ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622
    สาธุครับ
    โมทนาบุญล่วงหน้าและขอร่วมด้วยครับ
    น้องเอ
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    อภินิหารข้ามมุมโลก
    ของ
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม

    [​IMG]



    ญาติโยมวัดบวรนิเวศวิหาร และวัญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ เล่าว่าเคยได้ประจักษ์ในอิทธิฤทธิของการปฏิบัติพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวกับท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม และเคยเล่าให้ฟังด้วยความปิติโสมนัสมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง

    ขอนำมาบันทึกไว้เพื่อให้บรรดาผู้สนใจในเรื่องอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์ได้ซาบซึ้งในพระพุทธศาสนา ที่เป็นเพียงจุดเล็กน้อยนักเมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่แห่งพระธรรมคำทรงสอน ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงนำให้มีผู้รู้ตามเสด็จ ได้พ้นทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้อีกต่อไป

    เรื่องที่ปรากฏประจักษ์แก่ญาติโยม วัดญาณสังวรารามฯ เมื่อ ๒๐ - ๓๐ ปีมาแล้ว เมื่อท่านพระอาจารย์หลวงปู่ชอบ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ยังมิได้ละสังขารไปเช่นขณะนี้ ครั้งนั้นเกิดฝนแล้ง น้ำตามอ่าง ตามห้วยในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ แห้งขอด

    ผู้คนเดือดร้อน ญาติโยมผู้หนึ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่หลวงปู่ท่านเคยเป็นพญานาคราช ที่ได้ยินผู้เล่าให้ฟัง โดยไม่เคยได้ฟังโดยตรงตรงจากหลวงปู่ท่าน เพราะไม่เคยรู้จักท่าน เรื่องที่เคยได้ยินก็คือ ที่ใดน้ำแล้งและหลวงปู่ได้รับอาราธนาไปโปรด พญานาคจะตามท่านไปทั้งครอบครัว ช่วยให้น้ำฟู่ฟู่ เต็มไปทุกแห่ง

    ช่วงที่น้ำแห้งทั่ววัดญาณสังวรารามฯ นั้น หลวงปู่ท่านไปโปรดผู้คนตามคำอาราธนาที่อเมริกา เป็นเหตุให้ลังเลกันอยู่เหมือนกันว่า หลวงปู่ท่านจะได้รับทราบคำร้องขอให้ท่านช่วยแก้ความเดือดร้อนเรื่องขาดน้ำหรือไม่ เพราะท่านไปอยู่ไกลถึงต่างประเทศ แต่ด้วยความเดือดร้อนจริงๆ จึงตัดสินใจขอท่าน

    โดยรวมกันอ่านคำขอพร้อมกัน เป็นความจริงที่เล่ากันว่า เพียงผู้เขียนคำขอหลวงปู่จรดปากกาลงบนกระดาษเท่านั้น ฟ้าก็ลั่นสนั่นไปแล้ว เป็นสิ่งที่เหลือเชื่ออย่างยิ่งในหมู่ผู้ร่วมอยู่ในเหตุการณ์


    ซึ่งเล่าต่อไปว่า เมื่อเขียนคำอ้อนวอนขอน้ำจากหลวงปู่จบ พร้อมกันอ่านเพียงสั้นๆ ฝนก็กระหน่ำหนักทันที ลูกเห็บตกเกรียวกราว เป็นที่รู้เห็นกันทุกถ้วนหน้า ความปิติตื่นเต้นยินดีพ้นจะพรรณนา ไม่กี่นาทีน้ำในบริเวณวัดญาณสังวรารามฯ ก็เต็มทั่ว

    เป็นความกรุณาที่ยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ของหลวงปู่ท่าน ทุกคนซาบซึ้งเช่นนี้ และมีผู้หนึ่งเล่าในภายหลังว่าตั้งใจไปกราบขอบพระเดชพระคุณหลวงปู่ท่าน ทั้งที่ไม่เคยรู้จักท่านเลย รู้แต่ว่าขณะนั้นท่านอยู่อเมริกา

    ความตื่นเต้นซาบซึ้งในพระเดชพระคุณท่วมท้นจริงใจ ทำให้น้อมใจไปสัญญากับหลวงปู่ท่าน ว่าท่านกลับจากอเมริกาเมื่อใด อยู่ที่ไหน จะไปกราบสนองความเมตตา อย่างไม่น่าเป็นไปได้ของท่าน บรรดาผู้กราบขอรบกวนท่านนั้น ไม่มีผู้ใดรู้จักท่านมาก่อนเลย

    เพียงได้ยินชื่อเสียงและกิติศัพท์ความเคยเป็นพญานาคราช ในอดีตชาติของท่านเท่านั้น และเป็นยิ่งกว่าความมหัศจรรย์ หลังเหตุการณ์ที่ฝนตกตามคำขอของญาติโยมวัดญาณสังวรารามฯ มาแล้ว ไม่นานวันขณะที่ญาติโยมพวกนั้นกลับจากวัดญาณสังวรารามฯ ไปรวมอยู่ใน
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    "ไหมห้าสี "
    ของดีแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง

    [​IMG]


     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    [​IMG]
    สติสัมปชัญญะ
    (ความระลึกได้ และความรู้สึกตัว)
    ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะ จะทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด จนนึกถึง คติพจน์ว่า "กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม"
    ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์ ตลอดทั้งพืชพันธ์ พฤกษชาติ เป็นอยู่ได้ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า "Life is fighting" "ชีวิตคือการต่อสู้" เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใดก็ต้องถึงที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย เพราะฉะนั้นยังมีสติอยู่ตราบใด ถึงตายก็ตายแต่กาย เช่นเดียวกับชีวิตของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ตาย ตรงกับคำว่า immortal จึงเรียกว่า ปรินิพพาน คือ นามรูป สังขารร่างกาย ที่เรียกว่า เบญจขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเท่านั้น
    เพราะฉะนั้น ควรฝึกฝนสติ (ความระลึกก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด) สัมปชัญญะ (รู้ตัวอยู่ทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่) เมื่อทำเสร็จแล้วก็มีสติตรวจตราพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไรหรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์ต่อไป ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้ว ก็พยายามให้เรียบร้อยดียิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด
    อานุภาพของไตรสิกขา
    คือ
    ศีล สมาธิ ปัญญา
    ด้วยอนุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล จึงชนะข้าศึก คือ กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง และอย่างละเอียดได้
    ๑. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกาย วาจาได้ด้วยศีล !
    ชนะความยินดียินร้าย หลงรัก หลงชัง ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ ด้วยสมาธิ !
    ชนะความเข้าใจ รู้ผิด เห็นผิด จากความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างละเอียดได้ ด้วยปัญญา!
    ๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้โดยพร้อมมูล บริบูรณ์ สมบูรณ์แล้ว ผู้นั้นจึงเป็นผู้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้เป็นแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลย !
    เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจ เอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นี้ ทุกเมื่อเทอญ
    ปฏิบัติบูชา
    พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ปฏิบัติบูชาเป็นบูชาอย่างเลิศสูงสุด" คือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ เป็นการบูชาอย่างถูกพระทัยและเป็นการสนองพระคุณพระพุทธเจ้าอย่างสูงสุด คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นหลักหัวใจสำคัญที่สุด คือ ทางกาย วาจา ใจ ทิฏฐิ ความเห็นด้วยปัญญา
    ๑. ศีล การฝึกกายวาจาให้สุภาพ อ่อนโยน นิ่มนวล ละมุนละไม ไม่มีเวร ไม่มีภัยกับใคร ๆ เป็นเหตุให้ผู้ประสบพบเห็นเกิดความรัก ความเอ็นดู ความเมตตากรุณาปรานี และเกรงใจ ศีลเป็นเสน่ห์สำคัญให้เกิด ความรัก ความเอ็นดู กรุณาปรานี ช่วยอนุเคราะห์สงเคราะห์ให้สำเร็จกิจ ที่ประสงค์ได้อย่าง ๑ อย่างนี้
    ๒. สมาธิ ฝึกหัดใจให้อ่อนโยนสุภาพนิ่มนวลละมุนละไม ไม่อยู่ใต้อำนาจของอารมณ์ฝ่ายต่ำเหล่านี้ คือ ความกำหนัด ความขัดเคือง โกรธแค้น อาฆาต พยาบาท โลภ อิจฉาริษยา ความลุ่มหลงมัวเมา ความหดหู่ ซบเซามึนซึม ท้อแท้อ่อนแอ เกียจคร้าน สะดุ้งหวาดกลัว ตื่นเต้น ประหม่า ฟุ้งซ่านรำคาญใจ และความสงสัยลังเล เงอะ ๆ งะ ๆ ไม่แน่ใจ เหล่านี้
    เมื่อจิตมีอำนาจอยู่เหนืออารมณ์ฝ่ายต่ำ ที่กล่าวมานี้แล้ว เป็นเหตุให้จิตสดชื่นแจ่มใสปลอดโปร่งเข้มแข็งกล้าหาญเด็ดขาด เมตตา กรุณาเป็นเหตุให้เกิดอำนาจทางจิต เป็นเสน่ห์ที่จะดึงดูดใจผู้ที่ได้ประสบ พบเห็นให้เกิดความรัก ความเมตตา เอ็นดู กรุณาปรานีและเกรงใจ ช่วยสงเคราะห์อนุเคราะห์ เป็นเหตุให้ประสบความสำเร็จที่มุ่งหมาย
    ๓. ปัญญา พิจารณาให้เห็นคนทุกชั้น เป็นเพื่อนทุกข์เกิดแก่เจ็บตาย รักสุขเกลียดทุกข์ ร่วมสุขร่วมทุกข์ หัวอกอันเดียวกันทั้งนั้น เป็นเหตุให้เกิดความรักความเอ็นดู ความเมตตากรุณาปรานี แสดงออกทางจิตใจ และกายวาจา เป็นเหตุให้ผู้ประสบพบเห็นทุกชั้นวรรณะที่เกี่ยวข้องติดต่อในสังคม เกิดความรัก ความเอ็นดู ความเมตตากรุณาปรานี ยินดีช่วยสงเคราะห์อนุเคราะห์ให้สำเร็จกิจที่สมประสงค์
    พึ่งตน
    จงพึ่งตัวเอง
    จงเป็นแสงสว่างของตัวเอง
    จงเป็นผู้นำตัวเอง
    จงรับผิดชอบตัวเอง
    จงพิจารณาตัวเอง
    จงมีตนเป็นที่พึ่ง
    เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในสมรรถภาพของตนเอง
    ก้าวไปข้างหน้าด้วยความกล้าหาญ เข้มแข็ง เด็ดขาด มั่นคงไม่ท้อถอย
    มุ่งไปข้างหน้าด้วยความหวังสู่จุดหมายที่ตนปรารถนาอันสูงสุด แล้วก็จะบรรลุถึงความสำเร็จที่ประสงค์และมุ่งหมายทุกประการ
    จงพึ่งตัวของตัวเอง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ - ตนเป็นที่พึ่งของตน โก หิ นา โถ ปโร สิยา - - ใครอื่นเล่าจะเป็นที่พึ่งของตนได้ นี้เป็นคำสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความจริงอันยั่งยืน
    ก่อนที่จะอ้อนวอนขอให้ผู้อื่นช่วย ต้องพึ่งคำสอนของพระพุทธเจ้าที่กล่าวมาก่อนแล้ว ที่พึ่งภายในตนเองสำคัญมากกว่าที่พึ่งภายนอก ซึ่งมาจากคนอื่น ถึงคนอื่นจะช่วยได้ ก็ช่วยได้เฉพาะ เพราะตนเองช่วยตนเองก่อน พระพุทธเจ้าก็เป็นแต่ผู้ชี้ทางแนะนำสั่งสอนให้เท่านั้น
    จงพึ่งตัวเอง จงเป็นแสงสว่างนำตัวเอง อย่าหวังพึ่งสิ่งภายนอกทุกคนต้องต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคแห่งวิถีชีวิตของตนด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ บิดามารดา ญาติ มิตรสหาย ผู้มีไมตรีจิตสนิทสนมรักใคร่ ก็เพียงแต่เป็นผู้เอาใจช่วย เป็นกำลังใจ เป็นเครื่องกระตุ้นบำรุงขวัญเท่านั้น
    ความทะเยอทะยาน
    พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า "ambition" คือความทะเยอทะยาน อยากได้ใฝ่สูงจนเกินไป ถ้าได้สมหวังก็ดี ถ้าพลาดพลั้งไม่ได้สมหวัง จะเป็นเหตุให้เกิดทุกข์อย่างมหันต์ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติอย่างสายกลาง อย่าให้ตึงนักและอย่าให้หย่อนเกินไป เหมือนพิณ ๓ สาย ถ้าตึงเกินไป ดีดก็ขาด ถ้าหย่อนเกินไปเสียงก็ไม่เพราะ ต้องพอดี ๆ ไม่ตึงนักและไม่หย่อนนัก
    การตามใจตัวมากเกินไป ก็ทำให้เกียจคร้านย่อหย่อน ทำงานไม่สำเร็จ การบังคับตัวเองเคร่งเครียดมากเกินไป ก็เป็นการทรมานตัว เป็นเหตุให้หักกลางคัน break down ไปไม่ตลอด ไม่ถึงจุดหมายปลายทาง
    จงปฏิบัติให้พอเหมาะพอดี ทั้งร่างกายและจิตใจ ระวังรักษาสุขภาพให้สมส่วน ทั้งทางกาย และทางใจ จึงจะบรรลุความสำเร็จ
    วิธีขับอารมณ์ร้าย
    อารมณ์ร้าย คือ ความกลัว ความกังวลกลุ้มใจ ความร้อนใจ ความห่วงใจ ความเกลียด ความโกรธ ความหึงหวง ความริษยา ใจคอเหี่ยวแห้ง ความโศก ความตื่นเต้น ความเสียใจ โทมนัส ความบ่นเพ้อรำพันด้วยเสียใจ โหยหวน โศกเศร้า คร่ำครวญถึง มืดมน ความเสียใจ ตรอมใจ
    เมื่ออารมณ์ร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นในใจ จงหายใจเข้าให้ลึก ๆ สร้างมโนภาพสูดเอากำลังงานของชีวิตที่อยู่ในสากลโลก (The universal supply of life energy) อำนาจ ความเข้มแข็งและกำลังเข้าไป
    เมื่อหายใจออกจงนึกขับอารมณ์ร้ายเหล่านี้ออกมา และเพ่งกล่าวในใจว่า "ออกไป ออกไป ออกไป" พร้อมกับทำความรู้สึกว่า อารมณ์ร้ายเหล่านี้ออกไปจากใจแล้ว ปฏิบัติอย่างนี้จนกว่าอารมณ์นั้นจะจางหายไป ถ้าไม่หายอย่าเพิ่งเลิก หรืออีกอย่างหนึ่ง เพ่งดูอารมณ์ร้าย เหล่านั้นที่เกิดขึ้น แยกใจออก เหมือนกับดวงจันทร์แยกออกจากเมฆ
    อารมณ์ร้ายเหล่านี้เป็นเมฆหมอกจะมาบังใจ ตามปกติไม่ได้อยู่ที่ใจ มันจรมาเป็นครั้งคราว เหมือนมารมาผจญหรือลองใจว่า เราจะเข้มแข็งหรือไม่ ถ้าเรามีกำลังต่อต้านพอ ค่อย ๆ จางไปทีละน้อย ๆ จนมันหลบหน้าหายไป
    ในทางตรงกันข้าม ถ้ากำลังใจต่อต้านไม่พอ มันก็กำเริบได้ใจ ผจญเราล่มจมป่นปี้ไปเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเวลามันเกิดขึ้น ให้มีสติระลึกว่า เวลานี้เจ้าอารมณ์ร้ายเหล่านั้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว วางใจเฉยเพ่งดู ต่อต้าน อย่างสงบ นึกในใจว่า "ปล่อยมันไป อย่ายึดมันไว้ สักประเดี๋ยวมันก็ค่อย ๆ จางหายไป"
    อารมณ์ร้ายเหล่านี้อ่อนแอ เหมือนเมฆในท้องฟ้า สู้กำลังที่เข้มแข็งไม่ได้เว้นไว้แต่เราจะชอบมัน แล้วเลี้ยงมันไว้เป็นมิตรสหายสนิทกับใจ มันก็จะทำลายใจเราทีละน้อย ๆ เหมือนสนิมกัดเหล็กให้กร่อนไปทีละน้อย เพราะฉะนั้นอย่าประมาท จงระวังให้มากอย่างที่สุด จงอย่าสมาคมกับอารมณ์เหล่านี้เป็นอันขาด
    ในทางตรงกันข้าม ถ้าอารมณ์ดีมีประโยชน์ ที่ให้เกิดความกล้าหาญบากบั่น วิริยะ อุตสาหะ เข้มแข็ง อดทนก้าวหน้า เหล่านี้ควรรักษาไว้ และบำรุงให้เจริญ วัฒนาถาวรยิ่ง ๆ ขึ้น เหมือนกับดวงจันทร์ที่ปราศจากเมฆหมอกฉะนั้น
    วิธีทำสมาธิ
    วิธีทำสมาธิ คือ รวบรวมกำลังใจลงในกิจที่กำลังทำอยู่เฉพาะหน้า ตัดเรื่องฟุ้งซ่านไปในอดีตที่ล่วงไปแล้ว ตัดเรื่องฟุ้งซ่านไปในอนาคตที่ยังไม่มาถึง รวมกำลังใจทั้งหมดเพ่งอยู่เฉพาะกิจกรณียะที่กำลังทำอยู่ เฉพาะหน้าในปัจจุบันอย่างเดียว
    จงนึกถึงคำสอนของท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรมหาเถระ)
    "ท่านจงปล่อยข้างหน้า ปล่อยข้างหลังเฮย
    จงปล่อยในท่ามกลาง อย่ายั้ง
    ถึงฝั่งภพปล่อยวาง มานัส สรรพนา
    จักไม่ประสบเกิดทั้ง แก่ม้วยต่อไป"
    ข้างหน้าคืออนาคต ข้างหลังคืออดีต ท่ามกลางคือปัจจุบัน นี่สำหรับปฏิบัติทางจิตที่จะให้บรรลุพระนิพพาน
    ถ้ายังไม่ต้องการพระนิพพาน ก็เพ่งเฉพาะปัจจุบัน ที่กำลังท่อง กำลังฟัง กำลังอ่าน กำลังเรียน กำลังศึกษาอยู่เฉพาะหน้าในปัจจุบัน


     
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    จิตตานุภาพ
    โดยท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส



    [​IMG]

    จิตตานุภาพ คืออานุภาพของจิต แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ
     
  6. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 align=center bgColor=#f5f5f5 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>อาหารของใจ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)



    ตามที่ได้กล่าวมาแล้วว่า พรหมวิหาร ๔ ย่อมเป็นกำลังของฌาน เป็นอาหารของศีล และ เป็นอาหารของวิปัสสนาญาณ ทั้งนี้ก็เพราะว่า พรหมวิหาร ๔ เป็นกรรมฐานเย็น คือ ต้นเหตุของพรหมวิหาร ๔ ก็คือ​
     
  7. onimaru_u

    onimaru_u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +854
    เห็นด้วยอีกหนึ่งเสียงครับ....
    เมิ่อโอนเงินแล้วจะแจ้งอีกทีครับ
     
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕๙ | ทรงโปรดเบญจวัคคีย์
    <!-- Main -->พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๕๙ : ทรงโปรดเบญจวัคคีย์


    พระพุทธเจ้าเสด็จถึงป่าอิสิปตนะ
    เบญจวัคคีย์เห็นแต่ไกล แต่นัดกันว่าจะไม่ต้อนรับพระพุทธองค์

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไปถึงป่าอิสิปตนมฤคทายวันในเย็นวันเดียวกันนั้น ขณะนั้นพวกเบญจวัคคีย์ ซึ่งมีโกณฑัญญะเป็นหัวหน้ากำลังสนทนากันอยู่ เรื่องที่สนทนากันก็เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าโดยตรงว่า นับตั้งแต่ผละหนีจากพระพุทธเจ้ามาก็นานแล้ว ป่านนี้จะประทับอยู่ที่ไหน จะทรงระลึกถึงพวกตนอยู่หรือไม่

    [​IMG]

    ทันใดนั้น เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ก็เห็นพระฉัพพรรณรังสี สว่างรุ่งเรืองมาแต่ไกล เมื่อเหลียวแลตามลำแสงพระรัศมี ก็เห็นพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จดำเนินมา ทั้ง ๕ จึงนัดหมายกันว่าจะไม่รับเสด็จพระพุทธเจ้า และจะไม่ถวายความเคารพ คือ จะไม่ลุกขึ้นออกไปรับบาตรและจีวร จะปูแต่อาสนะถวายให้ประทับนั่ง จะไม่ถวายบังคม แต่ต่างจะนั่งอยู่เฉยๆ ทำเป็นไม่รู้ ไม่สนใจว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมา

    แต่ครั้นพอพระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงจริง เบญจวัคคีย์ทั้งหมดต่างลืมนัดหมายกันเสียสิ้น เพราะต่างก็ลุกขึ้นรับเสด็จ ถวายบังคม และรับบาตรและจีวรด้วยความเคารพอย่างแต่ก่อนที่เคยทำมา ผิดแต่ว่า เวลาทั้ง ๕ กราบทูลพระพุทธเจ้านั้นได้ใช้ถ้อยคำที่พวกตนไม่เคยใช้มาก่อนเท่านั้น

    เบญจวัคคีย์ใช้โวหารเรียกพระพุทธเจ้าว่า "อาวุโส โคดม" คำท้าย คือ โคดม หมายถึงชื่อตระกูลของพระพุทธเจ้า ส่วน อาวุโส เป็นคำเดียวกับที่คนไทยเรานำมาใช้ในภาษาไทย ผิดแต่หมายต่างกันในทางตรงกันข้าม ภาษาไทยใช้และหมายกับผู้สูงอายุ และคุณวุฒิ แต่ภาษาบาลีใช้เรียกบุคคลผู้อ่อนทั้งวัยและวุฒิ คือ เป็นคำที่ผู้ใหญ่ใช้เรียกผู้น้อย "อาวุโส" จึงเท่ากับคำว่า "คุณ" ในภาษาไทย ซึ่งไม่สุภาพ

    พระพุทธเจ้าจึงตรัสเตือนสติเบญจวัคคีย์ว่า เคยใช้โวหารนี้กับพระองค์มาก่อนหรือไม่ เมื่อเบญจวัคคีย์ได้สติ พระพุทธเจ้าจึงตรัสเล่าให้ฟังว่า พระองค์ได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ที่เสด็จมาที่นี่ก็เพื่อจะมาแสดงธรรมโปรดนั้นเอง พระศาสดาได้ตรัสปลอบใจให้เบญจวัคคีย์เชื่อในการตรัสรู้ของพระองค์ เบญจวัคคีย์จึงได้เกิดความสนใจที่จะฟังธรรม


    ต้องขอขอบคุณเป็นอย่างมากกับท่านที่เขียนบล๊อกเกี่ยวกับพระพุทธเจ้านี้เป็นที่สุดครับ ทำให้ค่อยๆ ได้เรียนรู้ประวัติของท่านได้อย่างละเอียดและดีมาก แถมยังได้ภาพที่สวยงามประกอบอีก ขอบคุณจริงๆ ครับ
    http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=travelaround&date=29-04-2008&group=29&gblog=16

     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR><TD background=../../pic_rec/m11.gif></TD><TD width=12>[​IMG]</TD></TR><TR><TD width=12 background=../../pic_rec/m44.gif>[​IMG]</TD><TD vAlign=top>
    <TABLE width=700 border=0><TBODY><TR class=thai><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="75%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>หลวงปู่ฝากไว้ ความจริงที่ "ลบไม่เลือน" <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    หลวงปู่พระอุดมญานโมลี (จันทร์ศรี จันททีโป) เจ้าอาวาสวัดโพธิสมภรณ์ อ.เมือง จ.อุดรธานี



    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>

    [​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เป็นธรรมโอวาท "หลวงปู่ขอบอกลูกหลานว่า

    นรกโลกนี้
    ยังไม่เผ็ดร้อน
    เท่ากับนรกในภพหลัง
    สวรรค์ในภพนี้ ไม่สุขสงบร่มเย็น
    ไม่อุดมสมบูรณ์ไพบูลย์
    เท่ากับสวรรค์ในภพภูมิอื่น
    นี่คือความจริง"
    คติธรรมพระอุดมญานโมลี
    ๑. "คนดีพวกน้อย แพ้คนชั่วพวกมาก"
    ๒."ทำดีไม่ได้ดี เพราะยังทำไม่ถึงดี หรือทำเกินพอดี"
    ๓."ที่คนทำดีแล้วมักบ่นว่าไม่ได้ดี เพราะดีนั้น มีโทษ"
    ๔."บุญจะให้คุณ ต่อเมื่อผู้ให้ลืมไปแล้ว"
    ๕."การพูดมาก แก้ปัญหาใดๆไม่ได้เลย แม้กับปัญหาที่พอจะแก้ไขได้"
    ๖."พายุร้าย ทำอันตรายได้น้อยกว่าวาจาส่อเสียด ยุแหย่ ใส่ร้าย นินทากัน"
    ๗."การคุยสนุกหากเกินหนึ่งชั่วโมง คือการทำลายเวลาอันมีค่าของตนเองและผู้อื่น"
    ๘."อย่าพูดอะไรเพียงเพราะเห็นว่าสนุกปาก เรื่องร้ายสงบได้ เมื่อหยุดพูดถึง
    ๙."ความรักดูเหมือนหอมหวาน ความชั่วดูเหมือนเผ็ดร้อน ทั้งสองนี้เป็นอารมณ์สุดโต่ง มีอำนาจเหนือเราเมื่อใด จะทำลายเราอย่างเจ็บปวดที่สุด"

    ท่านที่ต้องการหนังสือเล่มนี้ซึ่งมีคติธรรมจากหลวงปู่ที่เหมาะกับการดำเนินชีวิตสามารถขอรับได้โดยเขียนชื่อ-ที่อยู่ท่านให้ชัดเจนแนบแสตมป์ 10 บาท
    ส่งไปยัง....คุณนรินทร์ เศวตประวิชกุล
    254/3 ถนนโพศรี อำภอเมือง จังหวัดอุดรธานี 41000
    โทร.086-6341434


    http://www.dhammathai.org/store/talk/view.php?No=433
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>...เหนื่อยก็ไม่พัก หนักก็ไม่วาง... <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    พระโพธิญาณเถร หลวงพ่อชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง จ อุบลราชธานี
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    โลกนี้มันก็สม่ำเสมอดีอยู่หรอก
    ที่มันไม่สม่ำเสมอนั้น
    เพราะจิตของเราหลงไปอุปาทานมั่นหมายมันเสียแล้ว
    เช่น ต้นไม้ในป่านี้แหละ ต้นนี้มันโตไป ต้นนี้มันเล็กไป
    ต้นนี้มันสูงไปต้นนี้มันเตี้ยไป
    นี่เราก็พูดแต่เรื่องของเรา ต้นไม้มันก็ไม่ว่าของมันยาวหรือสั้น
    มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนั้น
    อารมณ์ เกิดมาจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก็เป็นอยู่ของมันอยู่อย่างนั้น
    ถ้าจิตมันรู้เรื่อง แล้วก็ปล่อยๆมันไป
    ทางตาก็ดี ทางหูก็ดี ทางจมูกก็ดี ทางลิ้นก็ดี ทางกายก็ดี ทางใจก็ดี
    ถ้าเห็นสภาพมันเป็น อย่างนั้น
    มันก็ ปล่อย รับรู้แล้ว มันก็ปล่อย อารมณ์ทั้งหลายนั้น มันก็เสมอกัน
    ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรชั่ว มันจะดี หรือมันจะชั่ว

    ก็เพราะเราไปมีอุปาทาน มั่นหมายมันเท่านั้นตัวอารมณ์มัน
    เป็นอยู่อย่าง นั้นของมันถูกสมมติขึ้นมาในจิตใจของเรา
    เราก็ไปสำคัญ มั่นหมายว่า มันเป็นที่จิตอย่างนั้น จากนั้นเราไปแบกมัน
    มันก็หนัก ความหนักนั้นก็ทำให้เกิดทุกข์ขึ้นมา ทีนี้จะวางก็วางไม่ได้...
    ทำไมจึงวางไม่ได้? ก็เพราะนึกว่า ของหนักนั้นมันดี
    คิดว่าวางแล้ว มันจะไม่ได้ดี จึงไม่ยอมวางมัน
    อย่าง บุรุษคนหนึ่งแบกต้นไม้มาถามว่าหนักไหม?
    หนักก็วางมันเสีย ที่นี่ เขาไม่ยอมวาง เพราะกลัวจะไม่ได้
    สิ่งที่ได้จากการวางนั้นมีอยู่ แต่เขาไม่เห็น...
    มันก็แบกไป ดันไปจนกว่าจะตายนั่นเอง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ที่มา : http://www.thaitv3.com/drama/tamma/trick14.html

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ทำบุญ ทำทาน ทำกุศล <HR width="100%" color=#dddddd SIZE=1></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>
    <TABLE width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]

    ถาม ทำบุญอะไร มากและน้อยอย่างไร จึงจะได้บุญมาก

    ตอบทำบุญอย่างหนึ่ง ทำทานอย่างหนึ่ง ทำกุศลอย่างหนึ่งไม่เหมือนกัน
    แต่ลงที่ เจตนาอันเดียวเป็นรากฐาน

    ทำบุญ นั้น มีเจตนาศรัทธาเป็นทุนก่อน จะมีวัตถุหรือไม่ก็ตาม ศรัทธานั้นเต็มเปี่ยมบริบูรณ์อยู่ในใจแล้ว ยิ่งมีวัตถุสิ่งของเป็นเครื่องแสดงให้ไปก็ยิ่งเพิ่มศรัทธาขึ้นเป็นทวีคูณ นี่เรียกว่า บุญ
    บุญคือ ความยินดีในสิ่งที่ตนให้แล้วเกิดเต็มเปี่ยมขึ้นมาในใจ

    ทำทาน นั้น จะมีเจตนาหรือไม่ก็ตาม คิดจะให้แล้วก็ให้ไปเลย
    ไม่ว่าสิ่งของอะไรทั้งหมด ถ้ามีเจตนาศรัทธาเลื่อมใสในบุคคลผู้รับและสิ่งที่ตนให้นั้น หรือเอ็นดูต่อบุคคลผู้รับนั้นแล้วให้ไปเรียกว่า ทาน
    สมดังคำว่า ทานํ เทติ เทก็หมายความว่า เทให้ ทอดให้ ให้สิ่งของจึงเรียกให้

    สรุปได้ว่า

    ทำทาน คือ ให้สิ่งของพัสดุนั้นไม่ว่ามากหรือน้อยหยาบหรือละเอียด ไม่ปรารถนาผลตอบแทน แต่มีเมตตาจิตเป็นพื้นฐาน แม้ที่สุดให้ด้วยแก้ความรำคาญ เรียกว่าทำทาน

    การทำบุญนั้น ต้องมีเจตนาศรัทธาเป็นพื้นฐาน ก็การให้นั่นแหละ เรียกว่า ทำบุญ จะให้สิ่งของอะไรมากและน้อย หยาบและละเอียดก็ตาม ให้แล้วหวังผลตอบแทน เช่น ปรารถนาว่าด้วยอำนาจอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าได้ทำบุญแล้วในครั้งนี้
    ขอให้ได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ เป็นต้น

    การกุศล นั้นคือ ทำบุญทำทานนั่นเอง
    แต่เป็นกุศโลบายของท่านผู้รู้ทั้งหลาย
    ที่จะให้พ้นจากความยากและความหิวทั้งปวงทำไป
    เพื่อให้ใจผ่องใสสะอาดไม่พึงปรารถนาสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น
    แม้แต่จิตคิดจะทำภาวนาสมาธิก็เช่นเดียวกัน

    ทำบุญ ทำทาน ทำกุศล ไม่ว่ามากหรือน้อย วัตถุมิใช่ตัวบุญแท้
    ตัวบุญแท้มันเกิดที่หัวใจ คือ เจตนาของบุคคลนั้นต่างหาก

    ถ้าเจตนาศรัทธาในขณะใด ในบุคคลใด ในสถานที่ใด ในที่นั้นๆ ได้บุญมาก

    ฉะนั้น บุญในพุทธศาสนานี้ คนทำจึงไม่รู้จักหมดจักสิ้นสักที
    พระพุทธเจ้าตรัสเทศนาไว้สองพันกว่าปีแล้วว่า ทำบุญได้บุญเช่นไร
    มาในปัจจุบันนี้หรือในอนาคต ต่อไปก็ได้อย่างนั้นเช่นเคย

    คนทำบุญมากเท่าไรก็จะได้บุญมากเท่าที่ตนนั้นสามารถจะรับเอาไปได้ เหมือนกับคนนับเป็นหมื่นๆ แสนๆ
    ถือเทียนมาคนละเล่มไปขอจุดจากผู้ที่มีเทียนที่จุดอยู่แล้ว
    ย่อมได้แสงสว่างตามที่ตนมีเทียนเล่มโตหรือเล่มเล็ก
    ส่วนดวงเดิมที่ตนขอจุดต่อนั้นก็ไม่ดับเทียน
    หลายดวงยิ่งเพิ่มแสงสว่างยิ่งๆ ขึ้นไปอีก


    : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    http://www.thewayofdhamma.org/page4_1/puchainn.html


    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    2-3 วันนี้หากไม่ติดขัดอะไรทางเทคนิคแล้ว ต้องขาลาขาดจากกระทู้ไปสักหน่อยครับ ก่อนลาขอแจ้งให้ผู้ที่ทำบุญทราบอยู่ 2 เรื่องคือ

    1. เครื่องดูดเสมหะ ตามรูปในวันงานกิจกรรมได้ถึงที่ รพ.ศรีนครินทร์
    จ.ขอนแก่นแล้วเมื่อวานนี้ ทางคุณวรารัตน์ หัวหน้าพยาบาลของหอสงฆ์
    ทดลองใช้แล้ว ไม่มีปัญหา และพร้อมที่จะนัดให้ตัวแทนของพระสงฆ์ที่
    อาพาธและทาง รพ.ได้คัดเลือกและขึ้นทะเบียนไว้แล้วให้เรียนรู้การใช้งาน
    ของเครื่องดูดเสมหะนี้ และจะได้มอบให้นำไปใช้ต่อไป และในวันมอบ
    เครื่องจะได้ถ่ายรูปไว้ เพื่อนำส่งมาทางเมล์ให้โมทนาสาธุบุญกันครับ

    2. ในวันที่ทำบุญดังกล่าว ผมได้ประกาศไปว่าได้ทำบุญกับทาง รพ.สงฆ์คือ
    ค่าซื้อเลือด 5,000.-บาท และ ค่าซื้อวัสดุ ส่วนกลาง 5,000.- ต้องขอ
    บอกไปว่า ผมผิดพลาดอย่างมากที่เดียวที่จำยอดเงินบริจาคเท่ากันทั้ง 5
    รพ. เพราะที่จริงแล้วคณะกรรมการฯ ได้ลงมติไว้แล้วว่าจะซื้อเลือด
    7,500.-และซื้อวัสดุ ส่วนกลาง 7,500.- กลับมาในวันนั้นผมมารู้ในตอน
    หัวค่ำ ตอนเช้าจึงได้ปรึกษากับ อ.ปุ๊ และให้พี่ใหญ่ได้รับทราบ โดยพี่ใหญ่ก็ได้ให้คำ
    แนะนำว่า ตัวเลขการบริจาคอย่างละ 5,000.- นั้น ทุกคนได้โมทนาไปแล้ว
    ดังนั้น จึงขอให้รีบโอนเข้าบัญชีดังเดิม และให้บอกภรรยาด้วยว่าหากผมได้
    ตายไปในคืนนั้นวันนั้นขอให้นำเงินจำนวนนี้คืนเข้าบัญชีให้เรียบร้อยด้วย
    เพราะเงินทำบุญนี้ทุกคนจบมาแล้ว ท่านข้างบนรับรู้หมดแล้ว หากไม่นำไป
    ใช้ตามวัตถุประสงค์แม้แต่สตางค์แดงเดียวชดใช้ไม่หมดลงนรกนับชาติกันไม่ถ้วน
    เลยทีเดียวซึ่งในขณะนี้เงินจำนวนนี้ผมได้โอนเข้าบัญชีดังเดิมในเมื่อวานนี้เรียบร้อยแล้ว
    (พอดีวันจันทร์ติดประชุม) และผมได้แจ้งให้ อ.ปุ๊ กับพี่ใหญ่ทราบแล้วเช่น
    กัน ส่วนสลิปการโอนพร้อมสมุดบัญชีที่อัพเดท จะได้นำมาแสดงให้พวกเราทราบในภายหลังครับ
    สุดท้าย
    ต้องใช้คำว่ากราบขออภัยอีกครั้ง และจะพยายามไม่ให้เกิดความผิดพลาดดังนี้
    ขึ้นอีกครับ โดยสรุปก็คือกิจกรรมคราวนี้ใช้เงินจากทุนนิธิฯไปดังนี้ครับ

    1.บริจาคให้ รพ.สงฆ์
    ค่าซื้อเลือด 5,000.-
    ค่าเวชภัณฑ์ 5,000.-
    ค่าอาหารฯ 3,875.- (พระ 155 รูป อาหารกล่องละ 25.-)
    2. บริจาคให้ รพ.ภูมิภาค
    รพ.มหาราช เชียงใหม่ 5,000.-
    รพ.ศรีครินทร์ ขอนแก่น 5,000.-
    รพ.50 พรรษาฯ อุบลฯ 5,000.-
    รพ.สงขลา 5,000.-
    3. บริจาคซื้อเครื่องดูดเสมหะ 5,000.-

    รวมเป็นเงิน 1+2+3 = 38,875 เบิกเงินมา 45,000.-
    เหลือคืนเข้าบัญชีทุนนิธิฯ ตามเดิมอีก 6,125.-บาท (ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว
    ทั้งหมดครับ)


    พันวฤทธิ์
    1/10/51


    [​IMG]


     
  13. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    กราบขอบพระคุณและโมทนาบุญทุกๆท่านที่ได้มาร่วมกันทำบุญเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 51 และผู้ที่ไม่ได้มาร่วมทำบุญด้วยนะครับ ซึ่งมีหลายท่านได้บริจาคเงินเพื่อสมทบเข้าทำบุญกับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร ผ่านมาทางผม ซึ่งผมได้ไปดำเนินการนำเข้าบัญชีเรียบร้อยแล้วนะครับ ทางคณะกรรมการขอขอบพระคุณด้วยใจจริงสำหรับทุกท่านที่ได้ช่วยสนับสนุนให้ทางทุนนิธิฯยืนหยัดอยู่ได้มาเป็นเวลา 10 เดือนแล้วต้องขอขอบคุณในความเสียสละของทุกๆท่านด้วยอีกครั้ง
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
    รายนามท่านที่บริจาคเงินสมทบเข้าทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร เมื่อวันที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2551 ที่ผมได้นำไปเข้าบัญชีมีดังนี้ครับ

    29 ก.ย. 2551
    1.อ.ประถม อาจสาคร 500 บาท
    2.คุณ ดิเรก ศรีเจริญและครอบครัว 600 บาท
    3.คณะลูกศิษย์ อ.ประถม อาจสาคร 3400 บาท
    - คุณ พิษณุ อุชุวัฒน์ 1000
    - คุณ เรื่องสิน+อำไพ ดีเชียง 500
    - คุณ สมสิทธิ์ วิศิษฎ์วัฒนวงศ์ 500
    - คุณ ชนิดา แก้วกลม 500
    - คุณ สกุล ศิลารัตน์
    - คุณ นฤมล สวรรค์ปัญญาเลิศ 200
    - คุณ ปัญญาทิพย์ เหล่าประเสริฐ
    - คุณ วัชระ ทองย่อย
    - คุณ วรรณพร ทองย่อย 500
    - คุณ ดาวใจ ทองย่อย
    - คุณ กิติศักดิ์ ทองย่อย 100
    - พ.จ.อ.ณัฐสิทธิ์+เกศสุดา ดีเชียง 100
    4.พ.ต.ท. ประยูร เตชะมา 2000 บาท
    5.คุณ ธนวัฒน์ (chaipat)และคณะ 8490 บาท
    - คุณ ทิพย์วรรณ เกียรติชัยนาม 500
    - คุณ สุชญา สหัสรจินดา 200
    - คุณ เมธาพร รัตนวรรณ 100
    - คุณ นพวรรณ ยิ้มเจริญ 140
    - คุณ สมใจ+ศิริพร สุวพานนท์ 300
    - คุณ วารี ศรีภิรมย์ 2000
    - คุณ จุไร จันทโร 500
    - คุณ ธนวัฒน์+ศิริวรรณ์+ด.ช.พิชาภพ 250
    - คุณ สำราญ+อ่อน วิเชียรดี 200
    - คุณ ทิพย์ธัญรดี ปัณชญายศอนันต์+ดวงพร วิเชียรดี 400
    - คุณ สมร + ประไพ เดชเดิม+แม่ใหญ่ทวี ร่วมสุข 100
    - คุณ ซู่เป้ง แซ่เล้า 100
    - คุณ ซกเตียว แซ่กัง 100
    - ด.ญ.กุมภาพร แซ่เล้า 100
    - คุณ ทิพย์วัลย์-สิทธืพร และครอบครัว 500
    - คุณ อัมพร รุจิชิตย์และบุตร ธิดา หลาน 1000
    - คุณ ไพรัช+ธนพล+ด.ช.ธนกฤต,ธนดล อำพันทอง 1000
    - คุณ เนาวรัตน์ +สุรัฐ พิมพ์กัณฑ์ 1000
    6.คุณ Kitty Kidและคณะ 500 บาท
    - คุณ นางแจ้ แซ่โค้ว
    - น.ส.อรสา บุญจันทร์
    - คุณ สมคิด ศรีสกุลพานิชย์
    - น.ส.ทิพย์วรรณ ศรีสกุลพานิชย์
    7.คุณ ภิญโญ ยิ่งเจริญผลและคณะ 950 บาท
    - น.ส.สุรสา วงศ์เสริมศรี
    - น.ส.กรกมล จันทร์งาม
    - คุณ ไพบูลย์ วงศ์ภูมี
    อุทิศให้ คุณแม่เข้ม ยิ่งเจริญผล,คุณพ่อ น้อย จันทร์งาม

    8.ร.ต.อ.ศิรณวิชญ์ อินทร 1000 บาท
    9.น.ส.เนตรดาว ใจซื่อดี 1000 บาท
    10.คุณ จุฑามาศ ขำสุวรรณ 200 บาท
    11.คุณ Onimaru_u และคณะ 600 บาท
    - คุณ ประวิทย์ อนันตบุรี 300
    - น.ส.สุภาพันธ์ นามเมือง 200
    - คุณ ณรงค์ นามคงชื่น 100
    12.คุณ พันวฤทธิ์ และครอบครัว+พี่บุญชัย 700 บาท
    13.คุณ เทพารักษ์ 200 บาท
    14.คุณ นัทนา ด่านวิไล 500 บาท
    15.คุณ หัสญา ด่านวิไล 500 บาท
    16.คุณ เกียรติชัย ชัยรัตน์(MEA) 300 บาท
    17.คุณ ติวากรณ์ สายสวาท(กุ้งมังกอน) 300 บาท
    18.ร้านเตียง้วนเฮียง 3500 บาท

    - คุณแม่นิตยา ผลิตผลการดี
    - คุณ จุลดา เบญโชติเดช
    - คุณ ลัดดา เบญโชติเดช
    - คุณ สุรีย์ วจโนภาส
    - คุณ อิทธิพัทธ์ เบญโชติเดช
    - คุณ โชติรส เบญโชติเดช
    19.คุณ ชนะพันธ์ นาคศิลป์ธนัต 1820 บาท
    21.คุณ ยงยุทธ+วิวรรณ ป้อมเย็น 1000 บาท
    22.คุณ ภัทรภร พิณเพราะ 400 บาท

    30 ก.ย. 2551
    1.คุณ แสงดาว 3000 บาท
    2.น้องคุณโสระ 500 บาท
    3.คุณ นลินรัตน์ ธนันประพัฒน์ 500 บาท
    4.คุณ จิโรจน์ สุรินทราบูรณ์ 200 บาท
    5.คุณ สมยศ ฉันทเตยานนท์และครอบครัว 200 บาท
    6.คุณ ศรีวงศ์ อย่างตระกูลและครอบครัว 200 บาท
    7.คุณ กรกนก ทรัพย์เจริญและครอบครัว 700 บาท
    8.ค่าบูชาวัตถุมงคลของ คุณพันวฤทธิ์สมทบเข้าทุนนิธิฯ 2900 บาท
    9.เงินค่าภัตตาหารที่เหลือจาก 28 ก.ย. 51 1125 บาท

    รวมเงินทั้งสิ้น 46,860 บาท

    ยอดเงินคงเหลือในบัญชีล่าสุด

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2008
  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" align=center><TBODY><TR><TD><CENTER>วันนี้ขอกล่าวถึงโรคที่หลาย ๆ คนเป็นอยู่ครับอาจเกิดจากการทำงานเช่นการนั่งนาน ๆ หรือทำงานไม่ถูกลักษณะครับ

    นายโอ๊ต..​
    ทางเลือกใหม่ เถาวัลย์เปรียง สธ.วิจัยสำเร็จ ทำยารักษาโรคปวดหลัง

    </CENTER>

    กระดูกสันหลังของมนุษย์เป็นอวัยวะที่ออกแบบมาอย่างงดงามลงตัวครับ แต่มักเกิดปัญหาจุกจิกกวนใจเสมอ คล้ายกับรถยนต์บางคันบางยี่ห้อ แม้ราคาแพงแต่อาจใช้งานได้จำกัด เฉกเช่นเดียวกันเปรียบได้กับร่างกายของมนุษย์ตลอดชีวิตของมนุษย์ทุกคนย่อมมีโอกาสเป็นโรคปวดหลัง อย่างน้อยสักครั้ง หรือ อาจจะปวดหลายๆครั้ง โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มมีอายุมากขึ้นหรือแม้กระทั่งหนุ่มสาว ซึ่งผู้ที่ทรมานกับอาการปวดหลังมักต้องการวิธีเยียวยาเพื่อบรรเทาอาการความทรมานให้ทุเลาลง

    หากจะอธิบายเป็นภาษาทางการแพทย์ โรคปวดหลังเป็นปัญหาที่ซับซ้อนครับ เนื่องจากทั้งอาการทางร่างกาย และปัญหาทางจิตใจมักปะปนกัน บางครั้งอาการปวดอาจรุนแรงถึงขั้นสุดแสนทรมาน แต่บ่อยครั้งอาการปวดกลับหายไปเอง บางคนยอมรับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัด เพราะต้องการหายปวดโดยเร็ว แต่การผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลังเป็นวิธีรักษาที่อันตราย มีค่าใช้จ่ายสูงและไม่เป็นผลกับทุกคน แต่ก็ยังมีวิธีรักษาวิธีใหม่ ซึ่งง่ายกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า สำหรับโรคที่เป็นปัญหามากที่สุดโรคหนึ่ง
    [​IMG]


    ซึ่งการแพทย์ทางเลือก มีการแพทย์ทางเลือกและการรักษาแพทย์พื้นบ้านหลายวิธีที่ใช้ได้ผลดี นั่นคือ การจัดกระดูก จัดตำแหน่งข้อต่อและเนื้อเยื่อบริเวณกระดูกสันหลังให้เข้าที่ เป็นวิธีที่ปลอดภัย และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยอมรับ อีกวิธีคือ การนวดบำบัด และ การฝังเข็ม เป็นอีกวิธี ซึ่งเป็นที่นิยม ซึ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นวิธีการรักษาซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร ที่กล่าวมาทั้งหมดคืออากรของคนปวดหลังและการเยียวยารักษา แต่สิ่งที่จะหยิบยกมาเล่านี้อาจจะเรีกยว่าป็นข่าวดี ซึ่งจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับการบรรเทาโรคปวดหลัง
    [​IMG]
    เถาวัลย์เปรียง

    เพราะเมื่อวานนี้ 20 พ.ค. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เขาได้ออกมาเปิดเผยการศึกษา วิจัยค้นคว้า สกัดสารสำคัญ จากพืชสมุนไพร ซึ่งถือว่าในบ้านเรามีอยู่เป็นจำนวนมาก สมุนไพรที่ว่านั้นก็คือ ” เถาวัลย์เปรียง”อาจะแปลกหูสักนิด แต่เขาวิจัยกันออกมาแล้วว่า เป็นยารักษาโรคปวดหลัง-ปวดตามข้อ ใช้แทนยาแก้อักเสบสเตียรอยด์ รักษาอาการปวดหลังได้ดีทีเดียว และขณะนี้ได้จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว เตรียมขึ้นทะเบียนตำรับยา อย. พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้องค์การเภสัชกรรม ผลิตรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ

    [​IMG]

    เถาวัลย์เปรียง, เครือตาปลา
    Derris scandens Benth. FABACEAE (PAPILIONACEAE)



    นายแพทย์ ไพจิตร์ วราชิต อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ บอกว่า ถือเป็นหนึ่งในยุทธ์ศาสตร์สำคัญของกรม ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำการศึกษาฤทธิ์ในสมุนไพรหลายชนิด และทดลองสกัดในห้องปฏิบัติการเพื่อนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วย ทดแทนการนำเข้ายาจากต่างประเทศ และ จากการทดลองวิจัย “เถาวัลย์เปรียง” พบว่าสารสกัดจากลำต้นมีฤทธิ์ในการบรรเทาอาการปวด ต้านการอักเสบ สามารถใช้แทนยาแก้อักเสบประเภทสเตียรอยด์ที่เป็นยาแผนปัจจุบันเพื่อรักษาโรคปวดหลังและปวดตามข้อได้ ซึ่งหลังจากที่ใช้เวลาทำการทดลองนานเกือบ 10 ปี ขณะนี้ได้ผ่านการทดสอบทางคลินิกในคนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งระยะที่ 1 และ 2 ให้ผลดีเป็นที่น่าพอใจ โดยให้ยาแก่อาสาสมัครครั้งละ 1 แคปซูล (200 มก./ แคปซูล) หลังอาหารวันละ 2 ครั้ง นาน 2 เดือน ร่างกายสามารถดูดซึมยานี้ได้ดี ไม่มีความเป็นพิษหรือผลข้างเคียง ทั้งยังช่วงเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย

    [​IMG]





    นายแพทย์ ไพจิตร์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ทางกรมวิทยาศาสตร์ได้ประสานไปยังสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. เพื่อเตรียมขึ้นทะเบียนตำรับยาแล้ว และ เตรียมถ่ายทอดเทคโนโลยีสกัดสารสำคัญเพื่อให้มีการผลิตเป็นยาออกจำหน่ายในระดับอุตสาหกรรม ให้มีการใช้กันอย่างกว้างขวาง เบื้องต้นได้ประสานไปยังองค์การเภสัชกรรม หรือ อภ. เพื่อให้มีการผลิตเป็นจำนวนมาก โดยให้โรงพยาบาลต่าง ๆ นำไปใช้กับผู้ป่วย โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุในแถบภาคเหนือและอีสานที่มักเจ็บป่วยด้วยโรคปวดหลังและตามข้อ หรืออาจถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตในระดับชุมชนเพื่อให้มีการนำไปใช้รักษาอย่างแพร่หลาย

    [​IMG]



    ขณะนี้เถาวัลย์เปรียงได้นำจดสิทธิบัตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทันทีที่การวิจัยแล้วเสร็จ และในปี 2550 นี้ จะมีการผลิตออกมาเป็นยาในรูปแคปซูลเพื่อใช้รักษา ทั้งนี้เถาวัลย์เปรียงอยู่ในตระกูลพืชประเภทเถาวัลย์ พบมากตามป่า แต่สามารถนำมาปลูกได้ นับว่าเป็นความสำเร็จของนักวิจัยไทยในการวิจัยสมุนไพรไทยภายหลังจากที่ใช้เวลาศึกษาและทดลองนายหลายปี




    นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรอีกหลายชนิดที่อยู่ระหว่างการศึกษาสารสกัดและทดลอง อาทิ พรมมิ ที่มีฤทธิ์ในการรักษาโรคอัลไซด์เมอร์ มังคุดที่มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็ง อย่างไรก็ตามในส่วนของแมงลักคาที่เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อไข้หวัดนกจากการวิจัยในห้องปฏิบัติการ แต่จากการทดลองในคนพบว่ายังมีปัญหาในเรื่องการดูดซึมยาเข้าร่างกาย จำเป็นต้องศึกษาเพิ่มเติมหลังจากนี้


    ทำความรู้จักกับ “เถาวัลย์เปรียง”

    “เถาวัลย์เปรียง” มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Derris scandens Benth หรือที่รู้จัดในชื่อท้องถิ่นว่า เถาตาปลา เครือตาปลา เครือเขาหนัง พานไสน ย่านเหมาะ มีลักษณะเป็นไม้เถาขนาดใหญ่เป็นพุ่มเลื้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย รูปวงรี ดอกออกเป็นช่อห้อยลงด้านล่าง มีสีขาว กลีบดอกสีม่องดำ ผลเป็นฝักแบนเล็ก มีเมล็ด มีสรรพคุณเป็นยาแก้กระษัย แก้เส้นเอ็นขอด ทำให้เส้นอ่อน บางแหล่งนิยมนำเถาหั่นตากแห้งคั่วไฟ ชงน้ำดื่มแทนชา ใช้แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ถ้าใช้ดอกเหล้าจะเป็นยาขับระดู และตามตำรับยาแผนโบราณยังนำมาใช้เป็นส่วนประกอบยาอายุวัฒนะเพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง


    ข้อมูลประกอบเรื่อง กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์


    </TD></TR><TR><TD align=right>โดย warakorn</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ขอขอบคุณ
    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=40283
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2008
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ยังขาดนับรวมของผมที่นำส่งคืนอีก 5,000.- ด้วยครับ
     
  16. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    ตามปกติทุกๆเดือนทางทุนนิธิฯจะทำการบริจาครวมแล้วประมาณเดือนละสองหมื่นกว่าบาท แต่ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาทางทุนนิธิฯได้ทำการบริจาคไปประมาณเกือบสี่หมื่นบาท เพื่อนำเงินที่ทุกท่านได้ทำบุญมา ไปใช้ให้มากเพื่อบุญจะได้ส่งผลถึงท่านทั้งหลายเต็มที่ แต่เป็นที่น่ายินดีเพราะบริจาคไปให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ต่างๆมากเท่าไร ยอดเงินยิ่งทวีคูณกลับมาอย่างมากจนยอดบัญชีทะลุสองแสนบาท

    ทางคณะกรรมการทุนนิธิฯขอกราบโมทนากับทุกๆท่านที่บริจาคสงเคราะห์สงฆ์อาพาธครับ
     
  17. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ยังไม่รวมยอดเมื่อวาน คุณสงวนชัย ฝากเงินทำบุญทุนนิธิฯไว้กับผมอีก 5000 บาท เงินส่วนนี้เจตนาคนทำต้องการบริจาคร่วมสงเคราะห์สงฆ์อาพาธและซื้อเครื่องดูดเสมหะ พี่พันวฤทธิ์เดือนหน้าต้องหาบริจาคเครื่องดูดเสมหะอีกนะครับ
     
  18. onimaru_u

    onimaru_u เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +854
    เมื่อเช้านี้ร่วมทำบุญ อีก 300 บาท ครับ
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ก่อนอื่นต้องขออภัยก่อนตอนแรกที่คิดว่าจะหลบออกจากกระทู้เพื่อไปทำงานต่างจังหวัดสัก 2-3 วัน แต่พอดีขัดข้องทางเทคนิคเลยยังไม่ได้ไป จึงทำให้ต้องหวลมาดูกระทู้อีก และในวันนี้อีกเช่นกัน ได้รับรูปมาจาก รพ.แม่สอด จ.ตาก รพ.ชายแดน (ห่างเพียง 6 กม.) โดยเฉพาะหอสงฆ์อาพาธก็มีสภาพอย่างในที่เห็นนั่นล่ะ ก็เลยต้องขออนุญาตในเรื่องเครื่องดูดเสมหะก่อน ว่า หากในเดือนนี้ รพ.ใดที่ยังไม่มีพระสงฆ์ที่ขึ้นทะเบียนไว้ ก็คงยังจะไม่บริจาค แต่จะใช้วิธีช่วยเหลือพระสงฆ์ที่อาพาธหนัก เช่นที่เคยแจ้งว่ามีพระสงฆ์อยู่รูปหนึ่ง ที่ รพ.แม่สอดนี้ ที่ท่านป่วยเป็นวัณโรคเรื้อรังร้ายแรง หากท่านต้องใช้วิธีรักษาโดยใช้ยาพิเศษ ก็จะขอช่วยเหลือก่อนก็แล้วกัน เพราะเครื่องดูดเสมหะ ผู้ป่วยจะใช้ต่อเมื่อเกิดฉุกเฉิน แต่ case ที่มีผู้ต้องการความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้า เราก็คงทิ้งไว้เพียงแค่ "รับรู้" ก็คงทำใจลำบากเน๊อะ สรุปก็คือ ขอช่วยท่านตรงหน้าก่อนถ้า รพ.แจ้งขอความช่วยเหลือมาก็แล้วกัน โดยจะยังรอถึงวันที่ 24 เดือนนี้ แต่ถ้า รพ. ยังไม่ขอความช่วยเหลือ เรื่องเครื่องดูดเสมหะ ก็ยังบริจาคให้ตามกติกาเดิม ยังไงก็ขอความเห็นด้วยครับ ซักโพสท์ หรือ สองโพสท์ด้วยก็ยังดี ผมจะได้ไม่ต้องถูกหาว่า คิดเอง เออเองคนเดียวไง...บุญนี้ต้องสำเร็จได้โดยส่วนรวมตามเจตนารมย์ครับ

    พันวฤทธิ์
    2/10/51





    <CENTER>[​IMG]</CENTER>






    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER>องค์ข้างบนนี้ท่านเป็นพระจากพม่า ที่ติดเชื้อวัณโรคร้ายแรงและดื้อยา นอนอยู่ที่ รพ.มา 3 อาทิตย์แล้ว</CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>




    <CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER><CENTER>[​IMG]</CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER><CENTER></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 ตุลาคม 2008
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พอดีเจอพระของหลวงปู่ใหญ่ในกระทู้ตามลิงค์ข้างล่างครับ (ขออภัยท่านเจ้าของกระทู้ครับที่นำพระของท่านมาลงโดยมิได้ขออนุญาต)


    <TABLE height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=775 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width=775><TABLE height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=775 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE class=fontCopy cellSpacing=1 cellPadding=5 width=600 align=center bgColor=#ffffff border=0><TBODY><TR bgColor=#333333><TD class=fontwh colSpan=2>พระหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า </TD></TR><TR><TD vAlign=top width=150 bgColor=#f1f1f1>ทำเนียบพระกรุสยาม</TD><TD width=450 bgColor=#ffffff>พระกรุ</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#f1f1f1>ประเภทของวัตถุมงคล</TD><TD bgColor=#ffffff>พระเครื่อง</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#f1f1f1>วัตถุดิบที่ใช้ทำ</TD><TD bgColor=#ffffff>พระเนื้อผง</TD></TR><TR><TD vAlign=top bgColor=#f1f1f1>รายละเอียด</TD><TD bgColor=#ffffff>พระหลวงปู่เทพโลกอุดร กรุวังหน้า เนื้อผงดินสอดำเป็นพิมพ์อรหังฐานสูง สภาพสวยติดทองมาแต่เดิมคับ สนใจติดต่อสอบถาม เพชร สัมฤทธิโชค 06-700-2221</TD></TR><TR><TD bgColor=#f1f1f1>ราคา</TD><TD bgColor=#ffffff>[​IMG] 5,500.00 บ. </TD></TR><TR><TD bgColor=#f1f1f1>เบอร์โทรศัพท์</TD><TD bgColor=#ffffff>0867002221</TD></TR><TR><TD bgColor=#f1f1f1>ผู้ชม</TD><TD bgColor=#ffffff>1,956</TD></TR><TR><TD bgColor=#f1f1f1>วันที่ปรับปรุงสินค้า</TD><TD bgColor=#ffffff>2006-09-21 10:12:22</TD></TR><TR><TD bgColor=#f1f1f1>สถานะ</TD><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD> </TD></TR><TR><TD>
    <TABLE class=border cellSpacing=1 cellPadding=4 width=350 align=center bgColor=#000000 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>[​IMG]</TD><TD class=text_black vAlign=top>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!-- #EndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD background=/image/shop/barmenu_t4_4.gif height=25> </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE class=fontCopy cellSpacing=0 cellPadding=4 width="99%" align=center border=0><TBODY><TR><TD><!-- #BeginEditable "Truehit" -->http://www.krusiam.com/shop/samridtichok/product/detail.asp?ProductID=P0044692<!--END WEB STAT CODE--><!-- #EndEditable --></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...