การต่อสู้ระหว่างพระพุทธเจ้าเพียงลำพังพระองค์เดียวกับศัตรูหมู่มารผู้มีอิทธิฤทธิ์

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย deneta, 5 กุมภาพันธ์ 2009.

  1. deneta

    deneta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2,711
    ค่าพลัง:
    +5,720
    ๑. ชนะพระยามาร
    [​IMG]
    www.b.yimwhan.com/board/<WBR>show.php?user=kobkob...
    พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
    ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
    ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต* ชะยะมังคะลานิ

    พระยามารผู้นิรมิตแขนได้ตั้งพัน ถืออาวุธครบมือ
    ขี่พระยาคชสารชื่อ คีรีเมขล์ พร้อมพลมารโห่ร้องมา
    องค์พระจอมมุนีก็เอาชนะมารได้ ด้วยทานบารมี
    ด้วยเดชะอันนี้ ขอชัยมงคลจงมีแก่เรา

    พุทธชัยมงคลคาถาบทที่ ๑ เป็นบทที่กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่อกองทัพพระยามารในคืนวันตรัสรู้ เป็นการต่อสู้ระหว่างพระพุทธเจ้าเพียงลำพังพระองค์เดียวกับศัตรูหมู่มารผู้มีอิทธิฤทธิ์ และมีจำนวนมากมายเป็นกองทัพ แต่ในที่สุดพระพุทธองค์ก็ทรงเอาชนะหมู่มารนั้นได้ คาถาบทนี้จึงนิยมใช้สำหรับการเอาชนะศัตรูหมู่มาก เช่น ใช้ในการออกรบ เป็นต้น
    ที่มาของชัยชนะครั้งนี้ มีดังนี้

    เมื่อครั้งที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบรรพชานั้น พระองค์ทรงม้ากัณฑกะเสด็จออกจากกรุงกบิลพัสดุ์ในยามราตรี โดยมีนายฉันนะเป็นผู้ตามเสด็จพระองค์ทรงเสด็จไปตลอดราตรี เมื่อเดินทางได้ระยะทาง ๓๐ โยชน์ พระองค์ก็ทรงข้ามแม่น้ำอโนมานที และทรงบรรพชา ณ ริมฝั่งน้ำนั้น โดยใช้พระขรรค์ตัดพระเมาลีออก และเปลี่ยนชุดทรงเป็นนักบวช จากนั้นก็ให้นายฉันนะกลับไปกราบทูลพระเจ้าสุทโธทนะพระราชบิดาให้ทรงทราบ
    ตามธรรมเนียมการอุบัติของพระพุทธเจ้านั้น ในช่วงต้นกัปเมื่อเริ่มเกิดง้วนดินขึ้น บริเวณศูนย์กลางแผ่นดินที่เรียกว่าสะดือดิน อันเป็นตำแหน่งที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ จะมีดอกบัวที่ภายในบรรจุชุดนักบวชและเครื่องอัฐบริขารดอกละ ๑ ชุด ผุดขึ้นมา จำนวนดอกบัวเท่ากับจำนวนพระพุทธเจ้าที่จะมาอุบัติในกัปนั้น
    จากนั้น พระพรหมจากพรหมโลก ก็จะมาอัญเชิญชุดและเครื่ออัฐบริขารไปประดิษฐานในทุสเจดีย์ ในพรหมโลกชั้นที่ ๑๑ เพื่อรอพระโพธิสัตว์มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าต่อไป
    วันที่เจ้าชายสิทธัตถะเสด็จออกบวช ฆฏิกาพรหมผู้เคยเป็นสหายของเจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อครั้งเกิดเป็นโชติปาลมาณพในพุทธกาลของพระกัสสปะ พระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ก็ได้นำชุดและเครื่องอัฐบริขารมาถวาย และได้รับเอาชุดทรงเก่าไปประดิษฐานไว้ในทุสเจดีย์ ส่วนพระเมาลี เจ้าชายสิทธัตถะได้โยนขึ้นในนภากาศ อธิษฐานว่าหากพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ขออย่าให้พระเมาลีนี้ตกลงบนผืนดิน ซึ่งท้าวสักกเทวราชก็เสด็จเอาผอบแก้วมารองรับพระเมาลีนั้น แล้วนำไปประดิษฐานอยู่ในพระจุฬามณีในดาวดึงส์สวรรค์
    หลังจากบรรพชาแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงพักอยู่บริเวณนั้น ซึ่งเป็นสวนมะม่วงอนุปิยอัมพวันเป็นเวลา ๗ วัน จากนั้นจึงเสด็จดำเนินต่อไปจนถึงกรุงราชคฤห์ และเข้าไปบิณฑบาตในพระนคร พระเจ้าพิมพิสารทรงเลื่อมใสกราบทูลว่าเมื่อใดที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ขอเชิญเสด็จมาสั่งสอนธรรมที่กรุงราชคฤห์เป็นแห่งแรกด้วย
    เจ้าชายสิทธัตถะทรงเสด็จดำเนินต่อไป ทรงไปสู่สำนักของอาจารย์ที่มีชื่อเสียง คือ อาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ทรงเล่าเรียนปฏิบัติพรตจนสำเร็จอภิญญาและฌานสมาบัติได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่พระองค์ทรงดำริว่านี้ไม่ใช่หนทางเพื่อการตรัสรู้ พระองค์จึงเสด็จต่อไปยังอุรุเวลาประเทศ และตั้งปณิธานค้นหาหนทางเพื่อบรรลุพระโพธิญานด้วยพระองค์เอง
    เวลาเดียวกันนั้น โกณฑัญญะพราหมณ์ ผู้เคยทำนายเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อครั้งประสูติว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อทราบข่าวว่าพระองค์ทรงเสด็จออกบรรพชาแล้ว จึงไปชวนบุตรของพราหมณ์โหราจารย์อื่นๆ ออกบวชตาม รวมเป็น ๕ พราหมณ์ เรียกว่า ปัญจวัคคีย์ และตามมาปรนนิบัติเจ้าชายสิทธัตถะถึงอุรุเวลาประเทศ
    เจ้าชายสิทธัตถะทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาอย่างยวดยิ่ง ทั้งอดข้าว อดน้ำ กลั้นลมหายใจ จนพระวรกายผอมโซ ไม่มีเรี่ยวแรง ถึงขั้นสิ้นสติเกือบสิ้นพระชนม์หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถค้นพบวิธีพ้นทุกข์ได้ จึงทรงดำริว่าไม่ใช่หนทางที่ถูก
    เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงหันมาปฏิบัติทางสายกลาง คือ ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป กลับมาฉันอาหารตามปกติจนมีพระวรกายสมบูรณ์ มีพระสติแจ่มใส แต่เมื่อบรรดาพระปัญจวัคคีย์เห็นพระองค์ทรงกลับมาฉันอาหารตามปกติ จึงคิดว่าเจ้าชายสิทธัตถะทรงละความพยายามเสียแล้ว จึงพากันหลบพระองค์ไปอยู่ที่ป่าอิสิปตนะ ระยะทางห่างออกไป ๑๘ โยชน์
    หลังจากออกบรรพชาได้ ๖ ปี เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ นางสุชาดา ชาวอุรุเวลาเสนานิคม ได้เตรียมข้าวมธุปายาสเพื่อทำพลีกรรมที่ต้นไทร เนื่องจากนางได้บุตรชายตามที่ได้เคยบนบานไว้ ระหว่างที่เตรียมข้าวมธุปายาสอยู่ นางก็ใช้ให้นางปุณณาทาสีมาทำความสะอาดโคนต้นไม้รอไว้
    นางปุณณาทาสีมาพบเจ้าชายสิทธัตถะประทับนั่งอยู่โคนไทร เห็นบริเวณนั้นสว่างไสวด้วยรัศมีจากพระองค์ เข้าใจว่าเป็นเทวดามารอรับพลีกรรม จึงรีบกลับไปบอกนางสุชาดา
    นางสุชาดาเกิดปิติและศรัทธา จึงได้ใช้ถาดทองราคาถึงแสนหนึ่งใส่ข้าวปายาสจนเต็มถาด แล้วทูนถาดนั้นบนศีรษะไปยังต้นไทร นำไปถวายเจ้าชายสิทธัตถะเพราะคิดว่าเป็นเทวดา
    ขณะนั้น เจ้าชายสิทธัตถะไม่มีบาตรรับอาหาร ไม่รู้จะรับทานนั้นอย่างไร นางสุชาดารู้อาการจึงถวายข้าวปายาสพร้อมถาดโดยไม่เสียดายแล้วกลับไป
    เจ้าชายสิทธัตถะทรงปั้นข้าวมธุปายาสเหมือนจาวตาลได้ ๔๙ ปั้น แล้วประทับเสวยที่ริมฝั่งน้ำ ครั้นเสวยแล้วจึงทรงถือถาดทองตรัสว่า

    http://www.agalico.com/board/archive/index.php/t-6773.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2009
  2. deneta

    deneta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2,711
    ค่าพลัง:
    +5,720

    “ถ้าเราจะได้บรรลุโพธิญานในวันนี้ ขอถาดนี้จงลอยทวนกระแสน้ำไป แต่ถ้าไม่ได้ ขอถาดนี้จงลอยไปตามกระแสน้ำตามปกติเถิด”
    ตรัสแล้วก็ทรงลอยถาดลงไปในกระแสน้ำ ถาดนั้นก็ลอยทวนกระแสน้ำไปประมาณ ๘๐ ศอก แล้วจมลงกลางน้ำวนจนไปถึงภพของพระยากาฬนาคราช กระทบซ้อนถาดของพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์ก่อนหน้า เสียงถาดทองกระทบกันปลุกให้พระยากาฬนาคราชลืมตาตื่นขึ้น กล่าวว่า “เมื่อวาน พระพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วองค์หนึ่ง วันนี้ก็จะบังเกิดขึ้นอีกองค์หนึ่ง”
    ฝ่ายเจ้าชายสิทธัตถะทรงพักผ่อนอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำจนถึงเวลาเย็น จึงเสด็จบ่ายพระพักตร์ไปทางต้นโพธิ ผ่านคนหาบหญ้าชื่อ โสตถิยะ ที่หาบหญ้าเดินสวนทางมา เขาจึงได้ถวายหญ้า ๘ กำมือ เจ้าชายสิทธัตถะก็รับหญ้านั้นมาปูลาดเป็นอาสนะใต้ต้นโพธิ
    เจ้าชายสิทธัตถะทรงประทับนั่งแล้วทรงอธิษฐานว่า
    “แม้เนื้อและเลือดในสรีระจะแห้งเหือดไปจนหมดสิ้น แม้ร่างจะเหลือเพียงหนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที ถ้าเรายังไม่บรรลุพระโพธิญาณ เราจักไม่ลุกจากบัลลังก์นี้”
    อธิษฐานแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงประทับนั่งขัดสมาธิอยู่บนบัลลังก์นั้น
    ครั้งนั้น เทวดาจากหมื่นจักรวาลก็มาห้อมล้อมและยืนกล่าวสดุดีพระโพธิสัตว์ ท้าวสักกเทวราชมายืนเป่าสังข์วิชยุตรสรรเสริญ พระยามหากาฬนาคราชมายืนกล่าวพรรณาคุณ และท้าวมหาพรหมมายืนกั้นเศวตฉัตรให้
    กล่าวฝ่าย พระยามาราธิราช จอมมารผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เกิดมิจฉาทิฏฐิ เนื่องด้วยตนเองก็ปรารถนาพระโพธิญาณเช่นเดียวกัน เกรงว่าหากเจ้าชายสิทธัตถะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก่อน พระองค์จะทรงรื้อขนสัตว์ข้ามวัฏฏสงสารไปหมด เมื่อถึงเวลาที่ตนเองเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง จะไม่มีสรรพสัตว์ให้สั่งสอน
    ดำริดังนั้นแล้ว พระยามารต้องการขัดขวางไม่ให้เจ้าชายสิทธัตถะบรรลุพระโพธิญาน จึงระดมทัพ ประกอบด้วยเทวดาฝ่ายมาร จัดเป็นทัพหน้ายาว ๑๒ โยชน์ ทัพซ้ายและขวาข้างละ ๑๒ โยชน์ ทัพหลังยาวจรดชายขอบจักรวาล แต่ละทัพสูงขึ้นไปถึง ๙ โยชน์ ส่งเสียงโห่ร้องกึกก้องปานประหนึ่งจะทำให้แผ่นดินทรุดลงได้
    ตัวพระยามาราธิราชเองทรงประทับนั่งบนช้างคิริเมขล์ที่สูงถึง ๑๕๐ โยชน์ เนรมิตองค์ให้มีแขนหนึ่งพัน ถืออาวุธนานาชนิด นำขบวนพลมารเข้าจู่โจมพระโพธิสัตว์จากทุกทิศ
    เทวดาในหมื่นจักรวาลและท้าวสักกเทวราชที่มาเฝ้า ครั้นเห็นขบวนพลมารใหญ่โตยกมาก็ตกใจ เกิดอาการขนพองสยองเกล้า ต่างพากันหนีไปหลบอยู่ถึงขอบจักรวาล พระยามหากาฬนาคราชก็รีบดำหนีไปหลบยังนาคพิภพนอนเอามือปิดหน้าด้วยความตกใจ แม้ท้าวมหาพรหมก็ยังต้องหลบกลับไปยังพรหมโลกทันที คงเหลือเพียงพระโพธิสัตว์องค์เดียวที่ประทับนั่งอยู่
    พระโพธิสัตว์ครั้นถูกทอดทิ้งอยู่พระองค์เดียว มองไม่เห็นใครจะมาเป็นที่พึ่งได้ จึงทรงรำพึงว่า ในที่นี้เราไม่มีบิดามารดาหรือญาติพี่น้อง ที่นี้มีแต่เพียงเราผู้เดียว กับบารมี ๓๐ ทัศ ที่บำเพ็ญสร้างมาเท่านั้น เพราะฉะนั้น เราจะใช้บารมี ๓๐ ทัศ นี้แหละเป็นอาวุธ ดำริแล้วพระองค์ก็ทรงรำพึงถึงบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี ที่ได้ทรงบำเพ็ญเพียรสร้างไว้ มิได้หวาดหวั่นต่ออำนาจของพระยามาร
    บรรดามารทั้งหลายต่างแสดงฤทธิ์หลอกล่อและข่มขู่ให้หวาดกลัว แต่พระโพธิสัตว์ก็ไม่ได้ทรงหวั่นไหว พระยามาราธิราชจึงบันดาลมหาลมที่รุนแรงเกรี้ยวกราด สามารถทำลายภูเขาสูงกึ่งโยชน์ให้เป็นจุณลงได้ในพริบตา เพื่อขับไล่ให้พระโพธิสัตว์ลุกจากโพธิบัลลังก์ แต่ลมนั้นก็ไม่อาจแม้เพียงแค่ทำปลายจีวรพระโพธิสัตว์ให้สั่นไหวได้
    พระยามาราธิราชจึงบันดาลฝนห่าใหญ่ตกกระทบกระแทกจนแผ่นดินแยกเป็นช่องลึก แต่ฝนนั้นก็ไม่อาจแม้เพียงแค่ทำให้จีวรเปียกชื้น
    พระยามาราธิราชจึงบันดาลห่าฝนหินก้อนใหญ่ๆ หินแต่ละก้อนตกกระทบยอดภูเขาใหญ่ก็คุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลง แต่ฝนหินนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
    พระยามาราธิราชจึงบันดาลห่าฝนอาวุธ มีทั้งหอก ดาบ และลูกศร คุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลงลอยมาทางอากาศ แต่ฝนอาวุธนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
    พระยามาราธิราชจึงบันดาลห่าฝนเพลิงร้อนแรงปราศจากควัน แต่ฝนเพลิงนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชาลงแทบบาทมูล
    พระยามาราธิราชจึงบันดาลห่าฝนเถ้ารึงอันแดงร้อนแรงยิ่งนัก แต่ฝนเถ้ารึงนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
    พระยามาราธิราชจึงบันดาลห่าฝนทรายกรด คุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ แต่ฝนทรายนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
    พระยามาราธิราชจึงบันดาลห่าฝนเปือกตม คุเป็นควันไฟลุกโพลง แต่ฝนเปือกตมนั้นเมื่อมาถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์บูชา
    พระยามาราธิราชจึงบันดาลความมืด หวังให้พระโพธิสัตว์เกรงกลัวแล้วหนีไป แต่ความมืดนั้นเมื่อเข้ามาใกล้ กลับอันตรธานไปเหมือนความมืดถูกกำจัดด้วยแสงอาทิตย์
    พระยามารไม่สามารถทำให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝนคือความมืด ทั้ง ๙ ประการนี้ ก็กริ้วโกรธยิ่งนัก สั่งให้ไพร่พลเข้าไปจับพระโพธิสัตว์ไว้ให้ได้ ส่วนตัวพระยามารเองก็ไสช้างคิริเมขล์เข้าไปใกล้ กวัดแกว่งจักราวุธแล้วตวาดว่า “สิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้เป็นของเรา”
    พระโพธิสัตว์ตรัสว่า “ดูก่อนมาร ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๓๐ ทัศ อันประกอบด้วย ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา และอุเบกขาบารมี อย่างเรา เพราะฉะนั้นบัลลังก์นี้จึงไม่เกิดแก่ท่าน บัลลังก์นี้เกิดแก่เราเท่านั้น”
    พระยามารโกรธ ขว้างจักราวุธใส่เจ้าชายสิทธัตถะ แต่จักราวุธได้กลายเป็นเพดานดอกไม้กั้นอยู่เบื้องบน บรรดาพลมารขว้างอาวุธน้อยใหญ่ตามเข้าไป อาวุธเหล่านั้นก็กลายเป็นบุปผชาติตกลงยังพื้นดินทั้งสิ้น
    พระโพธิสัตว์ทรงตรัสต่อไปว่า “บัลลังก์นี้เป็นที่ตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญบารมีมาพร้อมแล้ว เราบำเพ็ญทานบารมีมา โพธิบัลลังก์นี้จึงบังเกิดแก่เรา หากท่านกล่าวว่าบัลลังก์นี้เป็นของท่าน ใครเล่าเป็นสักขีพยานให้”
    พระยามาราธิราชก็เหยียดมือไปตรงหน้าพลมารของตน บอกว่า “คนเหล่านี้นี่ไงเป็นสักขีพยาน”
    กล่าวจบพลมารก็โห่ร้องขึ้นว่า “เราเป็นพยาน!! เราเป็นพยาน !!”
    พระยามารกล่าวต่อไปว่า “ท่านกล่าวว่าบัลลังก์เกิดเพราะบารมีของท่าน ใครเล่าเป็นพยานให้”
    พระโพธิสัตว์ทรงชี้พระดัชนีไปตรงหน้ามหาปฐพี ตรัสว่า
    “ดูกร พระธรณีเจ้า
    ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วให้สัตตสดกมหาทาน ท่านเป็นสักขีพยานหรือไม่ได้เป็น
    ดูกร พระธรณีเจ้า เรานี้อุตสาหะบำเพ็ญบารมีมานับอนันตชาติ เราทำกุศลสิ่งใดก็ได้หลั่งไหลสิโนทกลงบนปฐพี แม่พระธรณี ท่านเป็นสักขีพยานให้เรา หรือไม่ได้เป็น”
    ลำดับนั้น แม่พระธรณี ไม่อาจทนนิ่งอยู่ได้ จึงปรากฏกายเป็นรูปนารีผุดขึ้นจากแผ่นดิน ร้องประกาศว่า
    “ข้าแต่พระมหาบุรุษ ที่พระองค์ทรงทำกองกุศลและหลั่งอุทกบนพื้นปฐพีนี้ ข้าพระบาทย่อมรู้ได้ เพราะข้าพระบาทนี้ได้เอามวยผมเก็บซับน้ำทุกหยาดหยดนั้นไว้ บัดนี้ ข้าพระองค์จะบิดมวยผมให้กระแสชลอันหาประมาณไม่ได้นั้นปรากฎ”
    แล้วพระแม่ธรณีก็บีบมวยผม เกิดเป็นกระแสน้ำมากมายกว่าน้ำในมหานทีสีทันดร ท่วมพลมารถล่มทลายเลื่อนลอยไป มารทั้งหลายต่างตกใจกลัวจนตัวสั่น เตลิดหนีไปจนหมดสิ้น แม้ช้างคีรีเมขล์ก็ถึงกับทรุดเข่าลง
    ฝ่ายพระยามาราธิราช ครั้นเหลือพระองค์เองเพียงผู้เดียว ก็ครั่นคร้ามในพระเดชานุภาพ สำนึกว่าพระโพธิสัตว์นี้เป็นผู้สร้างสมบารมีมามากมายสุดประมาณ จึงเกิดเป็นสัมมาทิฏฐิ ยอมยอบกายประนมกรสรรเสริญพุทธคุณว่า “บุคคลใดๆ ในโลกจนถึงพรหมโลก ที่จะมีพระบารมีเสมอด้วยพระองค์นั้นไม่มี พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในคราวนี้อย่างแน่แท้”
    กล่าวเสร็จแล้ว พระยามารก็กลับคืนสู่วิมานของตน
    ในกาลนั้น เมื่อหมู่เทพเห็นพลมารพ่ายแพ้ย่อยยับกลับไปแล้ว ก็ประกาศพระเกียรติคุณไปทั่วทั้งจักรวาล แล้วถือของหอมมาบูชาพระโพธิสัตว์ ณ โพธิบัลลังก์
    ฝ่ายพระโพธิสัตว์ก็ประทับนั่ง บำเพ็ญสมาธิภาวนา
    ปฐมยาม ทรงสำเร็จบุพเพนิวาสญาณ สามารถระลึกชาติได้อนันตชาติ
    มัชฌิมยาม ทรงสำเร็จทิพยจักษุญาณอันบริสุทธิ์ ทรงเห็นเหตุและกำเนิดของสรรพสัตว์ได้อย่างไม่ขัดข้อง
    และในปัจฉิมยาม ทรงหยั่งพระญาณลงในปฏิจจสมุปบาทได้
    ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในยามใกล้รุ่ง หมื่นโลกธาตุก็หวั่นไหวถึง ๑๒ ครั้ง บุรพนิมิต ๓๒ ประการก็ปรากฎ
    หลังจากที่ตรัสรู้แล้ว พระพุทธองค์ก็ทรงเสวยวิมุติสุขอยู่ในบริเวณนั้นนานถึง ๗ สัปดาห์ คือ


    สัปดาห์ที่ ๑ ประทับนั่งใต้ต้นโพธิ เสวยวิมุติสุข
    สัปดาห์ที่ ๒ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ แล้วประทับยืนมองโพธิบัลลังก์
    สัปดาห์ที่ ๓ เสด็จเดินจงกรมระหว่างที่ประทับยืนกับโพธิบัลลังก์
    สัปดาห์ที่ ๔ ประทับในเรือนแก้วที่เทวดาเนรมิตให้
    สัปดาห์ที่ ๕ ประทับนั่งใต้ต้น อชปาล ทรงถูกธิดามาร ๓ นาง คือ นางตัณหา นางอรดี และนางราคา มายั่วยวน
    สัปดาห์ที่ ๖ ประทับนั่งใต้ต้น มุจลินท์ พระยามุจลินทนาคราชมาวงด้วยขนด ๗ รอบ ป้องกันฝนให้
    สัปดาห์ที่ ๗ ประทับนั่งใต้ต้น ราชายตนะ
    หลังจากนั้น พระพรหมจึงได้มาทูลอัญเชิญให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จออกเทศนาสั่งสอนสรรพสัตว์ ซึ่งพระองค์ก็ได้เสด็จไปแสดงปฐมเทศนาแก่พระปัญจวัคคีย์ ณ ป่าอิสิปตนะ เป็นแห่งแรก จากนั้นก็เสด็จออกเผยแผ่พุทธศาสนาอย่างต่อเนื่องอีกถึง ๔๕ ปี

    พระยามาราธิราช ผู้ที่มาเป็นมารคอยขัดขวางการบรรลุพระโพธิญาณของพระพุทธเจ้านี้ เป็นผู้มีวาสนาบารมีสูงส่งผู้หนึ่ง เป็นจอมเทพฝ่ายมารแห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ในคัมภีร์พุทธวงศ์กล่าวว่าพระยามาราธิราชผู้นี้เป็นพระโพธิสัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า พระธรรมสามีพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตลำดับที่ ๔ ถัด
    จาก พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า พระรามพุทธเจ้า และพระธรรมราชพุทธเจ้า
    เหตุที่พระยามารเกิดมิจฉาทิฏฐิมาขัดขวางการตรัสรู้นั้น เกิดขึ้นเนื่องจากมีบุรพกรรมและคำอธิษฐานที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในอดีตชาติ คือ
    ในอดีตชาติ พระยามาราธิราชกับพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเพื่อนกัน มีอาชีพตัดหญ้าไปเลี้ยงม้า ทั้งสองปรารถนาในพระโพธิญานเหมือนกัน
    วันหนึ่งทั้งสองไปเกี่ยวหญ้าให้ม้า พระยามาราธิราชยังเกี่ยวไม่พอจึงฝากหญ้าไว้กับเพื่อน ส่วนตนเองกลับไปเกี่ยวหญ้าต่อ
    บังเอิญมีพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง มาบิณฑบาตหญ้าไปปูอาสนะ พระพุทธเจ้าจึงถวายหญ้าส่วนของตนไป และตั้งความปรารถนาซ้ำในโพธิญาน ส่วนหญ้าของเพื่อนนั้นไม่ได้ถวายเพราะเกรงว่าเพื่อนจะไม่มีความเลื่อมใส
    ตกเย็น พระพุทธเจ้าก็เล่าให้เพื่อนฟัง พระยามาราธิราชได้ฟังก็เจ็บใจหาว่าพระพุทธเจ้าเอาดีคนเดียว เลยจองล้างไว้ว่าจะขัดขวางการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าของเพื่อนไปตลอด
    ด้วยบุรพกรรมนี้เอง ที่ทำให้พระยามาราธิราชเกิดมิจฉาทิฏฐิ ขัดขวางการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในคืนสุดท้ายดังกล่าวมาแล้ว
    ໔??ӹҹ?ط??т??ŤҶҠ?т??Р??҃?ͧ?Ð?ط?਩Ҡ[Ù?࠺? Lite] - ?̓촍?҅Ԣ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 กรกฎาคม 2009
  3. humanbeing

    humanbeing เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +214
    ขอบคุณ และ ขออนุโมทนาค่ะ ทีนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไม พระยามารถึงมาขัดขวางการตรัสรู้ของพระสมณโคตมะ
     
  4. ส.เชียงใหม่

    ส.เชียงใหม่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2008
    โพสต์:
    214
    ค่าพลัง:
    +145
    อนุโมทนาครับ ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ที่เผชิญอุปสรรคอยู่ให้ผ่านพ้นด้วยความสะดวกเถิดครับ
     
  5. LADLHUMKAEL

    LADLHUMKAEL สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +8
    จิตที่คิดจะให้ สุขกว่าจิตที่คิดจะรับ อนุโมธามิ ขอบคุณครับ
     
  6. SRWNCHOOCHAI

    SRWNCHOOCHAI Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    18
    ค่าพลัง:
    +31
    การที่พญามารเข้ามาขัดขวางนั้นก็เป็นหน้าที่ของพญามาร เฉกเดียวกันกับ พระเทวทัตที่เป็นอริราชศัตรู
     

แชร์หน้านี้

Loading...