง 40 อสงไขยกัปเศษ
     

แชร์หน้านี้

Loading...