ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ฌาน,สมาบัติ<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="100%">
    [​IMG]






    </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" bgColor=white border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top noWrap width=132 background=bg/t_back.gif bgColor=#4682b4>[​IMG]




    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]



    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>




    <TD vAlign=top width="100%">[FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=20 width="90%" bgColor=white border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top width="90%">ฌาน แปลว่า เพ่ง หมายถึงการเพ่งอารมณ์ตามกฎแห่งการเจริญกรรมฐานถึง อันดับที่ ๑ เรียกว่า ปฐมฌาน คือ ฌาน ๑ ถึง อันดับที่ ๒ เรียกว่า ทุติยฌาน แปลว่า ฌาน ๒ ถึง อันดับที่ ๓ เรียกว่า ตติยฌาน แปลว่า ฌาน ๓ ถึง อันดับที่ ๔ เรียกว่า จตุตถฌาน แปลว่า ฌาน ๔ ถึงอันดับที่แปด คือได้ อรูปฌาน ถึงฌาน ๔ ครบทั้ง ๔ อย่าง เรียกว่า ฌาน ๘ [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]ถ้าจะเรียกเป็นสมาบัติก็เรียกเหมือนฌาน ฌาน ๑ ท่านก็เรียกว่า ปฐมสมาบัติ ฌาน ที่ ๒ ท่านก็เรียกว่า ทุติยสมาบัติ ฌาน ๓ ท่านก็เรียก ตติยสมาบัติ ฌาน ๔ ท่านก็เรียก จตุตถสมาบัติ ฌาน ๘ ท่านเรียก อัฎฐสมาบัติ หรือ สมาบัติแปด นั่นเอง [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]คำว่า สมาบัติ แปลว่าถึงพร้อม แปลเหมือนกันกับคำว่า สมบัติ ศัพท์เดิมว่า สัมปัตติ แปลว่าถึงพร้อม มาแปลงเป็นบาลีไทย หมายความว่าศัพท์นั้นเป็นศัพท์บาลี แต่เรียกกันเป็น ไทย ๆ เสีย ก็เลยเพี้ยนไปหน่อย เล่นเอาผู้รับฟังปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆ กัน [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]สมาบัติ แปลว่าเข้าถึงนั้น หมายเอาว่าเข้าถึงอะไร ข้อนี้น่าจะบอกไว้เสียด้วย ขอบอก ให้รู้ไว้เลยว่า ถึงจุดของอารมณ์ที่เป็นสมาธิหรือที่เรียกว่า ฌาน นั่นเอง เมื่ออารมณ์ของสมาธิ ิที่ยังไม่เข้าระดับฌาน ท่านยังไม่เรียกว่า สมาบัติ [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]รูปสมาบัติหรือรูปฌาน [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]ฌานหรือสมาบัติ ท่านเรียกว่ารูปฌาน หรือ รูปสมาบัติ ถ้ายังไม่สำเร็จมรรคผลเพียงใด ท่านเรียกว่าโลกียสมาบัติ หรือ โลกียฌาน ถ้าเจริญวิปัสสนาญาณจนสำเร็จมรรคผลตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่าน เรียกว่า โลกุตตรสมาบัติ หรือ โลกุตตรญาณ ศัพท์ว่าโลกุตตระ ตัดออกเป็นสอง ศัพท์ มีรูปเป็น โลกะ และ อุตตระ สนธิ คือเอา โลกะ กับ อุตตระ มาต่อกันเข้า เอาตัว อ. ออกเสีย เอาสระอุผสมกับตัวตัว ก. เป็น โลกุตตระ โลกะ แปลตามศัพท์ว่า โลก อุตตระ แปลว่า สูงกว่า รวมความว่าสูงกว่าโลก โลกุตตระ ท่านจึงแปลว่า สูงกว่าโลก โลกุตตรฌาน แปลว่า ฌานที่สูงกว่าโลก โลกุตตรสมาบัติ แปลว่า สมาบัติที่สูงกว่าโลก หมายความว่า กรรมต่างๆที่โลกนิยมนั้น ท่านพวกนี้พ้น ไปแล้วแม้บาปกรรมที่ชาวโลกต้องเสวยผลท่านที่ได้โลกุตตระท่านก็ไม่ต้อง รับผลกรรมนั้นอีก เพราะกรรมของชาวโลกให้ผล ท่านไม่ถึง ท่านจึงได้นาม ว่า โลกุตตรบุคคล [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]รวมความว่าฌานประเภทที่กล่าวมาแล้วนั้นเป็นรูปฌาน เพราะมีรูปเป็นอารมณ์ เรียกตามชื่อสมาบัติว่า รูปสมาบัติ สำหรับรูปฌาน หรือรูปสมาบัตินั้น มีแยกออกไปอีก ๔ อย่าง ดังจะกล่าวให้ทราบต่อไป [/FONT]



    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]อรูปสมาบัติหรืออรูปฌาน
    1. อากาสานัญจายตะ เพ่งอากาศ ๆ เป็นอารมณ์
    2. วิญญาณัญจายตะ กำหนดหมายเอาวิญญาณเป็นอารมณ์
    3. อากิญจัญญายตนะ กำหนดว่าไม่มีอะไรเลยเป็นอารมณ์
    4. เนวสัญญานาสัญญายตนะ กำหนดหมายเอาการไม่มีวิญญาณ คือไม่รับรู้รับ ทราบอะไรเลยเป็นสำคัญ
    ทั้ง ๔ อย่างนี้เรียกว่าอรูปฌาน เพราะการเจริญไม่กำหนดหมายรูปเป็นอารมณ์ กำหนดหมายเอาความไม่มีรูปเป็นอารมณ์ จึงเรียกว่าอรูปฌาน ถ้าเรียกเป็นสมาบัติก็เรียกว่าอรูปสมาบัติ สมาบัติ ๘ [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]ท่านที่ทรงสมาบัติในรูปสมาบัติ ๔ และทรงอรูปสมาบัติอีก ๔ รวมทั้งรูปสมาบัติ ๔ อรูปสมาบัติ ๔ เป็นสมาบัติ ๘ [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]ผลสมาบัติ [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]คำว่าผลสมาบัติท่านหมายถึงการเข้าสมาบัติตามผลที่ได้ผลสมาบัตินี้จะเข้าได้ ต้องเป็น พระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าที่ไม่ได้สมาบัติแปด มาก่อน ท่านเข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ท่านก็เข้าผลสมาบัติ คือท่านเข้าฌานนั่นเอง ท่านได้ฌาน ระดับใด ท่านก็เข้าระดับนั้น แต่ไม่ถึงสมาบัติแปดก็แล้วกันและท่านเป็นพระอริยเจ้า จะเป็น พระโสดาสกิทาคา อนาคามี อรหันต์ก็ตาม เมื่อท่านเข้าฌานท่านเรียกว่าเข้าผลสมาบัติ ท่าน ที่ไม่เป็นพระอริยเจ้าเข้าฌาน ท่านเรียกว่าเข้าฌานเพราะไม่มีมรรคผลต่างกันเท่านี้เอง กิริยา ที่เข้าก็เหมือนกัน ต่างกันแต่เพียงว่า ท่านเป็นพระอริยเจ้า หรือไม่ใช่พระอริยเจ้าเท่านั้นเอง [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]นิโรธสมาบัติ [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]นิโรธสมาบัติ ท่านที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องเป็นพระอริยะขั้นต่ำตั้งแต่พระอนาคามี เป็นต้นไป และพระอรหันต์เท่านั้น และท่านต้องได้สมาบัติแปดมาก่อน ตั้งแต่ท่านเป็นโลกียฌาน ท่านที่ได้สมาบัติแปด เป็นพระอริยะต่ำกว่าพระอนาคามีก็เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ต้องได้มรรคผล ถึงอนาคามีเป็นอย่างต่ำจึงเข้าได้ [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]ผลของสมาบัติ [/FONT]
    [FONT=Ms Sans Serif, Geneva, Helvetica, Arial]สมาบัตินี้ นอกจากจะให้ผลแก่ท่านที่ได้แล้ว ยังให้ผลแก่ท่านที่บำเพ็ญกุศลต่อท่าน ที่ได้สมาบัติด้วย ท่านสอนว่าพระก่อนบิณฑาตตอนเช้ามืดที่ท่านสอนให้เคาะระฆังก็เพื่อให้ พระวิจัยวิปัสสนาญาณ และเข้าฌานสมาบัติ เพื่อเป็นการสนองความดีของทายกทายิกาผู้สงเคราะห์ในตอนเช้าพระที่บวชใหม่ก็ทบทวนวิชาความรู้และซักซ้อมสมาธิเท่าที่จะได้ ผลของสมาบัติมีอย่างนี้
    1. นิโรธสมาบัติ สมาบัตินี้เข้ายาก ต้องหาเวลาว่างจริง ๆ เพราะเข้าคราวหนึ่งใช้ เวลาอย่างน้อย ๗ วัน อย่างสูงไม่เกิน ๑๕ วัน ใครได้ทำบุญแก่ท่านที่ออกจากนิโรธสมาบัตินี้ จะได้ผลในวันนั้น หมายความว่าคนจนก็จะได้เป็นมหาเศรษฐีในวันนั้น
    2. ผลสมาบัติ เป็นสมาบัติเฉพาะพระอริยเจ้าท่านออกจากผลสมาบัติแล้ว สมาบัติ นี้เข้าออกได้ทุกวันและทุกเวลา ท่านที่ทำบุญแด่ท่านที่ออกจากผลสมาบัติ ท่านผู้นั้นจะมีผล ไพบูลย์ในความเป็นอยู่ คือมีฐานะไม่ฝืดเคือง
    3. ฌานสมาบัติ ท่านที่บำเพ็ญกุศลแก่ท่านที่ออกจากฌานสมาบัติ จะทรงฐานะไว้ ด้วยดีไม่ยากจนกว่าเดิม มีวันแต่จะเจริญงอกงามขึ้นเป็นลำดับ
    เข้าผลสมาบัติ การเข้าผลสมาบัติ กับเข้าฌานสมาบัติ ต่างกัน อยู่หน่อยหนึ่ง คือการเข้าฌานสมาบัติ ท่านสอนให้ทำจิตให้ห่างเหินนิวรณ์ คือระมัดระวัง มิให้นิวรณ์เข้ามารบกวนใจ เมื่อจิตว่างจากนิวรณ์แล้ว อารมณ์ของสมาธิก็ไม่มีอะไรรบกวน เข้าฌานสมาบัติได้ทันที สำหรับผลสมาบัตินั้นเป็นสมาบัติของพระอริยเจ้าท่านเข้าดังนี้ เมื่อ ท่านพิจารณาว่าเวลานี้ธุระอย่างอื่นไม่มีแล้วมีเวลาว่างพอที่จะเข้าผลสมาบัติได้ ท่านก็เริ่ม เข้าสู่ที่สงัด นั่งตั้งกายตรง ดำรงจิตมั่นคงแล้วก็พิจารณาสังขารตามแบบวิปัสสนาญาณโดย พิจารณาในวิปัสสนาญาณทั้ง ๘ ย้อนไป ย้อนมา หรือพิจารณาตามแบบขันธ์ห้ารวม คือ พิจารณาเห็นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณทั้งห้าอย่างนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่มีในเรา อย่างนี้ก็ได้ตามแต่ท่านจะถนัด รวมความว่า ท่าน เป็นพระอริยะเพราะท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแบบใดท่านก็พิจารณาแบบนั้นเพราะท่านคล่องของท่านอยู่แล้ว เมื่อพิจารณาขันธ์ห้าจนอารมณ์ผ่องใสแล้ว ท่านก็เข้าสมาบัติตาม กำลังฌานที่ท่านได้ อย่างนี้เป็นวิธีเข้าผลสมาบัติ เพราะท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณก่อนจึง เข้าฌาน[/FONT]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>







    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    ในเรื่องนี้ยังมีต่อ หากสนใจในเรื่องนี้ เข้าไปอ่านใน

    http://www.larnbuddhism.com/grammathan/meditation.html
     
  2. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    เรียนพี่พันวฤทธิ์
    ขอบคุณมากนะครับสำหรับพระหลวงปู่ใหญ่ที่พี่ให้มาเนื่องจากการทำบุญ"ทุนนิธิสงเคาะห์ภิกษุสงฆ์อาพาธ"
    สุดยอดจริงๆครับพระของพี่ที่ให้แรงมากๆ ผมก็เป็นผู้หนึ่งเหมือนกัน ที่กว่าจะนิมนต์ท่านขึ้นคอก็ต้องมีการพิสูจน์
    อย่าคิดว่าเป็นการปรามาสเลยนะครับ หากแต่พระสมัยนี้เยอะมาก ในบางครั้งต้องมีการขอชมบารมีท่าน เพื่อความมั่นใจ
    อย่างองค์หลวงปู่ใหญ่ที่พี่ให้มา ผมลองขอบารมีท่านพิสูจน์ด้วยการส่งผ่านพลัง ผ่านองค์ท่านไปที่เครื่องรับ(ภรรเมีย...ผมเอง)
    โอว์..พลังขององค์ท่านวิ่งไปที่แฟนผมต้องบอกว่า จี๊ดจ๊าด ร้อนวูบแผ่ไปทั้งตัวแรงมากๆครับ
    อ้อ..ผมได้ลองพิสูจน์กับพระสมเด็จเนื้อผงยาวาสนา กะ ผงยาจินดามนี ด้วยครับ ปรากฎว่าแรงมากเช่นกัน สุดยอดมากๆครับ...ขอบคุณพี่จริงๆ
    เสียดายความสามารถผมทำได้เพียงเครื่องส่ง ตอนนี้พยามทำตัวเป็นเครื่องรับอยู่ คงอาจต้องฝึกอีกนาน
    หากพี่หรือท่านใดมี "ทริค" พิเศษเพื่อการเป็นเครื่องรับที่ดีช่วยแนะนำด้วยนะครับ ...ชาญ

    อีกนิดนึงครับ..พระหลวงปู่ใหญ่ที่ได้มานั้น เป็นพิมพ์พระสังกัจจายใหญ่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2008
  3. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    การเช็คพลังที่มีอยู่ในพระพิมพ์ ส่วนใหญ่ก็ต้องใช้ความสามารถที่เคยฝึกปฏิบัติทางจิตมาทั้งนั้น บางท่านทำได้ทั้งที่ไม่เคยปฏิบัติ เพราะอดีตชาติมีของเก่ามามาก บางท่านหมั่นเพียรทำได้ในชาติปัจจุบัน แต่ทั้งหมดก็เกิดจากการปฏิบัติทั้งสิ้น ฉนั้นถ้าอยากทำได้ควรลงมือปฏิบัติสมาธิกัน

    แต่เซียนที่ตั้งตัวเป็นอาจารย์สมัยนี้ เนื้อหา มวลสารพิมพ์ทรง ประวัติพระก็ยังรู้ไม่จริงทั้งหมด แถมยังไม่ยอมปฏิบัติให้รู้ถึงอิทธิคุณภายในองค์พระ มานั่งเขียนบทความตีพิมพ์พาสังคมให้เชื่อตามความคิดตน ส่วนมากเพื่อผลทางการค้าแต่อย่างเดียว

    ทำให้ผู้สนใจพระพิพม์ที่เชื่อบทความเหล่านั้น เสียโอกาสได้พระดี อิทธิคุณสูง ไปอย่างน่าเสียดาย

    เร่งหาเวลาปฏิบัติธรรมกันเถิดครับ ได้ทั้งบุญ ได้ทั้งความรู้ที่ไม่เคยรู้ ได้ทั้งสุขภาพกาย ผิวพรรณ และปัญญาที่ผ่องใส เป็นสัมมาปัญญา ใช้ได้ทั้งทางโลกในการครองเรือน และใช้ได้ทั้งการละกิเลสเพื่อตัดภพชาติให้สั้นลง

    ลมหายใจมีค่าอย่าปล่อยทิ้งเปล่า ภาวนาได้ทุกที่ ไม่ต้องไปหาวัด หาป่า หาสถานที่ใด ไม่ต้องรอตอนแก่ค่อยทำ ไม่ต้องรอเลิกงานค่อยทำ ไม่ต้องครับ พุทโธ พุทโธ หรือ องค์ภาวนาอย่างอื่นทำได้ทุกเวลา เพราะเวลาที่กายเราแตกดับมาถึง มันไม่เลือกสถานที่และเวลานะครับ
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    [​IMG]
    สมาธิเพื่อชีวิต
    โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาลวัน
    ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา


    [​IMG]



    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สมาธิตามธรรมชาติ[/FONT]
    คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นคำสอนของปัญญาชน
    ไม่ใช่เป็นคำสอนของบุคคลผู้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผลด้วยความงมงาย
    ศาสนาพุทธสอนให้คนเรียนให้รู้ธรรมชาติและกฎของธรรมชาติ
    ถ้าใครจะถามว่าธรรมะคืออะไร ? ธรรมะ ก็คือ ธรรมชาติ
    ธรรมชาติคืออะไร ? ก็คือ กายกับใจของเรา

    สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน
    นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ
    สอนสมาธิต้องสอนสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุด ความรู้เห็นอะไรที่เขาอวดๆ กันนี่
    อย่าไปสนใจเลย ให้มันรู้เห็นจิตของเรานี่ รู้กายของเรา
    รู้ว่าธรรมชาติของกายอย่างหยาบๆ มันต้องมีการเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เสมอ
    ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด อันนี้คือความจริงของกาย

    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สมาธิ.....เพื่ออะไร[/FONT]
    ปัญหาสำคัญของการฝึกสมาธินี่
    บางทีเราอาจจะเข้าใจไขว้เขวไปจากหลักความจริง
    สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้จิตสงบนิ่ง
    สมาธิอย่างหนึ่ง เราฝึกเพื่อให้มีสติสัมปชัญญะ
    รู้ทันเหตุการณ์นั้นๆ ในขณะปัจจุบัน
    สมาธิบางอย่าง เราปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ความเห็นภายในจิต
    เช่น รู้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ รู้เรื่องอดีต อนาคต

    รู้อดีต หมายถึงรู้ชาติในอดีตว่าเราเกิดเป็นอะไร
    รู้อนาคต หมายถึงว่าเมื่อเราตายไปแล้วเราจะไปเป็นอะไร
    อันนี้เป็นการปฏิบัติเพื่อรู้อดีต เป็นสิ่งที่ล่วงไปแล้ว
    อนาคตก็เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
    ดังนั้น เราสนใจอยู่ในสิ่งที่เป็นปัจจุบันดีไหม

    ที่ครูบาอาจารย์สอนว่า ทำกรรมฐานไปเห็นโน่นเห็นนี่
    นี่มันใช้ไม่ได้ ให้มันเห็นใจเราเองซิ
    อย่าไปเข้าใจว่าทำสมาธิแล้วต้องเห็นนรก
    ต้องเห็นสวรรค์ ต้องเห็นอะไรต่อมิอะไร
    สิ่งที่เราเห็นในสมาธิมันไม่ผิดกันกับที่เรานอนหลับแล้วฝันไป
    แต่สิ่งที่เราจำเป็นต้องรู้ ต้องเห็นนี่ คือเห็นกายของเราเห็นใจของเรา


    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ [/FONT]
    การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิดสมาธิ สติ ปัญญา
    มีหลักที่ควรยึดถือว่า
    ทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก
    จิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้น
    ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
    เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา

    ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว
    เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด
    ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ
    อันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล

    ถ้ามีใครมาถามว่า ทำสมาธินี่คือทำอย่างไร ?
    คำตอบมันก็ง่ายนิดเดียว การทำสมาธิคือ
    การทำจิตให้มีสิ่งรู้ ทำสติให้มีสิ่งระลึก
    หมายความว่า เมื่อจิตของเรานึกถึงสิ่งใด
    ให้มีสติสำทับไปที่ตรงนั้น เรื่องอะไรก็ได้
    ถ้าเอากันเสียอย่างนี้ เราจะรู้สึกว่าเราได้ทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา


    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]สมาธิ.....ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น [/FONT]สมาธิ[/FONT][FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif].....ไม่ใช่การนั่งหลับตาเท่านั้น [/FONT]
    ถ้าหากไปถือว่าสมาธิคือการนั่งหลับตาอย่างเดียว
    มันก็ถูกกับความเห็นของคนทั้งหลายที่เขาแสดงออก
    แต่ถ้าเราจะคิดว่าอารมณ์ของสมาธิคือ การยืน เดิน นั่ง นอน
    รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ไม่ว่าเราจะทำอะไร
    มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่กับเรื่องปัจจุบัน คือเรื่องชีวิตประจำวันนี้เอง
    เราจะเข้าใจหลักการทำสมาธิอย่างกว้างขวาง

    และสมาธิที่เราทำอยู่นี่ จะรู้สึกว่า
    นอกจากจะไปนั่งหลับตาภาวนา หรือเพ่งดวงจิตแล้ว
    ออกจากที่นั่งมา เรามีสติตามรู้
    การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
    แม้ว่าเราจะไม่นั่งสมาธิอย่างที่พระท่านสอนก็ได้
    เพราะว่าเราฝึกสติอยู่ตลอดเวลา เวลาเรานอนลงไป
    คนมีความรู้ คนทำงาน ย่อมมีความคิด
    ในช่วงที่เรานอนนั่นแหละ เราปล่อยให้จิตเราคิดไป
    แต่เรามีสติตามรู้ความคิดจนกระทั่งนอนหลับ

    ถ้าฝึกต่อเนื่องกันทุกวันๆ เราจะได้สมาธิอย่างประหลาด
    นี่ถ้าเราเข้าใจกันอย่างนี้ สมาธิจะไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำงาน
    ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสร้างสรรค์โลกให้เจริญ
    แต่ถ้าหากจะเอาสมาธิมุ่งแต่ความสงบอย่างเดียว
    มันจะเกิดอุปสรรคขึ้นมาทันที
    แม้การงานอะไรต่างๆ มองดูผู้คนนี่ขวางหูขวางตาไปหมด
    อันนั้นคือสมาธิแบบฤาษีทั้งหลาย


    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ทำสมาธิถูกทาง ไม่หนีโลก ไม่หนีปัญหา [/FONT]
    ผู้ที่มีจิตเป็นสมาธิที่ถูกต้องนี่
    สมมุติว่ามีครอบครัวจะต้องรักครอบครัวของตัวเองมากขึ้น
    หนักเข้าความรักมันจะเปลี่ยน เปลี่ยนจากความรักอย่างสามัญธรรมดา
    กลายเป็นความเมตตาปรานี ในเมื่อไปเผชิญหน้ากับงานที่ยุ่งๆ
    เมื่อก่อนรู้สึกว่ายุ่ง แต่เมื่อปฏิบัติแล้ว ได้สมาธิแล้ว งานมันจะไม่ยุ่ง

    พอประสบปัญหาเข้าปุ๊บ
    จิตมันจะปฏิวัติตัวพิจารณาหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ
    ซึ่งมันจะเป็นไปเองโดยอัตโนมัติ
    ทีนี้บางทีพอเราหยิบปัญหาอะไรขึ้นมา
    เรามีแบบแผนตำรายกขึ้นมาอ่าน พออ่านจบปั๊บ
    จิตมันวูบวาบลงไปปัญหาที่เราข้องใจจะแก้ได้ทันที
    อันนี้คือสมาธิที่สัมพันธ์กับชีวิตประจำวัน

    แต่สมาธิอันใดที่ไม่สนใจกับเรื่องชีวิตประจำวัน
    หนีไปอยู่ที่หนึ่งต่างหากของโลกแล้ว
    สมาธิอันนี้ทำให้โลกเสื่อม และ
    ไม่เป็นไปเพื่อทางตรัสรู้ มรรค ผล นิพพานด้วย

    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ทุกคนเคยทำสมาธิมาแล้ว [/FONT]
    ทุกสิ่งทุกอย่างเราสำเร็จมาเพราะพลังของสมาธิ
    ไม่มีสมาธิ เรียนจบปริญญามาได้อย่างไร
    ไม่มีสมาธิ สอนลูกศิษย์ลูกหาได้อย่างไร
    ไม่มีสมาธิ ทำงานใหญ่โตสำเร็จได้อย่างไร
    ไม่มีสมาธิ ปกครองบ้านเมืองได้อย่างไร

    พวกเราเริ่มฝึกสมาธิมาตั้งแต่พี่เลี้ยงนางนม
    พ่อแม่สอนให้เรารู้จักกิน รู้จักนอน รู้จักอ่าน
    รู้จักคนโน้นคนนี้ จุดเริ่มต้นมันมาแต่โน่น
    ทีนี้พอมาเข้าสู่สถาบันการศึกษา
    เราเริ่มเรียนสมาธิอย่างจริงจังขึ้นมาแล้ว

    แต่เมื่อเรามาพบพระคุณเจ้า หลวงพ่อ หลวงพี่ทั้งหลายนี้
    ท่านจะถามว่า “เคยทำสมาธิไหม”
    จึงทำให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจว่า
    เราไม่เคยทำสมาธิ ไม่เคยปฏิบัติสมาธิมาก่อน
    เพราะท่านไปขีดวงจำกัดการทำสมาธิ
    เฉพาะเวลานั่งหลับตาอย่างเดียว

    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]ไม่เป็นชาววัดก็ทำสมาธิได้ [/FONT]
    ใครที่ยังไม่มีโอกาสจะเข้าวัดเข้าวา
    มานั่งสมาธิหลับตาอย่างที่พระท่านชักชวน
    การปฏิบัติสมาธิเอากันอย่างนี้ ยืน เดิน นั่ง นอน
    รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา
    ทุกคนได้ฝึกสมาธิมาตามธรรมชาติแล้วตั้งแต่เริ่มรู้เดียงสามา
    ทีนี้เรามาเริ่มฝึกใหม่ นี่เป็นการเสริมของเก่าที่มีอยู่แล้วเท่านั้น
    อย่าไปเข้าใจผิด

    ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นอารมณ์ของจิต
    เราทำให้สิ่งเหล่านี้ให้มีสติรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเท่านั้น
    เวลานอนลงไป จิตมันคิดอะไร ให้มันคิดไป
    ให้มีสติไล่ตามรู้มันไปจนกระทั่งนอนหลับ
    ปฏิบัติต่อเนื่องทุกวัน แล้วท่านจะได้สมใจอย่างไม่คาดฝัน

    ในขณะทำงาน กำหนดสติรู้อยู่กับงาน
    เวลาคิด ทำสติรู้อยู่กับการคิด
    โดยถือการทำงาน การคิด เป็นอารมณ์ของจิต
    โดยธรรมชาติของจิต ถ้ามีสิ่งรู้ สติมีสิ่งระลึก จิตย่อมสงบ มีปีติ สุข
    เอกัคคตาได้ ในโอกาสใดโอกาสหนึ่งจนได้ ถ้าผู้ปฏิบัติตั้งใจทำจริง

    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นักธุรกิจทำสมาธิกับการงาน [/FONT]
    มีผู้หญิงมาหาหลวงพ่อแล้วมาบอกว่า
    “หลวงพ่อหนูอยากจะฝึกสมาธิ แต่หนูนั่งสมาธิไม่เป็น”
    หลวงพ่อก็บอกว่า “คุณนั่งไม่เป็นก็ไม่ต้องนั่ง ให้ฝึกสติให้มันรู้อยู่กับ
    การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด”

    ทีนี้เมื่อสมาธิมันเกิดขึ้นเพราะการปฏิบัติอย่างนี้ ภายหลังมานี่
    ความรู้สึกมันก็รู้สึกว่า เราทำอะไร พูด คิดอะไร มันเป็นสมาธิทั้งนั้น
    มันก็ไปสอดคล้องกันเอง มองเห็นงานที่มันเคยยุ่งๆ ตั้งแต่ก่อน
    เมื่อมีสมาธิดีแล้ว ไปประสบความยุ่งเหยิงอย่างนั้น
    จิตมันรู้สึกว่ามันไม่ยุ่ง มันสามารถแก้ไขปัญหาของมันได้

    อย่างบางทีพอติดปัญหาปั๊บ กำหนดจิตมันวูบวาบไป
    ปัญญาที่จะแก้ไขปัญหานั้นมันก็เกิดขึ้น
    แม้แต่เกี่ยวกับเรื่องงานเรื่องการก็เหมือนกัน
    อันนี้เราไปติดอยู่ตรงที่ว่า อย่าไปคิดเรื่องโลก
    ให้คิดแต่เรื่องธรรม แต่ความจริงโลกน่ะเป็นอารมณ์ของจิต

    ในเมื่อจิตตัวนี้รู้ความจริงของโลก
    แล้วมันจะปลีกตัวไปลอยเด่นอยู่เหนือโลก
    และมันอาศัยโลกนั่นแหละ เป็นบันไดเหยียบไปสู่จุดที่อยู่เหนือโลก
    โลกทั้งหลายนี่เป็นอารมณ์ของจิต กายและใจของเราก็เป็นโลก

    สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมทั้งหลายที่เราประสบอยู่
    เป็นเรื่องชีวิตประจำวันของโลก ในเมื่อเรามาฝึกสติให้รู้ทันโลกอันนี้แล้ว
    จิตมันจะรู้แจ้งเห็นจริงในความเป็นจริงของโลก มันก็ปล่อยวาง
    ถึงแม้ว่ามันจะอยู่กับโลก มันก็แตะๆ แตะๆ มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างนี่
    เป็นแต่เพียงหน้าที่เท่านั้น แล้วมันจะจัดสรรตัวมันเองว่าเรามีหน้าที่อย่างไร
    ควรจะรับผิดชอบอย่างไร มันจะปฏิบัติหน้าที่ไปตามหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา

    [​IMG]
    [FONT=MS Sans Serif, Microsoft Sans Serif]นักเรียน นักศึกษาทำสมาธิในการเรียน [/FONT]
    ขณะนี้นักเรียนทั้งหลายกำลังเรียน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่า
    ทำอย่างไรเราจึงจะได้พลังของสมาธิ พลังของสติเพื่อสนับสนุนการศึกษา
    หลวงตาจะสอนวิธีทำสมาธิในห้องเรียน สมมุติว่าขณะนี้หลวงตาเป็น
    ครูสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตา
    ส่งใจมาที่หลวงตาแล้วก็สังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำอะไรบ้าง
    หลวงตายกมือหนูก็รู้ เขียนหนังสือให้หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง

    ถ้าสังเกตจนกระทั่งกระพริบหูกระพริบตาได้ยิ่งดี เวลาเข้าห้องเรียนให้
    เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู อย่าเอาใจไปอื่น เพียงแค่นี้
    วิธีการทำสมาธิในห้องเรียน ถ้าพวกหนูๆ จำเอาไปแล้วปฏิบัติตาม
    จะได้สมาธิตั้งแต่เป็นนักเรียนเล็กๆ ชั้นอนุบาล

    ในตอนแรกนี่ การควบคุมสายตาและจิตไปไว้ที่ตัวครู
    นี่อาจจะลำบากหน่อย แต่ต้องพยายามฝึก ฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญ
    ภายหลังแม้เราจะไม่ตั้งใจ พอเห็นใครเดินผ่านหน้ามันจะจ้องเอาๆ
    พอมาเข้าห้องเรียนแล้วพอครูเดินเข้ามาในห้อง
    สายตามันจะจ้องปั๊บ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่ตรงนั้น หนูลองคิดดูซิว่า
    การที่มองที่ครู และเอาใจใส่ตัวครูนี่ เราเรียนหนังสือเราจะเข้าใจดีไหม
    ลองคิดดู ทีนี้เมื่อฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญแล้ว สายตามันยังจ้องอยู่ที่ตัวครู

    แต่ใจจะมาอยู่ที่ตัวเราเอง มาตอนนี้ครูท่านสอนอะไร
    พอท่านพูดจบประโยคนั้น ใจของเรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านพูดอะไร
    เวลาไปสอบ อ่านคำถามจบ ใจของเราจะวูบวาบแล้วคำตอบมันจะผุดขึ้น
    อันนี้เป็นสูตรทำสมาธิที่หลวงพ่อทำได้ผลมาแล้ว


    http://www.dhammajak.net/smati/12.html
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอขอบคุณคุณพันวฤทธิ์มากนะครับที่ตอบผม
    อันที่จริง..ผมก็บอกและอธิบายไม่ค่อยถูกถึงสิ่งที่อยากพูดและอยากถาม
    เพราะรู้อยู่ว่าคำตอบมันจะออกมาแนวๆไหน เพราะตัวผมเองก็คิดเช่นนั้นด้วย

    และก็..ขอย้อนความให้ฟังถึงที่มาที่ไปก่อนนะครับ จะได้ช่วยกันคิด ช่วยกันวิเคราะห์
    เพราะลำพังผมคิดเอง ก็เออเอง ก็อาจจะผิดเอง ก็เป็นได้..

    เริ่มต้นทีเดียว ผมคิดว่าจะตั้งกองกฐินสมทบของตัวเองซักกองหนึ่ง เหมือนที่ทำมาแล้วทุกๆปี
    แล้วก็เลยเข้ามามองๆหากระทู้บุญที่น่าสนใจ เพื่อจะรวบรวมรายการที่จะขอร่วมบุญด้วย
    ก็สนใจกระทู้นี้เข้า เพราะเห็นประโยชน์ของการทำบุญกับสงฆ์อาพาธอยู่แล้วครับ
    และก็สังเกตว่ากระทู้นี้ก็มีสาระมิใช่น้อยเลย ก็เลยแจมด้วยซะเลย อย่างที่ถามไปแล้วนั่นแหละครับ

    แต่ว่า..

    ประเด็นคำถามผมไม่ใช่อย่างที่ท่านเข้าใจหรอกนะครับ
    เพราะว่าสมถะกรรมฐาน กับวิปัสนากรรมฐาน เราต่างก็เข้าใจกันดีอยู่แล้ว ว่าทางไหน
    คือทางที่จะไปนิพพานได้ และอย่างที่คุณอธิบายอาการของการอยู่ในฌานนั้นหนะผมก็เข้าใจครับ

    และ..ถ้าเพราะแค่นั้น..
    ผมก็คงไม่มานั่งสงสัยให้เมื่อยหรอกนะครับ ว่าทำไมลัทธิอื่น ศาสนาอื่นเขาจึงไปนิพพานไม่ได้
    ปัญหาของผมคือ เมื่อเร็วๆนี้ ผมได้แปลงานเขียนของคนๆหนึ่ง จากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย
    และผมเชื่อว่าหลายๆท่านก็คงได้อ่านบ้างแล้ว อยู่นี่นะครับ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=133683

    คนเขียนคือคุณ avatar_boy ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เห็นด้วยกับเขาไปซะทั้งหมด
    แต่หลายประเด็นทำให้ผมคิดว่า..

    1.ที่ว่าจุดแข็งของศาสนาพุทธเรา คือ สติปัฏฐาน 4 (หรือวิปัสนา) แต่ตอนนี้ มันทำให้ผมคิดว่า
    ดูท่าศาสนาเราจะไม่ใช่ศาสนาเดียวที่มีสติปัฏฐานสี่ซะแล้ว
    2.จากที่ผมเคยอ่านผ่านๆ ของสายปฏิบัติทางอินเดีย หลายๆคนมาบ้าง หลายท่านก็มีการเน้นถึง
    "การมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ" ตลอดทุกขณะจิต และบางท่านก็พูดว่า "ล้างชาม เพื่อล้างชาม" เป็นต้น

    นี่ก็ทำให้ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่า เรารู้จักหลักการปฏิบัติของพวกเขาดีแค่ไหน ถึงไปเหมาเอาว่า
    ของเราหนะดีกว่าเขา ของเราหนะคือทางทางเดียว ที่จะไปนิพพานได้ ทางอื่นหละหมดสิทธิ์

    เพราะในแง่ของผม ผมจะมองแบบวิทยาศาสตร์ว่า
    ถ้าเราทำอย่างเดียวกัน โดยใช้ปัจจัยเดียวกัน แม้ว่าจะเรียกชื่อไปคนละอย่าง จะใช้คนละภาษา
    มันก็น่าจะได้ผลการปฏิบัติเหมือนกัน (ถ้าถึงระดับเดียวกัน)

    นอกจากนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ผม ไม่ได้คิดว่า เรา (ศาสาพุทธ) ไม่ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว แต่อย่างใด
    เพราะธรรมะ มันมีของมันอยู่แล้ว มันเป็นเช่นนั้นเองของมันอยู่แล้ว ใครก็ตามที่ปฏิบัติถูกวิธี
    ไม่ว่าเขาจะเรียกศาสนาหรือลัทธิของเขาว่าอะไรก็ตาม มันก็ย่อมให้ผลได้เหมือนกัน ไม่จำกัดกาลด้วย

    และหลังจากที่ผมมีความคิดแบบนี้แล้ว ผมก็มามองดูตัวของตัวเอง ตั้งแต่สมัยยังไม่รู้ความอะไรเลย จนถึงวันนี้

    โอ้โฮ..ตัวเราเองยังเห็นความชั่ว ความโอหังของตัวเองได้ขนาดนี้ แล้วคนอื่นหละ เขาจะมองเห็นเราได้แค่ไหน

    ตัวอย่างเช่น เราเชื่อว่า ศาสนาเรานั้นเป็นของดีที่สุด ของแท้ที่สุด จึงอดภูมิใจในบุญวาสนาของตัวเองไม่ได้
    เลยพลอยคิดไปว่าชาติอื่น ศาสนาอื่นช่างด้อยบุญวาสนาเหลือเกิน นี่ 1 แล้วนะ ความชั่ว
    ถัดมาคือ เวลาเราทำทาน ถือศีล และนั่งสมาธิ เราก็รู้ว่านี่เราทำกุศลอันยิ่งใหญ่แล้ว เราเกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว
    ส่วนคนอื่นๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย วันๆก็มัวแต่ก้มหน้าก้มตา หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องไปวันๆ
    พวกเขาช่างน่าสงสารซะเหลือเกิน พวกเขายังมองไม่เห็นแม้แต่แผนที่ที่จะใช้นำทางชีวิตเลยด้วยซ้ำ
    อย่าว่าแต่จะมองเห็นทางเลย นี่ก็ 2 แล้ว ที่คิดว่าตัวเองดีกว่าเขา
    ถัดมาคือ เราก็ช่างโชคดีอีกแล้ว ที่เรามีศาสนาพุทธลัทธิเถรวาทอยู่ในประเทศไทยเรา ซึ่งพระภิกษุสงฆ์ส่วนใหญ่
    ล้วนเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรม มีศีลาจาริยวัตรงดงามทั้งสิ้น มีการสำรวมระวังอินทรีย์อยู่ทุกอริยาบท
    เทียบกับศาสนาอื่น ลัทธิอื่นแล้ว ดูดีกว่าเยอะเลย นี่ก็เป็นข้อที่ 3 แล้ว ที่ไปดูถูกของคนอื่นเขา
    และเอาความเคร่ง ไม่เคร่งมาวัดความใกล้-ไกลพระนิพพานกัน และนี่ก็เป็นกับดักของพระสงฆ์เราอีกมากโขเลยทีเดียว
    เพราะถ้าไม่เช่นนั้น ก็คงไม่มีธรรมยุติ - มหานิกายหรอกกระมัง และก็คงไม่มีการปรามาทกันไป ปรามาทกันมาในหมู่พระด้วยกันหรอกกระมัง

    เอาแค่นี้ก่อนนะครับ...
     
  6. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ถ้าอย่างนั้นผมขอถามข้อข้องใจเกี่ยวกับความเห็นของคุณ Chayutt ละกันนะครับว่า


    "เพราะรู้อยู่ว่าคำตอบมันจะออกมาแนวๆไหน เพราะตัวผมเองก็คิดเช่นนั้นด้วย"
    1. ถ้าอย่างนั้นผมรบกวนช่วยอธิบายคำตอบของคุณ Chayutt สักหน่อยคงไม่เป็นไรกระมังครับหากว่าความคิดเห็นตรงกัน(คงไม่ตอบผมว่าเหมือนกันทุกประการนะครับ)หรือว่าความเห็นแตกต่างประการใดจะได้เป็นวิทยาทานแก่ตัวกระผมเองซึ่งกระผมยังเป็นคนเขลาอยู่ยังต้องเรียนรู้อีกเยอะครับและผมก็ได้ความรู้จากกระทู้นี้ไปมิใช่น้อยเหมือนกัน


    "มองแบบวิทยาศาสตร์ว่า
    ถ้าเราทำอย่างเดียวกัน โดยใช้ปัจจัยเดียวกัน แม้ว่าจะเรียกชื่อไปคนละอย่าง จะใช้คนละภาษา
    มันก็น่าจะได้ผลการปฏิบัติเหมือนกัน (ถ้าถึงระดับเดียวกัน) "
    2. อันนี้ผมก็เห็นด้วยตามนั้นครับเพราะหากทำแบบเดียวกันก็คงจะได้ผลเหมือนกันดั่งปลูกมะม่วงก็คงได้ผลมะม่วงฉันใดก็ฉันนั้น


    โมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2008
  7. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    จากที่ผมได้อ่านบทความและได้อ่านคำถามของคุณ Chayutt ชักอยากจะตอบและขอถามเพิ่มบ้างคงไม่ว่ากันนะครับ
    ---------------------------------------------------------------
    จริงเหรอครับ ???
    จากคำถามหมายถึงข้อความนี้หรือเปล่า นั่นเป็น "ผล" ของลัทธิอื่นเขาทำกัน เขาเพ่งเล็งกัน และเขาก็เรียก "ผล" เช่นนั้น ของเขาว่า "นิพพาน" ก็มี

    ขอขยายความคำว่า "นิพพาน" จากบาลี Nibbāna निब्बान ประกอบด้วยศัพท์ นิ(ออกไป, หมดไป, ไม่มี) + วานะ (พัดไป, ร้อยรัด) รวมเข้าด้วยกันแปลว่า ไม่มีการพัดไป ไม่มีสิ่งร้อยรัด คำว่า "วานะ" เป็นชื่อเรียกกิเลสตัณหา กล่าวโดยสรุป นิพพานคือการไม่มีกิเลสตัณหาที่จะร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ

    ซึ่งจากบทความ /**ผู้บำเพ็ญเพ่งเล็ง "น้อมจิต" ใฝ่เพียรทำ "จิต" เพื่อให้นิ่ง ให้ดับ ให้ขาดจากร่างกาย อย่างแท้จริง เหมือนอยู่กันคนละส่วน คนละอัน "จิต" ก็แยกจากร่างกายไป "ร่างกาย" ก็แข็งทื่อ นิ่งอยู่ต่างหาก ไม่มี "จิต" ครอง

    ถ้าเขาผู้นี้ ได้สร้างแบบฝึกหัด หรือก่อเหตุ ก่อปัจจัย ไปจนครบถ้วนพอ หรือ ครบจำนวน

    "ผล" คือ เป็นผู้ทนได้ทุกอย่าง ทนแม้กระทั่งดิน ฟ้าอากาศ จะแปรเปลี่ยนอย่างไร ก็ยังสามารถทนได้

    เช่น ไฟเผาก็ไม่ไหม้ ทิ้งน้ำก็ไม่จม มีดฟันก็ไม่เข้า เป็นต้น อย่างนี้ ก็มี

    นั่นเป็น "ผล" ของลัทธิอื่นเขาทำกัน เขาเพ่งเล็งกัน และเขาก็เรียก "ผล" เช่นนั้น ของเขาว่า "นิพพาน" ก็มี **/

    ** ความเห็นส่วนบุคคลโปรดพิจรณา** ผมว่าบทความนี้กล่าวถึงลัทธิอื่นที่ปรารถนาความหลุดพ้นที่เรียกว่านิพพาน และได้ปฏิบัติซึ่งเขาอาจสำเร็จ "ผล" ดังข้อความข้างต้นแล้วเขาบอกว่านี่แหละการหลุดพ้นหรือว่านิพพาน

    -----------------------------------------------------------------------

    รู้ได้อย่างไร ??? คำถามนี้คาดว่าจากบทความที่คุณแปลออกมาเลยเกิดความสงสัยว่าศาสนาพุทธเท่านั้นหรือที่รู้วิธีไปนิพพาน Y/N ** ความเห็นส่วนบุคคลโปรดพิจรณา**

    ซึ่งบทความที่คุณแปลนั้นผมก็ไม่ทราบว่าท่านสามารถเข้าถึงนิพพานได้หรือไม่ ท่านรู้ได้อย่างไร ? โปรดช่วยตอบเป็นวิทยาทานหรือช่วยสรุปให้ทราบสักนิดครับเพราะคุณ Chayutt เป็นคนแปลน่าจะอ่านเข้าใจแล้วเผยแผ่ให้ทราบ

    **ขออภัยหากเป็นการรบกวน**

    --------------------------------------------------------------

    เคยฝึกแบบเขาหรือยัง???
    ไม่ทราบว่าคุณ Chayutt หมายถึงการฝึกแบบใดครับแบบโยคี หรือว่านั่งสมาธิแบบปกติ(ถ้าแบบนั่งสมาธิแบบปกติอันนี้ผมทำครับ) หรือถ้าแบบที่แปลให้ดู(ยังอ่านไม่จบครับ)หากมีข้อแนะนำโปรดชี้แนะ** ความเห็นส่วนบุคคลโปรดพิจรณา**

    --------------------------------------------------------------

    รู้ได้อย่างไรครับว่าเขาไม่มีการ "แทงทะลุทุกขอริยสัจสี่" ??? หรือรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไปนิพพานไม่ได้เลย???

    ถ้าลองอ่านให้ละเอียดแล้วพิจรณา ในบทความนี้กล่าวถึง

    บุคคลใด แม้จะได้บำเพ็ญจิต (โยคะ หรือตบะ) มาอย่างเก่ง อย่างสูงเท่าใด ถ้ายังไม่เข้าใจ "จุดเอก" ยังไปมัวเมาใน "วิชชา" อย่างอื่นอยู่ จึงเรียกว่ายังมี "วิปัสสนูปกิเลส" อยู่ทั้งสิ้น

    จึงคือผู้ยังไม่ได้เข้าอันดับเป็น "สมณะ" ของ "พุทธวิชชา"

    และมีข้อความต่ออีกว่า

    จนกว่าจะจับจุดเอกได้ และเริ่มเดินทางถูก จึงจะได้ชื่อว่านักศึกษา ขั้นผ่านการสอบคัดเลือก เข้ามาได้ คือเรียกว่า เริ่มเป็น "พระโสดาบัน"

    การบำเพ็ญจิตให้ลุถึง "พระนิพพาน

    จากข้อความข้างต้น(ตามความเห็นของผม)ก็หมายความว่าไม่เพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นที่รู้แจ้งแทงทะลุทุกขอริยสัจสี่ได้ลัทธิอื่นหรือศาสนาอื่นก็ทำได้เช่นกันหากจับจุดถูก เปรียบดัง มีจุดมุ่งหมายเดียวกันแต่ทำกันคนละแบบ เช่นการเดินทางจากประเทศไทยไปประเทศอื่น
    เราสามารถเลือกได้ว่า ไปเครื่องบิน ไปรถยนต์ ไปทางเรือ ไปโดยม้า ขีมอเตอร์ไชค์ หรือว่า เดินเท้า ทุกอย่างล้วนไปถึงจุดหมายเหมือนกัน
    เพียงแต่จะถึงช้าถึงเร็วหรืออาจไม่ถึงก็ได้หากหมดกำลังเสียก่อน


    ** ความเห็นส่วนบุคคลโปรดพิจรณา**

    ***ส่วนที่อ้างตำรา ก็คงมีบ้างนะครับ เพราะคงไม่มีความรู้จากจิตเพียงอย่างเดียวครับปฏิบัติยังไม่ถึงขั้นนั้นครับ***

    ****ขออภัยหากเป็นการรบกวนคุณ Chayutt ****

    โมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2008
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เช้านี้เพิ่งเข้ามาในกระทู้ได้เห็นคุณ chayutt และ น้อง narongwate ได้สากัจฉาธรรมผ่านกระทู้ ได้อ่านคำแปลที่คุณ chayutt แนะนำ ดีครับ ดีจริงๆ นับว่าไม่เสียหลายที่มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นในกระทู้นี้ เมื่อได้ดูทั้งปุจฉา และวิสัชนาแล้วชอบมาก แต่ผมเองมีสติปัญญาและเวลาที่จะค้นคว้าน้อยมากเมื่อเทียบกับทั้ง 2 ท่าน คงมีแต่สิ่งที่ได้เจอในกระทู้ต่างๆ เท่าที่พอจะหามาได้ในช่วงเช้านี้ช่วยตอบคำถามของคุณทั้ง 2 ในเรื่องนี้ดังนี้ (ต้องขออภัยเพราะในส่วนตัวของผมที่ต้องขอสงวนสิทธิไว้คือมีจุดยืนเรื่องการไปนิพพานตามความเชื่อในพุทธศาสนาคือต้องไปตามสติปัฏฐาน 4 และเดินตามอริยมรรคคือ มรรค 8 ประการ เท่านั้น และต้องมีสัมมาทิฐิคือความเห็นชอบเป็นตัวนำก่อน ส่วนเหตุผลอื่นไม่มีมาหักล้างแต่ประการใด)

    นำมาจาก http://www.larndham.net/cgi-bin/kratoo.pl/000345.htm

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=700 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top> </TD><TD>[SIZE=+2]แล้วถ้าคนนับถือศาสนาอื่นก็นิพพานไม่ได้สิคับ ?[/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><!"#853A7B"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#bbddff border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> เนื้อความ :
    ก็ศาสนาอื่นไม่เห็นพูดถึงเรื่องการนิพพานเลยนี่คับ
    อย่างศริสต์ หรืออิสลาม
    หรือว่าการที่ไปพบพระเจ้าเป็นนิพพานของเค้า
    อ้าว แล้วอย่างงี้สมมติมีชาติก่อน เราก็เป็นคนที่นับถือศาสนาอื่นไม่ได้เลยสิคับ
    หรือว่าคนเราจะไปยังที่ๆเชื่อว่าจะไป
    แล้วถ้าคนไม่นับถือศาสนาอะไรเลยล่ะคับ

    งงง่ะ​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : JeyZ [ 26 ส.ค. 2542 / 20:27:07 น. ]
    [SIZE=-1] [ IP Address : 203.149.33.221 ][/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>


    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 1 : (นายโจโจ้)

    นิพพานคือความดับทุกข์ครับ ไม่ต้องนับถือศาสนาพุทธก็ดับทุกข์ได้ครับ ถ้าปฏิบัติตามสติปัฏฐาน 4 เดินทางสายกลาง ไม่ต้องนับถือศาสนาพุทธ ไม่ต้องโกนหัวบวชเป็นพระ ก็ดับทุกข์ได้

    ถ้าไม่วิ่งเข้าไปหาทุกข์ =) จริงป่ะคับ =P​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : นายโจโจ้ [ 26 ส.ค. 2542 / 21:28:32 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.149.34.226 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 2 : (rising_sun)

    เรื่องนิพพานคือความดับแห่งทุกข์โดยชอบนั้นมีสอนแต่ในศาสนาพุทธครับ เรื่องการไปพบพระเจ้าได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าตามหลักคำสอนของศาสนาคริสต์, อิสลาม หรือแม้กระทั่งการไปรวมกับปรมาตมันของศาสนาพราหมณ์นั้นไม่ใช่นิพพานหรอกครับ

    เรื่องนิพพานนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชัดว่าศาสนาใดไม่มีอริยมรรคมีองค์แปด ศาสนานั้นไม่มีสมณะที่หนึ่ง สมณะที่สอง สมณะที่สาม สมณะที่สี่ (พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์) คำสอนของศาสนาอื่นๆเท่าที่ได้ศึกษามาถึงจะอนุโลมให้เป็นมรรคได้ก็มีไม่ครบแปดครับ อย่างสัมมาสติ, สัมมาสมาธิ ขนาดชาวพุทธเองยังงงเลยครับ หรืออย่างสัมมาทิฏฐิ(ความเห็นชอบ), สัมมาสังกัปปะ(ความคิดชอบ)เป็นต้น

    ส่วนถ้าเราเกิดเป็นมนุษย์ในระยะเวลาที่ไม่มีพุทธศาสนา อันนั้นก็เป็นความโชคร้ายของเรา(อาจจะเป็นแค่ผมคนเดียวก็ได้) บวกกับความน่ากลัวของสังสารวัฏด้วยครับ ที่เราอาจจะไปเชื่อลัทธิใดๆก็ได้สุดแต่กิเลสจะพาไป พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าถ้าไม่มีศาสนาพุทธให้นับถือศาสนาที่เป็นกรรมวาทีไว้ก่อน หมายถึงศาสนาที่เชื่อกรรมและผลของกรรมไว้ก่อนครับ

    เราจะไปไหนก็ตาม ขึ้นอยู่กับจิตเขาจะตัดสินครับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเชื่ออะไร จิตเสพคุ้นกับอารมณ์ไหนมากก็มักจะไปตามนั้นครับ อย่างคนที่เหม่อจัดๆเวลาไปจิตมันก็ไปอย่างเหม่อๆ ก็เลยไปเป็นสัตว์เดรัจฉานกัน

    คนที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย ถ้าเขาทำความดีมากๆก็จะได้รับผลของกรรมดี ถ้าเขาทำชั่วมากๆก็จะได้รับผลของกรรมชั่ว ถ้าเขาเจริญอริยมรรคมีองค์8 (ปฏิบัติสติปัฏฐาน4 มีสัมมาสมาธิรวมอยู่ในมรรคมีองค์แปดนี้แล้ว)เขาก็มีหวังไปนิพพานครับ

    เมื่อเขารู้ธรรมแล้วเขาก็จะหมดสงสัยในธรรมของพระผู้มีพระภาคไปเอง มีความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัย โดยเฉพาะพระผู้มีพระภาคถึงขนาด(ในคัมภีร์บอก)ว่า หากพระผู้มีพระภาคสั่งให้พระอริยบุคคลโดดลงไปในบ่อโคลน ท่านก็จะโดดลงไปอย่างไม่ลังเลใจเลยด้วยความเคารพและความกตัญญูในพระผู้มีพระภาคครับ​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : rising_sun [ 26 ส.ค. 2542 / 22:08:17 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.134.32.96 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 3 : (ประพันธ์ เศวตนันทน์)

    ธรรมชาติอยู่ที่ไหนก็เหมือนกัน แต่ภาษาเป็นของสมมติฟังดูเหมือนต่างกัน แต่เป็นสิ่งเดียวกัน ผมไม่แน่ใจว่าแม้แต่คำว่า นิพพาน กับ Nirvana ให้ความเข้าใจแก่ฝรั่งเหมือนที่คนไทยเข้าใจหรือเปล่า ทางไปพระนิพพานไม่ได้สร้างขึ้นโดยพระพุทธองค์ แต่ทรงได้ตรัสรู้ธรรมชาติดังกล่าวและนำมาเผยแพร่แก่ประชาชนทั่วไป เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะนับถืออะไรมาก่อน แม้ได้เดินทางตามแนวสติปัฏฐาน 4 แล้วย่อมมีโอกาสได้อารมณ์พระนิพพานแน่นอน (ไม่ใช่ไปพระนิพพาน เพราะนิพพานเป็นอารมณ์ไม่ใช่สถานที่) แต่จีน แขก ฝรั่ง อาจเรียกชื่อเป็นอย่างอื่น เช่น คำว่านรก เขาใช้ Hell เป็นต้น แต่ในความเข้าใจเหมือนกัน คือที่ร้อนที่ไม่มีใครอยากไป ไปว่าฝรั่งว่า Go to hell เป็นมีเรื่อง ไปว่าคนไทยว่าไปนรกซะไป ก็มีเรื่องเช่นกัน สำหรับความเชื่อในศาสนาอื่น ผมไม่อยากเข้าไปวิจารณ์ ศรัทธาเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ควรวิจารณ์กัน ​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : ประพันธ์ เศวตนันทน์ [ 26 ส.ค. 2542 / 22:28:30 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.145.3.54 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 4 : (Papa)

    สภาวะ นั้นมีอยู่แล้วตามธรรมชาติ
    ขึ้นอยู่ว่า จะหาพบหรือไม่
    หรือพบแล้ว จะเผยแพร่หรือไม่
    หรือเผยแพร่แล้ว มีคนยอบรับหรือไม่
    ส่วนภาษา ที่ใช้ อาจมีหรือไม่มี
    ถ้ามี แต่ไม่รู้ความหมาย
    เมื่อใช้ความคิด และเหตุผล
    มาอธิบาย จึงใช้ภาษา
    แต่สภาวะนั้นไม่อาจเข้าใจได้
    ด้วยภาษา​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : Papa [ 27 ส.ค. 2542 / 05:47:07 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.157.0.99 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 5 : (ปิ่น )

    ถ้าว่าตามหลวงปู่ชาท่านว่าเป็นเรื่อง "นอกเหตุเหนือผล
    นอกจริงเหนือเท็จ นอกเกิดเหนือตาย นอกสุขเหนือทุกข์
    ครับ สุดที่จิตใจคนเราทั่วไปจะหยั่งรู้ได้ ต้องปฏิบัติ
    เองรู้เอง เห็นเอง​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : ปิ่น [ 27 ส.ค. 2542 / 11:06:11 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 204.160.183.12 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 6 : (aston27)

    ประมวลจากที่ฟังมา อ่านมา รวมถึงข้างต้น
    ผมสรุปเอาว่า นิพพานเป็นภาวะที่มีในธรรมชาติ
    พระพุทธสมณะโคดม ไม่ได้กำหนด หรือสร้างขึ้น
    แต่พระพุทธองค์ได้ชี้ทางไปสู่นิพพานนั้นไว้
    ซึ่งเท่าที่เราทราบกัน ไม่ปรากฏในศาสนาอื่น
    (ไม่ได้แปลว่าศาสนาอื่นไม่ดีนะครับ แต่เข้าใจว่า
    ศาสนาอื่นไม่ได้เชื่อเรื่องนิพพาน เท่านั้นเอง)
    ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น ย่อมมีวัตรปฏิบัติของตน
    ซึ่งย่อมไมใช่ทางไปนิพพาน

    จำได้ถึงเรื่อง สุวัชชะ พระภิกษุรูปสุดท้ายที่บวชโดยพุทธานุญาติ
    ที่ถามคำถามคล้ายกันนี้กับพระพุทธองค์
    พระพุทธองค์ตรัสว่า พระอรหันต์ นอกศาสนาพุทธ ไม่มี
    ตีความในแง่หนึ่ง หากไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ
    ไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพุทธองค์
    แต่ไปถึงนิพพานได้ ผู้นั้นก็เป็นปัจเจกพุทธเจ้าแล้วครับ​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : aston27 [ 28 ส.ค. 2542 / 00:28:49 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.149.33.252 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 7 : (Pz)

    ผู้ที่นิพพานแล้วล้วนแล้วแต่นับถือพระรัตนตรัย ในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น
    แม้พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัย​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : Pz [ 28 ส.ค. 2542 / 09:43:20 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 202.183.234.47 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 8 : (บัวใต้น้ำ)

    ตอบดีๆกันทั้งนั้นครับ ผมขอแสดงความคิดเห็นบ้างครับ
    -------------------
    แล้วถ้าคนนับถือศาสนาอื่นก็นิพพานไม่ได้สิคับ ?
    --------------------
    คล้ายๆจะอย่างนั้นครับ แต่..
    ไม่ได้หมายความว่าคนศาสนาอื่นปฏิบัติให้เข้าถึงธรรมไม่ได้หรอกน่ะครับ
    ถ้าปฏิบัติตามหลักเดียวกันกับหลักที่พระพุทธองค์สอน ก็เข้าถึงธรรมได้
    แต่ถ้าปฏิบัติถึงขั้นโสดาบัน จิตก็จะเชื่อมั่นในพระรัตนตรัยเองครับ
    เพราะจิตประจักษ์ความจริงด้วยตนเอง ถึงตอนนั้นจะห้ามไม่ให้นับถือ
    พระรัตรตรัย ก็คงไม่เชื่อแล้วละครับ​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : บัวใต้น้ำ [ 28 ส.ค. 2542 / 16:58:05 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 192.150.251.3 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 9 : (สุรภา เดชะ surapa@mail.ams.cmu.ac.th)

    ธรรมชาติเรื่องสากล
    ทุกแห่งหนยลเหมือนกัน
    ้พ้นสุขและทุกข์นั้น
    ย่อมเป็นได้ปัจจัยมี
    นิพพานสภาพขาน
    ใช่สถานไปอยู่นี้
    หมดสิ้นกิเลสซี
    จักเป็นไปใช่เช่นกัน
    ทางตรงที่องค์มรรค
    แปดพร้อมพรักมีแข็งขัน
    ไม่เว้นขณะนั้น
    ย่อมเป็นได้ขอให้จริง.

    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : สุรภา เดชะ surapa@mail.ams.cmu.ac.th [ 1 ก.ย. 2542 / 11:20:05 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.146.58.253 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <CENTER><TABLE cellSpacing=10 width=700 bgColor=#853a7b border=0><TBODY><TR><TD align=middle width="100%">
    <CENTER><TABLE width="100%" bgColor=#e4f3f3 border=0><TBODY><TR><TD colSpan=2> ความคิดเห็นที่ 10 : (ทองจันทร์)

    เห็นด้วยกับคุณ aston 27และคุณบัวใต้น้ำครับ ในเรื่องที่ว่าไม่มีพระอริยบุคคล นอกจากผู้นับถือพระพุทธศาสนาเท่านั้น เหตุผลก็ที่หลายๆท่านตอบมาก็ดีแล้วนะครับ ตรงนี้ผมเคยฟัง หลวงปู่หล้า เขมปัตโต วัดภูจ้อก้อ ท่านเทศน์ไว้เหมือนกันครับ ก็ง่ายนิดเดียวคือเดิมถึงจะเคยนับถือศาสนาใดๆมาก่อนแต่มาภายหลังเกิดความเชื่อในสัมมาปฏิบัติคือดำเนินตาม มรรค 8 รู้แจ้งวอริยสัจสี่ เมื่อใดก็ถึงความเป็นสงฆ์ในทันที(ไม่ใช่โดยสมมุติ)ดังนั้นจึงไม่ได้เป็นบุคคลที่จะยังเชื่อนับถือศาสนาอื่นอีกโดยอัตตโนมัติ ครับ : ) แต่ต้องแยกให้ออกในเรื่องของกรรมนะครับ กรรมนั้นถึงจะนับถือหรือไม่นับถือศาสนาใดๆหากธรรมชาตินั้นก็ให้ผลด้วยความเที่ยงตรงเป็นธรรมทุกๆจิตทุกๆใจที่กระทำและจะต้องรับผลนั้นเสมอกัน แม้จะไม่เชื่อเรื่องบาปกรรมก็ตาม หากสงสัยเรื่องกรรมวิบาก รู้สึกว่ามีกระทู้เรื่องกรรมวิบาก ในกระทู้นี้นะครับลองไปอ่านดูนะครับ​
    </TD></TR><TR><TD colSpan=2> จากคุณ : ทองจันทร์ [ 1 ก.ย. 2542 / 13:29:43 น. ] [SIZE=-1]
    [ IP Address : 203.151.82.4 ]
    [/SIZE] </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>​
    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>



    <HR><CENTER>จบกระทู้บริบูรณ์

    </CENTER>
    สุดท้ายเป็นธรรมะของท่านหลวงปู่เทสก์ที่เป็นครูอาจารย์ที่ผมเอาเป็นแบบอย่างในข้อกรรมฐาน กายคตาสติภาวนา ท่านกล่าวถึง ทางไปนิพพานไว้น่าสนใจดังนี้

    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1> <!-- / icon and title --><!-- message -->
    [​IMG]

    ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นมรรค อันเอกอุกฤษฏ์

    เดินทางนี้ตรงไปสู่ความดับทุกข์ได้แน่ อันพระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้า เป็นต้น ได้ดำเนินมาสำเร็จตามปรารถนามาแล้วทุกๆ พระองค์ มรรค ๘ เป็นทางดำเนินด้วยใจ ถึงแม้จะแสดงออกมาให้เป็นศีล ก็แสดงศีลในองค์มรรคนั่นเอง

    มรรคแท้มีอันเดียว คือ สัมมาทิฏฐิ อีก ๗ ข้อเบื้องปลายเป็นบริวารบริขารของสัมมาทิฏฐิทั้งนั้น หากขาดสัมมาทิฏฐิตัวเดียวเสียแล้ว สัมมาสังกัปปะเป็นต้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

    เช่น ปัญญาพิจารณาเห็นความทุกข์ตามเป็นจริงว่า มนุษย์สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมาในโลกนี้ย่อมถูกทุกข์คุกคามอยู่ตลอดเวลา โลกนี้จึงเป็นที่น่าเบื่อหน่ายเห็นเป็นภัย แล้วก็ดำริตริตรองหาช่องทางที่จะหนีให้พ้นจากกองทุกข์ในโลกนี้

    การดำริเช่นนั้นก็เป็นผลสืบเนื่องมาจาก สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบนั่นเอง การดำริที่ชอบที่ถูกนั้นก็เป็นสัมมาวาจาอยู่แล้ว เพราะวาจาจะพูดออกมาก็ต้องมีการตริตรองก่อน การตริตรองเป็นศีลของอริยมรรค การพูดออกมาด้วยวาจาชอบเป็นศีลทั่วไป

    การงานของใจ คือ ดำริชอบ วาจาชอบ อยู่ภายในใจ เป็นการงานของอริยมรรคผู้ไม่ประมาท ดำเนินชีวิตเป็นไปในอริยมรรคดังกล่าวมาแล้วนั้น ได้ชื่อว่าความเป็นอยู่ชอบของผู้นั้น ผู้พยายามดำเนินตามอริยมรรคดังกล่าวมาแล้ว โดยติดต่อกันตามลำดับไม่ขาดสายได้ชื่อว่ามีความเพียรชอบในมรรคทั้งแปด

    ๖ ข้อเบื้องต้นมีความเห็นชอบเป็นต้น มีความพยายามชอบเป็นที่สุด หากขาดสัมมาสติ ตั้งสติชอบเสียแล้ว จะเดินไปให้ถึงสัมมาสมาธิไม่ได้เลย เหมือนทางที่ไม่ติดต่อเชื่อมกัน จะนำยานพาหนะไปตลอดทางได้อย่างไร

    องค์สุดท้ายคือสัมมาสมาธิ ยิ่งเป็นกำลังใหญ่สนับสนุนให้องค์มรรคนั้นๆ มีกำลังกล้าหาญที่จะไม่ท้อถอยในหน้าที่ของตนๆ พึงสังเกตดูเถิดว่า นักปฏิบัติโดยมาก หากสมาธิไม่มั่นคงแล้วมักไปไม่รอด ปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นผู้ส่องทางให้เห็นทางเดินก็จริง แต่เมื่อสติกับสมาธิอ่อนกำลังลงแล้ว ปัญญาอาจกลายเป็นสัญญาเป็นสังขารไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้


    http://palungjit.org/showthread.php?t=114975


    จากที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ผมเพียงนำเสนอจากข้อมูลทางฝ่ายพุทธอย่างเดียวที่สามารถไปนิพพานได้ ส่วนแนวทางคำสอนของศาสนาอื่นนั้น ผมมิได้มีความรู้อย่างนั้น จึงไม่สามารถนำมาวิจารณ์หรือสากัจฉาใดๆ ได้ จึงขอออกตัวในความเขลาของตนเองที่จะค้นคว้านำมาตอบได้ครับ


    สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ คุณchayutt และน้อง narongwate เป็นอย่างมากที่ช่วยจุดประกายความรู้ในกระทู้ทำบุญเล็กๆ นี้ ให้มีความรู้แปลกแยกออกมาจากการทำบุญ นอกเหนือจากบทความที่ลงกันตามปกติ ซึ่งดีจริงๆ ขอชมเชยครับ



    พันวฤทธิ์
    14/8/51


     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    มีความเห็นอีก 2 ความเห็นของชาวต่างชาติที่เข้ามานับถือศาสนาพุทธก็น่าสนใจในเชิงวิพากษ์อีกเช่นกัน


    .............

    ได้มีโอกาสไปฟัง พระอาจารย์ พรหม วังโส พระชาวอังกฤษ ท่านเป็นศิษย์รูปหนึ่ง หลวงพ่อชา สุภัทโท เทศน์ที่พุทธสมาคมแห่งโลก วันที่ 28 มกราคม และ ที่ ชาญอิสสระ วันที่ 30 มกราคม 2551

    [​IMG]

    มีผู้สนใจฟังธรรมเป็นจำนวนมาก ทั้งชาวพุทธไทย และ ชาวต่างประเทศ ตอนหนึ่งของการบรรยายที่น่าสนใจ จากผู้ถามเป็นชาวต่างประเทศ ว่า ทำไมถึงประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ล้าหลัง ไม่เจริญ ยากจน ????

    ท่านได้กล่าวตอบว่า
     
  10. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ยอดเยี่ยมมากครับ คุณพันวฤทธิ์ ข้อมูลที่หามาให้อ่านนี้ ทรงคุณค่าจริงๆครับ

    ผมมีความชอบเป็นพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือผมชอบหลวงพ่อพุธ ฐานิโยท่านแต่ไหนแต่ไรแล้ว
    พอได้เห็นข้อความของท่าน ผมยิ่งถูกใจใหญ่เลยครับ ที่ท่านว่า

    "หลักสากลของการปฏิบัติสมาธิ
    การบำเพ็ญสมาธิจิตเพื่อให้เกิดสมาธิ สติ ปัญญา
    มีหลักที่ควรยึดถือว่า
    ทำจิตให้มีอารมณ์สิ่งรู้ สติให้มีสิ่งระลึก
    จิตนึกรู้สิ่งใดให้มีสติสำทับเข้าไปที่ตรงนั้น
    ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด
    เป็นอารมณ์จิต ฝึกสติให้รู้อยู่ตลอดเวลา

    ไม่ว่าใครจะทำอะไร มีสติตัวเดียว
    เวลานอนลงไป จิตมันมีความคิดอย่างใด
    ปล่อยให้มันคิดไปแต่ให้มีสติตามรู้ไปจนกว่าจะนอนหลับ
    อันนี้เป็นวิธีการทำสมาธิตามหลักสากล..."

    นี่ไงหละครับ คือสิ่งที่เป้นต้นตอแห่งความสงสัยของผมหละครับ
    ...เดี๋ยวขออนุญาติย้อนอะไรให้ทราบอีกสักเล็กน้อยนะครับ...

    ประเด็นของผมคือ :

    1. ผมเป็นชาวพุทธทั้งกายและใจ ทั้งนิตินัย และพฤตินัย และก็เชื่อว่าตัวเองเป็น 1 ในคนส่วนน้อยของประเทศ
    ที่พอจะรู้จักคำว่าพุทธศาสนาดี(บ้าง)พอสมควร เอ่อ..ที่ว่าเป็นคนส่วนน้อยก็เพราะว่า ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ของประเทศ
    เขาไม่ค่อยรู้กันสักเท่าไหร่หรอกครับ เรื่องหลักคำสอนของศาสนาที่ตนเองระบุไว้ในสำเนาทะเบียนบ้านว่า"นับถือ"หนะ
    และผมก็จะยังคงนับถือ และปฏิบัติตามแนวพุทธอยู่ต่อไป ไม่คิดจะเปลี่ยนศาสนาแต่ประการใด..
    บอกไว้ เพื่อให้ท่านตัดประเด็นนี้ไปก่อนหนะครับ

    2. ผมสนใจศึกษา อ่าน ฟัง และอื่นๆเรื่องของศาสนาอื่น และลัทธิอื่น ก็เพราะสงสัยมาตลอด ว่าทำไมแต่ละศาสนาจึงสอนต่างกัน
    ทำไมหลายๆศาสนาจึงพูดถึงพระเจ้ากัน (ศาสนายูดาของยิว ศาสนาฮินดูบางส่วนก็มีกล่าวถึงปรมาตมันต์ ศาสนาคริสต์
    ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาไฮ ศาสนาซิกซ์ แม้แต่เล่าจื้อยังพูดถึงบางสิ่งที่เรียกว่า "เต๋า" ซึ่งก็มีนัยยะของความหมายเดียวกับ "พระเจ้า" ด้วย)
    ยกเว้นศาสนาพุทธ อาจจะเรียกว่าศาสนาเดียวหรือเปล่านะ ...ขอทดเอาไว้ก่อนนะครับ ยังไม่พูดต่อ เพราะนี่คือสิ่งที่เริ่มสังเกตและสงสัย
    ว่าทำไมศาสนาเหล่านั้นเอาเรื่องพระเจ้ามาพูดกันโครมๆ เขาเอาอะไรมาพูด เขาเอาที่ไหนมาพูด หรือเขาลอกกันมา
    หรือเป็นอย่างที่เรามองออกไปจากฝั่งเรา ที่ถ้าจะพูดกันตรงๆแล้วก็คือ "พวกเขาไม่รู้ พวกเขาไม่ค่อยฉลาด" นั่นเอง..ขอทดไว้อีกนะครับ

    3. เอาหละมาเข้าจุดซะที จะศาสนาไหนเชื่ออะไรก็ตามแต่ แต่ความจริงก็คือ "เรา" รู้จักพวกเขา และการปฏิบัติของพวกเขาน้อยมาก
    สิ่งที่เรารู้ก็เพียงแต่ว่าทางของเราถูกต้องที่สุด และพวกเขาผิด จากตำราและครูบาอาจารย์ท่านบอกต่อๆกันมา
    และใน "มโนภาพของเรา เกี่ยวกับพวกเขา" ก็คือภาพที่ผู้คนสวดอ้อนวอน ขอสิ่งต่างๆจากพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าเป็นผู้สร้าง
    และมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้พวกเขา และลิขิตชีวิตของพวกเขาด้วย มีบุญ มีบาป พระเจ้าก็อภัยหรือชำระล้างให้ได้ด้วย
    ส่วนบางลัทธิ ภาพของเราที่มีต่อเขา ก็จะเป็นว่า พวกเขาคร่ำเคร่งอยู่กับการปฏิบัติสมถะสมาธิ มุ่งเน้นให้ได้ฌาน แล้วไปรวมเป็นส่วนหนึ่งกับพระเจ้า

    เป็นเช่นนั้นหรือเปล่าครับ???? ท่านใดเห็นต่างจากนี้บ้าง????

    ผมเอง ก็เคยมีความคิดแบบนั้นแหละครับ จนมาเมื่อเร็วๆนี้ อย่างที่บอกว่า ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับฤาษีหลายตนของทางอินเดีย
    รวมถึงได้อ่านงานเขียนอันเกี่ยวเนื่องด้วย"พระเจ้า" ของทางคริสต์เขา บางเล่ม และรวมถึง ได้แปลและอ่านงานเขียนที่ผมพูดถึงไปแล้วนั้นด้วย
    จนตอนนี้งงเต็กเลยครับ เพราะเคยคิดว่า "สุดยอดท่าไม้ตายของศาสนาพุทธเรา ก็คือวิปัสนา หรือสติปัฏฐานสี่" ที่ศาสนาอื่น
    หรือลัทธิอื่นเขาไม่มีหรือไม่เข้าใจกัน ตามคำบอกเล่า หรือตามตำราที่ได้อ่านสืบๆกันมา แต่ "ปัดโถ่!!!" แล้วนี่มันอะไรหละเนี่ย!! นี่คือสิ่งที่ตัวผมเองก็เฝ้าพากเพียรหมั่นตรึกอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง
    สิ่งที่ผมกล่าวถึง ก็คือหลักการทำสมาธิสากล ที่ผมยกข้อความของหลวงพ่อพุธ ท่านมาอ้างไว้ข้างบนหนะแหละครับ
    ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมดทุกศาสนา ทุกลัทธิที่เขาทำกันก็ตาม แต่เขาก็มีทำกันโครมๆอยู่เช่นกันนะครับ ยกตัวอย่างเช่น
    -ของคุณ avatar_boy คนนี้ลูกศิษย์สายพระราม (ผมจะเรียงลำดับการเกิดของศาสนาให้ทราบนะครับ ถ้าจำไม่ผิดนะครับ
    ว่า ศาสนาพระรามเกิดก่อนยูดา ฮินดู พุทธและเชน (เชนเกิดพร้อมพุทธ แต่เล่าจื๊อนี่ไม่แน่ใจแต่น่าจะไล่ๆกัน)
    คริสต์ อิสลาม ซิกซ์ และบาไฮ (บาไฮนี่เกิดที่อิหร่านเมื่อประมาณ 200 ปีมานี่เอง)

    เขาพูดเอาไว้ ซึ่งผมจะสรุปสั้นๆให้ฟังว่า...

    - ทุกสิ่งทุกอย่าง เริ่มต้นมาจากความว่างเปล่า และจะต้องกลับคืนไปสู่ความว่างเปล่า
    - จิตวิญญาณเดิมแท้ของมนุษย์ ก็คือสิ่งที่เกิดจากมาจากความว่างเปล่า เสมือนเป็นลูกๆของความว่างเปล่าเอง
    - ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นมาจากมิติของความนึกคิด และมาสู่มิติทางกายภาพ ด้วยความคิดของเหล่าจิตวิญญาณที่เป็นลูกๆของความว่างเปล่าทั้งหลาย
    - เหล่าจิตวิญญาณบางส่วน ก็อยากมาหาประสบการในมิติทางกายภาพบ้าง ก็เลยพากันมาเกิดบนโลกต่างๆ รวมถึงโลกนี้ด้วย โดยสร้างกายหยาบขึ้นมาห่อหุ้มวิญญาณไว้
    - เมื่อเวียนว่ายตายเกิดอยู่นานวันเข้า จิตวิญญาณที่เคยทรงพลังอำนาจ ก็อ่อนแรงลง แล้วจดจำความเป็นมาดั้งเดิมของตนเองไม่ได้อีกต่อไป
    - และจนหลงลืมไปอย่างสิ้นเชิง เข้าใจว่าตัวตนจริงๆของตนเองคือกายเนื้ออันนี้
    - หากมนุษย์ยังไม่ตระหนักรู้ว่าแท้จริงแล้ว โลกนี้คือโรละคร ที่ตนเองพากันมาเล่นชั่วคราวเท่านั้น และยังไม่ตระหนักรู้ว่า
    แท้จริงแล้ว ร่างกายหยาบนี้เป็นแค่ยานพาหนะที่ใช้เดินทางไปไหนมาไหนในมิติทางกายภาพนี้เท่านั้น มนุษย์ก็จะไม่สามารถกลับไปสู่ยังที่ๆจากมาตั้งแต่ตอนได้
    - เมื่อทุกจิตวิญญาณล้วนเกิดจากความว่างเปล่าเช่นเดียวกัน ด้วยความที่จิตวิญญาณทั้งหลาย ถอดแบบออกมาจากความว่างเปล่าเหมือนกันหมด
    ดังนั้น จิตวิญญาณของเราทั้งหลาย จึงเป็นหนึ่งเดียวกัน มิอาจแบ่งแยกเราเขาได้ เพราะเขาก็คือเรา เราก็คือเขา เพราะทั้งเราและเขาต่างก้คือส่วนหนึ่งของความว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
    - และเพราะว่าทุกสรรพสิ่ง คือส่วนหนึ่งที่เกิดจากมิติทางความนึกคิดของจิตวิญญาณทั้งหลายเอง ดังนั้น ทุกสรรพสิ่งก็คือส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณเอง
    ด้วยเหตุนี้ จึงไม่มีอะไรที่เป็นของจริงของแท้เลย เพราะมันเป็นเพียงสิ่งที่ถูกฉายออกมาจากจากมิติทางความคิดของจิตวิญญาณ มาอยู่ในรูปของวัตถุธาตุชั่วคราวเท่านั้นเอง
    ทุกสรรพสิ่ง หมายถึงทุกสรรพสิ่ง รวมถึงเอกภพนี้ โลกนี้ ความยากดีมีจน ความดี ความชั่ว ความสารพัดความ ฯลฯ
    และทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ ก็คือส่วนหนึ่งของความว่างเปล่าด้วย เพราะต่างก็ถูกฉายออกมาจากความคิดของความว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
    ดังนั้น ในมุมมองของความว่างเปล่าเอง จึงไม่มีความแตกต่างกันระหว่างสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย
    - กาลเวลา ก็มิใช่ของจริง เป็นแต่เพียงมายาที่ใช้ได้กับมิติทางกายภาพนี้เท่านั้น เพราะความจริงแล้ว อดีต ปัจจุบัน และอนาคต มัมีอยู่ เป็นอยู่ พร้อมกันหมด ที่นี่และเดี๋ยวนี้
    - เงื่อนไขของการก่อให้เกิดสรรพสิ่งของเหล่าจิตวิญญาณทั้หลายและรวมถึงความว่างเปล่าด้วย ก็คือ"การกลับเข้าไปพินิจพิเคราะห์ดูความนึกคิดของตนเอง"
    ผมแปลเป็นภาษาทางพุทธ (แต่อาจจะไม่เป๊ะนัก) ว่า "การวิปัสนา" ซึ่งยิ่งเป็นจิตวิญญาณที่มีระดับพลังงานสูงๆแล้ว
    พอนึกปั๊บ ก็ได้สิ่งที่นึกรวดเร็วทันที แต่ถ้ายิ่งระดับพลังงานต่ำลงมาอีก ก็จะเกิดสิ่งที่นึกช้าลงไปอีก ยิ่งเป็นมนุษย์ยิ่งแล้วใหญ่ อาจใช้เวลาเป็นวัน สัปดาห์ หรือเดือน หรือปี
    แต่เกิดแน่ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะมันเป็นกฎสากลของจักวาล
    - การจะกลับไปสู่ที่ที่จากมาได้ ต้องยกระดับพลังงานของจิตวิญญาณของตนเองขึ้นไป กลับไปสู่ระดับดั้งเดิมโน้น
    ซึ่งวิธีการก้คือ การหมั่นตระหนักรู้ว่าตัวเราไม่ใช่กายเนื้อนี้ เดิมแท้เราคือจิตวิญญาณ และต้องตระหนักรู้มีสติรู้อยู่กับทุกๆอริยาบทที่กระทำ ในทุกขณะจิต มากที่สุดเท่าที่ทำได้
    จนสักวันหนึ่ง เมื่อระดับพลังงาน คลื่นความถี่ และการสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณ เข้ากันได้พอดีกับระดับพลังงาน คลื่นความถี่ และการสั่นสะเทือนของจิตวิญญาณเดิมแท้แล้ว
    เมื่อนั้นเราก็จะละวางความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนของเราอย่างแท้จริง และเป็นอิสระจากช่องว่าง ระยะทางและกาลเวลา
    และจะดำรงชีวิตอยู่ในนิรันกาลแห่งปัจจุบันขณะ คือมีแต่ที่นี่ และเดี๋ยวนี้ เท่านั้น ไม่พะวงถึงอดีต และอนาคตใดๆ
    ไม่หวั่นไหวต่อมายาใดๆทางโลกอีกต่อไป...


    แค่นี้ก่อนครับ..เหนื่อยแล้ว...ที่จริงแล้วยังมีอีกโขเลย ทั้งคล้ายคลึงและแตกต่างจากทางพุทธโดยสิ้นเชิง
    และนี่ก็เพียงเพื่อเล่าสู่กันฟังตามประสาผู้ใฝ่รู้ด้วยกันเท่านั้นนะครับ ไม่ได้แปลว่าให้เชื่อหรือไม่ให้เชื่อ เพราะเรารู้หลักกันดีอยู่แล้ว
    ในอันที่จะใช้วิจารณญาณของตนเอง ซึ่งแม้แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกเองก็เถอะ ผมคิดว่า เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะไม่มีข้อความไหน
    หรือบทไหนเลย ที่ท่านไม่มีข้อกังขา หรือสงสัยเลย...นี่ไง ผมถึงว่ามันเป็นธรรมดาของตำรา

    และอันที่จริงแล้ว ระยะนี้ สภาวะจิตของผมก็ไม่สู้อยากที่จะคลุกคลีกับทฤษฎีมากนัก ผมอยากพักไว้ก่อน คือเดินๆหยุดๆ สลับกันไปหนะครับ
    แล้วแต่สภาวะจิต ตอนนี้ ในพรรษานี้ อยากปฏิบัติจิตให้มาก มากกว่าครับ ก็เอาเป็นว่า ผมขอพักการสนทนาธรรมกับทุกๆท่านไว้เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ
    ขอกราบขอบพระคุณทุกๆท่านที่ร่วมกันสนทนาธรรมในครั้งนี้ด้วยนะครับ และขอกราบอนุโมทนาบุญกับทุกๆบุญกุศล ของทุกๆท่าน
    ที่ท่านทำมา และสั่งสมมาดีแล้ว ตั้งแต่อดีตชาตินับภพนับชาติไม่ถ้วน จนถึงในปัจจุบันชาตินี้ด้วยนะครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2008
  11. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    โมทนาบุญและขอขอบคุณคุณ Chayutt ครับที่แบ่งปันแง่คิดในมุมต่าง ๆ ให้รับทราบ แล้วจะรอชมต่ออีกครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2008
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอโทษทีครับวันนี้ภารกิจด้านการงานเยอะจริงๆ เลยไม่ได้เข้ามานำเสนอบทความในเรื่องต่างๆ เหมือนเคย เมื่อเข้ามาแล้วขอโพสท์เลยครับ

    [​IMG]


    <!--emo&:worsh-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:worsh-->[​IMG]<!--endemo--> <!--emo&:worsh-->[​IMG]<!--endemo-->


    ที่สุดของการถือสา

    เคยมีคนกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ถ้าหากจะย่อหลักธรรมของพระองค์ให้เหลือเพียงสั้นๆทว่าครอบคลุมใจความทั้งหมดแห่งพระพ
    ุทธศาสนา จะสรุปได้ว่าอะไร

    พระองค์ตรัสว่า หากจะให้สรุปเช่นนั้น ก็ขอสรุปว่าใจความแห่งคำสอนของพระองค์ขึ้นอยู่กับประโยคที่ว่า

    ‘ สัพเพ ธัมมานาลัง อะภินิเวสายะ ใดใดในโลกอันบุคคลไม่ควรยึดติดถือมั่น ’

    ทำไมจึงไม่ควรยึดติดถือมั่น เพราะที่ใดมีความถือมั่น ที่นั่นก็มีความทุกข์

    ความทุกข์ขยายตัวตามระดับความเข้มข้นของความยึดติด

    ยึดมาก ติดมาก จึงทุกข์มาก ไม่ยึด ไม่ติด จึงไม่ทุกข์

    ความไม่ยึดติดถือมั่น กล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ การปล่อยวาง ’

    ทำไมจึงต้องปล่อยวาง เพราะทุกอย่าง ‘ มีความว่าง ’ มาแต่เดิม

    คนที่หลงกอด ‘ ความว่าง ’ โดยคิดว่าเป็น ‘ ความมี ’ ทำไมจะไม่ทุกข์ล่ะ

    หลายคนชอบกอดไว้หมดทุกเรื่อง ทุกปัญหา ทุกคน แล้วยกขึ้นไปแบกไว้บนบ่า

    จากนั้นก็มานั่งเป็นทุกข์ว่าทำไมชีวิตถึงได้เหนื่อยล้าขนาดนี้ หมดเรี่ยวหมดแรง

    เหมือนโลกทั้งโลกกำลังกดทับ ก็เล่นถือเอาทุกเรื่องเป็นเรื่องของตัวหมดเลยนี่

    ถ้าไม่แบกเอาไว้ก็คงไม่หนัก ถ้าไม่ถือเอาไว้ก็คงไม่เหนื่อย แต่ก็นั่นแหล่ะ บางคน ‘ วาง ’ ไม่เป็น มีจิตฟุ้งซ่าน

    ต้องการจะเป็นธุระไปเสียทั้งหมด ก็ต้องแลกเอากับผลลัพธ์ที่ทำให้เหน็ดเหนื่อย

    มีเรื่องเล่าชวนคิดเรื่องหนึ่งว่า

    พระบวชใหม่รูปหนึ่งเดินบิณฑบาตผ่านชุมชนแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้คนจอแจ ขณะเดินสำรวมก้มหน้าแต่พอประมาณเพื่อเดินผ่านชุมชนไปอย่างช้าๆ นั่นเอง

    จู่ๆ มีชายผู้หนึ่งใส่สูท ผูกเนคไท สวมแว่นตาดำ เดินเข้ามาหาท่าน พร้อมชี้หน้าด่าท่านอย่างสาดเสียเทเสีย

    พระรูปนั้นตกตะลึง รีบเดินหนี แต่แม้ท่านจะเดินหนีชายคนนั้นพ้นแล้ว แต่เสียงด่าทอของเขายังก้องอยู่ในโสตประสาทของท่านอย่างชัดถ้อยชัดคำ

    เมื่อกลับมาถึงวัด พลันที่คิดถึงเหตุการณ์ที่ตนถูกชี้หน้าด่ากลางฝูงชน พระหนุ่มก็รู้สึกโกรธจนหน้าแดงก่ำ

    ยิ่งคิดต่อไปว่าชายคนนั้นมาชี้หน้าด่าตนซึ่งเป็นพระ และตนก็จำได้ว่าตั้งแต่บวชเข้ามาในพระธรรมวินัย ก็ยังไม่เคยทำอะไรผิด

    คิดมาถึงขั้นว่าตนไม่ผิด แต่ทำไมตนต้องถูกด่า ยิ่งเจ็บ ยิ่งแค้น วันที่ท่านถูกด่ากลางชุมชนนั้นเป็นวันศุกร์ แต่ตกถึงเช้าวันจันทร์ท่านก็ยังไม่หายโกรธ

    เช้าวันจันทร์นั้น พระบวชใหม่ประคองบาตรเดินผ่านชุมชนนั้นเหมือนเดิม ท่านพยายามสอดส่ายสายตามองหาชายคนเดิม

    ตั้งใจว่าวันนี้จะต้องถามให้รู้เรื่องว่าเหตุใดจึงมาชี้หน้าด่าตนเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว

    ยิ่งพยายามค้นหา กลับยิ่งไม่พบ ท่านจึงเดินสำรวจรับอาหารบิณฑบาตต่อไป จนได้อาหารเต็มบาตรแล้วจึงเดินกลับวัด

    ระหว่างทางกลับวัด โดยไม่คาดฝัน พระหนุ่มทอดสายตาไปพบกับชายคนหนึ่ง สวมสูท ผูกเนคไท ใส่แว่นตาดำ ท่านอุทานในใจว่า

    “ อ๋อ เจ้าคนนี้เองที่ด่าฉันเมื่อวันศุกร์ ”

    ภาพที่เห็นคือ ชายแต่งตัวดีคนนั้น นอนหลับหมดสติอยู่ข้างศาลเจ้าแม่แห่งหนึ่ง ข้างๆ ตัวเขามีขวดเหล้าล้มกลิ้งอยู่

    พอท่านพยายามเดินเข้าไปมองใกล้ๆ เขาจึงเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา พอเห็นท่านเท้านั้นชายคนนั้นก็ร้องขึ้นมาว่า

    “ ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ บัดนี้พระองค์ทรงกลับมาครองพาราณสีอีกครั้งหนึ่งแล้วกระนั้นหรือ …” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นรำเฉิบๆ

    พลันที่ท่านประเมินได้ว่าชายแต่งตัวดี คนที่ชี้หน้าด่าท่านเมื่อวันศุกร์ที่แล้วเป็นคนบ้าที่มาในร่างของคนแต่งตัวดีเท่านั้

    ความโกรธที่ก่อตัวเป็นเมฆดำทะมึนอยู่ในใจของท่านมานานถึงสามวันก็อันตรธานไปอย่างง่า
    ยดายชนิดไร้ร่องรอย

    ทำไมเราจึงปล่อยวางต่อคนบ้าได้ง่ายดายเหลือเกิน

    แต่กับคนปกติ ทำไมเราจึงมีความรู้สึกว่าต้อง...เอาเรื่องราว...ให้....ถึงที่สุด

    เราบ้าหรือเปล่า ?

    http://wongchatree.com/forum/index.php?showtopic=1704&pid=18704&mode=threaded&show=&st=&
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" bgColor=white border=2><TBODY><TR><TD>

    เนื่องจากกระทู้ในหน้า 87 มีปัญหาการติด BUG จากที่อื่น ไม่สามารถเข้าไปอ่านข้อความที่โพสท์ไว้แล้วได้ ขอความกรุณาข้ามหน้านี้ไปเลยครับ..


    <TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 13 สิงหาคม 2551 13:16:00 น.-->{{ ถ้ารักษาศีล นั่งสมาธิเป็นประจำจะมีผิวพรรณที่สวยสดใส ดูดี ในชาตินี้ได้หรือไม่ }}
    <!--Main-->[SIZE=-1][​IMG][/SIZE]

    [SIZE=-1]ผิวหนังชั้นนอกมี ๕ ชั้น

    [SIZE=-1]ผิวหนังจะผลัดเซลล์ผิวทุก ๔ สัปดาห์ ผิวที่ผลัดออกจะกลายเป็นขี้ไคลไป[/SIZE]

    [SIZE=-1]ผิวใหม่ ก็จะขึ้นมาแทนที่ การที่ผิวจะสวยต้องประกอบด้วย อาหาร การพักผ่อน[/SIZE]

    [SIZE=-1]อารมณ์ ฮอร์โมน อายุ สภาพแวดล้อม[/SIZE]

    [SIZE=-1]===================================[/SIZE]

    [SIZE=-1]ถ้ารักษาศีล : ผิวหน้าผิวกายใส เพราะจิตใจไม่หม่นหมอง ถูกต้องตามปัจจัย[/SIZE]

    [SIZE=-1]"อารมณ์" เพราะผู้รักษาศีลได้ ต้องมี "สติ" พอไม่ผิด ก็สบายใจทั้งวัน[/SIZE]

    [SIZE=-1]===================================[/SIZE]

    [SIZE=-1]ถ้าปฏิบัติธรรม : ผิวหน้าผิวกายใส เพราะจิตใจไม่หม่นหมอง ถูกต้องตามปัจจัย [/SIZE]

    [SIZE=-1]คร่าว ๆ ดังนี้[/SIZE]

    [SIZE=-1]อาหาร : ทานอาหารก็กำหนดสติ จึงเคี้ยวอาหารละเอียด (ย่อยง่าย อิ่มเร็ว ร่างกาย[/SIZE]

    [SIZE=-1]สามารถดูดซึมสารอาหารได้ง่าย) ถ้าทานมังสวิรัต หรือ อาหารเจ ก็จะช่วยระบบ[/SIZE]

    [SIZE=-1]การย่อยอาหาร และลดสารพิษ เหมือนเป็นการ DETOX ร่างกายค่ะ[/SIZE]

    [SIZE=-1]การพักผ่อน : การนั่งสมาธิเป็นการพักผ่อนร่างกายได้ดี เพราะถ้าเข้าสมาธิ[/SIZE]

    [SIZE=-1]การเต้นหัวใจ การหายใจ เหมือนคนนอนหลับ ลมหายใจยาววววว สงบ[/SIZE]

    [SIZE=-1]และจิต ก็ไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้จิตไม่เหนื่อย จิตสงบ ร่างกายสงบ พักผ่อน[/SIZE]

    [SIZE=-1]อารมณ์ : นั่งสมาธิอารมณ์ไม่ไปตามกระแสโลก โลภ โกรธ หลง อารมณ์ก็ดี [/SIZE]

    [SIZE=-1]ไม่ทรมานกับไฟ ๓ กอง ไม่อยู่ร้อนนอนทุกข์ อารมณ์สงบ ละเอียด สบายยยย[/SIZE]

    [SIZE=-1]แต่ไม่ได้ นั่งสมาธิ "ทะลุเวทนา" นะจ๊ะ[/SIZE]


    [SIZE=-1]ฮอร์โมน : นั่งสมาธิ Growth Hormone จะงอกออกมา "สารหน้าเด็ก" [/SIZE]

    [SIZE=-1]ซ่อมแซมเซลล์ที่สึกหรอ (GH จะออกมาตอนนอนหลับสนิท 8 ชั่วโมง[/SIZE]

    [SIZE=-1]ออกกำลังกายเหนื่อยสุด ๆ อายุยิ่งมาก GH ยิ่งไม่งอก แก่ไวววว) [/SIZE]

    [SIZE=-1]===================================[/SIZE]

    [SIZE=-1]รวมคร่าว ๆ ผิวหนังเหมือนขนมชั้น ผิวค่อย ๆ ผลักออกมาเป็นชั้น ๆ [/SIZE]

    [SIZE=-1]เพราะ เซลล์ที่สร้างใหม่จะเคลื่อนที่ขึ้นมาเป็นชั้นภายนอก และมีการเปลี่ยน[/SIZE]

    [SIZE=-1]รูปร่าง (จากเซลล์กลม ๆ เป็นรี ๆ ต่อมาเป็นแบน ๆ ) และองค์ประกอบ [/SIZE]

    [SIZE=-1]และกลายเป็นคีราติน (ขี้ไคล นั่นเอง) [/SIZE]


    [SIZE=-1]เล่ามาทั้งหมด ก็จะบอกว่า ผิวชั้นในสุด ก่อนจะเป็นผิวชั้นนอกสุด[/SIZE]

    [SIZE=-1]ถ้าประกอบด้วยปัจจัยด้านบน เซลล์ที่เกิดใหม่ จะสวยสมบูรณ์ เมื่อเซลล์[/SIZE]

    [SIZE=-1]เรียงตัวกันทั้งหมด อย่างเป็นระเบียบ ผิวกายผิวหน้าก็สว่างสดใส ผ่องใส [/SIZE]

    [SIZE=-1]มาก ๆ ค่ะ [/SIZE]

    [SIZE=-1]อนุโมทนา[/SIZE]
    [SIZE=-1]ขอขอบคุณอาจารย์เสริมศิลป์ ขอนวงค์[/SIZE][/SIZE]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=mettajetovimuti&month=13-08-2008&group=4&gblog=21



    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2008
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พิธีกรรมและความสามารถทางจิตที่ถือเป็นความสามารถเฉพาะตัว ผมได้เคยคุยกับอาจารย์ที่มีความสามารถทางพลังจิตสูงโดยสามารถตัดเหล็กไหลได้ ท่านเล่าให้ฟังว่า บางครั้งการตัดเหล็กไหล ต้องแลกด้วยชีวิตเหมือนกัน หากจิตของผู้ควบคุมพิธีไม่แข็งพอ เทพยาดาอารักษ์ ที่รักษาเหล็กไหลนั้นจะเป็นผู้ลงมือเล่นงานเองนับว่าน่ากลัวมาก


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="78%" height=30>พิธีกรรมการตัดเหล็กไหล</TD><TD align=right width="22%">[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=line colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD colSpan=2>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=message colSpan=2>
    [​IMG]


    การตัดเหล็กไหล

    เหล็กไหลตัดคือเหล็กไหลประเภท ธาตุสาเร็จ ที่กระจัดกระจายอยู่ในส่วนต่างๆตามป่าเขาลำเนาไพรที่สามารถไหลไปตามส่วนต่างๆของซอกถํ้าซอกเขาเกิดจากเทพพรหมในระดับ รูปพรหม อาศัยเป็นก้อนธาตุในรูปทรงแบบต่างๆลักษณะแกร่งพอสมควรอาศัยธาตุเหล็กเป็นธาตุหลักสีออกค่อนข้างเขียวจนถึงสีปีกแมงทับขาวเงินยวงหรือหลายสีในก้อนเดียวกันรูปทรงเป็นไปตามที่เทพปรารถนาสีสันแตกต่างกันไปเนื้อค่อนข้างมันวาวสามารถยืดได้หดได้และลื่นไหลแทรกไปในวัตถุแข็งทึบได้แต่ไม่สามารถล่องหนไปในอากาศได้ด้วยตนเองต้องอาศัยผู้ที่มีวิชาอาคมเรียกเอาหรือติดต่อกับผู้ที่เฝ้ารักษาอยู่คือเทพนาคราชคนธรรพ์อสูรยักษ์ฤาษีเป็นต้นเมื่อผู้เฝ้ารักษายินยอมให้แล้วผู้มีวิชาอาคมจึงใช้วิชาตัดเอาเรียกเอา
    พิธีกรรมตัดเหล็กไหล
    การตัดเหล็กไหลเป็นพิธีกรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาลอุปกรณ์ที่จะใช้ประกอบพิธีกรรมจึงอาจจะมีสิ่งแตกต่างกันไปตามบุรพาจารย์ผู้กำหนดเพราะส่วนสำคัญในการตัดเหล็กไหลบางอาจารย์ก็ใช้หวายผูกลูกนิมิตใบตาลเส้นผมสาวพรหมจารีย์ขวานเทียนเข้าพรรษาประจำเดือนของทารกแรกเกิดเป็นต้น
    ผู้จะทำพิธีตัดเหล็กไหลต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมประพฤติปฏิบัติรักษาศีลได้มั่นคงไม่มี่จิตละโมบคือต้องขออนุญาตจากเทพผู้ดูแลรักษาเสียก่อนเมื่อได้รับอนุญาตจึงค่อยทำพิธีตัดเอามิฉะนั้นหากเราขืนด้วยกำลังหมายแย่งชิงเอาโดยพละการถือดีในพระเวทย์ก็อาจมีเพทภัยถึงแก่ชีวิตหรือเกิดความขัดแย้งในหมู่คณะจนถึงขั้นวิบัติเอาได้ด้วยอิทธิฤทธิ์ของเทพผู้รักษาเหล็กไหลนั้นเอง
    พิธีกรรมในที่นี้จึงเป็นเพียงแนวทางสำหรับผู้สนใจในพระเวทย์เพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะขอให้ท่านได้ลองพิจารณาศึกษาดูเพราะโอกาสจะเรียนรู้ในเรื่องราวเหล่านี้จากครูบุรพาจารย์ผู้รู้นั้นหายาก
    อุปกรณ์ในการตัดเหล็กไหล
    1.สายสิญจ์จากปากหลุมลูกนิมิตร
    2.ไม้ตาขอ9อันใหญ่พิเศษ1อัน
    3.มีดหมอลงอาคมเพื่อใช้ตัดเหล็กไหล
    4.นํ้าผึ้งป่า
    5.คาถาเรียกเหล็กไหล
    6.คาถาผูกเหล็กไหล
    7.คาถาตัดเหล็กไหล
    8.คาถาอัญเชิญเหล็กไหล
    เครื่องบวงสรวง
    1.บายศรีเทพบายศรีพรหมอย่างละ1คู่สำหรับตั้งศาลเอก
    2.ฉัตรเงินฉัตรทอง9ชั้น4ทิศ
    3.ตั้งศาลเอก1ศาลศาลเพียงตา4ทิศ
    4.ผลไม้7อย่างทั้ง4ศาล
    5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่หน้าศาลเอกพร้อมบายศรี
    6.บายศรีตองตั้งที่ศาลเพียงตาแห่งละ1คู่
    7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
    8.อาหารคาวหวานเช่นหัวหมูเป็ดไก่ปลาเนื้อมะพร้าวอ่อน1คู่กล้วยํ้าว้า1คู่ขนมต้มแดง-ตัมขาวถั่วชนิดต่างๆงาดำงาขาวขนมผลไม้เหล้าขาวเหล้าแดงหมากพลูบุหรี่สำหรับเทวดาที่ถือศีล5ที่ยังชอบเหล้ายาปลาปิ้งของสดของคาวจัดแยกไว้ที่หน้าศาลเอกอีกโต๊ะต่างหาก

    เมื่อถึงเวลาก็จุดธูป๙ดอกเทียนขี้ผึ้งแท้สีขาว๙เล่ม
    ตั้งนะโม๓จบ
    กล่าวสัคเคฯชุมนุมเทวดา
    จบแล้วต่อด้วยบทสวดดังนี้
    สัพเพธัมมานาลังอภินิเวสายะ๓จบ
    เอกายะโนอะยังภิกขเวมัคโคสัตตานังวิสุทธิยา
    โองการบวงสรวง
    ***ข้าแต่เทพยดาผู้มีความเป็นทิพย์มีฤทธานุภาพเหนือกว่ามนุษย์ทั้งหลายตลอดจนพระภูมิเจ้าที่ณบริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียงตลอดจนเจ้าป่าเจ้าเขาภูมิเทวดารุกขเทวดาท่านผู้เป็นหัวหน้าพร้อมบริวารข้าพเจ้าขอเชิญทุกท่านมารับเครื่องเซ่นสังเวยอาหารคาวหวานขอเชิญท่านทั้งหลายรับประทานได้ตามอัธยาศัยขอเทพยาดาทั้งหลายที่ข้าพเจ้าออกนามมาข้างต้นและมิได้ออกนามเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้เมตตาแก่ข้าพเจ้าอวยชัยให้พรแก่ข้าพเจ้าขอให้ข้าพเจ้ามีแต่ความสุขความเจริญทำกิจการงานใดขอให้สำเร็จตามที่ใจมุ่งหมายพร้อมกันนี้ข้าพเจ้าและคณะขอชมบารมีเหล็กไหลและขออนุญาตอันเชิญเหล็กไหลไปสักการะบูชาเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตัวข้าพเจ้าและครอบครัวสักระยะหนึ่งในอนาคตถ้าเหล็กไหลก้อนนี้จะทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์ด้วยกันข้าพเจ้าจะนำไปให้เขาบูชาเมื่อสมปรารถนาแล้วเงินที่ได้มานั้นข้าพเจ้าจะทำประโยชน์แก่ชาติและเพื่อนมนุษย์40%ทำประโยชน์ในพระพุทธศาสนา40%อีก20%ขอไว้ใช้เป็นส่วนตัว
    หากข้าพเจ้าทรยศคดโกงไม่ทำตามสัจจะสาบานไว้ขอเทวดาและดวงวิญญาณรวมทั้งบริวารของท่านผู้มีฤทธิ์ทั้งหลายจงลงโทษข้าพเจ้าให้พบกับความวินาศดับศูนย์ล่มจมถึงแก่ชีวิต***
    การที่จะต้องให้สัจจะสาบานแบ่งผลประโยชน์แก่ประเทศชาติและพระพุทธศาสนามากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัวก็เพื่อให้เจ้าของเหล็กไหลหรือผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนั้นมีใจเมตตายอมมอบให้กับคณะผู้ค้นหาเพราะอาจจะเห็นว่าจะดูแลไว้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรถ้าให้คนเหล่านี้ได้ไปและขายได้ก็จะได้บุญจากคณะค้นหาที่สาบานไว้จะทำบุญ 80% จึงทำให้เทพผู้รักษานั้นไม่หวงสมบัติหรือเสียดายอย่างไรเพราะอยากได้บุญ
    แต่ถ้าเทพผู้รักษาตรวจดูด้วยฌาณและมองเห็นว่าในอนาคตคณะค้นหาจะเกิดความโลภไม่ทำตามสัจจะที่ให้ไว้เพื่อไม่ให้เป็นบาปกรรมที่ต้องฆ่าคนท่านก็อาจจะไม่มอบเหล็กไหลให้ก็ได้เพราะท่านเหล่านี้ย่อมมีอำนาจที่จะพาของเหล่านี้ล่องหนหรือซุกซ่อนหาที่ใหม่ได้หรืออาจจะกำบังตาก็ได้
    ด้วยเหตุนี้ผู้มีวิชาอาคมที่มีพลังจิตแก่กล้าบางครั้งก็จะถือโอกาสเข้าแย่งชิงด้วยความโลภเพียงว่าใครจะเก่งกว่ากันระหว่างเทพหรือวิญญาณผู้รักษาเหล็กไหลหรือเจ้าของเหล็กไหลนั้นจะอนุญาตหรือไม่ก็ต้องทำการเสี่ยงทายกันด้วยไหวพริบปฏิญาณอีกครั้งโดยอธิษฐานกล่าวออกมาดังๆว่า
    "ข้าพเจ้านาย.......นามสกุล.........ขอเหล็กไหลที่อาศัยอยู่ในก้อนหินนี้ถ้าท่านผู้เป็นเจ้าของเหล็กไหลก้อนนี้หรือท่านผู้ดูแลเหล็กไหลก้อนนี้อนุญาตให้แก่ข้าพเจ้าขอให้ได้ยินเสียงว่าให้(เว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดว่า"ให้")เป็นการพูดเองเออเองวิธีนี้ตามตาราไสยศาสตร์โบราณนิยมใช้กันมากเพราะถือเคล็ดที่ว่าถ้าหูเราได้ยินบอกว่า"ให้"ก็ถือว่าใช้ได้แสดงว่าเจ้าของอนุญาตแล้ว
    วิธีล้อมวงสายสิญจน์ป้องกันอันตราย
    เมื่อตั้งใจจะเรียก"เหล็กไหล"ออกมาจากก้อนหินก็ต้องป้องกันตนเองจากอันตรายต่างๆเสียก่อนเพราะภัยจากเจ้าของผู้ดูแลเหล็กไหลบริวารหรือวิญญาณที่เป็นมิจฉาทิฏฐิมาแกล้งทำลายพิธีกรรมซึ่งอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เพราะฉะนั้นเครื่องลางของขลังที่มีอยู่ก็ต้องพกติดตัวไว้เสมอ
    การวงสายสิญจน์นั้นเมื่อพบเห็นจุดที่สงสัยว่ามีเหล็กไหลอยู่ก็ต้องวงสายสิญจน์ล้อมรอบก้อนหินนั้นให้ห่างจากตัวเราหรือตัวเราหรือหมู่คณะประมาณ1วาวงล้อมจะเล็กหรือใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับจำนวนคนหรือคณะที่มาถ้ามาเพียงคนเดียวไม้หลักที่จะปักผูกสายสิญจน์ก็น้อยวงก็เล็กถ้าคณะใหญ่มากก็ต้องวงสายสิญจน์ให้กว้างพอกับคณะที่มา
    อุปกรณ์ในการล้อมวงสายสิญจน์
    1.สายสิญจน์จากปากหลุมลูกนิมิตรใช้สำหรับผูกเหล็กไหล
    2.ไม้ตาขอ9อันหรือ19อันให้ใช้ไม้ในป่าแถวนั้นแต่ถ้าให้เลือกไม้ที่มีรูปตาขอหรือลักษณะคล้ายตาขอเพื่อเอาเคล็ดว่า"ขอนะขอเถอะขอแล้วขอครับขอค่ะขอเล็กขอน้อยขอมากขอหมด"รวม9ขอสำหรับขอที่10เป็นไม้ขอพิเศษที่มีขนาดใหญ่กว่าทุกอันและให้เลือกเนื้อไม้ที่แข็งกว่าทุกอันนำมาเขียนอักษรขอมหรือพระคาถาลงไปเป็นคำว่า"เหลือ"เขียนเสร็จแล้วจะต้องปลุกเสกด้วยคาถาชูชกดังนี้
    "นะโม3จบ"
    "ปะกาเสนโตตาชูชกคนโซขอใครไม่ได้ต้องให้กอขอขอ"
    ตาขอพิเศษอันนี้ให้พกติดตัวตอนทำพิธีเป็นเคล็ดว่า"เหลือขอ"เพราะคำว่าเหลือขอนี้คงจะมีความหมายว่า"ลูกเหลือขอ"พ่อแม่ก็ส่ายหน้าครูบาอาจารย์ก็ส่ายหน้าด้วยเอาไว้ไม่อยู่มันเหลือขอจริงๆ
    ช้างที่ว่าตัวใหญ่ที่สุดในโลกของประเภทสัตว์บกแต่ก็แพ้ตะขอหรือตาขอของควายช้างที่สับลงบนหัวแต่บางครั้งช้างมันก็รั้นและดื้อเอาการเอาตาขอสับเท่าใดก็ไม่ยอมอยู่ในคำสั่งไม่ยอมทำตามควาญช้างสั่งก็เรียกว่า"เหลือขอ"เหมือนกันและที่สำคัญไม้เหลือขอนี้ยังเสกด้วยพระคาถานักขอเอกของชูชกอีกด้วยดังนั้นจะขออะไรใครก็คงจะสำเร็จง่ายดาย
    ดังนั้นการทำพิธีไม้เหลือขอนี้เพื่อว่าใครๆก็ส่ายหน้าไม่อยากยุ่งเกี่ยววิญญาณทั้งหลายก็รั้งเราไว้ไม่อยู่เสร็จแล้วนํ้าตาขอทั้ง9อันมาปักในดินตอนปักต้องท่องคาถากำกับไปด้วยแล้วจึงนำด้ายสายสิญจน์มาล้อมผูกบนไม้ตาขอเพื่อป้องกันไม่ให้สายสิญจน์ตกดินเพราะสายสิญจน์เปรียบเหมือนกำแพงบ้านกำแพงเมืองต้องอยู่กว่าพื้นดินถ้านั่งให้อยุ่ในระดับศรีษะ
    ขณะที่ปักไม้หลักตาขอให้สวดบริกรรมดังนี้
    "พุทโธพุทธะโอมเมอะมะอุปักดวงจิตดวงใจไว้กับแม่พระธรณีลูกฝากหลักชัยคุ้มภัยให้ลูกหมู่มารมาเป็นแสนแม่ยังช่วยให้พุทธพ้นภัยทาสีเนปะวิขะสะอะเมอุอันเชิญแม่พระธรณีมารักษาลูก"
    ขณะนำด้ายสายสิญจน์มาผูกกับหลักก็ให้บริกรรมพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้
    "พุทผูกธะมัดสังรัดมิตรึง"
    "พุทธังประสิทธิเมธัมมังประสิทธิเมสังฆังประสิทธิเม"
    ผูกสายสิญจน์ล้อมเป็นวงกลมเวียนขวาหรือเวียนตามเข็มนาฬิกา
    ขณะล้อมสายสิญจน์ก็ให้สวดพระคาถาอีกบทหนึ่งดังนี้
    "พุทโธพุทธังนะกันตังอะระหังพุทโธ
    ธัมโมธัมมังนะกันตังอะระหังธัมโม
    สังโฆสังฆังนะกันตังอะระหังสังโฆ
    นะโมพุทธายะนะมะพะทะจะภะกะสะพามานาอุกะสะนะทุ
    พุทธะกันนะธัมมะกันนะสังฆะกันนะ"
    #อิมัสมิงมงคลจักวาฬทั้ง8ทิศพุทธะประสิทธิเป็นกาแพงแก้ว7ชั้นป้องกันล้อมรอบขอบมณฑลอิระชาคะตะระสากายาดูแลรักษาด้วยธัมมังประสิทธิ์สังฆังประสิทธิ
    #นะโมนะมัดกาจัดออกไปศัตรูทั้งหลายอย่าใกล้เสมามณฑล(พระคาถาท่อนท้ายนี้สมเด็จย่าของปวงชนชาวไทยทรงท่องเป็นประจำ)
    ผู้ทำพิธีควรนุ่งขาวห่มขาวรักษาศีลให้บริสุทธิ์ต่อหน้าพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังที่นำมาเพราะเมื่อล้อมวงสายสิญจน์เรียบร้อยแล้วก็สวดมนต์เจริญภาวนานั่งกรรมฐานเพิ่มพลังจิตให้เข้มแข็งก่อนที่จะทำพิธีหาเหล็กไหลกันต่อไปเพราะอย่างน้อยจิตต้องทรงในระดับอุปจารสมาธิซึ่งเป็นสมาธิระดับเกือบปฐมญาณซึ่งพอจะสัมผัสรับรู้หรือเห็นนิมิตต่างๆได้ระดับหนึ่งแต่อาจทรงอยู่ไม่นานนัก
    เมื่อจิตสงบดีแล้วก็กำหนดให้เห็นภาพเหล็กไหลหรือของขลังที่อยู่นั้นเคลื่อนตัวออกมาถ้าเป็นเหล็กไหลให้ใช้เทียนชัยหนัก9บาทเป็นเทียนที่ทำจากขี้ผึ้งแท้ไม่ใช่ทำจากไขมันวัวหรือควายเพราะไขมันสัตว์ถือเป็นของตํ่านอกจากรังผึ้งเท่านั้นที่ถือว่าเป็นของสูงยิ่งไขมันนํ้ามันจากตัวเหี้ยห้ามนำมาใช้ทำพิธีเด็ดขาดเพราะถ้างานมงคลใดถ้าใช้เทียนที่ทำจากตัวเหี้ยแล้วในคัมภีร์สมุดข่อยโบราณกล่าวไว้ว่านํ้ามันเหี้ยไขมันเหี้ยใช้ล้างอาถรรพ์ไสยศาสตร์ของฝ่ายตรงข้ามฉะนั้นเวลาทำเทียนชัยอย่าได้เอาของใครเป็นอันขาดต้องทำด้วยตนเองเพราะถ้ามีคนอิจฉาหรือต้องการทำลายพิธีหรือแย่งผลประโยชน์กันพิธีกรรมที่เตรียมไว้ก็จะถูกทำลายหรือฝ่ายตรงข้ามส่งคนแทรกซึมมาช่วยจัดหาเทียนชัยไว้ก็จะถูกลงอาคมคัดของขลังให้เสื่อมสลายการทำพิธีก็จะไม่สำเร็จหรือมีอุปสรรคฝ่ายตรงข้ามก็จะสวมรอยเข้าไปเอาเหล็กไหลหรือตัดเหล็กไหลไปได้
    สำหรับความรู้ในเรื่องนํ้ามันเหี้ยแล้วไสยศาสตร์ทางแขกหรือคุณไสยทางแขกนั้นสามารถแก้ไขได้ทุกชนิดโดยไม่ยากเพราะในคัมภีร์โบราณ188ปีกล่าวไว้ว่าใช้นํ้ามันหมูหรือนํ้ามันเหี้ยปลุกเสกด้วยคาถาถอนทาทับของที่แขกทำจะเสื่อมทันที
    นํ้ามันพรายที่อาจารย์แขกทำให้ศิษย์มาทาสาวพอแก้ด้วยนํ้ามันหมูผสมนํ้ามันเหี้ยวิญญาณผีพลายแขกร้องเสียงลั่นหนีไปสิงร่างคนที่อาจารย์แขกทำแล้วอาละวาดจนข้าวของพังเสียหายไปหมดดังนั้นเมื่อจะทำพิธีใหญ่ก็ควรจะระวังเรื่องเล็กๆน้อยเหล่านี้ด้วยเพราะจะทำให้พิธีเสียได้
    พระคาถาเรียกเหล็กไหล
    ดังนั้นเมื่อเหล็กไหลอยู่ในสถานที่ใดเป็นที่แน่ชัดแล้วก็ต้องใช้คาถาเรียกเหล็กไหลดังนี้
    #โอมสวาโหมมามามะมะนะรักจะจิตตังพันธะนัง
    #มะมาหาข้าพเจ้ามาเร็วๆพ่อคุณแม่คุณมาด้วยปิยะปิยัง
    #นะร้องไห้โมคร่าครวญภะอยู่ไม่ได้คะรีบออกมาวาเป็นของข้าพเจ้า
    #นะโมพุทธายะติดสะอะระหัง
    #มะเชิญออกมาให้เห็นเป็นบุญตาอะให้อึดอัดอยู่ไม่ได้อุอุราร้อนใจดังไฟสุมออกมาทันใดอยัมภะทันตาทันใจ
    ดังนั้นถ้าพลังจิตของอาจารย์ที่ทำพิธีมีพลังสูงกว่าเทพผู้รักษาเหล็กไหลเหล็กไหลนั้นจะเริ่มยืดย้อยออกมาก็จะมีการเอานํ้าผึ้งไปล่อให้เหล็กไหลกินแล้วค่อยๆลดนํ้าผึ้งให้อยู่ตํ่าลงเพื่อล่อเหล็กไหลให้ย้อยตัวตามนํ้าผึ้งซึ่งทำให้ได้เนื้อเหล็กไหลมากขึ้น
    พระคาถาผูกเหล็กไหล
    ขณะที่เหล็กไหลกำลังเพลินอยู่กับการเสพนํ้าผึ้งและพอเพียงที่จะทำพิธีตัดได้แล้วก็ให้เอาสายสิญจน์ที่จัดเตรียมไว้โดยได้ปลุกเสกไว้อย่างดีมาผูกโคนเหล็กไหลติดกับหินกันไม่ให้เหล็กไหลหดหนีกลับเข้าไปในหิน
    พระคาถาสำหรับผูกเหล็กไหลว่าดังนี้
    #นะโม๓จบ
    #อิผูกติมัดปิรัดโสตรึงภะดึงคะอยู่วายอม
    #นะโมนะมัดให้มัดเอาไปพุทธะพุทธังสังมิ
    ดังนั้นเวลาผูกสายสิญจน์กับเหล็กไหลก็ต้องภาวนาพระคาถานี้ไปด้วยจนกว่าจะมัดเสร็จเมื่อผูกเสร็จเรียบร้อยแล้วนำเอามีดหมอซึ่งลงอาคมขอมจากเกจิอาจารย์พร้อมทั้งปลุกเสกมาแล้วอย่างดีตัดเหล็กไหล
    พระคาถาตัดเหล็กไหล
    การตัดเหล็กไหลนั้นจะต้องว่าคาถากำกับบางอาจารย์ใช้หวายผูกลูกนิมิตรมีดหมอกริชเงิน9ขดใบตาลเส้นผมขวานเล็กๆที่ทำขึ้นมาจากเทียนเข้าพรรษาประจำเดือนทารกหญิงที่เพิ่งคลอดออกมาใหม่ๆอย่างใดอย่างหนึ่งมาประกอบพิธีกรรมตัดเหล็กไหลโดยบริกรรมคาถากำกับดังนี้
    #นะอ่อนโมนิ่มพุทธเข้าธาขาดยะฤทธิ์เดชพินาศ
    #ขาดด้วยมะอะอุนะมะพะทะ
    #นะโมตัสสะตัดนะตัสสะขาด
    การตัดเหล็กไหลนั้นบางอาจารย์ใช้มีดหมอลงอาคมขลังบางอาจารย์ใช้เส้นผมสาวพรหมจารีย์และหญิงนั้นไม่เคยโกนผมไฟมาก่อนแล้วนำผมสาวพรหมจารีย์ที่ไม่โกนผมมาที่ประจำเดือนของทารกแรกคลอด
    มาถึงตรงนี้ผู้อ่านก็คงสงสัยว่าเด็กทารกที่ไหนจะมีประจำเดือนเพราะไสยศาสตร์ต้องใช้ของที่ค่อนข้างหาได้ยากมาทำเป็นของขลังเพราะความเป็นจริงแล้วเด็กทารกที่ไหนจะมีประจำเดือนมาแต่เป็นเรื่องสมมุติเอาว่าเลือดที่ติดในช่องเพศเด็กทารกหญิง(ซึ่งในความเป็นจริงเป็นเลือดของมารดาตอนคลอดแล้วติดเปื้อนที่ตัวเด็ก)เป็นประเดือนของทารกหญิงแล้วนำมาทำของขลังไว้แก้อาถรรพ์ของสิ่งใดที่ตัดไม่ออกเอาประจำเดือนของเด็กทารกทาจะตัดออกโดยเอาเคล็ดว่าของที่ไม่เคยออกก็ยังออกของที่ออกยากที่สุดในโลกก็ยังออก
    ดังนั้นเมื่อครั้งอาจารย์ชำนาญจอมไสยเวทย์ชาวเขมรได้นำคณะไปตัดเหล็กไหลเมื่อปี 2516 ก็ได้นำเส้นผมสาวพรหมจารีย์ที่ยังไม่เคยโกนผมไฟทาประจำเดือนทารกหญิงทำให้ตัดเหล็กไหลขาดทั้ง 3 ก้อนโดยมีสักขีพยานที่เป็นทั้งหมอทหารและตำรวจรู้เห็น
    พระคาถาอัญเชิญเหล็กไหล
    เมื่อตัดเหล็กไหลได้แล้วก็ต้องใช้คาถาอันเชิญธาตุกายสิทธิ์มาอยู่ด้วยเพื่อความเป็นศิริมงคลพระคาถาอันเชิญเหล็กไหลไว้บูชามีดังนี้
    #พุทโธเมนาโถธัมโมเมนาโถสังโฆเมนาโถ
    #สะกะพะจะปูชาจะบูชาท่านผู้ดูแลรักษาธาตุอันศักดิ์สิทธิ์ทรงฤทธิ์อานุภาพ
    #อิสะวาสุอิติปิโสภะคะวา
    #เหล็กไหลเจริญมาเจริญยิ่งเจริญดีสิ่งดีๆทั้งหลายหลั่งไหลเข้ามาหาข้าพเจ้า
    #สัมมะสัมมาสัมมาสัมมะมะอะอุ
    #นะมะพะทะนะโมพุทธายะ
    พระคาถาอาคมต่างๆที่ได้บันทึกไว้ในหนังสือนี้ยังไม่เคยปรากฏการตีพิมพ์ที่ไหนมาก่อนนับเป็นโชคดีของท่านผู้สนใจเพราะหาผู้รู้เรื่องเหล่านี้ยากไม่มีตำราจะให้ศึกษาเพราะคนโบราณจะหวงวิชาจะให้วิชาที่ตนรู้-ทำได้-ตายไปพร้อมกับตนเองเว้นแต่จะถ่ายทอดให้ลูกหลานเท่านั้นคนไหนเกเรก็ไม่ได้อีกเช่นกันบางครั้งก็ถ่ายทอดให้ไม่หมดเพราะกลัวศิษย์คิดล้างครูก็มีเหมือนกัน
    เทพเทวาเป็นผู้มอบให้
    เหล็กไหลประเภทนี้เกิดจากการอธิษฐานจิตของผู้ที่มีคุณธรรมที่มีความประสงค์จะขอบารมีจากเหล็กไหลเพื่อประโยชน์ในการทำนุบำรุงพระศาสนาโดยมิได้ใช้เวทมนต์วิชาการต่างๆไปบีบคับหรือแย่งชิงเอาแต่อาศัยบุญบารมีที่ตนเองได้เคยบำเพ็ญมาแต่ครั้งอดีตชาติและเคยเป็นเจ้าของสิ่งนี้มาก่อน
    เมื่อถึงเวลาเหล่าเทพเทวานาคนาคาคนธรรพ์ยักษ์ผู้ดูแลรักษาสิ่งเหล่านี้จะนิมิตบอกให้รู้เพื่อให้มารับเอาของสิ่งนี้ซึ่งเป็นของคู่บารมีไปรักษาเพราะผู้มีบารมีในที่นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่รักษาศีลหรือปฏิบัติมาก่อนจึงมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอดีตตนเองได้ค่อนข้างมากจึงสามารถเป็นเจ้าของเหล็กไหลนี้ซึ่งจะเป็นการพบโดยบังเอิญหรือได้มาด้วยความศรัทธาจากการบูชาหรือจะด้วยแรงอธิษฐานหรือนิมิตบอกก็ตาม
    แผ่บารมีทิ้งไว้เมื่อถึงเวลาจุติ
    เหล็กไหลประเภทนี้เกิดจากเทพพรหมเทวาผู้รักษาเหล็กไหลได้บำเพ็ญบารมีธรรมจนเข้าสู่อริยมรรคหรือพ้นจากวิบากกรรมบางอย่างจะจุติในภพภูมิที่สูงยิ่งๆขึ้นไปก็จะทิ้งธาตุขันธ์หรือสิ่งที่เคยรักษาไว้อยู่โดยการอธิษฐานจิตทิ้งเอาไว้ในถํ้าหรือสถานที่ลึกลับให้เทพเทวาหรือยักษ์คนธรรพ์คอยเฝ้ารักษาจนกว่าจะพบผู้ที่มีบารมีธรรมพอจะรักษาสิ่งเหล่านี้ให้ก็จะมอบให้โดยวิธีใดวิธีหนึ่งดังนี้
    1.เหล็กไหลที่เคยไหลผ่านไปมาตามซอกถํ้าซอกผามีลักษณะเป็นแผ่นๆเป็นปื้นเป็นก้อนขนาดต่างๆฝังตัวอยู่ตามซอกหินในถํ้าที่ลี้ลับรอเวลาผู้มีวาสนาเอาไปทำประโยชน์เหล็กไหลประเภทนี้จะไม่ไหลย้อยเคลื่อนที่ไปไหนอีกแต่จะถูกพรางตาจากบุคคลผู้ไร้วาสนาหากผู้มีวาสนาได้พบเห็นและทำพิธีให้ถูกต้องก็จะมีฤทธิ์อำนาจเป็นเหล็กไหลชั้น1ได้เหมือนกัน
    2.องค์เหล็กไหลสำหรับผู้มีบารมีที่เข้าไปบำเพ็ญฌาณตามป่าเขาหรือถํ้าลึกลับเทพผู้รักษาจะมอบให้ถ้าต้องการ
    พิธีกรรมทดสอบบารมีเหล็กไหล
    ในการทดสอบบารมีของเหล็กไหลนั้นจะทาเป็นเล่นๆหรือเพื่อความรู้อย่างเดียวหาได้ไม่เพราะเหล็กไหลในที่นี้มีจิตวิญญาณครอบครองมีความรู้สึกรักโกรธเกลียดชอบหรือดีเฉกเช่นความรู้สึกของสัตว์โลกทั่วไปที่ยังไม่พ้นความเป็นปุถุชนเพียงแต่อาศัยธาตุขันธ์ประกอบเข้ากันใช้เป็นที่อยู่อาศัยโดยใช้บุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ความเป็นเทพในระดับภพภูมิต่างๆแฝงเข้าอาศัยอยู่ดังนั้นมีใครคิดไม่ซื่อหรือไม่ดีที่จะมาทาลายหรือมุ่งร้ายด้วยเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์จะมีการต่อต้านหรือต่อสู้เกิดขึ้นได้เช่นกันเช่นทาให้อานุภาพของดินปืนชื้นจนยิงไม่ออกบางครั้งผู้ที่ทดสอบด้วยปืนจะถูกเหล็กไหลต่อสู้ยื้ดยุดฉุดรั้งปืนหรือแขนไว้จนไม่สามารถจะยิงได้จนสุดท้ายถูกสิ่งที่มองไม่เห็นถีบหน้าอกหรือจุกแน่นหน้าอกจนไม่สามารถทาการยิงได้บางครั้งล้มลงทั้งยืนเลยก็มี
    ผู้อ่านหลายคนอาจจะไม่เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้เป็นจริงหรือไม่หรือเกินความจริงไปหรือเปล่าแต่สิ่งเหล่านี้รอการพิสูจน์จากผู้ที่สนใจและต้องการสิ่งที่มีอานุภาพในการปกป้องคุ้มครองไม่ใช่จากนายหน้าหรือผู้ที่หากินทางอาชีพยิงเหล็กไหลโดยหลอกว่ามีนายทุนใช้ให้มาทดสอบบ้างมีการวางเงินเดิมพันบ้างมิฉะนั้นถ้าพบของจริงอย่างที่ว่าแล้วท่านอาจจะพบกับเหตุการณ์ที่น่าสพึงกลัวจากสิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ได้โดยง่ายก็ได้แต่สิ่งเหล่านี้ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงสดๆร้อนๆต่อหน้าสายตาคนนับร้อยดังที่จะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป
    เครื่องบูชา
    1.บายศรีเทพบายศรีพรหมบายศรีตอง
    2.ฉัตรเงินฉัตรทอง9ชั้น4ทิศ
    3.ตั้งศาลเอก1ศาลศาลเพียงตา4ทิศ
    4.ผลไม้7อย่างทั้ง4ศาล
    5.อาหารเจพร้อมผลไม้ชุดใหญ่ตั้งศาลเอกพร้อมบายศรีเทพ1คู่บายศรีพรหม1คู่
    6.บายศรีตองตั้งศาลเพียงตาอย่างละ1คู่
    7.เครื่องกระยาบวชข้าวตอกดอกไม้
    8.คนอ่านโองการอัญเชิญ
    สำหรับพิธีกรรมต่างๆนั้นสุดแท้แต่ความประสงค์ของเทพที่รักษาที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างในการจัดทำพิธีในสถานที่แห่งหนึ่งเท่านั้น
    หลังจากทำพิธีอันเชิญบอกกล่าวขออนุญาตจากเทพผู้ปกปักรักษาเหล็กไหลก็เป็นหน้าที่ของผู้ทำการทดสอบส่วนใหญ่จะเป็นไม้ขีดหรือปืนยิง3นัดสุดแท้แต่เงื่อนไขปลีกย่อยที่จะตกลงกันเองซึ่งจะต้องใช้วิจารณญาณของตนเองอย่าให้ตกเป็นเครื่องมือหากินของกลุ่มผู้ไม่สุจริตเท่านั้นผู้ซื้อจริงๆนั้นมีน้อยอย่าหลงเชื่อคนแปลกหน้าง่ายๆหรือฟังคนบอกว่าเป็นนายทุนมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้านซึ่งก็ยากแก่การตรวจสอบพอผ่านการทดสอบสอบจริงๆแล้วนายทุนที่ว่าไม่มีเงินจ่ายก็อาจเดือดร้อนได้ในภายหลังเหมือนกันซึ่งส่วนใหญ่จะมีหลักเกณฑ์ดังนี้
    1.นายหน้าจะต้องมีเงินค่าบูชาครูในการจัดตั้งปรำพิธีหรือของใช้ในพิธีซึ่งสุดแท้แต่พิธีเล็กหรือใหญ่ประมาณ30,000บาทขึ้นไป
    2.ค่าใช้จ่ายของฝ่ายนายทุนผู้ทดสอบการยิง30,000บาท
    3.เงินมัดจำหรือเงื่อนไขการจ่ายเงินเมื่อการทดสอบผ่านเรียบร้อยเหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังทุกขั้นตอนเหมือนกันเพราะมีเล่ห์เหลี่ยมของผู้ที่แสวงหาผลประโยชน์จากความโลภของคนเราได้ง่ายเหมือนกันดังข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ
    ขั้นตอนการทดสอบ
    1.จุดธูปบอกกล่าวขอชมบารมีและขอขมาโทษหากได้ล่วงเกินต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้
    2.ทดสอบอาวุธปืนโดยทดสอบยิงขึ้นฟ้า1นัดเล็งเป้าหมายระยะไม่เกิน2เมตรแล้วเหนี่ยวไกปืน
    3.กรณีเป็นไม้ขีดเมื่อเปิดรังเหล็กไหลแล้วประมาณอึดใจก็ทดสอบขีดดูก็จะรู้ผลหากชึ้นชุ่มขีดไม่ติดทุกก้านก็ผ่านตามข้อตกลง2กล่องหรือมากกว่านั้น
    ผลจากการทดสอบการยิง
    ทั่วไปแล้วจะกำหนด3นัดยิงไม่ออกจึงจะผ่านและระหว่างทำการทดสอบหากปืนจะขัดข้องด้วยประการใดๆจนไม่สามารถทำการยิงได้หรือผู้ยิงมีอาการจุกแน่นหรือมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งจนไม่สามารถทำการยิงได้ก็ถือว่าผ่านดังนั้นเมื่อถึงเวลาทดสอบแล้วจะเปลี่ยนอาวุธหรือคนยิงใหม่ไม่ได้จะต้องถือว่าผ่านเช่นกัน
    จากการชมบารมีของเหล็กไหล2องค์สีเขียวคล้ายหยกอ่อนและเขียวอมฟ้าปรากฎผลมหัศจรรย์ดังนี้
    1.ถ่ายรูปไม่ได้หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของเหล็กไหลโดยถูกวิธีเพราะมีผู้พยายามจะถ่ายรูปกดชัตเตอร์ถึง3ครั้งกล้องไม่ทำงานทั้งตรวจสอบกล้องมาอย่างดีและไม่ได้นำไปใช้ที่ใดเลยในระหว่างการเดินทาง
    2.แม้จะอนุญาตให้ถ่ายได้บางครั้งเหล็กไหลไม่ให้ถ่ายบางภาพหน้ากล้องจะถูกปิดโดยอัตโนมัติทันที
    3.ไฟหรี่ลงเองแอร์จะดับเครื่องยนต์ดับเอง
    4.ผู้ที่ทดสอบเหล็กไหลประเภทนี้จะมีอาการจุกแน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยออกเมื่อจะเล็งเป้าไปที่เหล็กไหลจะรู้สึกมือไม้หนักจนยกปืนไม่ขึ้นเมื่อขืนทำเหมือนจะถูกเหนี่ยวรั้งไว้จนคนที่อยู่ในบริเวณจะเห็นได้ชัดเจนถึงความผิดปกติในตรงนี้
    5.เมื่อเหนี่ยวไกปืนจะไม่ดังคือยิงไม่ออกมีเสียงสับนกดังแชะเท่านั้น
    6.ถ้าเหล็กไหลสู้หากฝืนครบจน3นัดจะถูกลงโทษอย่างรุนแรงจนร้องออกมาด้วยความตกใจและหงายหลังล้มลงทันทีมือไม้สั่นกระตุกจนเห็นได้ชัดบางคนง่ามมือฉีกบางทีก็ปืนแตกบางคนชักดิ้นชักงอต่อหน้าเดี๋ยวนั้นทันที
    7.หากเหล็กไหลหนีจะพุ่งแรงเห็นเป็นลำแสงวิ่งขึ้นฟ้าพร้อมเสียงหวีดแหลมชั่วพริบตาเท่านั้น
    8.บางครั้งเมื่อครบ3นัดคนยิงถูกเหล็กไหลกระแทกกลับจนหงายหลังแล้วจะพบว่าองค์เหล็กไหลไม่ได้อยู่ที่เดิมเสียแล้วบางครั้งกระโดดลงไปในถาดผลไม้เครื่องบูชาถ้าถ่ายวีดีโอจะมองเห็นเป็นลำแสงสีแดงวิ่งพุ่งลงไปบางครั้งเอาใส่เซฟที่ผู้ทดสอบจัดหามาวางเปิดให้เห็นในเซฟแล้วทดสอบเหล็กไหลกระโดดมาอยู่บนจานเชิงเทียนขนาดใหญ่ที่วางตั้งอยู่ใกล้ๆกันทั้งที่มีสายตาหลายสิบคู่มองกันแทบไม่กระพริบแต่ไม่มีใครสังเกตุว่ากระโดดออกมาจากเซฟหรือพานรองรับเมื่อไร
    ดังนั้นผู้ทดสอบชมบารมีเหล็กไหลจริงๆแล้วจะต้องระมัดระวังอันตรายจากจุดนี้ด้วยจนผู้ที่รู้ดีจะเสี่ยงใช้เทียบลูกปืนหรือก้านไม้ขีดแทนดูจะปลอดภัยกว่าด้วยประการทั้งปวง
    เหตุผลทั้งนี้ทั้งนั้นในเมื่อเป็นธาตุกายสิทธิ์ที่มีชีวิตจิตวิญญาณมีความรู้สึกเหมือนกับเราหากเป็นมนุษย์ธรรมดาต่อให้สนิทกันขนาดไหนลองเอาปืนไม่มีกระสุนแล้วเล็งมาพร้อมโก่งไกไว้ท่านจะพอใจหรือไม่?
    ดังนั้นอาถรรพณ์ของเหล็กไหลทางป้องกันและรักษาจึงค่อนข้างมีอานุภาพและอิทธิฤทธิ์นานาประการสุดแท้แต่ความประสงค์ที่จะอธิษฐานเอาและเพื่อเผยแพร่เรื่องราวอันแสนมหัศจรรย์ให้แก่ผู้สนใจได้รับทราบและศึกษากันต่อไป

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ที่มา

    http://www.amulet.in.th/forums/view_topic.php?t=123&sid=0f7cb6772c05b1e52ae59641dbcc4fed
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2008
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    มาต่อกันด้วยความรู้เรื่องเหล็กไหลกันอีกบทความหนึ่งครับ

    การอัญเชิญเหล็กไหล

    เมื่อเราพอทราบลักษณะ สีสัน รูปทรง และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหล็กไหลแล้ว ตอนนี้เราก็จะมาศึกษาถึงวิธีการอัญเชิญเหล็กไหลกัน เพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาเรื่องธาตุกายสิทธิ์ที่เร้นลับนี้ต่อไป การที่เราจะได้เหล็กไหลมานั้น จะต้องประกอบไปด้วยบารมีพอสมควร ด้วยวิธีการเฉพาะและเมื่อได้พบสถานที่ที่คาดว่าน่าจะมีเหล็กไหลอยู่ควรจะ ดำเนินการอย่างไรถึงจะได้เหล็กไหลมาครอบครองโดยถูกวิธีและไม่มีอันตราย ซึ่งในที่นี้จะขอใช้คำว่า
     
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    และสุดท้ายถ้าอยากหาความรู้เรื่องเหล็กไหลอื่นๆ การเช่าบูชา รูปภาพ ลองเข้าไปดูตามเวบข้างล่างนี้ แต่สุดท้ายจะให้สุดยอดจริง ทาน ศีล ภาวนา ละครับ สุดยอดเหนือสิ่งอื่นใด รวมถึงการไหว้พระสวดมนต์รำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย บิดามารดา ครูอาจารย์และผู้มีคุณทั้งหลายให้มาคุ้มครองตัว แค่นี้สุดยอดแล้วล่ะ

    http://poweropject.igetweb.com/index.php?mo=3&art=80145
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    และสุดท้ายสำหรับวันนี้คือ ขอประชาสัมพันธ์กิจกรรมทำบุญที่ รพ.สงฆ์ในครั้งที่ 9 ประจำเดือนสิงหาคมนี้ คือวันอาทิตย์หน้าวันที่ 24/8/51 กำหนดการคร่าวๆ ยังไม่เสร็จ แต่ที่แน่ๆ สำหรับการสอนการดูพระ คราวนี้ อ.ปุ๊ จะนำพระพิมพ์สมเด็จเนื้อปัญจสิริรุ่นแรก หลากพิมพ์นำมาให้ดู ซึ่งพระพิมพ์ดังกล่าวได้ผ่านตา อ.ประถม และพี่ใหญ่ ที่ช่วยดูให้ทั้งรูปทั้งนามเรียบร้อยแล้ว เท่าที่ อ.ปุ๊ให้ผมไว้ 3 องค์ สวยครับสวยจริงๆ เป็นพิมพ์ใหญ่โค๊ตครบซะด้วยเลยจับใส่กรอบซะเลย สำหรับเรื่องอื่นจะค่อยๆ ทยอยนำมาแจ้งให้ทราบ รวมถึงเรื่องที่จะแจกพระให้ฟรีในคราวต่อไปด้วยครับ คอยติดตาม เพราะพระมีแค่หลักสิบ ส่วนจะเป็นพระอะไรคราวหน้าค่อยว่ากัน แต่พระเก่าแน่ครับ....ส่วนผ้ามัสลินทั้ง 2 พับ ขณะนี้ผ้าถึงยังหอสงฆ์ที่ รพ.ศรีนครินทร์ ขอนแก่น เรียบร้อยแล้ว คุณวรารัตน์แจ้งว่าในชุดแรกนี้จะทำเป็นอังสะถวายพระก่อน ส่วนใบอนุโมทนา ใบเสร็จค่าผ้า พร้อมรูปถ่ายของอังสะที่พระท่านใส่ในหอสงฆ์คุณวรารัตน์ หัวหน้าหอสงฆ์จะส่งให้ผมทาง อีเมล์ ต่อไปเช่นเดียวกันครับ


    พันวฤทธิ์

    15/8/51
     
  18. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840

    เรียนพี่พันวฤทธิ์ครับ ผมคงไม่เก่งขนาดนั้นครับ..ยังต้องศึกษาอีกเยอะครับ
    ผมเป็นผู้ศึกษาในระดับเริ่มต้นเท่านั้นยังมองหาหนทางและหาคำแนะนำอยู่ครับ
    บางครั้งก็มองหาทางลัด (กลัวไม่ทันการณ์) หากมีวิธีที่สั้นและได้ผลเหมือนกันก็น่าสนใช่ไหมครับ

    ตอนนี้ผมได้ลองฟังเกี่ยวกับเรื่องหนีนรกของหลวงพ่อฤาษีลิงดำดูก็น่าสนใจไม่น้อย
    บอกตรง ๆ กลัวนรกครับไม่อยากไปเลยแต่ในอดีตก็เคยก่อกรรมไว้เช่นกัน

    เพราะ ถ้าเรายังไม่ลงนรกไปเกิดในภพภูมิที่ดีก็ยังพอมีทางเห็นแสงสว่างใช่ไหมครับ

    ข้อความด้านล่างนี้คัดลอกมาจาก
    http://www.geocities.com/Tokyo/Harbor/3526/neenarok.html
    ขอขอคุณ
    โดย พระราชพรหมยาน
    วัดจันทาราม (ท่าซุง) อ. เมือง จ.อุทัยธานี
    ผู้จัดทำได้คัดลอกเพียงบางบทความมาให้ศึกษากัน หากท่านใดต้องการรายละเอียดคำสอนที่ครบถ้วน รบกวนให้ติดต่อไปยัง
    วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี
    [​IMG]



    ปฏิบัติตนเพื่อหนีนรก หนังสือปฏิบัติตนเพื่อหนีนรกนี้ ยึดสังโยชน์ 3 ประการเป็นพื้นฐาน สังโยชน์ 3 ประการ คือ
    1. สักกายทิฏฐิ
    2. วิจิกิจฉา
    3. สีลัพพตปรามาส
    สังโยชน์ 3 ประการนี้ สำหรับข้อที่
    1 คือ สักกายทิฏฐิ ตามแบบท่านอธิบายไว้ในหลักสูตรนักธรรม ชั้นโท เป็นคำอธิบายถึงอารมณ์พระอรหันต์ ถ้าจะปฏิบัติกันตามลำดับแล้ว ต้องใช้อารมณ์ตามลำดับคือ ใช้ อารมณ์ ขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นสูงสุด


    อารมณ์ขั้นต้นนั้น ให้ใช้อารมณ์แบบเบาๆ คือ มีความรู้สึกตามธรรมดาว่า ชีวิตนี้ต้องตาย ไม่มี ใครเลยในโลกนี้ที่จะทรงชีวิตได้ตลอดกาลไปคู่กับฟ้าดิน ในที่สุดก็ต้องตายเหมือนกันหมด แต่ท่านให้ใช้อารมณ์ ให้สั้นเข้า คือ มีความรู้สึกไว้เสมอว่า ความตายไม่ใช่จะมาถึงเราในวันพรุ่งนี้ ให้คิดว่า เราอาจจะตายวันนี้ไว้เสมอ จะได้ไม่ประมาทในชีวิต จะได้รีบรวบรัดปฏิบัติความดีไว้ การทำความดีหมายถึง พูดดี ทำดี คิดดี รวม 3 ดีนี้ถ้ามีเป็นปกติประจำวัน เมื่อยังไม่ตาม ยังอยู่เป็นคน ก็เป็นคนดี ถ้าตายเมื่อไร ตายแล้วท่านเรียกว่า เป็นผี ก็เป็น ผีดี คือทิ้งความดีไว้ให้คนที่อยู่ข้างหลังยังบูชา

    อารมณ์ขั้นกลาง ท่านให้ทำความรู้สึกเป็นปกติว่า ร่างกายของคนและสัตว์ตลอดจนวัตถุทุกชนิดเป็นของสกปรกทั้งหมด ร่างกายคนและสัตว์ มีสิ่งที่น่ารังเกียจฝังอยู่ก็คือ อุจจาระ ปัสสาวะ น้ำเลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง เป็นต้น ทั้งหมดนี้ไม่มีใครบอกว่าเป็นของ สะอาด แต่ก็มีประจำร่างกายทุกคน ถ้าไม่ค่อยทำความสะอาด เช็ด ล้าง มันก็เกิดอาการสกปรก มีแต่ความมัวหมอง เป็นของที่ไม่พึงปรารถนา เมื่อมีความรู้สึกตามนี้ ก็พยายามทำอารมณ์ให้ทรงตัวจนเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกายทั้งหมด ไม่ยึดถือว่าร่างกายใดเป็นที่น่ารักน่าปราถนา

    อารมณ์สูงสุด มีความรู้สึกตามนี้ คือมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย และร่างกายไม่มีในเรา มีอาการ วางเฉยในร่างกายทุกประเภทเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์

    </B>
    ที่เขียนมานี้ เขียนเพื่อบอกให้รู้ถึงลักษณะของสักกายทิฏฐิเท่านั้น ความมุ่งหมายของหนังสือนี้ ต้องการความรู้สึกเพียงแค่อารมณ์ขั้นต้นเท่านั้น เพราะมีอารมณ์เพียงขั้นต้นทุกคนก็พ้นอบายภูมิแล้ว คือถ้าจะมีการเกิดอีก อย่างช้าก็เป็นมนุษย์อีก 7 ชาติ อารมณ์เข้มแข็งอย่างกลาง เกิดเป็น มนุษย์อีก 3 ชาติ ถ้าอารมณ์เข้มแข็งมาก เกิดเป็นมนุษย์อีกชาติเดียว ต่างก็ไปนิพพานหมด จะมีการเกิดได้เพียงมนุษย์สลับกับเทวดาหรือ พรหมเท่านั้น ไม่มีการลงอบายภูมิ 4 มี นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน 4 ภูมินี้ไม่ลงไปอีก แม้บาปเก่าจะสั่งสมไว้เท่าไรก็ตามที บาปไม่มีโอกาส จะดึงลงอบายภูมิได้ เพราะ บุญคือความดี มีกำลังเข้มแข็งกว่า แต่ต้องปฏิบัติให้ครบถ้วนทั้ง 3 ข้อของสังโยชน์ ความจริงก็ไม่มีอะไร หนัก ถ้าตั้งใจทำจริงและคอยระวังไม่ให้พลั้งพลาด ใหม่ๆ อารมณ์เก่ายังเกาะใจ ก็อาจจะมีการพลั้งพลาดบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้า ระวังไว้เป็นปกติ ไม่เกิน 3 เดือน อารมณ์ก็ทรงตัว ต่อไปนี้ก็ยิ้มเยาะอบายภูมิได้สบาย บาปหมดหวังที่จะทวงหนี้ เอาไปชดใช้หนี้สิน ในอบายภูมิอีกต่อไป มีทางเดียวคือ เดินทางตรงไปนิพพาน



    <CENTER>ปฏิบัติสังโยชน์ 3 ประการครบ</CENTER>
    สังโยชน์ 3 ประการนี้มีการปฏิบัติอยู่ 2 ระดับ คือ ระดับอ่อน กับ ระดับเข้มข้น จะพูดถึงการปฏิบัติระดับอ่อนก่อน ระดับอ่อนนี้ พ้นอำนาจบาปแล้วไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะ ไปนรก เป็นต้น อีก ท่านปฏิบัติกันอย่างนี้
    1. ตื่นขึ้นเช้ามืด มีความรู้สึกประจำอารมณ์ว่า เราอาจจะตายวันนี้ก็ได้ เราต้องรวบรัดปฏิบัติเฉพาะความดี ทำตนหนีความชั่ว คือ

    2. พิจารณาความดีของ พระพุทธเจ้า พระธรรม คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ สาวกของพระพุทธเจ้า ด้วยปัญญา พิจารณาดูว่าท่านดีพอที่เราจะยอมรับนับถือไหม ถ้ามีปัญญาพิจารณาแล้วว่าดีพอที่จะยอมรับนับถือได้ ก็ตัดสินใจยอมรับนับถือ ด้วยความจริงใจ และปฏิบัติตามคำแนะนำของท่าน สิ่งใดที่ท่านให้เราละ เราไม่ทำ สิ่งใดที่ท่านแนะนำให้ทำ เราทำตามด้วยความเต็มใจ
    หมายเหตุ สำหรับพระสงฆ์นั้น อาตมาจัดให้ยอมรับนับถือเฉพาะพระอริยสงฆ์นั้น ความจริงปกติสงฆ์ก็ยอมรับนับถือได้ ถ้าท่านผู้นั้น ปฏิบัติตนสมควรแก่ผ้ากาสาวพัสตร์ แต่ว่านักบวชท่านใด ปฏิบัติตนไร้แม้แต่ศีลห้าบางข้อ ก็ไม่ควรให้แม้แต่ข้าวบูดกิน เพราะเลวเกินไป เลวกว่า ชาวบ้านที่ท่านทรงความดี ส่วนใหญ่นักบวชพวกนี้ ความเลวจะไหลออกทางปากก่อน ให้สังเกตที่ปากเป็นอันดับแรก เมื่อปากเลว ก็ไม่มี อะไรเหลือ ทั้งนี้เพราะปากหรือกายจะพูดจะทำอะไร ใจเป็นผูสั่ง เมื่อใจเลวแล้ว ปากและกายก็เลวไปด้วย เป็นอันว่าเลวหมดทั้งตัว
    สำหรับพระอริยสงฆ์นั้น ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตรงไปตรงมา ไหว้ได้ทุกเวลา ยอมรับนับถือได้

    3. สังโยชน์ข้อที่ 3 พยายามรักษาศีลให้บริสุทธิ์ สำหรับฆราวาส ก็มีศีล 5 เป็นหลักที่จะปฏิบัติ แต่หนังสือนี้ไม่มุ่งเฉพาะสอนพระ สอนเณร เพราะเป็นนักบวชอยู่แล้ว คิดว่าคงมีอารมณ์ความดีตัดสังโยชน์ 3 ได้เป็นอย่างน้อย แต่ถ้าบังเอิญไม่ได้ก็ไม่เกณฑ์ให้ตัด สุดแล้วแต่ ความพอใจของแต่ละท่าน
    เรื่องการทรงอารมณ์ในศีก 5 เคยได้รับคำแนะนำจาก สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม ท่านเคยแนะนำ เมื่อสมัยที่ผู้เขียนยังเป็น นักเทศน์ ท่านเคยถามว่า
    "ไปเทศน์ สอนชาวบ้าน มีความรู้สึกว่าชาวบ้านทรงศีล 5 ได้ครบเป็นปกติไหม"
    ได้กราบเรียนท่านว่า "เทศน์แนะนำเท่าไรก็ไม่มีผล เคยไปเทศน์แล้วครั้งหนึ่ง ปีต่อไปไปเทศน์อีก พวกท่านเหล่านั้นก็ยังก๊งเหล้ากันตามเคย"
    ท่านก็พูดว่า "ที่เป็นอย่างนั้นไม่ใช่ชาวบ้านโง่ ฉันว่านักเทศน์โง่มากกว่า"
    ท่านแนะนำต่อไปว่า "คนที่จะให้เขารักษาศึล 5 ครบทุกคนนั้นไม่ได้ ทั้งนี้ต้องสุดแล้วแต่กำลังใจของคน คนฟังเทศน์ทั้งศาลา ต้องมีคนดี มีกำลังใจ เต็มผสมอยู่ นักเทศน์เทศน์แนะนำให้เขาละไม่ได้ ก็แสดงว่านักเทศน์องค์นั้นโง่กว่าคนฟังเทศน์"

    ได้กราบเรียนถามท่านว่า "จะแนะนำแบบไหน ให้เขารักษาศีล 5 ครบได้"
    ท่านก็แนะนำว่า "จงอย่าหวังว่าเขาจะเชื่อเราทุกคน จงดูพระพุทธเจ้า เวลาท่านไปเทศน์โปรด ท่านมุ่งเจาะเฉพาะคนที่ถึงเวลาบรรลุมรรคผลเท่านั้น ท่านไม่ห่วงคนอื่น เพราะถ้าขืนห่วงคนอื่น ก็จะพากันไม่ได้อะไรทั้งหมด นักเทศน์ก็เหมือนกัน เมื่อไปเทศน์ให้สังเกตคนฟัง ถ้าท่าทางดีพอที่จะแนะนำ ได้ จึงควรแนะนำ ถ้าท่าทางไม่ดี ไม่มีท่าว่าจะเอาจริง ก็จงเทศน์หว่านไปแบบธรรมดาๆ การแนะนำควรใช้วิธี 2 วิธี เพราะความเข้มแข็งของกำลังใจ คนไม่เท่ากัน"




    <CENTER>แนะนำคนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง</CENTER>
    คนที่มีกำลังใจเข้มแข็ง แนะให้ตั้งใจรักษาศีลให้ครบ 5 ข้อ วันละ 3 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 9 โมงเช้า ในเวลาเท่านี้ จะอย่างไรก็ตามจะไม่ ยอมละเมิดศีลเด็ดขาด ถ้าเธอปฏิบัติตามนี้ได้ ไม่เกิน 3 เดือน เธอมีหวังรักษาศีล 5 ครบทุกสิกขาบทได้ตลอด 24 ชั่วโมง เพราะการระมัดระวัง ศีลทั้ง 5 ข้อวันละ 3 ชั่วโมงนั้น เป็นการทรงฌานในสีลานุสสติวันละ 3 ชั่วโมง เพราะเป็นอนุสสติ ไม่ต้องไปนั่งหลับตาภาวนา เอาใจคอยระวังไม่ ให้พลั้งพลาด เท่านี้ก็เป็นฌานแล้ว
    ท่านผู้อ่านโปรดทราบ คำว่า ฌาน นั้น ความหมายจริงๆก็คือ อารมณ์ชิน คือมีอารมณ์ทรงอย่างนั้นเป็นปกติ อย่างพวกเรา ชินกับความทุกข์จนไม่เข้าใจว่ามันเป็นความทุกข์ นั่นก็คือ ความหิว ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เป็นต้น มีทุกวันจนชิน เลยไม่เข้าใจว่าเป็นทุกข์ เห็นเป็นของธรรมดาไป คำว่า ฌาน ก็เหมือนกัน มีอารมณ์เป็นปกติจนไม่มีอะไรต้องระวัง หรือมีความหนักใจ




    <CENTER>แนะผู้มีอารมณ์ใจเข้มแข็งน้อย</CENTER>
    คนที่มีอารมณ์เข้มแข็งน้อย หรือที่เรียกว่า มีกำลังใจค่อนข้างอ่อนแอ แต่มีแววที่พอจะทำได้ ให้เลือกปฏิบัติเอาจริงเอาจังเป็นข้อๆ ที่พอจะทำได้ ให้เอาชนะจริงๆ ข้อใดข้อหนึ่งไปเลย เมื่อขนะข้อใดข้อหนึ่งแน่นอนแล้ว ก็ค่อยๆ เลือกเอาข้อที่เห็นว่าง่าย ไม่นานเท่าไรก็ชนะหมดทุกข้อ




    <CENTER>สรุปอารมณ์หนีนรก</CENTER>
    สรุปแล้ว อารมณ์ หรือการปฏิบัติตหนีนรก จนนรกตามไม่ทันต่อไปทุกชาตินั้น มีอารมณ์โดยย่อดังนี้

    1. มีความรู้สึกว่าชีวิตนี้ต้องตายแน่
    2. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า
    3. ฆราวาสมีศีล 5 ทรงอารมณ์เป็นปกติ
    ทั้ง 3 ประการนี้ เป็นอารมณ์ในขณะที่ปฏิบัติ เมื่ออารมณ์ทรงตัวแล้ว อารมณ์ที่ปักหลักมั่นคงอยู่กับใจจริงๆ ก็เหลือ เพียงสอง ที่ท่านเรียกว่า องค์ ก็คือ
    1. ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ามั่นคงจริง
    2. มีศีล 5 บริสุทธิ์ผุดผ่องจริง
    เพียงเท่านี้ นรกก็ดี เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เราผ่านได้ ไม่ต้องไปอยู่หรือเกิดในเขตนี้อีกต่อไป ถ้าจะถามว่า บาป กรรมที่ทำแล้วไปอยู่ไหน ก็ต้องตอบว่ายังอยู่ครบ แต่เอื้อมมือมาฉุดกระชากลากลงไม่ถึง เพราะกำลังบุญเพียงเท่านี้ มีกำลังสูงกว่าบาป บาปหมดโอกาสที่จะลงโทษต่อไป




    หามีคำแนะนำเชิญติชมได้ครับ
    โมทนาบุญกับทุก ๆ ท่านครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  19. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    ไหน ๆ พี่พันวฤทธิ์ก็เปิดประเด็นเหล็กไหลขี้นมาแล้ว
    วันนี้ก็ไปดูในกระทู้ พระเครื่อง-วัตถุมงคล
    ก็ได้เจอกระทู้เกี่ยวกับเหล็กไหล

    00-โคตรเหล็กไหลและพระบรมสารีริกธาตุมอบแด่ผู้ร่วมทำบุญ-00


    "โคตรเหล็กไหล" จัดประเภทเป็นแบบเดียวกันกับ “พญาเหล็ก” หรือ “นางพญาเหล็ก” หรือเปล่าครับ (ถามอีกแล้ว)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 สิงหาคม 2008
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
     

แชร์หน้านี้

Loading...