จิตสังขาร เกิดดับ เกิดดับควรยึดหรือ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้ว่าง, 22 พฤศจิกายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ถ้าฝึกมาอย่างจริงจังแล้วไปอ่าน
    จะซาบซึ๊งอักขระและความหมาย

    ถ้ายังไม่ได้บู๊แล้วไปอ่าน จะเนิ่นช้า

    อภิธรรมแห่งการปฏิบัติ กัณฑ์แรก
    ที่พระพุทธเจ้าสอน ก็คือ ธัมจักร

    ไปฝึกตามนั้นได้เลย หรือไม่ก็ ฝึก เจริญสติปัฏฐาน 4

    หากจะอ่านเอาความรู้เอาศัพย์

    แนะนำ พระไตรปิฎก หมวด ปฏิสัมภิทามรรค
     
  2. ไก่กา หน้าทน

    ไก่กา หน้าทน สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    68
    ค่าพลัง:
    +76
    ขอบคุณจร้า แล้วพระไตรปิฏกฉบับไหนจ๊ะ โดยใครจ๊ะ ถ้าไม่รบกวนเกินไปแนบรูปมาด้วยจะดีจร้าาา ขอบพระคุณอย่างสูง และราตรีสวัสดิ์

    ปล.เอาแบบที่อ่านง่ายที่สุดก็จะดีมากค่ะ เพราะว่าเราอะค่ะ ป.1 ในเรื่องนี้
     
  3. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    พื้นฐานเคร่าๆ

    https://palungjit.org/threads/พระไตรปิฎก-บทนำพระอภิธรรมปิฎก.214866/




    https://palungjit.org/threads/๑๒-โมหวิเฉทนี-รูป-นิพพานกัณฑ์.288058/
     
  4. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    กำหนดอนัตตา ก็คือสักว่ารู้ ตามที่คุณแนนเข้าใจถูกแล้วค่ะ ถ้าจิตไปกำหนดอนัตตา จิตจะหลุดจากอุเบกขา ไปเสพด้านลบความไม่มีตัวตนแทน คืออนัตตาก้อต้องไม่เอา

    ที่คุณแนนเล่าสภาวะมา ก็คือขั้นจิตเห็นจิตนั่นแหล่ะ ทุกคนต้องมาเจอกันจุดนี้ ไม่ว่าจะใช้สมถะกองไหนนำมาก็ตาม

    แล้ว ลป.แนะนำคุณแนนให้ดูจิต แล้วท่านแนะนำเสต็ปการดูให้ไหมคะ ต้องทำยังไง

    จิตดูจิตต้องมีเสต็ปจุดที่โฟกัสด้วย ถ้ารู้จิตคิด โฟกัสความหมายที่ผู้รู้มั่ง อายตนะกระทบ ไปโฟกัสความหมายที่อายตนะมั่ง 2 สเต็ป แบบนี้ ...จิตจะวน ไปไม่ถึงสมุทเฉท ไม่ถึงอวิชชา ไม่ถึงสุญญตา
     
  5. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    หมูไหม้เขาก้อพูดตัวปัญญานะ ตัวสรุป(สมุทเฉท) มาเรื่อยๆ นั่นแหล่ะ แต่ว่า แต่ละคนความเร็วในการรู้ไม่เหมือนกัน ของหมูไหม้เขาเกิดฉับพลันกระชั้นชิดเร็วมาก สมุจเฉทแล้วสูญญตาเลย

    ถ้าคุณแนนเห็นตัวเองไม่ใช่เรา อารมณ์แบบมันต้องสูญสลาย แล้วไปมองคนอื่น สัตว์ ทรัพย์สิน ก็ไม่มีใครถือครองเป็น จข. ได้... อารมณ์แบบความฝัน พอเราไปกอด ก็เจอแต่ความว่างเปล่าไม่ได้อะไร มีแต่สูญสลาย มันจะเห็นทั้งโลก แล้วปัญญามันจะสรุปรวบยอดขณะจิตนึง (จิตมันจะใช้คำนี้ ปัญญาสรุปรวบยอด) ว่า"ไม่มีเรา" แล้วจิตจะเสพผลอีก2 ขณะ ขณะแรกสลดน้ำตาซึม ขณะ2 กลับเป็นปกติ คือเฉย < อันนี้แหล่ะสมุทเฉท

    จะเห็นทาง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาก้อได้ ไม่จำเป็นต้องเห็นสภาพดิ้นรน เปลี่ยนแปลงแบบหมูไหม้ อุบายปัญญาแต่ละคนไม่เท่ากัน หลังจากนั้นค่อยไปเจอสูญญตา

    เสต็ปของจิตมันจะไม่วน มันจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ค่ะ
     
  6. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    สังเกตุว่าส่วนตัวไม่ได้โฟกัสจุดสมุทเฉทเลย
    แนนสนใจว่าผู้พูดให้ความสำคัญกับปัจจุบันธรรมแค่ไหน
    หากจะศรัทธาใคร
    คงไม่ต้องมาดูสภาวะปัจจัตตังส่วนตัวใคร
    ไม่จำเป็นต้องไปรู้เรื่องคนอื่น
    ดูธรรมที่แสดงว่าไปเน้นให้ความสำคัญกับอะไร
    รวมถึงอรรถรสในการแสดงจุดสำคัญ

    ถึงแม้จะเร็วสายฟ้าฟาดแค่ไหน เมื่อมันเคยไปถึงจุดนั้นแล้วมันจะพาจิตทวนไปเส้นทางเดินนั้นซ้ำๆ จนเห็นทางนั้นชัดขึ้น
    จนมั่นใจในทาง มั่นใจที่จะพูดถึงเส้นทางนั้นได้มากขึ้นเรื่อยๆ

    ปัจจุบันธรรมไม่มีอะไรเหนืออะไร เสมอเหมือนกันหมด


    เราควรจะกล่าวปัจจุบันธรรมหรือของเก่าซ้ำๆดีคะ
    หากจะเพื่อโน้มน้าวให้คนเชื่อว่านี่ของจริง
    อันนี้ไม่จริง ใครได้ประโยชน์จากตรงนี้

    มัวแต่คุยคนว่านี่ธรรมที่ฉันได้ นี่ธรรมที่เธอได้
    ทั้งๆที่ธรรมไม่ใช่ของใครสักคน

    เส้นทางมีแค่ทางเดียว ไม่มีทางใดเหนือกว่านี้อีกแล้ว
    จิตจะพัฒนาไปแค่ไหนก็จะต้องเจอรสชาตินี้ไปจนจบ
     
  7. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    ไม่ได้มีสเต็ปหรือสูตรสำเร็จอะไรซับซ้อนเลยค่ะ

    แค่กำหนดรู้จุดที่เห็นชัด ไม่ว่าจะเกิดที่กายหรือใจ

    ไม่ได้จำเพาะหรือโฟกัสที่จุดได้จุดนึง

    ไม่ได้ตั้งท่าว่าจะต้องจุดแรกที่ไหน

    สเตปต่อไปที่ไหน

    หากใคร ถนัดที่ใดก็ทำแบบนั้นไป เห็นจิตแล้วค่อยตามรู้

    แล้วท่านก็กล่าวถึงสภาวะที่ดำเนินไปเองที่เป็นจุดสำคัญ

    ตรงนี้ท่านจะพูดยาวได้อรรถรถ

    เริ่มด้วยสติต่อเนื่องมาจนจบลงที่อุเบกขา

    ท่านบอกว่า ทำแบบเดิมซ้ำๆ

    จนจบกิจแล้วจะรู้เองว่าจบแล้ว

    ไม่มีมากกว่านี้ เมื่อกำหนดรู้ทุกสภาวะเสมอเหมือนกันหมด

    ท่านเน้นพูดปัจจุบันธรรมเท่านั้น
     
  8. เค็นชิโร่

    เค็นชิโร่ Set zero

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +62

    ถ้าฟังอ.สุจินต์ เข้าใจ ก็เดาว่าคงมีพื้นฐานการภาวนามาบ้างไม่มากก็น้อย...เพราะอ.สุจินต์...จะแสดงธรรมะของที่ปรากฎอยู่ตรงหน้าในปัจจุบันขณะ....ถ้าจิตตามเห็นทัน...เห็นไปตามธรรมที่ปรากฎตรงหน้า...สามารถเกิดปัญญาได้เลย...

    ถ้าคุณเป็นผู้ใหม่ที่เพิ่งเริ่มมาศึกษา....ผมในฐานะเคยเป็นผู้ใหม่มาก่อน...ก็ขออนุญาติแนะนำเล็กน้อย

    คุณเองคงมีจุดประสงค์บางอย่างที่สนใจในธรรมะ...ผมเองเริ่มต้นสนใจธรรมะ...เกิดมาจากอยากรู้เห็นสิ่งเหนือธรรมชาติ...แต่เมื่อเข้ามาศึกษาจริงๆ...กลับเกิดศรัทธาในปัญญาของพระพุทธเจ้า...เป็นความพอใจหล่อเลี้ยงให้ผมอยากรู้ต่อๆมา...เช่นเดียวกับคุณ...หากสนใจในธรรมะเป็นจุดเริ่มต้น...ฉันทะจะเป็นตัวหล่อเลี้ยงให้คุณอยากศึกษาธรรมะยิ่งขึ้น....

    จุดเริ่มต้นที่คุณอยากศึกษาจะเป็นอะไรก็ตาม...แต่แกนแท้ในคำสอนพระพุทธเจ้า คือ การมีปัญญาจัดการกับทุกข์....

    พระพุทธเจ้าตรัสเรื่องโลก...เรื่องจักวาลไว้เมื่อมากกว่า 2500 ปี... นักวิทยาศาสตร์เพิ่งจะค่อยๆมาพิสูจน์ได้...และเป็นไปอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกอย่าง....แม้พระพุทธเจ้าจะมีปัญญาเห็นความจริงของโลก ของจักวาล มากขนาดนั้น...แต่พระองค์ตรัสไว้ว่า... สิ่งนี้ไม่ใช่สาระสำคัญเลย...สิ่งที่สำคัญและต้องรู้ให้ได้....มีเพียง..."อะไรคือทุกข์ .... อะไรเป็นเหตุ .... ความดับของทุกข์นั้นเป็นอย่างไร .... และหนทางใดจะนำไปสู่ความสิ้นทุกข์" เราไม่จำเป็นต้องรู้ละเอียดไปทุกเรื่อง...พระอภิธรรมอาจใช้เวลามากในการจดจำ... ซึ่งเราไม่รู้ว่าความตายจะเกิดตอนไหน...อาจตายก่อนจดจำอภิธรรมได้หมด... แต่มีแก่นของคำสอน คือ อริยสัจ ที่ควรทำความเข้าใจเป็นอันดับแรก... และสิ่งนี้อาจเร่งด่วนกว่าตำราอภิธรรมทั้งเล่ม ...

    ถ้าทั้งป่า คือ ความรู้ของทั้งโลก ทั้งจักวาล .... ใบของต้นไม้หนึ่งต้น อาจจะเป็นตำราอภิธรรม .... และมีเพียงใบไม้ 2-3 ใบ คือ อริยสัจ แก่นแท้ที่เราต้องเรียนรู้ และเข้าใจ...มันมีเพียงเท่านั้น.... เพื่อเป็นเกาะป้องกันจากทุกข์ "เมื่อรูปกระทบ นามจะไม่สั่นไหว"

    ถ้าอยากศึกษา ผมขออุญาติแนะนำหนังสือ "อริยสัจ จากพระโอษฐ์" โดยการรวบรวมของท่านพุทธทาส... รวมรวมอริยสัจ ที่เป็นแก่นธรรมจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หายากที่ใครจะรวบรวมได้แบบนี้...ในยุคเมื่อก่อนนี้ ... ที่ไอทีต่างๆไม่ได้มีเหมือนในยุคเรา....

    http://www.anakame.com/page/3_Buddha_Wajana/2/Book_201.htm
     
  9. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    อันนี้โมโหใครอยู่รึป่าวคะ

    หมูไหม้เขาหวังดีกับคุณแนนนะ เขาคอยบอกสภาวะ (ที่ไม่ใช่ชาน) ว่าที่คุณแนนบอกว่าเห็นแจ้ง ตัวเห็นแจ้งนั้นไม่ใช่สมุจเฉท

    ถ้าใครจะเช็คสภาวะความก้าวหน้าตัวเอง (ซึ่งทุกคนลึกๆหวังอยู่แล้ว) ต้องเห็นความไม่มีตัวตนจากร่างกายตัวเองออกไปก่อน แล้วมันจะออกไปรู้คนอื่น รู้สัตว์ รู้ทรัพย์สินสิ่งของ ในความไม่มีตัวตนของสิ่งนั้นๆ ด้วย

    แล้วปัญญาจะสรุปรวบยอดทั้งหมด ว่าทั้งหมดไม่มีเรา << ตัวนี้ทุกคนต้องเจอ ต้องผ่านทุกคนถึงจะไปเจอสูญญตา แล้วจิตเอาสูญญตามาเสพ แบบที่ ลพ.ฤาษีบอกมีนิพพานเป็นอารมณ์นั่นแหล่ะ

    นี่แหล่ะค่ะ รู้แจ้งของจริง

    แล้วปวีก็ไม่ได้บอกว่าต้องกรรมฐานกองนี้ กองนี้ ธรรมะนี้ลิขสิทธิ์ฉันหรือของใคร ปวีฝึกตั้ง3 กอง ใครจะฝึกเข้ารูปแบบไหนก็ได้ ลิขสิทธิ์นั่นนี่ใครเป็นคนพูดคะ

    ถ้าบนเว็บเราพูดแค่ผล ถ้าฝึกเราจะเอาแค่เหตุค่ะ
     
  10. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    จุดโฟกัสทั้งหมด อยู่ที่ผู้รู้ค่ะ อย่าไปสนใจนี่โลภโกรธหลง
    สนใจผู้รู้ ให้ความรู้สึกที่มันบริสุทธิ์ เพียวๆ รับรองไม่มีวนรู้กายใจ ไปเรื่อยๆ

    เข้าจิตล้วนๆ รู้จิตอวิชชา รู้สูญญตา ..ไม่เกิน3 เดือน ค่ะ
     
  11. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    คำพูดข้างต้นเป็นคำพูดที่กลั่นกรอง
    เพราะไม่อยากพาดพิงบุคคลที่ 3 ให้มากความ

    หากแม้มีอารมณ์แนนจะไม่พิมพ์ตอนนั้น
    เพราะมันจะกลายเป็นเอาตัวเองลงไปพูดทันที
     
  12. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    แม้แต่ผู้รู้ก็ไม่ควรไปโฟกัสค่ะ แค่รู้เฉยๆ
    ไม่เช่นนั้นเจอจิตส่งในลึกลงไปเรื่อยๆ
     
  13. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    อ่าน 3 รอบถึงเข้าใจ
    คุณปวีคงตีความผิด
    ธรรมที่แนนพูดถึง ไม่ใช่รูปแบบการฝึกภาวนา
    หมายถึงระดับภูมิธรรมของแต่ละคน
     
  14. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    จิตกระทบที่อายนะ รู้อุเบกขาที่ผู้รู้ อย่าไปอยู่ชั้นความหมายที่อายตนะ นี่ความหมายอะไร ๆ

    จิตคิด ให้รู้ผู้รู้ ให้บริสุทธิ์ด้วยอุเบกขา อย่าอยู่ที่ชั้นความหมาย นี่โลภ นี่โกรธ

    คุณแนนไม่ใช่คนพึ่งฝึกสมาธิ ฝึกถึงขั้นจิตเห็นจิตแล้ว ..แล้วพัฒนาตัวเองไปได้ดีกว่าตอนมาตั้งกระทู้ฟ้าแล็บอีก

    สเต็ปแบบนี้แหล่ะ ผู้รู้จะชัด หรือวางจิตตรงกลางระหว่างผู้รู้ กับสิ่งที่ถูกรู้ก้อได้ค่ะ รับรองเข้าจิตเพียวๆ

    ฝากคำ ลต.เยื้อนค่ะ

    FB_IMG_1626700190692.jpg
     
  15. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,301
    ค่าพลัง:
    +12,628
    จิตเห็นจิตคือ ใจ(หรือต้นจิต)มองเห็นจิตสังขาร(หรือจิตปรุงแต่ง)ทุอาการ
    ที่เกิดขึ้นย่อมปรุงแต่ง(คิดเกิด)
    ใจ(หรือจิตแท้)รู้ว่าจิตคิด
    เมื่อจิตคิดถูกรู้ปุ๊บ จิตคิดก็ดับปั๊บ
    เจิตคิดใหม่เกิด ปุ๊บ จิตคิดใหม่ถูกรู้
    ปั๊บจิตคิดใหมานี้ก็ดับลงอีก
    ดังนั้น จิตที่ถูกรู้มันจึงเกิด
    มีอยู่ทุกขณะ
    เพราะมันมีช่องทางให้"จิตคิด" เกิดได้
    ถึง 6 ช่องทางคือ
    ตา หู จมูก ลิ้น ผิวกาย ใจ
    อาการจิตคิด มันจึงเกิดขึ้นติดๆ ๆ ๆ
    อาจจะมีจิตเฉย เกิดให้ใจรู้ ด้วยบางครั้ง
    ก็รู้มันไปด้วย
    ใจ(จิตแท้)มันรู้ โดยธรรมชาติ (เช่นรู้หิว
    รู้อิ่ม รู้ปวดเจ็บ
    ใจมันจ้องรู้ไม่ได้
    ฉะนั้น ที่จ้องรู้มันคือเรา มันจึงเป็นอวิชชา
    (คือเราไม่มีจริง)
     
  16. Piccola Fata

    Piccola Fata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,590
    ค่าพลัง:
    +1,142
    คุณเอาสภาวะเจตนา กับพ้นเจตนามาปนกันนะคะ
    ถ้าคนเคยผ่าน จะรู้ว่าท่านพูดถึงสภาวะพ้นเจตนาตรงไหน

    การค้นหาผู้รู้ จิตมันจะทวนมาค้นเองค่ะ ไม่ต้องไปใช้เจตนา
    หน้าที่เราเพียงกำหนดรู้ เมื่อพ้นเจตนาไปแล้ว จิตมันจะแล่นไปรู้ตรงไหน ไปค้นไปถอนตรงไหนเขาจะดำเนินเอง

    ไม่ควรเลือกที่จะไปโฟกัสหรือเพ่งผู้รู้ด้วยเจตนาแต่ทีแรก
     
  17. ปวีรัศม์ชา

    ปวีรัศม์ชา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2020
    โพสต์:
    703
    ค่าพลัง:
    +642
    จิตเห็นจิต มันจะมีทั้งเจตนาและไม่เจตนา แต่ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนา จุดโฟกัสทั้งหมด ต้องมารู้อุเบกขาที่ผู้รู้ค่ะ << ขั้นนี้จิตยังไม่ทวนตัวเองออกจากอายตนะ

    ถ้าจิตทวนตัวเองจากอายตนะ ทวนมาที่ผู้รู้ จิตจะไม่วิ่งไปให้ความหมายที่อายตนะ จิตจะรู้การกระทบที่อายตนะ แต่จะให้ความหมายเสมอๆ ที่ผู้รู้ ไม่ว่าจะมีเจตนาหรือไม่เจตนา ความหมายจะอยู่ที่ผู้รู้เท่านั้นคร่ะ
     
  18. เค็นชิโร่

    เค็นชิโร่ Set zero

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +62
    เห็นใครได้ดี แล้วยินดีกับผู้อื่นได้ คือข้อดีที่คุณเป็น

    ย้อนไปดูตัวผมเองเมื่อก่อน...อยากเห็นเทวดา อยากรู้ว่ามีจริงไหม.. เมื่อได้ยินใครเล่าให้ฟัง...ในใจก็ได้แต่ดีใจ...ที่เขาเก่งทำได้...และพยายามศึกษาว่าเขาทำอย่างไร...เช่นเดียวกับในการใช้ชีวิต...เมื่อเห็นใครประสบความสำเร็จ...โชว์รถแลมโบกินี่..โชว์รถแม็คราเร็น...ก็ได้แต่คิดว่าคนนี้เก่งจัง อายุยังน้อย ...และพยายามดูว่าเค้าทำอย่างไร... มีแนวคิดการลงทุนแบบไหน ... ถ้าเขาสำเร็จได้ เราก็น่าจะสำเร็จได้... เวลาเห็นคนทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งจนสำเร็จแล้วโชว์รถแลมโบกินี่ จะมีคนที่ร้อง อี๋!! อวดรวยว่ะ... กับอีกคนที่สามารถชื่นชมคนอื่นได้ ยินดีกับคนอื่นเป็น แล้วศึกษาแนวทางที่จะทำให้สำเร็จ....วิเคราะห์สิ่งที่ตนเองมี สิ่งใดยังขาดอยู่... ลดความเสี่ยงในการลองผิดลองถูก... แล้วประสบความสำเร็จเช่นกัน ... ความแตกต่างระหว่างสองคนนี้มีเพียงจุดเล็กๆเท่านั้น .... ในทางธรรมก็คือ การอนุโมทนา ... ถ้าสำรวจไปที่จิตจริงๆ...ต้นเหตุมันคืออัตตาตัวตน... เวลาที่เราภาวนาไป...เครื่องมือสำรวจอัตตาตัวตน...ไม่ต้องหาที่ไหน ... สำรวจใจตนเอง... ว่าก่อนนี้ที่มาศึกษาธรรมะใหม่ๆ เราอนุโมทนากับสิ่งเล็กน้อยได้ง่ายกว่านี้หรือไม่ก็พอ...
     
  19. เค็นชิโร่

    เค็นชิโร่ Set zero

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2021
    โพสต์:
    207
    ค่าพลัง:
    +62
    เวลาที่ตากระทบรูป...จะเกิดการรับรู้ขึ้นทางตา...วิญญานเข้าไปแปลค่าการรับรู้นั้น...หากใครมีสติระลึกได้ทัน...จะเห็นการเกิดดับของวิญญานตรงนี้...แต่ถ้าสติระลึกไม่ทัน...วิญญานทางตาจะแปลค่า...โดยการดึงสัญญา...ว่าแสงกลุ่มนั้นที่กระทบตา คืออะไร?.... ถ้าสิ่งนั้นเป็นสร้อยทองคำหล่นพื้นอยู่ ...สัญญาแปลค่าว่าเป็นทอง...เกิดเวทนาความดีใจขึ้นทันที....บางคนมีสติระลึกได้ทันตรงการเกิดของเวทนานี้...เรียกว่า เห็นเวทนา ...ถ้าสติระลึกไม่ทัน... มันจะกลายเป็นตัณหาต่อมา... อนุสัยเคยสั่งสมไว้อย่างไร ... จะออกมาเป็นการกระทำอย่างนั้น...ถ้าอนุสัยเดิมให้ค่าว่าเจอของใครตกหล่น...เก็บมาเป็นของตนเองได้...ก็จะเกิดตัณหาดึงเข้า...ผลักดันให้ร่างกายทำงาน ก้มลงไปเก็บสร้อยทองนั้นมาเป็นของตน...เกิดการกระทำของขันธ์....และการกระทำนี้...ถูกบันทึกลงในจิต...เป็นอนุสัยสั่งสมต่อไป...เพื่อให้รูปนามนี้รับวิบากต่อไป....จึงเกิดเป็น วงจร กิเลส กรรม วิบาก หมุนไปไม่จบสิ้น....

    ถ้าเดินมรรคแบบกระจายผัสสะ...สัมปัญชัญญะดักรอที่ทางเข้าของประตู...แล้วเห็นกระบวนการทำงานของอายตนะ...เห็นการทำงานของวิญญานทางตา กระบวนการจิตจะเห็นว่า...ไหนน้อ...ตัวตนของเรา...เพราะกระบวนการเหล่านี้ทำไปเองโดยอัตโนมัติ ทั้งยังสามารถความแปรปวน ความเปลี่ยนแปรของนามธรรมได้ด้วย

    ถัดลงมา...ถ้าดูที่การเปลี่ยนแปลงของอยาตนะไม่ทัน...เมื่อตากระทบรูป...วิญญานทางตารับรู้สัมผัสแล้วเกิดการแปลค่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งตามสุมมติจากสัญญา...คือจังหวะที่เรารู้ว่าเห็นสิ่งของนั้นเป็นอะไร... ตรงนี้ก็สามารถใช้เป็นมรรคในการภาวนาได้...แต่อาศัยจิตที่ตั้งมั่นมาก...เพราะเห็นตั้งแต่สัญญาที่ปรุงแต่งด้วยสังขาร...แบบนี้จะเห็นโลกในความเป็นสมมุติ...เพราะการเห็นจิตที่ปรุงแต่ง... ถ้าเห็นธรรมตรงนี้...จะเห็นอนัตตาธรรม...สังขารปรุงแต่งให้ค่าจึงเป็นสมมุติต่างๆ...เมื่อทันการปรุงแต่ง...ของสมมุติทั้งหลายจึงสักเป็นเพียงสิ่งหนึ่ง

    ถ้ายังไม่ทัน 2 มรรควิธีนั้น... เพราะความตั้งมั่นของจิตไม่มากขนาดจะดักที่อยาตนะได้... เมื่อผ่านตา...ผ่านการแปลค่าของสัญญาแล้ว...รู้ตรงการปรุงแต่งของสังขารก็ไม่ทัน ... จนไปถึงเกิดเวทนาเพราะตาเห็นรูปแล้ว...สติจึงระลึกได้....ถ้าแบบนี้ก็เป็นการเดินมรรคแบบเห็นเวทนา... เห็นเวทนาเกิดแล้วก็ดับ แถมบังคับไม่ได้... อยากเห็นอุจาระเห็นของเน่าเละ แล้วให้เกิดชอบ...ก็บังคับไม่ได้... ตรงนี้จะเห็นธรรมจากเวทนาเป็นของเกิดดับ บังคับไม่ได้... คนส่วนใหญ่ฝึกกันมรรควิธีนี้
     
  20. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,265
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ปั๊ดโถ่ววเอ้ย

    ทำไมคุณไม่มองกลับกันละว่า
    แฟนต้าเขาก้หวังดีกับหมูไหม้ ที่หลงตนเองเข้าใจผิด
    คิดว่าเป้นตนเองบรรลุพระโสดาบัน

    แล้วยังมีคนหลงผิดไปรับรองอีก

    พุทธองค์แยกสมาธิ ให้ได้เรียนรู้ศึกษา แบ่ง เป็น
    สมาธิที่ถูก สมาธิที่ผิด

    และยังแยกองค์ฌาน ให้ดู

    องค์ฌานที่มีอามีส กับองค์ฌานที่ไม่มีอามีส
    รู้จักกันหรือเปล่า
    เคยสัมผัสกันหรือเปล่า
    องค์ฌานที่มีอามีส
    กับองค์ฌานที่ไม่มีอามีส


    แถมยังแยก สมาธิไปได้ถึง 55 ประเภท

    แต่พระพุทธเจ้า ชี้เข้า สมาธิที่ควรเจริญให้มาก ทำให้มาก

    นั่นคืออะไร สมาธิสามอย่าง

    คือ
    สุญตสมาธิ
    อนิมิตตสมาธิ
    อัปนิหิตสมาธิ

    นี่ สมาธิ ที่พระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญ

    ซึ่งสมาธิ 3ประการนี้ มันเป็นผล จากการเจริญสติปัฏฐานเท่านั้น

    หมูไหม้เข้าใจผิดยังไปกล่าวตู่ ว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยแยก

    นี่ความหวังดีจากเพื่อนๆ มองไม่เห็นกัน รึไง

    เพื่อนแม่มมหลงทางจะหลงเหวดันทีบส่ง อิอิ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 พฤศจิกายน 2021
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...