รวมภาพพระบรมธาตุและพระอรหันตธาตุต่างๆเพื่อการศึกษา

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย jaroenthai, 13 มิถุนายน 2008.

  1. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    หลวงปู่ทา จารุธัมโม. วัดถ้ำซับมืด อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

    หลวงปู่ทา จารุธัมโม. วัดถ้ำซับมืด อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 36255021574.jpg
      36255021574.jpg
      ขนาดไฟล์:
      48.3 KB
      เปิดดู:
      51
    • PICT9204.JPG
      PICT9204.JPG
      ขนาดไฟล์:
      227.4 KB
      เปิดดู:
      69
  2. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    หลวงพ่อคำพอง ติสโส วัดถ้ำกกดู่ หนองวัวซอ อุดรธานี

    อัฐิข้อนิ้วของ หลวงพ่อคำพอง ติสโส วัดถ้ำกกดู่ หนองวัวซอ อุดรธานี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PICT8614.JPG
      PICT8614.JPG
      ขนาดไฟล์:
      44.8 KB
      เปิดดู:
      45
    • PICT9220.JPG
      PICT9220.JPG
      ขนาดไฟล์:
      46.6 KB
      เปิดดู:
      65
  3. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    ลป.ป่วน ว.โพธิ์งาม จ.ชัยนาท

    อัฐิและเกศาหลวงปู่ป่วน ว.โพธิ์งาม จ.ชัยนาท
    ท่านเป็นพระที่เมตตา และน่านับถือองค์หนึ่งใน จ.ชัยนาทเลยทีเดียวครับ และยังเป็นสหธรรมมิกของหลวงปู่ ปรงสาสโน วัดสระเปรียญ และหลวงพ่อก๋วย วัดโฆษิตารามอีกด้วยครับ แต่น่าเสียดายหารูปท่านยาก ไม่ค่อยมีให้เห็นมากนัก ก็เลยไม่มีลงให้ดูกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PICT9068.JPG
      PICT9068.JPG
      ขนาดไฟล์:
      71.4 KB
      เปิดดู:
      54
  4. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    หลวงปู่ปรง วัดธรรมเจดีย์ จ.สิงบุรี

    อัฐิส่วนกระโหลก และเกศา
    ส่วนอีกภาพเป็นอัฐิชิ้นข้อนิ้วเท้า และพระธาตุที่เสด็จมาเองครับ ใหญ่โตมากๆเท่านที่เคยเห็นมา แถมลักษณะก็เหมือนพลอยหักเป็นเหลี่ยมๆมาเลย แปลกมากๆ จะว่าคล้ายสารส้ม แต่ก็ไม่ใช่ครับ เสด็จมาเองพระท่านให้มาครับ ท่านก็แปลกใจ เพราะผมก็เห็นว่าท่านไม่เคยมีมาก่อน มาภายหลังท่านให้ผมมาเก็บรักษาไว้ เพราะท่านก็ไม่ค่อยสนใจในเรื่องอัฐิธาตุสักเท่าไร
    แต่ท่านพูดกับผมจริงๆว่า เสด็จมาเองครับ แล้วก็ไม่มีใครไปยุ่งกับโกศที่ใส่อัฐินี้ด้วยครับ วันดีคืนดี ก็มีชิ้นนี้มาอยู่ในโกศท่าน ท่านก็ตอบไม่ได้ว่าอะไร แต่มาเองครับ ลักษณะคล้ายๆสารส้ม หรือคล้ายพลอยที่ยังไม่เจียะ บางทีท่านเล่าว่าก็มีเป็นเม็ดกลมๆคล้ายเม็ดข้าวโพด พอจะหยิบขึ้นมาจากโกศก็เสด็จหายไป กลิ้งไปมาอะไรประมาณนั้น เพราะท่านไม่สนใจจะหยิบมาดู พอมาทีหลัง มาเปิดดูกับผมก็กลายมาเป็นชิ้นที่เห็นนี่หล่ะครับ มีรุ่นน้องผมเคยกัดไปชิมดูเพราะแกนึกว่าสารส้ม แต่สุดท้ายก็ตอบไม่ได้ เพราะรสชาติไม่ใช่สารส้มครับ (ทะลึ่งจริงๆ กัดกินแม้กระทั่งพระธาตุ ผมคิดในใจนะครับตอนที่เขากัดดู) ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าอะไร
    ผมเคยสงสัย เลยลองแช่ในน้ำดูว่าจะละลายไหม ก็ไม่ละลายครับ แถมกลิ่นคล้ายๆอัฐิที่แช่ในน้ำ หรือพวกดินที่แช่น้ำ กลิ่นจะเย็นๆยังไงบอกไม่ถูกครับ
    มาลงให้ชมดูว่าเป็นอะไรที่แปลกดีครับ
    และอีกครั้งหนึ่งตอนผมไปเดินที่จตุจักร ผมเคยเห็นแผงพระอยู่แผงนึง แก่มีพระหลวงปู่ปรงมาก ผมจึงถามแกว่าเป็นศิษย์ท่านหรือเปล่า แกตอบว่าใช่ ผมจึงถามแกว่าแกมีอัฐิธาตุของหลวงปู่ปรงหรือเปล่า แกก็ตอบว่ามี เป็นชิ้นข้อนิ้วมือ ขณะที่ผมยังไม่ทันจะถามว่าเป็นพระธาตุหรือเปล่า แกก็พูดออกมาเลยว่าข้อนิ้วหลวงปู่แปลเป็นพระธาตุเม็ดกลมๆใสๆด้วย
    ผมก็เลยหายสงสัย และไม่ได้ถามอะไรต่ออีกเลย เพราะของผมก็มีขึ้นมาภายหลังจากที่เก็บอัฐิมาครับ แต่ตางสีจากที่แกบอกมาก็เท่านั้น แต่ที่ไม่ได้ถ่ายให้ชมเพราะ ผมเน้นอัฐิให้ชมมากกว่าพระธาตุ เพราะการเป็นพระธาตุไม่ได้หมายความว่าจะเป็นพระอรหันต์นะครับ แต่การไม่เป็นพระธาตุก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นพระอรหันต์อีกเช่นกัน แต่ให้ดูการปฏิบัติหรือหลักคำสอนจากใจท่านต่างหาก ที่จะบอกได้ว่าท่านเป็นพระระดับใดครับ ...สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • S73R4194.jpg
      S73R4194.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.9 KB
      เปิดดู:
      45
    • PICT9121.JPG
      PICT9121.JPG
      ขนาดไฟล์:
      148.4 KB
      เปิดดู:
      53
    • PICT9131.JPG
      PICT9131.JPG
      ขนาดไฟล์:
      136.5 KB
      เปิดดู:
      76
  5. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    หลวงปู่คำดี ปัญโญภาโส วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร

    อัฐิช่วงข้อนิ้ว ของหลวงปู่คำดี ปัญโญภาโส วัดป่าสุทธาวาส จ.สกลนคร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 5.jpg
      5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      75.8 KB
      เปิดดู:
      42
    • PICT9301.JPG
      PICT9301.JPG
      ขนาดไฟล์:
      89.1 KB
      เปิดดู:
      51
  6. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    อัฐิชิ้นกระโหลก พระอาจารย์หนู สุจิตโต วัดดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่

    ใครให้ได้ดังใจ ล้วนแล้วแต่เป็น คนดี
    ยิ่งได้ในสิ่งที่คาด หวัง สมใจผู้รับ ผู้ให้ช่างประเสริฐแท้
    แต่ถ้าได้ในสิ่งที่ ไม่หวัง ผู้รับทำหมางเมิน
    ยิ่งถ้าขัดใจ เคืองแค้น มาดร้ายกัน จนวันตาย!

    ผมอาจจะเขียนไม่เป็นกลอนกันสักเท่าไร แต่เขียนเพราะคิดเห็นเป็นเช่นนั้น เนื่องจากผมเคยได้ไปพบหลวงปู่หนู ก่อนท่านมรณะภาพประมาณ 1 ปี ท่านเป็นพระที่รักษาความสะอาดดีมาก แต่เนื่องจากท่านชราภาพมากแล้ว ประจวบกับไม่มีพระอยู่ที่วัดเลย บริเวณรอบๆวัดจึงมีใบไม้มากมาย ซึ่งหลวงปู่หนูก็ไม่สามารถดูแลอณาบริเวณรอบวัดให้สะอาดทั้งหมดได้ ท่านจึงได้แต่ทำความสะอาดได้แค่เพียงรอบๆกุฏิของท่านเท่านั้น นี่คือข้อวัตรที่กระผมเห็นตอนท่านกวาดตาดบริเวณกุฏิท่านก่อนมรณะเพียง 1 ปี
    พอเอ่ยปากว่าจะไปวัดดอยแม่ปั๋ง ก็มีแต่คนว่ากล่าวหลวงปู่หนู เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ดุ บ้าง อะไรต่อมิอะไรบ้าง จนบางทีไม่อยากไปเลยก็มี แต่ผมก็ยังอุสาหะไปกราบท่านจนได้ และสิ่งที่ได้พบได้สัมผัส ก็ต่างจากชาวบ้านชาวเมืองบอกราวฟ้ากับดินเลย จนงงว่าใครพูดจริง ใครพูดเท็จ
    สุดท้ายพอมาถามครูบาอาจารย์ยุคเก่าๆที่ทันหลวงปู่แหวนบ้าง ฆราวาสที่เคยดูแลหลวงปู่แหวนบ้าง จึงได้เข้าใจว่า ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ มีเหตุและปัจจัยจะพาไปทั้งสิ้น เช่น ไม่ชอบหลวงปู่หนูเพราะท่านห้ามไม่ให้พบหลวงปู่แหวน หรือจะนำพระไปให้หลวงปู่แหวนปลุกเสกก็ต้องผ่านหลวงปู่หนู หรือถ้าไม่ผ่านหลวงปู่หนูก็ห้ามพุทธาพิเสก ทุกอย่างล้วนเป็นกฏเกณฑ์ที่หลวงปู่หนูสร้างกฏขึ้นมาทั้งนั้น
    แต่ครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่สิมกลับบอกว่าหลวงปู่หนูเป็นพระดี เพราะถ้าไม่ได้ท่านหลวงปู่หนูแล้ว หลวงปู่แหวนก็อาจจะมีอายุขัยน้อยลง เพราะตรากตรำในการที่ชาวประชาแย่งยือกันเข้าพบท่านไม่เว้นในแต่ละวัน และแม้กระทั่งผู้หญิงที่อยากได้บุญ ก็ยังใช้มือเข้าจับต้องหลวงปู่ให้มัวหมองเลยก็มี
    จริงๆแล้วหลวงปู่จิตท่านไม่ยึดติดเรื่องเพศหญิงและชายแล้ว ท่านบริสุทธิ สะอาดแล้ว แต่หญิงที่จับต้องซิ เหมือนจำถ่านแดง มันจะไหม้เนื้อตัวให้ได้รับความเดือดร้อนไม่ใช่ได้บุญนะสิ
    หลวงปู่หนูจึงต้องออกกฏต่างๆ เพื่อให้คนลำบาก และรำคาญในเวลาเข้าหาหลวงปู่แหวน โดยวิธีการต่างๆที่ท่านสร้างขึ้นมา และผลก็คือท่านก็มีฉายาว่าทศกรรณบ้าง พระแย่บ้าง เห็นแก่นู้นบ้างนี่บ้างสารพัด
    แต่ในทางตรงกันข้าม หลวงปู่แหวนท่านได้ผักผ่อน ร่างกายของท่านก็ลำบากน้อยลง ความวุ่นวายก็เบาลง ร่างกายท่านก็อยู่เป็นสุข นี่แหล่ะครับเรื่องราวอันน่าเห็นใจของพระที่ทำเพื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ ด้วยใจอันบริสุทธิ แต่กลายเป็นโทษให้ตัวท่านเอง ซึ่งดูแล้วก็ไม่เป็นธรรมสักเท่าไรนัก
    ผมยังเคยแปลกใจเลยว่า ก่อนท่านมรณะ ท่านสร้างเจดีย์ซะใหญ่ แล้วสั่งเสียกับพระว่า ถ้าท่านตายให้เผาท่านไว้ในเจดีย์ ซึ่งท่านก็ทำเป็นหลุมไว้พร้อมแล้ว พอเผาท่านเสร็จทุกอย่างก็จะตกอยู่ในเจดีย์ทั้งหมด แล้วให้โบกปิดตายไปเลย คล้ายเจดีย์ของหลวงปู่ชา ที่ท่านให้เผาในเจดีย์เช่นนั้น
    แต่เนื่องจากพระเห็นตัวอย่างเจดีย์หลวงพ่อชาว่า ชำรุดเนื่องจากความร้อนที่เผาหลวงปู่ชา ท่านจึงได้นำโรงหลวงปู่หนูมาเผาข้างๆเจดีย์เพราะกลัวเจดีย์จะชำรุดนั่นเอง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้มีคนได้อัฐิและพระธาตุท่านไว้บูชา ถ้าไม่เช่นนั้นคงหมดสิทธิ
    เพราะผมไปดูที่ท่านสั่งให้เผาตัวท่านเองแล้ว ท่านจะทำเป็นช่องลึกประมาณ 1.50 ปู่กระเบื้องคล้ายสระว่ายน้ำลึกลงไป พอเผาเสร็จ ทุกอย่างไม่ว่ากระดูก ขี้เถ้า และอังคารจะลงไปอยู่ในนั้นหมดแบบไม่สามารถเอาขึ้นมาได้เลย นอกจากจะกระโดดลงไปตักขึ้นมา แล้วสิ่งที่ผมสงสัยที่สุดก็คือ ทำไมท่านคิดเป็นอย่างนั้น
    หรือ 1. ท่านคิดว่ากลัวคนจะทำบาปมาก ถ้าไม่เคารพในอัฐิธาตุของท่านเมื่อเผาท่านแล้ว (เพราะเกรียจท่านในเรื่องที่กระผมกล่าวไว้แล้วเบื้องต้น) ท่านจึงสั่งให้เผาในนั้น คนจะได้ไม่มารบกวนอัฐิท่าน
    หรือ 2. เพราะท่านรู้ว่าท่านคู่ควรที่จะอยู่ในพระเจดีย์ (ซึ่งนั่นก็หมายความว่าท่านได้ภูมิธรรมชั้นสูง และท่านกลัวว่าคนจะนำเอาอัฐิท่านไปทิ้งไปขว้างจะเกิดโทษแก่ผู้กระทำ ท่านจึงต้องเผาตัวท่านเองให้อยู่ในเจดีย์)
    และแล้วเมื่อเผาท่านเสร็จ ทุกอย่างก็ปรากฏ อัฐิท่านส่วนมากที่เป็นอังคาร ล้วนแล้วแต่เป็นพระธาตุเม็ดกลมๆ มีมากมายมโหราฬอย่างน่าทึ่ง คล้ายหลวงปู่ต่วนวัดกล้วย และมากพอๆกัน ส่วนอัฐิของท่านชิ้นใหญ่มักจะดำ เนื่องจากเวลาเผาศพของท่าน ฝนตกปอยๆทั้งคืน เมื่ออัฐิร้อนๆถูกถ่านและไฟ แล้วเมื่อโดนน้ำ อัฐิมักจะดำเหมือนถ่าน ไม่ขาวสะอาดเหมือนเผาไฟร้อนๆและให้ไฟดับลงเอง
    ฉะนั้นอัฐิหลวงปู่หนูและอังคารของท่านมักจะมีสีดำไม่สวยงามนัก โดยเฉพาะเม็ดพระธาตุของท่านจะมีลักษณะกลม และมีสีดำ และเทาเป็นส่วนมาก อาจเป็นเพราะฝนที่ตกตอนเผาด้วยเช่นกันครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 43.jpg
      43.jpg
      ขนาดไฟล์:
      14.2 KB
      เปิดดู:
      41
    • PICT9082.JPG
      PICT9082.JPG
      ขนาดไฟล์:
      182.1 KB
      เปิดดู:
      59
  7. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    อัฐิธาตุ หลวงปู่อุ่น ชาคโร วัดป่าหนองคำ จ.อุดรธานี

    เป็นอัฐิธาตุที่ผมบูชามานานแล้วครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    ฟัน หลวงตาพันธุ์ อาจาโร ว.น้อย จ. ก.ท.ม

    ฟันที่เริ่มแปลสภาพขึ้นบ้างแล้ว หลวงตาพันธุ์ อาจาโร ว.น้อย จ. ก.ท.ม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pupan1.jpg
      pupan1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      17.6 KB
      เปิดดู:
      43
    • PICT9246.JPG
      PICT9246.JPG
      ขนาดไฟล์:
      108.7 KB
      เปิดดู:
      58
  9. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    พระอาจารย์จิตจำรอง วัดบ้านหล่อร้าง จ.สกลนคร

    เกศาท่านส่วนมาก พระที่ให้ท่านบอกว่าจะแปลเป็นพระธาตุครับ ผมได้จากพระทางภาคเหนือให้มา ท่านบอกว่าตอนแรกมีแต่เกศาพอเก็บไว้นานก็กลายอย่างที่เห็นนี่แหล่ะครับ บางคนที่ได้ไปกลายเป็นพระธาตุคล้ายเม็ดข้าวสารก็มีครับ ถ้ามองตาเปล่าจะนึกว่าทรายครับ แต่ถ้าใช้กล้องขยายจะเห็นว่าใสเหมือนแก้ว มีหลายสีอีกด้วยครับ
    ประวัติท่านท่านเป็นพระเก็บตัวครับไม่ค่อยมีใครรู้จักครับ บวชมาก็ประมาณ 30 กว่าพรรษาครับ ท่านชอบอยู่ตามป่าเขาครับ เห็นพระที่ให้เกศาผมเล่าให้ฟังว่า ท่านจับงูเห่าด้วยมือเปล่า พองูเห่าชกท่าน ท่านรีดพิษเองพิษพุ่งออกมาแบบเห็นๆเลยครับ ท่านไม่เป็นอะไรด้วยครับ
    ท่านไม่กลัวความตายขนาดนี้ เห็นพระท่านบอกว่า ภูมิธรรมของท่านสูงมาก เมตตาก็มากครับ
    กระผมก็ไม่เคยสัมผัสด้วยตนเองนะครับ มีแต่เกศาที่เก็บไว้ซึ่งดูเหมือนว่า พระธาตุที่คล้ายๆทรายจะมีมากขึ้นก็เท่านั้นหล่ะครับ (ไม่รู้เสด็จเพิ่มหรือเปล่า ไม่แน่ใจเพราะไม่เคยนับดู แต่ดูเหมือนว่าจะมากขึ้นเพราะตอนแรกๆมีไม่น่ามากขนาดนี้ครับ) ถ้าใครรู้ประวัติของท่านช่วยแนะนำข้อมูลเพิ่มเติมกันด้วยนะครับ...สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • PICT9498.JPG
      PICT9498.JPG
      ขนาดไฟล์:
      152.2 KB
      เปิดดู:
      47
    • PICT9502.JPG
      PICT9502.JPG
      ขนาดไฟล์:
      259.6 KB
      เปิดดู:
      188
    • PICT9510.JPG
      PICT9510.JPG
      ขนาดไฟล์:
      239.7 KB
      เปิดดู:
      179
    • PICT9528.JPG
      PICT9528.JPG
      ขนาดไฟล์:
      228.1 KB
      เปิดดู:
      39
    • PICT9538.JPG
      PICT9538.JPG
      ขนาดไฟล์:
      225.1 KB
      เปิดดู:
      51
  10. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    อัฐิหลวงปู่อ่อนศรี วัดถ้ำประทุน จ.ชลบุรี

    ;34 อัฐิหลวงปู่อ่อนศรี เริ่มจะแปลสภาพเป็นผลึกเริ่มใสขึ้นครับ และที่คัดจากอังครธาตุก็แปลป็นพระธาตุหลายองค์ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 2117.jpg
      2117.jpg
      ขนาดไฟล์:
      112.9 KB
      เปิดดู:
      38
    • PICT9450.JPG
      PICT9450.JPG
      ขนาดไฟล์:
      122.1 KB
      เปิดดู:
      51
    • PICT9447.JPG
      PICT9447.JPG
      ขนาดไฟล์:
      123.3 KB
      เปิดดู:
      47
    • PICT9463.JPG
      PICT9463.JPG
      ขนาดไฟล์:
      112.7 KB
      เปิดดู:
      65
  11. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    อัฐิหลวงปู่ปัญญา ปัญญาวัฒโท วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี

    วันที่เผาสรีระท่าน เกิดพระอาทิตย์ทรงกตขณะที่จะเผาร่างท่านด้วย สวยงามมากเลยครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pu_punya.jpg
      pu_punya.jpg
      ขนาดไฟล์:
      74.2 KB
      เปิดดู:
      40
    • PICT8703.JPG
      PICT8703.JPG
      ขนาดไฟล์:
      185.2 KB
      เปิดดู:
      55
  12. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    ครูบาอิ่นแก้ว วัดป่าแงะ จ.เชียงใหม่

    อัฐิธาตุครูบาอิ่นแก้ว วัดป่าแงะ จ.เชียงใหม่ น่าจะเป็นช่วงข้อเข่า หรือไม่ก็ช่วงข้อต่อสะโพกครับ สังเกตุเห็นได้ว่าเริ่มมีการแปลตรงที่มีสีออกชมพูๆครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ID_39541.jpg
      ID_39541.jpg
      ขนาดไฟล์:
      49.8 KB
      เปิดดู:
      38
    • PICT9190.JPG
      PICT9190.JPG
      ขนาดไฟล์:
      187 KB
      เปิดดู:
      58
  13. นัฐพงษ์

    นัฐพงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +179
    สาธุครับ....ไหว้สาอัฐิธาตุครูบาอาจารย์คร๊าบ...เยอะจริงครับ...
     
  14. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    อัฐิธาตุ หลวงปู่ครูบาบุญปั๋น ธัมมปัญโญ วัดร้องขุ้ม เชียงใหม่

    พระธาตุที่คล้ายพระบรมสารีริกธาตุนี้ เป็นเล็บของหลวงปู่ครูบาบุญปั๋น ซึ่งแปลสภาพแล้วครับ แต่ก่อนที่จะแปล ก็เป็นเล็บธรรมดาๆนี่แหล่ะครับ พอแปลแล้วก็อย่างที่เห็นนี่หล่ะครับ แต่จะแข็งเป็นหินครับ ส่วนภาพอื่นก็เป็นฟองพระธาตุ และอัฐิธาตุซึ่งยังคงสภาพเดิมๆครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 00124523(1)(2).jpg
      00124523(1)(2).jpg
      ขนาดไฟล์:
      693 bytes
      เปิดดู:
      33
    • PICT9562.JPG
      PICT9562.JPG
      ขนาดไฟล์:
      68.7 KB
      เปิดดู:
      55
    • PICT9553.JPG
      PICT9553.JPG
      ขนาดไฟล์:
      142.1 KB
      เปิดดู:
      49
    • PICT9268.JPG
      PICT9268.JPG
      ขนาดไฟล์:
      39.1 KB
      เปิดดู:
      46
  15. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    พระธาตุจากอังคาร ครูบาอิน อินโท วัดทุ่งปุย เชียงใหม่

    งามแท้ หลากหลายสี
    ขันต์ธาตุแท้ อริยะเจ้า
    เรืองชื่อ ระบือไกล
    ฉายาท่าน นามอินโท


    เมื่อวานฝนตกพรำๆเย็นชื่นใจ นานแล้วไม่ค่อยได้ดูอังคารธาตุของ ครูบาอิน อินโท เลยลองค้นๆดู ในอังคารธาตุของท่าน ก็เลยได้เห็นว่าท่านแปลสภาพ มีหลากหลายสี จึงได้ถ่ายมาให้ชมกันครับ...สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. Reliquiae

    Reliquiae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,184
    ค่าพลัง:
    +2,639
    วันอัฐมีบูชา

    อัฐมีบูชา (ประวัติความเป็นมา) :
    [​IMG]
    คันธาทิพย์อวลอบตลบสรวง
    กำจายล่วงล่องพระพายกรายกลิ่นหอม
    ละมุนละไมอบใจให้นอบน้อม
    มโนพร้อมเพรียกกุศลดลศรัทธา


    ขอน้อมนบประนมหัตถ์นมัสการ
    พระผู้ทรงโพธิญาณมาสู่หล้า
    ตรัสรู้เอกองค์พระสัมมา
    ผู้ปราบปวงมาราให้พ่ายไป

    ทรงพลิกศรย้อนจักรผลักชีวิต
    ให้หมุนทวนตรวนจิตที่หม่นไหม้
    สู่ความงามความประเสริฐเลิศพิไล
    ทรงโปรยธรรมสู่เวไนยด้วยกรุณา

    สี่สิบห้าพรรษาทรงพร่าทุกข์
    ให้ปวงสัตว์พบสุขสร้างคุณค่า
    ทรงมอบธรรมมรดกให้พกพา
    แม้นสิ้นกาลจากลาปรินิพพาน

    ปัณนรสีอัฐมีนี้เวียนครบ
    ประชุมเพลิงเริงพระศพ ณ สถาน
    ปวงกษัตริย์จัดถวายจิตกาธาน
    ปริเทวนาการทุกผองชน

    มาบัดนี้มีเพียงพระบรมธาตุ
    ที่ประกาศแทนองค์พระทรงผล
    กราบบูชาเป็นมิ่งแห่งมงคล
    น้อมกมลสักการะพระพุทธคุณฯ




    ประวัติความเป็นมา

    ครานั้น พญาสวัสตีมารผู้เป็นใหญ่แห่งมารทั้งปวง ได้ทูลอารธนา ในกาลบัดนี้ พระสัทธรรมและพรหมจรรย์ได้ปรากฎแพร่หลายและตั้งมั่นบริบูรณ์ด้วยดีแล้ว อีกทั้งพระอริยบุคคลขั้นต่างๆได้เกิดขึ้นเป็นที่สำเร็จประโยชน์แก่ปวงชนตลอดทั้งทวยเทพยดาเป็นอันมาก ดังนั้นปริสสมบัติและพรหมจรรย์นับว่าได้สำเร็จสมบูรณ์ดังพุทธประสงค์ทุกประการแล้ว บัดนี้ เป็นกาลเหมาะสมแห่งการปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคแล้ว พระเจ้าค่ะ

    [​IMG]


    ภาพแสดงเหตุการณ์ขณะที่พญามารทรงอาราธนาพระพุทธองค์ให้เสด็จปรินิพพาน
    พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบพญามาร ดูก่อนพญามารผู้มีบาป ท่านจงทำความขนขวายน้อยเถิด การปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีในไม่ช้า โดยกำหนดการล่วงไปอีก ๓ เดือนต่อจากนี้ เราจักปรินิพพาน ทันใดนั้นกลองทิพย์ก็บันลือลั่นกึกก้องกัมปนาทไปทั่วนภากาศ แผ่นดินก็ไหวหวั่นสะท้านสะเทือน บรรดาชาวนครต่างรู้สึกขนตั้งชันมีอาการหวาดหวั่นสยดสยองสะพรึงกลัวเป็นที่แปลกอัศจรรย์ พระอานนท์เห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงรีบเข้าไปทูลถามพระพุทธองค์ถึงเหตุแห่งปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า บัดนี้ เราได้ปลงอายุสังขารตามคำอาราธนาของพญามารในอีก ๓ เดือน ข้างหน้า ซึ่งยังความเศร้าโศกให้แก่พระอานนท์เป็นอย่างใหญ่หลวง ทรงตรัสเหตุแห่งแผ่นดินไหว ๘ ประการดังนี้
    . ลมกำเริบ
    ๒. ผู้มีฤทธิ์บันดาล
    ๓. พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงสู่พระครรภ์
    ๔. พระโพธิสัตว์ประสูติ
    ๕. พระตถาคตเจ้าตรัสรู้
    ๖. พระตถาคตเจ้าทรงแสดงธรรมจักกัปปวัตตนสูตร
    ๗. พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร
    ๘. พระตถาคตเจ้าปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (ดับกิเลส ไม่มีเบญจขันธ์เหลือ)

    ในกาลขณะที่พระพุทธองค์จะปรินิพพานสาละวโนทยาน อันอยู่นอกเมืองกุสินารา ป่าใหญ่ที่มีต้นสาละใหญ่ ๒ ต้นขึ้นเคียงคู่กัน อันกลายเป็น ที่มาของชื่อเรียกขานสถานที่ เมื่อพระพุทธองค์เสด็จมาถึงอุทยานแห่งนี้ ได้ตรัสให้พระอานนท์ตั้งแท่น เมื่อพระอานนท์ปูผ้ารองเสร็จ พระองค์เสด็จขึ้นแท่นบรรทมตะแคงขวา หันพระเศียรไปทางทิศอุดร ตั้งพระสติสัมปชัญญะ ตั้งพระทัยจะเสด็จบรรทมเป็นไสยาวสาน ( นอนครั้งสุดท้าย ) หรืออีกชื่อหนึ่งว่าอนุฏฐานไสยา ( แปลว่า นอนโดยไม่ลุกขึ้นอีก )

    [​IMG]

    ในขณะนั้นเอง ทั้งที่มิใช่ฤดูกาลออกดอกแห่งต้นสาละทั้งคู่เลย แต่ก็ผลัดดอกตั้งแต่โคนรากจนถึงยอด แลทุกกิ่งก้านก็ดาดาดด้วยดอกงามสะพรั่ง และโปรยปรายหล่นลงมาเป็นพุทธบูชา เหล่าทวยเทพก็เสด็จมา ทางนภากาศแสดงอานุภาพให้ดอกสุคนธาทิพย์จากสวรรค์โปรยปรายมาจากเบื้องบน ท้องฟ้า ส่งกลิ่นหอม ขจรขจายไปทั่วอาณาบริเวณ พระอานนท์ทูลถามว่า จักทรงตั้งผู้ใดให้เป็น
    ตัวแทนพระพุทธองค์ ทรงตรัสตอบว่า ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใด อันเราได้แสดงแล้ว ได้บัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปของเรา ธรรมและวินัยนั้น จักเป็นพระศาสดาแห่งพวกเธอทั้งหลาย ดังนี้ฯ เมื่อสิ้นข้อสงสัยทุกประการแล้ว พระพุทธองค์ได้ทรงประทานปัจฉิมโอวาท ภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนพวกเธอให้รู้ว่า สิ่งทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ไม่มีใครล่วงพ้น ไปได้ พวกเธอทั้งหลายจงทำหน้าที่ที่เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่นให้สำเร็จบริบูรณ์ ด้วยความ ถึงพร้อม ในความไม่ประมาทเถิด สิ้นกระแสพระสุรเสียงแต่เพียงเท่านี้แล้ว พระองค์ก็มิได้ตรัสอะไรอีกเลย


    [​IMG]

    ภาพแสดงพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ

    เมื่อพระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ทางคณะสงฆ์และทางบ้านเมือง คือ เจ้ามัลลกษัตริย์ผู้ครองเมืองกุสินารา ได้ทำพิธีสักการบูชาพระศพพระพุทธเจ้าอยู่เป็นเวลาถึง ๖ วัน ในวันที่ ๗ จึงเชิญ พระศพเป็นขบวนไปทางทิศเหนือของเมือง ผ่านใจกลางเมือง แล้วเชิญพระศพไปมกุฎพันธนเจดีย์ ที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกของเมือง เพื่อถวายพระเพลิง ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำเดือน ๖ ซึ่งทุกวันนี้ทางเมืองไทยเราถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เรียกว่า วันอัฐมีบูชา

    [​IMG]

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    ขอนอบน้อมกราบถวายอภิวาทแด่พระบรมศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่งแล้ว
    ขอกราบสักการะพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยความเคารพสักการะอย่างสูงสุดยิ่งแห่งชีวิตนี้เชิญประเทียบพระหีบทองผ่องพิลาส
    เป็นภาชนะรองพระธาตุพระชินสีห์
    พระบรมสารีริกธาตุพุทธบดี
    ประดิษฐานคารวะที่อันสมควร

    เจ็ดราตรีหลังพิธีถวายพระเพลิง
    กำหนดการเถลิงพระเกียรติ์หวน
    จึ่งพรั่งพร้อมพุทธบริษัทเหล่าทั้งมวล
    ร่วมขบวนทักษิณาบูชาคุณ

    เพื่อระลึกถึงพุทธคุณการุณยิ่ง
    ทรงแสดงความเป็นจริงเพื่ออุดหนุน
    ให้เวไนยได้เสริมสร้างเส้นทางบุญ
    ละพิษภัยวายวุ่นวัฏฏะกรรม

    อัฐมีบูชาในครานี้
    ขออัญเชิญกุศลศรีที่เลิศล้ำ
    กราบบูชาพระคุณแห่งจอมธรรม
    ผู้น้อมนำสันติสุขปลุกชีพชน
    ดย อาจารย์บุษกร เมธางกูร
    ที่มา อาจารย์บุษกร เมธางกูร ลานธรรม มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ (Online)
    ?ҁ-?ͺ̀ԸÃ??Ã?ҹ:̀ԸÃ?͹䅹캇ԻъʹҺ?Ե:?ő??Ե:ʵԻѯ?ҹ:ʓ?ѡ??ԺѵԸÃ??Ð?ط?ȒʹҺ
    พระศพพระพุทธเจ้าห่อด้วยผ้าใหม่ ที่ปฐมสมโพธิบอกจำนวนไว้ว่ามีถึง ๕๐๐ ชั้น ถอดเอาใจความว่า มีหลายชั้นนั่นเอง แต่ละชั้นซับด้วยสำลี แล้วเจ้าหน้าที่เชิญลงประดิษฐานในหีบทองที่เต็มไปด้วยน้ำมันหอม แล้วปิดฝาครอบไว้ แล้วเชิญขึ้นจิตกาธานที่ทำด้วยไม้หอมหลายชนิดผู้เชิญหรือหามพระศพพระพุทธเจ้า เรียกว่า ‘มัลลปาโมกข์’ มีจำนวน ๘ นาย แต่ละนาย รูปร่างใหญ่กำยำล่ำสัน มีกำลังมาก
    ‘มัลลปาโมกข์’ แปลว่า หัวหน้านักมวยปล้ำ
    พอได้เวลาเจ้าหน้าที่ได้จุดไฟขึ้นทั้ง ๔ ด้าน ตำนานว่าจุดเท่าไรไฟก็ไม่ติด เจ้าหน้าที่ทางบ้านเมืองจึงเรียนถามพระอนุรุทธ์ (พระอนุรุทธ์มีศักดิ์เป็นพระอนุชาของพระพุทธเจ้า เป็นพระสาวกได้สำเร็จเป็นอรหันต์) พระอนุรุทธ์จึงแจ้งให้ทราบว่า เป็นเพราะเทพเจ้าต้องการให้รอพระมหากัสสปะ ซึ่งกำลังเดินทางมายังไม่ถึง ได้ถวายบังคมพระศพเสียก่อน

    [​IMG]



    ต่อมาเมื่อพระมหากัสสปะพร้อมด้วย พระสงฆ์บริวารเดินทางมาถึง ได้ถวายบังคมพระศพพระพุทธเจ้าแล้ว จึงเกิดเพลิงทิพย์ด้วยเทวาฤทธานุภาพ ถอดความที่กล่าวนี้ก็ว่า ทางเจ้าหน้าที่และพระสงฆ์ได้ทราบข่าวพระมหากัสสปะกำลังเดินทางมาจวนจะถึงแล้วให้รอไว้ก่อน อย่าเพิ่งถวายพระเพลิงนั่นเองภายหลังจากนั้น เพลิงได้ไหม้พระสรีระของพระพุทธเจ้าจนหมดสิ้น เหลืออยู่แต่พระอัฐิ พระเกศา พระทนต์ และผ้าอีกคู่หนึ่ง พระพวกมัลลกษัตริย์ได้นำน้ำหอมหลั่งลงดับถ่านไฟที่จิตกาธาน แล้วเชิญพระบรมสารีริกธาตุไปประดิษฐานไว้ที่สัณฐาคารศาลา คือหอประชุมกลางเมืองรอบหอประชุมนั้นจัดทหารถืออาวุธพร้อมสรรพคอยพิทักษ์รักษา และทำการสักการบูชาด้วยฟ้อนรำ ดนตรีประโคมขับ และดอกไม้นานาประการ และมีนักขัตฤกษ์เอิกเกริกกึกก้องฉลองถึง ๗ วันเป็นกำหนด (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ สุตตันตปิฎกที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค)

    [​IMG]


    [๑๕๒] สมัยนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราประชุมกันอยู่ที่สัณฐาคารด้วยเรื่องปรินิพพานนั้นอย่างเดียว ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ เข้าไปยังสัณฐาคารของพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราครั้นเข้าไปแล้ว ได้บอกแก่พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว ขอท่านทั้งหลายจงทราบกาลอันควรในบัดนี้เถิด พวกเจ้ามัลละกับโอรส สุณิสาและประชาบดี ได้ทรงสดับคำนี้ของท่านพระอานนท์แล้ว เป็นทุกข์เสียพระทัย เปี่ยมไปด้วยความทุกข์ในใจ บางพวกสยายพระเกศา ประคองหัตถ์ทั้งสองคร่ำครวญอยู่ล้มลงกลิ้งเกลือกไปมาดุจมีบาทอันขาดแล้ว ทรงรำพันว่า
    พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลกอันตรธานเสียเร็วนัก
    ดังนี้ ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราตรัสสั่งพวกบุรุษว่า ดูกรพนาย ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงเตรียมของหอมมาลัยและเครื่องดนตรีทั้งปวง บรรดามีในกรุงกุสินาราไว้ให้พร้อมเถิด พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ทรงถือเอาของหอมมาลัยและเครื่องดนตรีทั้งปวงกับผ้า ๕๐๐ คู่ เสด็จเข้าไปยังสาลวันอันเป็นที่แวะพักแห่งพวกเจ้ามัลละ และเสด็จเข้าไปถึงพระสรีระพระผู้มีพระภาค ครั้นเข้าไปถึงแล้วสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาคด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัยและของหอม ดาดเพดานผ้า ตกแต่งโรงมณฑล ยังวันนั้นให้ล่วงไปด้วยประการฉะนี้ ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้มีความดำริว่า การถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาคในวันนี้พลบค่ำเสียแล้ว พรุ่งนี้เราจักถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาค พวกเจ้ามัลละเมือง กุสินาราสักการะ เคารพ นับถือ บูชา พระสรีระพระผู้มีพระภาคด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัยและของหอม ดาดเพดานผ้า ตกแต่งโรงมณฑล ยังวันที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า ที่หก ให้ล่วงไป ครั้นถึงวันที่เจ็ด พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้มีความดำริว่า เราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัยและของหอมจักเชิญไปทางทิศทักษิณแห่งพระนคร แล้วเชิญไปภายนอกพระนคร ถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาค ทางทิศทักษิณแห่งพระนครเถิด ฯ

    [​IMG]

    ๑๕๓] สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ๘ องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้าใหม่ ด้วยตั้งพระทัยว่า เราจักยกพระสรีระพระผู้มีพระภาค ก็มิอาจจะยกขึ้นได้ ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า ข้าแต่ท่านอนุรุทธะ อะไร หนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ให้มัลลปาโมกข์ ๘ องค์นี้ ผู้สระสรงเกล้าแล้ว ทรงนุ่งผ้าใหม่ ด้วยตั้งใจว่า เราจักยกพระสรีระพระผู้มีพระภาคก็มิอาจยกขึ้นได้ ฯ
    อ. ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย ความประสงค์ของพวกท่านอย่างหนึ่ง ของพวก เทวดา อย่างหนึ่ง ฯ . ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ความประสงค์ของพวกเทวดาเป็นอย่างไร ฯ ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย ความประสงค์ของพวกท่านว่า เราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัย และของหอม จักเชิญไปทางทิศทักษิณแห่งพระนคร แล้วเชิญไปภายนอกพระนคร ถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาคทางทิศทักษิณแห่งพระนคร ความประสงค์ของพวกเทวดาว่า เราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาค ด้วยการ ฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัยและของหอมอันเป็นทิพย์ จักเชิญ ไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร แล้วเข้าไปสู่พระนครโดยทวารทิศอุดร เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออกโดยทวารทิศบูรพา แล้วถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มี พระภาค ที่มกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร ฯ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิด ฯ สมัยนั้น เมืองกุสินาราเดียรดาษไปด้วยดอกมณฑารพโดยถ่องแถวประมาณแค่เข่า จนตลอดที่ต่อแห่งเรือน บ่อของโสโครกและกองหยากเยื่อ
    ครั้งนั้น พวกเทวดาและพวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราสักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระ พระผู้มีพระภาค ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคม มาลัยและของหอม ทั้งที่ เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เชิญไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร แล้วเข้าไปสู่ พระนคร โดยทวารทิศอุดร เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออกโดยทวารทิศบูรพา แล้ววางพระสรีระ พระผู้มีพระภาค ณ มกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศ บูรพาแห่งพระนคร ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ถามท่านพระอานนท์ว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ พวกข้าพเจ้าจะปฏิบัติอย่างไรในพระสรีระพระผู้มีพระภาค ฯ
    . ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย พวกท่านพึงปฏิบัติในพระสรีระพระตถาคต เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิฉะนั้น ฯ ข้าแต่ท่านอานนท์ ก็เขาปฏิบัติในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิอย่างไร ฯ ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย เขาห่อพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิด้วยผ้าใหม่ แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้ ห่อพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิด้วย ผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญพระสรีระลงในรางเหล็กอันเต็มด้วยน้ำมัน ครอบด้วย รางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิตกาธารด้วย ไม้หอมล้วน ถวายพระเพลิงพระสรีระ พระเจ้าจักรพรรดิแล้ว สร้างสถูปของพระเจ้าจักรพรรดิไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง เขาปฏิบัติในพระสรีระพระเจ้าจักรพรรดิด้วยประการฉะนี้แล พวกท่านพึงปฏิบัติในพระสรีระพระตถาคต เหมือนที่เขาปฏิบัติในพระเจ้าจักรพรรดิ พึงสร้างสถูป ของพระตถาคตไว้ที่หนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ชนเหล่าใดจักยกขึ้นซึ่งมาลัยของหอมหรือ จุณ จักอภิวาท หรือจักยังจิตให้เลื่อมใสในพระสถูปนั้น การกระทำเช่นนั้น จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข แก่ชนเหล่านั้นสิ้นกาลนาน ฯ ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราตรัสสั่งพวกบุรุษว่า ดูกรพนาย ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจงเตรียมสำลีไว้ให้พร้อมเถิด พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ห่อพระสรีระพระผู้มีพระภาคด้วยผ้าใหม่ แล้วซับด้วยสำลี แล้วห่อด้วยผ้าใหม่ โดยอุบายนี้ ห่อ พระสรีระพระผู้มีพระภาคด้วยผ้า ๕๐๐ คู่ แล้วเชิญลงในรางเหล็ก อันเต็มด้วยน้ำมัน ครอบด้วยรางเหล็กอื่น แล้วกระทำจิตกาธารด้วยไม้หอมล้วน แล้วจึงเชิญพระสรีระพระผู้มีพระภาคขึ้นสู่จิตกาธาร ฯ
    [๑๕๔] สมัยนั้น ท่านพระมหากัสสปพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารา ลำดับนั้น ท่าน พระมหากัสสปแวะออกจากทางแล้วนั่งพักที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง ฯ สมัยนั้น อาชีวกคนหนึ่ง ถือดอกมณฑารพในเมืองกุสินารา เดินทางไกล มาสู่เมืองปาวา ท่านพระมหากัสสปได้เห็นอาชีวกนั้นมาแต่ไกล จึงถามอาชีวกนั้นว่า ดูกรผู้มีอายุ ท่านยังทราบข่าวพระศาสดาของเราบ้างหรือ อาชีวกตอบว่า อย่างนั้น ผู้มีอายุ เราทราบอยู่ พระสมณโคดมปรินิพพานเสียแล้ว ได้ ๗ วันเข้าวันนี้ ดอก มณฑารพนี้เราถือมาจากที่นั้น บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใด ยังไม่ปราศจาก ราคะ ภิกษุเหล่านั้น บางพวกประคองแขนทั้งสองคร่ำครวญอยู่ ล้มลงกลิ้งเกลือก ไปมาดุจมีเท้าอันขาดแล้ว รำพันว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระสุคตเสด็จปรินิพพานเสียเร็วนัก พระองค์ผู้มีพระจักษุในโลก อันตรธาน เสียเร็วนัก ดังนี้ ส่วนภิกษุเหล่าใด ปราศจากราคะแล้ว ภิกษุเหล่านั้น มีสติ สัมปชัญญะ อดกลั้นด้วยธรรมสังเวชว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น เหล่าสัตว์จะพึงได้ในสังขารนี้แต่ที่ไหน ฯ
    [๑๕๕] สมัยนั้น บรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่ นามว่าสุภัททะ นั่งอยู่ในบริษัทนั้นด้วย ครั้งนั้นสุภัททวุฒบรรพชิตได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยอาวุโส พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไร ไปเลย พวกเราพ้นดีแล้ว ด้วยว่าพระมหาสมณะนั้น เบียดเบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้ พวกเรา ปรารถนาสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่กระทำสิ่งนั้น ฯ ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยอาวุโส พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้ ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้ แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฯ

    [​IMG]

    [๑๕๖] สมัยนั้น มัลลปาโมกข์ ๔ องค์ สระสรงเกล้าแล้วทรงนุ่งผ้าใหม่ ด้วยตั้งใจว่า เราจักยังไฟให้ติดจิตกาธารของพระผู้มีพระภาค ก็มิอาจให้ติดได้ ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินาราได้ถามท่านพระอนุรุทธะว่า ข้าแต่ท่าน อนุรุทธะ อะไรหนอเป็นเหตุ อะไรหนอเป็นปัจจัย ที่ให้มัลลปาโมกข์ทั้ง ๔ องค์นี้ ผู้สระสรงเกล้าแล้ว ทรงนุ่งผ้าใหม่ ด้วยตั้งใจว่า เราจักยังไฟให้ติดจิตกาธาร ก็มิอาจให้ติดได้ ฯ
    . ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย ความประสงค์ของพวกท่านอย่างหนึ่ง ของ พวกเทวดาอย่างหนึ่ง ฯ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็ความประสงค์ของพวกเทวดาเป็นอย่างไร ฯ ดูกรวาสิฏฐะทั้งหลาย ความประสงค์ของพวกเทวดาว่า ท่านพระมหากัสสป นี้ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป เดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่ เมืองกุสินารา จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคจักยังไม่ลุกโพลงขึ้น จนกว่าท่าน พระมหากัสสปจะถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยมือของตน ฯ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอให้เป็นไปตามความประสงค์ของพวกเทวดาเถิด ฯ ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปเข้าไปถึงมกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ในเมืองกุสินารา และถึงจิตกาธารของพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้วกระทำจีวรเฉวียงบ่า ข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณจิตกาธาร ๓ รอบ แล้วเปิดทางพระบาท ถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า แม้ภิกษุ ๕๐๐ รูป เหล่านั้น ก็กระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนมอัญชลี กระทำประทักษิณ ๓ รอบ แล้วถวายบังคมพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า เมื่อท่านพระมหา กัสสปและภิกษุ ๕๐๐ รูปนั้นถวายบังคมแล้ว จิตกาธารของพระผู้มีพระภาคก็โพลงขึ้นเอง เมื่อพระสรีระของพระผู้มีพระภาคถูกเพลิงไหม้อยู่ พระอวัยวะส่วนใดคือ พระฉวี พระจัมมะ พระมังสะ พระนหารู หรือพระลสิกา เถ้า เขม่า แห่งพระอวัยวะส่วนนั้น มิได้ปรากฏเลย เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียว เมื่อ เนยใสและน้ำมันถูกไฟไหม้อยู่ เถ้า เขม่า มิได้ปรากฏ ฉันใด เมื่อพระสรีระ ของพระผู้มีพระภาคถูกเพลิงไหม้อยู่ พระอวัยวะส่วนใด คือ พระฉวี พระจัมมะ พระมังสะ พระนหารู หรือพระลสิกา เถ้า เขม่าแห่งพระอวัยวะส่วนนั้น มิได้ ปรากฏเลย เหลืออยู่แต่พระสรีระอย่างเดียวฉันนั้นเหมือนกัน และบรรดาผ้า ๕๐๐ คู่ เหล่านั้น ไฟไหม้เพียง ๒ ผืนเท่านั้น คือ ผืนในที่สุด กับผืนนอก เมื่อพระสรีระ พระผู้มีพระภาคถูกไฟไหม้แล้ว ท่อน้ำก็ไหลหลั่งมาจากอากาศดับ จิตกาธารของ พระผู้มีพระภาค น้ำพุ่งขึ้นแม้จากไม้สาละ ดับจิตกาธารของพระผู้มีพระภาค พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารา ดับจิตกาธารของพระผู้มีพระภาคด้วยน้ำหอมล้วนๆ ลำดับนั้น พวกเจ้ามัลละเมืองกุสินารากระทำสัตติบัญชรในสัณฐาคารแวดล้อมด้วย ธนูปราการ สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระสรีระพระผู้มีพระภาคตลอดเจ็ดวัน ด้วยการฟ้อนรำ ด้วยการขับ ด้วยการประโคม ด้วยพวงมาลัย ฯ
    [​IMG]



     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2009
  17. ภูดาว

    ภูดาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    380
    ค่าพลัง:
    +931
    สาธุ ขอน้อมระลึกถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญาคุณ พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จองค์สัมมาสัมพุทธเจ้าครับ ลูกขอตั้งจิตระงับผ่อนความโลภ ความงก เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาครับ
     
  18. Reliquiae

    Reliquiae เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,184
    ค่าพลัง:
    +2,639
    "อะหังวันทามิ สารีริกธาตุโย
    อะหังวันทามิ ทูระโต
    อะหังวันทามิ สัพพะโส

    ข้าพเจ้าขอบูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้าฯ"

    [​IMG] <!--emo&:71:-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:73:-->[​IMG]<!--endemo-->
    <!--emo&:74:-->​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 9991.jpg
      9991.jpg
      ขนาดไฟล์:
      98.8 KB
      เปิดดู:
      73
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 พฤษภาคม 2009
  19. นัฐพงษ์

    นัฐพงษ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +179
    สาธุ สาธุ สาธุ ขอนอบน้อมระลึกนึกถึงคุณของพระอนุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันมีพระปัญญาธิคุณ พระวิสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ พระบรมสารีริกธาตุด้วยการปฎิบัติสมาธิถวายเป็นพุทธบูชา.......สารีระธาตุโย เกศาธาตุโย อรหันตาธาตุโย เจติยัง คัฎธกุฎี จตุราสีติสะหัสเส ธรรมะคันเทสัพเพตังปาทะเจติยัง อะหังวันทามิสรรพโสฯ......
     
  20. pjo2517

    pjo2517 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2009
    โพสต์:
    256
    ค่าพลัง:
    +482
    ข้อมูลดีมากๆเลยครับคุณบี ภาพพระธาตุก็งามมากครับขออนุโมทนาด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...