ที่สุดของความไม่รู้ นั่นก็คือความไม่รู้ ว่าตัวเองไม่รู้

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย pakung, 20 มีนาคม 2008.

  1. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ถ้าได้ให้เวลากับตัวเองอย่างแท้จริง แล้วจะเริ่มรู้ ว่าตัวเองไม่รู้
    และเมื่อตัวเองเริ่มรู้ ว่าตัวเองไม่รู้ ก็จะเริ่มแสวงหาทางเพื่อที่จะขจัดความไม่รู้
    เพื่อไปสู่ที่สุดของความรู้
     
  2. apichan

    apichan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    825
    ค่าพลัง:
    +4,424
    เป็นประโยคบอกเล่า หรือประโยคคำถามครับ งง??
     
  3. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ประโยคคำตอบ
     
  4. NO RELIGIOUS.

    NO RELIGIOUS. สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +0



    สนใจแต่ความรู้กับความไม่รู้ ทำไมไม่มองดูความสงสัยของคุณเอง ไม่ได้ชวนหาข้อโต้เถียงนะ คุณต้องอย่าถูกสมองตัวเองหลอกสิครับ
    ออกมาให้ได้
     
  5. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    การรู้ กับการเข้าใจ หรือ บอกว่า รู้ความคิด ยังไงมันก็เป็นคนละเรื่องกัน
     
  6. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    <DD>ในยุคสมัยที่ผู้คนทั้งโลกกำลังกล่าวขวัญและตอกย้ำกันถึงความสำคัญของความรู้ (Knowledge) หากมีการพูดถึงความไม่รู้ (Ignorance) ผู้คนส่วนมากรับกันไม่ได้เลยทีเดียว เพราะทุกคนอยากให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองเป็นผู้ที่รอบรู้ ไม่เชื่อก็ขอให้สังเกตดูดีๆ เถิด ไม่ว่าจะเป็นวงสนทนาอย่างไม่เป็นทางการหรือในวงประชุมทางวิชาการ หรือแม้แต่การโต้ตอบกันในรัฐสภา เราจะเห็นว่าทุกคนต้องการแสดงให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้รู้ดี มีการโต้แย้งกัน เพื่อเอาชนะคะคานกันด้วย 'ความรู้' ที่อ้างว่าตนเองมีมากกว่าคนอื่นๆ </DD>

    <DD>ปรากฏการณ์นี้น่าสนใจมากทีเดียว ผมคิดว่าในเกือบทุกสังคมมีระบบคุณค่าที่ยกย่องผู้ที่มี ความรู้ มากกว่าผู้ที่มีความไม่รู้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าระบบคุณค่านี้มีรากเหง้ามาจากไหน แต่สำหรับสังคมไทย รากฐานน่าจะมาจากพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ทั้งหมดก็บางส่วน

    <DD>เพราะในทางพุทธศาสนานั้น 'ความไม่รู้' เรียกว่า อวิชชา แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Ignorance เหมือนกัน ความไม่รู้ หรือ อวิชชา ในทางพุทธศาสนาได้จัดไว้ในกลุ่มเดียวกับ โทสะ (Anger) และ โลภะ (Greed) ซึ่งทั้งสามสิ่งนี้ ทางพุทธศาสนาเชื่อว่าเป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์และต้องพยายามขจัดให้หมดสิ้นไป ถ้าต้องการเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ถ้าภายในตัวเรามีทั้งสามสิ่งนี้อยู่อย่างแน่นหนา โอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้หลุดพ้นจากทุกข์นั้นอย่าพึงหมาย พุทธศาสนาจึงให้ความสำคัญกับการขจัด ความไม่รู้ หรือ อวิชชา และ<DD> <DD>เครื่องมือในการขจัด ความไม่รู้ ก็คือ สิกขา หรือ การศึกษา นั่นเอง<DD> <DD> เพราะฉะนั้นผมจึงคิดเอาว่าอิทธิพลหรือรากเหง้าของฐานคิดเรื่องการยกย่อง 'ผู้มีความรู้' และรังเกียจ 'ผู้มีความไม่รู้' น่าจะมาจากพุทธศาสนา

    <DD>อย่างไรก็ดี ผมคิดว่า ความไม่รู้ ก็ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด ความไม่รู้ เป็นเรื่องปกติของทุกคน และยากที่จะขจัดให้หมดสิ้นไปได้

    <DD>ผมคิดถึงตัวเองว่าอันที่จริงก็เล่าเรียนและผ่านโลกมามากพอสมควร แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีสิ่งที่ไม่รู้อีกมากมายมหาศาล ฉะนั้น ใครจะกล่าวว่าผมเป็นคนที่มี ความไม่รู้ ผมก็ยอมรับได้ ไม่คับข้องใจอะไร <DD>แต่ที่ออกจะแปลกใจมาก
     
  7. userx

    userx เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2007
    โพสต์:
    634
    ค่าพลัง:
    +1,061
    ผมไม่รู้ ผมโง่ครับ
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ความรู้มีหลายแบบ หลายระดับ แต่ละระดับจะมีความไม่รู้แทรกอยู่ เมื่อความไม่รู้ถูกกำจัดในแต่ละระดับ ความรู้จะถูกยกระดับสูงขึ้น คนที่เข้าใจจะยกระดับความรู้ในตนให้สูงขึ้นได้จนถึงระดับสูงสุดคือรู้แจ้ง (ในทางพุทธศาสนามีวิธีทำให้ถึงระดับนี้ได้ แต่ทางวิทยาศาสตร์ไม่รู้ทำได้รึเปล่าเพราะมันจะทำลายตัวเองก่อนที่จะสำเร็จ)
    ถ้าพูดถึงความรู้ตามตำรา ถ้าเรารู้จริง เข้าใจจริงในเรื่องนั้นๆ เราย่อมสามารถทำให้ความรู้นั้นขยายต่อไป ถ้าเราไม่สามารถขยายต่อไปน่าจะมาจากเราไม่ได้เข้าใจมันจริงๆ เราเพียงแต่จำได้และใช้ประโยชน์จากความรู้เท่านั้น ไม่มีการคิดค้นเพื่อต่อยอด
    ยกตัวอย่างอัลเบริต์ ไอน์สไตน์ คิดค้นหาทฤษฎีสัมพัทธภาพ(The Theory of Relativity)หลังจากค้นพบเขายังไม่หยุด เขารู้ว่าความรู้นี้มันไม่ใช่ที่สุดมีเรื่องที่ไม่รู้ต้องต่อยอดทำให้รู้อีกคือ ไอน์สไตน์ได้พยายามคิดค้นหาทฤษฎีเอกภาพ The Unified Theory หรือ ทฤษฎีสรรพสิ่ง The Theory of Everything แต่ไม่สำเร็จตายซะก่อน นี้คือพวกคิดค้น อีกฝ่ายเอาความรู้นี้ไปประยุกต์ใช้งานจะใช้ได้เท่าที่ทฤษฎีสัมพัทธภาพเป็นจริงพอถึงจุดที่ทฤษฎีนี้ตอบไม่ได้ก็ถึงทางตันอีก รออัจฉริยะคนใหม่มาคิดต่อ
    สิ่งที่ตั้งใจจะสื่อกับคุณคือ มนุษย์มีหลายจำพวกคือพวกรู้เพื่อใช้งาน , รู้เพื่อรู้เฉยๆ, รู้เพื่อเป็นพื้นฐานในการคิดค้นต่อไป รู้ตัวว่าต้องการกำจัดอวิชชา ดิฉันเองรวมถึงผู้คนในเว็บนี้บางคน รู้เป้าหมายของตัวเอง เป็นความรู้แบบหนึ่งเรียกว่ารู้ตัว รู้ว่าไม่รู้อะไร รู้ว่ารู้ที่รู้คืออะไร รู้ว่าวิธีใดจะกำจัดความไม่รู้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนคุณหรือคนอื่นๆในโลก เพราะสิ่งที่ดิฉันต้องการรู้นั้นเป็นเป้าหมายส่วนตัว เพียงแต่อาจมีผิดไปบ้างที่คิดไปว่าถ้ามีคนอื่นคิดแบบเดียวกับดิฉันน่าจะเป็นการดีก็เลยเกิดการชวนเชื่อแสดงความเชื่อบางประการออกไป อันนี้มีทั้งข้อดี(ได้เพื่อนอุดมการณ์เดียวกัน)และข้อเสีย(เกิดการอยากเอาชนะทางความคิด ความเชื่อ)

    เท่าที่นึกออกตอนนี้ไม่รวมพวกอวดรู้นะ พวกอวดรู้อยู่ในกลุ่มไม่รู้ตัว ไม่รู้ว่าไม่รู้
    รู้ไว้เฉยๆ (รู้ว่ารู้ แล้ววางไว้ รู้ว่าไม่รู้ แล้ววางไว้)
    รู้แล้วบอกต่อ ไม่รู้ก็บอกต่อ ได้แก่พวกเผยแพร่ความรู้ ถ่ายทอดความรู้
    รู้แล้วคิดต่อ ไม่รู้ก็คิดต่อ ได้แก่พวกช่างคิด จินตนาการสูง
    รู้หนทางการไปสู่ความรู้ ได้แก่พวกช่างคิดที่ฉลาด+โชคดี ถ้ามีความเพียรร่วมมีโอกาสประสบความสำเร็จ

    ตัวคุณเองนอกจากความรู้ที่จำมา ความเข้าใจจากความรู้ที่คนอื่นคิดไว้ คุณมีความรู้นอกเหนือจากนี้ไหม มีความรู้ที่ผุดขึ้นมาไหม เช่นเห็นปัญหาที่ยังไม่ใครแก้ได้แล้วความรู้มันผุดขึ้นมา แก้สมการคณิตศาสตร์ที่ยังไม่มีใครแก้ได้ สิ่งที่ดิฉันและผู้คนในเว็บนี้กำลังทำอยู่คือการพัฒนาความคิดจิตใจให้ถึงขั้นใช้งานปัญญาที่เกิดจากจิตแท้ ไม่ใช่ปัญญาจากสมองที่จำได้คิดได้เท่าที่มี ระบบการศึกษาในปัจจุบันสอนให้เด็กท่องจำเพื่อใช้ตอบปัญหาพอเด็กสมองจำไม่ดีก็โทษเด็กว่าโง่ แต่การศึกษาที่ผู้ปกครองต้องการคือทำให้เด็กโง่เรียนได้ดี เด็กฉลาดเรียนได้ดียิ่งขึ้นคุณรู้ไหมมีวิธีแบบนี้ในโลกด้วยตัวอย่างได้แก่ รร.ของดร.อาจอง และรร.แนววิถีพุทธ


    "ผมยอมรับว่าผมเป็นคนมีความไม่รู้ และยินดีจะเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น และยังยืนยันว่าจะเป็นผู้ที่มีความไม่รู้อยู่ตลอดไป"
    คุณจะเรียนรู้จากความรู้ของคนอื่นไปจนตายหรือ

    คนที่เรียนจบ ป.4 ที่คิดค้นปรับปรุงการทำสวนไร่นาให้ดีกว่าคนรุ่นก่อน กับคนที่จบปริญญาหลายใบสอนความรู้ของคนอื่นไปจนตายไม่คิดค้นพัฒนาด้วยตนเอง ใครมีความรู้ที่ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อโลกมากกว่ากัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2008
  9. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ถามว่า ถ้าถามในเรื่องที่คุณไม่รู้ คุณ ก็จะไม่รู้ใช่ไหม

    ดังนั้น มันต่าง กับ การที่คุณบอกว่า รู้จริง คือ การ เข้า ใจ ว่ารู้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2008
  10. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไม่ได้ถามให้พิจารณา ลองอ่านช้าๆแล้วพิจารณา
    ถ้าไม่โกหกตัวเอง คงได้คำตอบ
     
  11. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ถามเหมือนเดิม ถ้าถามในคำถามที่คุณไม่รู้ คุณจะตอบได้ไหม

    แค่ถาม ไม่ได้ก็ตอบไม่ได้
     
  12. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ผมเข้าใจแล้ว ที่คุณพูด แต่แค่ถาม
     
  13. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ตอนนี้ถ้าเรื่องที่ไม่รู้ ตอนนี้เรารู้ว่าไม่รู้
    ในอนาคตถ้าเราฝึกสติ ฝึกจิต จนปัญญารู้แจ้งเกิดขึ้นเรื่องที่เราไม่รู้ เราจะรู้ (อันนี้ไม่ได้คิดขึ้นมาเองเป็นความเชื่อที่เกิดจากเห็นว่ามีผู้ปฏิบัติแล้วได้ผล)

    เราเชื่อว่าความรู้จริงมีอยู่ เราเชื่อว่าวิธีปฏิบัติเพื่อนำไปสู่การรู้จริงมีอยู่ (เหมือนที่คุณเชื่อว่าตำราที่คุณใช้สอนมันถูกหรือคุณเชื่อว่าไม่ถูก เพราะยังไม่ได้พิสูจน์รู้มาแล้วบอกต่อ) ต่อเมื่อเราพิสูจน์มันหรือเราปฏิบัติตามวิธีที่ถูกต้องจนรู้เกิดขึ้นเราจะรู้ว่าความเชื่อนั้นจริงหรือไม่จริง คำตอบมันมาเอง จะรู้เอง

    เรารู้ว่าความรู้จริงที่เราแสวงหา ถ้ามันเกิดกับเรา เราจะรู้ว่ารู้ ถ้ายังไม่เกิดกับเรา เราจะรู้ว่ายังไม่รู้ การตรวจสอบนี้มีข้อสอบและเฉลยไว้แล้วเพื่อเป็นแผนที่ การปฏิบัติแต่ละขั้นถ้าได้ผลจะมีผลให้เห็น ถ้าไม่ได้ผลก็ไม่มีผลให้เห็น

    เราเชื่อว่าการฝึกสมาธิ ช่วยให้เด็กของเราเรียนได้ดีขึ้น
    การปฏิบัติจริง มีบางโรงเรียนสอนให้เด็กทำสมาธิก่อนเริ่มเรียนทำให้ผลการเรียนดีขึ้น เด็กที่ความจำไม่ดีก็จำได้มากขึ้น เด็กที่ไม่เข้าใจบทเรียนก็เข้าใจมากขึ้น เด็กมีศักยภาพมากขึ้น
     
  14. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    ตกลง รู้หรือ ไม่รู้


    แล้วคำตอบ หรือ ผลลัพธ์ คือจุดสิ้นสุด

    คือรู้จริงไหม
     
  15. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    คือ ถามว่า คุณคิดยังไง
     
  16. pakung

    pakung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,625
    ค่าพลัง:
    +429
    กระทู้บอกใหก้แสดงความเห็น
     
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เรื่องที่ไม่รู้ ก็บอกไม่รู้
     
  18. สมาธิ-นิพพาน

    สมาธิ-นิพพาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +164
    ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร

    แล้วถ้าเราไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร จะทำอย่างไรดีคะ
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ถ้าเริ่มรู้สึกได้ว่าเราไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไร
    แสดงว่าใกล้จะรู้ว่าตัวเองไม่รู้อะไรแล้วมั้งคะ

    ขอให้โชคดีนะคะ
    ถ้ามีโกรธเกิด แล้วรู้ตัวว่ามีโกรธ
    ถ้ามีโลภเกิด แล้วรู้ตัวว่ามีโลภ
    ถ้ามีหลงเกิด แล้วรู้ตัวว่ามีหลง
    ถ้ารู้สึกตัวได้ระดับนี้ ก็ใกล้จะรู้ ละมั้งคะ
    มีสติรู้ตัว ก็คงไม่หลง ละมั้งคะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...