หายสงสัย...เรื่องพระฉันนมหรือโอวัลตินในตอนเย็น

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย วิมานะ, 19 พฤศจิกายน 2008.

  1. วิมานะ

    วิมานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +202
    ถาม เคยเห็นพระบางวัดฉันนมหรือโอวัลตินในตอนเย็น บางวัดก็ไม่ฉัน ไม่ทราบว่าผิดถูกเป็นอย่างไร ?

    ตอบ ตามวินัยแล้ว พระภิกษุจะฉันอาหารในเวลาวิกาล (เที่ยงถึงขึ้นวันใหม่) ไม่ได้ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ส่วนนมหรือโอวัลตินนั้น จัดเป็นอาหารอันประณีตชนิดหนึ่ง เป็นยาวกาลิก (ของฉันที่มีอายุเพียงกาล) คือเช้าถึงเที่ยง พระจึงไม่ควรฉันหลังเที่ยงไปแล้ว บางวัดที่พระท่านฉัน ท่านคงไม่ศึกษาตรงนี้ให้ดีพอ เลยเข้าใจว่า " นม " และ " โอวัลติน " เป็นเครื่องดื่ม และพูดเอาเองว่าเป็น " น้ำปานะ " ที่จริงแล้วไม่ถูกต้อง มันคืออาหารนั่นเอง ดังที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎกว่า อาหารอันประณีต ได้แก่

    - เนยใส
    - เนยข้น
    - น้ำมัน
    - น้ำผึ้ง
    - น้ำอ้อย
    - ปลา
    - เนื้อ
    - นมสด
    - นมส้ม (นมเปรี้ยว)

    (พระไตรปิฎก อรรถกถา มหาวิภังค์ ทุติยภาค)

    ถาม น้ำปานะที่ท่านอนุญาตให้พระดื่มได้ มีอะไรบ้าง ?

    ตอบ น้ำปานะหรือเครื่องดื่มที่ทรงอนุญาติให้ดื่มฉันได้นั้นเป็นยามกาลิก คือของฉันที่รับแล้วมีอายุได้ 1 วัน คือตลอดทั้งวัน มีอยู่ 8 อย่าง เรียกว่า
    " น้ำอัฐบาน " หรือ " น้ำปานะ " ก็ได้ คือ

    - น้ำมะม่วง
    - น้ำชมพู่ หรือผลหว้า
    - น้ำกล้วยมีเมล็ด
    - น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด
    - น้ำมะซาง
    - น้ำลูกจันทร์ หรือองุ่น
    - น้ำรากบัว
    - น้ำมะปราง หรือลิ้นจี่
    - หรือผลไม้อย่างอื่นก็ได้ ที่มีผลไม่ใหญ่เกินลูกมะตูม และกรองแล้วไม่มีกาก

    ยกเว้น ธัญชาติ มี ข้าว เผือก มัน ถั่ว งา เป็นต้น ฉะนั้น น้ำนมข้าว น้ำนมถั่ว น้ำเต้าหู้ น้ำผัก น้ำผลไม้ที่ใหญ่กว่ามะตูม และมีกาก นมสด นมเปรี้ยว โยเกิร์ต และเครื่องดื่มทุกชนิดที่ใส่นม ล้วนเป็นอาหาร ไม่ถือว่าเป็นน้ำปานะ ภิกษุถ้าฉันหลังเที่ยงไปแล้ว ต้องเป็นอาบัติทันที คนที่นำมาถวายหลังเที่ยง เพราะคิดว่าเป็นน้ำปานะ ก็ต้องเป็นบาปไปด้วย จะอ้างว่าไม่รู้ ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้ ดังเช่นกฎหมาย ประชาชนทุกคนต้องมีหน้าที่รู้กฎหมายบ้านเมือง หากทำผิดกฎหมาย ก็ต้องได้รับโทษทุกคน จะอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย ไม่ได้ศึกษากฎหมายไม่ได้ พระธรรมวินัย ก็เฉกเช่นเดียวกัน ทั้งพระภิกษุและบรรดาพุทธบริษัท มีหน้าที่ต้องศึกษาให้ถ่องแท้และรอบคอบ ว่าสิ่งใดทำได้ และทำไม่ได้ เพื่อความสำรวมระวังในบาปอกุศลมิให้บังเกิดขึ้นนั่นเอง

    (พระไตรปิฎก อรรถกถา มหาวรรค เภสัชชขันธกะ)

    ถาม มะขามป้อมหรือลูกสมอ ทำไมฉันได้หลังเที่ยง ?

    ตอบ มะขามป้อมและลูกสมอเหล่านี้ พระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตไว้ให้พระภิกษุฉันได้เมื่ออาพาธ หรือมีเหตุอันสมควร และต้องรับประเคนแล้ว จึงจะฉันได้ มีผลเภสัช (ผลไม้ที่เป็นยา) เช่น ดีปลี สมอ มะขามป้อม เป็นต้น และมูลเภสัช (ยาที่เป็นหัว หรือเหง้าไม้) เช่น ขมิ้น ขิง ข่า พริกไทย เป็นต้น

    (พระวินัยปิฎก อรรถกถา มหาวรรค เภสัชชขันธกะ)

    ถาม เคยได้ยินมาว่า ผลไม้ที่ขึ้นต้นด้วย " มะ " พระฉันได้ทุกเวลา จริงหรือไม่ ?

    ตอบ แหม...ไอ้คำนี้นะ !!! ได้ยินมานานแล้วเหมือนกัน ไม่รู้ว่าใครเอามาจากไหนกัน ไม่มี เป็นคำพูดของคนพาล เป็นการกล่าวตู่พุทธพจน์ เป็นอันตรายต่อธรรมวินัย เป็นบาปเป็นกรรม พูดเอาตามอำนาจของกิเลส ของความอยากของปากท้อง พูดผิด พูดเล่นกัน สนุกๆ ผลเสียคือ ผู้ใหม่ ผู้ไม่รู้ นำไปกระทำผิด โดยรู้เท่าไม่ถึงการ เป็นบาปเป็นโทษ ก็สะสมบาปไป น่าสงสาร ในที่สุดแม้ " มะม่า " ก็เรียกกัน ฉันกันไปทั่ว ดู๋...ดู... นรก !!!

    ที่มา หนังสือหายสงสัย ชมรมศึกษาพระสูตร
     
  2. aero1

    aero1 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +54
    <table name="ListaBoard" style="font-family: ms sans serif; font-size: 12px; color: rgb(0, 0, 0); letter-spacing: 0px;" align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td style="font-family: ms sans serif; font-size: 12px; color: rgb(0, 0, 0); letter-spacing: 0px;">โภชนวรรคที่ ๔ มี ๑๐ สิกขาบท
    ...
    ๗. ภิกษุฉันของเคี้ยวของฉันที่เป็นอาหารในเวลาวิกาล คือตั้งแต่
    เที่ยงแล้วไปจนถึงวันใหม่ ต้องปาจิตตีย์.


    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: ms sans serif; font-size: 12px; color: rgb(0, 0, 0); letter-spacing: 0px;">
    </td> </tr> <tr bgcolor="#ecd58c" height="1"> <td style="font-family: ms sans serif; font-size: 12px; color: rgb(0, 0, 0); letter-spacing: 0px;">
    </td> </tr> <tr> <td style="font-family: ms sans serif; font-size: 12px; color: rgb(0, 0, 0); letter-spacing: 0px;">
    </td></tr></tbody></table>
     
  3. Pure_Heart

    Pure_Heart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2005
    โพสต์:
    141
    ค่าพลัง:
    +171
    เคยหิวมากจนหยิบซองมาม่า
    แต่คิดในใจ
    บวชเป็นพระแล้ว...ต้องอดทน

    เลยทานนมแก้หิว
    สรุปว่า อาบัติ เหมือนกัน
    ฮือๆ
     
  4. วิมานะ

    วิมานะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กันยายน 2008
    โพสต์:
    139
    ค่าพลัง:
    +202
    อนุโมทนากับทุกท่านที่ได้เข้ามาอ่าน เพื่อที่จะได้ปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง เพื่อที่จะไม่ให้บาปอกุศลที่ไม่สมควรเกิด ได้เกิดขึ้นอีกต่อไป จากความไม่รู้นะครับ เมื่อรู้แล้วก็อยากให้ทำให้ถูกต้องกันนะครับ หลายครั้งที่ผมไปถือศีลอุโบสถที่วัด แล้วมีการดื่มนมและโอวัลตินต่างๆ ผมก็ไม่ได้ดื่มกับเขา จะบอกเขา ก็กลัวเขาจะไม่เชื่อ ไม่เชื่อไม่เท่าไรนะครับ แต่กลัวว่าเขาจะปรามาศพระธรรมวินัยเข้า จะเป็นบาปเป็นกรรมยิ่งกว่า ก็เลยได้แต่วางอุเบกขาไป กรรมใครกรรมมัน แต่ก็คิดว่า การมาบอกในที่นี้ น่าจะมีประโยชน์มากกว่าครับ เพราะในนี้มีแต่ผู้รู้ และใฝ่รู้ ขออนุโมทนาครับ
     
  5. Pla_Tong

    Pla_Tong สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +22
    เข้าใจผิดมาตลอดเลยค่ะ ตายแล้ว

    รักษาศีลแปดทุกครั้ง ปาณะมักจะเป็นน้ำเต้าหู้

    ที่คิดเช่นนี้เพราะเคยไปเข้าค่ายแล้วเค้าทำปาณะเป็นโกโก้ร้อน

    เลยเข้าใจไปเอง บาปแท้ๆค่ะ
     
  6. สัทธาธิกะ

    สัทธาธิกะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +373
    ในมหายาน

    จะอนุญาตให้พระฉันท์นมได้ครับ
     
  7. Bull_psi

    Bull_psi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +1,445
    แล้วท่านรักษาศีล เพื่อการณ์ใดลองตรองดูนะครับ

    อยากรู้คำตอบที่เป็นความจริงลองดื่มดูสิครับ ว่ามันต่างกันอย่างไร น้ำ2กลุ่มนี้หน่ะ

    หากท่านยังสัมผัสพิสูจน์ไม่เป็น ท่านจะหลับหูหลับ เชื่อตามๆไปก่อนก็ได้นะครับ

    สวากขาโต ภควตาธัมโม เพราะพระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
     

แชร์หน้านี้

Loading...