ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ในหลวงสนทนาเรื่อง"พุทธภูมิ"
    กับหลวงตามหาบัว

    "...เหตุการณ์ที่น่าทึ่งที่สุดคือ เมื่อปี พ.ศ.2531 เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จไปนิมนต์หลวงตาไปในงานในวัง ปกติหลวงตาท่านไม่ค่อยไปไหน แต่ตอนที่พระเจ้าอยู่หัวฯ ไปนิมนต์ ท่านไปนิมนต์ด้วยพระองค์เอง เรายังจำได้.. วันนั้นเป็นวันที่ 7 มกราคม 2531 เป็นปีเฉลิมราชรัชมังคลาภิเษกที่ทรงครองราชย์มากกว่ากษัตริย์ใดในประวัติ ศาสตร์ไทย ท่านนิมนต์หลวงตาเข้าวัง มาเป็นขบวนใหญ่ หลวงตาท่านจะอยู่ที่กุฏิ ท่านให้เราควบคุมดูแลญาติโยม ดูแลพวกทหารที่มา พระเจ้าอยู่หัวฯ จะเสด็จมาตอน 6 โมงเย็น
    เมื่อขบวนพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จมาถึง เรายืนตรงนี้ ผู้ว่าฯ สายสิทธิ์ยืนตรงนี้ หมออวย แล้วใครต่อใครยืนเป็นแถวรอรับเสด็จ แล้วท่านก็ขึ้นไปข้างบนซึ่งหลวงตารอท่านอยู่แล้ว ส่วนเราก็อยู่ตรงบันได ส่วนหลวงตาอยู่ข้างบน ที่ขึ้นไปก็มีพระบรมวงศานุวงศ์ตามเสด็จครบหมดเลย พระราชินี พระบรมฯ พระเทพฯ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ฯ หมดทั้งครอบครัวเพื่อจะนิมนต์หลวงตาไปงานพิธีในวัง
    พอพระองค์ท่านกราบหลวงตาเสร็จ ท่านก็ถวายคำถามแรก ( พระเจ้าอยู่หัวเรียกหลวงตาว่า "หลวงปู่" )
    "หลวงปู่...สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร" โอ้... พระเจ้าอยู่หัวถามปัญหาหลวงตาขนาดนี้
    หลวงตาตอบว่า...
    "พุทธภูมิ ก็เหมือน ดั่งเรานั่งรถไฟ นั่งรถไฟไปเชียงใหม่หรือนั่งรถไฟไปอุดรนั่นแหละพุทธภูมิ แต่ถ้าเรานั่งจักรยานมาหรือนั่งมอเตอร์ไซค์ ขี่มอเตอร์ไซค์ไปนั่นแหละ...สาวกภูมิ เพราะฉะนั้นการเป็นพุทธภูมิก็คือการนำคนไปได้เยอะ ๆ ส่วนสาวกภูมินั้นนำไปได้น้อยๆ ไม่ได้มากนัก อย่างเก่งก็ 1 คน หรือ 3-4 คน ก็ว่ากันไป นั่นคือสาวกภูมิ เข้าใจไหมล่ะพ่อหลวง"
    พระเจ้าอยู่หัวฯ ตอบหลวงตาว่า "เข้าใจแล้วหลวงปู่ แล้วนิพพานเป็นอย่างไรนะ หลวงปู่"
    หลวงตาตอบ : "อ้อ พ่อหลวงเหมือนพ่อหลวงมาวัดป่าบ้านตาดนี่แหละ รู้ไหมว่าวัดป่าบ้านตาดอยู่ตรงไหน อยุ่บนกุฏินี่เหรอ วัดป่าบ้านตาดอยู่ไหนล่ะ แต่พอพระมหากษัตริย์มาถึงนี่แล้ว บริเวณนี้ทั้งหมดคือวัดป่าบ้านตาดนี้แหละ แต่จะชี้ลงไปว่าที่กุฏิอาตมาก็ไม่ใช่ ที่กุฏิพระก็ไม่ใช่ ที่ศาลาก็ไม่ใช่ ไม่ใช่ทั้งหมด แต่เมื่อรวมกันทั้งหมดในกำแพงวัดนี้นี่แหละคือวัดป่าบ้านตาด นี่แหละพระนิพพานก็มีความหมายแบบเดียวกัน"

    และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวฯ ขอบารมีหลวงตาช่วยต่ออายุให้แม่หลวง (คือสมเด็จย่า) ตอนนั้นสมเด็จย่าทรงประชวรอยู่ หลวงตาท่านก็ตอบปฏิเสธเลยว่า... "พ่อหลวงนั่นแหละก็จัดการเองได้ ขอเองได้" ท่านว่างั้นนะ... "พ่อหลวงก็สามารถจัดการได้เอง" ท่านบอกไปเลยนะว่า... ให้พระเจ้าอยู่หัวขอเอง จัดการเอง จัดการเองอาตมาต่อให้ไม่ได้หรอก พระเจ้าอยู่หัวฯ ได้กราบลาว่า "เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว จะกลับแล้ว ท่านหลวงปู่มีอะไรจะบอกไหม"หลวงตาท่านได้เทศน์สั้น ๆ ว่า

    "การเป็นพุทธภูมิ สร้างบารมีเพื่อความเป็นพุทธะ พอจบพุทธภูมิได้ก็เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พระพุทธเจ้าก็มีพุทธกิจ 5 คือ ตอนเช้าบิณฑบาต ตอนบ่ายสอนคหบดีมนุษย์ทั่วไป ตกเย็นสอนนักบวช สมณะชีพราหมณ์ ตอนกลางคืนแก้ปัญหาเทวดา พอมาตอนเช้ามืดเล็งญาณดูสัตว์โลก สัตว์โลกตัวไหนมีกิเลสเบาบางพอที่จะบรรลุธรรมได้ ท่านก็จะเล็งญาณดูรีบไปโปรดก่อน พระพุทธเจ้าสร้างบารมีพุทธภูมิจนได้เป็นพระพุทธเจ้า เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็มีพระพุทธกิจ 5 อย่างนี้ แต่... ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของประเทศไทยปรารถนาอะไร ทำงานกันจนไม่มีเวลาจะพักผ่อน..เอาล่ะ ๆ ... อาตมาจะให้พร"

    พอฟังมาถึงตรงนี้นะ เรายังจำได้แม่น เพราะพระเจ้าอยู่หัวฯ ท่านถามเรื่องพุทธภูมิ เสร็จแล้วพอท่านจะลากลับ หลวงตาท่านสรุปให้เสร็จสรรพเลย... ไม่รู้ว่าพ่อหลวงแม่หลวงของไทยทำงานปรารถนาความเป็นอะไร... ทำงานกันจนไม่มีเวลาพักผ่อน... เอาล่ะ ๆ ...อาตมาจะให้พร เมื่อพระเจ้าอยู่หัวท่านเสด็จลงมา ท่านก็ตรัสว่า อยากให้ท่านอาจารย์อยู่กับหลวงตาไปนาน ๆ ...เราก็ได้ตอบท่านว่า เจริญพร...มหาบพิตร อาตมาก็อยากจะอยู่ แต่ถ้าถึงเวลาที่อาตมาจะต้องเอาตัวเองให้รอด อาตมาก็ขอเอาตัวเองให้รอดก่อน เพราะทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล ถึงเวลาไปก็ต้องไปเหมือนกัน แล้วพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็บอกขอทำบุญกับหลวงตา 200,000 ถวายอาจารย์ 20,000 แล้วท่านก็ถามว่าพระที่อยู่ในวัดนี้กี่รูป เราก็ตอบท่านทั้งหมด 29 รูปรวมหลวงตานั่นแหละ... ท่านจึงถวายให้รูปล่ะ 2,000 "แล้วปัจจัยจะให้ไว้กับใคร" ท่านถาม...ท่านหยิบออกมาให้เลยนะ ท่านผู้ว่าฯ ยังรับมือสั่น พระเจ้าอยู่หัวไม่เพียงมากราบหลวงตา ท่านมาที่วัดท่านยังมาทำบุญกับพระด้วยปัจจัยที่เตรียมพร้อมจากพระหัตถ์ของ ท่านเอง จากนั้นพระเจ้าอยู่หัวฯ ก็เสด็จออกไปเยี่ยมประชาชนแล้วก็ขึ้นรถไป

    นั่นแหละเราได้ฟังมา เรื่องของพุทธภูมิ เรื่องของพระโพธิสัตว์ สาวกภูมิกับพุทธภูมิต่างกันอย่างไร เสร็จแล้วพอตอนจบขอพร หลวงตาท่านก็สรุปและให้พร จึงบอกได้ว่าเป็นบทสนทนาของจอมปราชญ์...
    ที่มานิตยสาร น่านฟ้า ปีที่1 ฉบับที่ 8 ประจำเดือนธันวาคม 2550 หน้า 18

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 align=center border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซท์พุทธวงศ์
    http://www.phuttawong.net
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    เรื่องยาก ให้ง่าย
    ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เขียนเรื่องสมาธิเท่าใดนัก เพราะรู้สึกว่า ถ้าเราฝึกไม่ได้ ทำไม่เป็นเอง แล้วก็ไม่ควรเขียนเรื่องที่ตนเองทำไม่เป็น ไม่ควรเขียนอย่างนั้นอย่างนี้ ทำให้คนอื่นเชื่อตาม ทั้งๆที่ตนเองก็ลอกคนอื่นเขามาอีกที

    การทำเรื่องยาก ให้ง่าย นี้ ว่าไปแล้วก็คือ วิธีปฏิบัติตามทางสายกลางนั่นเอง ทางสายกลางของใคร ก็ย่อมเป็นทางสายกลางของคนๆนั้น ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับคนอื่น จะว่าเหมาะสมกับจริต นิสัยความชอบ หรือจะว่าเหมาะสมกับสภาพจิตใจของแต่ละคนก็ได้
    ผู้ที่ฝึกสมาธิมานาน ไม่ว่าจะใช้คำบริกรรรม พุทโธ หรือบริกรรมภาวนากำกับอาการของกาย เช่น กำกับตามลมหายใจ เข้า พุท ออก โธ หรือจะภาวนาตามอาการของท้องหรือกระบังลม ยุบหนอ พองหนอ ไม่ว่าจะใช้วิธีฝึกวิธีใดก็ตาม ขอให้ฝึกวิธีนั้นๆ อย่างจริงจัง ทำจริง เอาจริง ฝึกนานๆ ต่อๆกันเป็นเวลานาน แต่ถ้าฝึกแล้วฝึกอีกเป็นปี ไม่เห็นก้าวหน้าไปไหน .... ถึงคราวที่ตนจะต้องใช้ปัญญาคิดย้อนกลับมาพิจารณา วิธีฝึกสมาธิที่ตนใช้แล้วล่ะว่า เหมาะสมกับตนไหม เป็นทางสายกลางแล้วหรือไม่


    ผมเคยเรียนถามจากพระปฏิบัติ อีกทั้งยังพบคำถามเดียวกันจากการอ่านตำราสมาธิ ว่า ในขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่ในใจนั้น เราต้องนึกภาพอะไรตามไปกับคำบริกรรมภาวนาหรือไม่

    คำตอบที่ผมได้รับก็คือ ถ้า จิตของเรายังไม่แข็งแรง จะจับโน่นจับนี่ยังไม่คล่อง แค่จับคำภาวนาอย่างเดียวยังไม่ได้เลย อย่าเพิ่งคิดไกลไปถึงว่าจะภาวนาไปพร้อมกับจับอย่างอื่นไปด้วยเลย ขอให้ฝึกจับคำบริกรรมภาวนาอย่างเดียวไปให้ได้ก่อนเถอะ

    อย่างจิตของผมนี้มันมีนิสัยชอบคิด คิดโน่นคิดนี่ไม่มีหยุด จะปล่อยเวลาสักชั่วอึดใจ หรือไม่ถึงอึดใจก็ยังไม่ได้ จิตของผมจะส่ายแส่หาเรื่องให้คิดอีกแล้วเสมอ

    ดังนั้นถ้าผมพยายามบริกรรมภาวนากำกับคู่กับการหายใจ แค่ช่วงเวลาขณะที่หายใจเข้ายังไม่สุด แค่ช่วงเวลานั้น จิตของผมก็จะดิ้นรนหนีไปคิดเรื่องอื่นๆได้เสมอ ครั้นจะหายใจให้เร็วขึ้นเพื่อให้ทันกับจิต ก็ผิดวิธี เพราะเราควรปล่อยลมหายใจให้หายใจตามธรรมชาติ แล้วกำกับจิตตามรู้ให้ทัน

    เมื่อลองวิเคราะห์ลักษณะจิตของตนเองแล้ว ผมคิดว่า วิธีฝึกปฏิบัติที่ตนเองควรจะใช้นั้น ต้องเอาชนะสภาพจิตของตนให้ได้ก่อน เอาแค่ใช้จิตกำหนดคำบริกรรม พุทโธ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ไม่ให้ขาดตอน เอาแค่นี้ ทำแค่นี้ให้ได้ก่อนเถอะ แล้วค่อยคิดหาทางที่ยากขึ้น เพื่อฝึกจิตให้มีกำลังมากขึ้นต่อไปทีหลัง

    ใครที่อ่านบทความนี้แล้วไม่เห็นด้วยอย่างไร จะอ้างคำสอนหรือตำรับตาราของใครมาเถียงก็ตามใจครับ เพราะสมาธินี้ ตัวใครตัวมัน คุณจะยึดติดกับวิธีที่ตนอุตส่าห์เสียเวลาฝึกมานาน แต่ไม่เห็นก้าวหน้าไปถึงไหน ก็ตามใจ

    ข้อที่ควรคิดพิจารณาให้ดีก็คือ แค่การบริกรรมภาวนา พุทโธๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ติดต่อกันไปไม่ให้ขาดสายนี้ เป็นวิธีที่ง่ายกว่าวิธีที่คุณทำอยู่แล้วใช่หรือไม่ ถ้าเป็นวิธีที่ง่ายกว่า คุณก็น่าจะทำได้โดยไม่ยากเลยใช่ไหม

    เมื่อทำเรื่องยาก ให้ง่าย ให้เหมาะกับทางสายกลางของตน ถ้ายังเป็นเด็ก จิตยังไม่แข็งแรง ควรหาวิธีฝึกสำหรับเด็ก แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ จิตแข็งแรงกว่าเด็กมากๆ ก็น่าจะฝึกแบบเด็กได้ไม่ยาก และเมื่อทำเป็น คิดเป็น จะพบต่อไปเองว่า ไม่ว่าเราจะเลือกใช้วิธีไหนก็ได้ทั้งนั้น ทุกสิ่งเหมือนๆกันนั่นแหละ เหมือนกับคำที่ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา

    มาทำเรื่องยาก ให้ง่ายกันดีกว่า


    ......................................................................

    เมื่อภาวนาพุทโธๆๆๆๆในท่านั่งสมาธิสงบๆได้แล้ว จากนั้นจึงฝึกบริกรรมในท่าเดินให้ได้บ้าง หรือจะฝึกท่านั่งนั่นแหละ แต่ฝึกกำกับตามรู้อาการของกายให้ทัน เพื่อทดสอบจิตว่า สามารถสร้างสมาธิให้เกิดในสภาะวะที่ไม่หยุดนิ่ง เพื่อนำกำลังสมาธิมาใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
     
  3. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ฝึกสมาธิ ฝึกด้วยภาษาของจิต

    โดย สมเกียรติ ฟุ้งเกียรติ

    "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา"

    เชื่อว่าพวกเราคงจำคำของพระอัญญาโกณฑัญญะ ซึ่งกล่าวขึ้นเมื่อเกิดปัญญาเห็นธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้



    คำว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นคำแทนทุกอย่าง เป็นคำง่ายๆที่ใช้แทนสิ่งใดๆในจิต แทนที่จะเรียกหรือตั้งชื่อว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ในจิตเอง ไม่มีคำใดที่จะใช้แทนสิ่งที่จิตเข้าใจได้ดีไปกว่า คำว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง

    พอคนเราเติบโตขึ้น สังคมสภาพแวดล้อมจะทำให้ชีวิตจิตใจของเราเกิดความสลับซับซ้อนมากขึ้น อาจจะซับซ้อนเกินกว่าความจำเป็นเสียด้วยซ้ำ ถ้ายังเป็นเด็ก ยังไม่รู้จักคำว่า หิว ไม่รู้จักคำว่า ร้อน หรือเจ็บ เด็กคงไม่ต้องเสียเวลาหาคำมาใช้แทนความรู้สึกนั้นก่อนที่จะร้องออกมาหรอก

    เราคุ้นเคยกับภาษา พอสายตาพาดผ่านคำใด จะเกิดคำอ่านออกมาในใจเราทันทีใช่ไหม จากนั้นจึงค่อยแปลตามความจำว่า คำๆนั้นหมายถึงอะไร จากนั้นเราจึงมีปฏิกิริยาโต้ตอบออกมาเพื่อให้สมกับคำๆนั้น

    (ประโยคข้างต้น ถ้าอธิบายเป็นศัพท์ให้ยากต่อคนที่ไม่คุ้นกัยศัพท์ธรรมะก็ต้องบอกว่า นี่แหละเป็นการสืบต่อของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

    คนเราค่อยๆทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก ต้องเสียเวลานานกว่าจะตีความในจิตของเราเองโต้ตอบกันไปมา เกิดวิธีฝึกสมาธิขึ้นมาหลากหลายสาย ทั้งภาวนาพุทโธ ยุบหนอพองหนอ จับลมหายใจ สัมมาอรหัง หรืออื่นๆอีกมากมาย ผู้ที่ยังยึดติดกับภาษาของตนมักจะมองไม่ออกว่า วิธีฝึกเหล่านี้ ไม่ว่าวิธีใดก็ย่อมเหมือนกันทั้งสิ้น

    สมมติว่า ขณะนี้เราโมโห แต่ต้องมีขั้นตอนพิจารณาอารมณ์ ตีความตามลำดับที่เล่าเรียนมา ถ้าหนังสืออธิบายวิธีดับโมโหไว้เป็นหน้า คงต้องเสียเวลาเป็นวันกว่าจะหาวิธีดับโมโหได้

    แต่ถ้าฝึกให้จับแต่อารมณ์ปัจจุบันให้ทัน เรื่องที่ทำให้โมโหนั้นมันผ่านไปแล้ว ตอนนี้ย่อมหมดโมโห

    หรือถ้าฝึกจับตัวทุกข์ ไม่มีคำว่าโมโห มีแต่ตัวทุกข์ อะไรๆจะง่ายขึ้นเยอะ

    หรือถ้าฝึกเพ่งสีแดง พอโมโหให้แทนด้วยดวงเป็นสีแดง เพียงแค่เพ่งทำให้เป็นสีขาวสว่างเย็นใจ แค่นี้ก็หมดโมโหแล้ว

    "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2008
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    เหตุใดจึงใช้ลมหายใจช่วยฝึกสติตามรู้

    โดย สมเกียรติ ฟุ้งเกียรติ


    การกำหนดจิตดูลมหายใจเป็นได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา ถ้าเอาแต่นิ่ง ไม่ต้องบริกรรมภาวนากำกับลมหายใจ ปล่อยให้จิตรู้แต่ลมเข้าลมออก จิตจะสงบจนกลายเป็นเข้าฌาน กลายเป็นสมถะ แต่ถ้าเรากำหนดคำบริกรรม จิตจะไม่มีทางเข้าสู่ฌานได้อย่างเต็มที่ ไม่มีทางเข้าสู่สมถะ เพราะจิตยังต้องใช้สติ ใช้สติเป็นเครื่องรู้ ใช้จิตเป็นเครื่องระลึก ต้องบริกรรมภาวนาพุทโธ กำกับลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้จิตยังต้องมีวิตกวิจารอยู่ตลอดเวลา ไม่มีทางเข้าสู่ฌานสี่หรือเป็นสมถะได้เต็มกำลัง

    แต่ไม่ว่าจะมุ่งให้เป็นสมถะหรือวิปัสสนาก็ตาม เส้นทางที่ใช้ต้องผ่านเส้นทางเดียวกัน คือ ต้องฝึกจิตให้ตามรู้อาการของลมหายใจได้ทัน ถ้าเรารู้สักหน่อยว่าเหตุใดเราจึงเลือกใช้ลมหายใจช่วยฝึกสติตามรู้ เราจะได้เลิกกังวลกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง เวลาฝึกสมาธิจะได้มุ่งจับประเด็นมาใช้ให้ตรงทาง ไม่ต้องเสียเวลาคิดนั่นคิดนี่ให้เสียเวลา



    การหายใจเป็นอาการที่เราทุกคนมีมาตั้งแต่เกิด ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องหายใจ แม้ในขณะที่กำลังขับรถ วุ่นทำงาน หรือกำลังอ่านบทความนี้อยู่ เราก็ต้องหายใจ และการหายใจนี้ก็เกิดขึ้นเองของมัน เราไม่ต้องคอยบังคับบัญชาให้ปอดหรือหน้าท้องยุบพอง ถึงอย่างไรร่างกายก็จะยังต้องหายใจเข้าออกต่อไปอย่างอัตโนมัติ

    ช่วงแรกที่เราเริ่มต้นฝึกสมาธิ เริ่มภาวนาคำว่า พุธ กำกับลมหายใจเข้า ภาวนาคำว่า โธ กำกับลมหายใจออก เราจะรู้สึกว่าลมหายใจไม่ได้เป็นลมหายใจที่เกิดขึ้นจากการหายใจของมันเอง เรามักจะเป็นผู้กำหนดให้หายใจเข้าออก แล้วจึงภาวนา พุท โธ ตามทีหลัง ซึ่งหากยังเป็นอย่างนี้ ยังถือว่าใช้ไม่ได้ เพราะแทนที่จะปล่อยให้ร่างกายหายใจตามจังหวะของมันตามธรรมชาติ เรากลับเป็นผู้กำกับจังหวะการหายใจเสียเอง

    คำสอนที่ว่า ให้จิตเป็นผู้รู้ สักแต่ว่ารู้ รู้เฉยๆนี่แหละทำได้ยากมาก เอาแค่ปล่อยให้ร่างกายหายใจของมันเองตามธรรมชาติ โดยที่จิตไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับจังหวะอาการหายใจเข้าออกแค่นี้ก็ทำได้ยากแล้ว เราต้องแยกให้ออกว่าตัวผู้รู้อยู่ที่ใด สิ่งที่รู้อยู่ที่ใด และตัวผู้รู้ไม่ได้เข้าไปบีบบังคับสิ่งที่รู้

    สาเหตุที่ต้องเสียเวลามานั่งนิ่งแล้วภาวนาพุทโธกำกับลมหายใจก็เพราะ พอเราตั้งใจมานั่งนิ่ง แสดงว่าช่วงนั้นเราตัดงานภาระอื่นๆที่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวรบกวนจิตใจ ทำให้จิตหมดกังวลในเรื่องอื่นแล้วหันมาใช้กำลังกับสภาวะที่เหลืออยู่เมื่อเรามานั่งนิ่งได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเมื่อเรานั่งนิ่งอยู่นั้น อาการของกายอย่างเดียวที่เรายังรู้เห็นได้ชัดเจนว่ายังไม่นิ่งก็คือ อาการของการหายใจเข้าออกนั่นเอง เราต้องฝึกให้จิตแยกออกจากกาย โดยให้ลมหายใจเกิดขึ้นของมันเองโดยที่เราไม่มีส่วนไปบังคับอาการของการหายใจ แล้วเรายังต้องรู้ให้ได้อย่างต่อเนื่องเสียอีกว่า

    นี่ลมหายใจเข้าแล้วนะ ต้องภาวนาคำว่า พุธ แล้วนะ

    นี่ลมหายใจหยุดแล้วนะ ต้องหยุดภาวนาคำว่า พุธ แล้วนะ

    นี่ลมหายใจออกแล้วนะ ต้องภาวนาคำว่า โธ แล้วนะ

    นี่ลมหายใจหยุดแล้วนะ ต้องหยุดภาวนาคำว่า โธ แล้วนะ

    คนที่ชอบบอกว่า ตนเองกำลังฝึกสติให้ตามรู้โดยที่ไม่ต้องฝึกสมาธิ ขอให้ลองดูสักหน่อยว่า แค่จับลมหายใจข้างต้นนี้ คุณทำได้แล้วหรือยัง นี่ขนาดเรานั่งนิ่ง ไม่ทำอย่างอื่นเลยนะ ถ้ายังทำไม่ได้อีก แล้วในชีวิตประจำวันที่ต้องฝึกให้มีสติตามรู้ไปตลอดนั้นเล่า คุณตามรู้ได้อย่างต่อเนื่องจริงหรือไม่ หรือว่ารู้แค่เท่าที่คุณตามรู้ทัน แต่ไม่รู้ในสิ่งที่ลืมตามรู้อีกเยอะแยะไปหมด

    หลวงพ่อสุชิน ปริปุณโณ เจ้าอาวาสวัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ได้เมตตาให้คำอธิบายถึงวิธีฝึกสมาธิของหลวงพ่อลี วัดอโศการามว่า พอฝึกภาวนาง่ายๆข้างต้นแล้ว เราต้องฝึกแหย่จิตให้วุ่นแต่ยังนิ่งให้ได้ โดยเปลี่ยนจังหวะการภาวนาพุทโธ แต่ไม่กระทบกับจังหวะลมหายใจที่ยังคงดำเนินไปของมันเองตามธรรมชาติ

    เราอาจสร้างจังหวะการภาวนาพุทโธอย่างไรก็ได้ตามสะดวก ขอให้เป็นการฝึกจิตให้มีกำลังสามารถตามรู้ลมหายใจไปตลอดก็ถือว่าใช้ได้ เช่น อาจเปลี่ยนไปภาวนา พุทโธ พร้อมกับลมเข้า ภาวนา พุทโธ พร้อมกับลมออก

    หรือ หายใจเข้าออกแต่ละครั้ง ให้ภาวนา พุทโธ ทีหนึ่ง

    หรือ หายใจเข้าออกแต่ละครั้ง ให้ภาวนา พุทโธ พุทโธ พุทโธ 3 ครั้ง

    หรือ แทนที่จะพุทก่อนโธ ให้ภาวนาโธก่อนพุทบ้าง

    หรือ ภาวนาพุทโธ 1 พุทโธ 2 นับตัวเลขกำกับไปเรื่อยๆ

    ลองฝึกดูว่า ถ้าเราเปลี่ยนจังหวะการภาวนาไปอย่างนี้แล้ว เรายังสามารถรักษาสติให้ตามรู้อาการของลมหายใจที่ดำเนินไปตามธรรมชาติของมันเองได้อย่างตลอดทุกขณะหรือไม่
     
  5. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    วันนี้พี่พันวฤทธิ์ไปท่าพระจันทร์เลยผ่านไปดูสถานการณ์ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ว่าการชุมนุมของพันธมิตรเป็นอย่างไรบ้าง ผลปรากฏว่าเจอพี่จิ๋ว ลูกชายอาจารย์ประถมไปเป็นการ์ดอาสา เพราะท่านอาจารย์ประถมได้พิจารณาแล้วว่าอะไรคือความถูกต้อง จึงส่งลูกชายมากรุงเทพและบริจาคเงินให้คุณวีระ สมความคิด ไว้เป็นทุนในการจ้างทนายฟ้องพวกโก่งชาติ แถมยังฝากพระเครื่องมาให้อีก ผมกับพี่พันวฤทธิ์ก็เป็นพันธมิตรรุ่นแรก เราทั้งหมดรักในหลวงด้วยการไม่อยู่นิ่งเฉย ใส่แต่เสื้อเหลือง สายรัดข้อมือ เท่านั้น เราไม่ได้รักศาสนาและแผ่นดินนี้ด้วยการเก็บแต่พระเครื่อง หรือด้วยการทำบุญ ภาวนาอยู่บ้าน การบอกกล่าวคราวนี้ถ้าท่านใดไม่เห็นด้วยและเลิกทำบุญกับทุนนิธิฯก็คงต้องรับไว้เอง

    ผมและพี่พันวฤทธิ์รวมถึงอาจารย์ปุ๊ถึงไม่ใช่ศิษย์รุ่นใหญ่เก่าแก่ของอาจารย์ประถม อาจไม่เคยไปหาอาจารย์ประถมบ่อยนัก แต่ก็ได้รับความเมตตาจากท่านมานานกว่าบางคนที่ตั้งตัวเป็นศิษย์วงใน ได้รับพระพิมพ์โลกอุดรกรุแรกมาตั้งแต่ปี 2529 ตอนนั้นบางคนยังไม่รู้จักคำว่าโลกอุดร ได้พระปิดตาบินเดี่ยวโสฬสมาจากท่านเกือบ20ปี ได้ความรู้ต่างๆ มาวันนี้ยังได้มาเป็นพันธมิตรเหมือนกัน

    เล่าเรื่องอื่นมามาก ขอวกเข้าเรื่องไปท่าพระจันทร์ของพี่พันวฤทธิ์ต่อครับ พี่เค้าไปเดินดูพระได้เจอกับคุณกุ้งมังกร ได้พระพิมพ์เจ้าสัว เสกโดยสมเด็จโตมาหลายองค์ เลี่ยมเสร็จราคา 20 บาท เป็นพระที่สวยตามรูปนี้ ใครสนใจติดต่อถามพี่พันวฤทธิ์ได้ว่าร้านใด แต่ขอแบ่งไม่ได้นะครับเพราะผมจองแล้ว

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
     
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    โอ้โฮ อาจารย์ปุ๊ นานๆ จะเข้ามาที ลงบทความเด็ดๆ ทั้งนั้นเลย ดีล่ะ ต่อไปได้แบ่งเบาผมได้ เพราะวันนี้ผมเพิ่งไปประชุมกับสำนักงานการอุดมศึกษาแห่งชาติ (สกอ.) ของกระทรวงศึกษาฯ พอดีได้นำเสนอความเห็นในเรื่องปัญหาของน้องๆ ที่จบการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านเทคโนโลยีการผลิตปิโตรเคมีและปิโตรเลียม ให้กับคณะบดีฯ และรองคณบดีฯ ในมหาลัยหลายแห่งที่ร่วมประชุมด้วยฟัง เพื่อนำไปปรับหลักสูตรการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยในเรื่องเกี่ยวกับปิโตรเคมี และปิโตรเลียมว่าจะผลิตบัณฑิตอย่างไร ที่ให้ตรงกับที่โรงงานในกลุ่มนี้ต้องการ เลยโดนแจ๊คพอท ประธานการประชุมเลยจะทำเรื่องขอตัวเป็นคณะกรรมการออกแบบหลักสูตรการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยทั้ง ป.ตรี และป.โท ในประเทศ ที่มีการสอนในสาขาวิชานี้ ร่วมกับนักวิชาการจาก ม.ต่างๆ เพื่อทำ roadmap ก่อนจัดทำเป็น T.O.R. นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อน้องๆ ที่จบใหม่ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ในแง่ของการพัฒนาอุตสาหกรรมประเภทนี้ให้แข่งกับเวียดนาม หรืออินเดียได้ในอนาคต โดยคาดว่าหากมีการประชุมเพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์บ่อยครั้ง ผมอาจจะมีเวลาในการเข้ากระทู้นี้น้อยลง บางทีการทำหน้าที่ประธานอาจจะเปลี่ยนตัวบ้างเพื่อความเหมาะสมแต่ยังคงปณิธาณเดิมครับ
     
  7. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อ๊ะอ้า โพสท์เสร็จพอโหลดกระทู้พอดีกระทู้ของคุณโสระเข้ามาแซงหน้าก่อนเลยขอใช้สิทธิพาดพิง ก็ขอเล่าต่อ พอประชุมเสร็จเราก็ไปเรื่อย ๆ พอดีที่ สกอ.อยู่ถนน ศรีอยุธยา เลยไปหน่อยก็ถนนพิษณุโลกแล้ว เลยแถไปเยี่ยมเพื่อนเก่าคือพันธมิตรทั้งเลย ไปตอนเที่ยงจอดรถง่าย บรรยากาศร้อนมาก มีคนที่แต่งชุดเหมือนพี่จิ๋ว (ใส่กางเกงลายพรางตัวเก่ง) นอนหลับ (แต่ก็ไม่แน่ใจว่าหลับจริงมั๊ยและต้องขออภัยด้วยหากไม่ใช่พี่จิ๋วเอาเป็นว่า 80% น่าจะใช่) เราชะเง้อดูไม่กล้าไปใกล้ เพราะใส่ชุดทำงานไปกลัวมีคนเห็น ได้เห็นภาพบรรยากาศของผู้คนในทำเนียบดูสีหน้าและแววตาแล้วก็กลับ เสร็จแล้วขับรถย้อนมาด้านสวนมิสสักวัน ผมว่ารัฐบาลน่าจะคิดหนักจริง ภาพเดียวกัน บรรยากาศเดียวกัน และจากกายภาพภายนอกของผู้ประท้วงมีความมุ่งมั่นเดียวกัน ช่างเหมือนกันกับเมื่อปี 49 จริงๆ พอเข้าราชดำเนินเสร็จไปไหนดีหว่า อ้าวขับรถไปท่าพระจันทร์ดีกว่า เจอคุณกุ้งฯ พอดี ไปร้านน้องเก๋ดีกว่า เลยชวนไปนั่งคุ้ยหาพระกัน น้องเก๋ก็คะยั้นคะยอขายพระมีทั้งพระที่โชว์ในแผง ทั้งแบบซุกไว้ พี่เอาพระธาตุมั๊ยเก๋มีเยอะมีหลายโหล เลยบอกไม่เอาหรอก เพราะอาจารย์พี่(พี่ใหญ่)เคยเตือน ถ้าเอ็งศีลยังพร่อง ปฏิบัติตัวไม่ดี มีพระธาตุดีๆ ในบ้าน เดี๋ยวบ้านแตก อย่าเสี่ยง เลยปฏิเสธหมด เลยเอาพระสมเด็จฯ มาองค์หนึ่ง เนื้อดีมั่กๆ ราคา250.-บาท นั่งอยู่ที่ท่าพระจันทร์สักชั่วโมงร้อนมากจนน้องเก๋ควักทิชชูให้ปึกหนึ่ง คุยกับเก๋ คุ้ยพระไปเรื่อย แล้วก็คุยไปด้วย องค์นั้นก็ดี องค์นี้ก็ใช่ กำหนดดู อู้ว.มีพลังทั้งนั้น คุยกับทหารเรือที่นั่งข้างๆ เห็นเขาเอาพระใส่ถุงไป 17 องค์ ถามว่าทำไมเอาไปเยอะจัง เค้าบอกว่า สวยครับ ร้านนี้ผมมาบ่อย พระถูกดี จับไป 2-3 องค์ ไม่ไหววุ้ย ปวดหัวไปหมดแรงจริงๆ เลยขอตัวกลับ ก่อนกลับ น้องเก๋บอกพี่เอามั๊ย 2408 ยกชุด 52 องค์แถมหยิบมาให้ดู หนูคิด 2,000.- เราดู เอ๊ะก็ใช่นี่หว่า แต่ก็ไม่เอา ถามกุ้งฯ เอามั๊ย กุ้งฯ ก็ไม่เอา เราเองทุกวันนี้แขวนพระทุนนิธิฯ องค์เดียวพอแล้ว น้องเก๋ถามต่อเนื้อดีๆ อย่างกลักไม้ขีดของวัดระฆังเอามั๊ยพี่หนูคิดไม่เกิน 200.-นี่บอกผ่านน๊ะ เราก็ไม่เอา กรุวัดสะตือเอามั๊ย นี่มีคนมาเอาไปเยอะแล้ว เขาตรวจพระเป็นด้วย องค์ล่ะ 5.-บาทเอง เลยบอกว่าถ้าจะไปทำบุญที่ไหนจะโทร.มาสั่ง เก๋บอกว่าพระที่บอกพี่เนี่ย อ.นิคม (ใครก็ไม่รู้ ตรวจแล้วมีพลัง แกมาทีไร เอาไปทีล่ะ 30 องค์ทุกที) เสร็จแล้วเลยแอบถามน้องเก๋ว่า เก๋ตั้งราคาขายพระยังไง เก๋บอกว่า ลูกค้าบอกเอง อ้าว..แล้วลูกค้าเอาราคามาจากไหนล่ะ แหมพี่ก็ ก็เอามาจากหนังสือของ อาจารย์...บ้าง ในเน็ทบ้าง..(เน็ทไหนหว่าบอกราคาพระนอกพิมพ์ด้วยรึเอามาจากราคาทำบุญ?)แล้วก็มาหาของ เราก็จำที่เค้าบอกไว้ แล้วมาตั้งราคาใหม่ สำหรับเค้าที่มาบอกเราก็คิดในราคาที่ลดให้ เหมือนที่หนูบอกพี่นี่ล่ะ ราคากันเองน๊ะเนี่ย อย่างที่พี่เอาไปคนอื่นหนูคิด 500.- แต่หนูขายพี่ 300.- คราวนี้พี่ซื้อกับพี่กุ้งฯ เก๋ลดให้ขอ 250.- 2 องค์ก็ 500.-บาท เท่านั้น

    ในช่วงที่เดินออกมาก่อนถึงประตูวัดมหาธาตุแล้ว คุณกุ้งฯ ชี้ให้ดูที่แผงข้างฟุตบาทพี่ๆ ดูอะไร เราหันไปดูอ๋อ..พระพิมพ์เจ้าสัวขายพร้อมกรอบสแตนเลส 20.- พิมพ์ขุนแผนบ้านกร่าง พร้อมกรอบเช่นกัน 20.- ถามป้าว่า เอามาจากไหน ป้าบอกจากสุพรรณโน่น เออ.เอาก็ได้ เลยเสียไป 100.-นึงได้มา 5 องค์ เดี๋ยววันหลังมีเวลาจะไปเอามาอีก เอามาแจกฟรีให้คนทำบุญให้หมด รวมทั้งพระกรุวัดสะตือด้วย อย่างน้อยก็ให้เป็นพุทธานุสสติ ใครระลึกได้ แล้วไม่ทำความชั่ว เราผู้ให้ก็ได้บุญแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรมาก ที่ร่ายยาวนี้ไม่ได้พาดพิงใครเพียงแต่เล่าบรรยากาศให้ทราบเฉยๆ ท่าพระจันทร์ พระตามฟุตบาทนี่ประมาทไม่ได้ ของดีอยู่เยอะมาก ตรวจได้ สัมผัสเองได้ก็ได้เปรียบ แต่ไม่ใช่พระปลอมเด็ดขาด แต่เป็นเพียงพระนอกพิมพ์ หรือพิมพ์ไม่นิยมเท่านั้นเอง หรือไม่สามารถจัดเข้าสารบบได้ เพราะเยอะจริงๆ เสียดายพลังจิตของท่านผู้อธิษฐานบารมีจริงๆ อย่างไรก็ตาม อย่าไปยึดมั่นถือมั่นกับรูปให้มากนัก สนใจเรื่องทาน ศีล ภาวนา กันเหอะ ติดตัวกันข้ามภพชาติไปกับเราแน่ๆ เพราะไม่เคยเห็นเด็กคนไหนเกิดมาแล้ว มีพระพิมพ์ต่างๆ ติดตัวมาด้วยซักคนครับ

    พันวฤทธิ์
    27/8/51

    หมายเหตุ ที่พิมพ์มานี่ บทสนทนาเป็นคำพูด แต่เพื่อความสละสลวยเลยขอปรับแต่งเป็นภาษาเขียน แต่ยังคงบรรยากาศการสนทนาที่ถ่ายทอดเป็นตัวหนังสือไว้เช่นเดิม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 100_0175.JPG
      100_0175.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      122
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2008
  8. teerins

    teerins เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    300
    ค่าพลัง:
    +1,796
    วันนี้ผมโอนเงินร่วมทำบุญสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ เป็นจำนวนเงิน 309 บาท

    อนุโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านด้วยครับ
     
  9. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    [​IMG]

    ที่นี้ไม่มีลับลวงพราง รู้ข้อมูลดีๆมา จะเปิดให้เพื่อนฟัง จะได้พระดีราคาถูก พระที่บางคนว่าเป็น พระมือผี แต่ผมว่าสวยมาก ถ้าเช็คอิทธิคุณได้จะรู้ว่าแรงดีทันสมเด็จโตเสก ดูและจดจำไว้นะครับ 20 บาท มีพระกันมากๆแล้วอย่าลืมไหว้พระ สวดมนต์ ถือศีล ภาวนาด้วย มีเวลาว่างก็ออกไป ใส่บาตร ทำบุญถวายสังฆทานหรือบริจาคสร้างวัด วิหาร เจดีย์ ทำให้ครบเป็นนิจ เป็นประจำครับ ชาตินี้ชาติหน้าจะได้ไม่พร่องเรื่องใด ทั้งทางโลก และ ทางธรรม
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว พระข้างบน 20.-รวมกรอบสแตนเลส ถ้าไม่รวมอาจจะเหลือ 10.- ถ้าสั่งเยอะอาจจะเหลือ 5.-บาทครับก็คงต้องจบเรื่องท่าพระจันทร์ไว้แค่นี้ล่ะครับ เพราะเป็นกระทู้ทำบุญ แต่มีเรื่องพระเครื่องพอเป็นกระสายให้เกิดความอยากเท่านั้นเอง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางทีท่านยังต้องแสดงฤทธิ์ประกอบเลย ของงี้ ในกระทู้ต้องมีบ้างครับ

    ทีนี้ก็ขอแจ้งเพิ่มเติมเรื่องงานของทุนนิธิฯ ต่ออีกนิดนึงครับ เพราะเมื่อวานได้รับหนังสือตอบรับพร้อมขอบคุณในปัจจัยที่ทุนนิธิฯบริจาคเข้ากองทุนของหลวงปู่เทสก์ เพื่อใช้ในหอสงฆ์จำนวนเงิน 5,000.-บาทเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวถ้ามีเวลาจะถ่ายรูปแล้วนำมาลงในกระทู้ให้ทราบครับ ส่วนของทาง รพ.50 พรรษาที่ จ.อุบล ทาง รพ.แจ้งว่าธนาณัติยังไม่ถึง และถ้าถึงแล้วจะแจ้งให้ทราบทันที พร้อมนี้ เมื่อวาน ทาง รพ. ได้ส่งใบอนุโมทนาบัตรและหนังสือขอบคุณที่ทุนนิธิฯ ได้บริจาคปัจจัยในเดือนที่แล้วมาให้ด้วยเช่น (ยังไม่ถึงมือผม) สำหรับพระที่แจกในเดือนหน้า ผมว่าพรุ่งนี้ก็ส่งรายชื่อการจองไปที่คุณโสระได้เลยครับ เพราะต้องมีการตรวจรายชื่ออีกเล็กน้อย เพื่อเตรียมการส่ง ส่วนเลขบัญชีเพื่อการโอนเงินค่าส่งพระเดี๋ยวจะให้คุณโสระแจ้งให้ทราบครับ (อาจจะบอกรายชื่อก่อนแล้วค่อยให้โอนเพื่อสงวนสิทธิตามกติกา)

    สำหรับพระชุดนี้พอหมดแล้วช่วงปีใหม่ ก็จะมีพระชุดใหม่ มอบให้ฟรี เป็นของขวัญปีใหม่ด้วยเช่นกัน คราวนี้อาจจะจัดเป็นชุดให้ สัก 2-3 องค์ คงต้องรอประชุมกันอีกทีครับ อย่างที่บอก ทำบุญมาเถอะ เรื่องพระพิมพ์เดี๋ยวทุนนิธิฯ แจกฟรีให้ ไม่ต้องกลัว ท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านอธิษฐานขอบารมีเสกไว้เยอะ แจกฟรีกันทั้งปี ยังไม่หมดเลยครับ แต่มีข้อแม้ว่าอย่าติชมว่าสวยหรือไม่สวย แท้หรือไม่แท้ เพราะทั้งหมด นอกพิมพ์มาตรฐาน ตั้งราคาซื้อขาย หรือทำบุญก็กำหนดยาก เหมือนดาบ 2 คม อย่างที่พ่อค้า แม่ค้า ขายพระ ท่าพระจันทร์ เค้ารอข้อมูลเราเพื่อไปกำหนดราคาอยู่ครับ และจะทำให้หาของยากขึ้นด้วยเช่นกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2008
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๑ : แม่พระธรณีบิดพระเกศา
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๔๑ : แม่พระธรณีบิดพระเกศา

    แม่พระธรณีบิดพระเกศา เกิดเป็นสมุทรธารา
    พระยามารก็พ่ายแพ้แก่พระบารมี

    เมื่อพระยามารมากล่าวตู่ว่า"โพธิบัลลังก์" เป็นสมบัติของตนนั้น พระมหาบุรุษทรงกล่าวแก้ว่า "โพธิบัลลังก์" บังเกิดขึ้นด้วยผลแห่งบุญบารมีที่พระองค์ทรงบำเพ็ญมาแต่ชาติปางก่อน แล้วทรงอ้างพระนางธรณีเป็นพยาน ดังนั้น "พระธรณีก็มิอาจดำรงกายอยู่ได้
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ต่อไปก็จะนำเสนอนิทานชาดกเรื่องที่ 4 "พระเนมิราช" ให้ได้อ่านพร้อมกับพุทธประวัติข้างต้นครับ มาดูกันว่าพระเนมิราชคือใครกัน




    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 color="#000000"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80><CENTER>พระเนมิราช ๑ </CENTER>


    <TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=40></TD></TR><TR><TD width="100%" height=4>

    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>พระเนมิราชเรื่องของพระเจ้าเนมิราชนี้ เป็นเรื่องที่อธิษฐานใจในการที่จะดำรงวงศ์ตระกูลของตนให้เป็นมา คือพระเจ้ากรุงมิถิลา ซึ่งเป็นวงศ์ของพระเจ้าเนมิราชนี้ ในบรรดาวงศ์เหล่านี้องค์ใดก็ตามที่ได้ครองราชสมบัติแล้ว พอปรากฎว่าเส้นพระเกศาหงอก โดยภูษามาลาเวลาที่จำเริญพระเกศา หรือว่าตบแต่งพระเกศาเมื่อเห็นเกศาหงอกก็ถอนมาให้ดู

    ท่านกล่าวว่าขณะนั้นเนมิราชยังเป็นเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ได้พิจารณาเห็นว่าตนจะต้องสิ้นอายุ และในวงค์นี้ก็กำลังเสื่อมทรุดเพราะว่าไม่มีคนที่จะลงมาบำเพ็ญ โดยอย่างชนิดที่ว่าพอแก่แล้วต้องออกไปบำเพ็ญพรตภาวนา วงค์นี้กำลังเสื่อมทรุดลงไปแล้ว จึงติดว่าอย่าเลย เราจะต้องลงมาเพื่อจะได้สืบวงค์เหล่านี้อีกต่อไป จึงได้จุติลงมาเข้าสู่พระครรภ์ของพระมเหสีพระเจ้ากรุงมิถิลา เมื่อครบกำหนดทศมาส เจ้าเนมิราชก็ประสูติออกจากครรภ์พระมารดา บรรดาโหราทั้งหลายต่างก็พยากรณ์ต้องกันว่า พระราชกุมารพระองค์นี้จะต้องเป็นไปตามวงค์ที่เคยทำมา เพราะฉนั้นเข้าลักษณะ ที่ว่ากงเกวียนกำเกวียนย่อมต้องเวียนไปตามกัน จึงให้นามว่า เนมิราช

    แล้วเจ้าเนมิราชนั้น เมื่อเจริญวัยขึ้นพอสมควรแล้ว พระบิดานั้นก็เส้นพระเกศาหงอกก็เลยเวนราชสมบัติให้เจ้าเนมิราชครอบครอง เจ้าเนมิราชปกติเป็นผู้ที่อยู่ในศีลธรรม จำเริญภาวนาอยู่เป็นนิตย์ จึงได้รับสั่งให้ตั้งศาลขึ้นถึงห้าแห่งคือที่ประตูพระนครที่แห่ง และที่กลางเมืองอีกแห่ง ให้ทานแก่บรรดาผู้ที่ยากจนและขัดสนทั้งหลาย ตัวเองก็พยายามสั่งสอนประชาชนพลเมืองให้ประพฤติตนอยู่ในความดี ให้ยินดีแต่ในสิ่งอันอาจได้โดยชอบธรรม มิใช่เป็นแต่ในเรื่องนิทาน แม้ในเรื่องความจริงของเรากษัตริย์สมัยสุโขทัยท่านยังปฎิบัติเช่นนี้เมือนกัน คือพ่อขุนรามคำแหง มีพระแท่นมนังศิลาอาสน์ตั้งอยู่ในดงตาล วันฟังธรรมคือวันธรรมสวนะ ท่านก็นิมนต์พระสงฆ์มาเทศนาสั่งสอนประชาชนพลเมือง และในวันปกติท่านออกว่าราชการ และสั่งสอนให้ข้าราชการ ตลอดจนประชาชนพลเมืองตนตั่งอยู่ในศีลในธรรม


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] [​IMG] [​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>
    มิใช่เป็นแต่ในเรื่องนิทาน แม้ในเรื่องความจริงของเรากษัตริย์สมัยสุโขทัยท่านยังปฎิบัติเช่นนี้เมือนกัน คือพ่อขุนรามคำแหง มีพระแท่นมนังศิลาอาสน์ตั้งอยู่ในดงตาล วันฟังธรรมคือวันธรรมสวนะ ท่านก็นิมนต์พระสงฆ์มาเทศนาสั่งสอนประชาชนพลเมือง และในวันปกติท่านออกว่าราชการ และสั่งสอนให้ข้าราชการ ตลอดจนประชาชนพลเมืองตนตั่งอยู่ในศีลในธรรม
    นี่ก็เช่นเดียวกัน เพราะฉนั้นบรรดาพวกที่ได้รับการสั่งสอนเหล่านี้ ตายไปก็ได้ไปบังเกิดในเทวโลกมากมาย พวกเทวดาเหล่านั้นก็พากันคิดว่า เออ ? พวกเราน่ะขึ้นมาเกิดบนนี้ได้เพราะอะไร ก็ทราบได้ด่วยการสั่งสอนของเจ้าเนมิราช ก็อยากเห็นพระองค์ จึงพากันไปกราบทูลพระอินทร์ว่า พวกข้าพระองค์นี่อยากเห็นเจ้าเนมิราชสักหน่อย
    พระอินทร์เมื่อได้ทราบเช่นนั้น ก็ให้ตุลีเทพบุตรลงไปเชิญพระเจ้าเนมิราชขึ้นมาบนสวรรค์ พระมาคุลีก็รีบลงไปพร้อมทั้งนำเวชยันต์รถทรงของท้าวสักกะ คือพระอินทร์ลงไปด้วย และเมื่อลงไปแล้วจึงเชื้อเชิญให้พระเจ้าเนมิราชขึ้นมา พระเจ้าเนมิราชก็คิดว่า เราได้สั่งสอนให้คนอื่นประพฤติดี ประพฤติชอบแต่คิดว่าสวรรค์เป็นอย่างไรเราก็ไม่เคยเห็น เพราะฉนั้นสมควรจะไปดู จึงได้ลาบรรดาข้าราชการทั้งหลาย พร้อมทั้งบรรดาพระญาติพระวงค์ แล้วขึ้นเวชยันต์ราชรถมากับพระมาตุลี เมื่อถึงระหว่างทาง พระมาตุลีประสงค์จะแสดงตัวว่าตนนี่เป็นสารถีพิเศษ ที่สามารถจะนำไปที่ใดก็ได้ จึงบอกว่า
    “ก่อนที่พระองค์จะไปสวรรค์นี้ อยากจะชมนรกบ้างไหม”
    “อ๋อ ? มันก็ดีนะสิ แต่มันจะไกล มันจะใกล้ขนาดไหนล่ะ”
    “ก็ไม่ไกลไม่ใกล้เท่าไหร่หรอกพระเจ้าค่ะ”
    “แล้วก็เวลาที่ท่านจะไปถึงสวรรค์มันไม่ช้าเกินไปรึ”
    “ไม่ช้าเกินไปหรอกพระเจ้าค่ะ เมื่อพระองค์อยากจะดูล่ะก็ ข้าพเจ้า
    " ก็อยากที่จะพาไปดูเหมือนกัน”
    “ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าก็อยากจะดู”
    เมื่อตกลงเช่นนั้น พระมาลาตุลีก็ขับเวชยันต์ราชรถตรงไปที่นรกให้พระเนมิราชได้แลเห็นนรก ว่าที่นรกน่ะศาสนาไหน ๆ ก็มีด้วยกันทั้งนั้น เวันแต่จะมีผิดแผกแตกต่างกันออกไปบ้างตามแต่ความคิดเห็นของนักปราชญ์ในศาสนานั้น ๆ เมืองนรกเป็นเมืองที่ไม่น่าจะได้รับการทัศนาจรอย่างที่พระมาตุลีเทพสารถีนำพระเจ้าเนมิราชลงไป เพราะเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยการลงโทษหลายอย่างหลายประการ ผู้อ่านบางคนคงจะเคยเห็นจิตรกรรมฝาผนัง คือภาพวิจิตรที่ท่านเขียนไว้ตามผนังโบสถ์บ้าง วิหารและศาลาการเปรียญบ้าง อันแสดงถึงการลงโทษมนุษย์ผู้ทำผิดต่าง ๆ หญิงบางคนผ้าผ่อนล่อนจ้อน ทำยังกับนางระบำเปลือยแต่เขามิได้เต้นระบำให้ดู กลับไปปีนป่ายต้นงิ้ว แถมมีเจ้าหนุ่มคู่ขาปีนตามขึ้นไปเสียด้วย ทำไมเขาต้องปีน


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    http://www.larnbuddhism.com/buddha/nemirash.html
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พุทธศาสนาจากพระโอษฐ์


    นรกมีจริงหรือ

    ปัญหา มีบางคนยืนยันว่า นรกสวรรค์ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ดังนี้ ข้อนี้เป็นความจริงเพียงใด ?

    พุทธดำรัสตอบ
     
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เอ้า..หมู่เพื่อนนักปฏิบัติ ดูแล้วศึกษาโน้มเข้ามาหาตัวกันเด้อ..


    [​IMG]


    <TABLE align=center border=0><TBODY><TR><TD>บางขณะ ที่จิต อารมณ์เดียว
    ไม่ได้เที่ยว ก็สงบ พบสุขา
    ตัดอารมณ์ ขาจร ที่ย้อนมา
    เจตนา หาใช่ ไม่ใยดี

    สมถะ ญาณิก จิตสงบ
    วิปัสสนา พาประสบ พบสุขี
    ทั้งสงบ ทั้งรู้ อยู่เอกี
    บางวันดี บางวันร้าย ให้ได้ลอง

    บางวันพบ กำหนดได้ ใจผ่องแผ้ว
    บางวันแคล้ว นิวรณ์มา พาเศร้าหมอง
    นี่เป็นทาง ปรมัตถ์ ต้องหัดลอง
    อย่าไปข้อง ปริยัติ ไม่พัดพา


    ในสมัย พุทธกาล นั้นมีเยอะ
    เคยเปิดเจอะ มีพระ สะมะถา
    นั่งเข้าฌาน มีไฟ ไหม้เข้ามา
    ไม่รู้ว่า โดนไฟไหม้ หาใยดี


    มีหลายเรื่อง ที่พี่น้อง ต้องศึกษา
    อย่าจินตนา ว่าต้องเห็น เป็นเช่นนี้
    ปฏิบัติ ลุ่มลึก ศึกษาที
    เอากายี เป็นอุปกรณ์ บ่อนเกิดธรรม


    ต้องปฏิบัติ อย่างเข้มข้น ปนอุกกฤษ์
    สิ่งที่คิด อาจจะเห็น เป็นเรื่องขำ
    อาจจะเจอ สิ่งแปลกใหม่ ให้ได้ทำ
    พบพระธรรม ต้องทำเอง อย่าเกรงใจ

    ปริยัติ คือแปลน เป็นแผนที่
    ปฏิบัติ ก็มี สิ่งแปลกใหม่
    แต่เมื่อเดิน ระยะทาง ที่ห่างไกล
    มีหลายนัย ที่อ้างว้าง บนทางเดิน


    มีวิปัสสนู- ปกิเลส เป็นเหตุผลาญ
    กว่าได้ญาณ ก็ล้มลุก เกิดฉุกเฉิน
    มีสิ่งเร้า สิ่งยั่ว ให้มัวเพลิน
    ต้องเผชิญ กับกิเลสร้าย อยู่หลายตัว


    อินทรีย์ห้า ต้องแกร่ง ด้วยแรงสู้
    กับศรัตรู กรูกระหน่ำ ทำให้มั่ว
    ทั้งปีติ ทั้งเบื่อหน่าย มาพายพัว
    มีทั้งกลัว ทั้งวูบวาบ ปลาบพัลวัน


    ต้องคอยปรับ อินทรีย์ใส ให้ได้ที่
    สัทธามี เกินไป ไม่สุขสันต์
    ปัญญาพ้อง ต้องตามติด ประชิดกัน
    สมาธิ วิริยะนั้น คู่กันไป

    ส่วนสติ ไม่มีคู่ อยู่เป็นเอก
    มีเอนก หลายด้าน งานน้อยใหญ่
    ดูในกาย เวทนา จิต,ธรรมใน
    สติเป็นใหญ่ ในปฏิบัติ จะชัดคม


    ...........................................

    ขอขอบคุณ ชาวพุทธ ที่ผุดผ่อง
    มีธรรมทอง ภูมิปัญญา มาผสม
    หลายมุมมอง ก็แกล้วกล้า สง่าคม
    มาพร่างพรม วจีอาจ วิปัสสนา


    เป็นกระแส ดีดี ที่ได้รู้
    ว่ามีผู้ สนใจ ใคร่ศึกษา
    สะท้อนธรรม ที่หรู สุ่วิปัสสนา
    เป็นมรรคา ที่ไม่ท้อ รอให้เดิน

    .....................................

    เจริญในธรรมทุกท่านนะ</TD></TR></TBODY></TABLE>


    จากธรรมาธร

    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=1224
     
  15. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    มั่นใจในหลักธรรม สากลนิยม:cool:
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ThinkPlus.jpg
      ThinkPlus.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.3 KB
      เปิดดู:
      88
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    รู้ไว้ใช่ว่า

    เมื่อเราเจริญวัยขึ้น
    ผ่านโลกใบนี้มากเข้า
    เราจะเข้าใจชีวิตมากขึ้นอีก
    โดยเฉพาะเมื่อประสบปัญหาของชีวิต
    คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    จะช่วยแก้ปัญหาได้
    ดังนั้นให้เราเรียนรู้
    และศึกษาไว้ตอนนี้
    มีแล้วยังไม่ใช้ก็ไม่เป็นไร
    แต่ถึงเวลาเราจะใช้แล้วไม่มี
    ถือว่าอันตราย

    <!--MsgFile=6-->

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#224444 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#224444 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>จากคุณ : <!--MsgFrom=6-->รัตนมาลี</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    <!--MsgFrom=6-->กำลังภายใน

    เรามีกำลังภายใน ซ่อนเร้นอยู่อีกมาก
    แต่ว่าเราจะนำออกมาใช้ได้....เมื่อใจสงบ
    เพราะฉะนั้น....ไม่ว่าทุกข์อะไรจะเกิดขึ้น
    อย่าให้สูญเสียความสงบ
    ให้ยิ้มเข้าไว้....แล้วจะพบทางออก
    <!--MsgEdited=12-->

    [SIZE=-1]แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 51 00:42:39[/SIZE] <!--MsgFile=12-->
    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#444422 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#444422 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>จากคุณ รัตนามาลี</TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6933270/Y6933270.html
    จากคุณ : <!--MsgFrom=12-->รัตนมาลี
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="95%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD width="100%" bgColor=#204080 colSpan=2 rowSpan=2>
    • <BIG><BIG>เชิญชมภาพสวย ๆ จาก ..................พุทธคยา........... ประเทศอินเดีย ......... <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT></BIG></BIG>
      <!--MsgIDBody=0-->พุทธคยา (บาลี: พุทฺธคยา, อังกฤษ: Bodh Gaya)
      คือคำเรียกกลุ่มพุทธสถานสำคัญใน จังหวัดคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย
      ซึ่งเป็นพุทธสถานที่มีความสำคัญที่สุด 1 ใน 4 แห่ง ของชาวพุทธ
      เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
      พุทธสังเวชนียสถานที่มีความสำคัญที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก
      ปัจจุบันบริเวณพุทธศาสนสถานอันเป็นที่ตั้ง
      ของสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
      มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดมหาโพธิ
      อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการร่วม พุทธ-ฮินดู

      พุทธคยา ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา
      ไกลจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 350 เมตร (นับจากพระแท่นวัชรอาสน์)
      พุทธคยามีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือองค์เจดีย์สี่เหลี่ยมที่สูงใหญ่
      โดยสูงถึง 51 เมตร ฐานวัดโดยรอบได้ 121.29 เมตร
      ล้อมรอบด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานสำคัญ
      เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับตรัสรู้
      และอนิมิสสเจดีย์ เป็นต้น
      ซึ่งนอกจากพุทธสถานโบราณแล้ว บริเวณโดยรอบพุทธคยา
      ยังเป็นที่ตั้งของวัดพุทธนานาชาติอีกด้วย

      <!--MsgFile=0-->
      <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>จากคุณ : <!--MsgFrom=0-->kongsilp2000 [​IMG] - [ <!--MsgTime=0-->27 ส.ค. 51 11:53:05 <!--MsgIP=0-->] [​IMG]
      <!--EcardSend=0--><!--pda content="end"--><!--Begin Console-->

      <HR align=left width="93%" color=#e0e0e0 SIZE=1>
      <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=3 width="87%" border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[SIZE=-2]หน้าหลัก[/SIZE]</TD><TD align=middle>[SIZE=-2]แจ้งลบ[/SIZE]</TD><TD align=middle>[SIZE=-2]bookmark[/SIZE]</TD><TD align=middle>[SIZE=-2]ส่งต่อกระทู้[/SIZE]</TD><TD align=middle>[SIZE=-2]พิมพ์[/SIZE]</TD><TD align=middle>[SIZE=-2]โหวตกระทู้[/SIZE]</TD><TD align=middle>[SIZE=-2]เก็บเข้าคลังกระทู้[/SIZE]</TD><TD align=middle>[SIZE=-2]กระทู้ก่อนหน้า[/SIZE]</TD><TD align=middle>[SIZE=-2]กระทู้ถัดไป[/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE>​
      <!--End Console-->
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><!--pda content="begin"-->
    <HR align=center width="90%" color=#f0f0f0><!--pda content="end"-->
      • <!--MsgIDTop=1-->

        <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=1><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow1=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 1 <!--InformVote=1--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[1], 1);</SCRIPT><A href="javascript:eek:penInformWindow(1)">[​IMG] <!--EcardManage=1--><!--EcardSend=1-->

          <!--MsgIDBody=1-->พระอุโบสถวัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย

          <!--MsgEdited=1-->
          <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>


          จากคุณ : <!--MsgFrom=1-->kongsilp2000 [​IMG] - [ <!--MsgTime=1-->27 ส.ค. 51 11:55:28 <!--MsgIP=1-->] [​IMG] <!--pda content="end"-->
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=1--><!--MsgIDTop=2-->

        <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=1><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow2=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 2 <!--InformVote=2--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[2], 2);</SCRIPT><A href="javascript:eek:penInformWindow(2)">[​IMG] <!--EcardManage=2--><!--EcardSend=2-->

          <!--MsgIDBody=2-->พระพุทธชินราชจำลองภายในพระอุโบสถวัดไทยพุทธคยา
        • <!--MsgFile=2--><CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

          จากคุณ : <!--MsgFrom=2-->kongsilp2000 [​IMG] - [ <!--MsgTime=2-->27 ส.ค. 51 11:58:24 <!--MsgIP=2-->] [​IMG] <!--pda content="end"-->
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=2--><!--MsgIDTop=3-->

        <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=1><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow3=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 3 <!--InformVote=3--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[3], 3);</SCRIPT><A href="javascript:eek:penInformWindow(3)">[​IMG] <!--EcardManage=3--><!--EcardSend=3-->

          <!--MsgIDBody=3-->ป้ายสามภาษา วัดไทยพุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย
        • <!--MsgFile=3--><CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

          จากคุณ : <!--MsgFrom=3-->kongsilp2000 [​IMG] - [ <!--MsgTime=3-->27 ส.ค. 51 11:59:59 <!--MsgIP=3-->] [​IMG] <!--pda content="end"-->
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#403e68 border=0><TBODY><TR><TD width=10> </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
        <!--pda tag="<hr align=center width=90%>"--><!--MsgIDBottom=3--><!--MsgIDTop=4-->

        <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=1><TBODY><TR><TD>
        • [​IMG] <!--WapAllow4=Yes--><!--pda content="begin"-->ความคิดเห็นที่ 4 <!--InformVote=4--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[4], 4);</SCRIPT>[​IMG] <!--EcardManage=4--><!--EcardSend=4-->

          <!--MsgIDBody=4-->พระพุทธรูป "พระพุทธเมตตา" ในมหาโพธิเจดีย์ สร้างในสมัยปาละด้วยหินแกรนิตสีดำ มีอายุกว่า 1,400 ปี​

        • <!--MsgFile=4--><CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD width=10>[SIZE=-3] [/SIZE]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>

          จากคุณ : <!--MsgFrom=4-->kongsilp2000 [​IMG] - [ <!--MsgTime=4-->27 ส.ค. 51 12:04:37 <!--MsgIP=4-->] [​IMG] <!--pda content="end"-->
        </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอบคุณอีกครั้งสำหรับ

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6930550/Y6930550.html
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    มีภาพสวยๆ จากงานอายุวัฒนะมงคล 95 ปีมาฝากครับ เอามาลงเป็นตัวอย่าง 1 รูป ที่เหลือตามไปดูในลิงค์ครับ ใครใกล้ครูอาจารย์รูปไหน ก็กราบได้อย่างสนิทใจเลยครับ

    (นำบุญมาฝาก) อายุวัฒนะมงคลครบ 95 ปีหลวงตามหาบัว 12/8/51
    <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>
    <!--MsgIDBody=0-->ผมได้ไปร่วมงานมุทิตาจิตสัการะอายุวัฒนะมงคลครบรอบ 95 ปีองค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดป่าบ้านตาด อ.เมือง จ.อุดรธานี ในวันที่ 12-13 ส.ค.51 โดยไปในคืนวันที่ 12 สิงหาคม 2551 ถ้าไปวันที่ 13 ส.ค. ตอนเช้าสงสัยจะไม่ได้เข้าไปในวัดเพราะว่าผู้คนมาจากทั่วสารทิศรถทิศแต่ละทีกินเวลา 5-6 ชั่วโมงครับ ก็เลยตัดสินใจขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจไปด้วย จะได้ซิกแซกตามถนนที่รถติดเข้าไปได้ สงสารพวกรถยนต์ที่เข้าไปไม่ได้เพราะว่ารถติดมากครับ (สำหรับผมไม่ได้นำกล้องไปครับ แต่จะนำภาพและความเห็นจากญาติธรรมท่านอื่นมาให้ชมกันนะครับ)

    ***************************************

    พอดีผมได้มีโอกาสได้ไปทำบุญกับครูบาอาจารย์ทางภาคอีสาน มีงานบำเพ็ญกุศลบูชาพระคุณครูบาอาจารย์เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของหลวงปู่วัดป่าบ้านตาด หลวงปู่วัดโชคไพศาล และหลวงพ่อวัดธาตุฝุ่น (เนื่องจากท่านไม่ได้จัดงาน ท่านอยู่ขององค์ท่านเงียบๆ เราเองก็ไม่รู้ แต่ไปถูกที่ถูกเวลาพอดีครับ ปรากฎว่าไปทำบุญคราวนี้ เจอแจ๊คพอตพอดี บุญจริงๆครับ)

    สรุปก็คือ 12-13-14 ส.ค.2551 ได้ไปทำบุญเนื่องในโอกาสวันคล้ายวันเกิดครบทั้ง 3 องค์พอดีครับ เอาภาพมาฝากเท่าที่ได้ถ่ายมานะครับ


    <!--MsgFile=0-->


    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>


    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6930446/Y6930446.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 สิงหาคม 2008
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พี่ใหญ่ที่เป็นครูอาจารย์คนหนึ่งสอนว่า เวลาทำบุญ ถ้าทำบุญแล้วตนเองเดือดร้อน ก็อย่าเพิ่งทำ ทำแล้วบุญก็ไม่เต็ม จิตตนเองก็ตก เพราะคิดถึงเงิน พอดีอ่านเจอเทพธิดาข้าวตอก ที่เธอเป็นนางฟ้า เพราะเธอเต็มใจทำบุญ จึงนำเรื่องมาให้อ่านกันครับ ตอนนี้ ผมและครอบครัว หยอดเหรียญที่เหลือจากทำงาน จากโรงเรียน หยอดในกระปุกทุกวัน 3 บาทบ้าง 5 บาทบ้าง ก่อนหยอดก็ตั้งใจทุกครั้ง และว่าคาถา พระปัจเจกฯ ของหลวงพ่อปาน ตั้งใจให้บุญที่ได้ ตกอยู่กับพ่อแม่ ทำมาทุกวัน บอกแต่ละคนไว้ เดือนนึงแคะกระปุกทีนึง ทำบุญกับทุญนิธิฯ บวกกับเงินที่จะต้องสมทบในฐานะประธานฯ 300 บ้าง 500 บ้าง ทำด้วยความเต็มใจ ไม่คิดถึงเงิน คิดถึงบุญที่ทำให้พ่อแม่ ก็สุขใจดีครับ ใครเอาอย่างบ้างก็ได้ ใจสงบดีครับ ไม่เดือดร้อนด้วย

    เทพธิดาข้าวตอก
    <!--InformVote=0--><SCRIPT language=JavaScript>MsgStatus(Msv[0], 0);</SCRIPT>
    <!--MsgIDBody=0-->ตายจากคนจนถวายข้าวตอก ๑ ขัน เพียงครั้งเดียวไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก


    “..เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๓๑ พูดถึงเรื่อง “ลาชเทวธิดา” หรือ “เทพธิดาข้าวตอก” เพราะว่าเป็นนางฟ้าในสมัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เรื่องมีอยู่ว่าเธอเป็นลูกคนจน ไปรับจ้างเฝ้าไร่อ้อยของเจ้านาย ได้นำข้าวตอกไปเพื่อจะกิน เพราะคิดว่าในตอนเช้ากว่าคนจะไปส่งอาหาร ถ้าเขาส่งสายเราก็หิว แต่ก็เป็นการบังเอิญวันนั้นเป็นเวลาพอดีที่ พระมหากัสสป พระสาวกองค์สำคัญขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกจากนิโรธสมาบัติ พระที่ออกจากนิโรธสมาบัติออกไม่ตามเวลาที่เขาบิณฑบาตกัน อาจจะสายไป ไปบิณฑบาตไม่ทัน ก็ต้องใช้ทิพย์จักขุญาณว่าจะไปรับบาตรที่ไหน ใครจะให้เราวันนี้ ท่านพระมหากัสสปก็ทราบว่าหญิงสาวที่เฝ้าไร่อ้อยอยู่ตรงโน้น เธอมีข้าวตอกไม่มีนํ้ากะทิอยู่ ๑ ขัน เพื่อจะมากินเวลาเช้า แต่ทว่าถ้าเราไปบิณฑบาต เธอเต็มใจพร้อมจะถวายเพื่อทำบุญ ความจริงท่านไม่ตั้งใจจะเบียดเบียน ต้องดูก่อนว่าถ้าเขาให้แล้วเขาเดือดร้อนไหม ก็ทราบว่าเรื่องอาหารเขาไม่เดือดร้อน แต่ท่านอาจจะทราบว่าให้แล้วเธอจะตายจึงตั้งใจมาโปรดคนนี้โดยตรง จึงเหาะมาในอากาศพอใกล้จะถึงก็ลงเดิน เหาะให้ชาวบ้านเห็นไม่ได้เป็นการแสดงปาฏิหาริย์คนจะติดเหาะ

    เมื่อเธอเห็นเข้าก็มีความรู้สึกว่าเราเป็นคนจน บางโอกาสที่เราเห็นพระเราก็ไม่มีของถวายไม่ได้ทำบุญกับเขา บางโอกาสที่เรามีของเราก็ไม่เห็นพระ วันนี้เรามีข้าวตอกด้วยและพระท่านก็มาด้วย ขอถวายพระเถิด ตอนสายจะหิวสักหน่อยเขาเอาอาหารมาให้ช้าไปก็ไม่เป็นไร พอทนได้เธอก็นำข้าวตอกออกไปนั่งกระหย่งพนมมือกล่าววาจาว่า “ขอหยุดก่อนเถิดเจ้าข้า” พระมหากัสสปท่านก็หยุด หยุดแล้วเธอก็เดินเข้าไปใกล้ ค่อยๆ บรรจงเทข้าวตอกลงในบาตรพระมหากัสสป เมื่อเทเสร็จแล้วก็นั่งกระหย่งพนมมือด้วยความเคารพกล่าววาจาว่า “ธรรมใดที่พระคุณเจ้าเห็นแล้ว ขอฉันเห็นธรรมนั้นด้วยเถิดเจ้าข้า” ท่านพระมหากัสสปก็ให้พรว่า “เอวัง โหตุ” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า “เธอปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนา” เพียงเท่านี้แล้วพระมหากัสสปก็หลีกไป

    เธอดีใจที่ได้ทำบุญ ขณะที่เดินออกไปมีงูมีพิษร้ายอยู่ตัวหนึ่งมันนอนอยู่ที่ตรงนั้น ด้วยความดีใจที่เธอได้ทำบุญมีปีติในการทำบุญ คำว่า “ปีติ” แปลว่า “อิ่มใจ ชื่นใจ” ก็กระโดดโลดเต้น เสียงตึ้กตั้กๆ เจ้างูมันก็ตกใจ ผงกหัวขึ้นมาเห็นเข้ามันก็ฉกกัด เธอก็ล้มลงถึงแก่ความตาย

    การทำบุญของเธอมีครั้งเดียวในชีวิต แต่ว่าเธอตายด้วยกำลังของบุญจริงๆ นั่นคือ จิตใจจับบุญเต็มอัตรา คือมีปีติเต็มที่ถึงกับกระโดดโลดเต้น ก็เลยไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่ รอบๆ วิมานก็มีขันทองคำเต็มไปด้วยข้าวตอกทองคำห้อยเต็มไปหมด และมีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร..”

    <!--MsgFile=0-->




    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#222244 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=top bgColor=#000000 rowSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD align=left bgColor=#000000 colSpan=2><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 bgColor=#204080 border=0><TBODY><TR><TD width=10></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>จากคุณ : <!--MsgFrom=0-->เป็นประธานกฐินปีละวัด

    http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y6922315/Y6922315.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 สิงหาคม 2008
  20. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    มาชมพระกรุโลกอุดร กรุเก่าที่ผมได้รับจากอาจารย์ประถม มาประมาณยี่สิบปี เป็นพิมพ์สังกัจจายน์ที่มีวรรณะสีเทา เป็นเอกลักษณ์ของกรุแรกที่ปัจจุบันหายากมักเจอแต่วรรณะสีอื่นๆ

    [​IMG]

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...