สวดมนต์แล้วได้อะไร?

ในห้อง 'ประสบการณ์ ผลของการสวด' ตั้งกระทู้โดย paang, 5 มีนาคม 2009.

  1. Omjai_N

    Omjai_N เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +174
    อยากรู้เหมือนกัน สวดมนต์แล้วเป็น ปลาทอง เรื่องราวมีมาอย่างไร อนุโมทนาค่ะ
     
  2. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    กลัว ผี เจ็บ เอาใจผีกันมาก ระวัง เถอะ โดนผีมันหลอกให้ผิดทางก็ยังงี้หละ สำนักนี้
    จำไว้เถิดว่า เล่นกะผี ทำดีกะผีชั้นต่ำ ยังไงซะมันก็ผี
     
  3. มหา

    มหา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    827
    ค่าพลัง:
    +973
    มันเป็นความเชื่อของพวกมิจฉาทิฏฐิ สำนักนึงครับ พระพุทธองค์บอกว่า มนต์ไม่ท่องบ่น เป็นมลทินครับ สำนักนี้ไม่สวด ก็เลยโดนผีชั้นต่ำ ความคิดโง่ๆ มาหลอกให้หลงเชื่อครับ

    ........ ....... ........ กระทู้นี้ ผมสู้สุดใจ ....................................
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,893
    อนุโมทนากับทุกความคิดเห็นนะครับ

    จริง ๆ แล้วจุดประสงค์หลักของการสวดมนต์คือการระลึกถึงคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเราได้ระลึกถึงคำสอนและเข้าใจความหมายของบทสวดมนต์แล้ว เราจะทราบได้ทันทีว่าพระองค์ทรงตรัสสอนให้เราอยู่ในความประมาท

    จุดประสงค์รองลงมาคืออานิสงส์จากการสวดมนต์คือ จิตและสมาธิอันสงบ เพื่อเข้าสู่การเจริญภาวนาซึ่งการปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงปัญญา คือความหลุดพ้นจากกิเลส
     
  5. โชเต

    โชเต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    285
    ค่าพลัง:
    +331
    สวดมนต์แล้วดีครับ
    หมั่นภาวนา นึกถึงพระ นึกถึงครูบาอาจารย์เข้าไว้
    แล้วก็ถือศึล 8 ศึล 10ก็ได้ครับ (ยิ่งดีครับ)

    ยิ่งถ้าเป็นวันพระ หรือว่าวันพระใหญ่ ก็ตาม ยิ่งดีมาก ๆครับ

    ไม่กินเนื้อสัตว์ กินแต่ผักผลไม้ เบียดเบียนให้น้อย ๆ ลง
    โดยเฉพาะพวก เนื้อสัตว์ใหญ่ ไม่กินได้ก็ยิ่งดีครับ

    ลดอาหารที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายให้น้อยลง
    (ประมาณว่ากินให้น้อยลง เรื่อยๆ หลังเที่ยงแล้วก็งดกินครับ)
    ถ้ายังโหยอยู่ในตอนเย็น ก็กินผลไม้ หรืออะไรก็ได้ให้เบาท้องครับ

    ไถ่ชีวิต สัตว์ที่กำลังจะถูกเชือด ปล่อยให้เป็นอิสระ
    (ถ้าเป็นพวกสัตว์ใหญ่ก็จะยิ่งดีมากครับ)
    บริจาคโลงศพให้กับ ศพที่ไร้ญาติ
    ได้บุญกุศลควบคู่กันไปครับ
     
  6. อวิปลาส

    อวิปลาส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +353



    เอาแค่บทสรรเสริญพระรัตนตรัย ถ้าตั้งจิตตั้งใจสวดทุกวันเช้าเย็น จะเว้นเพราะเหตุจำเป็นจริงๆ คนที่ทำเช่นนั้นได้จิตใจก็ต้องมีธรรมะ มีความรู้สึกถึงความมีพลานุภาพของพระรัตนตรัย
    มีความอ่อนน้อมในการแสดงความเคารพ คือการกราบ ที่ต้องใช้ทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ คนที่นั่งสวดมนต๋ได้ 10-20 นาที
    ทุกวัน จิตใจจะตกต่ำถึงขั้น ตกนรกเชียวหรือ

     
  7. deepdeep_cutie

    deepdeep_cutie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +86
    "หากที่คุณรู้มาคือแบบนั้นลองศึกษาเพิ่มเติมข้างล่างอีกสักนิดก่อนดีไหมค่ะ"

    <CENTER>[​IMG]วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง[​IMG]</CENTER>
    บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ผู้สวด" ด้วย มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริง....ว่า... การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่างๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บทสวดมนต์" แต่เพียงอย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน 1. กรรม 2.ตัวเราเอง 3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย [​IMG]1.กรรม มีอัตราส่วน 50 % ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้ เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น เป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ [​IMG]2.ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 % ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี เพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้ [​IMG]3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 % ผู้ช่วยในที่นี้ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ที่มีจิตดี จิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ เป็น "อุปกรณ์" เสริมที่มีความจำเป็น เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา สมตามความต้องการ นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดๆ สมมติว่า ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ "ผ่าน" ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด ก็คือ ส่วนที่เป็น "กรรม" เรามีอัตราส่วนถึง 50 % ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 % เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้ว เคยสังเกตหรือไม่ว่า คนบางคนแค่เพียง "นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" จากสิ่งใดๆ อีก ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา นั่นก็แสดงว่า บุคคลนั้นได้กระทำ "กรรม" ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง สมมติว่ามี "กรรมดี" ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนน จะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือจากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น เพราะการที่ทำเอง ก็จะได้เอง และได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้ แต่ถ้าถามว่า เราทำเองนั้น ทำดีได้แค่ไหน จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้ว ผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่ สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน ยังขาดอยู่ 10 คะแนน เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบา อาจารย์ ผู้ที่มี"จิต" ดี "จิต" บริสุทธิ์ เทพ เทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ เหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า "ผ่าน" นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ และแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน แต่ถ้าจะให้ "เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย เช่น ทำแต่กรรมดี มาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดี และได้ผู้ช่วยเหลือดี เลยทำให้ได้ดี มากยิ่งขึ้น จำเอาไว้ว่า กรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25 ไปจัดสัดส่วนเอาเอง ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย (25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริง ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25 คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อน จะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ มีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนน จากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ "กรรม" 50 ตัวเราเองทำดีด้วย 25 ถ้าทำได้แค่นี้ 75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบายๆ จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง 25 คะแนนเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อน ให้ตัวเองมี "ดี" พอก่อน ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ อย่าลืมว่าเป็นเพียง "ส่วนประกอบเท่านั้น" คนที่ไม่มี "กรรม" ดีมาก่อน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง แต่การสวดมนต์ก็ได้ "กุศล" แล้ว แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกัน ทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลย์กันไม่ดีกว่าหรือ ? ทั้งทำ "กรรม" ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือสิ่งช่วยเหลือที่ดี แล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง [​IMG] การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด 1.อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือท่องๆ บ่ยๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้ ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย ไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะการรู้ความหมายเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น (แต่ถ้ารู้ความหมายด้วย ก็เป็นเรื่องดี) จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ 2.ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ หมายความว่า เวลาที่จะสวดมนต์นั้น ต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์บทไหน (จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้) แต่เวลาที่สวดมนต์นั้น ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้น คือตัวอะไร ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม ตัสสะ ฯลฯ ก็ต้องรู้ว่าตอนนี้กำลังสวดคำว่า นะ คำว่า โม คำว่า ตัส คำว่า สะ คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน ทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ การมีสติ และมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น จะได้รับ "พลังงาน" ที่ดี ทำให้ได้ แล้วจะได้รู้ว่า สวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ จะ "ดีกว่า" สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทองอย่างมากมายมหาศาล [​IMG] การเรียงการสวดมนต์ ตามที่ได้ลงในเวบนี้ ให้สวดมนต์ตามที่ได้ลงเอาไว้ ตั้งแต่ บทสวดมนต์ที่เกี่ยวกับพระรัตนตรัย บทชัยมงคลคาถา (บทพาหุง ฯ) และจบด้วยพระคาถาชินบัญชร จะท่องโดยไม่ต้องดูตัวหนังสือก็ได้ แต่อย่าขี้เกียจ หมั่นท่องจำไว้ให้ได้ก็ดี อย่านึกว่ามีหนังสือ มีตำรา แล้วเอาแต่เปิดหนังสือ เปิดตำราท่อง แรกๆ ก็เปิดได้ เพราะคนไม่เคยท่องจะให้จำได้อย่างไร แต่ถ้านานๆ ไป ควรท่องจำเองโดยไม่ต้องเปิดหนังสือหรือตำรา เพราะการท่องด้วยจิตใจที่จดจ่อกับคำที่เราท่อง สิ่งที่เราได้ก็คือ จิตจะมีสมาธิ การสวดมนต์ก็คือการปฏิบัติสมาธิอย่างหนึ่งเช่นกัน</PRE>
     
  8. deepdeep_cutie

    deepdeep_cutie Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    9
    ค่าพลัง:
    +86
    <CENTER>[​IMG]วิธีสวดมนต์ที่ถูกต้อง[​IMG]</CENTER>
    บทสวดมนต์หลายบทนั้นมีอานุภาพในตัวเองมากมายมหาศาล แต่ต้องขึ้นอยู่กับ "ผู้สวด" ด้วย มีหลายท่านได้ยินได้ฟังมาว่า คนนั้นคนนี้สวดมนต์บทนั้นบทนี้แล้วจะได้รับสิ่งที่ดีๆ อย่างนั้นอย่างนี้ จึงมีผู้เลือกเอาบทสวดมนต์ต่างๆ มาบอกเล่ากันว่าควรสวดบทไหน ขอเรียนให้ท่านทราบด้วยความจริง....ว่า... การที่สวดมนต์ตามบทสวดมนต์ต่างๆ แล้วได้สมหวังตามความปรารถนา หรือสวดแล้วได้โชคลาภต่างๆ นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "บทสวดมนต์" แต่เพียงอย่างเดียว มีองค์ประกอบอย่างอื่นด้วย องค์ประกอบของการได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนานั้น มีส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน 1. กรรม 2.ตัวเราเอง 3.ผู้ช่วยหรือสิ่งต่างๆ ช่วย [​IMG]1.กรรม มีอัตราส่วน 50 % ถ้าคนเราไม่มีส่วนของการกระทำที่ได้เคยทำไว้ในอดีตมาเป็นพื้นฐานแล้ว ไม่มีทางที่จะดีขึ้นมาได้ เปรียบเทียบว่า กรรม ดีที่เราทำนั้น เป็นกำลังพื้นฐานที่รองรับเรื่องราวต่างๆ [​IMG]2.ตัวเราเอง มีอัตราส่วน 25 % ถ้าเราเองไม่ทำตัวให้ดี เพื่อรองรับ หรือรอรับสิ่งที่ดีๆ แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะได้ดีขึ้นมาได้ [​IMG]3.ผู้ช่วยหรือสิ่งที่มาช่วย มีอัตราส่วน 25 % ผู้ช่วยในที่นี้ รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นครูบา อาจารย์ ผู้ที่มีจิตดี จิตบริสุทธิ์ พรหม เทพ เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ เป็น "อุปกรณ์" เสริมที่มีความจำเป็น เพื่อให้สิ่งที่เราต้องการ สิ่งที่เราปรารถนา สมตามความต้องการ นี่เป็นการเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นชัดๆ สมมติว่า ถ้าเป็นการสอบ ต้องการคะแนน 50 เพื่อ "ผ่าน" ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ถ้าเราจัดอัตราส่วนแล้วเราต้องใช้ส่วนไหนมากที่สุด ถ้าใช้ส่วนที่มากที่สุด ก็คือ ส่วนที่เป็น "กรรม" เรามีอัตราส่วนถึง 50 % ถ้าเราเคยทำกรรมดีไว้พอสมควร คือทำกรรมดีไว้เต็มเปี่ยมได้ครบ 50 % เราก็ไม่จำเป็นต้องไปหาคะแนนมาจากไหนมาเพิ่ม เพราะได้ครบ 50 % แล้ว เคยสังเกตหรือไม่ว่า คนบางคนแค่เพียง "นึก" ก็ได้สมตามความปรารถนาแล้ว ไม่จำเป็นต้อง "ร้องขอ" จากสิ่งใดๆ อีก ก็ได้ทุกอย่างตามที่ปรารถนา นั่นก็แสดงว่า บุคคลนั้นได้กระทำ "กรรม" ที่ดีๆ มาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วในอดีต แต่ถ้าท่านยังทำความดีไม่เพียงพอ กระพร่องกระแพร่ง หรือขาดตกไปบ้าง สมมติว่ามี "กรรมดี" ได้คะแนนเพียง 30 % จำเป็นที่จะต้องหาคะแนนจากที่อื่นมาเพิ่มให้ครบ 50 คะแนน จะไปเอาจากไหน ก็จากที่เหลือ 2 ส่วนที่เหลือ คือจากตัวเราเองและผู้ช่วยเหลือหรือสิ่งช่วยเหลือ การที่จะไปหาให้ครบ 50 คะแนนนั้น ถ้าเอามาจากตัวเองน่าจะง่ายกว่าไปหาจากคนอื่น เพราะการที่ทำเอง ก็จะได้เอง และได้มากกว่าคนอื่นมาทำให้ แต่ถ้าถามว่า เราทำเองนั้น ทำดีได้แค่ไหน จริงใจกับการทำความดีได้แค่ไหน หรือทำไปแล้ว ผลที่ได้จะเพียงพอกับคะแนนที่ต้องการหรือไม่ สมมติว่าทำได้อีก 10 คะแนน (จาก 25 คะแนน) เราก็ได้เพิ่มแล้วเป็น 40 คะแนน ยังขาดอยู่ 10 คะแนน เราก็ต้องอาศัยผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ เช่น ครูบา อาจารย์ ผู้ที่มี"จิต" ดี "จิต" บริสุทธิ์ เทพ เทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ บทสวดมนต์ พระคาถา เครื่องราง ของขลัง วัตถุมงคล ฯลฯ เหล่านี้ก็สามารถช่วยท่านได้อีก 10 คะแนน รวมแล้วครบ 50 คะแนน ถือว่า "ผ่าน" นี่เป็นเพียงการเปรียบเทียบ และแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนต้องมีการเกื้อหนุนและประกอบกัน ถ้าแค่ผ่าน ก็ใช้เพียง 50 % หรือ 50 คะแนน แต่ถ้าจะให้ "เยี่ยม" ต้องใช้คะแนนมากๆ บางคนทำคะแนนได้มากถึง 90 หรือเกือบร้อย เช่น ทำแต่กรรมดี มาตั้งแต่อดีต เป็นคนที่ทำตัวเองดี และได้ผู้ช่วยเหลือดี เลยทำให้ได้ดี มากยิ่งขึ้น จำเอาไว้ว่า กรรม 50 ตัวเอง 25 ผู้ช่วยเหลือ 25 ไปจัดสัดส่วนเอาเอง ถ้าจะมานั่งรอแต่ให้คนอื่นช่วย (25 คะแนน ซึ่งความเป็นจริง ใครหรืออะไรจะมาช่วยได้ครบ 25 คะแนน) แล้วไม่ทำตัวเองให้ดีๆ ไม่ทำกรรมดีมาแต่ก่อน จะไปได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ หรือจะได้รับสิ่งที่ดีๆ ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นความเป็นจริง ตัวเราเองเป็นส่วนสำคัญ มีคะแนนถึง 75 % หรือ 75 คะแนน จากการกระทำดีของเราที่ได้เคยทำไว้ ซึ่งก็คือ "กรรม" 50 ตัวเราเองทำดีด้วย 25 ถ้าทำได้แค่นี้ 75 คะแนนแล้ว ผ่านได้อย่างสบายๆ จะมานั่งรอผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือทำไม แค่เพียง 25 คะแนนเอง เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ทำไมไม่ฝึกตัวเองก่อน ให้ตัวเองมี "ดี" พอก่อน ก่อนที่จะไปหา "ดี" จากที่อื่น บทสวดมนต์ก็เช่นกัน จัดอยู่ในข้อที่ 3 คือผู้ช่วยเหลือ หรือสิ่งช่วยเหลือ อย่าลืมว่าเป็นเพียง "ส่วนประกอบเท่านั้น" คนที่ไม่มี "กรรม" ดีมาก่อน ไม่ได้ทำตัวให้เป็นคนดีก่อน ไม่ทำบุญทำกุศลมาก่อน ให้สวดพระคาถาชินบัญชร 100 จบ 1000 จบก็ไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ หรือเรียกง่ายๆ ว่า อาจจะไม่ได้ดีตามที่หวัง แต่การสวดมนต์ก็ได้ "กุศล" แล้ว แต่ได้อย่างมากที่สุดก็ไม่เกิน 25 คะแนน รู้อย่างนี้แล้วจะมามัวมานั่งทำอย่างใดอย่างหนึ่งทำไมกัน ทำทั้ง 3 ส่วนให้สมดุลย์กันไม่ดีกว่าหรือ ? ทั้งทำ "กรรม" ดี ทำตัวเองให้ดี (รวมถึงการทำบุญกุศล ปฏิบัติภาวนา ฯลฯ) และหาผู้ช่วยเหลือสิ่งช่วยเหลือที่ดี แล้วสิ่งที่คุณต้องการ...ก็จะไม่ไกลเกินความจริง [​IMG] การสวดมนต์เพื่อให้ได้อานิสงส์สูงสุด[​IMG] </PRE>
    1.อย่าสักแต่ว่าสวดเป็นนกแก้วนกขุนทอง คือท่องๆ บ่อยๆ ไปตามอักขระที่อ่านหรือนึกได้ ข้อนี้ไม่ได้หมายความว่าต้องให้รู้ความหมายด้วย ไม่จำเป็นขนาดนั้น เพราะการรู้ความหมายเป็นเพียงส่วนเสริมเท่านั้น (แต่ถ้ารู้ความหมายด้วย ก็เป็นเรื่องดี) จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ความหมายก็ไม่สำคัญเท่ากับการสวดมนต์อย่างมีสมาธิ 2.ต้องสวดมนต์อย่างมีสมาธิ หมายความว่า เวลาที่จะสวดมนต์นั้น ต้องรู้ก่อนว่าสวดมนต์บทไหน (จะรู้ความหมายหรือไม่รู้ก็ได้) แต่เวลาที่สวดมนต์นั้น ให้รู้ว่าอักขระหรือตัวหนังสือที่เรากำลังจะท่องนั้น คือตัวอะไร ฟังดูอาจจะเข้าใจยาก เอาอย่างนี้ เวลาที่จะสวดมนต์ เช่น นะโม ตัสสะ ฯลฯ ก็ต้องรู้ว่าตอนนี้กำลังสวดคำว่า นะ คำว่า โม คำว่า ตัส คำว่า สะ คือให้รู้ตัวทุกตัวอักขระว่ากำลังสวดคำไหน ทำได้มั้ยครับ ถ้าทำได้..คือรู้ตัวว่าสวดอักขระตัวไหน เราก็จะมีสติใจจดจ่อกับคำสวดตามอักขระ เมื่อมีสติเราก็จะมีสมาธิ การมีสติ และมีสมาธิในเวลาสวดมนต์นั้น จะได้รับ "พลังงาน" ที่ดี ทำให้ได้ แล้วจะได้รู้ว่า สวดมนต์เวลาที่มีสติและสมาธิ จะ "ดีกว่า" สวดมนต์แบบนกแก้วนกขุนทองอย่างมากมายมหาศาล [​IMG] การเรียงการสวดมนต์ ตามที่ได้ลงในเวบนี้ ให้สวดมนต์ตามที่ได้ลงเอาไว้ ตั้งแต่ บทสวดมนต์ที่เกี่ยวกับพระรัตนตรัย บทชัยมงคลคาถา (บทพาหุง ฯ) และจบด้วยพระคาถาชินบัญชร จะท่องโดยไม่ต้องดูตัวหนังสือก็ได้ แต่อย่าขี้เกียจ หมั่นท่องจำไว้ให้ได้ก็ดี อย่านึกว่ามีหนังสือ มีตำรา แล้วเอาแต่เปิดหนังสือ เปิดตำราท่อง แรกๆ ก็เปิดได้ เพราะคนไม่เคยท่องจะให้จำได้อย่างไร แต่ถ้านานๆ ไป ควรท่องจำเองโดยไม่ต้องเปิดหนังสือหรือตำรา เพราะการท่องด้วยจิตใจที่จดจ่อกับคำที่เราท่อง สิ่งที่เราได้ก็คือ จิตจะมีสมาธิ การสวดมนต์ก็คือการปฏิบัติสมาธิอย่างหนึ่งเช่นกัน</PRE>
     
  9. everpook

    everpook เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +129
    ตอนเด็กๆ...พ่อสอนให้สวดนะโม 3 จบกราบหมอน 3 ครั้ง แล้วก็นอน
    ก็รู้สึกว่าอุ่นใจ นอนหลับฝันดี
    ตอนนี้โตแล้ว..สวดมนต์ได้หลายบท บางครั้งยังแปลกใจตนเองว่า ทำไมบางบทยาวๆ
    เราถึงท่องได้ จำได้ ติดปาก คงเป็นเพราะความตั้งใจที่จะสวดมนต์
    การสวดมนต์ ทำให้รู้สึกมั่นใจในการดำรงชีวิตมากขึ้น มีสติ แคล้วคลาดปลอดภัย(บางครั้งนะเกือบเกิดอุบัติเหตุ แต่เหมือนบุญช่วย นาทีฉิวเฉียด บอกไม่ถูก ) ชีวิตดูราบรื่น ติดต่อเจราจางานกับใครก็สำเร็จ
    พิสูจน์ได้ด้วยตนเองนะ ว่าการสวดมนต์ เป็นสิ่งที่ดี สำหรับทุกชีวิต
     
  10. รู้รู้ไป

    รู้รู้ไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    951
    ค่าพลัง:
    +3,166
    เมื่อก่อนผมคิดว่าผมเป็นคนบาปคงจะทำดีอะไรไม่ขึ้น เพราะทำสมาธิแล้วไม่ลง ยิ่งทำก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ทำให้ท้อถอย แต่มาเห็นว่าการสวดมนต์เป็นการทำบุญสร้างบารมีเราทำได้เท่านี้ก็เอาเท่านี้ก่อนดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย สะสมไว้ดีกว่าไม่ทำเลย จนติดเป็นนิสัย อย่างตอนตั้งใจว่าจะสวดให้ได้ 108 จบ เราเจออะไรบ้างครับ 1 ผมเจอมารที่จะทำให้เราเสียสัจจะ 2 เราต้องมีสมาธิมีสติเพื่อให้เราสวดได้ถูกต้องไม่นับผิด 3 หากเราเข้าใจในบทสวด เราได้ระลึกถึงคุณพระรัตนไตรย์ ทบทวนธรรมมะ 4 ได้เห็นการทำงานของจิตใจที่ปรุงแต่งไปเองต่างๆนาทั้งที่เรามีเจตนาตั้งใจแล้วว่าจะสวดมนต์แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น 5 ผมอุ่นใจว่าอย่างน้อยในชาตินี้ก็ยังได้สร้างความดีเอาไว้ให้ตนเองได้ระลึกถึงบ้าง ผมได้สิ่งต่างๆเหล่านี้จากการสวดมนต์อันเป็นการระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และคิดว่าส่วนหนึ่งที่ผมมาถึงตรงนี้ได้ก็เพราะในวันนั้นผมได้เริ่มต้นสวดมนต์ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...