ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. channarong_wo

    channarong_wo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +1,510
    ผมขอร่วมทำบุญถวายผ้ามัสลินพับที่สองอีกครั้ง 500 บาทครับ
    ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านนะครับ ที่ได้คอยอุ้มชูพระศาสนา
    ชาญ
     
  2. newcomer

    newcomer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กันยายน 2007
    โพสต์:
    1,317
    ค่าพลัง:
    +3,934
    เรียน ท่านพันวฤทธิ์

    ร่วมบุญเพิ่มเติมครับ

    ฝากที่เคาเตอร์ สาขาเอสพานาด เข้าบัญชี 348-123-245-9

    วันที่ 4/8/2551 เวลา 18:52 น. จำนวน 202 บาท ครับ

    (ทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ 102 บาท + ทำบุญถวายผ้ามัสลิน 100 บาท)

    โมทนาบุญกับทุกท่าน ครับ
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097

    ขอบคุณมากคุณน้องหนู ระวังๆ กลุ่มปิโตรฯ+พลังงาน ด้วย เป็นช่วงขาลงครับ
    พาท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านออกเที่ยวบ่อยอย่าลืมพาท่านสวดมนต์ด้วยเน้อ.. อ้อ..พี่ใหญ๋บอกท่านชอบกุฎิทองนา..อย่าลืม
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ช่วงสัปดาห์นี้ส่วนใหญ่ไปทำงานระยองมีเวลาวันอังคารวันเดียวที่อยู่กรุงเทพฯ กระทู้สงฆ์อาพาธนี้คงฝากให้หลายคนช่วยพยุงให้ด้วย เพราะไม่สามารถ up-date อะไรได้อีก เนื่องจากที่ทำงานเป็นสถานที่พิเศษ wireless ยังไม่ติดตั้ง note book ที่นำไปจึงใช้ไม่ได้ ฝากด้วยก็ละกัน ไประยองหากมีโอกาสจะนำพระไปตรวจด้วยครับ เท่าที่ทราบในขณะนี้ อ.ฆราวาสผู้เฒ่า ตรวจพระสมเด็จพิมพ์กลักไม้ขีด ถึงกับครางฮือ บอกท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ เสกเอง แรงจัง เดี๋ยวจะเอาของบรมครูหรือปู่ใหญ่ กับ เจ้าคุณกรมท่าไปด้วย เผื่อมีโอกาสจะได้เก็บไว้เป็นหลักฐานครับ
     
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ขอบคุณครับพี่ แต่ทองแพงเหลือเกินครับ
     
  6. tanya123

    tanya123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    197
    ค่าพลัง:
    +544
    :)Dear kune Bhanvarit and friends:)
    Today i and family transfer money 420 B. to tum boon ka:)
    120 B, tumboon for the yellow robe
    300 B, tum boon for help sick monks
    04/08/08 499014 150804 3481232459= 420 B
    :)Every body pls Sa tue boon with us ,we also sa tue boon with every body too ka.:)be happy1
    :)Best regards:);aa31

    :)Tanya klyne and family:);aa31
    04/08/08
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2008
  7. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    กราบขอบพระคุณและโมทนาในบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญกับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม ด้วยนะครับ
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    เมื่อวันอาทิตย์ทางคณะกรรมการได้ไปประชุมกรรมการที่บ้านพี่ใหญ่ ซึ่งท่านเป็นรองประธานที่ปรึกษาของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถมเรื่องผ้าที่ทางทุนนิธิฯจะซื้อผ้ามัสสลิน ถวายเพื่อใช้เป็นเครื่องบริขารให้แก่พระสงฆ์อาพาธ ณ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น โดยทั้งผมและคุณพันวฤทธ์ได้ร่วมกันเบิกถอนเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯเป็นเงิน 11600 บาทและได้มอบให้คุณพันวฤทธ์ไปดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ซึ่งในวันที่ไปประชุมได้มีผู้ฝากเงินมาทำบุญกับทางทุนนิธิฯเพิ่มเติมด้วยดังนี้

    3 ส.ค. 2551 นายสติและครอบครัว 500 บาท
    4 ส.ค. 2551 คุณอิทธิพัทธ์+โชติรส เบญโชติเดช 2000 บาท
    คุณสิริพัชร์ ศรีธนาอุทัยกร 1000 บาท
    คุณ ธนวัฒน์+เบญจวรรณ์+พิชาภพ 100 บาท
    น้องเอ 200 บาท


    ยอดเงินที่เบิกถอนจากบัญชีเพื่อผ้ามัสสลิน ถวายเพื่อใช้เป็นเครื่องบริขารให้แก่พระสงฆ์อาพาธ ณ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น

    [​IMG]


    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Picture 001.jpg
      Picture 001.jpg
      ขนาดไฟล์:
      132.3 KB
      เปิดดู:
      1,205
  8. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ขอสรุปตัวเลขการทำบุญร่วมกันอีกครั้งสำหรับผ้าพับที่ 2 และข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องความต้องการใช้ผ้าของหอสงฆ์ รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่นดังนี้

    รายชื่อผู้บริจาคผ้าพับที่ 2 (ขาดตกบกพร่องรายชื่อใดต้องผมขออภัย และขอรับผิดชอบเพียงคนเดียวครับ ยังไงก็ช่วยทักท้วงด้วยครับ)

    1. คุณโสระ 1,000.-
    2. นายสติ 200.-
    3. chaipatและครอบครัว 100.-
    4. runchoo man 100.-
    5. narongwate 100.-
    6. nongnoo 200.-
    7. mea 300.-
    8. aries 100.-
    9. tg 500.-
    10.channarong 500.-
    11.new comer 100.-
    12.tanya 123 120.-

    รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 3,320.-

    สำหรับผ้าพับที่ 2 นี้ มีความยาว 122 หลา ราคาหลาละ 48.- เป็นเงินค่าผ้าทั้งสิ้น 5,856.- คงขาดเงินอีก 2,536.- ผมจะบริจาคเพิ่มเข้าไปในส่วนที่ขาดทั้งหมดเองครับ และในวันนี้ช่วงเช้าเช่นกัน ได้คุยกับเจ้าของร้าน ว่าของทั้งหมดคือผ้า 2 พับ จะจัดส่งให้ โรงพยาบาลเร่งด่วนในวันนี้เลย โดยไม่รอการโอนเงินจากผม (จำนวนเงินที่จะโอนทั้งสิ้น 11,600.- ตามจำนวนเงินที่เบิกมา) และผ้าทั้งหมดจะถึง รพ.ไม่เกินวันพฤหัสนี้ครับ โดยผมได้โทร.คุยกับคุณวรารัตน์หัวหน้าหอสงฆ์อาพาธเรียบร้อยแล้ว ส่วนหลักฐานการรับบริจาคผ้า พร้อมใบเสร็จตัวจริง คุณวรารัตน์จะนำส่งให้ผมทีหลัง ซึ่งได้ทราบข้อมูลการใช้ผ้าเพิ่มเติมจากคุณวรารัตน์ และ รศ.นพ.สุขขชาติ ประธานกองทุนหลวงปู่เทสก์ฯ เพื่อชวนให้โมทนาอีกนิดนึงก็คือ ผ้านี้จะถูกนำไปใช้เป็นผ้าปูเตียง ปลอกหมอน สำหรับพระสงฆ์ที่อาพาธ หรือเปลี่ยนเป็นจีวรใหม่ให้ท่าน กรณีมรณะภาพที่ รพ. เพื่อเป็นการตกแต่งร่างให้ท่านเป็นครั้งสุดท้าย เพราะขามา จีวรท่านอาจจะติดเชื้อต่างๆ หรือช่วงที่พักรักษาอาจมีเชื้อโรคต่างๆ ที่ผ้า ทาง รพ.จึงไม่อยากใช้จีวรเดิมห่อร่างท่านครับ น่าสาธุบุญจริงๆ ครับ

    จึงเรียนมาเพื่อทราบ

    พันวฤทธิ์

    5/8/51



    หมายเหตุ ผ้าพับแรกมีจำนวน 120 หลา ราคาหลาละ 48.- เป็นเงิน 5,760.-
     
  9. aries2947

    aries2947 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    2,031
    ค่าพลัง:
    +11,622

    เรียนพี่เสือครับ
    เมื่อวานผมโอนเงินทำบุญแล้วครับ
    โมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
    น้องเอ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 สิงหาคม 2008
  10. ชิน9

    ชิน9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    46
    ค่าพลัง:
    +247
    วันนี้ผมและครอบครัว ขอร่วมบริจาคเพื่อสงฆ์อาพาธ 2,000.-บาท (12.54.37 05/08/2008 1702)

    ขอบพระคุณครับ
     
  11. pon98

    pon98 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    632
    ค่าพลัง:
    +3,886
    ด้วยในปัจจุบันพระภิกษุสงฆ์อาพาธตามโรงพยาบาลต่างๆ เช่น รพ.สงฆ์ ยังคงมีอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านี้ล้วนเป็นเนื้อนาบุญของเรา ดังคำกล่าวที่ว่า"ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงกำหนดรักษาภิกษุป่วยไข้" ด้วยเหตุและปัจจัยแห่งเนื้อนาบุญอันมีอานิสงส์ที่ประมาณมิได้นี้ ประกอบกับเป็นการเชิดชูครูอาจารย็ที่ได้อบรมความรู้ และถ่ายทอดประสบการณ์ในเรื่องอภิญญาจิต และความรู้เรื่องพระพิมพ์สกุล วัดพระแก้ววังหน้า พระพิมพ์สกุลบรมครูเทพโลกอุดรของ ท่าน อ.ประถม อาจสาคร กระผมและคณะจึงได้ก่อตั้งกองทุนขึ้นมาในรูปแบบของทุนนิธิ เพื่อรวบรวมเงินบริจาคที่จะได้มานำไปบริจาคให้หรือรักษาไข้แก่พระภิกษุสงฆ์อาพาธที่ยากไร้ ตามโรงพยาบาลต่างๆ หรือบำรุงศาสนกิจที่จำเป็นตามที่คณะกรรมการของกองทุนจะได้พิจารณาขึ้น ดังนั้น กระผมและคณะจึงใคร่ขอเชิญชวนทุกท่านที่ได้อ่านกระทู้นี้ ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือพุทธศาสนา ด้านการรักษาสงฆ์ หรือศาสนกิจอื่นๆ โดยการบริจาคเข้า บัญชี "ศ. ทุนนิธิสงเคราะห์ สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร" (pratom foundation) บัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาถนนวิภาวดีรังสิต (ซันทาวเวอร์ส) บัญชีออมทรัพย์ หมายเลข 348-1-23245-9
    <!-- / message --><!-- attachments --><FIELDSET class=fieldset><LEGEND>รูปขนาดเล็ก</LEGEND>[​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    </FIELDSET>

    โมทนาบุญกับคุณชิน9 ที่ได้บริจาคร่วมทำบุญกับทุนนิธิฯอย่างต่อเนื่อง ผมและคณะกรรมการทุนนิธิฯ ขอให้ผลบุญที่คุณได้ทำดีแล้วทั้งหมดจงดลบันดาลให้สิ่งที่คุณชิน9ปราถนาประสบความสำเร็จทุกๆประการครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
  12. nathaphat

    nathaphat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    182
    ค่าพลัง:
    +750
    ถวายผ้ายังทันมั๊ยครับ พอดีพึ่งเข้ามาอ่านกระทู้

    แต่ยังไงก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
     
  13. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ขอนำใบรับบริจาคเงินของ กองทุนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี(เพื่อหอสงฆ์อาพาธ)ที่ส่งมาให้ทางทุนนิธิฯ มาให้ร่วมโมทนาบุญร่วมกันนะครับ
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    [​IMG]

    แถมท้ายด้วยพระกรุวัดโมลีโลกยาราม(ท้ายตลาด)ซึ่งเป็นพิมพ์พระประจำวันเกิด พระวังหน้าฝากกรุฝีมือช่างหลวงมาให้ชมกันด้วยครับ

    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>
    <!--images-->เทศกาล เข้าพรรษา พัฒนาชีวิต
    ให้ใกล้ชิด สนิทธรรม นำคุณค่า
    บำเพ็ญทาน รักษาศีล จิตภาวนา
    วิปัสสนา ภาวนา พาสุขใจ

    วันนี้ดี มีโอกาส ฉลาดรู้
    มาเฝ้าอยู่ ดูแลจิต คิดสดใส
    วิปัสสนา- กัมมัฏฐาน ผลาญทุกข์ไกล
    สงบใน กระแสธรรม นำสุขเย็น

    สถานที่ ปฏิบัติธรรม ท่ามกลางป่า
    หรือคูหา-อาคารว่าง หลังบ้านเห็น
    เป็นที่เหมาะ เพราะปลอดโปร่ง โล่งบำเพ็ญ
    กาย-ใจเป็น เครื่องบูชา ภาวนาธรรม

    สาธุชน ล้วนจดจ่อ ต่อกัมมัฏฐาน
    เพ่งเพียรการ งานทางจิต คิดเลิศล้ำ
    นำปฏิบัติ ฝึกหัดกาย ใจงดงาม
    ดำเนินตาม รอยบาท พระศาสดา

    ปริยัติ ปฏิบัติ ไม่ขัดแย้ง
    เพื่อรู้แจ้ง แห่งความจริง อิงสิกขา
    บำเพ็ญทาน บนฐานศีล จิตปัญญา
    ไตรสิกขา พัฒนาตน พ้นเวรภัย

    คืนหรือวัน บริหารจิต คิดก้าวหน้า
    วิปัสสนา ชำระใจ ให้ผ่องใส
    ฝึกกำจัด ธรรมะดำ นำออกไกล
    เติมแต่งใส่ ธรรมะขาว เข้าชีวัน

    มวลบัณฑิต พุทธศาสน์ ฉลาดรู้
    กำหนดดู รูปนามตน ฝึกฝนมั่น
    อาตาปี สติมา สัมปชาน์ทัน
    ปัจจุบัน ผันผ่านไป ในอินทรีย์

    ทุกก้าวย่าง นั่งยืนเดิน เพลินศึกษา
    ภาวนา สติไว้ ในฐานสี่
    กำหนดรู้ รูปนามได้ ให้พอดี
    ปลูกอินทรีย์ มีพละ ภาระเบา

    ฝึกกายา- นุปัสสนา พากำหนด
    อิริยาบถ จดจ่อใจ ไม่ขลาดเขลา
    ดูรูปยืน เดินนั่งนอน สอนตัวเรา
    กำหนดเฝ้า ดูรูปนาม ตามเป็นจริง

    เวทนา- นุปัสสนา สักว่าทุกข์
    บางคราสุข รู้สุขหนอ ต่อทุกสิ่ง
    หากเฉยเฉย รู้เฉยหนอ พอประวิง
    เย็นร้อนยิ่ง สิ่งมายา มาลวงใจ

    ฝึกจิตตา- นุปัสสนา มารู้จิต
    เฝ้าเพ่งพิจ จิตกำหนัด แรงจัดหลาย
    มีโทสะ โมหะอยู่ รู้ทันใด
    เกิดดับไว ในใจเรา คอยเฝ้าดู

    ฝึกธัมมา- นุปัสสนา อารมณ์จิต
    มีหงุดหงิด จิตฟุ้งซ่าน พลุ่งพล่านอยู่
    มีหงอยเหงา ง่วงหาวนอน ตอนนั่งดู
    ให้ตื่นรู้ ดูธัมมา มาและไป

    คำประกาศ พระศาสดา ตถาคต
    ให้กำหนด จรดสติ ดำริไว้
    อภิชฌา โทมนัส ติดขัดใน
    โลกวิสัย ให้รู้ทัน มันมายา

    หากโยคี มีธรรม นำฝึกหัด
    ย่อมกำจัด ขัดกเกลาใจ ให้แกร่งกล้า
    ยกจิตตน พ้นราคี มีวิชชา
    วิปัสสนา- ญาณวิมุติ หลุดพ้นกรรม

    บท
     
  15. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ศีลนี้ ทำให้คนเราสูงกว่าสัตว์ ดีกว่าสัตว์

    "ศีลนี้ ทำให้คนเราสูงกว่าสัตว์ ดีกว่าสัตว์.... แต่ถ้าหากเราผิดศีลข้อหนึ่ง ก็เท่ากับว่า เราใกล้ความเป็นสัตว์เข้าไป 20 เปอร์เซ็นต์แล้ว...หากผิดสองข้อ ก็ใกล้ความเป็นสัตว์เข้าไปถึง 40 เปอร์เซ็นต์....ผิดสามข้อ ก็ยิ่งเป็นสัตว์เข้าไป 60 เปอร์เซ็นต์....ที่สุด หากผิดศีลหมดทั้ง 5 ข้อ ก็ไม่เหลือความเป็นคนอะไรอีกแล้ว มีแต่ความเป็นสัตว์สิ่งเดียรัจฉานเต็มตัวหมดเท่านั้นแหละ....!!!!!!"

    (หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่)



    [​IMG]
    แม่ชีบุญเรือนเป็นแม่ชีที่สำเร็จอภิญญาชั้นสูงเปี่ยมด้วยบุญฤทธิ์และอิทธิฤทธิ์ ท่านสามารถอธิษฐานจิตให้ต้นมะม่วงอ่อนออกดอกผลได้ในคืนเดียว แม้แมื่อมรณภาพอัฐฐิยังกลายเป็นพระธาตุ พระของท่านเซียนใหญ่หลายคนยังอาราธนาขึ้นคอเลยเพราะท่านเอาดินจากพระกรุเก่าๆที่ชำรุดและดอกผลของมะม่วงดังกล่าวมาสร้างพระเครื่องครับ ศักสิทธิ์มากๆ สร้าง84000องค์ก็ไม่พอแจก


    [​IMG]

    "พระพุทโธน้อย" เป็นพระเครื่องขนาดเล็กที่ แม่ชีบุญเรือน โตงบุญเติม ท่านสร้างขึ้น และอธิษฐานจิตให้ไว้แก่วัดอาวุธวิกสิตาราม ตำบลบางพลัดนอก ธนบุรี เมื่อปี พ.ศ.2496 เป็นพระพิมพ์แบบครึ่งซีก กรอบทรงสามเหลี่ยม
    ด้านหน้า องค์พระประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย เหนือฐานบัวสองชั้น พระเกศเป็นมุ่นเมาลี พระนาสิกเป็นสันนูน พระเนตรเป็นเม็ดกลมนูน และพระหัตถ์ซ้ายถือหม้อน้ำมนต์
    ส่วนด้านหลัง มีอักขระขอมจารึก อ่านว่า "พุทโธ"
    แม้จำนวนสร้างจะมากถึงหนึ่งแสนองค์ แต่ด้วยความศรัทธาในตัวผู้สร้างและพุทธคุณเป็นเลิศปรากฏครบครันทั้งด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด เจริญด้วยโภคทรัพย์ และกำจัดโรคร้าย ทำให้ "พระพุทโธน้อย" หมดไปภายในเวลาอันรวดเร็ว
    "พระพุทโธน้อย"จัดเป็นพระเครื่องเก่าแก่ และน่าสะสมมากพิมพ์หนึ่ง

    วัตถุมงคลที่ของคุณแม่บุญเรือนอธิษฐานจิต

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 สิงหาคม 2008
  16. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ขยะ... ที่อยู่ในใจ

    ทำไมบางคนถึงทุกข์ร้อน วิตกกังวล กระวนกระวาย ไม่สบายใจ ไม่ปลอดโปร่งอยู่เสมอ

    คำตอบง่ายมาก เพราะเขาแบกความคิดและความรู้สึกหลายอย่างเอาไว้ ไม่ปลดปล่อย ไม่ปรับเปลี่ยน จนกระทั่งมันกลายเป็นขยะหรือคราบสกปรกเกาะติดหัวใจ เวลามีอะไรมากระทบหรือสัมผัสกับความรู้สึก ก็จะมีคราบเปื้อนเหล่านี้เข้าไปเจือปน ความสดใสที่ควรจะมี จึงมีได้ไม่เต็มที่

    ทำไมเราจึงปล่อยให้ใจเป็น "ถังขยะ" ล่ะ

    คำตอบก็คือ เราไม่ค่อยรู้ตัวหรอก ว่าเราแอบทิ้งขยะลงไปในใจของเราเอง หรือมีใครทิ้งขยะลงมาในหัวใจของเราบ้าง ถ้าเราไม่หมั่นสำรวจ บางทีเราอาจมีขยะรกเรื้อหัวใจอยู่มากมายเลยก็ได้ อะไรบ้าง ที่เป็นขยะหัวใจ

    1. ความไม่พอใจ

    มีหลายเรื่องเลยนะ ในชีวิต ที่เราไม่พึงพอใจ ถ้าจะแบ่งให้กว้างที่สุดเพื่อให้เห็นภาพ สิ่งที่ทำให้เราไม่พอใจมีอยู่ 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ไม่พอใจคนอื่น กับไม่พอใจตัวเอง ไม่พอใจคนอื่นเกิดได้มากกว่าความไม่พอใจในตัวเอง เพราะธรรมชาติของคน ย่อมรักตัวเองมากกว่าคนอื่น ย่อมโทษคนอื่นก่อนโทษตัวเอง ย่อมเห็นความผิดของคนอื่นได้ก่อนและได้ชัดกว่าความผิดของตนเอง

    ขณะเดียวกันเราต่างก็รู้ว่าโลกนี้ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ มีเกิน มีขาด จนกว่าจะค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาให้มีความพอดีได้ จึงจะเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบมากที่สุด ฉะนั้น เราควรมองด้านดีของกันและกันให้มากกว่าด้านที่บกพร่อง

    ถ้าเราเริ่มจากมองด้านดีของกันและกันแล้ว ความพึงพอใจ และความนับถือในกันและกันก็จะเกิด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่สร้างสรรค์กว่าการจับผิดกัน แล้วนำไปสู่ความไม่พอใจ

    2. ความผิดหวัง

    2 สิ่งที่ไม่ควรตั้งความหวังไว้สูงนัก คือหวังว่าเรื่องบางเรื่อง เหตุการณ์บางเหตุการณ์ หรือคนบางคนในอดีตจะย้อนกลับมา กับหวังว่าอนาคตจะเป็นไปตามที่เราวาดหวังเสียทุกประการ อดีตเป็นสิ่งที่ยากจะเรียกหาให้ย้อนกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม ดีที่สุดคือใช้อดีตเป็นบทเรียน ให้สติ ให้เราเรียนรู้ทั้งโอกาสและความผิดพลาดที่เคยเกิดขึ้น เพื่อให้วันนี้และวันข้างหน้า ดีกว่าอดีตที่เคยเป็น

    ส่วนอนาคตย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย ไม่สามารถบังคับบงการให้เป็นไปตามความหวังของเราได้เสียทั้งหมด แต่พอจะคาดการณ์ได้ว่าน่าจะเป็นอย่างไร กระนั้นก็ตาม หากไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์ ก็อย่าได้ทุกข์ร้อนเสียใจ และปล่อยความคาดหวังบนความไม่แน่นอนแบบนี้ให้เป็นขยะรกอารมณ์

    3. ความอิจฉาริษยา

    ขยะอย่างหนึ่งที่รกใจคนที่สุด ก็คือความอิจฉาริษยาคนอื่น โดยไม่ทันเฉลียวว่า ทุกครั้งที่เราอิจฉาริษยาใครก็ตาม ความนับถือตัวเองของเราก็เสื่อมถอยลงไปด้วย เพราะการจะรู้สึกอิจฉาหรือริษยาใครนั้น ย่อมมีพื้นฐานมาจากความรู้สึกว่าเขาดีหรือได้ดีกว่าเรา เราจึงอิจฉาเขาเป็นพัลวัน

    จงหยุดอิจฉา แล้วมองให้เห็นว่า การที่คนอื่นได้ดีหรือมีดีกว่าเรานั้น เป็นสิ่งที่น่ายินดี ควรยินดีกับเขา และปรับเปลี่ยนโน้มน้าวตัวเองให้ทวีความดีดั่งที่เขามีจนเราอิจฉา

    4. ความยึดมั่นถือมั่น

    ขยะที่เพิ่มพูนความรกเรื้อรุงรังให้ใจได้เป็นอย่างดีอีกประการหนึ่งคือ ความยึดมั่นถือมั่น คิดว่านั่นก็คนของฉัน นี่ก็บ้านของฉัน รถของฉัน คนรักของฉัน ตำแหน่งของฉัน ฯลฯ จนไม่สามารถปล่อยวาง 'สิ่งนอกตัว' เหล่านั้นลงได้

    ส่วนใหญ่พบว่า จิตจะปรุงแต่งไปเอง ว่าสิ่งนี้ฉันรัก สิ่งนี้ฉันเป็นเจ้าของ ใครก็เอาไปจากฉันไม่ได้ พอไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ ก็ผูกพันหน่วงเหนี่ยว ยังคงเสียดาย เสียใจ และปรุงแต่งจิตเพิ่มเข้าไปว่าฉันนี้แสนทุกข์ระทม

    ลองยอมรับความจริงดูบ้างไหม ว่าอะไรๆ ในโลกนี่ก็ไม่ใช่ของเราอย่างถาวรทั้งสิ้น แม้กระทั่งร่างกายของเรานี้ แท้ก็เป็นแค่ของยืมมา ใช้ได้ชาตินี้ชาติเดียว เดี๋ยวก็เสื่อม ก็แก่ ก็ป่วย ก็ตาย ต้องคืนร่างกายสังขารนี้สู่สภาพดิน น้ำ ลม ไฟ เน่าเปื่อยผุพังไป สิ้นความสวยความหล่อ ตลอดจนลาภยศสรรเสริญทั้งปวง

    5. ความกลัว

    ใจหลายคน รุงรังไปด้วยความกลัว กลัวเขาจะไม่รัก กลัวเงินจะหมด กลัวฝนจะตก กลัวนายจ้างจะเลิกจ้าง กลัวเพื่อนร่วมงานจะได้ดีกว่า กลัวไม่ก้าวหน้า ไม่ได้โบนัส ฯลฯ

    กลัวไปทำไม เรื่องบางเรื่องเราตัดสินเองไม่ได้ อยู่นอกเหนือจากการควบคุม ซึ่งกลัวไปก็เท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นสักนิด บางเรื่องแทบไม่มีวันมาถึงในชีวิต ก็กลัวล่วงหน้า กลัวจนประสาทเสีย

    จงพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกคนและทุกสิ่งในชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี ซึ่งต้องเริ่มจากการทำแต่สิ่งที่ดี โปร่งใส ไม่เป็นแผลติดตัวที่ต้องปิดบังซ่อนเร้น และจงขจัดความกลัวออกไปจากใจ เพื่อให้เกิดความมั่นใจที่จะใช้ชีวิตของเราให้สมศักดิ์ศรี เพื่อที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อทำให้ชีวิตนี้ดีกว่าเดิม

    6. ความอยาก

    จง "อยาก" ให้พอดีกับกำลังกาย กำลังทุน และกำลังสติปัญญาของตัวเอง อย่าอยากจนเกินกำลัง
     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    การปฏิบัติในกิจญาณในอริยสัจ 4

    พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ธรรมอันวิเศษซึ่งเรียกว่า อริยสัจ 4 ซึ่งในการตรัสรู้ของพุทธองค์จริงๆ แล้วไม่ได้มีภาษาที่จะเรียกธรรมะที่ทรงตรัสรูว่าเป็นอะไร ไม่ว่าจะเป็น ไตรลักษณ์ อริยสัจ เพราะธรรมะที่แท้จริงที่พุทธองค์ทรงตรัสรู้เป็นธรรมะที่ถ่ายทอดสู่จิตเพียงอย่างเดียวซึ่งทางภาษาบาลีเรียกว่า ปรมัตถ์ แล้วเมื่อพุทธองค์ทรงตรัสรู้และเข้าใจธรรมนั้นอย่างแจ่มแจ้งแล้ว พระองค์ก็ทรงนำมาบัญญัติเป็นภาษาของมนุษย์ที่ใช้กันซึ่งเรียกกันว่า สมมติบัญญัติ ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นเพราะธรรมะที่แท้จริงนั้นไม่มีภาษาที่จะเรียกอะไรเป็นอะไร มีแต่เพียงบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่เป็นอยู่เท่านั้น ดังนั้นเมื่อพุทธองค์ทรงตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ถึงกับทรงท้อพระทัยไม่กล้าที่จะนำธรรมะที่ทรงตรัสรู้ไปสอนเหล่าเวไนยสัตว์เพราะพระองค์คิดว่าอาจจะเหนือวิสัยการเข้าใจของมนุษย์ได้ แต่ท้ายสุดพระองค์ก็ทรงพิจารณาถึงบัว 4 เหล่า ว่าย่อมต้องมีบุคคลที่ต้องสามารถรู้ธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้ได้อย่างเป็นแน่แท้ หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงนำธรรมะเหล่านั้นไปโปรดแก่เหล่าเวไนยสัตว์ ซึ่งก็ปรากฏว่าในปัจจุบันก็มีผู้ที่รู้ธรรมะของพุทธองค์อย่างมากมาย ดังจะเห็นได้จากครูบาอาจารย์ทั้งหลาย

    การที่เราจะเข้าใจในการปฏิบัติได้นั้นเราจำเป็นจะต้องเข้าใจในอริยสัจ 4 บ้างพอสมควร มิเช่นนั้นเราก็จะไม่รู้จุดหมายปลายทางในการปฏิบัติ ไม่รู้แนวทางว่าปฏิบัติเพื่ออะไร ได้ผลเป็นเช่นไร ซึ่งเราจะมาทำความเข้าใจกันว่ากิจในอริยสัจนั้นมีอะไรบ้าง


    1. ทุกข์ ซึ่งหลายคนก็คงเคยได้ยินมาว่าทุกข์นั้นให้กำหนดรู้ ซึ่งการรู้ทุกข์ในที่นี้หมายถึงรู้ว่ารูปนามตกอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์นั่นเองคือสภาพที่ทนได้ยาก มิใช่ว่าเป็นทุกขเวทนาแต่อย่างใด แล้วอะไรหล่ะที่เราจะใช้กำหนดรู้ทุกข์ ก็คือเครื่องมือที่เรามีอยู่อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ของเรานี่เอง ระลึกให้ทันว่าการรับรู้อายตนะทั้ง 6 ทางมีการเกิดดับอยู่ทุกขณะที่ระลึกได้ เมื่อมีสติระลึกไปคราใดก็เห็นรูปนามเกิดดับทันที เห็นสภาพที่ทนได้ยาก ไม่จีรังยั่งยืน และบังคับไม่ได้ ของรูปนาม อย่างนี้จึงจัดว่ากำหนดรู้ทุกข์ ฉะนั้นถามต่อว่าแล้วหากเป็นทุกขเวทนาทางกายและทางใจหล่ะควรทำอย่างไร ก็ต้องระลึกรู้ให้เห็นสภาพแห่งทุกข์ (คือการทนได้ยาก) ไม่จีรังยั่งยืน และบังคับไม่ได้ ของทุกขเวทนานั้นๆ เช่นกัน มิใช่กำหนดรู้ทุกขเวทนาทางกายหรือใจแล้วมาเข้าใจว่าเนี่ยแหละตัวทุกข์ที่ต้องกำหนดรู้ ซึ่งผู้เขียนก็เคยเข้าใจเช่นนี้มาก่อน เพราะว่าอะไรก็เพราะทุกขเวทนานั้นก็ทนอยู่ไม่ได้ มีการเกิดดับอยู่อย่างนั้น สมดังที่พุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า


    "ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป" ซึ่งก็หมายถึง มีแต่รูปนามที่ ทนสภาพได้ยากหรือว่ากันง่ายๆก็คือมีแต่รูปนามที่ตกอยู่ภายใต้ไตรลักษณ์นั่นเอง ซึ่งการกำหนดรู้ทุกข์นี้สำคัญมาก เพราะเมื่อกำหนดรู้ไปเรื่อยๆ สาเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ก็เป็นอันละได้เอง


    2. สมุทัย ซึ่งหลายคนคงเคยได้ยินมาว่า สมุทัยให้ละ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้นสมุทัยซึ่งเกิดจากกิเลสตัณหา ความอยาก นั้นจะไปละตรงๆ เลยไม่ได้ เพราะเป็นอนุสัยที่ติดอยู่กับจิตมาเป็นเวลาช้านาน ดังนั้นผู้ปฏิบัติจึงสามารถทำได้เพียงกำหนดรู้ทุกข์ไปเรื่อยๆ จนจิตเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ว่าไม่มีสิ่งใดที่เราสามารถยึดไว้เป็นของเราได้เลย


    - รูปที่เห็น แม้จะสวยงามสักแค่ไหนรูปนั้นก็ไม่ได้ปรากฏติดตาติดใจอยู่ตลอดเวลา ล้วนเสื่อมสูญ เป็นของกลางว่างจากตัวตน ว่างจากเจ้าของ

    - เสียงที่ได้ยิน แม้จะไพเราสักแค่ไหนก็ไม่ได้ดังก้องกังวาลอยู่ที่หูตลอดเวลา ล้วนมีอันเสื่อมสูญไป


    - กลิ่นที่หอม แม้จะหอมสักปานใดกลิ่นั้นก็ไม่ได้ติดอยู่ที่จมูกตลอดเวลาล้วนมีอันเสื่อมสูญไป


    - รสชาติที่อร่อย แม้จะอร่อยสักเพียงใดรสอาหารเหล่านั้น ก็ไม่ได้ค้างอยู่ที่ลิ้นตลอดเวลาล้วนมีอันเสื่อมสูญไป ฯลฯ


    เมื่อจิตเข้าใจเป็นเช่นนี้แล้วก็จะเห็นทุกข์ที่แท้จริงคือการที่เห็นความอยากที่จะกระเสือกกะสนไปแสวงหาสิ่งต่างๆอันมี รูปสวยงาม รสอร่อย เสียงเพราะๆ ว่าเป็นความทุกข์ที่แท้จริง เพราะเห็นแล้วว่าไม่มีสิ่งใดอยู่เป็นสมบัติของตนสักอย่าง ล้วนเป็นของกลางว่างเปล่าจากตัวตนทั้งหมด


    3. มรรค ซึ่งหลายคนเคยได้ยินว่า มรรค ควรเจริญ ซึ่งมรรคนั้นมีอยู่ 8 ประการซึ่งควรเจริญให้เกิดขึ้น ให้มีขึ้น แต่หากเข้าใจดีแล้วจะเห็นได้ว่าหากมีสติก็เป็นการรวมเอามรรคทั้ง 8 มารวมกันในขณะที่สติเกิดนั้น หลายคนคงเคยระลึกเห็นว่าตัวเองกำลังเผลอคิด เผลอดู เผลอดมกลิ่น แล้วมีสติที่เคยสั่งสมมาจากการปฏิบัติระลึกได้แล้ว การคิด การดมกลิ่น การฟังเสียง ด้วยความเคลิมเคล้มก็จะหมดไป จิตขณะนั้นจะโล่ง โปร่ง เบา สบาย ซึ่งต้องเป็นสติที่มิได้มาจากการบังคับด้วย เพราะการบังคับนั้นมิใช่เป็นของสติของจริง แต่หากเป็นการสร้างความเคยชินให้สติเกิดขึ้นบ่อยก็เท่านั้น แต่สติที่เราต้องการก็คือ สติที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวมาก่อนนั่นเอง ดังนั้นจึงควรเจริญมรรคให้มาก


    4. นิโรธ ซึ่งเป็นความดับทุกข์ ซึ่งเป็นผลมาจากการเจริญมรรคนั่นเอง ซึ่งความดับทุกข์นี้เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นทางใจอย่างแท้จริง กล่าวคือทุกข์ทางใจหมดไปนั่นเอง ซึ่งสภาวะนิโรธนี้ทุกคนที่ปฏิบัติก็จะได้สัมผัสเสมอเมื่อสติเกิดขึ้น วงจรแห่งขันธ์ 5 ที่จะไปปรุงแต่งสร้างทุกข์ ร้อยแปดพันเก้านั้นก็จะหมดไป แต่หากเป็นการเจริญสติในช่วงแรกๆ นั้น หากสติไม่บริบูรณ์แล้วกิเลสมีกำลังมากกว่า กิเลสก็เข้ามาแทน แต่เมื่อปฏิบัติไปเรื่อยๆจนกิเลสหมดไปอย่างสิ้นเชิงก็จะถึงสภาวะนิโรธอย่างแท้จริงคือความหมดทุกข์อย่างถาวรซึ่งก็คือพระอรหันต์ก็จะเป็นนิโรธ อันเป็นจุดหมายสูงสุดในการปฏิบัตินั่นเอง


    กิจญาณในอริยสัจ 4 นั้นมีความสำคัญมาก นักปฏิบัติพึงทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าควรทำอะไร แล้วผลคืออะไร อันนี้ต้องรู้ หากไม่รู้ก็จะเดินทางไม่ถูก แต่เมื่อรู้แล้วก็พึงปฏิบติเสียมิใช่มีทั้งแผนที่และเข็มทิศแต่ไม่ออกเรือเสียทีก็คงอยู่ที่เดิม ได้แต่เพียงคาดฝันว่าหมู่เกาะสวรรค์เป็นอย่างไรแต่ก็ยังไม่เห็นด้วยตาของตนเอง ดังนั้นเมื่อมีทั้งแผนที่และเข็มทิศพึงรีบออกเรือเดินทางเสียเพื่อที่จะได้พบหมู่เกาะสวรรค์ในไม่ช้า
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=100 border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE borderColor=#ffffff cellSpacing=1 cellPadding=5 width=250 align=center bgColor=#f4f4f4 border=0><TBODY><TR><TD align=middle bgColor=#ffffff><!-- [​IMG] -->[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  18. กุ้งมังกอน

    กุ้งมังกอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    142
    ค่าพลัง:
    +1,181
    สวาท ดี่ครับวันนี้โอนเงินร่วมทำบุญ 700 บาท เวลา18.28 น.1.จำนวนเงิน 500 บ.เข้าทุนนิธิสงเคราะ 2.ส่วนอีก 200 บาทร่วมทำบุญซื้อผ้าพับให้ รพ.ถวายพระ ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  19. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    สำหรับการทำบุญในวันที่ 24 สิงหาคมนี้

    ผมได้บอกพี่น้องญาติธรรม ไว้พอสมควรครับ

    สาธุครับ
     
  20. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    ชาตะทวาร มรณะทวาร


    [​IMG]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]"... คนเราทุกคนที่เกิดมา ผ่านประตูสองประตู คือ ชาตะทวาร หรือประตูเกิด ซึ่งมีธรรมนูญประจำประตูเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ใครผ่านหรือรอดจากประตูนี้ไปได้ ต้องแก่ไปตามกาลเวลา สมหวัง พลัดพราก ทุกข์กาย ทุกข์ใจ สุขกาย สุขใจ และสุดท้าย ต้องตาย[/FONT]
    ส่วนอีกประตูหนึ่ง คือ มรณะทวาร หรือประตูตาย ซึ่งมีธรรมนูญประตูเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ใครที่ผ่านประตูนี้ จะเอาอะไรติดตัวไปไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทอง พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง แต่พระพุทธเจ้าท่านรับสั่งไว้ว่า สิ่งที่เอาไปได้นั้นมีอยู่เหมือนกัน ก็คือความดีความชั่วที่ทำไว้เมื่อมีชีวิตอยู่
    เพราะฉะนั้น ถ้ามีความดีอยู่แล้ว แต่ยังน้อย ก็ต้องหมั่นทำความดีให้เพิ่มมากขึ้น อย่าคิดว่าตัวเองมีความดีมากพออยู่แล้วโดยไม่ทำความดีเพิ่ม เรื่องของการทำบุญทำทานก็เช่นกัน หมั่นทำไว้ให้เป็นเนืองนิตย์..."

    คำสอนของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
    วัดสุวรรณาราม ริมคลองบางกอกน้อย กรุงเทพฯ
     

แชร์หน้านี้

Loading...