Angels & Demonsเมื่อพระพุทธศาสนาปะทะนักวิทยาศาสตร์555

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย datedoctor, 18 มิถุนายน 2009.

  1. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    ถ้าวิทยาศาสตร์ รวมด้วยช่วยกัน กับ วิทยาศาสตร์ สอนควบคู่ไปด้วยกัน แล้วให้ ประชาชน เขาเป็นผู้พิจารณาเองว่า อะไรดีก็นำเอาไปใช้ ก็จะยอดเยี่ยมและจะเป็นการพัฒนาไปสู่ความเจริญทั้งร่างกายและจิตใจ ให้สูงขึ้น สาธุ ๆ อนุโมทนามิ กับความคิดเห็นต่าง ๆ ด้วยครับ อะไรดีก็นำเอาไปใช้ได้ทุกสิ่งถูกหมด แต่จะนำเอามาใช้ประโยขน์ได้ในตอนไหนเท่านั้นเอง ครับ สวัสดี
     
  2. deelek

    deelek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    6,696
    ค่าพลัง:
    +16,254
    แปลกนะหลักสูตรทุกวันนี้ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ เป็นวิชาหลัก แต่ ศาสนา เป็นวิชาเหมือนขอไปที ทั้ง ๆ ที่คนที่เรียนเก่ง แต่โกงเก่งด้วย ไม่มีคุณธรรม จะเอามาทำไม จริง น่าจะเอาศาสนามาเป็น วิชาหลักในด้านการศึกษา จนถึง ดร. เลย ใครสอบไม่ผ่านก็ถือว่าไม่ผ่านวิชาอื่นเหมือนกัน ถ้าอย่างนี้ละก็การศึกไทย พัฒนาไปอีกเยอะ อย่าลืมนะครับ ศาสนาพุทธ แม้นแต่ ยูเนสโก ยังยอมรับแล้ว แต่ประเทศไทยเกี่ยวกับรัฐบาลการศึกษา ทำเป็นหลบ ๆ ซ่อน ๆ ถ้าไม่ดีจริงนะ 2552 คงไม่ยืนยาวมาถึงปีนี้ได้หรอก พวกหลักสูตรต่าง ๆ เกิดไม่น่าจะถึง 1000 ปีม้าง ผู้มีอำนาจก็ลองเอาไปคิดดู เลือกเอาที่เหมาะที่เด็กไทย เราจะเรียนได้ ไม่ต้องไปยุ่งยากมากจนกระทั่งเรียนไม่รู้เรื่องอีกล่ะ เอาแค่นำไปปฏิบัติได้ จำเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน
     
  3. Jaturongktpm

    Jaturongktpm เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +181
    จุดบอดทางวิทยาศาสตร์

    นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามธรรมชาติ และได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆแปลกๆอยู่เสมอ แต่นักวิทยาศาสตร์
    ก็ไม่อาจจะปฏิเสธสิ่งทั้งหลายที่มีอยู่ตามความเป็นจริงที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจะพิสูจน์ได้
     
  4. ^ ^

    ^ ^ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +1,279
    คุณ จขกท เคยอ่าน อภิธรรมปิฎก แล้วยังครับ
    ถ้ายังไม่เคยอ่าน ผมแนะนำให้คุณหามาอ่าน
    และ อ่ามันในฐานะที่เป็น ทฤษฎี หนึ่งแล้วกันนะ
     
  5. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ผมขอชื่นชมคุณdatedoctorที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้ง และหวังว่าคุณจะประสบความสำเร็จได้รับปริญญาเอกครับ

    เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่นักวิทยาศาสตร์ชั้นนำทั้งหลายของโลกทั้งอดีตและปัจจุบัน ก็ยังอ่านไบเบิล สวดอธิษฐานและไปโบสถ์
    ทั้ง ๆ ที่ข้อความในไบเบิลมากมายขัดแย้งกับหลักการทางวิทยาศาสตร์?

    "ศาสนาพุทธไม่ได้บอกอะไรกับผมเลยว่าธรรมชาติมันทำงานอย่างไร จักรวาลมีกฏอะไรบ้างทำไมมันจึ่งเป็นเช่นนั้น"
    พระพุทธเจ้าท่านเน้นสอนเฉพาะความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของจิต เพราะเป็นประโยชน์โดยตรงต่อมนุษย์ส่วนใหญ่ที่ตกอยู่ในความทุกข์ทางใจ
    ส่วนธรรมชาติของสรรพสิ่งในจักรวาล แม้จะรู้หมดทุกเรื่อง ก็ไม่สามารถช่วยบุคคลต่าง ๆ ให้พ้นจากความทุกข์ทางใจได้
    แต่หากผมบอกคุณว่า ผมเชื่อว่าพระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกสรรพสิ่งในจักรวาล คุณก็จะต้องคัดค้าน และถามหาหลักฐานและข้อพิสูจน์จากผม ดังนั้นผมจึงไม่บอก

    คุณและนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายล้วนมีหลักคิดวิธีคิดที่เหมือนกัน คือการใช้ความคิดทางตรรกะ ไตร่ตรองพิจารณาหาเหตุผลจากข้อมูลต่าง ๆ
    บางคนอาจใช้ความคิดทั้งวันทั้งคืนอย่างไม่หยุดหย่อน จนกว่าจะได้รับคำตอบที่ตนพึงพอใจ
    แต่พระพุทธเจ้าท่านมีหลักคิดในทางกลับกัน
    ก่อนการตรัสรู้ พระองค์ทรงบำเพ็ญเพียรเพื่อให้เข้าถึงการหยุดคิดอย่างต่อเนื่อง แล้วในความว่างนั้นก็เกิดความรู้แจ้งพิเศษขึ้นจากจิตส่วนลึกที่บุคคลทั่วไปเข้าไม่ถึง
    โดยเฉพาะบรรดานักวิทยาศาสตร์นักคิดทั้งหลาย
    แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของโลกบางคนที่ค้นพบและเข้าใจในความจริงดังกล่าวนี้ และพยายามทำใจให้เข้าถึงความว่างเปล่า(แต่ยังทำได้ไม่ดีเท่าพระพุทธเจ้า)
    เช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, นิโคล่า เทสล่า, ดร.อาจอง ชุึมสาย ณ อยุธยา
    ถ้าคุณศึกษาเรื่องราวของไอน์สไตน์ คุณจะพบคำกล่าวของไอน์สไตน์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้
    ในความว่างดังกล่าวนั้นมิใช่ปราศจากความคิดอย่างสมบูรณ์โดยสิ้นเชิง ยังมีความคิดอยู่ แต่เป็นความคิดที่เป็นการตั้งคำถามภายในจิต แล้วคำตอบจะมาจากจิตส่วนลึกเอง

    "จุดมุ่งหมายจริงของการศึกษาธรรมชาติของวิทยาศาสตร์คืออะไร ก็ทำความเข้าใจมันไงครับ ศึกษาความงดงามของการสอดประสานกันของธรรมชาติ อยู่ร่วมกับมันไงครับ ไม่ใช่ค้นหาแนวทางในการเอาชนะธรรมชาติ"
    "เพราะหากมันไม่สอดคล้องกับธรรมชาติมันก็ผิด"
    "ดังนั้นธรรมชาติจึ่งเป็นตัวตัดสินทุกๆสิ่งครับ"
    พระุพุทธเจ้าทรงเน้นสอน"หนทาง(มรรค)"ในการเอาชนะธรรมชาติของการเกิด(วัฏฏะสังสาร)
    คุณเคยถามตนเองบ้างหรือไม่ว่า คุณเกิดมาทำไม?เกิดมาเพื่ออะไร?ทำไมต้องเกิด?แล้วจะต้องเกิดต่อไปเรื่อย ๆ อีกนานแค่ไหน?จะสิ้นสุดลงเมื่อใดและอย่างไร?

    หากสังเกตโครงสร้างของสรรพสิ่งในธรรมชาติจะพบว่า แต่ละสิ่งเป็นตรรกะที่ซับซ้อน มีเหตุมีผลในตัวเอง เช่นสสารเกิดจากอนุภาคที่เล็กที่สุด(เท่าที่มนุษย์ค้นพบหรือเชื่อว่ามีอยู่)ประกอบกันขึ้นเป็นอนุภาคที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นอนุภาคproton,neutron,electron
    แล้วประกอบกันขึ้นเป็นatomsของธาตุต่าง ๆ ร้อยกว่าชนิด จากธาตุต่าง ๆ ก็ประกอบกันขึ้นเป็นสารประกอบมากมาย ก่อให้เกิดแผ่นดิน มหาสมุทร ภูเขา ผืนทราย ต้นไม้ สรรพสัตว์ ดาวเคราะห์โลก ดาวเคราะห์อื่น ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ระบบสุริยจักรวาล กลุ่มดาว กาแล็กซี และเอกภพ
    ในฐานะที่คุณเป็นนักวิทยาศาสตร์ ผมจึงมีคำถามที่อยากให้คุณช่วยอธิบายดังนี้
    1.ธรรมชาติมีภูมิปัญญาหรือไม่?
    2.ธรรมชาติคืออะไร?
     
  6. Pelagia

    Pelagia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    790
    ค่าพลัง:
    +1,198
    คุณเจ้าของกระทู้ รู้จัก Dr. Brian Weiss มั๊ยเอ่ย ดร.คนนี้เป็นนักสะกดจิตบำบัดที่อเมริกาที่ตอนแรกก็ไม่เชื่อในเรื่องชาติภพเหมือนกัน แต่แล้วจู่ๆ เมื่อคนไข้คนหนึ่งสะกดจิตไปแล้วบังเอิญย้อนอดีตไปชาติก่อนๆ ได้ หลังจากนั้น ดร. คนนี้ก็ทดลองกับคนไข้หลายๆ คนจนเขียนหนังสือออกมาหลายเล่มมากเลย เช่น Many Lives, Many Masters, Through Time Into Healing, Only Love Is Real, Messages From The Masters ถ้ามีเวลาลองหามาอ่านดูนะ ภาษาไทยก็มีแปลแล้ว

    อันนี้เวปของดร.เค้า http://www.brianweiss.com/
     
  7. 2ชาติตรัสรู้

    2ชาติตรัสรู้ គ្រប់គ្រាន់ รักษาดวงใจ.គ្រប់គ្រាន់

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,696
    ค่าพลัง:
    +1,558
    พวกงม งายย พี่ด๊อกของผมคงไม่มาเสวนาด้วยไห้เปลืองตัวหร๊อก หุหุ

    ที่พวกเอ็งนั่งจิ้มๆกันอยู่นี้ก็ผลงานวิทยาศาสตร์นะ โด่-*-
     
  8. arinrum

    arinrum เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2009
    โพสต์:
    137
    ค่าพลัง:
    +179
    มาอีกแหละพวกที่ชอบหาว่าตัวเองจบด๊อกแมว จบแล้วจะมาทำไรครับอ้ายด๊อกแมวนี่
    จบมาแล้วจะช่วยประเทศชาติสร้างยานอวกาศแบบ อาจารย์ สุมิทธิ์ไหมครับ นักวิทยาศาสตร์ไทยมีคนไหนคิดแบบนี้มั้งครับ ทำเป็นมาจงมาจบ นักวิทยาศาสตร์ไทยต้องเอาเยี่ยงอย่างอาจารย์ สุมิทธิ์เป็นตัวอย่าง อย่ามั่วแต่ไปผลิตคิดค้น กระชงกระแช่ กระชายดำไม่ให้เน่าเลยไร้สาระครับ คนจบป.4ยังทำได้เลย แล้วท่านด๊อกแมวถ้าท่านจบมาแล้วจะผลิตคิดค้นอะไรดีครับ ยานอวกาศไหมครับ หรือ ผลิตที่ยื่นเช็ดชู่เองอัตโนมือตอนปวดห้องน้ำดี

     
  9. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    นี่ก็ตัวอย่างความคลุมเครือของคำอธิบายที่มักจะนำเอาพระพุทธเจ้ามากล่าวกัน
    จุดบอดคำอธิบายเรื่องปรมาณู เซลล์ จักรวาล<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--//<![CDATA[ var m3_u = (location.protocol=='https:'?'https://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php':'http://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php'); var m3_r = Math.floor(Math.random()*99999999999); if (!document.MAX_used) document.MAX_used = ','; document.write ("<scr"+"ipt type='text/javascript' src='"+m3_u); document.write ("?zoneid=86"); document.write ('&cb=' + m3_r); if (document.MAX_used != ',') document.write ("&exclude=" + document.MAX_used); document.write ("&loc=" + escape(window.location)); if (document.referrer) document.write ("&referer=" + escape(document.referrer)); if (document.context) document.write ("&context=" + escape(document.context)); if (document.mmm_fo) document.write ("&mmm_fo=1"); document.write ("'><\/scr"+"ipt>");//]]>--></SCRIPT><SCRIPT src="http://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php?zoneid=86&cb=79064538030&loc=http%3A//palungjit.org/threads/%u0E08%u0E38%u0E14%u0E1A%u0E2D%u0E14%u0E04%u0E33%u0E2D%u0E18%u0E34%u0E1A%u0E32%u0E22%u0E40%u0E23%u0E37%u0E48%u0E2D%u0E07%u0E1B%u0E23%u0E21%u0E32%u0E13%u0E39-%u0E40%u0E0B%u0E25%u0E25%u0E4C-%u0E08%u0E31%u0E01%u0E23%u0E27%u0E32%u0E25-193151.html&referer=http%3A//palungjit.org/.2/%u0E27%u0E34%u0E17%u0E22%u0E32%u0E28%u0E32%u0E2A%u0E15%u0E23%u0E4C%u0E17%u0E32%u0E07%u0E08%u0E34%u0E15-%u0E25%u0E36%u0E01%u0E25%u0E31%u0E1A/" type=text/javascript></SCRIPT>[​IMG] [​IMG]
    <NOSCRIPT> [​IMG]</NOSCRIPT>
    คำอธิบายเรื่อง ปรมาณู
    ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนว่าหน่วยอังสตรอม (Å) = 10<SUP>–10</SUP> เมตร= 0.1 นาโนเมตรคืออะไรและนิยามได้อย่างไร(nmหน่วยอังสตรอมนี้ เป็นหน่วยของการวัดคลื่นแสงที่ยังคงใช้อยู่ ตั้งขึ้นตามชื่อของนักฟิสิกส์ชาวสวีเดน ชื่อ Anders Jonas Ångström
    มีคนบอกผมว่าพระพุทธองค์ทรงอธิบายถึงขนาดของปรมาณู ไว้ว่า ถ้าเราแบ่งความยาวของเมล็ดข้าวแปลือกออกเป็นประมาณ 82 ล้านส่วนเท่า ๆกัน แต่ละส่วนนั้นจะมีขนาดเท่ากับ 1 ปรมาณู
    ดังนั้นขนาดเมล็ดข้าวเปลือกยาวประมาณ 0.8 เซนติเมตรเศษ จะได้ขนาดประมาณเท่ากับ 1 อังสตรอมเช่นเดียวกัน

    ในการประมาณขนาดของอะตอมนั้น ในกรณีอะตอมที่มีการจัดเรียงตัวแบบในรูปโครงผลึกของแข็งนั้น ขนาดของอะตอมสามารถประมาณโดยใช้ระยะทางระหว่างอะตอมที่อยู่ติดกัน ส่วนอะตอมที่ไม่สามารถก่อตัวเป็นผลึกแข็งนั้น การหาขนาดจะใช้เทคนิคอื่นๆ

    รวมทั้งการคำนวณโดยทางทฤษฎี โดยใช้Root mean squareของ อิเล็คตรอน ตัวอย่างเช่น ขนาดของอะตอมไฮโดรเจนนั้นจะประมาณ 1.2×10<SUP>-10</SUP>m ซึ่งมีขนาดประมาณเป็น1.2อังสตรอม เมื่อเทียบกันขนาดของโปรตอนซึ่งเป็นเพียงอนุภาคในนิวเคลียส ซึ่งมีขนาดประมาณ 0.87×10<SUP>-15</SUP>m จะเห็นได้ว่าอัตราส่วนระหว่างขนาดของอะตอมไฮโดรเจน และ นิวเคลียสนั้นจะประมาณ 100,000 อะตอมของธาตุต่างชนิดกันนั้นจะมีขนาดต่างกัน แต่สัดส่วนของขนาดก็จะอยู่ในช่วงประมาณไม่เกิน 2 เท่า เหตุที่ขนาดไม่เท่ากันนั้นเนื่องมาจากนิวเคลียสที่มีจำนวนประจุบวกไม่เท่ากัน นิวเคลียสที่มีประจุบวกมากก็จะสามารถดึงดูดอิเล็กตรอนให้เข้าใกล้จุดศูนย์กลางได้มากขึ้น

    นี่คือในทางวิทยาศาสตร์ที่คนมักนำมากล่าวอ้างกันว่าพุทธองค์สามารถประมาณได้อย่างแม่นยำ
    แต่ในความเป็นจริงขนาดของอะตอมนั้นจะกำหนดได้ยากรึไม่มีใครรู้เลย

    เนื่องจากความน่าจะเป็นที่จะพบอิเล็กตรอนนั้น จะลดลงอย่างต่อเนื่องจนเป็นศูนย์นั่น
    กล่าวคือ ไม่ว่าระยะทางจะไกลจากนิวเคลียสเท่าไรเรายังมี
    ความน่าจะเป็นที่จะพบอิเล็กตรอนนั้นอยู่กล่าวคือมันไม่เป็นศูนย์ นั้นคือขนาดของขอบเขตของอิเล็กตรอนนั้นทราบแน่ชัดไม่ได้ดังนั้นขนาดอะตอมก็ทราบแน่ชัดไม่ได้เช่นกันส่วนเหตุผลลึกๆที่เป็นเช่นนี้ไว้ผมจะอธิบายวันหลัง
    ทำไมจึ่งกล่าวถึงอิเล็กตรอน เพราะอิเล็กตรอนมีการกระจายความน่าจะเป็นอยู่รอบๆนิวเคลียสดังนั้นขอบเขตของมันจึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของอะตอม

    คำอธิบายเรื่อง เซลล์
    ในพระอภิธรรมปิฎกซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ พระไตรปิฎกที่ได้บันทึกพระพุทธพจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าเรื่อง “รูปกะลาปะ’’ ซึ่งตรงกับคำว่า “เซลล์” ที่ใช้ในวิชาการแพทย์ปัจจุบัน รูปกลาปนี้จะมีความเจริญเติบโตเสื่อมสลายลงในอัตรปกติขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 4 ประการ

    1. อุตุชรูป 2. อาหารชรูป 3. กัมมชรูป 4. จิตตชรูป

    สาเหตุทั้งสี่ประการนี้ตรงกับการค้นพบทางการแพทย์ในเรื่องที่ว่าด้วยสาเหตุการเสื่อมสลายของเซลล์อย่างน่าอัศจรรย์
    อันนี้ก็ไม่แปลกอะไรเพราะการแพทย์ในสมัยก่อนหน้าพระพุทธเจ้าก็มีบันทึกไว้คุณอย่าลืมสิว่าพระองค์ทรงเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆมา
    คำถามต่อมาก็คือเพราะอะไรปัจจัยพวกนี้จึ่งมีผลต่อการเสื่อมสลายของเซลล์กลไกการเสื่อมสลายป็นเช่นไร เห็นไหมครับว่าไม่มีอธิบายไว้และก็ไม่แปลกที่พระองค์จะมีแนวคิดเรื่องเซลล์เหมือนคนอื่น อย่าลืมสิครับว่าแนวคิดทางปรัชญากรีกเองก็มี2สำนักคือ
    เชื่อว่าทุกสิ่งมีองค์ประกอบพื้นฐาน
    กับที่ไม่เชื่อ
    คำอธิบายเรื่อง จักรวาล
    ส่วนในเรื่องของจักรวาล ทรงตรัสไว้ว่า จักรวาลมีการเกิด-ดับเป็นวัฏฏะ โดยมีคาบของการเกิด-ดับ อยู่ที่ 1 มหากัป (ประมาณ 400,000 ล้านล้านปี) ในจักรวาลนี้มีดวงดาวที่มีมนุษย์อยู่เหมือนกับโลกของเราอีก 3 แห่ง คิอ โลกในอุตตรกุรุทวีป, อมรโคยานทวีป และวีเทหะทวีป นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังทรงบอกอีกว่า นอกจากจักรวาลนี้แล้วยังมีจักรวาลอื่น ๆอื่นอีกนับแสนโกฏิ

    ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฏีของจักรวาลวิทยาในปัจจุบัน<!-- google_ad_section_end --> คำถามคือในศาสนาพรามหน์เองก็มีกล่าวไว้ในแบบนี้เช่นกัน ยกตัวอย่างเรื่องของความบังเอินเจ้าแม่กาลีที่ดันไปคล้ายกับแนนคิดเรื่องหลุมดำซะนี่
    ชึ่งถ้ามาดูดีแล้วเราจะพบว่าเวลานักดาราศาสตร์เขาจะคำนวณหาอัตราส่วนระหว่างความยาวคลื่นแสงที่เปลี่ยนไปกับระยะทางที่ดาวฤกษ์อยู่ห่างจากเรา เขาก็จะได้ตัวเลขๆ หนึ่ง ที่รู้จักกันในนามค่านิจของ Hubbleนั้น

    ก็เพื่อที่จะดูว่า ถ้าค่านิจนี้สูงแสดงว่าจักรวาลมีอายุน้อย แต่ถ้าค่านิจต่ำ จักรวาลจะมีอายุมาก โดยการใช้ข้อมูลจากดาวเทียม Hipparcos คำนวณอายุของจักรวาล W. Freedman แห่งหอดูดาว Carnegie ที่แคลิฟอร์เนีย ได้ผลการวัดค่านิจของ Hubble ว่าเท่ากับ 72 ซึ่งแสดงว่า จักรวาลมีอายุระหว่าง 9,000-12,000 ล้านปี ส่วน A. Sandage แห่งหอดูดาว Carnegie เดียวกัน วัดค่านิจของ Hubble ได้เท่ากับ 56 ซึ่งแสดงว่า จักรวาลมีอายุระหว่าง 12,000-16,000 ล้านปี
    ซึ่งน้อยกว่าที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้อยู่มากทีเดียว
    อีกทั้งตัวคำกล่าวเองก็ไม่ได้บอกเราเลยว่าเพราะอะไรจึ่งเกิดการเกิดดับขึ้น
    ในวิทยาศาสตร์ก็คงเป็นบิ๊กแบ็งนะแหละ
    ณเวลาพลังค์จักรวาลเป็นเช่นไรมีกฏเกนณ์เช่นไร
    ซึ่นความเป็นจริงจักรวาลอาจจะไม่ดับก็ได้นะเพราะในปัจจุบันเราพบว่าจักรวาลขยายตัวเร็วขึ้นแทนที่จะช้าลงและยุบตัวเกิดบิ๊กครันซ์
    ต้องบอกก่อนว่ากว่าทฤษฏีใดๆทางวิทยาศาสตร์จะได้รับการยอมรับมันจะต้องผ่านการพิสูตรทดสอบผ่านหลักฐานนับหมื่นชิ้นยืนยันจึ่งจะได้รับการยอมรับ

    ซึ่งถึงกระนั้นหากมีเพียงการทดลองเดียวที่หากไม่สอดคล้องกับธรรมชาติมันก็ผิด
    คุณว่ามันไม่น่าเชื่อถือกว่าคำพูดโคมลอยพวกนี้หรือ

    <!-- google_ad_section_end -->
     
  10. BATIOHM

    BATIOHM เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +114
    ไม่เคยอ่านพระไตรปิฎกเลยหรือครับ

    เพราะทุกคำถามที่คุณด็อกเตอร์ถามมา พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้หมดแล้ว
     
  11. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    เจ้าของกระทู้ครับ วิทยาศาสตร์ที่คุณว่ามา ผมก็เคยเรียน เคยอ่าน เคยศึกษามาบ้างเหมือนกันแล้วที่คุณว่ามาทั้งหมด ก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกหู แปลกตา หรือผมไม่เคยรู้มาก่อน แต่เป็นสิ่งที่ผ่านหู ผ่านตามาแล้วทั้งนั้นแหละครับ และหลายๆคนในนี้ ก็คงรู้เหมือนผมเหมือนกัน แต่วิทยาศาสตร์ กับ พระพุทธศาสนา ต่างกันที่ตรงไหน เราจะรู้ได้ตอนที่ความทุกข์มาเยือนนั่นแหละครับ ไว้เจ้าของกระทู้มีความทุกช์อันแสนสาหัสเมื่อไหร่ แล้วความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ไม่อาจจะช่วยแก้ความทุกข์อันนั้นได้ เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาอาจเป็นทางออกสำหรับคุณได้นะครับ
     
  12. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    ไม่ชอบใจกับการใช้ภาษาของคุณเลยครับ ไอ้(ฮา...เอ้ย...โฮ)น่ะ โดยเฉพาะเอาไปใช้ประกอบคำที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ถ้ามีการศึกษาสิ่งสำคัญคือต้องมีมารยาทด้วยครับ กรุณาอย่าใช้คำเขียนที่บ่งบอกถึงการทำเป็นเล่นกับความเคารพและความเชื่อของชาวพุทธเลยครับ...ชาวไทยทุกคนไม่ได้นับถือศาสนาวิทยาศาสตร์ครับผม
     
  13. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    อ้อครับผมก็ไม่ได้ให้อะไรใหม่จริงด้วยก็ เพราะเรื่องทั้งหมดมันก็พื้นจริงครับไอ้เรียนกันมาหมดแล้วนั้นแหละครับ
    ปรมาณู เซลล์ จักรวาลเนี่ยแต่ผมก็ไม่ได้มาอธิบายอะไรนะครับก็แค่อยากจะบอกว่ามันดูไม่เข้าท่าตรงไหนก็เท่านั้น
    ถ้าคุณมองผิวๆคุณก็ว่ามันเหมือนกันรู้แล้วเหมือนน้ำเต็มแก้วนั้นแหละ
    แต่ถ้าคุณดูดีจะพบว่ามันต่างกันอย่างมาก
    <!-- google_ad_section_end -->นะครับ
    ยกตัวอย่าง
    ถ้าเป็นศาสนาคริสต์เข้าก็มีความเชื่อว่านับแค่ปฐมการพระเจ้าทรงตัดให้มีจักรวาลขึ้นมาจากความว่างเปล่า
    จักรวาลก็เกิดขึ้น
    ทีนี้ผมก็จะบอกคุณว่าเห็นไหมจักรวาลมีจุดกำเนิดอย่างบิ๊กแบ็งโดยกาลอวกาศ4มิติที่ม้วนตัวอยู่คลายตัวออกไปยังพื้นที่ที่เคยว่าเปล่าอีก6มิติหดตัวอยู่เหลือขนาดความยาวพลังค์ดังนั้นมันต้องมีพระผู้สร้างมันต้องมีสาเหตุ
    ไบเบิลกล่าวไว้ถูกแล้ว
    ความเป็นจริงขนาดของอะตอมนั้นไม่สามารถที่จะกำหนดได้

    เนื่องจากความน่าจะเป็นที่จะพบอิเล็กตรอนนั้น จะไม่มีทางลดลงอย่างต่อเนื่องจนเป็นศูนย์นั่น
    กล่าวคือ ไม่ว่าระยะทางจะไกลจากนิวเคลียสเท่าไรเรายังมี
    ความน่าจะเป็นที่จะพบอิเล็กตรอนนั้นอยู่
    กล่าวคือมันไม่เป็นศูนย์ นั้นคือขนาดของขอบเขตของอิเล็กตรอนนั้นทราบแน่ชัดไม่ได้ดังนั้นขนาดอะตอมก็ทราบแน่ชัดไม่ได้เช่นกันส่วนเหตุผลลึกๆที่เป็นเช่นนี้ไว้ผมจะอธิบายวันหลัง
    ทำไมจึ่งกล่าวถึงอิเล็กตรอน เพราะอิเล็กตรอนมีการกระจายความน่าจะเป็นอยู่รอบๆนิวเคลียสดังนั้นขอบเขตของมันจึ่งแสดงให้เห็นถึงขนาดของอะตอม

    เห็นไหมครับว่ามันต่างกันอย่างมากทีเดียวกับการกำหนดขนาดอย่างแน่นอนของพุทธองค์
    เราไม่สามารถบอกได้ว่าธรรมชาติมีตัวแปรซ่อนเร้าที่ปกปิดต่อผู้สังเกตุมันทุกคนภายใต้กรอบของหลักความไม่แน่นอน
    ยกเว้นพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้า เพราะพระองค์เองก็ไม่สามารถที่จะละเมิดมันได้ครับ
    ก็ตอบตามความรู้พื้นๆของผมนะครับ555
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มิถุนายน 2009
  14. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ก็นี่ถ้าเป็นซีรี่ก็ภาค2

    ผมก็ไม่ได้จะมาเป็นเจ้าลัทธิอะไรเหมือนพวกท่าน สี่เท้าหลังอาน องค์นครปฐม
    มนุษย์กายสิทธิ์ สแกนกรรม

    แต่ผมาเพื่อแสดงบางสิ่งที่ไม่ว่าคุณหรือผมก็รู้แต่ไม่กล้าพูด

    ผมเคยตั้งคำถามนะครับว่าจักรวาลมีกฏอะไรบ้างทำไมมันจึ่งเป็นเช่นนั้น

    ถันใดนั้นก็ดันมีคนไปมาตอบคำถามนักวิทยาศาสตร์ปากเจ้าบ๊อกแบบผมว่า
    มีกฏกรรม/วิบาก(ผลกรรม) ...อาศัยเหตุปัจจัยจึงเป็นเช่นนั้น
    ผมก็คิดไปว่าเข้าท่าแฮะ

    ถ้าไม่มองไปในพวกกรรมจากอดีตชาติปางก่อนนะส่งผลมายังปัจจุบันนะครับ
    เดี๋ยวก็จะมาสแกนกรรม แม่ชีกายสิทธิ์เน้นดูกรรมดารา แต่ไงไม่เห็นมีใครไปเกิดเป็นชนเผ่าแอฟริกาหรือชาวต่างชาติบ้างนะมีแต่เป็นขุนนางไทยเก่าเอามัน
    คนไทยสมัยพระเจ้าเหา555 เพราะที่จริงก็ไม่รู้จักหรอกว่าประเทศอื่นเขามีอะไร
    นี่ผมว่านะสักวันผมจะไปเปิดหาเงินบ้าง เป็น
    PET กรรม ได้...ไฮเทคกว่า x-ray และ scan เยอะเลย...อิอิ

    ก็พอจะรับได้
    แต่ทำไมคุนไม่คิดล่ะครับว่าอดีตมันก็คือสิ่งที่เกิดในชาติขึ้นนี้แหละ(ผมไม่เชื่อเรื่องชาติภพนะครับ)

    เพราะคุณนิสัยไม่ดีทำไม่ดีกับแฟนคุณ(อดีต) ตอนนี้แฟนคุณเลยบอกเลิก(ปัจจุบัน) พรุ่งนี้คุณก็เลยอาจจะต้องอยู่คนเดียว(อนาคต)

    เพราะทุกปรากกการณ์ธรรมชาติยอมมีอะไรลึกอยู่ในเบื่องหลัง เช่นวัตถุเคลื่อนที่ในรูปแบบนี้มันเพราะอะไรนะ
    ครับแต่ถ้ามองดูเราจะพบว่าลึกแล้วธรรมชาติเองก็ดันไม่เคารพสาเหตุสักเท่าไร
    อย่างในฟิสิกส์ควอนตัมไงก็เกิดขึ้น
    ที่เกิดขึ้นมาโดยไม่ค่อยเคารพกฏของเหตุและผลเท่าไร
    บางทีนะครับธรรมชาติเองก็เป็นนักพนันตัวยงที่ได้แต่คอยหมุนรูเล็ตจักรวาลแล้วทอดเต๋าให้กับจักรวาล
    เราไม่สามารถบอกได้ว่าธรรมชาติมีตัวแปรซ่อนเร้าที่ปกปิดต่อผู้สังเกตุมันทุกคนภายใต้กรอบของหลักความไม่แน่นอน
    ยกเว้นพระพุทธเจ้าหรือพระเจ้า เพราะพระองค์เองก็เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ
    ไม่สามารถที่จะละเมิดมันได้ครับ
    ก็ตอบตามความรู้พื้นๆของผมนะครับ555<!-- google_ad_section_end -->
    [​IMG]

    ขอยกตัวอย่าง
    ข้อสังเกตเพื่อขยายความข้อเท็จจริงทางควอนตัมบางอย่างนะครับที่มักจะถูกนำมาโยงเรื่อยๆ
    ที่ว่า
    สรรพสิ่งไม่มีจริงถ้าไม่มีผู้สังเกต และการสังเกตของมนุษย์สร้างความจริง(พื้นฐาน) ที่รู้จักขึ้นมา ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ผู้เขียนคิดว่าไม่อาจแบ่งแยกการอธิบายออกจากกันได้เลย และขอยกตัวอย่างเพื่อความเข้าใจดังนี้ การที่นายก. ไปยืนสังเกตสายรุ้งกับนายข. ทั้งที่ยืนอยู่ใกล้เคียงกัน ก็ไม่อาจจะเห็นรุ้งสายเดียวกัน เพราะทั้งสองคนไม่สามารถยืนอยู่ ณ จุดเดียวกัน (ที่หมายถึงจุดซึ่งแสงทำมุมสะท้อนกับละอองน้ำและตกมากระทบตา) พอดีได้ และอาจจะไม่ต้องพูดถึงนายค. ที่ยืนอยู่ห่างไกลออกไปและไม่อาจได้มองเห็นสายรุ้งกับเขาเลย รุ้งคนละสายของ ก. และ ข. ไม่มีอยู่จริงสำหรับ ค. ด้วยซ้ำไป
    สายรุ้งที่เป็นเพียงปรากฏการณ์ของความสัมพันธ์ระหว่างแสงแดดและละอองน้ำ ผู้สังเกตคือนาย ก. และ นาย ข. รับรู้ได้ต่างกัน ขณะที่ตำแหน่งยืนของนาย ค. สายรุ้งไม่มีอยู่จริง

    ทีนี้ผมก็จะนำมันไปเชื่อมโยงกับศรีมัทภควัทคีตา หรือเพลงแห่งชีวิต: กฤษณะไทวปายวยาส ที่ว่า

    “สิ่งใดสิ่งหนึ่งตรึงคงที่หรือเคลื่อนที่เกิดขึ้น
    ท่านจงรู้เถิดว่าสิ่งนั้นเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างเกษตรกับเกษตรชญะ

    เป็นทั้งภายนอกและภายในของสิ่งทั้งหลาย
    เป็นทั้งคงที่และเคลื่อนที่
    เป็นสิ่งอันใครๆ ไม่รู้ เพราะสุขุมและมันอยู่ทั้งไกลและใกล้
    ทั้งเป็นสิ่งที่แยกไม่ได้ในวัตถุทั้งหลาย ทั้งดำรงอยู่เสมือนสิ่งที่แยกได้
    เป็นผู้หล่อเลี้ยงภูตทั้งหลาย
    เป็นที่อาศัยของสรรพสิ่งในเวลาโลกประลัย
    และเป็นแดนเกิดของสรรพสิ่งในเวลาโลกอุบัติ นี่แหละเป็นเชญยะ

    นั่นเป็นแสงสว่าง แม้แห่งสิ่งซึ่งมีแสงสว่างทั้งหลาย กล่าวได้ว่านั่นอยู่เหนือความมืด
    นั่นเป็นชญาณ นั่นเป็นเชญยะ นั่นเป็นภาวะอันบุคคลหยั่งถึงด้วยญาณ
    และนั่นดำรงอยู่ในดวงใจของภูตทั้งปวง

    ผมก็จะบอกว่าเห็นไหมตรงแปะ นี่แหละเขียนมาตั้งหลายหลาย1000ปีและก่อนพุทธกาลเสียอีก
    ยกตัวอย่าง
    ถ้าเป็นศาสนาคริสต์เข้ามา
    ก็มีความเชื่อว่านับแค่ปฐมการพระเจ้าทรงตรัสให้มีจักรวาลขึ้นมาจากความว่างเปล่า
    จักรวาลก็เกิดขึ้น
    ทีนี้ผมก็จะบอกคุณว่าเห็นไหมจักรวาลมีจุดกำเนิดอย่างบิ๊กแบ็งโดยกาลอวกาศ4มิติที่ม้วนตัวอยู่คลายตัวออกไปยังพื้นที่ที่เคยว่าเปล่าอีก6มิติหดตัวอยู่เหลือขนาดความยาวพลังค์ดังนั้นมันต้องมีพระผู้สร้างมันต้องมีสาเหตุ
    ไบเบิลกล่าวไว้ถูกแล้ว

    ทีนี้ฝรั่งเขาก็จะบอกว่าไอ้พวกชาวพุทธไอ้พวกไม่นับถือพระเจ้า ไม่ได้รู้อะไรเลยนะว่าศาสนาไอนะวิทยาศาสตร์สุดๆถ้าไอสน์ไตน์นับถือก็คงเข้าใจจักรวาลมากกว่านี้
    เห็นไหมครับคุณก็จะบอกว่าเพราะฝรั่งไม่เคยศึกษาพระไตยปิฏก เลยไม่รู้ ฝรั่งก็จะบอกว่าไอ้พวกชาวพุทธก็ไม่เคยอ่านคำภีร์ศาสนาพุทธเหมือนกัน เลยไม่รู้
    นั้นไงครับเพราะอย่างนี้เราเลยไปวิจราณ์เขาไม่ได้ถ้าเราไม่เคยลองศึกษามันมาก่อน

    [​IMG]
    บางทีผมก็ไม่อยากวิจารณ์นะครับ
    ผมว่าดูเหมือนผู้เผยศาสนาบ้านเราบางคนจะชอบบอกว่าศาสนาพุทธเนี่ยทันสมัยสุดๆไม่เหมือนศาสนาอื่นที่ยังมีพระเจ้า มีแนวคิดเกี่ยวกับจักรวาลแบบผิดๆ
    วิทยาศาสตร์ต่างหากที่ตามหลังอะไรทำนองนี้

    จะโบราณกว่าศาสนาอื่นอีกนะครับ
    ยกตัวอย่างสอนคนอื่นไม่ให้ยึดมั้นถือมั้นแต่เอาเข้าจริงก็ทำเสียเอง
    ดูอย่างศาสนาคริสต์นะครับ
    จะเห็นได้ว่าคริสตจักรก็พยามปรับตัวเข้าหาวิทยาศาสตร์นะครับ คุณอาจจะบอกว่าศาสนาคริสต์ไม่ใช่วิทยาศาสตร์แบบพุทธนี่ คุณแน่ใจหรือ พวกเขาเองก็สงสัยธรรมชาติเหมือนกันพยามหาคำตอบ
    เพียงแต่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป
    เราจะพบว่าเขาจะเชิญนักจักรวาลวิทยาให้ไปให้ความรู้เรื่องจักรวาล
    ที่วาติกันเลยเช่นในปี1981ซึ่งเป็นการเพิ่มความรู้ให้
    แก่พระ ซึ่งก็รวมไปถึงพระสันตปาปาเองด้วย
    ศาสนาพุทธบ้านเราทำหรือเปล่าครับเปล่าครับ
    ในภาพรวมนะครับก็จะเป็นกูของกู กู
    ยังคงตัวกูของกู กูและกูนี่แหละถูก

    กูรู้ทุกอย่างเรื่องไรต้องไปเรียนเพิ่มยังคงยึดติดแต่แบบเดิมๆครับ
    แล้วจะมาสอนอะไรคนอื่นเขาครับ
    เอ้านี่ถ้าเป็นสมัยนิวตันผมก็คงโดนแขวนคอไปแล้วแต่เราต้องพูดครับไม่ใช่เอาแต่งึมงำ
    คราวนี้มาเรื่องจิตวิณญาญกันบ้างทำไมคนเราถึงชอบกันนักเพราะมันดูลึกลับน่าค้นหาไงแต่ถ้าผมบอกคุณว่า
    มันเกิดจากการทำงานของสมอง ทำให้เรา
    สามารถคิด จินตนาการลึกซึ้งถึงเรื่องปรัชญาหรือคณิตศาสตร์ได้นั้นเป็นผลมาจากรหัสคำสั่งต่างๆ เป็นล้านๆ คำสั่งต่อวินาทีซึ่งสั่งให้เซลสมองปฏิบัตินั้น เป็นผลของกลไกการทำงานควอนตัมของคลื่นอนุภาค
    [​IMG]
    เซลล์สมองและสร้างเป็นโค๊ตหรือสัญญาณให้แต่ละเซลทำงานแตกต่างกันด้วยความเร็วสูงสุด ซึ่งถ้าเราศึกษารายละเอียดภายในเซลล์
    โดยสร้างรูปจำลองของไมโครทุบูลส์ที่เคยคิดกันว่าเป็นเพียงโครงสร้างภายในเซลนั้น แท้จริงมีการเรียงตัวที่เปลี่ยนแปลงจากการสั่นสะเทือนตลอดเวลา และยังพบว่าไมโครทุบูลส์ที่เป็นหลอดซึ่งมีรูกลวงตลอดนั้นบุด้วยโมเลกุลของโปรตีนเช่นกำแพงหรือฝาผนังแต่มีช่องว่างหรือร่องเป็นระยะๆ ทำให้อิเล็กตรอนจำนวนมากสามารถวิ่งอย่างเป็นระเบียบรอดร่องเหล่านั้นและมีสภาพเป็นอิสระที่จะทำงานตามกลไกควอนตัมได้ ทำให้หลอดสั่นสะเทือนในความถี่ต่างกันด้วยpatterns ต่างกัน แต่ละกลุ่มการสั่นไหวก็เป็นสัญญาณชนิดหนึ่ง สัญญาณจะถูกส่งผ่านไปตามหลอดจำนวนมากทั่วทั้งเซลสมองและเซลต่างๆ ของสมองอย่างโดยรวดเร็วนับเป็นร้อยเป็นพันไมล์ต่อวินาที เป็นคำสั่งติดต่อให้เซลต่างๆ ของสมองทำงานตามรูปแบบของคำสั่งเป็นล้านๆ คำสั่งต่อวินาที
    ถึงตรงนี้ก็ยังมีปัญหาต่อไปอีกว่า ใครคือผู้ออกแบบคำสั่งนั้น หรือข้อมูลที่คำสั่งนำมาผสมกันอย่างไร จึงทำให้งานเป็นรูปธรรมได้ และข้อมูลเป็นหมื่นล้านแสนล้านข้อมูลจะอยู่ที่ไหนในเซล คำตอบต่อคำถามเหล่านี้น่าจะตอบได้ที่ตัวอิเล็กตรอน คลื่นอนุภาคที่เป็นสมบัติสากลอยู่ในจักรวาลที่เคลื่อนไหว เชื่อมโยง ไม่ว่าด้วยตัวของมันหรือสิ่งที่มันให้ออกมาหรือattributes ซึ่งประสานเชื่อมโยงทั่วไปในจักรวาล เป็นหนึ่งเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้ หรือกำหนดสถานที่และเวลาไม่ได้ ดังที่พิสูจน์โดย
    David Bohm’s และคลื่นอนุภาคความจำในสนามพลังงานแห่งจักรวาลในสภาพการณ์หนึ่ง อาจแปลเป็นสนามพลังของรูปร่างหรือฟอร์มเช่นRupert Sheldrake’s Marphogenetic Field ที่เป็นตัวกำหนดรูปร่าง โครงสร้างของสรรพสิ่งและชีวิตที่อยู่เบื้องหลังกฏแห่งพันธุกรรมและการทำงานของดีเอ็นเออีกทีหนึ่ง”
    ทีนี้ความสนใจของคุณก็จะหายไปเพราะมันดูไม่ลึกลับอะไรเลย
    โหรายเนี่ยมึนว่ะ
    [​IMG]
    เห็นไหมครับมันดูไม่น่าสนคุณก็เลยปฏิเสธเพราะ ความลึกลับมันดูหายไป แต่ทำไมคุณไม่ลองคิดดูล่ะครับว่า
    มันจะไม่เป็นการดีหรือที่วิทยาศาสตร์จะก้าวเข้ามาเผยความงามของความลึกดลับเกินกว่าที่ผู้รู้ในอดีตจะเคยจินตนาการไว้นั้นก็คือความจริงของธรรมชาติ
    เห็นไหมครับว่าทั้งหมด
    เห็นไหมครับว่าทั้งพุทธศาสตร์และวิทยาศาสตร์
    มันมีอะไรร่วมกัน? มีอะไรเป็นแรงผลักดัน? มีอะไรเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้คงอยู่และเติบโตได้?



    มาที่ยูดาย คริสต์ และอิสลามบ้าง ทั้งหมดมีพระเจ้าองค์เดียวกันแต่
    มีผู้นำต่างกัน (ทางศาสนา) เลยเกิดการแย่งชิงอำนาจผลประโยชน์กันกลายเป็น

    ผู้นำของกูนี่แหลบะที่ถูก เอ...ตกลงใครเป็นพระเจ้ากันว่าพวกผู้นำหรือพระเจ้า
    เหมือนกับว่าพระเจ้าที่นับถือเป็นคนล่ะองค์กันเลย
    เห็นไหมครับว่าทั้งพุทธศาสตร์
    ศาสนาอื่นๆ
    และวิทยาศาสตร์
    มันมีอะไรร่วมกัน? มีอะไรเป็นแรงผลักดัน? มีอะไรเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้คงอยู่และเติบโตได้?
    ทั้งความเชื่อ สังคม มนุษย์ และธรรมชาติ
    ต่อมาก็เรื่องปาฏิหารย์ต่างๆ ในพุทธประวัติ ไสยศาสตร์ ฯลฯ
    อันนำไปสู่วัตถุมงคลรุ่นแคล้วคลาดแต่ดันตายทุกราย
    ที่ผ่านมาคนเราถูกหลอกให้สับสน โดยศาสนาพุทธแบบไทยๆ ผสมพราห์ม
    เข้าแล้วครับ เพราะเราก็ไปรับของลังกาเขามา
    เรามาดูชนชาติก็รวนมีศาสนารวมทั้งเรื่องเล่าปรัมปราของะรรมชาติไม่เว้นแม้แต่ศาสนาพุธ ทั้งหมดก็อาจจะเป็นการจูงใจ หรือเป็นคำตอบต่อปัณหาที่หาคำตอบไม่ได้ พอเรามาดู
    ตรงที่พอมีวิทยาสาสตร์มาเฉลยเรื่องพวกนี้มูลเหตุแห่ความกลัวก้จะหายไปเราก็จะพบว่าเออมันก็แค่นิทานปรัมปรานั้นแหละ
    เทวดาไทย ก้หน้าไทย ฝรั่ง ก็หน้าฝรั่ง แล้วทำไมมันจึ่งสอดคล้องกันก็คุรเป็นมนุษย์เหมือนกัน เป็นโฮโมซาปรียนส์ เหมือนกันพวกเราล้วนคล้ายครึงกันจึ่งไม่แปลกที่จะคิดอะไรเหมือนกัน
    มาดูมนุษย์บรรพบุรุษของเราบ้างพวกวิวัตณนาการมาเป็นเราเห็นไหมครับว่า พวกเขาเวลาทำอะไรไม่ดี
    ต้องรับกรรมรึเปล่า แล้วชาวต่างดาวล่ะถ้าเขามีอยู่จริง
    ต้องตกนรก ขึ้นสวรรค์หรือนิพานได้รึเปล่า หรือมีความเชื่อเหมือนเราหรือเปล่า
    แต่ที่แน่ทั้งหมดเหมือนกันตรงที่ตายได้ ขยายเผ่าพันธ์ได้และอีกมากมาย
    ถ้าลองคิดดูคุณจะพบว่ามันไมความสมเหตุสมผลเลยที่เราจะคิดแบบเดิมๆ
    เพราะอะไรนา
    มนุษย์ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เชื่อกันมีรูปแบบแบบเดิมๆนับตั้งแต่ถูกสร้างขึ้นมา
    (ผมไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างนะครับแต่ให้คิดเป็นว่าธรรมชาติแล้วกัน)




    ทำไมจึ่งมีสิ่งนี้ผมก็ไม่รู้หรอก แต่ที่แน่พุทธแบบจีนก็จะไปรวมกับเต๋า ของเราก็จะไปรวมกับพรามณ์กลมกลืนกันเพื่อให้คนที่เคยมีความเชื่อเดิมยอมรับมันได้
    เพราะคนเรามักจะไม่ยอมเชื่อะไรที่มันดูขัดกับความเชื่อเดิมๆ
    ทำไมเราจึ่งไม่มองไปที่แก่นจริงว่าพวกสาสดาต้องการจะบอกอะไรกับเรามากกว่าจะมามองและเชื่อแบบงมงายในกุสโลบายในการสอนของพวกเขา
    คราวนี้เรามาดูความเห็นของผมบ้าง
    พระพุทธองค์ได้ทรงสอนเรามาตั้งแต่เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว หรือว่าคือความสมดุลพอดีหรือซิมเมตรีของสรรพสิ่งสรรพปรากฏการณ์ทั้งหลายทั้งปวงของจักรวาล ก็คล้ายกับแนวคิดของเต๋า หรือ
    วิทยาศาสตร์ธรรมชาตินั้นแหละ
    คราวนี้เรามาดูกันว่าอะไร

    ต้องการมากที่สุดในชีวิต-ซึ่งอาจเป็นสิ่งเดียวกันกับที่มนุษย์ทุกคนต้องการเมื่อสถานการณ์พร้อม เมื่อมีความสงสัยลังเลใจต่อความจริงทางโลกที่ประสบกับความรู้สึกรับรู้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ไม่ว่าในวัยใดก็วัยหนึ่งโดยไม่มีใครยกเว้น ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นอัจฉริยะ หรือเป็นอีเดียตมอรอลที่เกิดในวัฏสงสาร หรือจักรวาล แห่งนี้ แสวงหาหรือเดินทางเพื่อแสวงหาที่หลายๆ คนอาจจะ ไม่รู้ว่าตนแสวงหาอะไร? เหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ แต่ไม่รู้ว่าน้ำคืออะไรและอยู่ที่ไหน? หรือยิ่งกว่านั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนที่มีชีวิตอยู่ในโลกเขาอยู่เพื่ออะไรกัน?? คนเหล่านี้หลายคนจึงมีชีวิตด้วยการแสวงหาแต่สิ่งโดยเฉพาะวัตถุที่อยู่ภายนอก จากการกระตุ้นเร่งเร้าด้วยเวทนา สัญญาและอารมณ์ที่ภายใน ด้วยการซื้อหาด้วย "เงิน"

    นี่ต่างหากพวกวัตถุนิยมที่แท้จริง
    ประหนึ่งเป็นโซ่ตรวนที่มัดตัวเอง

    ทำไมเราจึ่งต้องศึกษาวิทยาศาสตร์ หรือศึกษาไปแล้วได้อะไร บางทีมันก็อาจจะเปลืองเม็มโมรี่ในสมองแบบที่โน๊ต อุดมบอกนั้นแหละ
    แต่อยากให้รู้ว่าทั้งศาสนาและวิทยาศาสตร์ ไม่มีใครตามหลังใครไม่มีใครอยู่เหนือใคร
    ทั้งหมดล้อนเหมือนกันมาจากรากฐานเดียวกันคือ ธรรมชาติ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ใช่เอาชนะธรรมชาติ ไม่ใช่เอาชนะความตาย การเกิดหรืออะไรก็แล้วแต่
    พระศาสดาเองไม่ว่าจะเป็นพระเยซู ขงจื่อ มหาวีระ ท่านโซโรอัสเตอร์ คุรุ พระเยซู และท่านอื่นๆ

    ก็เป็นมนุษย์เดินดินธรรมดา เฉกเช่นเรา ไม่ใช่มนุษย์กายสิทธิ์จริงหรือไม่ลองคิดเอานะครับ แต่พวกท่านมีความกล้าครับกล้าที่จะหาคำตอบให้กับธรรมชาติ กล้าที่จะคิด
    ไม่ว่ารูปแบบวิธีคิดจะแตกต่างกันเพียงใด

    สิ่งหนึ่งที่ได้มาก็ล้วนคล้ายคลึงกัน
    คือสติปัญญา ความชื่นชมยินดีกับการมีชีวิตอยู่
    หรือ
    intelligence หรืองานกับเงินที่ยังไกลแสนไกลจากwisdom


    นั้นก็สุดแล้วแต่ท่านจะคิดเอา
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  15. ผู้นอบน้อมสุดใจ

    ผู้นอบน้อมสุดใจ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    955
    ค่าพลัง:
    +2,094
    มี 2 ทางให้เลือกที่จะพิสูจน์ในเรื่องที่คาใจของพี่เจ้าของกระทู้อะครับ

    ทางแรกคือตายอะครับ พี่จะได้ทราบด้วยตัวพี่เองว่ามันมีแน่หรือป่าวภพชาติ อันนี้ง่ายที่สุด

    ทางที่ 2 คือลองปฏิบัติหรือศึกษาเชิงลึกในพุทธศาสนาดูึครับ เอาให้ถึงแก่น พิสูจน์ด้วยตัวพี่เองครับ

    สุดท้ายนี้ผมจะบอกว่าผมไม่ได้คิดแง่ลบกับเจ้าของกระทู้นะครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
     
  16. ศุภกร_ไชยนา

    ศุภกร_ไชยนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    627
    ค่าพลัง:
    +1,122
    ดูหนังมากไปไหมคับ ก่อนจะกล่าวพาดพิง ควรจะปฏิบัติก่อนนะคับ ศาสนาพุทธท่านให้ปฏิบัติคับไม่ใช่ว่าให้เชื่ออย่างเดียว
     
  17. อภิภู

    อภิภู Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    177
    ค่าพลัง:
    +82
    อ่านดูเจ้าของกระทู้ก็มีความรู้ดีและศึกษาเรื่องศาสนามาบ้าง แต่เป็นการศึกษาในแบบที่นั่งจับผิด ไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ ซึ่งศาสนาสอนให้รู้จักทุกข์และให้รู้วิธีดับทุกข์ ส่วนใครจะมีปัญญาปฎิบัติตามได้มากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเขาผู้นั้น ถ้ามั่นใจในวิทยาศาสตร์ขนาดนั้น แล้ววิทยาศาสตร์ช่วยดับทุกข์ในใจให้ท่านได้ก็ตามความชอบของท่านแหละครับ ส่วนท่านจะนั่งจับผิดศาสนาไหนก็ตามใจท่านเถอะครับ เพราะตัวท่านเองก็ต้องมาทุ่มเทสมองที่ผมเห็นว่าก็ไม่ได้โง่ แต่นำมาใช้ในเรื่องไม่เป็นเรื่องเท่านั้นเอง เป้าหมายปลายทางของผู้นับถือศาสนาพุทธ ก็คือพระนิพพาน เพื่อความดับทุกข์อันถาวร ส่วนเป้าหมายของท่านคืออะไร ท่านก็คงมีคำตอบอยู่ในใจตัวเอง เอาเป็นว่าเรามีเป้าหมายต่างกัน ก็อย่ามาก้าวก่ายซึ่งกันและกันจะดีกว่า ผมว่าเปลืองเมมโมรี่ท่านปล่าวๆ ท่านน่าจะเอาสติปัญญาไปคิดค้น อะไรที่มันจะทำให้ชาวโลกได้อยู่กัน อย่างสุข สงบ สันติ จะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากกว่า อันนี้จะได้ใช้ความรู้ที่ท่านมีเพื่อคนอื่นบ้างนะครับ โลกเราต้องการคนเก่ง แต่ต้องดีและมีน้ำใจด้วยนะครับ มีสติปัญญาดีต้องรู้จักใช้ ไม่งั้นผมว่าโง่เหมือนควาย แต่ใช้งานได้ยังดีซะกว่าอีกนะครับ
     
  18. namaste

    namaste Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +55
    เขียนมาตั้งมากมาย ต้องการจะสื่ออะไรคะ งงมาก
    เจ้าของกระทู้ความรู้ความสามารถเยอะ สรุปให้ฟังสั้นๆหน่อยได้มั้ยคะ
    ที่อ่านมาจับประเด็นอะไรไม่ได้เลย แถมยังอ้างอะไรผิดๆ

    เรื่องศาสนาอื่นเราไม่เถียงเพราะไม่รู้
    แต่ตัวกูของกูเนี่ย อ่านดูแล้วคุณไม่เห็นจะเข้าใจเลย
    ประเด็นที่คุณอ้างน่ะ ถามหน่อย มันจำเป็นต้องเรียนรู้กันมากไม๊
    เรื่องดาราศาสตร์เนี่ย พระสงฆ์จำเป็นต้องรู้เรื่องดาราศาสตร์มากมั้ย
    พระสงฆ์มีหน้าที่อะไร ศึกษาพระธรรม ปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เหรอ

    คุณจะบอกว่าการที่พระสงฆ์ไทยไม่ศึกษาเรื่องวิทยาศาสตร์
    เป็นเพราะยึดถือในตัวกรูของกรู

    ถ้าคิดแบบนั้น ก็เข้าใจความหมายของตัวกรูผิดซะแล้ว

    เราต้้องพัฒนาให้เข้ากับยุคสมัยนะ นั่นแหละ ความยึดมั่นเหมือนกัน

    โลกจะเปลี่ยนไปยังไง เราก็ไม่ต้องไปพัฒนาตาม นั่นก็ความยึดมั่นเหมือนกัน เพราะยังมีตัวเราอยู่ทั้งสองอัน

    แล้วทำยังไงจึงจะไม่ยึดมั่นถือมั่นล่ะ ?

    ตอบ คุณก็ลองปฏิบัติธรรมดูนะ แม้แต่ความสงสัยใคร่รู้ของคุณ ก็ไม่ต้องไปยึดมั่นมันหรอก มันเป็นแค่ความคิดจร ที่คุณจับมันมาเป็นตัวเป็นตนเป็นเรื่องเป็นราวเท่านั้นเอง ปล่อยไปคุณก็ไม่ต้องมาทุกข์กับการวุ่นวายคีข้อมูลให้คนอื่นปวดหัวไปด้วยแล้ว

    เราไม่ว่าวิทยาศาสตร์หรอกนะ เพราะคุณไม่ใช่ตัวแทนของวิทยาศาสตร์เลย
    วิทยาศาสตร์คืออะไร องค์ความรู้ด้านหนึ่ง มันมีตัวตนมั้ย ทำไมต้องไปเถียงแทนมันนะ
    เฮ้อ จิตใจคุณก็หาเรื่องเหนื่อยให้ตัวเองได้จริงๆ

    คุณพยายามพูดถึงรูปธรรม แต่ศาสนาพุทธอธิบายนามธรรม
    แล้วจะคุยกันรู้เรื่องมั้ย
    ถามไรหน่อย ศาสนาเคยว่าอะไรวิทยาศาสตร์มั้ย
    ไม่เคยเหรอ
    แล้ววิทยาศาสตร์ว่าอะไรศาสนามั้ย
    อ่อไม่เคย
    ไอ้ที่มันว่าๆกันน่ะ คน ที่มันไปยึดมั่นในความคิดตัวเองต่างหาก

    เริ่มเข้าใจเรื่องตัวกรูรึยังคะ

    คุณเอาตัวกรูของคุณมาเถียงกับตัวกรูของคนอื่น(อย่างเช่นทันตแพทย์คนนึงซึ่งใครๆเค้าก็รู้กันหมดแล้วว่าเขียนหนังสือมั่ว)
    ซึ่ง ที่เถียงๆอยู่มันไม่ใช่องค์ความรู้จริงๆ
    เพราะตัวองค์ความรู้จริงๆนั้น ศาสนากับวิทยาศาสตร์ มันไม่ได้ขัดกันเลย
    (อันนี้พูดถึงศาสนาพุทธ)

    สรุปเอาเป็นว่าเราเห็นว่าวิทยาศาสตร์สำคัญ แล้วก็จำเป็นในปัจจุบันนะ
    แต่สิ่งที่จำเป็นจริงๆกับทุกคนคือวิธีดับทุกข์ในใจเราเนี่ยแหละ
    อย่างเช่นคุณจะรู้เรื่องกำเนิดจักรวาลไปทำไม ถ้าเมียคุณมีชู้ และชีวิตครอบครัวคุณล้มเหลวทั้งหมด


    สุดท้ายก่อนตาย สิ่งที่ทุกคนต้องการ คือรู้ว่าจริงๆเกิดมาทำไม
    แล้ววิธีทำให้รู้แจ้งนี้ ก็มีอยู่ในศาสนาพุทธเท่านั้น (เต๋าหรือเซนก็แยกมาจากพุทธอีกทีนะ)


    เคยอ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการวัดปริมาณความสุขจากคลื่นสมองหรืออะไรเนี่ยแหละ
    เค้าได้ผลออกมาว่า พระในศาสนาพุทธ มีปริมาณสารเคมีหรือคลื่นอะไรเนี่ยมากสุด
    หมายถึงมีความสุขสุดๆ

    สรุปว่าจริงๆจะศาสนาไหนก็ไม่ได้สอน ให้คุณรู้จากการอ่าน แต่รู้จากการปฏิบัติ นะคะ
     
  19. datedoctor

    datedoctor เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    539
    ค่าพลัง:
    +678
    ว่าและต้องมีคนเข้าผิดพระเจ้าที่ผมบอกคือธรรมชาติครับ ของชาวพุทธเราก็คงเป็นกรรม
    แบบที่ท่านพุทธธาตุบอกไว้
    ครับผมก็ไม่เคยบอกสักคำว่าผมจบด็อก ผมไม่เคยบอกนะครับว่าผมเก่งผมออกจะโง่เสียด้วยซ้ำ ดั้งนั้นอย่าพึ่งเชื่อจนกว่าคุณจะได้พิสูตรสิครับว่าผมจบจริงอะเปล่า
    ส่วนฉายา555คนเขาแค่เรียกกันเองนะครับ ผมยังเรียนไม่จบเลยครับ

    ผมก็แค่แสดงความคิดของผมไปเรื่อยๆตามภาษาตาแก่ขี้บ่นนะครับ

    บางคนบอกทำไมผมไม่ไปสร้างอะไรดีบ้างล่ะก็ แฮะ แฮะ ไม่ใช่วิศวกรครับ
    ในความเป็นจริงขืนผมไปพูดแบบนี้รับรองครับว่าโดนผู้ใหญ่ในกระทรวงไล่ออกชัรว์
    ผมไม่เคยว่าศาสนาเรานะครับเพราะศาสนาสอนให้คนเป็นคนดี และปลดปมในใจ ศาสนาอะไรมันก็ดีเหมือนๆกันหมดนั้นแหละ
    แต่ผมแค่ว่าพวกผู้เอาศาสนาบังหน้าก็เท่านั้น

    ใครเห็นว่ามันพอจะมีประโยชน์บ้างก็แล้วไป
    ถ้าไม่มีอะไรดีเลยก็ต้องขออภัย
    หนังเรื่องที่ว่าผมก็ยังไม่เคยดูเลยนะครับฮิฮิฮิ

    ก็เหมือนกันความรู้มันแบ่งปันกันได้ว่าไหมครับ
    เรื่องที่ผมรู้ผมก็จะเล่าให้ฟัง

    แต่ไม่ได้บอกให้เชื่อคุณต้องพิสูตรสิ

    เรื่องที่ผมไม่รู้คุณก็ต้องบอกผมสิ ผมว่าพวกคุณมีน้ำใจพออยู่แล้ว
    บางทีคนไม่จบอะไรเลยก็อาจจะมีความรู้มากกว่าเราก็ได้ของทั้งหมดมันไม่ได้อยู่ที่การศึกษา
    อย่างพระ(จริงๆ)ท่านเองก็มีความรู้ทางวิชาใจเหนือกว่าผมแน่ๆอย่างผมไม่ติดฝุ่นเลย

    เด็กอนุบาลก็มีจินตนาการที่บริสุทธ์สูงกว่าผมแน่ๆเห็นไหม
    ในบางมุมมองทุกๆสิ่งมีเรื่องดีๆอยู่ในตัว

    ทุกสิ่งล้วนมีความขัดแย้งอยู่ในตัวจึ่งจะพัฒนาไปได้ตามทฤษฏีความขัดแย้งของวิชารัฐสาศตร์

    ถ้าทุกคนเห็นเหมือนๆกันคิดเหมือนๆกันโลกมันจะเจริญรึครับ
    ผมก็บอกแล้วว่าความรู้ศาสนาผมน้อยมากๆถ้าคุณมีความรู้ทางหลักธรรมมาก<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2201069", true); </SCRIPT>
    ผมเข้าใจผิดก็ต้องแย้งนะครับ ต้องอธิบายคนเราเรียนรู้กันได้ว่าไหมครับ


    ต้องยอมรับว่าเรื่องศาสนาเนี่ยผมไม่ค่อยรู้เลย
    เลยต้องมาขอความรู้บ่อยๆนะครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มิถุนายน 2009
  20. atataya

    atataya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +278
    ผมไม่ได้เถียงคนตั้งกระทู้นะครับ ผมเข้าใจกับพวกนักวิทยาศาตร์ที่ถูกสอนให้เชื่อในกฎที่แน่นอน ตายตัว พิสูจน์ร้อยครั้งได้ผลอย่างเดิมร้อยครั้ง พวกคุณจึกรู้สึกท้าทายถ้าได้พิสูจน์ว่ากฎนั้นมันไม่ถูกเลย และได้ทำลายกฎนั้นด้วยตนเอง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจประเด็นนี้ผมสนใจตรงที่ว่าความพอใจของมนุษย์มันไม่มีที่สิ้นสุด พระพุทธเจ้าอยู่ในยุค2000กว่าปีที่แล้วยังทรงคิดได้ถึงขนาดนี้แต่คนตั้งกระทู้อยุ่ในยุคหลังน่าจะคิดได้มากกว่านี้นะครับ ถึงจะจบด็อกเตอร์มิได้หมายความว่าจะเป็นสรรพพัญญูรุ้ไปหมดทุกสิ่งหรอกครับ รู้เพียงแต่ที่ตนศึกษามาเท่านั้น ไม่งั้นมาแข่งไถนาดำนากับผมเอารึป่าว
     

แชร์หน้านี้

Loading...