ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    เมื่อหลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโค



    [​IMG]


    ท่านที่ใช้เส้นทางระหว่างตัวเมืองอยุธยากับอำเภอเสนา จะผ่านวัด ๆ หนึ่งชื่อวัดหน้าต่างนอก วัดนี้เคยเป็นที่พำนักของพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบรูปหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมากในอดีต ท่านคือพระอธิการจง พุทฺธสโร หรือหลวงพ่อจงแห่งวัดหน้าต่างนอก




    ในหมู่ศิษย์ผู้ใกล้ชิด เชื่อกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ปฏิสัมภิทา ผู้ทรงอภิญญาสมาบัติ มีฤทธิ์มาก ท่านเป็นหนึ่งใน ๒๑ ยอดพระอริยคณาจารย์ที่ได้รับนิมนต์มาร่วมพิธีมหาพุทธาภิเศกที่วัดราชบพิธ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๑ และในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านก็เป็นที่พึ่งของชาวบ้านจากทั่วทุกสารทิศที่มาขอบารมีท่านช่วยปกป้องคุ้มครองให้รอดพ้นจากภัยสงคราม

    เรื่องหลวงพ่อจงเดินไปวัดบางนมโคนี้ บันทึกโดยพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เรื่องมีอยู่ว่า ครั้งหนึ่ง สมัยที่หลวงพ่อปานท่านยังมีชีวิตอยู่ วัดบางนมโคได้จัดงานฉลองศาลาและมีสวดมนต์เย็น พระอื่นก็มากันครบแล้ว ขาดแต่หลวงพ่อจง หลวงพ่อปานท่านจึงให้หลวงพ่อฤาษีลิงดำผู้เป็นศิษย์พาคนเรือนำเรือเร็วไปรับหลวงพ่อจงมาจากวัดหน้าต่างนอก เมื่อไปถึง ปรากฏว่ามีแขกมารอพบหลวงพ่อจงเพื่อขอให้ท่านรดน้ำมนต์ ท่านก็เลยบอกหลวงพ่อฤาษีลิงดำให้นำเรือกลับไปก่อน อีกสักพักหนึ่งหลังจากท่านรดน้ำมนต์ให้ญาติโยมแล้ว ท่านจะเดินมาที่วัดบางนมโคเอง


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำเห็นว่าระยะทางจากวัดหน้าต่างนอกไปวัดบางนมโคก็ประมาณสี่กิโลเมตร เรือเร็ววิ่งประมาณสิบนาทีเศษ แต่ถ้าเดินก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมง อีกทั้งใกล้เวลาจะเริ่มพิธีแล้ว ท่านจึงจอดเรือรอ แต่หลวงพ่อจงบอกให้ท่านไม่ต้องรอ ให้กลับไปก่อน แล้วท่านจะรีบเดินตามมาให้ทันพิธี


    เมื่อหลวงพ่อฤาษีลิงดำกลับมาถึงวัดบางนมโค ก็ขึ้นไปกราบเรียนหลวงพ่อปาน รายงานท่านว่าหลวงพ่อจงกำลังรดน้ำมนต์อยู่ นิมนต์ให้ท่านมาเรือท่านก็ไม่มา ท่านจะเดินมา อีกสักครู่ท่านคงจะมาถึง

    พอหลวงพ่อปานได้ฟังก็ยิ้ม หัวเราะชอบใจ บอกว่านี่เจ้าลิงดำ หลวงพ่อจงเล่นตลกกับแกเสียแล้ว แกไปดูบนศาลาสิ ก็เลยกราบท่านแล้วขึ้นไปดูบนศาลา ปรากฏว่าพบหลวงพ่อจงนั่งอยู่หน้าอาสนสงฆ์ นั่งอยู่หน้าพระองค์อื่นทั้งหมด เพราะท่านมีอาวุโสมาก หลวงพ่อฤาษีลิงดำจึงเข้าไปกราบ ท่านจึงถามว่ามานานแล้วรึ ก็กราบเรียนท่านไปว่าเพิ่งมาถึง ไปหาหลวงพ่อปานสักสองนาทีแล้วก็ขึ้นมาบนศาลานี่


    เลยมานั่งสงสัยว่าหลวงพ่อจงท่านเดินยังไง คนหนุ่ม ๆ ยังเดินตั้งเกือบชั่วโมง ก็เมื่อไปถึงวัดหน้าต่างนอกตอนนั้น หลวงพ่อจงกำลังจะรดน้ำมนต์ แต่ท่านมาถึงวัดบางนมโคก่อนเรือเร็วของหลวงพ่อฤาษีลิงดำเสียอีก ขณะที่กำลังคิดสงสัยอยู่นั้น หลวงพ่อจงก็ถามว่าแปลกใจรึ ท่านบอกว่าไม่มีอะไรแปลก พระในพระพุทธศาสนาถ้าปฏิบัติถึงขั้นก็เดินเก่งทุกคน ถ้าปฏิบัติยังไม่ถึงก็ยังเดินไม่เก่ง


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/panyadeesiri
     
  2. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    เหตุใด ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร
    จึงมีเสาหลักเมือง ๒ ต้น

    เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ สถาปนากรุงเทพฯ เป็นราชธานีนั้น พระองค์ได้โปรดเกล้าให้ตั้งการพระราชพิธียกเสาหลักเมืองเพื่อเป็นนิมิตหมายหลักชัยอันสำคัญ พระฤกษ์ยกเสาหลักเมืองกระทำในวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เวลา ๐๖.๕๔ น.




    [​IMG]



    ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงตรวจดวงพระชะตาของพระองค์ว่าเป็นอริแก่ลัคนาดวงเมืองกรุงเทพมหานคร จึงทรงแก้เคล็ดโดยโปรดให้ช่างแปลงรูปศาลหลักเมืองเสียใหม่ให้เป็นรูปปรางค์ และโปรดให้ถอนเสาหลักเมืองเดิมและประดิษฐานเสาหลักเมืองใหม่พร้อมบรรจุชะตาพระนครให้มีสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคล มีอุดมมงคลฤกษ์ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๙๕ เวลา ๐๔.๔๘ น.

    การฝังเสาหลักเมืองเมื่อครั้งรัชกาลที่ ๑ นั้น ได้เกิดอวมงคลนิมิตขึ้น คือเมื่อถึงมหาพิชัยฤกษ์อัญเชิญเสาลงสู่หลุม ปรากฏว่ามีงูเล็ก ๔ ตัวเลื้อยลงหลุมในขณะเคลื่อนเสา จึงจำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลย โดยปล่อยเสาลงหลุมและกลบงูทั้ง ๔ ตัวตายอยู่ภายในก้นหลุม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทำนายชะตาเมืองว่าจะอยู่ในเกณฑ์ร้ายนับจากวันยกเสาหลักเมืองเป็นเวลา ๗ ปี ๗ เดือน จึงสิ้นพระเคราะห์ ทั้งยังทรงทำนายว่า จักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไปเป็นเวลา ๑๕๐ ปี


    ชะตาแผ่นดินที่ร้ายถึงเจ็ดปีเศษนั้น เป็นช่วงที่ไทยติดพันศึกพม่าจนถึงศึกเก้าทัพ ซึ่งสิ้นสุดการพันตูหลังครบห้วงเวลาดังกล่าว


    ส่วนคำทำนายว่าจักดำรงวงศ์กษัตริย์สืบไป ๑๕๐ ปีนั้น ไปครบเอาปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นปีที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองพอดี


    การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ นั้น เจ้านายที่ทรงความสำคัญรวม ๔ พระองค์ที่ทรงบังคับบัญชากิจสำคัญคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพระนครสวรรค์วรพินิต สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพ็ชร์บุรีราชสิรินทร ทั้ง ๔ พระองค์นี้มีพระราชสมภพและพระราชประสูติปีเดียวกันคือปีมะเส็ง (งูเล็ก) ต่างกันเพียงรอบปีพระราชสมภพกับพระประสูติ ทั้งสี่พระองค์ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นอย่างยิ่ง นิมิตงูเล็กในเสาหลักเมืองจึงออกจะเป็นเรื่องอัศจรรย์


    กรณีคำทำนายการดำรงวงศ์กษัตริย์เป็นเวลา ๑๕๐ ปี ไม่เป็นไปตามคำทำนาย เพียงเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข กรณีนี้โหราจารย์ให้ความเห็นว่า คงเนื่องด้วยพระบารมีของรัชกาลที่ ๔ ที่ทรงแก้อาถรรพณ์ถอนเสาหลักเมืองและวางดวงชะตาพระนครขึ้นใหม่



    [​IMG]



    ด้วยเหตุนี้ เสาหลักเมืองที่ประดิษฐาน ณ ศาลพระหลักเมืองจึงมีสองต้น เสาเดิมครั้งรัชกาลที่ ๑ คือต้นสูง ที่ได้ทำพิธีถอนเสาแล้ว แต่หาที่เก็บที่เหมาะสมไม่ได้ จึงคงไว้ แกนในเป็นเสาไม้ชัยพฤกษ์ มีไม้จันทน์ประดับนอก ลงรักปิดทอง หัวเสาเป็นทรงบัวตูม ภายในกลวงสำหรับบรรจุชะตาพระนคร ดวงนี้อยู่ใจกลางยันต์สุริยาทรงกลด จารึกในแผ่นทอง เงิน นาก

    ส่วนเสาพระหลักเมืองครั้งรัชกาลที่ ๔ คือต้นที่มีส่วนสูงทอนลงมา แกนในเป็นเสาไม้สัก มีไม้ชัยพฤกษ์ประดับนอก หัวเสาเป็นรูปยอดเม็ดทรงมัณฑ์ เป็นต้นที่สถิตประทับของพระหลักเมือง



    [​IMG]



    นอกจากนี้ ภายในศาลพระหลักเมืองยังเป็นที่ประดิษฐานพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อเจตคุปต์ และเจ้าพ่อหอกลอง เป็นเทพารักษ์สำคัญ ๕ องค์ที่ให้ความร่มเย็นแก่แผ่นดินและประชาราษฏร์ทั้งปวง




    ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/panyadeesiri
     
  3. natta_pea

    natta_pea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    322
    ค่าพลัง:
    +1,515
    วันนี้ เวลา 09.30 น. ผมได้โอนเงินผ่าน ATM
    ร่วมทำบุญจำนวน 200.- บาท ขอร่วมอนุโมทนากับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  4. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    หนึ่งในสุดยอดเหรียญที่แพงที่สุดในประเทศไทย

    [​IMG]
    พระเถระผู้เลื่องชื่อในอดีตของจังหวัดพระนครศรีอยุธยาอีกรูปหนึ่งคือ หลวงปู่กลั่น ธมฺมโชติ แห่งวัดพระญาติการาม

    หลวงปู่กลั่นเป็นที่เคารพรักของชาวบ้านด้วยท่านมีจิตใจเมตตาโอบอ้อมอารี การเดินธุดงค์ในป่าทำให้ท่านมีความรู้เชี่ยวชาญในเรื่องสมุนไพรและการแพทย์แผนโบราณ ช่วยสงเคราะห์ชาวบ้านชาวป่าที่เจ็บป่วยมาโดยตลอด


    เวลาพระท่านออกบิณฑบาต หากจะสังเกตว่าเรือลำไหนเป็นเรือของหลวงปู่กลั่นแล้ว ก็ให้สังเกตเรือลำที่มีอีกาเป็นสิบ ๆ ตัวบินจับจนตัวเรือดำมืด เวลาชาวบ้านถวายอาหารแก่หลวงปู่ อีกาทั้งฝูงจะบินวนรอบ ๆ ลำเรือ ไม่ไปไหน พอเขาตักบาตรเสร็จ อีกาก็จะบินกลับมาเกาะลำเรือเหมือนเดิม แต่ไม่แตะต้องอาหารที่บิณฑบาตจนกว่าจะกลับถึงวัดและหลวงปู่ท่านจัดแบ่งให้

    หลวงปู่กลั่นมีพลังจิตสูง ครั้งหนึ่งหลวงปู่ไปนมัสการพระเจดีย์ในเมืองพม่า ท่านพร้อมด้วยคณะสงฆ์รอนแรมไปจนถึงแม่น้ำสะโตงที่กว้างใหญ่ จะหาเรือแพข้ามฟากก็ไม่มี หลวงปู่ท่านจึงหาทางข้ามด้วยตนเอง วิธีข้ามแม่น้ำสะโตงของท่านคือ ให้พระภิกษุที่ร่วมธุดงค์มาด้วยกันเอาผ้าผูกตา แล้วเกาะจีวรตามท่านเป็นแถวเรียงหนึ่ง ห้ามมิให้พูดจากัน ต่อเมื่อท่านบอกให้เอาผ้าออกเมื่อใด จึงค่อยเอาออก ครั้นสั่งการเป็นที่เรียบร้อย หลวงปู่กลั่นก็ก้าวเท้าเดินนำหน้าลงชายฝั่งแม่น้ำสะโตง แล้วเดินข้ามน้ำอยู่พักหนึ่ง ก็ถึงชายฝั่งฟากตรงข้าม นัยว่าไม่มีจีวรของพระรูปใดเปียกน้ำเลย


    มีอยู่คราวหนึ่ง หลวงปู่กลั่นไปนั่งเป็นอุปัชฌาย์ที่บ้านคานหาม ไกลจากวัดประมาณสี่กิโลเมตร สมัยนั้นยังไม่มีรถเรือพอจะอำนวยความสะดวกเหมือนในปัจจุบัน พระที่ไปด้วยเร่งให้ท่านรีบไปเพราะจวนเวลา แต่หลวงปู่บอกให้พระล่วงหน้าไปก่อนแล้วท่านจะตามไป พอพระทั้งหลายไปถึงวัด ก็เห็นหลวงปู่กลั่นนั่งรออยู่แล้ว


    มีเรื่องเล่าขานกันมากอีกเรื่องหนึ่งคือ มีชายชาวจีนผู้หนึ่งมาขอน้ำมนต์ โดยนำไหใส่น้ำมาตั้งไว้ใกล้ ๆ ตัวเพื่อจะมอบให้หลวงปู่ทำน้ำมนต์ให้ หลวงปู่บอกกับชายจีนผู้นั้นว่า น้ำมนต์ทำให้แล้วอยู่ในไห ชายจีนผู้นั้นก็ประหลาดใจด้วยหลวงปู่ยังมิได้เป่าคาถาหรือจุดเทียนหยดในน้ำเลย ชายจีนนั้นจึงบอกลาหลวงปู่พร้อมกับนึกตำหนิหลวงปู่อยู่ในใจที่ไม่ยอมทำน้ำมนต์ให้ ระหว่างทางกลับบ้านจึงเทน้ำจากไหทิ้ง ปรากฏว่าน้ำที่ใส่อยู่ในไหไม่ยอมไหลออกจากไห ชายจีนผู้นั้นรีบกลับไปที่วัดอีกครั้งเพื่อกราบขอขมาที่ล่วงเกินหลวงปู่


    [​IMG]


    หลวงปู่กลั่นสร้างเหรียญรุ่นแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ เพื่อนำปัจจัยไปบูรณะปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ เหรียญที่ท่านสร้างจัดว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเหรียญพระสงฆ์ที่แพงที่สุดในประเทศไทย


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/panyadeesiri
     
  5. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    โลกธรรม ๘



    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]

    คนเราเมื่อมีลาภ ก็มีเสื่อมลาภ
    เมื่อมียศ ก็มีเสื่อมยศ
    เมื่อมีสุข ก็มีทุกข์
    เมื่อมีสรรเสริญ ก็มีนินทา
    เป็นของคู่กันมาเช่นนี้
    จะไปถืออะไรกับปากมนุษย์
    ถึงจะดีแสนดีมันก็ติ ถึงจะชั่วแสนชั่วมันก็ชม
    นับประสาอะไร พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดา
    ยังมีมารผจญ ยังมีคนนินทาติเตียน
    ปุถุชนอย่างเราจะรอดพ้นจากโลกะธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้
    ต้องคิดเสียว่า เขาจะติก็ช่าง ชมก็ช่าง
    เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ
    ก่อนที่เราจะทำอะไร เราคิดแล้วว่าไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราแลคนอื่น เราจึงทำ
    ใครจะนินทาว่าใส่ร้ายอย่างไรก็ช่างเขา
    บุญเราทำ กรรมเราไม่สร้าง
    พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ
    จะต้องไปกังวล กลัวใครติเตียนทำไม
    ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่า ๆ











    คำสอนของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต
    วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพฯ
    </TD></TR></TBODY></TABLE>


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/panyadeesiri
     
  6. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    :)Dear Kune Bhanvarit and friends :)

    :)08/08/08 Today we transfer money to Bank of Ayudhya 300.00 B to tum boon ka:)
    :)Every body pls sa tue boon with us we also sa tue boon with every body too ka.:)
    :)135829 08/08/08 1702 1651A 1651A 348-1-23245-9= 300.00 B:)
    :)Tanya klyne and family:)
     
  7. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    โมทนาบุญกับคุณ Tanya klyne และครอบครัวด้วยครับ
    สาธุ สาธุ สาธุ

    ในวันที่ 12 สิงหาคม 2551 นี้ก็จะถึงวันแม่แห่งชาตินำคำกลอนและความหมายดี ๆ มาให้อ่านกันครับ



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=780 align=center border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>

    สุนทรพจน์ วันแม่แห่งชาติ

    วัดธัมมปทีป เมืองแมแคเลน ประเทศเบลเยี่ยม
    วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๙​





    </TD><TD width=40 bgColor=#ffffff rowSpan=13></TD><TD width=11 background=../images/border_R2.jpg rowSpan=13></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>พระครูวินัยธรสมศักดิ์ ศุภเลิศ ประพันธ์



    นางสาวบัณฑิตา พลอยแหวน ผู้กล่าวสุนทรพจน์ ​




    </TD></TR><TR><TD class=Text_content vAlign=top bgColor=#ffffff>กราบนมัสการ พระคุณเจ้าที่เคารพอย่างสูง

    กราบเรียน คุณจันทร์ทิพา ภู่ตระกูล อุปทูตไทย ประจำประเทศเบลเยี่ยม​

    กราบเท้า คุณพ่อคุณแม่ และท่านผู้มีเกียรติที่เคารพค่ะ​


    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text_menu>ยามหิวใครเล่าเฝ้าหุงหา</TD><TD class=Text_comment width=30 rowSpan=2></TD><TD class=Text_comment>ยามหลั่งน้ำตาใครซับให้</TD></TR><TR><TD class=text_menu>ยามผิดหวังใครนั่งประโลมใจ</TD><TD class=text_menu>ยามเจ็บไข้ใครคอยเคียง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=Text_content bgColor=#ffffff>ใช่แล้วค่ะคนสำคัญที่สุดในชีวิตของพวกเราคนนั้นคือ แม่ และคำว่าแม่เป็นคำที่สั้นที่สุด แต่มีความหมายลึกซึ่งและยิ่งใหญ่ที่สุด คำว่าแม่เป็นคำแรกที่ลูกพูดได้ และจดจำไว้ไม่เคยลืมท่านผู้มีเกียรติที่เคารพค่ะนับตั้งแต่วันแรกที่แม่ตั้งครรภ์ท่านก็ใฝ่ฝันและสวดภาวนาให้ลูกรักเกิดมาอย่างปลอดภัยท่านอดต่อความอยาก ลำบากต่อการนอนนั่ง แม้จะเหนื่อยและหนักท่านก็ไม่บนท่านสู้ท่านเพราะ รักลูกแม่บำรุงครรภ์จนครบครันเมื่อวันที่ลูกเกิด เป็นวันที่แม่แสนจะเจ็บปวดที่สุดในชีวิตแต่พอเห็นลูกปลอดภัยท่านก็อิ่มใจและเป็นสุข แม้ว่าลูกจะพิการ ท่านก็ไม่รำคาญเลี้ยงดู ท่านยอมรับและให้รักจนหมดใจ แน่นอนค่ะพวกเราทุกๆคนยังคงจดจำแววตาแห่งความเมตตาวาจาแห่งความเอื้ออาทร คำสอนที่ห่วงใยจากดวงใจของแม่ไดเสมอๆ


    </TD></TR><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR><TD class=text_menu align=left>อ้อมอกใครไหนเล่าเท่ารักแม่ </TD><TD class=Text_comment align=left width=40 rowSpan=8></TD><TD class=text_menu align=left>คือรักแท้แด่ลูกน้อยคอยห่วงหา</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>ตั้งแต่เล็กแม่คอยอุ้มคุ้มชีวา </TD><TD class=text_menu align=left>รักของแม่จึงลําค่ามาสู่ใจ</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>หยดนํานมเพียงหนึ่งลูกซึ้งนัก</TD><TD class=text_menu align=left>ความอบอุ่นกรุ่นไอรักอันยิ่งใหญ่</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>อ้อมกอดแม่อบอุ่นยิ่งกว่าสิ่งใด</TD><TD class=text_menu align=left>สองมือแม่เลี้ยงลูกให้เติบใหญ่มา</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>แม่สละทุกสิ่งได้เพื่อให้ลูก</TD><TD class=text_menu align=left>ความรักแม่จึงพันผูกลูกเฝ้าหา</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>แต่หลายครั้งทำให้แม่เสียนํ้าตา</TD><TD class=text_menu align=left>คำขอโทษน้อยเกินกว่าจะพูดไป</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>ถึงวันนี้ลูกรู้แล้วถึงความรัก</TD><TD class=text_menu align=left>ลูกเข้าใจและตระหนักรักยิ่งใหญ่</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>ที่แม่ทำทุกสิ่งเพราะห่วงใย</TD><TD class=text_menu align=left>อ้อมกอดใครไม่อุ่นเท่าแม่เราเอย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD class=Text_content bgColor=#ffffff>ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพค่ะ ทุกๆ คนที่เกิดมาอาศัยอยู่ในโลกนี้ ย่อมมีแม่ด้วยกันทุกคน ไม่มีแม่ย่อมไม่มีพวกเรา แม่เป็นผู้ให้กำเหนิดเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก ฟูมฟักลูกให้เติบใหญ่ ใส่ใจลูกๆ ทุกเวลา แม่เป็นผู้เช็ดน้ำตา เมื่อเราร้องให้ เป็นเพื่อนปลอบใจเมื่อเราผิดหวังแม่เพิ่มพลังใจให้พลังกาย ไม่เคยเหนื่อยหน่ายเมื่อสั่งสอน แม้ว่าลูกจะหยอกย้อนให้เจ็บใจ แม่จะไม่ยอมบ่นท่านจะทนไม่หนีหาย ไม่ว่าลูกจะร้ายหรือดีท่านจะอยู่เคียงข้างไม่ห่างไกล เมื่อลูกเจ็บไข้ ไร้ที่พักพิง แม่จะต้องวิ่งมาช่วยเหลือ แม่จึงเป็นทุกๆ สิ่งยิงใหญ่กว่าสิ่งใดในโลกนี้ ดังที่ท่านผู้รู้ประพันธ์เป็นบทกลอนไว้ว่า


    </TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD class=text_menu align=left width=89>เหงื่อไคล </TD><TD class=text_menu align=left width=86>แม่ไหลริน </TD><TD class=text_menu align=left width=92>หลั่งลงดิน</TD><TD class=text_menu align=left width=96>แทบสินใจ</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>ก้มหน้า </TD><TD class=text_menu align=left>หาเงินไป</TD><TD class=text_menu align=left>เพื่อให้ใคร</TD><TD class=text_menu align=left>ได้อยู่กิน</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>อดนอน</TD><TD class=text_menu align=left>ทนร้อนหนาว</TD><TD class=text_menu align=left>อดหวานคาว</TD><TD class=text_menu align=left>อดข้าวกิน</TD></TR><TR><TD class=text_menu align=left>แม่อด</TD><TD class=text_menu align=left>จนหมดสิ้น</TD><TD class=text_menu align=left>ให้ลูกกิน</TD><TD class=text_menu align=left>หมดสิ้นเอย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD bgColor=#ffffff>ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพค่ะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า พรหมาติ มาตาปิตะโร ปุพพาจะริยาติ วุจจะเร แปลความหมายว่า พ่อแม่เป็นครูคนแรกและเป็นพระพรหมของลูก ๆ แม่ปลูกฝังสั่งสอน ชี้แนะให้ลูกทำ ชี้นำให้ลูกเห็น ท่านเป็นตัวอย่างที่งามพร้อม เป็นเบ้าหลอมของครอบครัว ดิฉันเชื่อว่า ชีวิตที่ขาดแม่เหมือนแพแตก ดังพุทธภาษิตว่า มาตา มิตตัง สะเก ฆะเร แม่เป็นมิตรแท้ในเรือน ท่านจะบอกสิ่งที่เป็นประโยชน์และป้องกันสิ่งที่เป็นโทษ ท่านผู้มีเกียรติที่เคารพค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีนี้ นับเป็นปีมหามงคลยิ่งของแผ่นดินไทยที่ในพ่อหลวงของพวกเรา ได้ครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวในโลกที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุด พระราชาธิบดี พระราชินี และตัวแทนของพระราชวงศ์ ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกจำนวน ๒๕ ประเทศ ได้เสด็จไปร่วมการเฉลิมฉลองการครองสิริราชสมบัติดังที่ปรากฏแล้วนั้น นำความปลาบปลื้มและปิติยินดีมาสู่คนไทยที่อาศัยอยู่ในทั่วทุกมุมโลก ดังนั้น ขอให้พวกเราทั้งหลายได้น้อมจิต ตั้งสัจจอธิษฐานทำความดี หลีกหนีความชั่ว เพื่อน้อมเกล้าถวายแด่พ่อหลวงของพวกเราท่านผู้มีเกียรติที่เคารพค่ะ วันนี้เป็นวันสำคัญของคนไทยทุกๆ ท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนไทยในประเทศเบลเยี่ยมและประเทศใกล้เคียง เป็นวันที่พวกเราทุก ๆ ท่านได้มีสมานฉันท์ร่วมกัน แสดงออกซึ่งความสามัคคีและความจงรักภักดีเทอดทูนเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม จัดงานวันแม่แห่งชาติ ณ วัดธัมมปทีป เพื่อถวายพระพร และถวายพานพุ่มราชสักการะ ต่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ท่าน ผู้เป็นที่รักยิ่งของชาวไทยทั้งปวง พระองค์ผู้บำเพ็ญหิตานุหิตประโยชน์ โดยไม่ท้อแท้ต่อความเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย เสียสละความสุขส่วนพระองค์ เพื่อความสุขของพสกนิกรทั่วแผ่นดินท่านผู้มีเกียรติที่เคารพค่ะ ดิฉันอยากให้ทุกๆ วันเป็นวันที่เรารักแม่ ดูแลเอาใจใส่ ไม่ทำให้ท่านเสียใจและร้องให้ เพียงดอกมะลิดอกเดียวย่อมไม่สามารถตอบแทนพระคุณแม่ได้หมด แต่เชื่ออย่างยิ่งว่า การเป็นลูกที่ดีจะตอบแทนพระคุณท่านได้บ้าง ดังนั้น ในวันนี้ เราพอมีเวลามาทบทวน ตรวจสอบ ว่าเราเป็นลูกที่ดีหรือยัง หากยังและพลั้งเผลอทำให้แม่เสียใจ จงเร็วไวกราบขอขมา สัญญาจะเป็นลูกที่ดี ก่อนที่ท่านจะจากเราไป หากไม่ใส่ใจ จะเสียใจที่ไม่ได้ทำ กรรมหนักจะตามมา อย่ารอช้า บอกรักแม่ ทำดีกับแม่ ทำเดียวนี้ ไม่ต้องเดี๋ยวดิฉันรักแม่มากที่สุดๆ ค่ะ ขอบคุณค่ะ


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

    ขอขอบคุณ
    http://www.watdhammapateep.com/Article/article1.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2008
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    21 ยอดพระอริยคณาจารย์
    <HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->21 ยอดพระอริยคณาจารย์ในพิธีมหาพุทธาภิเศก ณ วัดราชบพิธฯ ศุกร์ 16 ธันวาคม 2481 ปีขาล

    ทุกองค์ที่อยู่ในรูป เป็นพระอริยะบุคคลขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา องค์ไหนที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมาก ท่านองค์นั้นเคยปราถนาพุทธภูมิมาก่อน ขออนุญาติพิมพ์ชื่อทุกองค์จากซ้ายไปขวา

    แถวนั่ง : พระเทพสิทธินายก (เลียบ) วัดเลา ธนบุรี, พระวิสุทธิรังษี (เปลี่ยน) วัดใต้ กาญจนบุรี,
    พระอาจารย์ปลื้ม วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท, พระครูธรรมสุนทร (จันทร์) วัดบ้านยาง ราชบุรี,
    หลวงพ่อแช่ม พรหมสโร วัดตาก้อง ราชบุรี, พระธรรมเจดีย์ (สังฆราชอยู่) วัดสระเกศ พระนคร,
    พระธรรมธาดาจารย์ (แนบ) วัดระฆังโฆสิตาราม ธนบุรี, พระครูนันทธีราจารย์ (เหลือ) วัดสาวชะโงกฉะเชิงเทรา, พระครูสิทธิสารคุณ (จาด) วัดบางกะเบา ปราจีนบุรี

    แถวยืน : พระครูอาคมสุนทร (มา) วัดราชบูรณะ จ.พระนคร,
    พระครูอโศกธรรมสาร (โสก) วัดปากคลอง เพชรบุรี, พระครูไพโรจน์วุฒาจารย์ (รุ่ง) วัดท่ากระบือ สมุทรสาคร, พระครูโสภณศาสนกิจ (กลิ่น) วัดสะพานสูง นนทบุรี, พระอาจารย์แฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี, พระญาณไตรโลกาจารย์ (ฉาย) วัดพนัญเชิง อยุธยา, พระอธิการจันทร์ วัดคลองระนง นครสวรรค์,
    พระอาจารย์จันทร์ วัดนางหนู ลพบุรี, พระครูรัตนรังษี (พุ่ม) วัดบางโคล่นอก, พระอธิการจง พุทธสโร
    วัดหน้าต่างนอก อยุธยา,
    พระครูวรเวทมุณี (อี๋) วัดสัตหีบ ชลบุรี, พระอุปัชฌาย์คง ธัมมโชโต วัดบางกะพ้อม สมุทรสงคราม









    [​IMG]


    จากคุณลีลาวดี ในเวบพลังจิตเรานี่เองครับ

    http://palungjit.org/showthread.php?t=67244
     
  9. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER>

    รูปนี้เป็นพระเกจิที่มานั่งปรกในพิธีครั้งแรก มาเพียง ๙ รูป แต่ก็ถือว่าเป็นสุดยอดเกจิ

     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE id=table2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD>
    สมเด็จพระสังฆราชเจา พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ วัดราชบพิธฯ กรุงเทพฯ

    [​IMG]



    ข้อมูลประวัติ
    ประสูติ สมัยรัชกาลที่ 4 วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม 2402 ตรงกับแรม 7 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นพระโอรสของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนเจริญผลภูลสวัสดิ์ กับ หม่อมปุ่น ชมพูนุช
    บรรพชา ปี พ.ศ.2416 ผนวชเป็นสามเรณ ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
    อุปสมบท ปี พ.ศ.2422 ณ วัดพระศรีรตนศาสดาราม
    สิ้นพระชนม์ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2480
    สิริพระชนมายุ ได้ 29 พรรษา 59 (เป็นสมเด็จพระสังฆราชเจ้า องค์ที่ 11 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์)

    วัตถุมงคลที่ได้รับความนิยม
    ปี พ.ศ.2466 เนื่องในพระชนมายุครบ 65 พรรษา วัตถุมงคลท่านได้จัดสร้างไว้ 3 อย่าง คือ 1.พระชัยวัฒน์สามเหลี่ยม เนื้อสัมฤทธิ์ ทั้งหน้าเดียวและสองหน้า บางองค์เจาะรูที่ก้นบรรจุเส้นเกศา จำนวนสร้างรวมกันทั้งหมดประมาณ 1,000 องค์
    2. เหรียญอาร์มพระนามย่อ ช.ส. เนื้อทองแดง และทองแดงกะไหล่ทอง
    3. รูปถ่ายกรอบกระจก
    ปี พ.ศ.2474 เนื่องในพระชนมายุครบ 72 พรรษา สร้างเหรียญใบสาเก มีเนื้อเงิน และทองแดง ปี พ.ศ.2481 เป็นวัตถุมงคลที่จัดสร้างภายหลังพระองค์ท่านทรงสิ้นพระชนม์แล้ว แต่เนื่องจากเป็นพิธีพุทธาภิเษกครั้งใหญ่ มีพระคณาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมาก จึงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย

    พุทธคุณที่เล่าสืบทอดกันมา
    พุทธคุณในวัตถุมงคลของท่านเด่นทาง เมตตามหานิยม
    </TD></TR></TBODY></TABLE>​


    <CENTER></CENTER>

    <TABLE id=table1 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=bottom align=middle>
    [​IMG]


    รูปของ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระเหรียญ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เหรียญใบสาเก ปี2474


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระเหรียญ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เหรียญปี 2481


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระเหรียญ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เหรียญปี 2481


    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระเหรียญ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เหรียญปี 2481


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระเหรียญ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เหรียญปี 2481


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระเหรียญ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เหรียญรูปไข่


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระเหรียญหล่อ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ เหรียญหล่อเนื้อเงิน


    </TD></TR><TR><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระพุทธชินราช กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์เหรียญพระรูปใหญ่ ชส.ปี 81


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์พระชัยวัฒน์เนื้อสามเหลี่ยม ปี 2466


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    พระกริ่ง พระชัยวัฒน์ กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์พระชัยวัฒน์เนื้อสามเหลี่ยม ปี 2466


    </TD><TD vAlign=bottom align=middle>

    [​IMG]


    เครื่องราง- รูปถ่าย- ล็อคเกต กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ น้ำเต้ากันไฟ


    </TD></TR></TR></TBODY></TABLE>


    คลิกเข้าไปตามรูปท่าน เข้าเวบข้างต้นมีข้อมูลพระให้ชมแบบสุดๆ ใครชอบพระอภิญญาแบบใด หาความรู้เอาเองเถิดครับ ตามจริตของแต่ละคน ส่วนผมแขวนพระทุนนิธิฯ ครับ แขวนท่านองค์เดียวจริงๆ

    <CENTER><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="90%" border=0><TBODY><TR><TD width="100%">


    </TD></TR></TBODY></TABLE></CENTER>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2008
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เพิ่งกลับจากระยองมา เห็นนายสติโพสท์เรื่องคณาจารย์ยุค 2481 เลยนำมาลงดูบ้างพอตามอารมณ์เพื่อนฝูง ไประยองคราวนี้ ยังไม่เจอฆราวาสผู้เฒ่า แต่คราวหน้าน่าจะไม่พลาด ฆราวาสท่านนี้เป็นผู้หญิง เป็นระดับสุดยอดของหลวงพ่อฤาษีฯ อีกท่านหนึ่ง สำเร็จมโนฯ เรียบร้อยขึ้นบนลงล่างได้สบายมาก ได้แต่คุยกับลูกศิษย์ที่สนิทกันแต่น้องเพิ่งฝึกได้ครึ่งกำลังไปข้างบนได้นิดหน่อย เห็นบอกว่าท่านนี้จิตท่านเร็วมากเหมือนกัน คราวหน้าคงมีอะไรดีๆ มาฝากครับ

    สำหรับผ้ามัสลินทั้งพับ 1 และ 2 ตอนนี้ถึงขอนแก่นเรียบร้อยแล้ว ทางโรงพยาบาลแจ้งว่า หากทำเสร็จจะถ่ายรูปผ้าปูเตียงหรือปลอกหมอนที่ทำเสร็จแล้วส่งมาให้

    ส่วนทางอุบลก็ได้รับปัจจัยเรียบร้อยแล้ว ส่วนใบอนุโมทนา ตอนนี้ทาง รพ. 50 พรรษาฯ โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินแจ้งว่ารออีกนิดนึงกำลังออกแบบใหม่และจัดพิมพ์อยู่ได้เมื่อไร จะรีบทำใบอนุโมทนามาให้ โดยคาดว่าเดือนนี้เสร็จแน่นอนครับ

    พันวฤทธิ์
    8/8/51
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    เมื่อเราดูจากภาพข้างต้น เราจะเห็นพระอริยะสงฆ์ที่ท่านทรงคุณทางจิต หรืออภิญญาที่เป็นที่รู้จัก หรือทรงความขลังไว้หลายท่าน หากเราลองย้อนดูในมุมกลับ อภินิหาร หรือ อภิญญา พาเราหลุดพ้นจากวัฏฏะนี้ได้หรือไม่ เราลองมาดูบทความแห่งคำตอบนี้กันครับ


    อภินิหาร

    [​IMG]ในคราที่ ๔ มหาโจรบุกเข้าฝากตัวต่อพระอาจารย์ดูลย อตุโล กลางดึก ณ สำนักป่าหนองเสม็ด ตำบลเฉลียง

    อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์
    แทนที่จะได้อาคมต่อสู้ กลับได้การนั่ง สมาธิภาวนาพระครูนันทปัญญาภรณ์ ซึ่งติดตามพระอาจารย์ตั้งแต่ยังบรรพชาเป็นสามเณรยืนยันจากประสบการณ์ตรงแห่งตนว่า
    " อยู่รับใกล้ชิดหลวงปู่เป็นเวลานานกว่าสามสิบกว่าปีจนถึงวาระสุดท้ายของท่านนั้นเห็นว่าหลวงปู่มีปฏิปทาตรงต่อพระธรรมวินัย ตรงต่อการปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์อย่างเดียวไม่แวะเกี่ยวกับวิชาอาคม ของศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งชวนสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย "

    เคยมีคนมาขอให้พระอาจารย์เป่าหัวให้


    " เป่าทำไม? " นั้นคือคำถามย้อนกลับ

    มีคนขอให้เจิมรถ
    ท่านก็ถามเขาว่า " เจิมทำไม? "

    หรือมีคนขอให้บอกวัน เดือน หรือ ฤกษ์ดี
    " วันไหนก็ดีทั้งนั้น " ท่านบอก​

    ครั้นหนึ่งมีคนขอนมัสการชานหมากที่กำลังเคี้ยวอยู่
    " เอาไปทำไม ของสกปรก " ท่านว่า​


    เมื่อประมาณปีพุทธศักราช ๒๕๒๘ พระอาจารย์ดูลย์ รับนิมนต์ไปร่วมพิธีกรรมที่วัดธรรมมงคลของพระญาณวิริยจารย์ อันเป็นศิษย์สายพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโตในงานนี้ พระอาจารย์รับนิมนต์เข้าไปนั่งปรกในพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลด้วยเมื่อเสร็จพิธีแล้วก็มานั่งพักที่กุฏิเล็กๆ แห่งหนึ่ง สนธนากับเหล่าศิษยานุศิษย์ซึ่งศึกษาเล่าเรียนอยู่ในมหานครกรุงเทพฯ เป็นจำนวนหลายรูปในจำนวนนั้นมีศิษย์รูปหนึ่งเห็นเป็นเรื่องแปลกเนื่องจากไม่เคยเห็นพระอาจารย์เข้าพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลมาก่อนเลยจึงได้กราบเรียนถามด้วยความสงสัยและด้วยความเคารพ" อาจารย์รูปอื่นๆ

    เขานั่งปรกพุทธาภิเษกอย่างไรเราไม่รู้ " พระอาจารย์กล่าว " ส่วนตัวเรานั่งทำสมาธิอย่างเดียว "การปฏิบัติของพระอาจารย์จึงมิใช่เพื่อความขลังหรือเพื่อสำแดงเดชอภินิหารหากเป้าหมายอยู่ที่การหลุดพ้น

    " ผู้ปฏิบัติที่แท้จริงนั้นไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้าชาติหลัง หรือนรกสวรรค์ อะไรก็ได้ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรง ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามตำรา

    ผู้ปฏิบัติดีแล้ว ก็ย่อมได้เลื่อนฐานะของตนเองโดยลำดับ หรือ

    ถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ "



    คำตอบจากข้างบนจากท่านหลวงปู่ดูลย์ พระอริยะอันทรงคุณผู้ซึ่งอัฐิ กลายเป็นพระธาตุแล้วเป็นคำตอบที่ไม่ต้องคิดต่อ...เลือกเอาเลยครับเราจะเอาอย่างไหนกัน ที่ลงบทความนี้ให้ดูก็เพื่อให้เป็นกำลังใจแห่งการปฏิบัติ เพราะพื้นฐานแห่งวิปัสสนาเพื่อพิจารณาให้เกิดปัญญา ก็เป็นผลมาจากฐานอันแข็งแกร่งจากสมถะกรรมฐาน และผลพลอยได้จากจิตอันแข็งแกร่งก็จะมีฌาณที่ประกอบด้วยรูปและอรูปฌาณตามสมถะกรรมฐานทั้ง 40 วิธีที่เกิดขึ้นมา และหากฝึกจิตจนชำนาญมากจนชำนาญในการเข้าออกฌาณที่เรียกว่า"วสี"แล้วก็จะสามารถแสดงฤทธิ์หรืออภิญญาได้ ดังใจหมาย แต่ทั้งนี้ฤทธิ์หรืออภิญญาก็ขึ้นอยู่กับวาสนาการบำเพ็ญเพียรแต่อดีตชาตินับชาติไม่ถ้วนของแต่ละคนมาประกอบด้วยเช่นกัน ดังนั้น การฝึกจิตยังไม่บังเกิดมรรคผลใด จึงไม่ต้องหวังอะไรหรืออย่าเพิ่งท้อใจอย่างที่หลวงปู่ดูลย์บอกไว้ ตั้งใจปฏิบัติให้แน่วแน่ก็พอ หากปฏิบัติดีแล้วทุกอย่างจะมาเองตามวาระครับ


    แต่ผู้ที่มีสมถะกัมมัฏฐานในระดับฌาณ ก็สามารถไปนิพพานได้ ตามพุทธดำรัสดังนี้ครับ



    ฌาน ๔ นำไปสู่นิพพานได้

    ปัญหา ลำพังการทำสมาธิจนได้ฌาน จะสามารถนำไปสู่นิพพานได้หรือไม่ ?

    พุทธดำรัสตอบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 สิงหาคม 2008
  13. peag

    peag สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +6
    ขอร่วมด้วย 3 คนครับ

    วันนี้โอนเงินร่วมทำบุญแล้วครับ 300 บาท
    peag+wirak+เทพารักษ์
    อนุโมทนา สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 300.jpg
      300.jpg
      ขนาดไฟล์:
      523.4 KB
      เปิดดู:
      160
  14. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ฮะแอ้ม มากันแบบแท๊คทีมเลยน๊ะครับ รวมกันได้งัยเนี่ย ขอโมทนาบุญด้วยครับ
     
  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
  16. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๓๖ : ทรงลอยถาด
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๓๖ : ทรงลอยถาด

    ทรงลอยถาด ถาดจมลงไปกระทบกับถาดเดิม ๓ ใบ
    พญานาคก็รู้ว่า พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้

    หลังจากทรงเสวยข้าวมธุปายาสเสร็จ จึงทรงลอยถาดและทรงอธิษฐานว่า ถ้าจะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ขอให้ถาดจงลอยทวนกระแสน้ำ เมื่อทรงปล่อยพระหัตถ์ ถาดนั้นก็ล่องลอยทวนกระแสน้ำขึ้นไปไกลถึง ๘๐ ศอก ไปจนถึงวังน้ำวนแห่งหนึ่ง ถาดนั้นจึงจมดิ่งหายลงไปจนถึงภพของกาฬนาคราช กระทบกับถาดสามใบของพระพุทธเจ้าในอดีตสามพระองค์เสียงดังกริ๊ก

    [​IMG]

    พระพุทธเจ้าในอดีตสามพระองค์นั้น คือ พระกกุสันธะ พระโกนาคมน์ และพระกัสสปะ พระมหาบุรุษกำลังจะเป็นองค์ที่ ๔

    กาฬนาคราชหลับมาตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าในอดีต จะตื่นทุกครั้งที่ได้ยินเสียงถาด พอได้ยินก็รู้ได้ว่าพระพุทธเจ้าองค์ใหม่เกิดในโลกแล้ว คราวนี้ก็เหมือนกัน เมื่อได้ยินเสียงถาดของพระมหาบุรุษก็งัวเงียขึ้นแล้วงึมงำว่า "เมื่อวานนี้พระชินสีห์ (หมายถึงพระกัสสปะพุทธเจ้า) อุบัติในโลกพระองค์หนึ่ง แล้วซ้ำบังเกิดอีกพระองค์หนึ่งเล่า" ลุกขึ้นมาไหว้พระพุทธเจ้าเกิดใหม่ แล้วก็หลับต่อไปอีก

    [​IMG]

    ความที่กล่าวมาถึงตอนพระมหาบุรุษทรงลอยถาด แล้วถาดลอยทวนกระแสน้ำจนถึง กาฬนาคราชใต้บาดาลได้ยินเสียงถาดตกลงมานั้น ท่านพรรณนาเป็นปุคคลาธิษฐาน ถ้าถอดความเป็นธรรมาธิษฐานก็ได้ความอย่างหนึ่ง คือ ถาดนั้นคือพระศาสนาของพระพุทธเจ้า แม่น้ำ คือ โลก หรือคนในโลก คำสั่งสอน หรือพระศาสนาของพระพุทธเจ้า พาคนไหลทวนกระแสโลกไปสู่กระแสนิพพาน คือ ความพ้นทุกข์ที่ไม่มีเกิด แก่ เจ็บ และตาย ส่วนกระแสโลกไหลไปสู่ความเกิด แก่ เจ็บ และตาย พญานาคใต้บาดาลผู้หลับใหล คือ สัตว์โลกที่หนาแน่นด้วยกิเลส เมื่อพระพุทธเจ้าทรงอุบัติบังเกิดขึ้นมาในโลกก็รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า รู้แล้วก็หลับใหลด้วยอำนาจแห่งกิเลสต่อไปอีก

    [/SIZE]<!-- End main-->
     
  17. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ทำดีเพื่อแม่
    <!-- Main -->[SIZE=-1]<STYLE>body{background-attachment: fixed;background-image:url(http://i6.piczo.com/view/o/h/r/p/o/p/q/u/i/8/h/img/i134374088_73937_2.jpg);} </STYLE>



    ประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก
    เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมี
    กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้น
    เป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมา
    จึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว
    หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก
    แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรและมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่
    ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรอง
    ของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493
    กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงัก
    ลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่
    ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง

    ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควร
    มีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และ
    ได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515
    แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519
    คณะกรรมการอำนวยการ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
    ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่า ควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที
    จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพ
    ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม
    เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้
    สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา

    [​IMG]

    .......... เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่
    ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอม
    ไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี
    เปรียบได้กับความรัก อันบริสุทธิ์ของแม่ ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย...


    [​IMG]


    .............สำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันแม่ คือ...
    ประดับธงชาติตามอาคารบ้านเรือน
    จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์
    ทำบุญใส่บาตรอุทิศส่วนกุศล เพื่อรำลึกถึงพระคุณของแม่
    รวมไปถึงการนำพวงมาลัยดอกมะลิไปกราบขอพรจากแม่

    ก็อย่างว่าวันแม่แห่งชาติทั้งที เราก็ต้องทำอะไรดีๆ
    ให้แม่ได้ชื่นใจกันหน่อยจริงไหม อ๊ะๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า
    วันอื่นๆ จะทำตัวไม่ดีนะคะ ในที่นี่หมายถึงทำดีแบบพิเศษๆ
    เนื่องในโอกาส
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    อันตรายของสมาธิ

    ปัญหา ในการเจริญสมาธิ บางครั้งเกิดนิมิตเห็นรูปแล้ว หรือเกิดโอภาสแสงสว่างแล้ว แต่ในไม่ช้าก็หายไป ทั้งนี้เพราะเหตุไร ?

    พุทธดำรัสตอบ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 4 สิงหาคม 2551 10:27:22 น.-->
    [​IMG]

    โอวาทหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
    <!-- Main -->
    ศาสตร์ทั้งหลายที่มีอยู่ในโลกทั้งหมด
    สอนกันไม่มีที่สิ้นสุด
    ยิ่งเรียนยิ่งสอนก็ยิ่งกว้างขวางออกไปทุกที
    มีพุทธศาสนาเท่านั้นที่สอนให้ถึงที่สุดได้


    ครั้นเราจับที่ต้นตอมันได้แล้ว
    เราเห็นชัดว่ามันออกไปจากตัวกลางนี่แหละ ไม่ได้ออกไปจากที่อื่น
    ความโลภ ความโกรธ ความหลง ทิฏฐิมานะทั้งหลาย
    ความรัก ความชังก็เหมือนกัน มันเกิดจากตัวกลางนี้ทั้งนั้น
    ถ้าหากปฏิบัติเข้าถึงตัวกลางได้แล้วก็หมดเรื่อง


    ความโลภ เกิดขึ้นแล้วย่อมท่วมหัวใจคน เหมือนกับน้ำ
    ธรรมดาน้ำย่อมท่วมสิ่งสารพัดทั้งปวงได้แม้แต่มนุษย์บุรุษชายหญิง
    ไม่ว่าหนุ่ม แก่ชรา อนาถา เศรษฐี คหบดี เจ้าฟ้ามหากษัตริย์
    ย่อมท่วมไม่เหลือหลอ


    ท่านอุปมาการชำระ การดับกิเลสไว้อย่างน่าฟัง
    ว่า เหมือนสุนัขบ้าน เมื่อเขาเอาก้อนอิฐปาใส่มัน
    สุนัขนั้นก็จะวิ่งเข้าไปงับก้อนอิฐ
    ด้วยเข้าใจว่าเราเอาชนะได้แล้ว
    และแล้วเขาก็จะเอาก้อนอิฐปาใส่มันใหม่อีก
    ส่วนราชสีห์หาได้เป็นเช่นนั้นไม่
    เมื่อเขาปาก้อนอิฐมาใส่ มันจะเหลียวแลดู
    เห็นคนไหนเป็นผู้ปามาใส่มัน
    มันจะต้องกระโดดเข้ากัดคนนั้นให้ตาย ฉันใด
    ผู้ต้องการจะดับสรรพกิเลสทั้งหลายมีโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น
    หรือกิเลสอันเกิดจากอายตนะทั้งหก มีตา หู เป็นต้น
    จึงไม่ต้องไปยึดเอาสิ่งที่มันเกิดแล้วนั้นๆ
    แต่ไปจับเอาตัวเดิมของมันคือ
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    แม่คือพระของเรา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
    <!-- Main -->[SIZE=-1]<TABLE borderColor=white border=5>
    <TBODY><TR>
    <TH><SIZE=7>

    <CENTER>[​IMG]</CENTER>


    <CENTER>แม่คือพระของเรา </CENTER>



    แม่...เป็นคำที่มนุษย์เปล่งเสียงได้เป็นครั้งแรก
    ถือกันว่าแม่เป็นพรหม เป็นบูรพาจารย์ของลูก
    และมีอุปการะคุณต่อบุตรเป็นอเนกประการ
    ...คนทั่วไปพยายามจะเดินทางไปในที่ต่างๆ
    เพื่อเสาะแสวงหาพระดีๆที่จะไปทำบุญกับท่าน
    ...............ที่ไหนว่าศักดิ์สิทธิ์ก็ไปกัน..........
    ...แต่ทั้งที่เรามีพระประจำตัวอยู่ใกล้เรา
    ....คือ...."มารดา" กลับมองไม่เห็น
    พระที่อยู่กับเราเป็นพระที่ศักดิ์สิทธิ์และประเสริฐที่สุด
    ...............ขอให้ทุกคนเร่งสร้างกุศลต่อท่าน........
    และคำนึงอยู่เสมอว่า แม่คือพระของเรา...
    ...............ชีวิตก็จะมีสุข.............
    กว่าการดั้นด้นไปหาพระศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนๆ

    ....ความรักของแม่...
    รักใดเล่ารักแน่เท่าแม่รัก
    ผูกสมัครลูกมั่นไม่หวั่นไหว
    ห่วงใดเล่าเท่าห่วงดังดวงใจ
    ที่แม่ให้กับลูกอยู่ทุกครา
    ยามลูกขื่นแม่ขมตรมหลายเท่า
    ยามลูกเศร้าแม่โศกวิโยคกว่า
    ยามลูกหายแม่ห่วงดังดวงตา
    ยามลูกมาแม่หมดลดห่วงใย
    ยามมีกิจหวังให้เจ้าเฝ้ารับใช้
    ยามป่วยไข้หวังให้เจ้าเฝ้ารักษา
    ยามถึงคราวล่วงลับดับชีวา
    หวังให้เจ้าเฝ้าปิดตาเมื่อสิ้นใจ...

    (..จากหนังสือ..วิวาห์พระสมุทร พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัว) ในพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยทั่วกันตลอดกาลทุกเมื่อ​
    </TH></TR></TBODY></TABLE>[/SIZE]
     

แชร์หน้านี้

Loading...