อาถรรพณ์ขุมทรัพย์สมเด็จพระนเรศวรฯ ที่วัดป่าแก้ว

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 23 พฤศจิกายน 2005.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    [​IMG]





    รื่องนี้มีหลักฐานและถูกเล่าขานกันนานแล้ว เป็นเรื่องจริงจากคำบอกเล่าของพระธุดงค์หลายรูป ที่เล่าตรงกันเกี่ยวกับขุมทรัพย์โบราณมูลค่ามหาศาลภายใน
     
  2. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    เหตุอัศจรรย์ที่วัดใหญ่ชัยมงคล

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ประสบการณ์ลี้ลับ: เหตุอัศจรรย์ที่วัดใหญ่ชัยมงคล

    </TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์


    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE width="22%" align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเหตุอัศจรรย์ที่คนโบราณรุ่นปู่ ย่า ตา ยาย เคยเล่าต่อๆ กันมาถึงเรื่อง “พะเนียงทอง” หรือ “ทองลุก” ที่ลุกพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ซึ่งจากคำบอกเล่าของคนโบราณได้เล่าตรงกันว่า คนที่พบ “ทองลุก” นี้จะพบเห็นอย่างกะทันหันอยู่ๆ ก็จะเห็นสะเก็ดไฟพุ่งขึ้นมาจากพื้นดิน ลักษณะไฟจะเหมือนไฟพะเนียงหรือดอกไม้ไฟและสะเก็ดไฟที่พุ่งขึ้นนั้นว่ากันว่านั่นล่ะคือทองคำบริสุทธิ์ เป็นทรัพย์แผ่นดินที่ผุดขึ้นจากใต้ดินให้ผู้มีบุญได้เห็น และหากว่าใครมีวาสนาได้พบเห็นทองลุกเป็นไฟพะเนียง โบราณว่าหากเป็นหญิงก็ให้รีบลอดผ้าถุงที่นุ่งโยนออกไปขวางทางที่สะเก็ดไฟจะร่วงลงมา ซึ่งสะเก็ดไฟที่ตกอยู่บนผ้านั่นก็คือสะเก็ดทองคำ

    มีแม่ชีท่านหนึ่งซึ่งเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ท่านคือแม่ชีสมจิตร ควรเลี้ยง แห่งวัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งผู้เขียนเคยนำประสบการณ์ลี้ลับของท่านมาลงให้ได้อ่านกันบ้างแล้วในเรื่องที่ท่านได้สัมผัสดวงพระวิญญาณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช นอกจากจะได้พบเห็นและสื่อกับสรรพวิญญาณได้แล้วแม่ชีสมจิตรก็ยังเคยเห็นเหตุอัศจรรย์มากมายในชีวิต ดังเรื่อง “ทองลุก” ที่วัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังและยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง...

    เรื่องประหลาดนี้เกิดขึ้นมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่วัดใหญ่ชัยมงคลยังเป็นวัดที่เพิ่งเริ่มทำการบูรณะปฏิสังขรณ์เพราะเป็นวัดร้างมานานและยังเป็น
    วัดที่มีเจดีย์ประกาศอิสรภาพแห่งชัยชนะที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้สร้างไว้

    ในช่วงที่เริ่มบูรณะพัฒนาวัดในยุคนั้นท่านพระครูภาวนารังสี (เปลื้อง วิลักโล) ท่านเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ท่านจึงได้ให้พระ เณรและแม่ชีทุกคนในวัดช่วยกันทำงานอย่างทุ่มเททั้งแรงกายและแรงใจ เพราะสมัยนั้นวัดยังยากจนมาก สถานที่ตั้งยัดก็กันดารน้ำ ถึงขนาดต้องกักตุนน้ำฝนไว้ใช้ดื่มอย่างกระเบียดกระเสียร มาภายหลังจึงได้ขุดสระขึ้นที่ด้านข้างวัดเพื่อเป็นที่กักเก็บน้ำและในสระนี้ก็มีปลาอยู่ชุกชุม เป็นเหตุให้ชาวบ้านละแวกนั้นแอบมาขโมยดักสุ่มปลา ทอดแหกันในเวลากลางคืน หลวงพ่อท่านจึงขอร้องชาวบ้านว่าอย่ามาขโมยปลาในวัดอีกเลยเพราะเป็นเขตอภัยทาน เป็นการสร้างเวรสร้างกรรม แล้วยังทำให้น้ำในสระที่พระ เณรและแม่ชีต้องใช้ดื่มใช้กินขุ่นเป็นโคลนมีกลิ่นเหม็นใช้ต่อไปไม่ได้ สร้างความเดือดร้อนให้ทางวัดเป็นอย่างมาก

    แม่ชีสมจิตรท่านเล่าว่าขนาดขอร้องกันอย่างนี้แล้วขโมยก็ยังไม่เลิกราหลวงพ่อจึงให้พระ เณร ผลัดเปลี่ยนเวรยามเฝ้าดูและสระน้ำในเวลากลางคืน แต่ขณะนั้นพระและเณรในวัดทุกรูปต้องทำงานกันอย่างหนักในตอนกลางวันเพื่อบูรณะองค์พระเจดีย์และซ่อมแซมเสนาสนะที่ผุพังทรุดโทรม พอดึกดื่นก็ล่างตารอดักขโมยไม่ไหว งีบหลับไปบ้าง เลยเป็นทีของพวกขโมยได้โอกาสย่องเข้ามาขโมยปลาอีก

    แม่ชีสมจิตรและเพื่อนแม่ชีจึงต้องช่วยพระ เณรโดยอาสาเป็นเวรยามแทน จึงเป็นเหตุให้ท่านพบกับเรื่องอัศจรรย์ดังล่าว ท่านเล่าวว่าในคืนหนึ่งท่านกับเพื่อนแม่ชีได้ออกไปซุ่มจับขโมยอยู่หลังพุ่มไม้ข้างๆ สระโดยเตรียมหาเศษอิฐ เศษหินไปหลายก้อน หวังจะไปปาให้ขโมยตกใจกลัว เวลาก็ผ่านไปประมาณ ตี 1 กว่าๆ เห็นจะได้และช่วงนั้นก็เงียบสงัดวังเวงมาก ทำให้ได้ยินเสียงดังคล้ายๆ กับจะมีขบวนรถไฟกำลังแล่นผ่านไปบนรางดังแว่วมาแต่ไกล ท่านก็สงสัยว่าเสียงนั้นดังมาจากไหน เพราะวัดใหญ่ๆ กับรางรถไฟอยู่ห่างกันมากแต่เสียงที่ได้ยินนี้เหมือนดังอยู่ใกล้ๆ และดังขึ้นๆ เรื่อยๆ เหมือนกับจะพุ่งเข้ามาในเขตวัด และขณะที่ได้ยินแม่ชีท่านนั่งหันหลังให้วัดเพราะกำลังจ้องมองไปทางสระน้ำ เมื่อเสียงปริศนาดังขึ้นเรื่อยๆ และดังมาจากด้านหลังพระเจดีย์องค์ใหญ่ แม่ชีสมจิตรจึงหันหลังไปดู และเมื่อเห็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพระเจดีย์ท่านก็ถึงกับตัวชา ตลึง ตาค้าง

    เพราะตรงพื้นลานอิฐลัดจากฐานองค์พระเจดีย์มีไฟพะเนียงพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินคล้ายดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ที่ถูฏจุดให้พุ่งขึ้น สะเก็ดไฟสว่างจ้า สูงเกือบถึงคอระฆังเจดีย์ด้านบน พุ่งขึ้นไปแล้วก็โปรยลงมาพร้อมกับเสียงที่คล้ายกับรถไฟแล่นผ่านก็ยังไม่หายไป สร้างความตื่นตะลึงให้กับแม่ชีทั้งสองจนต้องรีบวิ่งกลับกุฏิและอยู่คุยถึงเรื่องที่พบเห็นเพราะเชื่อว่านี่คงเป็น “ทองลุก” อย่างที่คนโบราณเคยว่าไว้
    เรื่องที่พบเหตุอัศจรรย์นี้แม่ชีสมจติรได้นำไปเล่าให้หลวงพ่อพระครูภาวนารังสีฟัง ท่านบอกว่า “ไม่ต้องกลัวอะไรหรอก นี่แหละคือทรัพย์แผ่นดิน และทรัพย์ของเขาอยู่ในบริเวณวัดนี่แหละ เขาคอยเฝ้ารักษาอยู่ ปู่โสมเฝ้าทรัพย์ชื่อกวงดำ หากไม่มีใครไปแตะต้องทรัพย์แผ่นดินเขาก็จะไม่ทำอะไรใคร”

    และเรื่องก็ยังไม่จบเพียงเท่านี้เพราะมีอีกครั้งหนึ่งได้มีตาปะขาวนักปฏิบัติธรรมซึ่งเป็นญาติผู้ใหญ่ของพระกรรมฐานรูปหนึ่งในวัดใหญ่ฯ ท่านได้มาเยี่ยมพระกรรมฐานรูปนั้นและขออยู่ปฏิบัติธรรมที่วัดใหญ่ฯหลายวันเนื่องจากที่นี่เป็นสถานที่สงบวิเวก และใมนคืนแรกตาปะขาวก็ได้นั่งภาวนาอยู่ตรงลานกว้างหน้าองค์พระเจดีย์คนเดียวตลอดทั้งคืนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนรุ่งเข้าตาปะขาวก็รีบกลับไปที่กุฏิที่พระซึ่งเป็นญาติจำวัดอยู่ รีบเก็บข้าวของเดินทางกลับพระที่เป็นญาติก็สงสัยว่าทำไมรีบกลับไหนว่าจะอยู่ปฏิบัติหลายวัน ตาปะขาวจึงได้เล่าให้ฟังว่า “เมื่อคืนที่นั่งภาวนาเห็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์มาปรากฏร่างให้เห็นเป็นชายร่างสูงใหญ่มหึมา สูงถึงคอระฆังองค์พระเจดีย์ แต่งชุดดำ นัยน์ตาแดงก่ำ มุ่งร้าย ขนาดแผ่นเมตตาให้ก็ยังไม่ยอมไป เดินวนเวียนๆ อยู่อย่างนั้นจนใกล้สว่างถึงได้หายไป


    พลังแห่งความโลภและยึดติดในสมบัตินอกกายของมนุษย์ก่อให้เกิดกระแสแห่งกรรมที่ผูกรัด รั้งไว้ให้เป็นทุกข์ “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” คือคำเรียกของดวงวิญญาณที่ยังหวงแหนและห่วงใยในทรัพย์สินของตน ทำให้ไม่ยอมไปเกิด ต้องเฝ้าวนเวียนอยู่ตรงที่ที่ตนฝังสมบัติไว้ อยู่อย่างนั้น ตราบนานเท่านาน
     
  3. scorpiro

    scorpiro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +60
  4. scorpiro

    scorpiro Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +60
    อยากทราบว่าหลวงปู่สีโหท่านอยู่วัดอะไรและท่านยังอยู่หรือไม่รบกวนช่วยหาข้อมูลให้ด้วยครับscorpiro@thaimail.com
     
  5. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ประสบการณ์ลี้ลับ: กรุสมบัติโบราณ และวิญญาณนักรบที่วัดราชบูรณะ

    าถรรพณ์ในทรัพย์ของแผ่นดิน มักเกิดขึ้นกับผู้ที่บังอาจก้าวล่วง ลักลอบเข้าไปขุดทำลายเพื่อนำมาเป็นของตน ทรัพย์โบราณเหล่านี้คือ สมบัติต้องห้ามของพระมหากษัตริย์ ที่มักมีคำสาปและมีผู้เฝ้าในนาม ปู่โสม” ซึ่งอาจเป็นวิญญาณเจ้าของสมบัตินั้น หรือเป็นข้าทาสบริวารที่คอยเฝ้า

    แต่บางแห่งอย่างโบราณสถานร้างในเขตพระราชวังโบราณ จ. พระนครศรีอยุธยา มีเรื่องเล่ากันมานานในหมู่นักโบราณคดีว่า โบราณสถานแห่งหนึ่งมีวิญญาณ “นักรบโบราณ” เฝ้าสมบัติอยู่ สถานที่แห่งนั้นก็คือ “โบราณสถานวัดราชบูรณะ” แหล่งกรุสมบัติล้ำค่าของพระมหากษัตริย์ไทยสมััยอยุธยา


    [​IMG]


    ตามประวัติวัดราชบูรณะแห่งนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) โปรดฯ ให้สร้างขึ้นเมื่อราว พ.ศ. 1967 สร้างตรงที่ถวายพระเพลิงพระศพของพระเชษฐาทั้ง 2 พระองค์คือ เ้จ้าอายพระยา กับเจ้ายี่พระยา ซึ่งชนช้างกัน เพื่อแย่งสิทธิ์การครองบัลลังค์ต่อจากพระราชบิดา จึงถึงแก่พิราลัยบนคอช้างทั้งคู่ เจ้าสามพระยาจึงขึ้นครองราชย์ต่อ และได้สร้างเจดีย์คู่ไว้ตรงที่ชนช้าง เพื่อเป็นอนุสรณ์ระลึกถึงพระเชษฐาทั้ง 2 พระองค์ แต่ปัจจุบันนี้เจดีย์คทั้งสอง ได้หักพังลงเหลือเพียงฐาน ตั้งอยู่กลางวงเวียนหน้าวัดราชบูรณะ และเป็นสถานที่ที่เคยปรากฎร่างของวิญญาณนักรบโบราณตนหนึ่ง ซึ่งจะเล่าให้ฟังต่อไป


    ภายในวัดราชบูรณะมีสถาปัตยกรรมเป็นองค์ปรางค์ ซึ่งเป็นศิลปะอยุธยาสมัยแรก พระปรางค์องค์นี้เองเป็นต้นเรื่องที่มาแห่งอาถรรพณ์ต่าง ๆ นานา จากผู้บุกรุกลักลอบเข้าไปขุดสมบัติโดยเมื่อปี พ.ศ. 2499 กรมศิลปากรได้เริ่มทำการสำรวจเพื่อทำการบูรณะ ขณะที่กำลังรอบูรณะในตอนค่ำของวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2500 พระปรางค์แห่งนี้ก็ถูกกลุ่มคนจำนวนมากลักลอบเจาะเข้าไปถึงปรางค์ด้านใน เพื่อค้นหาสมบัติ ซึ่งมีเป็นจำนวนมากและยังประเมินค่ามิได้ โดยเฉพาะสมบัติส่วนใหญ่ที่เป็นเครื่องราชูปโภค ซึ่งเป็นสิ่งของเครื่องใช้ของกษัตริย์ทำด้วยทองคำและอัญมณีมีค่า อาทิ พระแสงทองคำ มหามงกุฎ มงกุฎพระราชินีเรื่องหงส์ทองคำ ราชรถมีม้าเทียมทองคำ แหวนทองคำ ม่านทองคำ จอกทองคำประดับทับทิม ฯลฯ


    บรรยากาศขณะลงมือขุดก็มีเค้าลางของอาถรรพณ์เริ่มปรากฏ นักขุดคนหนึ่งในทีมเปิดเผยว่า ขณะเริ่มขุดฟ้าก็ร้อง ลมพัดแรงแต่ไม่มีใครสนใจ เมื่อเอาสมบัติออกมาวางนอกองค์ปรางค์ ก็มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับ “พระแสงขรรชัยศรี” คือเกิดแสดงคล้ายหิ่งห้อยสว่างวาบ ๆ หลายครั้งกับพระแสงนั้น และในภายหลังยังเกิดอาถรรพณ์สิ่งเลวร้ายกับผู้ลักลอบขุดคนอื่น ๆ อีก โดยส่วนใหญ่จะเป็นสติฟั่นเฟือน ประสบเคราะห์กรรมไม่สิ้นสุด ชีวิตมีแต่ตกอับ หมดเนื้อหมดตัว บางคนถึงกับเอาเครื่องทรงของกษัตริย์มาสวมและถือพระแสงดาบออกไปรำที่ตลาดหัวรอ ส่วนเครื่องทองคำที่นำไปขายที่ร้านทองในตลาด ปรากฎว่าในสมัยต่อ ๆ มาร้านทองแห่งนั้นก็ถูกไฟไหม้

    จุดจบที่น่ากลัวของผู้ลักลอบขุดกรุสมบัติวัดราชบูรณะทั้งหมดนี้ หลายคนเชื่อว่า เป็นอาถรรพณ์ที่เกิดจากการสาปแช่งของเจ้าของสมบัตินั่นเอง เรื่องของ วิญญาณ” ก็มีผู้พบเห็นอยู่เรื่อย เรื่องนี้เล่าโดยอดีตนักโบราณคดีท่านหนึ่ง ซึ่งในอดีตเคยมีหน้าที่สำรวจ และชุดค้นหาหลักฐานทางโบราณคดีประวัติศาสตร์ ที่บริเวณวัดราชบูรณะแห่งนี้ และเคยเจอดีที่หน้าวัดมาแล้ว
    [​IMG]

    นักโบราณคดีท่านี้ได้เล่าว่า คืนหนึ่งเมื่อเสร็จจากงานสำรวจ ก็พากันออกไปหาอะไรกินกับทีมงาน ที่ตลาดเจ้าพรหมในตัวเมืองอยุธยา เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วก็จะกลับที่พักที่คุ้มขุนแผน ขากลับจึงเหมารถตุ๊ก ๆ รับจ้างมาส่ง ขณะที่รถวิ่งมาถึงบริเวณวงเวียนที่เจดีย์เหลือเพียงฐาน ตำแหน่งที่ชนช้างของเจ้าอ้าย และเจ้ายี่ซึ่งตั้งอยู่หน้าวัดราชบูรณะ ทันที่ที่มาถึงบริเวณดังกล่าว รถตุ๊ก ๆ ที่วิ่งมาดี ๆ ก็หยุดกะทันหัน คนขับต้องเบรกจนตัวโกร่ง เพราะมีบุรุษลึกลับไปยืนขวางอยู่กลางถนน ทำให้คนขับแสดงอาการฉุนเฉียวด่าว่าไปหลายคำ โดยที่ไม่มีใครทันสังเกตุบุรุษผู้นั้นได้ชัดเจนเพราะเป็นเวลาดึก แสงไฟในถนนก็ค่อนข้างสลัว แต่พอเริ่มปรับสายตาให้ชินกับความมืดได้ภาพที่ทุกคนเห็นตรงหน้าแล้วทำให้ต้องอ้าปากค้างคือ ร่างล่ำสันสูงใหญ่ของนักรบโบราณ สวมหมวกทรงประพาส เสื้อแขนยาวจรดข้อมือมีทับทรวงกลางอก นุ่งโจงกระเบนแบบถกเขมร ทับกางเกงสีเดียวกัน มีดาบโบราณ 2 เล่ม คาดเฉียงบนร่างท่อนบน สภาพใบหน้านักรบโบราณที่ทุกคนเห็นแล้วยิ่งทำให้ตืนตะลึง นั่นคือ ใบหน้าซีกหนึ่งที่ฉ่ำเยิ้มไปด้วยน้ำเหลือง แถมเนื้อหนังทำท่าจะแบะหลุดออกมาส่งกลิ่นสาบสางทั่วบริเวณ ท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของนักโบราณคดีและลูกทีม ที่ต้องยืนตัวแข็งขนลุกซู่เป็นครู่ใหญ่ สักพักร่างนักรบโบราณนั้นก็ค่อย ๆ จางหายไปต่อหน้าต่อตา

    เมื่อพอมีสติทุกคนก็วิ่งอ้าวเพื่อให้พ้นจากบริเวณนั้นโดยเร็วที่สุด สุดท้ายก็มานั่งถกกันว่าที่เห็นนั้นคืออะไร แต่ก็พอจะคาดคะเนจากเครื่องทรงที่แต่งว่า น่าจะเป็นวิญญาณของผู้มีศักดิ์สูง ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร ที่น่าสงสารก็คือ จนป่านนี้ทำไมวิญญาณยังไม่ไปเกิด และต้องติดอยู่กับสถานที่แห่งนี้อีก
    นานแค่ไหน ในความเป็นจริงที่ได้สอบถามจากผู้รู้ ซึ่งเป็นผู้ มีสมาธิจิตสูงหลายท่านได้เคยเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ยังมีวิญญาณชาวกรุงศรีอยุธยาอีกหลายหมื่นดวง ที่ยังคงติดอยู่ ณ สถานที่ที่เสียชีวิตเมื่อครั้งกรุงแตก เพราะความที่ยังหวงแหน และความรักในแผ่นดินเกิดอย่างแรงกล้า อีกทั้งความตายที่มาถึงขณะที่ยังไม่ถึงเวลา วิญญาณทุกดวงเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ด้วยแรงอาฆาตและแรงแค้นจึงทำให้ดวงวิญญาณเเหล่านั้นไม่สงบ หนทางจะไปสู่ภาพภูมิใหม่ตามสภาวะจิตของพวกเขา จึงยังไม่เปิด จนกว่าจะมีผู้มาชี้ทางสว่าง จึงมีผู้พบเห็นดวงวิญญาณทหารไทยบ้าง ทหารพม่าบ้าง รวมถึงหญิงสาวคนแก่และเด็กผมจุกยุคโบราณ จากภูมิวิญญาณครั้งกรุงเก่าโบราณมาปรากฎให้เห็นอยู่เสมอ ๆ[​IMG]

    ที่มา http://www.yingthai-mag.com/detail.asp?ytcolumnid=2901&ytissueid=714&ytcolcatid=2&ytauthorid=46
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 พฤศจิกายน 2005
  6. พุทธสาวก

    พุทธสาวก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +2,220
    ทรัพย์แผ่นดิน..ก้อต้องเป็นของแผ่นดินวันยังค่ำน่ะ..
     
  7. Attawat_Rx

    Attawat_Rx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2005
    โพสต์:
    2,183
    ค่าพลัง:
    +18,402
    ขอบคุณในข้อมูลครับ
     
  8. eoy

    eoy Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2005
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +28
    ขออนุโมทนาครับ

    ก็ได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่เคยรู้เพิ่มเติมมาอีก วันหน้าถ้ามีข้อมูลของหลวงปู่(หลวงทวด)สีโหก็ช่วยมาลงอีกด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณยิ่ง
     
  9. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    เห็นจุดจบของนักขุดกรุมาแล้วหลายคน ไม่เคยเห็นจบดีสักคนเดียว
    ไม่ว่าจะเก่งขนาดไหน ได้ทรัพย์สินมามากเพียงใด ก็ต้องมรวาระสุดท้ายอย่าง
    อเน็จอนาถทุกคนไป
    ไม่สมบัติของตัวเอง ไปเอาของคนอื่นเขาได้อย่างไร
    มนุษย์กับความโลภเป็นของคู่กัน ปัญญาชนพึ่งหลีกเลี่ยง
     
  10. pytheus_b

    pytheus_b สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +4
    อย่าไปขุดเลย สมบัติชาติ ของแผ่นดิน...ก็ต้องเป็นของแผ่นดิน
     
  11. ผู้ค้นหา

    ผู้ค้นหา สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +3
    อยากอ่านเรื่องสถานที่ลี้ลับพวกนี้เยอะๆ จัง
     
  12. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>สื่อพลังเร้นลับ "กวนอิม" ในตุ๊กตาหินจีน</TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>[​IMG] ในบรรดาวัดใหญ่ ๆ ที่เป็นวัดสำคัญ่หรือเป็น "วัดหลวง" ของไทย มีหลาย ๆ วัดที่เป็นแหล่งรวมของศิลปะจีน ที่โดดเด่นเห็นชัดก็คงจะเป็น "ตุ๊กตาหินจีน" ซึ่งเป็นรูปปั้นขนาดใหญ่ ปั้นเป็นรูปคนจีนชายหญิงในหลายอิริยาบถ เช่น รูปยักษ์ รูปสัตว์ นานาชนิด
    เรื่อง "ตุ๊กตาหิน" ที่มีภายในวัดต่างๆทั่วกรุงเทพฯ นั้นเป็นศิลปะพระราชนิยมอย่างหนึ่งในสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งพระองค์ทำการค้ากับจีนมานาน เมื่อขนสินค้าไปขายได้กำไรกลับมา พระองค์ก็จะซื้อตุ๊กตาหินและหินรูปร่างแปลก ๆ จากจีนกลับมาด้วย เมื่อมีจำนวนมากจึงต้องแจกจ่ายไปประดับตามพระอารามหลวง ในพระบรมมหาราชวัง หรือกระทั่งวังเจ้านายต่าง ๆ
    เหตุที่ต้องซื้อ "ตุ๊กตาหินจีน" พวกนี้กลับมา นอกจากเพื่อประโยชน์ในการถ่วงเรือไม่ให้โคลงเคลงเพราะขาดน้ำหนักตอนขากลับแล้ว ยังเป็นพระราโชบายของพระองค์ในการซื้อสินค้าแลกเปลี่ยนกันเพื่อเป็นการไม่เอาเปรียบทางการค้า แถมยังได้ศิลปกรรมที่สวยงามและราคาไม่แพงกลับมาด้วย
    วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ก็เป็นแหล่งที่มีตุ๊กตาหินจีนสวยงามอยู่มาก และหนึ่งในนั้นที่นั่นยังมี "ตุ๊กตาผู้หญิงจีน" ที่ว่ากันว่ามีพลังแฝงอันศักดิ์สิทธิ์ ที่แสดงปาฏิหาริย์ทำให้ใครหลายคนได้ประจักษ์ จนปัจจุบันกลายเป็นรูปสักการะให้ทุกคนกราบไหว้
    ตุ๊กตาหินรูปผู้หญิงจีนถือพัดนี้แต่แรกตั้งอยู่ตรงโคนไม้ใหญ่ข้างวิหารของ เสด็จกรมหลวงชุมพรเขตต์อุดมศักดิ์ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๐๓ ทางวัดพระเชตุพนฯได้ทำการซ่อมบำรุงองค์พระพุทธไสยาสน์ในพระวิ้หารใหญ่ และซ่อมบำรุงพระประธานในพระอุโบสถ งานบูรณะครั้งใหญ่คราวนั้นท่านอดีตเจ้าอาวาสนวัดโพธิ์ฯได้สั่งให้ตั้งเต็นท์ตรงที่ว่างระหว่างวิหารเสด็จกรมหลวงชุมพรฯ กับต้นไม้ใหญ่ที่มีตุ๊กตาหินหญิงจีนตั้งอยู่ และทุกวันท่านเจ้าอาวาสจะลงมานั่งที่เต็นท์คอยมอบวัตถุมงคนลแก่ผู้ที่บริจาคเงินบูรณะปฏิสังขรณ์วัด อดีตเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ท่านนั่งอยู่ที่นั่น
    จนกระทั่งวันหนึ่ง จู่ ๆ ท่านเกิดไปสะดุดตากับรูปปั้นหญิงจีนที่โคนไม้เข้า จึงให้คนไปเชิญมาบูชาเพราะเมื่อตรวจดูด้วยญาณแล้ว เห็นว่าเป็นตุ๊กตาหินที่มีพลังไม่ธรรมดา ต่อมาจึงได้มีการอัญเชิญบารมีของ "เจ้าแม่กวนอิม" มาประทับยังตุ๊กตาหินถือพัดนั้น โดยผู้ทำพิธีบวงสรวงคือ พระมหาสุทธิพิน ท่านเลือกทำพิธีตอนกลางคืนซึ่งดึกสงัด ตั้งเครื่องบวงสรวงหน้าตุ๊กตาหินที่โคนไม้ จุดธูปเทียนบูชาแล้วนั่งสมาธิอัญเชิญถึง ๓ วัน เมื่อครบกำหนดจึงนำผ้า ๓ สีมาห่มคลุมตุ๊กตาหญิงจีนนั้น และนำกระถางธูป เชิงเทียนมาตั้งให้ผู้เลื่อมใสในเจ้าแม่กวนอิมมาสักการะบูชา
    [​IMG] หลังจากนั้นไม่นานวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ประหลาดกับคณะพระจีนประมาณ 40 รูป ที่เดินทางมาจากฮ่องกงและได้มาเที่ยวชมวัดโพธิ์ พระกลุ่มนี้เมื่อเดินผ่านรูปเคารพเจ้าแม่กวนอิมก็ชะงัก พร้อมใจกันหยุดยืนอย่างเป็นระเบียบและพากันสวดมนต์เสียงดังกระหึ่ม สวดเสร็จทั้งหมดก็ทรุดตัวลงนั่ง กราบรูปเจ้าแม่กวนอิมพร้อมกัน 3 ครั้ง จากนั้นหัวหน้าพระจีนก็ถามไก๊ด์ว่ารูปปั้นนี้ใครเป็นผู้ดูแล ไก๊ด์ตอบว่า "พระมหาสุทธิพิน" หัวหน้าพระจีนจึงฝากบอกไก๊ด์ให้มาบอกว่า "รูปปั้นนี้ให้ดูแลรักษาให้ดี เพราะมีพระโพธิสัตว์อยู่ในรูปนี้" กลุ่มพระจีนสวดมนต์ทดสอบแล้วเห็นเช่นนั้น
    ต่อมาได้ทำการย้ายรูปปั้นนี้มาประดิษฐานที่วิหารโพธิลังกาข้างวิหารพระพุทธไสยาสน์ โดยตั้งอยู่บนแท่นโคนต้นโพธิ์ใหญ่ และได้สร้างเจ้าแม่กวนอิมขึ้นใหม่อีก 1 องค์ ภายหลังมีผู้สร้างเพิ่มอีก 1 องค์ รวมเป็น 3 องค์ 3 ปาง โดยองค์แรกเป็นรูปหญิงจีนถือพัดเป็น "ปางเมตตา" อีก 2 องค์ คือ ปางประทานพร และ "ปางปราบมาร" หรือ "ปางกวนอิมพันมือ" แต่ละองค์วางเรียงกันที่โคนโพธิ์
    ภายในวิหารโพธิ์ลังกานั้นสงบและร่มเย็น ซึ่งนอกจากจะมีรูปสักการะเจ้าแม่กวนอิมแล้ว ก็ยังมี "พระสังกัจจายน์" และ "พระศรีอาริยเมตตรัย" อยู่ที่ซุ้มซ้ายขวา มีผู้มากราบไหว้ขอพรกันทั้งวัน บางคนเจ็บป่วยก็มาขอให้ท่านช่วยรักษา โดยเอาดอกบัวไปถวายท่านแล้วลาเอาไปต้มกินแทนยา บางคนก็เอาน้ำโพลาริสไปตั้งขอให้ท่านทำน้ำมนต์ให้ดื่มรักษาโรค ซึ่งปรากฏว่าอาการของโรคทุเลาลงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งหลายคนที่ได้สัมผัสมาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ท่านศักดิ์สิทธิ์จริง และนั่นอาจเป็นเพราะ "พลัง" แห่งบารมีพระโพธิสัตว์ "องค์พระแม่กวนอิม" ที่สถิตย์อยู่ในรูปปั้นตุ๊กตาหินนี่ก็เป็นได้
     
  13. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>วิญญาณเด็กในวัดบวรนิเวศฯ</TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    วัดเก่าแก่และเป็นวัดหลวงซึ่งสร้างมาแต่ยุคต้นรัตนโกสินทร์วัดหนึ่ง มีเรื่องราวเล่าขานเกี่ยวกับความเฮี้ยนของเหล่า “วิญญาณ” ที่มักมาปรากฏให้พระลูกวัดหรือพระระดับผู้ใหญ่เห็นจนเป็นที่เลื่องลือให้ขนหัวลุกตั้งอยู่บ่อยครั้ง วัดนั้นก็คือ “วัดบวรนิเวศวรวิหาร” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ย่านบางลำภูกรุงเทพฯ นั่นเอง
    <TABLE height=234 width="32%" align=left border=0><TBODY><TR><TD height=179>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD height=54>
    ต้นไทรใหญ่หน้าเรือนไทยที่มักปรากฏ
    วิญญาณเด็กผมจุกหลายๆ คนมาล้อมวงเล่นกัน

    </TD></TR></TBODY></TABLE> วัดบวรนิเวศฯนี้ปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าสร้างมาแต่ครั้งรัชกาลที่ 3 อายุอานามก็เป็นร้อยปีขึ้นไป จัดเป็นวัดหลวงขนาดใหญ่ศิลปโบราณวัตถุสถานมากมาย ที่สำคัญคือเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์ของไทยและพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์เลยเสด็จมาทรงผนวชอยู่ที่นี่
    เพื่อนผู้เขียนซึ่งปัจจุบันรับราชการอยู่หน่อยงานหนึ่งของรัฐ เมื่อสมัยเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อนคนนี้จะเป็นคนที่ชอบเล่าเรื่องผีที่สุด พอเรียนจบออกทำงานเป็นหลักแหล่งก็ได้ไปบวชอยู่ที่วัดบวรฯ 1 พรรษา พอได้ไปอยู่ก็ได้รู้เห็น ได้ยิน ได้ฟัง เรื่องผีๆ ที่วัดนี้มากเข้าเลยเก็บเกี่ยวประสบการณ์ผีมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง
    “วิญญาณ” ที่มักจะมาปรากฏกายให้พระและบุคคลทั่วไปเห็นส่วนใหญ่จะเป็นวิญญาณเด็ก อย่างเรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยที่สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ อดีตสมเด็จพระสังฆราช วัดบวรฯท่านมาบวชใหม่ๆ ท่านได้ประทับอยู่ที่คณะสูง และแทบจะเป็นประจำทุกคืนท่านจะเดินออกมาคุยกับเพื่อนพระที่คณะเขียวบวร
    จนมาถึงคืนหนึ่งสมเด็จฯ ท่านได้สนทนาธรรมกับเพื่อนพระอยู่นานจนดึกดื่น เสร็จแล้วจึงเดินกลับคณะสูงองค์เดียว แล้วบริเวณที่จะเข้าคณะสูงจะต้องผ่านสี่แยกที่เขาเรียกว่า “สี่แยกบัญจบเบญจมา” ซึ่งสมัยนั้นจะมีต้นโพธิ์ใหญ่ เวลานั้นดึกสงัด สมเด็จฯท่านก็ได้ยินเสียงสิ่งๆ หนึ่งดังกราวๆ อยู่บนต้นโพธิ์ท่านจึงเอาไฟฉายส่องดู ทันใดนั้นก็เห็นเป็นเด็กหัวจุกคนหนึ่งแก้ผ้าล่อนจ้อนโหนกิ่งโพธิ์อยู่ เมื่อเห็นแล้วท่านจึงรีบเดินอ้าวกลับกุฏิเพื่อไปเรียกพระและลูกศิษย์วัดให้มาช่วยกันดู แต่พอมาถึงปรากฏว่าเด็กหัวจุคนนั้นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ก็คิดดูเถอะดึกดื่นป่านนั้นจะมีเด็กที่ไหนไปเล่นห้อยโหนอยู่บนต้นไม้คนเดียวถ้าไม่ใช่...วิญญาณ!
    เรื่องที่คนในวัดมักจะพบเจอวิญญาณเด็กมาหลอกยังมีอีก ซึ่งเรื่องนี้ว่ากันว่า สมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ท่านได้ทรงเล่าให้คนสนิทฟังด้วยพระองค์เอง เรื่องนั้นมีอยู่ว่า...
    ครั้งหนึ่งท่านอดีตเจ้าอาวาสวัดไทยในอินโดนีเซีย สมัยที่ท่านบวชจำพรรษาอยู่ที่วัดบวรฯท่านก็เคยเจอผีเด็กมาแล้ว เหตุเกิดขึ้นในยามดึกคืนวันหนึ่ง ขณะที่พระเณรจำวัดกันหมดแล้วแต่พระรูปนั้นบังเอิญมีกิจธุระต้องออกจากกุฏิที่พักและต้องเดินผ่านไปทางคณะสูง ขณะที่ท่านรีบเดินก็บังเอิญไปเห็นเด็กเกล้าผมจุกคนหนึ่งหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู กำลังเดินเล่นอยู่ในบริเวณคณะสูงเพียงลำพัง เมื่อเห็นท่านก็แปลกใจ ขยับปากจะทักว่า “ดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังไม่นอน” ก็พอดีนึกขึ้นได้ว่า “เอ...แต่งตัวแบบนี้ไม่น่าจะใช่เด็กในวัด” ท่านเลยเงียบและรีบเดินผ่านไป แต่เมื่อเดินห่างชักระยะ ท่านหันกลับดู ปรากฏว่าเด็กหัวจุกแต่งชุดโบราณได้อันตรธานหายวับไปเสียแล้ว!
    เกี่ยวกับ “วิญญาณเด็กโบราณ” ที่มีมากมายในวัดบวรฯนี้ยังมีเล่าต่อไปอีก เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2510 ที่ตำหนักจันทร์ ซึ่งเป็นตำหนักโบราณเก่าแก่ตั้งอยู่เคียงตำหนักเพ็ชรในระหว่างที่เกิดเหตุเป็นช่วงเข้าพรรษาซึ่งจะมีคนมาขอบวชที่วัดกันมาก รวมไปถึงตำรวจชั้นผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่จะเป็นผู้พบเห็นเหตุการณ์ระทึกขวัญดังกล่าว
    ครั้งนั้นทางวัดได้ให้พระที่บวชใหม่ไปจำพรรษาอยู่ที่ตำหนักจันทร์และต้องคร่ำเคร่งเรียนนักธรรม ศึกษาพระธรรมวินัยตลอดพรรษา ฉะนั้นพระบวชใหม่ทุกรูปจึงต้องใช้เวลากลางคืนค้นคว้าทบทวนในสิ่งที่เรียนมา นายตำรวจใหญ่ผ็นี้ก็เช่นกันต้องใช้เวลาค่ำคืนทบทวนพระธรรมที่เรียนมาอย่างคร่ำเคร่งจนดึกดื่น จนมาถึงคืนวันหนึ่งประมาณตี 2 ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ไม่ขาดสาย พระนายตำรวจรูปนั้นก็ยังไม่จำวัด ช่วงเวลานั้นท่านก็ได้ยินเสียงเด็กเป็นจำนวนมากมาวิ่งเล่นกันอยู่ที่ลานหน้าตำหนักใกล้ต้นประดู่ใหญ่ ทำให้ท่านนึกสงสัยว่าดึกดื่นป่านนี้ทำไมยังมีเด็กมาเล่นส่งเสียงดัง ท่านจึงลุกไปเปิดหน้าต่างชะโงกหน้าออกไปดู ก็เห็นเด็กเล็กๆ ไม่ต่ำกว่า 10 คน กำลังวิ่งไล่จับหัวร่อต่อกระซิกกันอย่างสนุกสนาน เมื่อมองดูหน้าตา พิจารณาการแต่งกายก็เห็นต่างจากปัจจุบัน เพราะเด็กพวกนี้บางคนโกนผมไว้แกละสองข้างก็มี เกล้าจุกก็มี แล้วแต่งตัวนุ่งผ้าโจงกระเบนสีสดน่ารัก ที่สำคัญต่างคนต่างเล่นหยอกล้อกันอย่างชนิดที่ไม่สนใจว่าจะมีใครจ้องมองเลยด้วยซ้ำ
    นายตำรวจใหญ่พระใหม่ผู้นั้นตะลึงจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่จึงนึกขึ้นได้ว่า “ผีหลอก” แน่แล้ว จึงรีบลุกลนลานไปเปิดหน้าต่าง ขนลุกขนชัน ใจเต้นไม่เป็นส่ำ เดินลิ่นไปยังโต๊ะหมู่บูชา จัดแจงสวดมนต์เป็นการใหญ่ สวดผิดสวดถูก ไม่รู้ว่าบทไหนเป็นบทไหน เพราะเพิ่งบวชใหม่ เสร็จแล้วไม่รู้จะทำยังไง ท่านเลยตัดสินใจไปเคาะประตูห้องพระอีกรูปหนึ่งซึ่งเป็นพระพี่เลี้ยงที่บวชมานานแล้วเล่เหตุการณ์ให้ฟัง พระพี่เลี้ยงได้ฟังก็ยิ้ม คงเห็นเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆ ก็เจอมาแล้วทั้งนั้น ท่านจึงแนะนำให้พระนายตำรวจผู้นั้นไปจุดธูปตั้งจิตอธิษฐานแผ่ส่วนกุศลไปให้วิญญาณเด็กๆ ที่อยู่ภายในวัดเมื่อท่านทำตาม เสียงเด็กๆ ที่วิ่งกันเกรียวกราวก็เงียบเสียงลงทันที...
    <TABLE height=216 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR><TD height=179>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>
    ตำหนักจันทร์ที่นายตำรวจใหญ่เจอผีเด็กเล่นกันกลางดึก
    </TD></TR></TBODY></TABLE> ผีเด็กโบราณที่วัดบวรฯยังปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ แม้เมื่อสมัยที่เพื่อนผู้เขียนไปบวชประมาณปี 2542 ก็ได้พักอยู่ที่กุฎิคณะแดงรังษีซึ่งภายในจะมีต้นไทรใหญ่ปลูกอยู่หน้าเรือนไทยโบราณซึ่งเรือนไทยหลังนี้ก็มีประวัติซึ่งจะเล่าให้ฟังฉบับหน้า แต่เรื่องที่พระเพื่อนของเพื่อนผู้เขียนเจอนั้นเกิดในเวลาประมาณตี 2 บางคนเจอเด็กผมจุกจับมือกันเล่นล้อมรอบโคนต้นไทร ใส่ชุดโบราณเกล้าจุกน่ารักแต่ที่เด็กๆ เห็นจะเป็นคืนที่เพื่อนพระเจอเสียงปริศนา
    เล่าว่าคืนหนึ่งดึกมากแล้วแต่เพื่อนพระของเพื่อนผู้เขียนยังไม่นอนกัน ส่วนใหญ่เป็นพระบวชใหม่ยังไม่เคร่งในพระวินัยเท่าไหร่ ยังมีติดกิเลสอยู่บ้างเหมือนครั้งเป็นฆราวาส มีการเล่นเกมคอมพิวเตอร์กันจนดึกดื่น ก็เลยเจอดี กลางดึกคืนหนึ่งพระผู้นั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนมีคนมาหัวเราะอยู่ที่ต้นไทรหน้าคณะแดงรังษี เพื่อนพระรู้ว่าเป็นเสียงหัวเราะของคนแก่แน่ๆ แถมเสียงหัวเราะนั้นยังดังและลอยขึ้น ลอยลง ห่างออกไปเรื่อยๆ จนถึงตึกมหากุฏราชวิทยาลัย เล่นเอาพระที่เจอดีเช่นนี้รีบลุกขึ้นปิดไฟ จำวัดกันอุตลุต
     
  14. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>วิญญาณที่วัดบวรนิเวศฯ </TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE> ได้เล่าถึงเรือนไทยโบราณที่ปลูกอยู่หน้าต้นไทรบริเวณคณะแดงรังษีเรือนไทยหลังนี้เป็นไม้สักทั้งหลังเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเดิมมีประวัติอยู่ว่าเคยเป็นบ้านของคหบดีท่านหนึ่ง แต่ในภายหลังมีเหตุให้ต้องรื้อมาถวายวัดเพราะลูกสาวคหบดีไปผูกคอตายภายในบ้าน แล้วปรากฏว่าวิญญาณเฮี้ยนมาก มักปรากฏกายให้ญาติพี่น้องและบุคคลภายในบ้านเห็นจนอยู่กันไม่ได้ จึงต้องรื้อมาถวายวัดบวรฯ
    <TABLE height=158 width="32%" align=left border=0><TBODY><TR><TD height=137>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อนำเรือนไทยมาปลูกภายในวัดบริเวณคณะแดงรังษีซึ่งเชื่อมต่อกับคณะเหลืองรังษี ก็ยังไม่วายมีพระเห็นวิญญาณผู้หญิงคนนี้มาปรากฏอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะพระที่ไปอยู่ถ้าทำไม่ดีผิดวินัยสงฆ์ก็มักจะเจอวิญญาณตนนี้มาขู่บอกให้รักษาศีลให้ดี!
    เพื่อนผู้เขียนซึ่งเคยไปบวรฯได้เล่าให้ฟังว่า เป็นธรรมดาของพระที่บวชใหม่บางรูปหากทำไมดี ผิดศีลหรือไม่ยอมทำวัตรพอตกกลางคืนเป็นต้องเจอดี บ้างก็เจอมือลึกลับของใครไม่ทราบมาเคาะเตียง “ก๊อก ก๊อก ก๊อก...ปัง ปัง ปัง” ไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันทั้งคืน
    ไม่ว่าจะเป็นยุคปัจจุบันหรือในสมัยก่อน พระที่บวชในวัดบวรฯทุกรูปเป็นต้องเจอวิญญาณมาปรากฏให้เห็นในรูปแบบต่างๆ กัน และไม่ได้มาให้เห็นเฉพาะกลางคืนเท่านั้น เวลากลางวันก็มาได้เหมือนกัน
    มีเรื่องเล่าถึงลุงคนหนึ่งท่านมาบวชที่วัดบวรฯเมื่ออายุมากแล้วถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ ลุงคนนี้เมื่อมาบวชได้พักอยู่ที่กุฏิท่านเจ้าคุณรูปหนึ่ง และตอนเช้าของทุกวันพอตื่นนอนแล้วแกมักจะถือไม้เท้าออกมาเดินเล่นยืดเส้นยืดสายแถวหน้าตึกมนุษย์นาคมานพ โรงเรียนบวรฯเป็นประจำทุกวัน จนมาวันหนึ่งขณะที่แกเดินผ่านหน้าโบสถ์วัดรังษีสุทธาวาส (ขณะนั้นยังเป็นโบสถ์เก่ายังไม่ได้ยุบวัดมารวมกับวัดบวรฯ) แกก็เห็นชายวัยกลางคนหนึ่งนุ่งกางเกงสีเทา สวมเสื้อขาว ตัดผมทรงโบราณ ยืนก้มหน้าอยู่ เมื่อเห็นอย่างนั้นลุงก็นึกสงสัยว่าเป็นใคร มายืนทำอะไร ก็เลยเดินเข้าไปใกล้ๆ หมายจะดูหน้าให้ชัดๆ ก็ปรากฏว่าชายคนนั้นกลับหันขางให้ แถมยังเดินผ่านทะลุรั้วเหล็กซึ่งสูงท่วมหัว หายวับเข้าไปทางหน้าประตูโบสถ์วัดรังษีสุทธาวาส หลวงลุงที่เป็นพระบวชใหม่เมื่อเห็นชายคนนั้นเดินผ่านรั้วเหล็กเข้าไปโดยที่ประตูไม่ได้เปิดก็ไม่ได้นึกกลัว ยังเดินตามไปดู แต่ก็ไม่เห็นมีใคร จึงเข้าใจว่าคงเป็นวิญญาณตนหนึ่งที่อยู่ในอุโบสถวัดรังษีฯมาแสดงกายหยาบให้เห็น หรือบางทีวิญญาณตนนั้นก็อาจจะออกมาเดินเล่นในยามเช้าเหมือนกันก็เป็นได้
    ภายในวัดบวรฯนอกจากจะร่ำลือกันว่า “ผีเด็ก” ดุนักแล้ว ในหมู่ผู้ใกล้ชิดภายในวัดและพระที่บวชอยู่ในระดับชั้นเจ้าคุณหลายรูปก็เคยพบเห็น “ผีหลวงตาและเปรต” กันมาแล้ว ท่านเจ้าคุณรูปหนึ่งได้เล่าให้คนใกล้ชิดฟัง เรื่องก็เลยร่ำลือกันปากต่อปากมาว่า
    ในสมัยที่ทางวัดบวรฯจะรื้อกุฏิคณะขาบบวรเพื่อสร้างใหม่นั้น คืนหนึ่งท่านเจ้าคุณรูปนี้ได้ออกไปเดินเล่นแถวหน้ากุฏิดารากรที่พักของท่าน พอได้เวลาซักห้าทุ่มเศษๆ ท่านก็เดินไปล้างเท้าที่ก๊อกน้ำเพื่อจะขึ้นกุฏิแล้วก็เห็นหลวงตารูปหนึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างก๊อกน้ำ ท่านเจ้าคุณก็ถามขึ้นว่า “ใคร” หลวงตารูปนั้นก็ไม่ตอบ ท่านเจ้าคุณจึงเดินไปใกล้เพื่อดูหน้า แต่ท่านก็ไม่รู้จัก จึงถอยห่าง รีบออกมาปลุกลูกศิษย์ให้มาดู แต่พอมาถึงบริเวณก๊อกน้ำหลวงตารูปนั้นก็หายไปเสียแล้ว
    เรื่องทำนองนี้ก็เคยเกิดขึ้นกับท่านเจ้าคุณอีกรูปหนึ่งเช่นกัน ท่านเล่าว่าครั้งที่วัดบวรฯรื้อกุฏิไม้คณะเขียวบวรเพื่อสร้างใหม่นั้นลูกศิษย์ของท่านก็เคยเห็นหลวงตาแก่ๆ ในยามวิกาลเช่นกันท่านเล่าว่าในคืนวันหนึ่ง ประมาณตี 3 ลูกศิษย์วัดของท่านคนหนึ่งได้ลุกขึ้นดูหนังสือเพื่อเตรียมสอบ ขณะนั่งอยู่บนเฉลียงชั้นสองของกุฏิอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงคนเดินดัง ก๊อก ก๊อก ก๊อก รอบๆ บริเวณตึกที่กำลังสร้างใหม่ ก็สงสัยคิดว่าผู้รับเหมามาตรวจงานกลางดึก ก็เลยชะโงกหน้าดู
    ทันใดนั้นก็เห็นหลวงตาชรารูปหนึ่งโผล่ร่างขึ้นมาเหนือพื้นชั้นสองที่ตัวเองนั่งอยู่ หลวงตาที่ว่านั้นไม่ได้โกนผม เดินไปเดินมา ดูนั่นดูนี่ โดยที่เห็นหน้าไม่ชัดว่าเป็นใครแอบดูอยู่นานจนนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานนี้เป็นวันโกนขึ้น 14 ค่ะซึ่งพระทั้งวัดต้องโกนผมกันหมดแต่ทำไมหลวงตารูปนี้ไม่ได้โกนผม ก็แน่ใจในทันทีว่าเป็น “ผี” แน่แล้ว เลยรีบเข้าห้องนั่งสวดมนต์ภาวนา ใจเต้นไม่เป็นส่ำอยู่นาน
    มีผู้สันนิษฐานว่า หลวงตารูปนั้นน่าจะเป็นวิญญาณของ “หลวงพ่อโอภาสี” เพราะท่านเคยบวชและจำพรรษาอยู่ที่คณะแดงรังษี จึงผูกพันกับวัดบวรฯมาก มาภายหลังท่านต้องออกจากวัดไปเพราะท่านนิยมทางไสยศาสตร์และทำการฝ่าฝืนวินัยด้วยการไปตัดต้นไม้ในบริเวณวัดทุกชนิดเพื่อเอามาป่นผสมผงอื่นแล้วปลุกเสกเป็นพระเครื่อง เมื่อเรื่องทราบถึงสมเด็จกรมหลวงวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช จึงได้นิมนตร์ท่านออกจากวัดไป
    ส่วนเรื่อง “เปรต” นั้นมีผู้ถึงว่าครั้งหนึ่งเคยมาชุมนุมที่วัดบวรฯนั้นเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2514 เป็นช่วงเวลาที่ทางวัดได้จัดงานสัปปดาห์อนุสรณ์ 50 ปี ที่สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์ ครั้งนั้นมีงานใหญ่มีการบำเพ็ญพระราชกุศลถวายใหญ่โต และในงานนั้นศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ท่านก็ได้มาจัดนิทรรศการแสดงให้เห็นถึง “อสุภกรรมฐาน” โดยการนำเนื้อ หนัง มังสา อวัยวะ ต่างๆ ของมนุษย์ที่ใส่ขวดดองไว้มาให้พิจารณาหลายขวด โดยนำมาจากโรงพยาบาลศิริราชที่ท่านเป็นอาจารย์สอนวิชาแพทย์อยู่
    เล่ากันว่าพอตกกลางดึกปรากฏว่ามีเปรตหลายตนที่ว่ากันว่าคงจะติดตามมาจากโรงพยาบาล พากันมาร้องขอส่วนบุญ แถมยังมีเปรตอีกจำนวนหนึ่งซึ่งน่าจะมาจากที่ต่างๆ มาร้องเสียงเยือกเย็นร่วมด้วย ทำให้ดังระงมสนั่นวัด ทางวัดจึงต้องจัดให้มีการถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลไปให้ เสียงเปรตนั้นจึงเงียบไป
    การอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้วิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วนั้นถือเป็นกุศลที่ควรกระทำอย่างหนึ่ง เพราะเมื่อวิญญาณดวงนั้นทุกข์ร้อนต้องรับกรรมสาหัสได้ร่วมอนุโมทนาบุญผลบุญก็จะบังเกิดแก่เขาให้ได้อยู่ในภพภูมิที่ดีขึ้น บางรายอาจมาขอบคุณถึงที่ด้วยซ้ำ
    อย่างเรื่องนี้ซึ่งเป็นเรื่องปิดท้ายที่อยากจะเล่าให้ฟัง อันนี้จัดเป็น “ผีนอกวัดบวรฯ” เรื่องมีอยู่ว่ามีพระบวชใหม่รุ่นเดียวกับเพื่อนผู้เขียนคนหนึ่งเป็นคนมีจิตเมตตาอยู่มากเมื่อทราบข่าวว่ามีหญิงสาวถูกรถชนตายแถวข้างวัดบวรฯก็นึกสงสาย พอรุ่งเช้าท่านออกบิณฑบาตรแต่เช้า แล้วเดินไปยังจุดเกิดเหตุที่หญิงสาวคนนั้นนอนตายอยู่ ท่านก็ยืนนิ่งแผ่อุทิศส่วนกุศลให้ พอบิณฑบาตรเสร็จกลับวัดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
    ครั้นพอกลางคืนดึกดื่นแค่ไหนเหตุการณ์ก็ยังปกติอยู่ แต่พอหลับจนใกล้สว่างนั่นแหล่ะ ปรากฏร่างของหญิงสาวคนหนึ่งในความฝันซึ่งพระองค์นั้นเล่าว่าแจ่มชัดมากเหมือนไม่ได้ฝันหญิงสาวคนนั้นเธอมาขอบคุณที่หลวงพี่อุตส่าห์แผ่เมตตาให้ แต่พอเธอเงยหน้ามาเท่านั้นแหล่ะทั้งเลือกและแผลเฟอะ เหวอะหวะเต็มหน้า ทำเอาหลวงพี่ตกใจแทบสิ้นสติ ดีที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาก่อน มิเช่นนั้นมีสิทธิ์หัวใจวายได้เช่นกัน!
    เรือนไทยที่ปรากฏวิญญาณลูกสาวคหบดี
     
  15. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>เล่าขานจากความเชื่อ "ศาลหลักเมือง จ.เพชรบูรณ์"</TD></TR><TR><TD>
    โดย รัมภา
    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=txtbody vAlign=top> เมื่อมีโอกาสเดินทางไปสัมผัสจังหวัดเพชรบูรณ์ถึงได้ทราบว่า จังหวัดนี้เป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและแหล่งอารยธรรมอย่างน่าสนใจ แม้แต่สถานที่สำคัญอย่าง "ศาลหลักเมือง" ของจังหวัดเพชรบูรณ์มีอยู่ถึง 2 แห่ง ที่มีความเป็นมาต่างยุคต่างสมัยกัน "ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง" ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี และ "เสาหลักเมืองนครบาล" หรือ "ศาลหลักเมืองหลวง" ที่ขึ้นสร้างสมัยรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อประมาณ 60 ปีที่ผ่านมา
    ทีมงานเราได้แวะเวียนไปนมัสการศาลแห่งแรกที่ตั้งอยู่อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ที่ชาวเมืองเรียกว่า "ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง" ที่มีอายุกว่า 1,000 ปี และนับเป็นศาลหลักเมืองที่เป็นแหล่งรวมจิตใจและเป็นที่ยึดเหนี่ยวของประชาชนในจังหวัดเพชรบูรณ์ให้ความเคารพนับถือกันอย่างกว้างขวาง
    [​IMG] สำหรับความเป็นมาของ "ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง" แห่งนี้ ได้รับการเล่าขานจาก คุณวิศัลย์ โฆษิตานนท์ นายกเทศมนตรีเมืองเพชรบูรณ์ ได้ให้รายละเอียดไว้อย่างน่าสนใจว่า
    เป็นศาลหลักเมืองที่มีลักษณะเด่นไม่เหมือนจังหวัดอื่นๆก็คือ เป็นศาลหลักเมืองที่ทำด้วยหินทรายเป็นเสมาหินไม่ใช่ไม้ ซึ่งตามบันทึกกรมศิลปากรระบุว่า เป็นใบเสมาหินนี้นำมาจากอุทยานเมืองประวัติศาสตร์ศรีเทพสมัยทวารวดีที่มีความหลั่งไหลทางอารยธรรมขอมที่มีอายุกว่า 1,200 ปี เพราะฉะนั้นชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ จึงถือว่า ศาลหลักเมืองแห่งนี้มีความเก่าแก่มากที่สุดในประเทศไทย
    ตำนานความเชื่อของคนเพชรบูรณ์จึงเชื่อกันว่า เป็นศาลหลักเมืองที่ตั้งอยู่บนกำแพงเมืองโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนกลาง เพราะมีกำแพงเป็นอิฐปนศิลาที่สามารถป้องกันปืนไฟที่นำมาใช้ในการรบยุคนั้น น่าจะเป็นสมัยสมเด็จพระชัยราชา สมเด็จพระจักรพรรดิ ซึ่งได้มีการโยงตำนานความเชื่อของคนโบราณว่า เวลาที่มีการสร้างกำแพงเมือง ตรงประตูเมืองจะต้องมีการฝัง อิน จัน มั่น คง ได้มีเรื่องเล่าสืบมาว่า คนชื่ออิน ชื่อจัน หาได้แล้ว แต่คนชื่อมั่น ชื่อคงยังหาไม่ได้ ปรากฏว่า ระหว่างที่หาอยู่นั้นก็ไปพบเณร 2 รูป ชื่อมั่น กับชื่อคงอยู่ที่วัดไตรภูมิ
    ทหารจึงได้นำตัวไปให้เจ้าเมืองทำพิธีฝังทั้งเป็นที่ประตูเมือง แต่ก่อนที่จะนำสามเณรทั้ง 2 องค์นี้ไปฝังเจ้าอาวาสวัดไตรภูมิได้ร้องขอให้สามเณรทั้ง 2 ฉันอาหารเพลก่อน แต่เนื่องจากทหารตระเวนหามาหลายวันและกลัวจะไม่ทันพิธีจึงไม่ยอมตามคำขอร้องของเจ้าอาวาส
    เจ้าอาวาสก็เลยโกรธสาปแช่งไว้ว่า ใครที่จะมาเป็นเจ้าเมืองเพชรบูรณ์ขอให้อยู่ได้ไม่เกิน 3 ปีต้องมีอันเป็นไปและนับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยมีเจ้าเมืองคนใดหรือผู้ว่าราชการจังหวัดคนไหนอยู่ได้ถึง 3 ปีสักคนเดียวและสิ่งเหล่านี้ก็ยังคงเป็นปาฏิหาริย์ที่หาคำตอบไม่ได้
    [​IMG] ศาลหลักเมืองแห่งนี้จึงถือเป็นจุดศูนย์รวมจิตใจของผู้คนเมืองเพชชรบูรณ์ทั้งหลายในแต่ละวันจะมีคนเดินทางมาสักการบูชา ขอพร บนบานศาลกล่าวตามความเชื่อของผู้คนเมืองนี้ก็คือ เวลาที่มีความทุกข์ร้อนและสิ่งที่ต้องการสิ่งใดเช่น ต้องการเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งการรับราชการ ดำเนินธุรกิจ ลูกสอบเข้าเรียนก็จะมากราบขอพรจากองค์เจ้าพ่อหลักเมืองกันเป็นจำนวนมากและถ้าได้สมความปรารถนาก็จะมีการมาแก้บนด้วยการแสดงมโหรสพ อาทิ ลิเก ภาพยนตร์ตลอดทั้งปี หรือถ้าขับรถยนต์ผ่านก็จะพบว่า มีการให้สัญญาณแตร 3 ครั้ง เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อเจ้าพ่อหลักเมืองแสดงให้เห็นถึงการเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนในจังหวัดนี้อย่างแท้จริง
    คุณวิศัลย์ได้แสดงความรู้สึกที่มีต่อศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเพชรบูรณ์ต่อว่า
    "ปาฏิหาริย์ของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่ปรากฏชัดเจนที่สัมผัสได้ก็คือ ความสงบ ร่มเย็นเป็นสุขที่เกิดขึ้นแก่ชาวเมืองเพชรบูรณ์ เพราะเป็นเมืองที่ไม่เคยเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ประชาชนมีความรักใคร่กลมเกลียวกัน และเป็นเมืองที่มีความอุดมสมบูรณ์เกี่ยวกับพืชพันธุ์ธัญญาหารที่ถือว่าเป็นอู่ข้าวอู่น้ำอีกแห่งหนึ่งของประเทศ"
    "... นอกจากนี้เวลาที่มีคู่บ่าวสาวแต่งงานใหม่ ๆ ก็มักจะต้องเดินทางไปกราบขอพรจากเจ้าพ่อหลักเมือง ให้อยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข และปกปักรักษาคุ้มครองเหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวเมืองเพชรบูรณ์มาช้านาน"
    ส่วนศาลหลักเมืองใหม่แห่งที่สองเป็น "เสาหลักเมืองนครบาล" หรือ "ศาลหลักเมืองหลวง" ตั้งอยู่ที่บ้านน้ำเต้า อำเภอหล่มสักที่สร้างขึ้นในช่วงปี พ.ศ.2485 และ พ.ศ.2486 ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาล จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีก็ถือว่า เป็นความภาคภูมิใจของชาวจังหวัดเพชรบูรณ์อีกแห่งหนึ่งและก็เป็นที่มาของคำว่า "หนุ่มนครบาล" ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเมืองเพชรบูรณ์ที่ชวนให้รำลึกถึงว่า ครั้งหนึ่งเพชรบูรณ์เคยได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงมาก่อน
    ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ประเทศไทยกำลังตกอยู่นาภาวะคับขัน กรุงเทพถูกโจมตีจากฝ่ายพันธมิตรอย่างรุนแรง ซึ่งคณะรัฐมนตรีสมัยนั้นเห็นว่า เพชรบูรณ์มีความเหมาะสมที่จะเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ เพราะมีชัยภูมิที่เหมาะสมมีภูเขาล้อมรอบ มีเส้นทางคมนาคมเข้าออกเพียงทางเดียวและมีภูมิประเทศสวยงาม อากาศดีอยู่ตรงกลางของประเทศเป็นศูนย์ กลางภาคเหนือกับภาคอีสาน และกรุงเทพมหานคร ทั้งยังต้องการสร้างเพชรบูรณ์ให้เป็นฐานทัพลับ เพื่อซ่องสุมกำลังพลไว้เพื่อรบขับไล่ศัตรู (ฝ่ายญี่ปุ่น)
    การดำเนินการก่อสร้างนครบาลเพชรบูรณ์ รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ออกคำสั่งเป็นครั้งแรกในวันที่ 13 มีนาคม 2486 และดำเนินการร่างพระราชกำหนดจัดระเบียบราชการบริหารนครบาลเพชรบูรณ์ขึ้น โดยกำหนดให้ราชการบริหารส่วนภูมิภาคจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นนครบาลเพชรบูรณ์และอพยพราษฎรมาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เพชรบูรณ์พร้อมกับย้ายที่ทำการรัฐบาล สถานที่ราชการมาตั้งที่เพชรบูรณ์พร้อมกับมีการทำพิธีสร้างหลักเมืองนครบาลขึ้น ที่บ้านน้ำเต้า
    อำเภอหล่มสัก
    ส่วนที่ทำการราชการต่างๆสมัยนั้นได้จัดสร้างเป็นลักษณะชั่วคราวจากไม้ไผ่ จักสาน และดินเผา ซึ่งได้เสื่อมสภาพไปหมดแล้ว ปัจจุบันคงเหลือแต่เพียงเสาหลักเมืองนครบาลเท่านั้น
    และนี่ก็เป็นความเชื่อของคนเพชรบูรณ์ที่มีต่อ "ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง" ที่เลื่องลือมาช้านาน</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>เรื่องลี้ลับ...ในวังหลวง</TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>พระบรมมหาราชวังหรือที่ชาวบ้านนอกรั้ววังมักใช้เรียกขานกันสั้นๆ ว่า “วังหลวง”นี้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรีทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเมื่อพุทธศักราช 2325
    “วังหลวง”เป็นสถานที่สถิตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมถึงเป็นสถานที่เคร่งครัด เข้มงวดในกฎระเบียบและประเพณีในราชสำนัก ชาววังหลวงเชื่อกันว่าทุกบริเวณในเขตรั้ววังล้วนมีเทวดาปกปักรักษา แม้แต่ประตูพระราชวังก็มีประเพณีที่เคร่งครัด โดยเฉพาะ “ธรณีประตู”ซึ่งมีกฎว่า ใครจะเข้าออกก็เดินข้ามไปได้แต่จะเหยียบธรณีไม่ได้ เพราะเป็นประเพณีที่ถือกันมาว่าประตูพระราชวังทุกแห่งมี “เทพยดารักษา”ขนาดว่าถ้าผู้ใดไม่รู้แล้วเผลอไปเหยียบเข้าก็จะถูกเจ้าหน้าที่กรมโขลน ผู้รักษาประตูดุเอา หรือบางทีอาจถึงกับถูกสั่งให้ก้มลงกราบธรณีประตูเพื่อขอขมาลาโทษเลยทีเดียว
    ทุกสถานที่เมื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษาและยิ่งเป็นสถานที่เก่าแก่มีความเป็นมายาวนาน ก็ย่อมต้องมีเรื่องราวของความลี้ลับและอาถรรพ์ปะปนอยู่เสมอเป็นของคู่กัน เรื่องเล่าของชาววังในอดีตเกี่ยวกับอาถรรพ์และวิญญาณในวังหลวงจึงล้วนแต่น่าฟังและชวนติดตาม
    เล่ากันว่าชาววังในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็กลัวผีเหมือนกัน มีอยู่เหตุการณ์หนึ่งซึ่งเป็นเรื่องราวชวนขนลุกที่เกิดขึ้นในสมัยนั้นและยังเล่าสืบต่อกันมาไม่รู้จบว่า พวกในวังมักมีที่เล่นสำราญสนุกสนานที่บริเวณสระน้ำกว้างขวางแห่งหนึ่งภายในวัง สระน้ำนี้จะมีท่อธารน้ำไหลเข้ามาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งสองด้านหัวและท้ายสระจะมีบันไดอิฐถือปูนเป็นทางสำหรับลงไปตักน้ำได้ว่ากันว่าเมื่อแรกสร้างนั้นน้ำเต็มเปี่ยมใสสะอาดดี เพราะมีกฎข้อห้ามจากเจ้านายไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดลงไปอาบหรือทำความสกปรกในบริเวณใกล้ขอบสระนั้น
    ที่บริเวณสระน้ำนี้ยังมีต้นปีบขนาดใหญ่ สูงระหง กับต้นจันทน์ทอดกิ่งก้านสาขาใบดกเขียวร่มรื่น ปีบออกดอกขาวร่วงหล่นอยู่ที่โคนต้น ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ชาววังสมัยนั้นก็มักจะมาเที่ยวเก็บดอกบีบและลูกจันทน์เล่น
    แต่ต่อมาได้เกิดเสียงเล่าลือไปในทางไม่เป็นมงคล ทำให้ชาววังเกิดอาการกลัวผีกันนักหนา กลางค่ำกลางคืนก็ไม่กล้าออกไปไหน แม้แต่จะไปอุโมงค์ที่ถ่ายทุกข์ยังไม่ยอมไปเพราะทางที่จะไปต้องเดินผ่านบริเวณสระน้ำนั้น ก็ไม่มีใครกล้าเดินผ่าน ทั้งนี้เพราะว่า “พระเจ้าน้องนางเธอ พระองค์เจ้าอรทัยเทพกัญญา”ซึ่งเป็นพระธิดาพระองค์หนึ่งของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งประชวรด้วยพระโรคเรื้อรังกระเสาะกระแสะอยู่นานได้สิ้นพระชนม์ลง แม้จะทรงรักษาพระอาการประชวรด้วยวิธีแพทย์หลวงและทางไสยศาสตร์ หรือจะทรงหมั่นบำเพ็ญพระกุศลหวังจะให้หายจากพระโรค ก็ไม่หาย(เล่ากันภายในว่าทรงเป็นพระโรคประสาทและทรงกระทำวัตธิพิฆาตกรรมพระองค์เองจนสิ้นพระชนม์)
    เมื่อพระองค์เจ้าพระองค์นี้สิ้นพระชนม์ลงต่อมาก็มีการโจษจันกันว่ามีผู้ได้ยินเสียงร้องโหยหวยในยามวิกาล มีการกล่าวขวัญกันต่อๆ มาและสรุปว่าเป็นเพราะเสด็จพระองค์นั้นเพิ่งจะสิ้นพระชนม์ คงจะทรงไปทนทุกขเวทนาอยู่ เลยทำให้หวาดกลัวกันไปทั้งวังหลวง
    จนเรื่องนี้รู้ไปถึงพระกรรณพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 จึงทรงมีพระราชดำริให้แก้อาถรรพ์นี้ด้วยวิธีบำเพ็ญพระราชกุศลถวายสังฆทาน และทรงสั่งให้ขุดสระน้ำขึ้นเพื่ออุทิศส่วนกุศลส่งไปโปรดพระเจ้าน้องนางเธอพระองค์นั้นให้พ้นทุกข์ เมื่อวันที่สระน้ำสร้างเสด็จก็มีพิธีฉลองสระ บรรดาเจ้านายพระบรมวงศ์ฝ่ายในทั้งหลายก็พากันเสด็จมาร่วมบำเพ็ญพระกุศล ตั้งแต่นั้นมาเรื่องเล่าของชาววังเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวจึงเงียบหายไป ส่วนสระน้ำที่ขุดใหม่นี้ชาววังในสมัยนั้นจะเรียกว่า “สระพระองค์อรทัย”
    เรื่องลี้ลับของชาววังหลวงไม่ได้มีเพียงเท่านั้น เพราะหลายๆ คนก็เจอดีและมีประสบการณ์ที่พิสูจน์ไม่ได้อันแปลกแหวกแนวไปคนละอย่าง โดยเฉพาะเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในสมัยหลังช่วงรัชกาลที่ 8-9 ก็มีเรื่องเล่าถึงชาวจีนคนหนึ่งซึ่งเข้ามาซ่อม “พระแท่นราชอาสน์”ซึ่งเป็นของสูงที่องค์พระมหากษัตริย์ได้ทรงใช้เอนพระวรกายมาแล้วหลายพระองค์ จึงเป็นของศักดิ์สิทธิ์และมีเทวดารักษา แต่ช่างชาวจีนซึ่งเป็นสามัญชนคนนี้ไม่รู้ประเพณีการให้ความเคารพในของศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผิดกับช่างไทยถ้าจะทำงานกับของสูงเช่นนี้จะต้องมีการเอาดอกไม้ธูปเทียนมาถวายสักการะ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติจากดวงพระวิญญาณ เพราะการซ่อมนั้นช่างจำเป็นจะต้องขึ้นไปเหยียบย่ำบนพระแท่นเพื่อรื้อของเก่าออก
    เมื่อช่างจีนผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำไม่ได้บวงสรวงสักการะ พอมาถึงก็ขึ้นไปเหยียบย่ำรื้อเลย ทำให้จู่ๆ ก็พลาดตกลงมาจากพระแท่นราชอาสน์จนถึงกับสลบและมีอาการกระอักเลือดออกมาทางทวารทั้งเก้า ทั้งๆ ที่พระแท่นราชอาสน์นั้นมีระยะสูงจากขอบพระบัญชรถึงพื้นไม่ถึงเมตรแต่กลับทำให้ช่างจีนคนนั้นถึงกับสิ้นใจตาย จึงเป็นเหตุให้ทางผู้รับเหมางานนี้ต้องรีบเอากระดาษเงินกระดาษทองมาเผาถวายสักการะเป็นการใหญ่
    บรรยากาศในวังหลวงสมัยก่อนในตอนกลางวันเมื่อเวลาไม่มีผู้คนสภาพแวดล้อมค่อนข้างน่ากลัวเพราะเงียบเชียบและยิ่งดึกๆ ก็ยิ่งวังเวง เรื่อง “ผีและโอปปาติกะ”ในวังหลวงมีอีกหลายเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมา บ้างก็ว่ามีทั้งวิญญาณของเจ้านายฝ่ายในและบางครั้งก็เป็นเทวดา
    มีเรื่องเล่าจากบันทึกของตำรวจหลวงในวังท่านหนึ่งซึ่งท่านเล่าไว้อย่างสนุกและน่าตื่นเต้นเกี่ยวกับเหตุการณ์ชวนพิศวงเมื่อครั้งงานพระราชพิธีพระบรมศพล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 8 ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เรื่องมีอยู่ว่าในเวลาดึกช่วงระหว่างงานพระราชพิธีนั้น พอพระบรมวงศานุวงศ์แขกระดับผู้ใหญ่กลับกันหมดแล้ว ก็จะมีทหารยามและตำรวจวังเฝ้าพระบรมศพอยู่โดยทหารจะยืนยาม 4 มุมของพระบรมศพ และจะมีการเปลี่ยนเวรกันเป็นกะ ในส่วนของการยืนยามด้านในซึ่งเป็นที่ไว้พระโกศศพทำด้วยทองคำแท้ๆ นั้นจะมีทหารมารักษาการณ์เฉพาะตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันจะมีเจ้าหน้าที่ทำงานคอยเฝ้าอยู่
    สำหรับทหารที่มาเข้าเวรก็เป็นที่รู้กันว่าเมื่อเดินมาถึงจุดนี้จะต้องทำความเคารพพระบรมศพเสียก่อนด้วยการวันทยาหัตถ์ แต่ก็มีบางคนที่มาเข้าเวรใหม่ยังไม่รู้ธรรมเนียมจึงไม่ได้แสดงความเคารพ มาถึงก็ยืนเข้าที่เลย ปรากฏว่าโดนดีกันเป็นแถวเพราะถูกฝ่ามือลึกลับของใครก็ไม่ทราบมาตบที่ท้ายทอยจนหัวคะมำ พอหันมาดูรอบๆ ตัวก็ไม่มีใคร ที่น่าประหลาดยิ่งไปกว่านั้นอีกก็คือ บางครั้งทหารยืนยามมาทั้งคืนพอใกล้สว่างก็ชักไม่ไหว ต้องทรุดลงนั่งและหลับยามไปงีบหนึ่งแต่พอเจ้านายมาตรวจเวรก็จะมีเสียงคนมาปลุกและเขย่าตัว บอกให้ตื่นเจ้านายมาแล้ว โดยที่ไม่มีใครเคยเห็นตัวคนปลุกซักครั้งเดียว
     
  17. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>พระราชวังสนามจันทร์ กับความผูกพันแห่ง "ย่าเหล"</TD></TR><TR><TD>
    โดย อริศรา
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [​IMG] ทิวไม้สีเขียวเข้มที่ทอดกิ่งสีน้ำตาลบแก่โค้งเข้าหากันคล้ายซุ้มประตูตลอดทางที่เข้าสู่บริเวณ "พระราชวังสนามจันทร์" จังหวัดนครปฐม ทำให้เรารู้สึกร่มรื่นชื่นใจทุกครั้งที่ได้แวะเวียนเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ ณ ที่แห่งนี้ ทั้งยังซาบซึ้งในความผูกพันระหว่างองค์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และ "ย่าเหล" สุนัขของพระองค์ ซึ่งเป็น "มิตรภาพ" อันงดงามที่ต้องิส้นสุดลงด้วยความอิจฉาริษยา
    พระราชวังสนามจันทร์ตั้งอยู่ในตัวเมือง ห่างจากองค์พระปฐมเจดีย์ไปทางทิศตะวันตกประมาณสองกิโลเมตร มีพื้นที่ทั้งสิ้นประมาณ 888 ไร่ 3 งาน 24 ตารางวา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 6) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้สร้างขึ้นตั้งแต่ยังทรงพระยศเป็น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร การสร้างพระราชวังแห่งนี้มีมูลเหตุจูงใจมาจากการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งทำให้พระองค์ทรงพอพระราชหฤทัย เมืองนครปฐมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเมืองที่มีภูมิประเทศที่งดงามร่มเย็น เหมาะสมสำหรับประทับพักผ่อน และเป็นเมืองที่มีชัยภูมิสำหรับต้านทานข้าศึกที่จะยกเข้ามาทางน้ำได้เป็นอย่างดี ด้วยทรงจดจำเหตุการณ์เมื่อ รศ.112 ที่ฝรั่งเศสนำเรือรบเข้าปิดปากอ่าวไทยได้ และไม่ต้องการที่จะให้ประเทศไทยตกอยู่ในสภาพดังกล่าว จึงตั้งพระทัยที่จะสร้างพระราชวังสนามจันทร์ไว้สำหรับเป็นเมืองหลวงที่ 2 หากประเทศชาติประสบปัญหาวิกฤต
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="20%" align=left bgColor=#00ccff border=0><TBODY><TR><TD width="56%">
    [​IMG]
    </TD><TD width="44%">
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=smalltxt>
    รูปหล่อทองแดงย่าเหล หน้าพระตำหนัก​
    </TD><TD class=smalltxt>
    อีกมุมหนึ่งของพระ
    ตำหนักชาลีมงคลอาสน์​
    </TD></TR></TBODY></TABLE> ภายในอาณาเขตอันกว้างขวางของพระราชวังสนามจันทร์ ประกอบด้วยพระที่นั่งมากมาย เท่าที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันได้แก่ พระที่นั่งพิมานปฐม เป็นพระที่นั่งองค์แรกที่สร้างขึ้นในพระราชวังแห่งนี้ และทรงใช้เป็นที่ประทับตั้งแต่ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์ ในพระที่นั่งพิมานปฐมนี้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประทับทอดพระเนตรเห็นปาฏิหาริย์ขององค์พระปฐมเจดีย์บนแท่นไม้มีขนาด 2 เมตร ชื่อว่า พระที่นั่งปาฏิหาริย์ทัศไนย ปัจจุบันนี้ตั้งอยู่หน้าพระที่นั่งพุทไธศวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ) พระที่นั่งอภิรมย์ฤดี พระที่นั่งวัชรีรมยา พระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์
    พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์อยู่ถัดไปทางตะวันออกเฉียงใต้ เป็นตึก 2 ชั้น สร้างแบบตะวันตก ทาสีไข่ไก่ หลังคามุงกระเบื้องสีแดง ใช้เป็นที่ประทับเวลาเสือป่าเข้าประจำกอง หรือในกิจพิธีเกี่ยวกับเสือป่า ระหว่างที่ทรงเป็นผู้บัญชาการทหารเสือป่า พระตำหนักแห่งนี้เป็นอนุสรณ์สถานแห่งความผูกพันที่พระองค์ทรงมีต่อสุนัขตัวหนึ่ง นามว่า "ย่าเหล"
    "ย่าเหล" เป็นสุนัขพันธุ์ทาง เกิดในเรือนจำจังหวัดนครปฐม พระองค์ทรงพบเมื่อครั้งเสด็จตรวจเรือนจำ จึงนับว่าเป็นโชคของย่าเหล ที่ทรงพอพระราชหฤทัยและทรงนำย่าเหลมาเลี้ยงไว้ในราชสำนัก ชื่อ ย่าเหล ที่ทรงพระราชทานให้นั้น ทรงนำมาจากชื่อของตัวละครตัวเอกในละครฝรั่งเศสเรื่อง "My Friend Yarlet" ซึ่งเป็นเรื่องราวมิตรภาพระหว่างเพื่อนแท้ที่รักกันจนสามารถตายแทนกันได้ ต่อมาเมื่อโปรดเกล้าฯให้สร้างตำหนักสององค์คู่กันในพระราชวังสนามจันทร์ จึงพระราชทานนามว่า "พระตำหนักเหล" ต่อมาเฉลิมพระนามใหม่ว่า "พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์" มีความหมายว่า "อาสน์อันเป็นมงคลของชาลี" ซึ่งชาลีก็คือย่าเหลนั่นเอง
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="17%" align=left border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#33ccff>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD class=smalltxt bgColor=#33ccff>
    ทางเดินทอดยาวเชื่อมสองพระที่นั่ง​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" bgColor=#33ccff border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR><TR><TD>พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE> อีกตำหนักหนึ่งที่อยู่คู่กันคือ พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ มีความหมายว่า "ราชบัลลังก์สีแดงแห่งมารี" เป็นเรือนไม้ 2 ชั้น ทาสีแดง อยู่คนละฝั่งกับพระที่นั่งชาลีมงคลอาสน์ พระตำหนักทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยทางเดิน ซึ่งมีลักษณะคล้ายสะพาน แต่มีหลังคา มีฝา และหน้าต่างทอดยาวจากชั้นบน
    ย่าเหลเป็นสุนัขที่เฉลียวฉลาดและจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมาก จนเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ท่าน อันเป็นเหตุให้มีผู้อิจฉาริษยาและลอบยิงย่าเหลตายในที่สุด พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโศกเศร้าอาลัยย่าเหลมาก ทรงโปรดเกล้าฯให้หล่อรูปย่าเหลด้วยทองแดงขนาดเท่าตัวจริง สร้างเป็นอนุสาวรีย์ไว้หน้าพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ และทรงพระราชนิพนธ์กลอนจารึกไว้ที่ฐานตั้งรูปหล่อย่าเหล ดังความตอนหนึ่งว่า

    "...มันยิงเพื่อนเหมือนกูพลอยถูกด้วย
    แทบจะม้วยชีวังสิ้นสงขาร์
    จะหาเพื่อนเหมือนเจ้าที่ไหนมา
    ช้ำอุราอาไลยไม่วายเว้น..."
    แม้กาลเวลาจะผ่านไปเกือบร้อยปี บทกลอนบทนี้ยังตราตรึงอยู่ในความรู้สึกของทุกคนที่ได้ไปยืนอยู่เบื้องหน้า "ย่าเหล" เสมอ [​IMG]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=5 width="60%" border=0><TBODY><TR><TD class=smalltxt bgColor=#ffcccc>ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือ บทละครและบทละครพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นที่มาของชื่อพระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ พระตำหนักมารีราชรัตบัลลังก์ และชื่อย่าเหล ของ นวลผจง เศวตเวช จัดพิมพ์โดย มหาวิทยาลัยศิลปากร พ.ศ. 2535</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>เปิดกรุผีเมืองกรุงเก่า</TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="28%" align=left border=0><TBODY><TR><TD height=163>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ตอนที่ 1 : ขุมทรัพย์โบราณที่วัดกุฏิดาว
    กรุงศรีอยุธยาอดีตราชธานีอันยิ่งใหญ่ของไทย ครั้งที่บ้านเมืองยังสงบอาณาประชาราษฎร์ล้วนมีชีวิตที่สุขสบาย ขุนนาง ขุนศึก พ่อค้าและชาวบ้านทั้งหลายยิ้มย่องผ่องใสมีชีวิตรุ่งเรืองถึงขีดสุด จึงต่างเก็บหอมรอมริบ สะสมแก้วแหวนเงินทองมีค่าไว้มากมาย จนกระทั่งเกิดสงครามถึงคราวพ่ายแพ้แก่พม่า กรุงศรีอยุธยาต้องล่มสลาย ผู้คนและเหล่าทหาร ช้าง ม้า วัว ควายถูกฆ่าตายกลาดเกลื่อน สมบัติมากมายที่สะสมกันไว้จึงถูกซุกซ่อนฝังไว้ตามจุดต่างๆ ขุนนาง คหบดีและเจ้านายบางพระองค์นอกจากจะฝังสมบัติไว้แล้วยังถึงกับฆ่าบริวารหรือทหารของตนให้ตายโหงอยู่ตรงที่ฝังสมบัติ เพราะหวังจะให้วิญญาณของผู้ตายกลายเป็นผี “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” เฝ้าสมบัติของตนก็มี
    เมืองกรุงเก่าอยุธยานับแต่อดีตถึงปัจจุบันจึงขึ้นชื่อลือชานักในเรื่องของ “วิญญาณ” ที่มักมาปรากฏตามสถานที่โบราณต่างๆ หลายเรื่องน่ากลัว หลายเรื่องฟังแล้วน่าตื่นเต้นดีและทุกเรื่องล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้...
    เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นจริงในอดีตเกี่ยวกับลายแทงสมบัติอันบ่งบอกจุดที่ซ่อนของขุมทรัพย์มากมายภายในอาณาบริเวณอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา ลายแทงนั้นบอกว่าพระนครศรีอยุธยามีสมบัติโบราณถูกฝังเอาไว้ถึง 303 แห่ง โดยเฉพาะที่ “วัดกุฏิดาว” มีขุมทรัพย์ฝังอยู่ถึง 16 แห่ง
    ลายแทงขุมทรัพย์มีค่ามหาศาลนี้ผู้ที่ได้ครอบครองไว้เป็นเจ้านนายระดับ “พระองค์เจ้า” พระองค์หนึ่ง ซึ่งพระนามของพระองค์ได้รับการกล่าวขวัญในวงการแข่งรถ การได้มาของลายแทงนี้ไม่ทราบชัดว่าท่านได้มาอย่างไร...จากใคร...แต่พิสูจน์ได้แน่ชัดว่าต้องมีทรัพย์มีค่าฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ เพราะพระองค์เจ้าพระองค์นี้กับพระสหายชาวต่างประเทศได้นำเอาเครื่อง “ไมน์ดีเทคเตอร์” ซึ่งเป็นเครื่องสำรวจหาวัตถุธาตุมาสำรวจตรวจดูแล้ว และปรากฏว่าเครื่องมือดังกล่าวนี้ระบุว่าจุดที่ตรวจค้นมีสมบัติล้ำค่าถูกฝังอยู่ใต้ดินจริงๆ
    วัดกุฏิดาวเป็นวัดร้าง มีร่องรอยว่าเคยเป็นวัดที่ใหญ่โตสวยงามในสมัยอยุธยาในลายแทงขุมทรัพย์บอกว่าที่วัดแห่งนี้มีสมบัติล้ำค่าถูกฝังไว้รอบอุโบสถถึง 16 แห่ง ดังนั้นพระองค์เจ้าพระองค์นี้และพระสหายหลายคนจึงได้ทำเรื่องเสนอต่อกรมศิลปากรขออนุมัติดำเนินการขุดค้นหาขุมทรัพย์ดังกล่าว โดยขอแบ่งทรัพย์ที่ขุดขึ้นได้เพียง 10% และอีก 90% จะมอบให้เป็นสิทธิ์ของกรมศิลปากร เมื่อกรมศิลปากรอนุมัติท่านจึงเริ่มดำเนินการขุดค้นที่วัดกุฏิดาวเป็นแห่งแรกในปี พ.ศ.2503
    น่าประหลาดที่การขุดสมบัติที่วัดกุฏิดาว เมื่อขุดลงไปตรงจุดที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติซ่อนอยู่กลับไม่พบสิ่งใดเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ทั้งที่ก่อนลงมือขุดได้ใช้เครื่องไมน์ดีเทคเตอร์ตรวจสอบดูก่อนแล้ว เครื่องก็ส่งสัญญาณว่ามีสิ่งมีค่าผังอยู่แน่นอนแต่พอขุดลงไปกลับไม่มีอะไรเลย การขุดค้นหาสมบัติโบราณที่วัดกุฏิดาวในครั้งนั้นนอกจากจะพบความผิดหวังแล้วพระองค์เจ้าฯและพระสหายยังพบกับเหตุการณ์อัศจรรย์ที่น่ากลัวอีกลหายอย่าง นั่นก็คือท่านและพระสหายเห็น “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” มาปรากฏต่อหน้าต่อตากลางวันแสกๆ เป็นร่างของนักรบไทยโบราณ ร่างใหญ่โต แต่ไร้หัว นอกจากนี้ภายในวังของท่านก็ยังมีเสียงคล้ายคนขุดดินตลอดเวลา เสียงนั้นดังชัดเจนได้ยินกันหลายคน
    เหตุการณ์น่ากลัวที่เกิดขึ้นทำให้พระองค์ต้องเชิญอาจารย์ที่นั่งทางในเก่งๆ มาช่วยดู อาจารย์ที่ท่านนั้นก็บอกว่า วิญญาณที่ปรากฏเป็น “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” เขาเป็นเจ้าของสมบัตินั้นและโกรธแค้นมากที่เจ้านายพระองค์นี้มาทำการขุดค้นสมบัติของเขา จึงมาสำแดงกายให้เห็นทั้งยังสาปแช่งพวกที่มาขุดสมบัติของเขาทุกคน
    คำสาปแช่งนั้นต่อมาก็เป็นจริง เพราะพระสหายคนหนึ่งที่ร่วมทีมขุดสมบัติกับท่านได้เสียชีวิตกระทันหัน ทั้งๆ ที่มีสุขภาพร่งกายแข็งแรงทุกอย่าง ส่วนประสหายอีกคนก็หายสาบสูญไปโดยไม่ทราบชะตากรรม ส่วนตัวท่านเองทำธุรกิจอะไรก็ขาดทุน
    ขุมทรัพย์โบราณที่วัดกุฏิดาวปัจจุบันก็ยังคงอยู่ที่เดิม เพราะยังไม่มีใครกล้าหาญไปขุดค้น เพราะเกรงว่าวิญญาณที่ยังคงวนเวียนเฝ้าสมบัติมาหลอกหลอนและสาปแช่งวัดกุฏิดาวเป็นวัดเล็กๆ ป้ายชื่อวัดไม่มีบอกต้องอาศัยลามจากชาวบ้าน แถวใกล้วัดกุฏิดาวยังมีวัดใกล้เคียงหลายวัด รวมถึงวัดมเหยงค์ซึ่งขึ้นชื่อว่า “ผีดุ” อีกวัดหนึ่ง
    “วัดมเหยงค์” นี้เคยเป็นวัดร้าง ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพังของอุโบสถซึ่งกระเทาะหลุดร่อนเหลือแต่อิฐแดงๆ แต่ก็ยังมีเค้าโครงให้เห็นว่าเคยเป็นศาสนาสาถนที่สวยงามในอดีต
    วัดมเหยงค์แห่งนี้เคยมีผู้เล่าให้ฟังว่ามีคนเคยได้ยินเสียงสวดมนต์ใน่วงทำนองอันไพเราะดังแว่วมาจากอุโบสถ เสียงสวดนั้นดังพร้อมเพรียงเป็นหมู่คณะ สวดช้าๆ เย็น ทำนองสวดไม่เหมือนปัจจุบันและดังในเวลาเช้าตรู่ ซึ่งพอเดินไปดูที่ต้นเสียงกลับไม่มีใครเลย แล้วเสียงนั้นมาจากไหน ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้...
    (โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)
    บริเวณรอบอุโบสถวัดกุฏิดาวที่ลายแทงระบุว่ามีสมบัติโบราณถึง 16 แห่ง
     
  19. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ผี...วังเจ้า</TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <STYLE><!--.Normal {font-size:12.0pt; font-family:"Times New Roman";}.MsoPlainText {font-size:10.0pt; font-family:"Courier New";}--></STYLE>คุณเคยเห็น “ผี” มาบ้างรึยัง และเชื่อว่าโลกนี้มีผีหรือเปล่า หากว่ายังไม่เคย ลองมาอ่านเรื่องราวเหล่านี้ดูบ้าง ขึ้นชื่อว่าผีก็มีหลายประเภท มีทั้งผีที่ดีกับไม่ดี และบางครั้งเราก็ใช้คำเรียกผีว่า “โอปปาติกะ” “โอปปาติกะ” เป็นคำที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรียก “ผู้ที่มีชีวิตหลังความตาย” โอปปาติกะจะมีรูปร่างสมบูรณ์ครบถ้วนในทันทีที่เสียชีวิต เป็นการก่อรูปจากพลังของวิญญาณให้อยู่ในรูปของ “กายทิพย์” คือจะมีร่างโปร่งใส มีความรู้สึกนึกคิดแต่สัมผัสไม่ได้ด้วยประสาททั้งห้า เพราะกายทิพย์เป็นเพียงร่างยึดเหนี่ยวของวิญญาณเท่านั้น
    จากการค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ที่มุ่งเน้นศึกษาเรื่องชีวิตหลังความตายเป็นหลักได้ค้นพบว่า พลังงานทางจิตของมนุษย์จะไม่สูญหายหลังการเสียชีวิตหรือหลังจากที่ร่างเราถูกทำลายแต่อย่างไร และพลังงานดังกล่าวก็มีสภาพเป็นพลังแม่เหล็กไฟฟ้านอกเหนือจากนี้ก็ยังมีพลังงานอื่นซุกซ่อนอยู่อีก
    ด้วยผลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ดังกล่าวบวกกับผู้ที่เคยมีประสบการณ์ทางวิญญาณทำให้เชื่อได้ว่า ชีวิตเราไม่ได้สิ้นสุดอยู่แค่ภพนี้ เรายังมีภพหน้าหรือโลกหน้าอยู่ โดยอาจเรียกว่าเป็น “ภพภูมิ” ที่ซ้อนกันหลายระดับชั้นระหว่างโลกมนุษย์กับโลกวิญญาณ
    ในบรรดาสถานที่ที่มีผีหรือวิญญาณสถิตอยู่...ผีในรั้วในวังดูจะเป็นเรื่องที่คนให้ความสนใจอยากฟังมากที่สุด คงเป็นเพราะเรื่องราวนั้นเกิดในสถานที่เก่าแก่โบร่ำโบราณ ดูขลังและน่าน่าสนุกกว่าผีตามบ้านเรือนทั่วไป
    เมื่อสมัยที่อยู่เขียนยังร่ำเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ ซึ่งเป็นวังเจ้า สร้างมาเมื่อต้นรัตนโกสินทร์ ที่นี่ก็มีเรื่องร่ำลือเกี่ยวกับผีมาให้ได้ยินอยู่เรื่อย บางคนก็เจอผีห้อยหัวลงมาจากต้นกร่าง หน้าคณะโบราณคดีบ้าง บางคนเจอผีที่ท้องพระโรงตรงตึกพรรณรายก็มีนับจากรุ่นพี่ถึงรุ่นน้องเรียกว่าเจอดีกันมาทุกรุ่น!
    เพราะวังท่าพระเป็นวังเก่าจึงมีประวัติความเป็นมาค่อนข้างยาว ในอดีตที่นี่จะมีเจ้านายผลัดเปลี่ยนกันมาประทับหลายพระองค์ และในสมัยก่อนชาวบ้านใกล้รั้ววังท่าพระเมื่อเวลาเจ็บไข้ มีทุกข์ก็มักจะมาขออนุญาตเจ้าของวังเข้าไปบูชาบนบานศาลกล่าวเพราะความเคารพนับถือและเชื่อว่าภายในวังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณคุ้มครองอยู่
    ชาววังท่าพระในอดีตรุ่นเก่าๆ ยืนยันว่าเคยเห็นผีและเคยถูกผีหลอก ผีอำกันมานักต่อนัก แม้กระทั่งผู้ทรงเป็นเจ้าของวังเองก็ยังเคยโดนหลอกมาแล้ว
    มีเรื่องเล่าว่า คืนหนึ่งสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ขณะยังทรงประทับอยู่ที่วังท่าพระ ได้ลุกขึ้นตื่นบรรทมกลางดึกและรู้สึกหนาว ทอดพระเนตรเห็นพระแกลข้างพระแท่นบรรทมเปิดอยู่จึงลุกขึ้นจะไปปิดระหว่างนั้นทรงทอดพระเนตรเห็นข้างนอกเป็นคืนเดือนหงายสว่างจ้า พระจันทร์กำลังเต็มดวงสาดแสงส่องลอดกิ่งจันทน์ พระองค์นั่นประทับทอดพระเนตรอยู่ครู่ใหญ่แล้วจึงลุกขึ้นจะไปปิดพระแกลปรากฏว่าพระแกลถูกปิดลงกลอนเรียบร้อยแล้วทั้งสองบาน เป็นที่ประหลาดพระทัยมากเพราะพระองค์ไม่ได้ฝันหรือละเมอแม้แต่น้อย ก็ไม่ทราบว่าใครหวังดีมาปิดให้
    ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นขณะพระองค์กำลังเสวยพระกระยาหารอยู่ข้างบนพระตำหนัก ก็ได้ยินเสียงคนเคาะโลหะอะไรอย่างาหนึ่งในห้องชั้นล่าง เป็นห้องที่ทรงเก็บศิลปวัตถุและเครื่องดนตรีซึ่งถูกปิดใส่กุญแจไว้ เสียงที่ได้ยินนั้นรัวกังวาน ได้ยินชัดแจ้ง ต่างก็โจษกันเซ็งแซ่ว่าใครไปเคาะอะไรในห้องนั้นและเข้าไปได้อย่างไร ในเมื่อห้องก็ปิดใส่กุญแจไว้ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ จึงตรัสขึ้นทันทีว่า “ครูแรงรึ ถ้าครูแรงจะได้ไหว้ครู” พอพูดขาดคำก็มีเสียงเคาะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ดังรัวกว่าเก่า ด้วยเหตุนี้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯ จึงทรงจัดให้มีพิธีไหว้ครูที่วังท่าพระนับแต่นั้นมาทุกปี
    มาในสมัยปัจจุบันนักศึกษารุ่นพี่ผู้เขียนที่อยู่ทำงานที่คณะตอนดึกๆ หลายคนมักเจอเรื่องประหลาด บางคนเคยเห็นเด็กผมจุก นุ่งโจงกระเบนเสื้อแสงไม่ใส่ วิ่งเล่นส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวอยู่ในสวนแก้วข้างท้องพระโรงราวๆ ตี1 ตี2 แต่พอเพ่งมองนานๆ เข้าภาพนั้นก็หายไปเล่นเอาอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน แล้วยิ่งภายในบริเวณท้องพระโรงวังท่าพระด้วยแล้วยิ่งต้องถือว่าเป็นที่สุดของความน่ากลัว เพราะบรรยากาศมันจะเก่าๆ ดูอึมครึม หลายคนก็เคยเจอดีที่นั่นมาแล้วแต่ไม่ค่อยมีใครกล้าเล่า
    ข้อมูลส่วนใหญ่เกี่ยวกับผีที่วังท่าพระนี้จะมาจากคนเก่าคนแก่เล่าสืบต่อกันมาและจากข้อมูลที่หม่อมเจ้าหญิงดวงจิตร จิตรพงศ์ ทรงบันทึกไว้ ท่านได้บันทึกไว้ว่า
    “...ผีที่วังท่าพระนี่ชอบเล่นเปิดปิดสวิตช์ไฟ เรื่องนั้นเกิดขึ้นครั้งที่วังท่าพระมีงานพระศพ หลังจากพระราชทานเพลิงแล้ว คืนวันหนึ่งเมื่อพระสวดเสร็จ บรรดาเจ้านายในวังก็ขึ้นไปอยู่บนตำหนักในห้องที่เคยเป็นห้องเสวยของสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศฯแล้วก็ชวนคุยกันหลายเรื่อง จนในที่สุดก็วกมาคุยเรื่องผี ท่านก็เลยเล่าขึ้นมาว่า ที่นี่มีผีที่ชอบกระเซ้าเด็กด้วยการปิดไฟ ที่เคยโดน เห็นไฟเปิดทิ้งอยู่ก็เดินไปปิดสวิตช์แต่ยังเดินไม่ทันถึง ไฟก็ดับพรึบลงเสียก่อน มีทำนองนี้บ่อยๆ วันหนึ่งคุยกันอยู่ถึงเรื่องนี้ที่ตรงหน้ามุข ก็มีคนพูดว่าไม่เชื่อที่ดับเองได้เข้าใจว่าคงจะเป็นเพราะสวิตช์หลวมหรือมีใครแอบมาปิดเพื่อล้อเล่น เขาก็อยากจะพิสูจน์นัก พอพูดจบไฟที่หน้ามุขช่อนั้นก็ดับให้ดูทันที เดี๋ยวปิดดวงนั้นเปิดดวงนี้ กลับไปกลับมาเหมือนมีคนมาปิดเปิดสวิตช์ไฟเล่น ทั้งๆ ที่มองเห็นสวิตช์ซึ่งอยู่ห่างจากที่นั่งกันอยู่สัก 3 เมตรเท่านั้น คนอยากพิสูจน์นั่งตัวแข็งจ้องสวิตช์ไฟตาไม่กระพริบทีเดียว...”
    วังท่าพระในปัจจุบันช่วงเวลากลางค่ำกลางคืนถ้าเดินผ่านแถวสวนแก้วข้างท้องพระโรง เวลาดอกแก้วออกดอกสะพรั่งจะส่งกลิ่นหอมเย็นขจรขจาย ยิ่งผสมกับบรรยากาศที่วิเวกด้วยแล้วยิ่งทำให้รู้สึกวังเวง เย็นๆ เยือกๆ ชอบกลอยู่ ข้างๆ สวนแก้วจะมีศาล “เจ้าแม่เฮงหลุย” ซึ่งเป็นศาลเก่าแก่ของมหาวิทยาลัย ที่มาเป็นอย่างไรผู้เขียนยังสืบประวัติได้ไม่ชัดเจน รู้แต่ว่าท่านเฮี้ยนเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
    เรื่องราวเกี่ยวกับ “ผี...วังเจ้า” ความจริงยังมีเรื่องเล่าสนุกๆ ชวนขนลุกขนชันอีกหลายวัง แล้วจะได้เขียนเล่าสู่กันฟังอีกคราวหน้า
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ผี...วังเจ้า</TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <STYLE><!--.Normal {font-size:12.0pt; font-family:"Times New Roman";}.MsoPlainText {font-size:10.0pt; font-family:"Courier New";}--></STYLE>ตอนจบ ในโลกใบนี้ยังมีสิ่งเร้นลับอีกมากมายที่แอบซุกซ่อนเป็นปริศนาเพื่อรอการพิสูจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับ “วิญญาณ” และ “ความตาย"
    คนเรามักชอบถามกันว่า “ตายแล้วไปไหน...ชีวิตหลังความตายมีหรือไม่” ผู้เขียนเชื่อว่าเรื่องราวเหล่านี้...มีจริง แต่มันอยู่ในมิติที่มนุษย์ธรรมดามองไม่เห็น บางคนจึงคิดว่าคนเราตายแล้วสูญ จึงเร่งกอบโกยผลประโยชน์ เห็นแก่ตัว เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นเพียงเพื่อหวังความสบายในชาตินี้ หารู้ไม่ว่านั่นคือการสร้างบาปโดยไม่รู้ตัว
    ใครก็ตามที่อยากศึกษาหาความจริงในจักรวาลและพื้นโลกหรือที่มาแห่งมนุษย์ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร ทำไมเราต้องเวียนว่ายตายเกิด คำตอบที่ดีที่สุดอยู่ใน “พระไตรปิฎก” ซึ่งเป็นบันทึกในศาสนาพุทธ ศาสนาที่แม้แต่อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกยังยอมรับว่าเป็นศาสนาที่น่าเชื่อถือและมีความเป็นวิทยาศาสตร์ที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “พระไตรปิฎก” ได้กล่าวอธิบายถึง “วิญญาณ” ว่ามีอยู่จริง
    ที่หยิบยกเอา “พระไตรปิฎก” มาเกี่ยวด้วยก็เพียงเพื่อให้รู้ว่าที่เขียนเล่าเรื่อง “ผี” มาหลายตอนแล้วนั้น ทุกเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ยังมีหลักฐานและประจักษ์พยานอยู่ครบ ไม่ใช่กุเรื่องขึ้นลอยๆ และสมัยนี้โลกก็วิวัฒนาการไปไกลแล้ว คนก็มีความคิดเปลี่ยนไปและเปิดกว้างให้การยอมรับในเรื่องลี้ลับทางจิตวิญญาณกันมากขึ้นแล้ว
    ก็เลยจะเล่าเรื่อง “ผี...วังเจ้า” ที่เกิดขึ้นที่ “วังบางขุนพรหม” รวมทั้งอาถรรพณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่วังนี้ให้ฟัง
    “วังบางขุนพรหม” ยูนิเวอร์ซิตี้แห่งสยามนี้เป็นวังเก่าแก่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้เป็นเจ้าของวังทรงเป็นเจ้าฟ้าชั้นเอก ทรงพระนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระราชโอรสที่เป็นที่โปรดปรานยิ่งของพระพุทธเจ้าหลวง วังบางขุนพรหมเคยรุ่งเรืองมากในอดีต โดยมี สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวีในรัชกาลที่ 5 ทรงเป็นร่มโพธิ์ทองของวัง
    บรรยากาศของวังบางขุนพรหมในอดีตคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย ทั้งบรรดาเจ้านาย ข้าราชบริพาร ขุนนางน้อยใหญ่ ชีวิตในวังขณะนั้นล้วนมีความสุข เพราะได้ชื่อว่าที่นั่นเป็นราชสำนักที่ใหญ่โต หรูหรา ทันสมัยที่สุดในบรรดาวังทั้งหมดของพระราชโอรสในรัชกาลที่ 5 และเมื่อสถานที่ใดยิ่งเป็นที่รวมของคนหมู่มาก สถานที่นั้นก็ย่อมต้องมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีสางนางไม้อยู่บ้าง
    ชาววังบางขุนพรหมมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นไม้ที่แปลกประหลาดอยู่ต้นหนึ่ง เป็นต้นมะขามใหญ่ที่ขึ้นอยู่เก่าก่อน อยู่ข้าง “การ์ดทหาร” ซึ่งเดิมเป็นเรือนไม้ ภายหลังได้สร้างเป็นตึกเล็กๆ ชั้นดียว
    ต้นมะขามต้นนี้ที่ลำต้นเป็นโพรงข้างใน พวกชาววังเรียกกันว่า “มะขามโพรง” มีเรื่องเล่ากันว่าพวกเด็กๆ ในวังเล่นซ่อนหากันอยู่ดีๆ พอเข้าไปซ่อนในโพรงมะขามนี้แล้วมักออกมาไม่ได้ จึงพากันเล่าลือไปต่างๆ นานาว่ามะขามโพรงต้นนี้ผีดุมาก ต่อมาภายหลังต้นมะขามต้นนี้ก็เลยถูกโค่นลงพร้อมๆ กับโรงการ์ดทหาร เข้าใจว่าเพื่อลบล้างอาถรรพณ์!
    เกี่ยวกับอาถรรพณ์ของวังบางขุนพรหมนั้นมีบางเรื่องที่ว่ากันว่าเหมือนเป็นลางบอกเหตุทำให้ผู้เป็นเจ้าของวังต้องพบกับการพลัดพราก บ้านแตกสาแหรกขาด ถูกมรสุมชีวิตกระหน่ำในช่วงเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทำให้จำต้องเสด็จนิราศไปอยู่แดนไกลและต้องสละวังบางขุนพรหมให้กับคณะราษฎร์ชุดนั้นไปเพื่อทรงแลกกับอิสรภาพ อาจถือได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุครัตนโกสินทร์ของราชวงศ์จักรี
    ซึ่งก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ก็ได้เกิดลางสังหรณ์ขึ้นกับ “พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศิริรัตนบุษบง” จนเป็นเหตุสะกิดใจว่าครอบครัวในราชสกุลบริพัตรคงจะต้องเกิดการพลัดพรากถึงขั้นบ้านแตกสาแหรกขาดไม่วันใดก็วันหนึ่ง
    “...มีเรื่องแปลกเกี่ยวกับวังซึ่งเมื่อเกิดมีขึ้นทีแรกไม่ได้เห็นแปลกกันเลยคือ ผึ้งตัวเขื่องๆ ที่เรียกกันว่าผึ้งหลวง มาทำรังใหญ่มากที่ใต้มุมชายคาห้องชั้นบนที่เด็จย่าประทับเวลาเช้า เหนือถนนที่ตรงลงไปถึงตำหนักน้ำ ต่อมาได้เห็นรังผึ้งเกาะอีกหลายแห่งแต่จำไม่ได้ว่าได้เห็นที่ใดก่อน มีที่ตำหนักสมเด็จอา (สมเด็จเจ้าฟ้านิภานพดลฯ) ที่วังสวนสุนันทา เกาะที่ไหนจำไม่ได้
    ที่วังวรดิศเกาะที่ท้องพระโรงซึ่งภายหลังได้รื้อไปแล้ว ที่มุมซ้ายเพดานพระที่นั่งจักรีชั้นล่างซึ่งใช้เป็นที่ลงนามถวายพระพรในปัจจุบันนี้ แต่วันที่เห็นรังผึ้งเป็นวันมีเลี้ยงพระในงานเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จฯ ที่ห้องชั้นบนขึ้นอัฒจันทร์ด้านนี้ใกล้ห้องกว่า วันนั้นเป็นวันเฉลิมฯ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ จึงต้องเป็นวันที่ 20 ธันวาคม 6 เดือนก่อนวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในหมู่คณะที่รู้กันไม่มีใครคิดไปในทางร้ายเลย คิดว่ามีดอกไม้หรืออากาศเหมาะยังไง ผึ้งจึงพากันทำรังกันใหญ่ แล้วใครก็ไม่ทราบที่วัง ว่าควรจะบูชาเสีย
    เด็จย่า (สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ) จึงรับสั่งให้เจ้าจอมจีนในรัชกาลที่ 5 ซึ่งแก่กว่าท่าน 6 ปี เป็นผู้บูชา ต่อมา อีกนานผึ้งก็ทิ้งรังให้คนขูดเอารังผึ้งลงมาเพื่อทำความสะอาดที่รังผึ้งเกาะ เด็จย่าทรงเอารังผึ้งมาปั้นของเล็กๆ น้อยๆ เล่น ขี้ผึ้งรังนี้มีสีคร่ำ คงเป็นเพราะเกาะค้างอยู่นาน ที่วังอื่นๆ จะได้บูชากันหรือเปล่าก็ไม่ได้ติดใจถาม เพราะไม่เคยคิดว่าจะเป็นลาง จนเจ้าของวังทุกแห่งต้องเสด็จจากเมืองไทยนั่นแหละ พวกเราจึงได้ย้อนนึกขึ้นได้”
    จากลางบอกเหตุ ทำให้วันที่ 4 กรกฎาคม 2474 ทูลกระหม่อมบริพัตรและครอบครัวทุกพระองค์ต้องเสด็จออกเดินทางไปประทับยังเมืองบันดุง ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีรถถังรถยนต์ทหารขนาบข้างพร้อมอาวะปืนในมือล้อมหน้าล้อมหลังเต็มไปหมด การเสด็จไปครั้งนั้นเป็นการจากลาประเทศไทย โดยมิได้เสด็จกลับมาอีกเลย ส่วนที่วังบางขุนพรหมนั้นก็มีทหารยืนเฝ้าเต็มไปหมด ห้ามไม่ได้ใครเข้าออก บรรดาทหารมหาดเล็กและเหล่าข้าหลวงในวังจำนวนกว่า 400 ชีวิตก็พลอยตกระกำลำบากขาดที่พึ่ง ต้องแยกย้ายกลับภูมิลำเนาของตนเอง
    กระทั่งเมื่อภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475 เรียบร้อยแล้ว ก็มีการจัดเวรยามทหารมาเฝ้าวังบางขุนพรหมตามคำสั่งของทางราชการ ห้องนอนเวรของทหารจะอยู่ชั้นบนของตำหนักสมเด็จ ซึ่งว่ากันว่าผีดุนัก ทหารเวรที่ประจำอยู่ที่นั่นจะเห็นกันบ่อยๆ เพราะขณะที่อยู่เวรกลางดึกบางคืนจะเห็นผู้หญิงแต่งชุดขาว สวมรองเท้าแตะเดินอยู่บนสะพานที่เชื่อมระหว่างตำหนักใหญ่กับตำหนักสมเด็จ เดินไปเดินมาแล้วสักพักก็จะหายไปเอง จนภายหลังทหารที่นอนเวรมารู้ความจริงว่าบนตำหนักนี้เคยมีเจ้านายสิ้นพระชนม์ที่นี่ถึง 2 พระองค์ ตั้งแต่นั้นมาด้วยความกลัวผี ทหารเหล่านั้นจึงร้องขอเพิ่มจำนวนทหารผู้นอนเวรขึ้นอีก คงคิดจะเอาไว้อยู่เป็นเพื่อนกันผีนี่เอง
    วังบางขุนพรหมมีเรื่องราวแห่งความหลังมากมาย (ไม่ใช่มีเฉพาะเรื่องผีอย่างเดียว) ซึ่งมีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นมีเพียงไม่นาน ทั้งที่ผู้ทรงเป็นเจ้าของวังทรงเป็น “เจ้า” ที่อุทิศเวลาและทุ่มเทพระวรกายทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองมาโดยตลอด แต่ท้ายที่สุด ไม่รู้ว่าด้วยเคราะห์กรรมอันใดที่ทำให้บั้นปลายชีวิตของพระองค์ต้องระทมทุกข์เช่นนั้น อดีตที่เคยรุ่งเรืองต้องจบลงอย่างง่ายดาย ทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างมาถูกทอดทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ทูลกระหม่อมบริพัตรก็ทรงสละทุกสิ่งได้หมด ไม่ทรงยึดติดลาภยศ บรรดาศักดิ์ใดๆ ทั้งสิ้น นั่นยิ่งแสดงให้เห็นว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้ ล้วนอนิจจัง ทุกสิ่งเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป...จริงๆ
     
  20. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>ผี...วังเจ้า</TD></TR><TR><TD>
    โดย สายทิพย์
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <STYLE><!--.Normal {font-size:12.0pt; font-family:"Times New Roman";}.MsoPlainText {font-size:10.0pt; font-family:"Courier New";}--></STYLE>คุณเคยเห็น
     

แชร์หน้านี้

Loading...