ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้ขอนำคำกลอนจากหนังสือเสียงสะท้อนจากกลอนธรรมมาเล่าครับ


    เข้าพรรษาเวียนมาพาฝึกฝน
    อบรมตนตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
    สำรวมตนทั้งกายวาจาใจ
    มิให้ไหลหลงไปในสิ่งทราม

    เราชาวพุทธรุดเร่งเพ่งพากเพียร
    เพื่อละจากความอยากเป็นขวากหนาม
    ปฏิบัติได้ดังดังนี้ซิใจงาม
    ด้วยเดินตามคำสอนของศาสดา

    ศีลสมาธิปัญญาพาตั้งมั่น
    เป็นเครื่องกั้นกิเลสเหตุร้ายหนา
    ทุกค่ำเช้าเฝ้าพร่ำภาวนา
    พัฒนาใจตนพ้นทุกข์เอย

    (นิราลัย)


    สาธุครับ
     
  2. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    [FONT=DilleniaUPC, EucrosiaUPC]สมาธิในการศึกษาเล่าเรียน[/FONT]
    [FONT=DilleniaUPC, EucrosiaUPC]พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)[/FONT]​

    [FONT=AngsanaUPC, CordiaUPC] วิชาความรู้ที่นักเรียนนักศึกษาเรียนกันอยู่ในปัจจุบันนี้ มันเป็นสิ่งที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งใดที่เราสามารถรู้ด้วยจิตใจ สิ่งนั้นคือสภาวธรรม สภาวธรรมอันนี้มันทำให้เราดีใจ เสียใจเพราะมัน เราท่องหนังสือไม่ได้เราเกิดเสียใจ น้อยใจในตัวเอง หนังสือที่เราท่องนั่นคือสภาวธรรม เราจำไม่ได้ นั่นคือสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความปรารถนา มันเข้าหลักอนัตตา บางทีอยู่ดีๆ เกิดเจ็บไข้ เราไปของเราไม่ได้ มันก็ส่อถึงอนัตตา อนิจจัง ทุกขัง นั่นเอง เพราะฉะนั้น เมื่อเรามาฝึกสติสัมปชัญญะของเรานี้ให้มันรู้พร้อมอยู่กับปัจจุบัน มันเป็นการปฏิบัติธรรม เดิน เรารู้ ยืน เรารู้ นั่ง เรารู้ นอน เรารู้ รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด เรารู้ เอาตัวรู้คือสติตัวเดียวเท่านั้น แม้ในขณะเรียนหนังสืออยู่ เราตั้งใจต่อการเรียนในปัจจุบัน นั่นก็เป็นการปฏิบัติสมาธิ [/FONT]</PRE>
    [FONT=AngsanaUPC, CordiaUPC] ทีนี้ ความรู้ ความเห็นที่เราจะพึงทำความเข้าใจมันอยู่ที่ตรงไหน มันอยู่ที่กายกับใจของเรานี่ ทำอย่างไรกายของเราจึงจะมีสุขภาพอนามัยเข้มแข็ง ทำอย่างไรจิตของเราจึงจะมีสติปัญญาแก้ไขปัญหาหัวใจของเราได้ นี่มันอยู่ตรงนี้ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้[/FONT]</PRE>
    [​IMG]

    [FONT=DilleniaUPC, EucrosiaUPC]วิธีทำสมาธิในห้องเรียน[/FONT]​

    [FONT=AngsanaUPC, CordiaUPC] ขณะนี้นักเรียนทั้งหลายกำลังเรียน ปัญหาสำคัญอยู่ตรงที่ว่าทำอย่างไรเราจึงจะได้พลังของสมาธิ พลังของสติ เพื่อสนับสนุนการศึกษา หลวงตาจะสอนวิธีทำสมาธิในห้องเรียน สมมติว่าขณะนี้หลวงตาเป็นครูสอนพวกเธอทั้งหลาย ให้พวกเธอทั้งหลายเพ่งสายตามาที่หลวงตา ส่งมาที่หลวงตา แล้วสังเกตดูให้ดีว่าหลวงตาทำอะไรบ้าง หลวงตายกมือ หนูก็รู้ เขียนหนังสือให้ หนูรู้ พูดอะไรให้หนูตั้งใจฟัง ถ้าสังเกตจนกระทั่งกระพริบหู กระพริบตาได้ยิ่งดี เวลาเข้าห้องเรียน ให้เพ่งสายตาไปที่ตัวครู ส่งใจไปที่ตัวครู อย่าเอาใจไปอื่น พยายามฝึกให้คล่องตัวชำนิชำนาญ เพราะในขณะที่อาจารย์สอนเรา ท่านรวมกำลังจิตและวิชาความรู้ที่จะถ่ายทอดให้เรา เมื่อเราเอาจิตจดจ่ออยู่ที่ตัวอาจารย์ เราก็ได้รับพลังจิตและวิชาความรู้จากอาจารย์ เพียงแค่นี้วิธีทำสมาธิในห้องเรียน ถ้าพวกหนูๆ จำเอาไปปฏิบัติตาม จะได้สมาธิตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนเล็กๆ ชั้น อนุบาล ในตอนแรกนี่ การควบคุมสายตาและจิตใจไปไว้ในที่ตัวครูอาจจะลำบากหน่อย แต่ต้องพยายามฝึก ฝึกจนคล่องตัวชำนิชำนาญ ภายหลังแม้เราไม่ตั้งใจ พอเห็นใครเดินผ่านหน้ามันจะจ้องเอาๆ พอเข้าในห้องเรียนแล้ว พอครูเดินเข้ามาในห้อง สายตามันจะจ้องปั๊บ ใจมันก็จะจดจ่ออยู่กับตรงนั้น หนูลองคิดดูสิว่าการที่มองครูและเอาใจใส่ตัวครูนี่เราเรียนหนังสือเราจะเข้าใจดีไหม ลองคิดดู[/FONT]</PRE>
    [​IMG]

    [FONT=AngsanaUPC, CordiaUPC] ในระยะแรก ให้สังเกตดูว่าถ้าจิตของเราไปจ้องอยู่ที่ตัวอาจารย์ สายตาจ้องอยู่ที่ตัวอย่างไม่ลดละ นั่นแสดงว่าเราเริ่มมีสมาธิขึ้นมาแล้ว แล้วสังเกตดูความเข้าใจ ความจดจำของเราจะดีขึ้น ในตอนแรกๆ นี้ ความรู้สึกของเราจะไปอยู่ที่ตัวอาจารย์หมด ทีนี้เมื่อฝึกไปนานๆ เข้าจนคล่องชำนิชำนาญ จิตของเรามีกำลังแกร่งกล้าขึ้น มีความมั่นคงมากขึ้น มีสติดีขึ้น ความรู้สึกมันย้อนจากตัวอาจารย์มาอยู่ที่ตัวเอง ทุกขณะจิตเรามีความรู้สึกอยู่ที่จิตของเราเท่านั้น ภายหลังมา อาจารย์ท่านพูดอะไร สอนอะไร สติสัมปชัญญะจะรู้พร้อมอยู่หมด เพียงกำหนดจิตรู้อยู่ที่จิตอย่างเดียวเท่านั้น นอกจากนั้น อะไรผ่านเข้ามาก็สามารถรู้ทันหมด บางทีพออาจารย์พูดประโยคจบปั๊บ ใจของเรารู้ล่วงหน้าแล้วว่าต่อไปท่านจะพูดอะไร เมื่อก่อนหน้าจะสอบจิตจะบอกว่าให้ดูหนังสือเล่มนั้น จากหน้านั้นไปถึงหน้านั้น แล้วเวลาสอบมันก็ออกมาจริงๆ เวลาไปสอบ พออ่านคำถามจบแต่ละข้อๆ จิตมันจะสงบลงไปนิดหน่อย ใจของเราจะวูบวาบ แล้วคำตอบมันก็ผุดขึ้นมา เขียนเอาๆ หลักและวิธีอันนี้เป็นสูตรที่หลวงตาทำได้ผลมาแล้วตั้งแต่เป็นสามเณร เรียนหนังสือ หลวงตาถือหนังสือเดินท่องไป ท่องมาแบบเดินจงกรม อาจารย์สุวรรณ สุจิณโณ ลูกศิษย์ต้นของหลวงปู่มั่น ท่านเห็นก็ทักว่า "เณร ถ้าจะเรียนก็ตั้งใจเรียน จะปฏิบัติก็ตั้งใจปฏิบัติ จับปลาสองมือมันไม่สำเร็จหรอก"[/FONT]</PRE>
    [​IMG]

    [FONT=DilleniaUPC, EucrosiaUPC]ทีนี้เราก็อุตริขึ้นมาว่า[/FONT]​

    [FONT=AngsanaUPC, CordiaUPC] "เอ๊
     
  3. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สาธุ..... อาสาฬหบูชา







    [​IMG]


    ลุวันเพ็ญอาสาฬหะนะรำลึก
    พระผู้ฝึกมนุษย์สุดสูงค่า
    เมืองพาราณสีครั้งมีมา
    ณ แดนป่าอิสิปตนมฤคทายวัน

    ปัญจวัคคีย์ครบพร้อมน้อมฟังเทศน์
    พระกล่าวเหตุจักกัปปวัตตนะนั่น
    ว่าภิกษุสุดส่วนสองอย่าลองกัน
    ใช่หนนั้นจะสว่างทางที่เดิน

    มัชฌิมาสายกลางทางประเสริฐ
    มรรคอันเลิศล้วนปัญญาน่าสรรเสริญ
    เป็นทางชอบรอบรื่นชื่นทางเพลิน
    จักเจริญจัดรุ่งมุ่งนิพพาน

    ด้วยปัจจัยให้เกิดกำเนิดขันธ์
    ปัจจัยหั่นขันธ์หายมลายผลาญ
    ด้วยเหตุผลยลเป็นเน้นชำนาญ
    ใจจักผ่านพ้นยึดมั่นพลันแจ้งจริง

    โกณฑัญญะสว่างแจ้งแห่งธรรมะ
    ใจลดละนะโสดาฯค่าใหญ่ยิ่ง
    สู่พระสงฆ์เริ่มริมิประวิง
    ครบสามสิ่งรัตนตรัยในกาลมี

    สืบสายธรรมถึงใจในคำสอน
    พระชินวรฝากโลกพ้นโศกหนี
    อริยมรรคประจักษ์กัน ณ วันดี
    บูชานี้อาสาฬหะนะพุทธชน.....


    ขอขอบคุณ
    http://www.dhammathai.org/kaveedhamma/view.php?No=2020
     
  4. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height=70 width=350 align=center background=../pics/banner350.gif border=0><TBODY><TR><TD>
    วันอาสาฬหบูชา
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=44>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>


    <TABLE width="75%" align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top>ต ร ง กั บ วั น ขึ้ น ๑ ๕ ค่ำ เ ดื อ น ๘
    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>
    [​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE> วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นับเป็นวันที่สำคัญในประวัติศาสตร์แห่งพระพุทธศาสนา คือวันที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเทศนาหรือหลักธรรมที่ทรงตรัสรู้ เป็นครั้งแรกแก่เบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ณ มฤคทายวัน ตำบลอิสิปตนะ เมืองพาราณสี ในชมพูทวีปสมัยโบราณซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศอินเดีย ด้วยพระพุทธองค์ทรงเปรียบดังผู้ทรงเป็นธรรมราชา ก็ทรงบันลือธรรมเภรียังล้อแห่งธรรมให้หมุนรุดหน้า เริ่มต้นแผ่ขยายอาณาจักรแห่งธรรม นำความร่มเย็นและความสงบสุขมาให้แก่หมู่ประชา ดังนั้น ธรรมเทศนาที่ทรงแสดงครั้งแรกจึงได้ชื่อว่า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แปลว่า พระสูตรแห่งการหมุนวงล้อธรรม หรือพระสูตรแห่งการแผ่ขยายธรรมจักร กล่าวคือดินแดนแห่งธรรม
    เมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วนั้นชมพูทวีปในสมัยโบราณ กำลังย่างเข้าสู่ยุคใหม่แห่งความเจริญก้าวหน้า รุ่งเรืองเฟื่องฟูทุกด้านและมีคนหลายประเภททั้งชนผู้มั่งคั่งร่ำรวย นักบวชที่พัฒนาความเชื่อและ ข้อปฏิบัติทางศาสนา เพื่อให้ผู้ร่ำรวยได้ประกอบพิธกรรมแก่ตนเต็มที่ ผู้เบื่อหน่ายชีวิตที่วนเวียน ในอำนาจและโภคสมบัติที่ออกบวช หรือบางพวกก็แสวงหาคำตอบที่เป็นทางรอกพ้นด้วยการคิดปรัชญาต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เหลือวิสัยและไม่อาจพิสูจน์ได้บ้าง พระพุทธเจ้าจึงทรงอุบัติในสภาพเช่นนี้ และดำเนินชีพเช่นนี้ด้วยแต่เมื่อทรงพบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นขาดแก่นสาน ไม่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง แก่ตนเองและผู้อื่น จึงทรงคิดหาวิธีแก้ไขด้วยการทดลองต่าง ๆ โดยละทิ้งราชสมบัติ และอิสริยศแล้วออกผนวช บำเพ็ญตนนานถึง ๖ ปี ก็ไม่อาจพบทางแก้ได้ ต่อมาจึงได้ทางค้นพบ มัชฌิมาปฏิปทา หรือทางสายกลาง เมื่อทรงปฏิบัติตามมรรคานี้ก็ได้ค้นพบสัจธรรมที่นำคุณค่า แท้จริงมาสู่ชีวิต อันเรียกว่า อริยสัจ ๔ ประการ ในวันเพ็ญเดือน ๖ ก่อนพุทธศก ๔๔ ปี ที่เรียกว่า การตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากนั้นทรงงานประกาศศาสนาโดยทรงดำริหาทางที่ได้ผลดีและรวดเร็ว คือ เริ่มสอนแก่ผู้มีพื้นฐานภูมิปัญญาดีที่รู้แจ้งคำสอนได้อย่างรวดเร็วและสามารถนำไปชี้แจงอธิบาย ให้ผู้อื่นเข้ามาได้อย่างกว้างขวาง จึงมุ่งไปพบนักบวช ๕ รูป หรือเบญจวัคคีย์ และได้แสดงธรรม เทศนาเป็นครั้งแรกในวันเพ็ญ เดือน ๘

    <HR SIZE=1>ใ จ ค ว า ม ส ำ คั ญ ข อ ง ป ฐ ม เ ท ศ น า ในการแสดงแสดงปฐมเทศนาครั้งแรกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ
    ก. มัชฌิมาปฏิปทาหรือทางสายกลาง เป็นข้อปฏิบัติที่เป็นกลาง ๆ ถูกต้องและเหมาะสมที่จะให้บรรลุถึงจุดหมายได้ มิใช่การดำเนินชีวิตที่เอียงสุด ๒ อย่าง หรืออย่างหนึ่งอย่างใด คือ
    ๑. การหมกหมุ่นในความสุขทางกาย มัวเมาในรูป รส กลิ่น เสียง รวมความเรียกว่า เป็นการหลงเพลิดเพลินหมกหมุ่นในกามสุข หรือ กามสุขัลลิกานุโยค

    ๒. การสร้างความลำบากแก่ตนดำเนินชีวิตอย่างเลื่อนลอย เช่น บำเพ็ญตบะการทรมานตน คอยพึ่งอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การดำเนินชีวิตแบบที่ก่อความทุกข์ให้ตนเหนื่อยแรงกาย แรงสมอง แรงความคิด รวมเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

    ดังนั้นเพื่อละเว้นห่างจากการปฏิบัติทางสุดเหล่านี้ ต้องใช้ทางสายกลาง ซึ่งเป็นการดำเนินชีวิตด้วยปัญญา โดยมีหลักปฏิบัติเป็นองค์ประกอบ ๘ ประการ เรียกว่า อริยอัฏฐังคิกมัคค์ หรือ มรรคมีองค์ ๘ ได้แก่
    ๑. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ คือ รู้เข้าใจถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง
    ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ คิดสุจริตตั้งใจทำสิ่งที่ดีงาม
    ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือ กล่าวคำสุจริต
    ๔. สัมมากัมมันตะ กระทำชอบ คือ ทำการที่สุจริต
    ๕. สัมมาอาชีวะ อาชีพชอบ คือ ประกอบสัมมาชีพหรืออาชีพที่สุจริต
    ๖. สัมมาวายามะ พยายามชอบ คือ เพียรละชั่วบำเพ็ญดี
    ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือ ทำการด้วยจิตสำนึกเสมอ ไม่เผลอพลาด
    ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งจิตมั่นชอบ คือ คุมจิตให้แน่วแน่มั่นคงไม่ฟุ้งซ่าน

    ข. อริยสัจ ๔ แปลว่า ความจริงอันประเสริฐของอริยะ ซึ่งคือ บุคคลที่ห่างไกลจากกิเลส ได้แก่
    ๑. ทุกข์ ได้แก่ ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ บุคคลต้องกำหนดรู้ให้เท่าทันตามความเป็นจริงว่ามันคืออะไร ต้องยอมรับรู้กล้าสู้หน้าปัญหา กล้าเผชิญความจริง ต้องเข้าใจในสภาวะโลกว่าทุกสิ่งไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น ไม่ยึดติด

    ๒. สมุทัย ได้แก่ เหตุเกิดแห่งทุกข์ หรือสาเหตุของปัญหา ตัวการสำคัญของทุกข์ คือ ตัณหาหรือเส้นเชือกแห่งความอยากซึ่งสัมพันธ์กับปัจจัยอื่น ๆ

    ๓. นิโรธ ได้แก่ ความดับทุกข์ เริ่มด้วยชีวิตที่อิสระ อยู่อย่างรู้เท่าทันโลกและชีวิต ดำเนินชีวิตด้วยการใช้ปัญญา
    ๔. มรรค ได้แก่ กระบวนวิธีแห้งการแก้ปัญหา อันได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ประการดังกล่าวข้างต้น

    <HR SIZE=1>ผ ล จ า ก ก า ร แ ส ด ง ป ฐ ม เท ศ น า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้ว ปรากฏว่าโกณฑัญญะผู้เป็นหัวหน้าเบญจวัคคีย์ได้เกิดเข้าใจธรรม เรียกว่า เกิดดวงตาแห่งธรรมหรือธรรมจักษุ บรรลุเป็นโสดาบัน จึงทูลขอบรรพชาและถือเป็นพระภิกษุสาวก รูปแรกในพระพุทธศาสนา มีชื่อว่า อัญญาโกณฑัญญะ

    <HR SIZE=1>ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง อ า ส า ฬ ห บู ช า
     
  5. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    วันเข้าพรรษา...




    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 align=center bgColor=#dddddd border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR bgColor=#ffffff><TD><TABLE height=30 cellSpacing=3 cellPadding=3 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD style="BACKGROUND-POSITION: right bottom; BACKGROUND-IMAGE: url(../bg/pagebg5.jpg); BACKGROUND-REPEAT: no-repeat">
    [​IMG]





    <TABLE align=left border=0><TBODY><TR><TD>เข้าพรรษาคือเขตสงฆ์ ผู้ดำรงพระวินัย
    สามเดือนจะไม่ไป เที่ยวสรรจรและรอนแรม
    เป็นช่วงที่พระจะศึกษ์ ต้องประพฤติมโนแจ่ม

    ภาวนาอยู่พักแรม ณวัดชอบประกอบคุณ
    ส่วนโยมน้อมก้มสิระ ทุกทิวะจะอุดหนุน

    กอปรทานศีลเพิ่มพูน ในใบบุญพระสัมมา
    ขอเชิญทุกทุกท่าน จงเข้ากาลปวารณา

    ตั้งใจลดเลิกลา เสพย์สุราและเมรัย
    อีกทั้งสิ่งเสพย์ติด มลพิษไม่พิศมัย

    จงผละมันออกไป ในพรรษาไตรมาส์เดือน

    ทำดีคู้เคียงสงฆ์ ตั้งใจตรงดำรงเหมือน

    บวชใจไม่แชเชือน ความสุขเปื้อน ณ พักตร์งาม



    ทำบุญด้วยจิตแจ่ม อยู่พักแรม ณ เดือนสาม

    ตั้งใจพระพฤติตาม ธรรมวิลาสองอาจเทอญ...




    </TD></TR></TBODY></TABLE>



    </TD></TR></TBODY></TABLE>ขอขอบคุณ





    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2008
  6. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE height=70 width=350 align=center background=../pics/banner350.gif border=0><TBODY><TR><TD>วันเข้าพรรษา

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=44>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE width="80%" align=center><TBODY><TR><TD>
    ต ร ง กั บ วั น แ ร ม ๑ ค่ำ เ ดื อ น ๘
    <TABLE align=right border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    </TD></TR><TR><TD><TABLE cellSpacing=1 cellPadding=3 bgColor=#cccccc border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>"เข้าพรรษา" แปลว่า "พักฝน" หมายถึง พระภิกษุสงฆ์ต้องอยู่ประจำ ณ วัดใดวัดหนึ่งระหว่างฤดูฝน โดยเหตุที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาล มีหน้าที่จะต้องจาริกโปรดสัตว์ และเผยแผ่พระธรรมคำสั่งสอนแก่ประชาชนไปในที่ต่าง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีที่อยู่ประจำ แม้ในฤดูฝน ชาวบ้านจึงตำหนิว่าไปเหยียบข้าวกล้าและพืชอื่นๆ จนเสียหาย พระพุทธเจ้าจึงทรงวางระเบียบการจำพรรษาให้พระภิกษุอยู่ประจำที่ตลอด 3 เดือน ในฤดูฝน คือ เริ่มตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี ถ้าปีใดมีเดือน 8 สองครั้ง ก็เลื่อนมาเป็นวันแรม 1 ค่ำ เดือนแปดหลัง และออกพรรษาในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 เว้นแต่มีกิจธุระเจ้าเป็นซึ่งเมื่อเดินทางไปแล้วไม่สามารถจะกลับได้ในเดียวนั้น ก็ทรงอนุญาตให้ไปแรมคืนได้ คราวหนึ่งไม่เกิน 7 คืนเรียกว่า สัตตาหะ หากเกินกำหนดนี้ถือว่าไม่ได้รับประโยชน์ แห่งการจำพรรษา จัดว่าพรรษาขาด ระหว่างเดินทางก่อนหยุดเข้าพรรษา หากพระภิกษุสงฆ์เข้ามาทันในหมู่บ้านหรือในเมืองก็พอจะหาที่พักพิงได้ตามสมควร แต่ถ้ามาไม่ทันก็ต้องพึ่งโคนไม้ใหญ่เป็นที่พักแรม ชาวบ้านเห็นพระได้รับความลำบากเช่นนี้ จึงช่วยกันปลูกเพิง เพื่อให้ท่านได้อาศัยพักฝน รวมกันหลาย ๆองค์ ที่พักดังกล่าวนี้เรียกว่า "วิหาร" แปลว่าที่อยู่สงฆ์ เมื่อหมดแล้ว พระสงฆ์ท่านออกจาริกตามกิจของท่านครั้งถึงหน้าฝนใหม่ท่านก็กลับมาพักอีกเพราะสะดวกดี แต่บางท่านอยู่ประจำเลย บางทีเศรษฐีมีจิตศัรทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ก็เลือกหาสถานที่สงบเงียบไม่ห่างไกลจากชุมชนนัก สร้างที่พัก เรียกว่า "อาราม" ให้เป็นที่อยู่ของสงฆ์ดังเช่นปัจจุบันนี้
    โดยปรกติเครื่องใช้สอยของพระตามพุทธานุญาตให้มีประจำตัวนั้น มีเพียงอัฏฐบริขารอันได้แก่ สบง จีวร สังฆาฏิ เข็ม บาตร รัดประคด หม้อกรองน้ำ และมีดโกน และกว่าพระท่านจะหาที่พักแรมได้ บางทีก็ถูกฝนต้นฤดูเปียกปอนมา ชาวบ้านที่ใจบุญจึงถวายผ้าอาบน้ำฝนสำหรับให้ท่านได้ผลัดเปลี่ยน และถวายของจำเป็นแก่กิจประจำวันของท่านเป็นพิเศษในเข้าพรรษานับเป็นเหตุให้มีประเพณีทำบุญเนื่องในวันนี้สืบมา
    <TABLE cellSpacing=1 cellPadding=5 width="90%" align=center bgColor=#cc9900 border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff>*** เพิ่มเติม ***

    "ผ้าจำนำพรรษา" คือผ้าที่ทายกถวายแก่พระสงฆ์ผู้อยู่จำพรรษาครบแล้วในวัดนั้น ภายในเขตจีวรกาล เรียกอีกอย่างว่า "ผ้าวัสสาวาสิกสาฎิกา"

    "ผ้าอาบน้ำฝน" คือผ้าสำหรับอธิษฐานไว้ใช้นุ่งอาบน้ำฝนตลอด ๔ เดือนแห่งฤดูฝน เรียกอีกอย่างว่า "ผ้าวัสสิกสาฏิกา"
    </TD></TR></TBODY></TABLE>การที่พระภิกษุสงฆ์ท่านโปรดสัตว์อยู่ประจำเป็นที่เช่นนี้ เป็นการดีสำหรับสาธุชนหลายประการ กล่าวคือ ผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามพระพุทธบัญญัติก็นิยมบวชพระ ส่วนผู้ที่อายุยังไม่ครบบวชผู้ปกครองก็นำไปฝากพระ โดยบวชเป็นเณรบ้าง ถวายเป็นลูกศิษย์รับใช้ท่านบ้าง ท่านก็สั่งสอนธรรม และความรู้ให้ และโดยทั่วไป พุทธศาสนิกชนนิยมตักบาตรหรือไปทำบุญที่วัด นับว่าเป็นประโยชน์
    การปฏิบัติตน ในวันนี้หรือก่อนวันนี้หนึ่งวัน พุทธศาสนิกชนมักจะจัดเครื่องสักการะเช่น ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องใช้ เช่น สบู่ ยาสีฟัน เป็นต้น มาถวายพระภิกษุ สามเณร ที่ตนเคารพนับถือ ที่สำคัญคือ มีประเพณีหล่อเทียนขนาดใหญ่เพื่อให้จุดบูชาพระประธานในโบสถ์อยู่ได้ตลอด 3 เดือน มีการประกวดเทียนพรรษา โดยจัดเป็นขบวนแห่ทั้งทางบกและทางน้ำ
    แม้การเข้าพรรษาจะเป็นเรื่องของภิกษุ แต่พุทธศาสนิกชนก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้ ทำบุญรักษาศีลและชำระจิตใจให้ผ่องใส ก่อนวันเข้าพรรษาชาวบ้านก็จะไปช่วยพระทำความสะอาดเสนาสนะ ซ่อมแซมกุฏิวิหารและอื่นๆ พอถึง วันเข้าพรรษาก็จะไปร่วมทำบุญตักบาตร ฟังเทศน์ ฟังธรรมและรักษาอุโบสถศีลกันที่วัด บางคนอาจตั้งใจงดเว้น อบายมุขต่างๆ เป็นกรณีพิเศษ เช่น งดเสพสุรา งดฆ่าสัตว์ เป็นต้น อนึ่ง บิดามารดามักจะจัดพิธีอุปสมบทให้บุตรหลาน ของตนโดยถือกันว่าการเข้าบวชเรียนและอยู่จำพรรษาในระหว่างนี้จะได้รับ อานิสงส์อย่างสูง

    ประเพณีหล่อเทียนเข้าพรรษา เป็นประเพณีที่กระทำกันเมื่อใกล้ถึงฤดูเข้าพรรษาซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ พระภิกษุจะต้องอยู่ประจำวัดตลอด ๓ เดือนมาตั้งแต่โบราณกาล การหล่อเทียนเข้าพรรษานี้มีอยู่เป็นประจำ ทุกปี เพราะในระยะเข้าพรรษานี้ พระภิกษุจะต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าเย็นและในการนี้จะต้องมีธูป เทียนจุดบูชาด้วย พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย จึงพร้อมใจกันหล่อเทียนเข้าพรรษาสำหรับให้พระภิกษุจุดเป็น การกุศลทานอย่างหนึ่งเพราะเชื่อกันว่าในการให้ทานด้วยแสงสว่าง จะมีอานิสงฆ์เพิ่มพูนปัญญาหูตาสว่างไสว ตามชนบท การหล่อเทียนเข้าพรรษาทำกันอย่างเอิกเกริกสนุกสนานมาก เมื่อหล่อเสร็จแล้ว ก็จะมีการแห่แหน รอบพระอุโบสถ ๓ รอบ แล้วนำไปบูชาพระตลอดระยะเวลา ๓ เดือน บางแห่งก็มีการประกวดการตกแต่งมี การแห่แหนรอบเมืองด้วยริ้วขบวนที่สวยงามและถือว่าเป็นงานประจำปีทีเดียว ในวันนั้นจะมีการร่วมกันทำบุญตักบาตรถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ เป็นการร่วมกุศลกันในหมู่บ้านนั้น



    <TABLE width=100 align=left border=0><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>
    ประเพณีแห่เทียนพรรษา อุบลราชธานี



    </TD></TR></TBODY></TABLE>กิจกรรมต่างๆ ที่ควรปฏิบัติในวันเข้าพรรษา
    ๑. ร่วมกิจกรรมทำเทียนจำนำพรรษา
    ๒. ร่วมกิจกรรมถวายผ้าอาบน้ำฝน และจตุปัจจัย แก่ภิษุสามเณร
    ๓. ร่วมทำบุญ ตักบาตร ฟังธรรมเทศนา รักษาอุโบสถศีล
    ๔. อธิษฐาน งดเว้นอบายมุขต่างๆ

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
     
  7. ไชยชุมพล

    ไชยชุมพล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +1,873
    วันนี้ครอบครัวของผมได้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิฯ ประจำเดือนนี้ จำนวน 500 บาทครับ โดยฝากเงินผ่านเคาน์เตอร์ ธ. กรุงศรีฯ สาขาสตูลครับ ขออนุโมทนากับทุกท่านนะครับ
     
  8. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG]

    วิธีพิจารณาตัวเอง

    </TD></TR><TR><TD><DD>ผู้ที่ครองบ้าน ครองเรือน ถ้าใครไปด่าว่าผัวมันไม่ดี ตัวมันเองนั่นแหละไม่ดี มันอยากเอาคนไม่ดีมาเป็นผัว ใครไปด่าเมียว่าเมียไม่ดี ตัวมันเองนั่นแหละไม่ดี มันอยากเอาคนไม่ดีมาเป็นเมีย ใครไปด่าลูกว่าลูกมันไม่ดี ตัวพ่อแม่มันนั่นแหละไม่ดี มันให้กำเนิดลูกมันไม่ดี ลูกศิษย์ที่มาด่าครูบาอาจารย์ว่าไม่ดี ตัวมันนั่นแหละไม่ดี มันอยากเอาคนไม่ดีเป็นครูบาอาจารย์ของมัน ครูบาอาจารย์ที่ไปด่าลูกศิษย์ไม่ดี ก็ครูบาอาจารย์นั่นแหละไม่ดี อยากเอาคนไม่ดีมาเป็นลูกศิษย์ <DD>นี่หลักที่เราจะต้องใช้เป็นหลักพิจารณาตัวเองมันอยู่กันที่ตรงนี้ จะได้ไม่ต้องไปเที่ยวกล่าวตู่สิ่งอื่น คนอื่นว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ พิจารณากันที่ใจของเราเองนี่แหละ ใจของเรานี่แหละมันไม่ดี ถ้าหาความไม่ดีของมันไม่ได้ คิดไปถึงโน้น มันไม่ดีที่ตรงไหนหนอ อะไรก็ทำดีหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เรามองเห็นความไม่ดีก็เพราะเราหวังจะเอาดีจากปากคน ในเมื่อเราทำดีกับคนที่ไม่มีดีจะให้ เราจะได้ดีอย่างไร เพราะฉะนั้นเราต้องพยายามหาเอาดีกับตัวเอง เมื่อเรามองหาความผิดของเราไม่ได้ มองไปนู้น นึกไปถึงที่เราออกมาจากท้องแม่ เรานั่นแหละไม่ดี มันไม่ดีที่ตรงไหน มันไม่ดีตรงที่เราอยากบ้าเกิดมาเป็นคนทำไม <DD>นี่ถ้าแก้ปัญหาจิตของตัวเองอย่างนี้ละสบายมาก ถ้าตราบใดที่เรายังไปกล่าวตู่สิ่งอื่นคนอื่นอยู่ ชั่วชีวิตเราก็แก้ปัญหาตัวเองไม่ตก อันนี้คือวิธีทางที่เราจะใช้พิจารณาตัวของเราเอง


    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณ
    คัดลอกบทความนี้จาก >>ClickHere<<
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2008
  9. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE width=600 align=center border=0><TBODY><TR><TD align=middle>[​IMG] </TD><TR><TD align=middle>นรก สวรรค์ มีจริงหรือไม่</TD></TR><TR><TD><DD>หลวงพ่อไปเทศน์อบรมพระอยู่ที่จังหวัดลพบุรี ในภูเขา มีพระเถระองค์หนึ่งท่านถามว่า นรกมีไหม สวรรค์มีไหม ถ้ามีอยู่ที่ไหน ท่านถามว่าอย่างนั้น ทีนี้ถ้าหากว่า เรื่องนรก สวรรค์ ถ้าใครไม่ปลงใจเชื่อ ก็ให้พยายามเชื่อว่าสวรรค์ในอก นรกในใจ <DD>ขณะใดที่จิตของเราเดือดร้อนวุ่นวาย มีทุกข์หนัก ในขณะนั้นนรกเกิดขึ้นในใจของเรา ขณะใดที่จิตใจแช่มชื่นเบิกบาน มีความสุข ในขณะนั้นสวรรค์เกิดที่ใจของเรา <DD>นรก แปลว่า แดนหาความเจริญมิได้ เมื่อใจไม่มีความเจริญ มีแต่ความทุกข์ ใจก็เสื่อม ในเมื่อเสื่อมแล้วนรกก็ปรากฏขึ้นในใจ <DD>สวรรค์ แปลว่า แดนให้อารมณ์เลิศด้วยดี เมื่อจิตใจเบิกบานแช่มชื่น มีความสุขสันต์หรรษา ในขณะนั้นใจของเราก็อยู่ในระดับแห่งสวรรค์ <DD>เรื่องที่ว่านรก สวรรค์ มีหรือไม่นั้น เราพึงสันนิษฐานว่า อันใดที่มีภาษาพูดกล่าวขวัญถึง อันนั้นต้องมีแน่นอน ถ้าไม่มีเขาเอาคำพูดนั้นมาจากไหน อันนี้เป็นทางสันนิษฐาน หลวงพ่อพูด ก็พูดโดยสันนิษฐานเหมือนกัน เพราะว่านรกก็ยังไม่เคยเห็น ที่ว่านรกมีเท่านั้นหลุม เท่านี้หลุมก็ยังไม่เคยเห็น ก็ว่ากันตามคัมภีร์เหมือนกัน <DD>เพราะฉะนั้น อะไรที่เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเอง รับฟังไว้ก่อน อย่าเพิ่งรับรอง และอย่าเพิ่งปฏิเสธ ถ้าได้ยินแล้วเชื่อเลยทีเดียวก็โง่ ถ้าไม่เชื่อปฏิเสธเลยทีเดียวก็โง่ <DD>ยกตัวอย่างเรื่องแปลจากหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่ง มีนายคนหนึ่งเป็นนักปาฐกถา เป็นนักพูด วันหนึ่งมีนักปราชญ์ท่านหนึ่งมาพูดเรื่องวิญญาณมีวิญญาณไม่มี เขาก็ไปนั่งฟังอยู่ แต่เขาไม่แสดงอาการคัดค้านหรือออกความเห็นอย่างใดทั้งสิ้น ซึ่งโดยปกติแล้วอะไรที่เขาไม่เห็นด้วย เขาจะคัดค้าน พอผู้ปาฐกถาพูดเรื่องวิญญาณจบ มีท่านผู้หนึ่งถามว่า เรื่องนี้ท่านเห็นว่าอย่างไร เขาก็ตอบว่า ขอเวลาอีก ๗ ปีจึงจะพูด พอครบ ๗ ปี เขาสามารถพิสูจน์เรื่องวิญญาณ ถึงขนาดสร้างกล้องถ่ายรูปวิญญาณมาพิมพ์ลงในหนังสือที่เขาเขียนด้วย <DD>อันนี้เรื่องที่เราว่าอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็เป็นไปได้ ในสมัยปัจจุบันนี้เราว่า โลกมันเจริญ วิชาการต่างๆ เจริญรุ่งเรือง แล้วเราศึกษาจนจบระดับดอกเตอร์ แต่สิ่งที่เราเรียนไม่ถึงยังมีอยู่อีกเพราะฉะนั้นเรื่องที่เราได้ยินได้ฟัง เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อ รับฟังไว้ก่อนจนกว่าเราจะพิสูจน์รู้เห็นด้วยตัวเอง เรื่องนรกสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน เป็นคำตอบของผู้ไม่เคยเห็นนรก สวรรค์ แต่เคยเห็นสวรรค์ในอก นรกในใจ ซึ่งมันเกิดขึ้นกับตัวเอง


    </DD></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณ
    คัดลอกบทความนี้จาก >>ClickHere<<
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2008
  10. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้ขอนำคำกลอนจากหนังสือเสียงสะท้อนจากกลอนธรรมมาเล่า ต่อ ครับ


    ธูปเทียนพร้อมดอกไม้ประณต
    รำลึกพระตถาคตธรรมสดใส
    พระเกียรติคุณเกริกฟ้าค่าอำไพ
    พระผู้ให้ธารธรรมฉ่ำดวงมาน

    แต่ละเท้าก้าวเวียนต้องเพียรก้าว
    ใจต้องขาวพิสุทธิ์มุ่งไม่ฟุ้งซ่าน
    จิตกำหนดตามองตรงมงคลกาล
    หนึ่งรอบผ่านเวียนขวาคุณพระพุทธ

    รอบที่สองรำลึกธรรมนำชีวิต
    ชี้ถูกผิดเป็นครรลองเด่นผ่องผุด
    ดุจประทีปธรรมประเทืองเรืองมนุษย์
    ในวิสุทธิ์สว่างภพจบสากล

    รอบที่สามบูชาสงฆ์ธำรงศาสน์
    ช่วยชูชาติประชาไทยไปทุกหน
    ชนมีชาติศาสน์มีสงฆ์เป็นมงคล
    ไทยจึงพ้นภัยพาลมานานเนา

    เวียนบรรจบครบสามรอบประกอบกิจ
    ขอชีวิตมีโชคอย่าโศกเศร้า
    ทุกข์มลายร้ายทุกอย่างจงบางเบา
    ขอน้อมเอาอานิสงส์บรรจงเทอญ.

    (ภู. ภัทรชนน)


    สาธุครับ
     
  11. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    <TABLE cellSpacing=9 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=fontHeaderBlack>[​IMG]
    รูปภาพประกอบจาก >>ClickHere<<


    ประทีปนี้ไม่มีวันดับ

    </TD></TR><TR><TD align=right></TD></TR><TR><TD>เมื่อครั้งพุทธกาล มีหญิงขอทานชรานางหนึ่ง นางมักจะเฝ้าดูกษัตริย์ ราชบุตร และประชาชน
    นำของมาถวายแด่พระพุทธองค์และพระสงฆ์สาวก ไม่มีสิ่งใดที่นางปรารถนายิ่งไปกว่าจะได้กระทำดุจเดียวกันนี้
    แต่นางทำได้เพียงไปขอได้น้ำมันมาหน่อยหนึ่งเพื่อเติมประทีปได้ดวงเดียวเท่านั้น
    นางนำประทีปนั้นไปจุดถวายเบื้องพระพักตร์ พลางตั้งจิตอธิษฐานว่า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2008
  12. narongwate

    narongwate เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    885
    ค่าพลัง:
    +3,840
    พระพิมพ์ดินดิบ

    พระพิมพ์ดินดิบ


    <!--Main--><CENTER>[​IMG]
    พระพิมพ์ดินดิบ วัดคูหาภิมุข จังหวัดยะลา</CENTER>




    <CENTER>.........................................................................................................................................................</CENTER>


    เรื่อง พระพิมพ์ดินดิบ


    ปัญหา พระพิมพ์ที่เห็นมีอยู่ทุกวันนี้ เหตุไรจึงมีทั้งดินดิบและดินเผา

    ตอบ แถวเมืองนครศรีธรรมราช เมืองพัทลุง เมืองตรังมีถ้ำมาก ในถ้ำมีพระพิมพ์ดินดิบ พระพิมพ์ดินดิบเป็นแบบมหานิกายทั้งนั้น คือเป็นรูปพระโพธิสัตว์ คาถาและตราข้างหลังเป็นอักษรสันสกฤต คือ เทวนาคร พระพิมพ์นี้ทางเหนือเป็นพระพิมพ์ดินสุก ไม่ดิบอย่างทางใต้ พบใส่หม้อฝังดินเรียงรายไว้ตามถ้ำต่างๆ

    เหตุที่จะรู้เรื่องนี้ต้องเล่าให้ฟัง ครั้งหนึ่ง มีนายพันเอกฝรั่งคนหนึ่งมาจากพะม่า ขอให้ช่วยนำเที่ยวพิพิธภัณฑ์สถาน เขาเคยอยู่เมืองธิเบตมาก่อน พาไปดูที่ตู้พระพิมพ์ ถามเขาว่า อย่างนี้ในธิเบตมีบ้างไหม เขาบอกว่าไม่ใช่แต่ว่ามีละ เดี๋ยวนี้เขายังทำกันทุกวัน ความเป็นดังนี้

    เรื่องพระพิมพ์นี้มีประวัติว่า กาลครั้งหนึ่ง พระมหาเถระองค์ใดองค์หนึ่ง อันเป็นที่นับถือของชาวเมืองตายลง ฌาปนกิจศพเสร็จแล้ว เข้าก็เอาอัฐิธาตุโขลกลงในครกผสมดิน ตีพิมพ์รูปพระโพธิสัตว์ สร้างอุทิศให้ไปเกิดเป็นพระโพธิสัตว์ เอาเรียงไว้ในถ้ำ ที่โขลกแล้วพิมพ์ใส่หม้อเรียงไวและไม่เผา ทิ้งไว้ทั้งดิบๆ ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเขาถือว่าเผาครั้งหนึ่งแล้ว คือ เผาสรีระ จึงทำเป็นพระพิมพ์ดินดิบ ไม่ยอมเผาสองหนเพราะเป็นการเผาซ้ำ

    ฝ่ายทางเหนือที่ทำดินสุกนั้นเป็นอีกประเภทหนึ่ง คือประสงค์เพื่อปัญจอันตรธาน ว่าเมื่อสิ้นสุดพระพุทธศาสนาแล้ว จะไม่มีใครรู้จักพระพุทธเจ้า จึงพิมพ์รูปพระพุทธเจ้าด้วยดิน เผาเก็บฝังไว้ใต้ดิน ในพระเจดีย์ ฯลฯ เพื่อให้คนรุ่นหลังขุดพบจะได้รู้จัก เป็นประโยชน์ต่างกันอย่างนี้ นี่คือเรื่องพระพิมพ์.


    .........................................................................................................................................................


    คัดจาก
    บันทึกรับสั่งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ประทานหม่อมราชวงศ์สุมนชาติ สวัสดิกุล

    ความเห็นส่วนตัวผมว่าองค์พระด้านล่างท่านั่งจะละม้ายกับพระกรุคูบัวครับ
    ขอขอบคุณ
    คัดลอกบทความจาก >>ClickHere<<
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    สำหรับพุทธประวัติที่นำมาลงนี้ต้องขอขอบคุณ เวบ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=travelaround&month=14-11-2007&group
    อีกครั้ง โดยลงมาได้ 29 ตอนแล้ว ได้ความรู้เพิ่มมากขึ้นสำหรับผู้ที่ไม่เคยรู้มาก่อน และหลังจากนี้จะค่อยๆ เข้มข้นขึ้น เพราะเป็นช่วงที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเริ่มบำเพ็ญเพียรบารมีแล้ว จึงขอให้ติดตามกันต่อไปครับ โดยสุดท้าย ขออำนวยบุญกุศลให้ทุกท่านที่ได้ติดตามบทความพุทธประวัตินั้น ได้บรรลุและเข้าถึงกระแสแห่งธรรมได้โดยง่ายและไม่ยากเย็นในชาตินี้พร้อมกับข้าพเจ้าต่อไปด้วยเทอญ......สาธุ


    พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๙ : ทรงบำเพ็ญเพียร อยู่ 6 ปี
    <!-- Main -->[SIZE=-1]พระพุทธประวัติ ตอนที่ ๒๙ : ทรงบำเพ็ญเพียร อยู่ 6 ปี

    ทรงบำเพ็ญทุกกรกิริยา หาหนทางหลุดพ้นอยู่ 6 ปี
    มีปัญจวัคคีย์เฝ้าปฏิบัติ

    หลังจากข่าวเรื่อง พระมหาบุรุษเสด็จออกบรรพชาได้กระจายออกไป โกณฑัญญะพราหมณ์ได้ยินข่าวแล้วก็ดีใจ คิดชวนเพื่อนออกบวช จึงรีบไปหาบุตรของเพื่อนพราหมณ์ทั้ง ๗ คน ที่ร่วมคณะถวายคำทำนายพระลักษณะด้วยกัน กล่าวว่า บัดนี้พระสิทธัตถะกุมารเสด็จออกบรรพชาแล้ว พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ ไม่มีข้อที่จะสงสัย ถ้าบิดาของท่านทั้งหลายยังมีชีวิตอยู่ ก็จะออกบรรพชาด้วยกันในวันนี้ ผิว่าท่านทั้งหลายปรารถนาจะบวช ก็จงมาบวชตามเสด็จพระมหาบุรุษพร้อมกันเถิด แต่บุตรพราหมณ์ทั้ง ๗ นั้น หาได้พร้อมใจกันทั้งสิ้นไม่ ยินดีรับยอมบวชด้วยเพียง ๔ คน โกณฑัญญะพราหมณ์ก็พาพราหมณ์มานพทั้ง ๔ ออกบรรพชา เป็น ๕ คนด้วยกัน จึงได้นามว่า พระปัญจวัคคีย์ เพราะมีพวก ๕ คน ชวนกันออกสืบเสาะติดตามพระมหาบุรุษเจ้า มาที่อุรุเวลาเสนานิคม

    [​IMG]

    พราหมณ์มานพทั้ง ๕ เมื่อได้พบพระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ ก็ได้ถวายต้วเป็นศิษย์ เรียกว่า คณะปัญจวัคคีย์ มี ๕ คนด้วยกัน คือ โกณฑัญญะ วัปปะ ภัททิยะ มหานามะ และอัสสชิ ทั้งหมดตามเสด็จพระมหาบุรุษออกมาเพื่อเฝ้าอุปัฏฐาก คนหัวหน้า คือ โกณฑัญญะ เป็นคนหนึ่งในจำนวนพราหมณ์ ๘ คน ที่เคยทำนายพระลักษณะของเจ้าชายสิทธัตถะ ตอนนั้นยังหนุ่ม ตอนนี้จึงแก่มากแล้ว อีก ๔ คน เป็นลูกของพราหมณ์ที่เหลือ

    พระมหาบุรุษทรงบำเพ็ญเพียร หาทางหลุดพ้นอยู่ 6 ปี ด้วยการบำเพ็ญทุกกรกิริยา ซึ่งเป็นพรตอย่างหนึ่ง ที่นักบวชสมัยนั้นนิยมทำกัน มีตั้งแต่อย่างต่ำธรรมดา จนถึงขั้นอาการปางตายที่เกินวิสัยสามัญมนุษย์จะทำได้
    [/SIZE]
     
  14. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    เหรียญพระพุทธสิหิงค์ หลวงปูสิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง จ.เชียงใหม่ (รุ่นกันนิวเคลียร์) ลักษณะด้านหน้าเป็นพระพุทธสิหิงค์ ด้านหลังเป็นรูปหลวงปู่สิมฯ เต็มองค์สร้างปี 2528 เหรียญรุ่นนี้ดีมาก ในขณะที่หลวงปู่สิมฯ ท่านแจกเหรียญให้กับญาติโยม ท่านพูดว่า
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ... สาระแห่งชีวิต ...

    <!-- Main --><CENTER>

    สาระแห่งชีวิต คือ รักและเมตตา

    พระอาจารย์ มิตซูโอะ คเวสโก


    [​IMG]


    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะเป็นที่รักของผู้อื่นได้ด้วยการประพฤติตนตามหลักธรรม ๔ ประการ

    ๑. มีความโอบอ้อมอารี

    ๒. มีปิยวาจา

    ๓. ช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น

    ๔. วางตนเหมาะสมเสมอต้นเสมอปลาย

    ถ้าเราประพฤติตนตามนี้ได้ ก็จะเป็นการสร้างเหตุปัจจัยที่ดีให้เราอยู่ร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความสุขทั้งปัจจุบันในชาตินี้และชาติหน้า


    [​IMG]



    รักตัวเองคือ รักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
    มนุษย์ แปลว่า ใจสูง หมายถึง มีจิตใจสูงกว่า
    สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก
    แม้มนุษย์จะมีความเป็นปุถุชน ที่มากด้วยกิเลสตัณหา
    แต่มนุษย์ก็รู้จักผิดชอบชั่วดี
    รู้จักว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ มิใช่ประโยชน์
    และที่สำคัญ มีสัญขาตญาณที่จะพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น
    ปรารถนาจะลความชั่ว ทำความดี ทำใจให้บริสุทธิ์
    คล้ายกับว่า มีทั้งฝ่ายดี และฝ่ายชั่วต่อสู้กัน
    บางครั้งฝ่ายชั่วครอบงำจิตใจ แต่บางครั้งฝ่ายดีก็ชนะ


    [​IMG]



    ศีล ๕ เป็นมนุษย์ธรรม
    การรักษาคุณธรรม รักษาศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
    คือ ต้องรักษาศีล ๕
    การพัฒนาจิตใจ
    ยกระดับจิตใจของเราให้สูงยิ่งๆ ขึ้น
    ต้องประพฤติกัลยาณธรรม ๕


    [​IMG]


    ศีล ๕ และกัลยาณธรรม ๕
    หรือที่เรียกว่า เบญจศีล เบญจธรรม
    เป็นหลักธรรมพื้นฐานสำหรับมนุษย์เราทุกคน
    พึงปฎิบัติ เพื่อตั้งมั่นอยู่ในความดี ละเว้นความชั่ว
    และทำจิตใจให้บริสุทธิ์


    [​IMG]



    ศีล ๕ คือ หลักธรรมที่ควรงดเว้น ๕ ประการ คือ

    ๑. เจตนางดเว้นการทำสัตว์ที่มีชีวิตให้ตกล่วง

    ๒. เจตนางดเว้นจาการถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้ให้มาเป็นของตน

    ๓. เจตนางดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

    ๔. เจตนางดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ

    ๕. เจตนางดเว้นจากการบริโภคสิ่งมึนเมา สิ่งเสพติด


    [​IMG]


    กัลยาณธรรม ๕
    เป็นหลักปฎิบัติที่ควรปฎิบัติ มี ๕ ประการ ดังนี้

    ๑. เมตตาและกรุณา คือ
    ปรารถนาให้เขามีความสุขความเจริญ
    และความสงสาร คิดช่วยให้เขาพ้นทุกข์

    ๒. สัมมาอาชีวะ คือ การหาเลี้ยงชีพสุจริต

    ๓. กามสังวร คือ ความสังวรในกาม ความสำรวมระวัง
    รู้จักยับยั้งควบคุมตนในทางกามารมณ์
    ไม่ให้หลงใหลในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัส

    ๔. สัจจะ คือ ความซื่อสัตย์ ซื่อตรง

    ๕. สติสัมปชัญญะ คือ ระลึกได้ และรู้ตัวอยู่เสมอ
    ฝึกตนให้เป็นคนรู้จักยั้งคิด
    รู้สึกตัวเสมอว่าสิ่งใดควรทำ และไม่ควรทำ
    ระวังมิให้เป็นคนมัวเมา ประมาท


    [​IMG]



    หลายคนอาจรู้สึกว่า การรักษาศีล ๕ เป็นเรื่องพื้นๆ
    ไม่มีอะไรพิเศษ จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญ
    ความจริงแล้วการรักษาศีล ๕ ให้สมบูรณ์
    ด้วยการปฎิบัติอย่างเข้าถึงจิตใจจริงๆ
    ถือเป็นเป้าหมายของการพัฒนาชีวิตที่สมบูรณ์ได้


    [​IMG]



    หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ลูกศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น
    ได้เคยแสดงธรรมไว้ว่า

    จิตไม่ฆ่าสัตว์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน
    จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
    จิตไม่ลักทรัพย์ จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน
    จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
    จิตไม่คิดมีผัวเมีย จิตออกบวช จิตก็เป็นศีล
    จิตก็เป็นฌาน จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน
    จิตไม่ขี้ปด จิตก็เป็นศีล จิตก็เป็นฌาน
    จิตก็เป็นนิพพาน อยู่ที่หัวใจของเราทุกคน


    [​IMG]


    ที่สุดของจิตบริสุทธิ์ คือ ต้องเข้าถึงศีล ๕ สมบูรณ์
    ในที่สุด เราจะค้นพบตัวเอง
    เข้าถึงธรรมชาติของจิตใจ
    ที่สงบ เบิกบานใจ
    ซึ่งมีอยู่ในตัวเราทุกคน นั่นเอง
    เมื่อเราสบายใจ สุขใจ เราจะรักตัวเอง
    เมื่อรักตัวเองแล้ว
    เราจะมีความสุข สุขภาพใจดี
    และเป็นที่รักของบุคคลรอบข้างด้วย ...


    " สวนหลวง ร. ๙ ยามเช้าๆ หลังออกกำลังกายฟ้าก็ไม่สว่างสักทีค่ะ "
    </CENTER><CENTER> </CENTER><CENTER> </CENTER>
    รูปภาพสวยๆ พร้อมคำอธิบายประกอบที่ดีๆ นี้ นำมาจาก
    http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sayings&month=02-2008&date=23&group=1&gblog=122
     
  16. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    วันที่ 14 ก.ค. 2551 เวลา 19:15:18น.โอนเงินจำนวน 500 บาท เพื่อร่วมทำบุญกับ ศ.ทุนนิธิสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์ อาพาธ
    อนุโมทนา สาธุกับทุกท่านค่ะ
     
  17. นายสติ

    นายสติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    911
    ค่าพลัง:
    +4,285
    กราบขอบพระคุณและโมทนาในบุญกับทุกท่านๆด้วยครับที่ได้บริจาคร่วมทำบุญกับทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาคร
    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ

    ในวันอาทิตย์ที่ผ่านมาทางกรรมการทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ อ.ประถม อาจสาครได้ไปประชุมที่บ้านพี่ใหญ่ซึ่งเป็นรองประธานที่ปรึกษาของทางทุนนิธิฯในเรื่องที่จะทำบุญประจำเดือนนี้ โดยกำหนดไว้ในวันอาทิตย์ที่ 27 กรกฎาคม 2551 ส่วนรายละเอียดเอาไว้ให้คุณพันวฤทธิ์มาแจ้งอีกทีหนึ่งล่ะกันนะครับ ซึ่งทางพี่ใหญ่ได้ฝากเงินที่มีผู้ร่วมบริจาคทำบุญกับทางทุนนิธิฯผ่านทางพี่ใหญ่มาและได้มอบมาให้ผม ผมได้นำเงินนั้นมาเข้าบัญชีของทางทุนนิธิเรียบร้อยแล้วในวันนี้ (15 กรกฎาคม 2551)ดังมีรายนามผู้ร่วมทำบุญดังนี้ครับ

    1.ท่านอาจารย์ ประถม อาจสาคร 300 บาท
    2.คุณดิเรก ศรีเจริญ 500 บาท
    3.คุณศักดิ์ ภิรมย์กาญจน์ 1000 บาท
    4.คุณคงศักดิ์ ก้องกิติวงศ์ 1000 บาท
    5.คุณนพณัฐ เยี่ยมวณิชพงศ์ 1000 บาท
    6.คุณเจี๊ยบ ลูกชิ้นปลา 1000 บาท
    7.คุณเรืองศิลป์ ดีเชียง 500 บาท
    8.พจอ.ณัฐสิทธิ์ ดีเชียง 300 บาท
    9.คุณสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์และครอบครัว 400 บาท
    10.คุณ ถังไม้ 200 บาท
    11.คุณ พันวฤทธิ์ 300 บาท

    รวมเงินทั้งสิ้น 6,500 บาท

    โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ โมทนา สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2008
  18. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    วันนี้ขอนำคำกลอนจากหนังสือเสียงสะท้อนจากกลอนธรรมมาเล่า ตอนที่ 3 ครับ


    หยุดโลภโกรธหลงปลงจิต
    หยุดคิดหยุดทำกรรมชั่ว
    หยุดเหล้าไฟรานผลาญตัว
    หยุดมั่วม้าแข่งแทงกิน

    หยุดแย้งแย่งใหญ่ในรัฐ
    หยุดซัดสาดย้อนปล้อนปลิ้น
    หยุดเกาะขาแข้งแยงลิ้น
    หยุดดิ้นมากเกินเพลินใจ

    เข้าพรรษาเข้าหาวัด
    ยืนหยัดครรลองผ่องใส
    สำรวจตัวตื่นตาใน
    แล้วใช้หลักธรรมนำตน

    ที่ผิดที่พลั้งยั้งหยุด
    ที่สุดรู้เหตุรู้ผล
    เทศกาลพรรษามายล
    ทุกคนถือศีลสิ้นทุกข์

    สาธุครับ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 color="#000000"><TBODY><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80><CENTER>มหาชนก ๔ </CENTER><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=80>[​IMG]</TD></TR><TR><TD align=middle width="100%" colSpan=2 height=40></TD></TR><TR><TD width="100%">
    <TABLE borderColor=#663300 width=850 border=1><TBODY><TR><TD borderColor=#ffffff>[​IMG] [​IMG]

    “เพราะพระปัจเจกโพธินั้นเปรียบประดุจพระอาทิตย์เมื่อท่านคอยยืนรับที่ใด ก็เเสดงว่าที่นั้นมีขุมทรัพย์อยู่ เราจึงชี้ให้ท่านขุดในที่นั้น แล้วก็ข้อต่อไปเล่าพระองค์ตรัสว่าอย่างไร”
    “ขอเดชะ ข้อต่อไปพระองค์ตรัสว่า ขุมทรัพย์ในที่พระอาทิตย์อัสดง”
    “แล้วพวกท่านได้ขุดค้นหากันบ้างหรือเปล่า”
    “ข้อนี้เปล่าพระเจ้าข้า เพราะขุมทรัพย์ที่หนึ่งยังไม่ได้เลยคิดเสียว่าเหลวไหลมากกว่า พระเจ้าค่ะ”
    “ถ้าอย่างนั้น พวกท่านจะบอกว่าให้เราทราบได้หรือไม่ว่าเวลาเลี้ยงดูพระปัจเจกโพธิเสร็จแล้ว เวลากลับพระปัจเจกโพธิกลับทางใด”
    “ขอเดชะ เวลากลับพระปัจเจกโพธิจะกลับทางท้ายพระราชมณเฑียร”
    “แล้วพระราชาของพวกท่านไปส่งเสด็จด้วยหรือเปล่า”
    "ไปส่งเสด็จเป็นประจำเลยพระเจ้าค่ะ”
    “เวลาไปส่งนั้น พระองค์เสด็จประทับที่ใดล่ะ”
    “ เวลาไปส่งนั้น พระองค์ประทับยืน ณ สนามท้ายพระราชมณเฑียรเป็นประจำพระเจ้าข้า”
    “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านลองไปขุดที่ ๆ พระราชาเสด็จประทับยืนที่นั้นดู
    พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารก็พากันไปขุด ก็พบขุมทรัพย์เป็นครั้งที่ ๒ ก็พากันคิดประหลาดใจว่าทำไมพระราชาองค์ใหม่ของพวกเขาจึงชี้ให้ขุดได้แม่นถึงเพียงนี้ เพราะว่าพวกเขาเองพยายามขุดค้นหาจนกระทั่งคิดว่าขุมทรัพย์ดังกล่าวนี้คงเป็นเรื่องเล่าต่อ ๆ กันมาอย่างไร้สาระโดยไม่มีความจริง จึงพากันโห่ร้องแสดงความยินดีอย่างกึกก้องโกลาหล และพากันเข้ามากราบทูลว่าได้พบสมบัติขุมที่ ๒ แล้ว
    “ขุมที่ ๓ พระราชาของพวกท่านตรัสไว้ว่าอย่างไร”
    “ทรงตรัสว่า ขุมที่หนึ่งอยู่ภายใน”
    “พวกท่านได้ค้นหาหรือยังว่าอยู่ที่ใด”
    “พวกข้าพระเจ้าไม่ได้ค้นหา เพราะคิดว่าคงเหลวเหมือนขุมอื่น ๆ นั้นเเหละ”
    “ประตูหลวง พวกท่านได้สังเกตหรือเปล่าว่ามีอะไรที่น่าสงสัยบ้าง”
    “พวกข้าพระบาทไม่เคยสงสัย และไม่เคยสังเกตเสียด้วยว่าทีอะไร”
    “พวกท่านลองไปขุดใกล้ ประตูพระราชนิเวศ ในบริเวณภายในประตูดูที ถ้าโชคของเรายังดีก็อาจจะตีปัญหาออก “
    พวกอำมาตย์ก็พากันไปขุด ก็พบอีกตามความบอก ก็ได้กลับมากราบทูลว่าพบได้แห่งที่ ๓ แล้วตามความคาดหมาย ได้ตรัสถามถึงขุมที่ ๔ ต่อไป พวกข้าราชบริพารก็ทูลว่า “ขุมหนึ่งอยู่ภายนอก” ก็ทรงชี้ให้ขุดที่ใกล้ประตูพระราชนิเวศ แต่อยู่ภายนอกประตู ก็ได้พบอีก ข้าราชบริพานก็โห่ร้องด้วยความยินดี ว่าพระราชาใหม่ของพวกเรานี้ช่างทรงปัญญาเกินสามัญชนทีเดียว อันขุมทรัพย์นี้พวกเราเที่ยวค้นหาตามที่ต่าง ๆ จนทอดอาลัยแล้วว่าเป็นของไม่จริง นับเป็นลาภทีพวกเราได้พระราชาที่ทรงปัญญาอย่างนี้ เมื่อกราบทูลให้ทรงทราบว่าได้พบขุมทรัพย์ที่ ๔ ก็ตรัสถามว่า
    “ทรงตรัสไว้เพียงเท่านี้หรืออย่างไร”
    “หามิได้ พระองค์ยังตรัสไว้อีก”
    “ตรัสไว้ว่า ขุมทรัพย์อีกขุมหนึ่งไม่ได้อยู่ข้างนอกและข้างใน”
    “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงขุดลงที่ธรณีประตูพระราชนิเวศ” เมื่อพวกอำมาตย์ราชปุโรหิตขุดลงไปที่ธรณีประตู ก็พบขุมทรัพย์ดังกล่าว
    “แล้วตรัสอย่างไรอีก”
    “ตรัสว่า ขุมหนึ่งอยู่ในที่ขึ้น”
    “จงขุดที่ประตูขึ้นพระราชนิเวศ” พวกอำมาตย์ได้พากันขุดลงไป ก็พบขุมทรัพย์อีกขุมหนึ่งในประตูราชนิเวศ
    “ตรัสว่า ขุมทรัพย์หนึ่งอยู่ในที่ลง”
    “พระราชาของพวกท่านเวลาเสด็จออกจากพระราชนิเวศนั้น โดยปกติเสด็จด้วยอะไร”
    “ส่วนมากพระองค์เสด็จทรงคชสาร เสด็จเที่ยวตรวจโรงทานและความทุกข์สุขของราษฎร “แล้วเสด็จกลับลงจากคชสาร ณ ที่ใด”
    “ขอเดชะ เสด็จลงเกยชาลาข้างหน้า”
    “พวกท่านจงไปขุดที่หน้าเกยเป็นที่เสด็จลงนั้นเถิด”
    พวกอำมาตย์พากันไปขุด ก็พบขุมทรัพย์ตามที่คาดและได้ทูลให้ทราบต่อไปว่าพระราชาของพวกเขาได้ตรัสว่า
    “ขุมทรัพย์ขุมหนึ่งอยู่ในระหว่างไม้สี่”
    “พวกท่านเคยเห็นไม้รังหรือเปล่า”
    “เคยเห็นพระเจ้าค่ะ"
    "เคยมีอยู่ที่ไหนเล่า”
    “อยู่ในพระราชอุทยานพระเจ้าค่ะ”
    “ไม้รังนั้นมี ๔ ต้น หรือเปล่า”
    “ขอเดชะ ไม้รังนั้นมีมากกว่า ๔ ต้น แต่ว่ามิได้ขึ้นเป็น ๔ เหลี่ยม ๔ มุมเลย แต่มีขึ้นเรียงรายกันไป”
    “แล้วพวกท่านเข้าใจว่าอย่างไรเล่า”
    “พวกข้าพระองค์คิดว่าอยู่ในพระราชอุทยานเป็นแน่พระเจ้าข้า” พวกท่านเคยขุดบ้างหรือเปล่า”
    “เปล่าเลยพระเจ้าค่ะ”
    “ถ้าพวกท่านไปขุดในพระราชอุทยานก็คงเหนื่อยเปล่าเพราะจะไม่พบขุมทรัพย์ในนั้นเลย”
    “ถ้าอย่างนั้นจะให้ขุดที่ใดพระเจ้าค่ะ จึงจะพบขุมทรัพย์”
    “ท่านจงขุดที่ทวารทั้ง ๔แห่ง ที่มีพระแท่นทำด้วยไม้รังอยู่”
    พวกอำมาตย์ก็ไปขุดก็พบทั้ง ๔ แห่ง และได้ทูลต่อไปว่า "พระราชาของพวกข้าพระองค์ได้ตรัสไว้อีกว่า ขุมทรัพย์อยู่ประมาณโยชน์หนึ่ง”
    “พวกท่านได้ขุดหาบ้างหรือเปล่าล่ะ”
    “พวกข้าพระองค์ได้พาไปขุดในบริเวณในป่าที่ห้างจากเมืองไปประมาณโยชน์หนึ่งพระจ้าค่ะ”
    “แล้วไม่พบอะไรเลยเชียวรึ”
    "ไม่พบเลยพระเจ้าค่ะ”
    “ถ้าเช่นนั้นลองทดลองดูว่าเราจะคิดปัญหานั้นตกหรือไม่พวกท่านจงลองวัดจากแท่นบรรทมไปดูข้างละ ๔ ศอก แล้วลองคุดไปดูซิจะพบอะไรบ้าง”
    พวกอำมาตย์ได้วัดจากทิศตะวันออกครบ ๓ ศอก แล้วก็ขุดลงไปพบขุมทรัพย์ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก รวม ๔ ทิศ ก็พบทั้งสิ้น จึงพากันมากราบทูล “ขอเดชะ พวกจ้าพระองค์ได้ไปขุดค้นตามที่ทรงแก้ปัญหาแล้ว ปรากฎว่าพบทุกแห่งพระเจ้าค่ะ แต่พวกข้าพระองค์ เกิดสงสัยว่าทำไมพระราชาตรัสว่าขุมทรัพย์อยู่ในโยชน์หนึ่งแต่นี้ห่างจากพระแท่นบรรทมเพียง ๔ ศอก เท่านั้น ขอพระองค์ได้โปรดให้ความแจ่มแจ้งด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ”
    “ถ้าเช่นนั้นพวกท่านฟังให้ดี โยชน์หนึ่งนั้นมี ๔๐๐ ศอก ใคร ๆ ก็รู้จักด้วยกันทั้งนั้น เส้นหนึ่งที ๒๐ วา ๆ หนึ่งมี ๔ ศอก นี่ก็เป็นจำนวนใหญ่ ๆ ก็พวกท่านว่าไม่พบในโยชน์หนึ่ง เราคิดว่าศอกอันนั้นจะนับเป็นวาเป็นเส้นเป็นโยชน์นั้นมีเพียง ๔ ศอกเท่านั้น เราจึงคิดปัญหาข้อนี้เพียงแค่ ๔ ศอก” พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารต่างก็ส่งเสียงแสดงความยินดีกึกก้องไปทั่วพระลาน
    “ปริศนาของพระราชาหมดแล้วหรือยัง”
    “ยังพระเจ้าค่ะ”
    “มีอะไรอีกล่ะ ว่าไปดูทีหรือ”
    “พระองค์ตรัสว่า ขุมทรัพย์หนึ่งอยู่ที่ปลายงา” เจ้ามหาชนกก็ให้ขุดที่โรงไว้คชสาร ตรงที่พญาเศวตกุญชรยืนปลายงาจรดดิน ก็ได้ดังประสงค์ และให้ขุดตามที่อำมาตย์ทั้งหลายบอกปริศนาก็ได้ดังดำรัส ข้าราชบริพารทั้งหลายพากันโห่ร้องกึกก้องสรรเสริญพระปัญญาบารมีของพระองค์เอิกเกริกไปทั่วพระนคร เมื่อไต่ถามทราบว่า หมดข้อความที่พระราชาตรัสไว้แล้วก็ให้จำหน่ายจ่ายแจกพระราชทรัพย์ โดยให้จัดสร้างโรงทาน ๖ แห่งคือ กลางเมือง แห่งหนึ่ง ที่ประตูเมืองด้านเหนือ ด้านใต้ ด้านตะวันตก ด้านตะวันออก รวม ๔ แห่ง และประตูพระราชนิเวศอีกแห่งหนึ่ง
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    http://www.larnbuddhism.com/buddha/mahasa4.html
     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,783
    ค่าพลัง:
    +16,097
    ลองทำตามหนูดี ดูมั๊ยล่ะ..



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE borderColor=white cellSpacing=0 cellPadding=3 width="100%" border=2><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top><!--Last Update : 15 กรกฎาคม 2551 20:24:25 น.-->9 เทคนิค ฝึกสมองไบรท์
    <!-- Main -->[SIZE=-1]โดย วนิษา เรซ ผู้เชี่ยวชาญด้านอัจฉริยภาพจาก ม.ฮาร์วาร์ด

    ผู้หญิงสมัยนี้ อยากสวย ฉลาด และสุขภาพดี ทุกคนจึงพากันดูแลรูปร่าง ด้วยการออกกำลังกาย เคร่งครัดเรื่องอาหารการกิน แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่าจะดูแลสมองอย่างไรให้มีสุขภาพดี ทั้งที่สมองเป็นอวัยวะที่ตัดสินใจทุกเรื่องของชีวิต เราจึงควรเอกเซอร์ไซส์สมองให้ไบรท์ด้วยเทคนิคง่าย ๆ ต่อไปนี้

    1. จิบน้ำบ่อย ๆ (Drink water very often)
    สมองประกอบด้วยน้ำ 85 % เชลล์สมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เชลล์สมองเหี่ยว ซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อย ๆ

    2. กินไขมันดี (Enjoy good Omega 3)
    คนไม่ค่อยรู้ว่าสมองคือก้อนไขมัน ซึ่งจำเป็นต้องมีไขมันดีไปทดแทนส่วนที่สึกหรอ แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วย ปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น

    3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที (Meditation 12 min a day)
    หลังจากตื่นนอนแล้ว ให้ตั้งสติและนั่งสมาธิทุกเช้า วันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุด ๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์ ( ถ้าทำไม่ได้ตอนเช้า ) ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

    4. ใส่ความตั้งใจ (Program the brain: have specific intention)
    การตั้งใจในสิ่งใดก็ตาม เหมือนการโปรแกรมสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

    5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ (Laugh and Smile)
    ทุกครั้งที่ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟิน ซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

    6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน (Learn new thing everyday)
    สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

    7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน (Forgive yourself, reduce brain stress)
    ขณะที่การไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง

    8. เขียนบันทึก Graceful Journal (Write graceful journal, good things in life every day)
    ฝึกเขียนขอบคุณสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

    9. ฝึกหายใจลึก ๆ (Deep breath)
    สมองใช้ออกชิเจน 20 25 % ของออกชิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกชิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกชิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %

    การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม
    [/SIZE]
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขอขอบคุณ
    http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=bpi&month=15-07-2008&group=1&gblog=1

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...