แบบนี้เรียกว่านิมิตแบบไหนคะ

ชีวิตคนเราสาระวนอยู่กับเรื่องราว
โน่นนั่นนี่...
ความทุกข์ของคน....
....ก็สารพัดเรื่องราวร้อยแปด
ผมก็เคยเป็นอย่าง จขกท.
เมื่อก่อนเอ๊ะใจ... ทุกครั้งที่ไปสถานที่ไหนๆ
เจอเหตุการณ์ใดๆ....ก็คุ้นเคย...
...เหมือนเคยฝันถึงมาก่อน
และเรื่องราวแปลกๆเหล่านี้....
...ก็พาผมสนใจนั่งสมาธิ
...เพื่ออยากควบคุม....สิ่งเหล่านี้
แต่ผลแห่งสมาธิ...กลับส่งผลในทางโลก
ชีวิตได้รับโอกาสดีๆมากมาย...
ผลของสมาธินั้นเหมือนปุ๋ย
เร่งให้ผลของกรรมดี....
พอชีวิตสุขสบาย..ก็ห่างศาสนา
ห่างการนั่งสมาธิ....
...แล้วโลกก็แสดงความไม่เที่ยงออกมา
ชีวิตพลิกจากดีเป็นร้าย
ทุกข์ที่ไม่คิดว่าจะเกิด.. ก็เกิด
ตอนนั้น....เพิ่งเข้าใจคนทุกข์ใจเป็นยังไง
ก็เริ่มหาทางให้ใจมันหายทุกข์
ลองกลับไปนั้งสมาธิ... แต่ใจก็ไม่สงบ
ไม่เข้าใจจริงๆ...
....ว่าจะหายทุกข์ด้วยธรรมะยังไง
เหมือนได้ยินใครๆก็พูดกัน
ตอนนั้น...คิดว่าตัวเองนั่งสมาธินิ่งๆ
นั่นคือ...ศาสนาพุทธ
จนวันนึงได้มาเจอทาง...
จากการที่ผม.... อยากรู้ว่าจะหายทุกข์ยังไง
แล้วลองทำตามคำพระพุทธเจ้า
...แบบดุ่มๆไป
จนได้เห็นความจริง
...ถึงความแปรปวนของทุกสิ่งทุกอย่าง
ปักใจไว้ตรงไหน...
...ยึดอะไรเป็นของเราเมื่อไหร่
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงกับสิ่งนั้นขึ้น
ทุกข์เกิดทันที....
โลกนี้มันเหมือนกับดัก..ทุกข์
...หลอกให้พอใจ...
...หลอกให้หลงรู้สึกว่าเป็นของเรา
...หลอกให้รู้สึกว่ามันจะไม่เปลี่ยนแปลง
แต่แท้จริง...ธรรมชาติทุกอย่าง...
ไปสู่ความเสื่อมและสลายไป

จึงเข้าใจ... พระพุทธเจ้าเลิศอย่างไร
...ไม่ใช่เพราะมีญานมีนิมิตรเห็นอนาคตใดๆ
...ไม่ใช่เพราะมีปาฏิหารย์รู้ใจใครๆ
...ไม่ใช่การเหาะเหิน เดินอากาศได้
แต่เป็นพระธรรมที่พาให้เราทั้งหลาย...
ได้เห็น..เข้าใจความจริงของทุกสรรพสิ่ง....
อยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง
แต่ใจเป็นปกติได้...ไม่ทุกข์

 

ขอปลาท้วม ไปยัง สมาชิ!! ผ่านท่านทานปลา ฮับ

พระพุทธเจ้าเลิศอย่างไร
...ญานมีนิมิตรเห็นอนาคตใดๆ หากมีเหตุอันสมควร หรือ ปราถนา ย่อมหวังได้จากศาสนานี้
...ปาฏิหารย์รู้ใจใครๆ หากมีเหตุอันสมควร หรือ ปราถนา ย่อมหวังได้จากศาสนานี้
...การเหาะเหิน เดินอากาศได้ หากมีเหตุอันสมควร หรือ ปราถนา ย่อมหวังได้จากศาสนานี้

พระธรรมของศาสดา ย่อมตัดอุปทานใดๆ จึงเข้าไปแจ้งความจริง
ในเหตุ ของทุกสรรพสิ่ง....ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใด จะห้าม
สามัญผลเหล่านี้แก่คนในบริษัทของพระศาสดาได้

ความเป็นปกติ คือ อย่างนี้ๆ

 

ขออภัยนะคะ ถามแบบไม่รู้จริงๆ นะคะ
ขอปลาท้วม ไปยัง สมาชิ!! ผ่านท่านทานปลา ฮับ หมายถึงเราไหมคะ 555

อ่านแล้วมีงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจ

///////////////

นี่เพิ่งฟ้งธรรมไปได้หน่อยค่ะ จดสรุป หรือยกมาทั้งท่อน + เพิ่มเสริมที่เข้าใจ
กดฟัง กดหยุดทีละประโยค เพื่อทำความเข้าใจ ตอนนี้ได้เท่านี้ค่ะ

" ในสายแห่งวิปัสสนา
เมื่อสมาธิจะเกิด ก็ต่อเมื่อเราหมดความตั้งใจ
ไม่สนใจเป้าหมายความตั้งใจนั้น หมดความคิดนั้น สมาธิจะเกิด
เมื่อเราขบคิดอยู่นั่น วิปัสสนาจะไม่เกิด
เมื่อเราหมดความคิดแล้ว วิปัสสนาจะเกิด "

" โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพิจารณาวิปัสสนานั้น ตราบใดที่เรายังมีเจตนาคิดอยู่นั้น สิ่งนี้คือ สิ่งนั้นคือ นี่จะเป็นได้เพียงการปรับปรุง ตกแต่ง ปฏิปทา ข้อปฏิบัติ ถ้าหมดความคิดว่า สิ่งนี้คืออะไร สิ่งนั้นคืออะไร คือจิตสงบไม่คิดถึงมัน ไม่มองไม่เพ่งมันเพราะอยากรู้ จะสงบ นิ่ง ว่าง พอเกิดความว่างแล้วแห่งจิตนั้น ถ้ามีจิตที่มีสมรรถภาพพอที่จะเกิด ภูมิความรู้ ภูมิธรรม มันจะเกิดขึ้น หลังจากจิตของท่านว่างแล้ว คือว่างจากเจตนา สัญญาที่จะน้อมนึกใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเจตนาว่าง ไปสู่ความว่าง ความคิดความรู้ที่เกิดขึ้นในอับดับต่อไป
จะรู้สึกว่า เกิดขึ้นอย่างที่ท่านไม่ได้ตั้งใจ ให้สังเกตุ กันอย่างนี้ "

ธรรมะบรรยาย
พระราชสังวรญาณ ( หลวงพ่อพุธ ฐานิโย )

 

ก็ฟังไปก่อน ฮับ ไม่ห่างสดับธรรม หมั่นฟังธรรมตามกาล

ย่อมช่วยให้ นิมิต สดใส ญาณแจ่มแจ๋ว

แต่ถ้ากำลัง สนใจคำว่า "วิปัสสนา"

อันนี้ ขออนุญาติ เสนอคำว่า "อนุปัสสนา" ก่อน

สมมติว่า นิมิตแจ่มแจ๋ว หรือจะไม่แจ๋มแจ๋วก็ตาม พึ่งดับไป

หรือ กำลังจะแปรไปเป็นเรื่องอื่น

หรือ กำลังจะขึ้นวิถีไปอีกแล้ว หยุดไม่ได้ ห้ามไม่ได้
จะขอดูเรื่องนั้นต่อก่อน ก็ไม่ได้

ตรงนี้จะเป็นเรื่อง อนุปัสสนา คือ ตามเห็นความดับ(ทุกขัง)
ตามเห็นอนิจจัง ไม่เที่ยง และ สุดท้าย เห็นว่าบังคับบัญชา
ให้กรอหน้ากอรหลังอย่างใจไม่ได้ สัญญาหมายรู้อย่างนี้
จะมีอยู่ และ ดับไป เรียกว่า อนุปัสสนา

ส่วน วิปัสสนา จะเป็นเรื่องของ การยกเห็น ผลที่เกิดหลัง
จากได้ทำ อนุปัสสนาแล้วข้างต้น ก็จะเห็นว่า มันเกิดอย่างไร
คงอยู่อยางไร ทำกิจอย่างไร ให้ผลอย่างไร

ใช้การได้ไหม หรือว่า ต้องนั่ง จ้องทีวี เพื่อหาข่าว

หรือ ทำนั่นนี้ แล้ว หู ตา มันไป รับข้อมูล มายันนิมิต
ของมันเอง

ฯลฯ


ปล : ถึงตรงนี้ ฝากใคร่ครวญโลก อย่างหนึ่งด้วยฮับ
โลกนั้นประหลาด พร่องเป็นนิจ อะไรที่จริง หากพูด
ออกไปแล้ว คนพูดตาย ไม่ก้ติดคุก นะฮับ อันนี้มี ไม่ใช่ไม่มี

 

หมายถึงเล่าเรื่องฝันใช่ไหมคะ

 

หาอ่านไปเรื่อยๆครับ ก็จะรู้มากขึ้นไปเรื่อยๆ

เมื่อก่อนผมก็ไม่ชอบเห็นนิมิต ถึงขนาดเคยจุดธูป 16 ดอก ขอให้ไม่เห็น ผ่านไป 6 เดือนก็เห็นเหมือนเดิม ก็ยอมรับ ว่ามันคงเป็นกรรมของเรา

การเห็นนิมิตร ทำให้ลุ่มหลงได้ง่ายๆ และมักทำให้เราคิดว่าเก่งกว่าคนอื่นได้ง่ายๆครับ อยากเห็นอะไรก็เห็น แต่สิ่งที่เห็น มันจริงหรือปล่าวก็ไม่รู้

เมื่อก่อนผมก็หาครูอาจารย์ไปเรื่อยๆ จนมาปฎิบัติแบบ หลวงปู่ดู่ + หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
แล้วถูกจริตมาก พุทธนุสติ แล้ว ก็ แผ่เมตตา เรื่อยๆ
แล้วก็ผูกเป้าหมายไว้ที่ ศีล กรรมบท 10 พรหมวิหาร 4 สังโยชน์ 3
ตามคำสอน หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็พยายามให้ชิน
ทำให้เป็นปกติ สักวันก็ได้เอง

เมื่อก่อนผมไม่ได้ วิปัสสนา ใดๆ ผมแค่ สนุกสนานกับนิมิตร และ การเห็น สิ่งลี้ลับต่างๆ
พอผมเบื่อที่จะท่องเที่ยว ได้ลองทำ นิมิตร อสุภะ มรณานุสติ ก็สามารถเห็นได้
และทำให้การพิจารณามันมีผลมากด้วย เพราะการที่จะเห็นภาพแบบนั้นได้ ต้องมีสมาธิพอควร

พอจิตใจมันระรื่นเกิน ผมก็จับอสุภะซ้อนภาพคนทั่วไปเลย จนกว่าจะหายระรื่น
แต่ถ้าจิตสลด ก็จะดูภาพ ทิวทัศน์ สายน้ำ ให้จิตผ่อนคลาย
ประคองให้อยู่แบบเรื่อยๆ ไปตามหน้าที่ ตามมงคล 38

 

ขอบคุณค่ะ สงสัยจะไปไม่ถึงไหนแน่ละค่ะ ศัพท์เยอะ อ่านไปอ่านมาตีกันหายหมดเลย
เฮ่อ

ถ้านิมิตที่เจอมา มันจะบอกว่า เราจะเห็นเพิ่มขึ้นแล้ว ทำอะไรต่อได้ หรือถ้าไม่ทำต่อได้
ไม่ได้โดนบีบว่าต้องไปทำอะไร เห็นเฉยๆ รู้เฉยๆ ว่าเออ เห็นนิมิตได้นะ
ถ้ามันรู้แน่ๆ ก็คงจะแค่คุยกับแฟน กับครอบครัว

ถ้ามันไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จ ก็จะอยากรู้ ว่ามันจะจริง หรือมันจะไม่จริง หรือมันจะมั่วๆ ไป
มันก็จะอยากรู้อย่างนั้น

ถ้าเกิดกับคนอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกัน ก็คงไม่ใส่ใจ คนใกล้ตัว ถ้าบอกแล้วไม่เชื่อ ก็ปล่อยวางค่ะ

แต่ตอนนี้รู้สึกว่า สงสัยคงต้องปล่อยค่ะ ขี้เกียจจะอยากรู้แล้วค่ะ เพราะไล่ตามหาความรู้ มันไม่ง่าย เสียเวลาสงสัยค่ะ ถ้าไม่หาอ่าน ศึกษาเอาเป็นเอาตาย ใครรู้แน่วแน่
วางดีกว่า เพราะเวลาจะหมดไปกับเรื่องที่ไม่จริงเลย
ไม่จริงคือ อ่านแล้วก็ไม่รู้จริงนั่นเอง

ขอบคุณทุกท่านที่สอนสั่ง งงศัพท์ค่ะ พออ่านเรื่องนี้ มีศัพท์ใหม่เพิ่ม ต้องไปตามอ่านศัพท์ใหม่
ก็เจอศัพท์ใหม่ เรื่องใหม่ โยงกัน จากอยากรู้เรื่องที่ 1 ตามอ่านได้หลายเรื่อง
เรื่อง 1 ไม่เคลียร์อย่างเดิม ลืมก่อน

ส่วนเรื่องฝันแล้วเริ่มเป็นจริง ก็คงระวังเอา อันไหน ที่มันเตือนให้ระวัง เกียวกับเรา หรือแฟน ครอบครัว เตือนแล้วไม่เชื่อ ก็วาง ง่ายดี

ที่ฝันล่าสุด ศ.30/4/64 นี่เป็นการฝันที่เรื่องราวต่อกันทีเดียวหลายเรื่อง
เราจะต้องระวังจะถูกรถใหญ่ชนค่ะ เพราะว่าฝันพร้อมกัน แต่ในฝันปลอดภัย เขาหยุดทันก่อนชน

ถ้ามันจะฝันเป็นจริงต่อไปในอนาคต แล้วระวังตัวเองได้ ก็ฟังไป แต่ถ้าไม่ได้มีอะไร
ก็ปล่อยไปค่ะ

เพราะตอนนี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไร แค่สวดมนต์ก่อนนอน นอนสมาธิ ท่องพุธโธค่ะ
ก็ไม่น่าจะมีอะไรพิศดาร เพิ่มแน่ๆ

 

ขอบคุณสำหรับการช้วยสปอยซีรีย์ครับ

การหยั่งรู้ภัยแบบภาพกว้าง
ก็ลองพินิจตามพระพุทธเจ้าดูครับ

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี
ทรงปรารภมหาสุบิน ๑๖ ข้อของพระเจ้าโกศลมหาราช

เรื่องมีอยู่ว่า

คืนวันหนึ่ง พระเจ้าโกศลมหาราช ผู้ครองเมืองสาวัตถี ในเวลาใกล้รุ่งทรงพระสุบิน ๑๖ ประการ แล้วสะดุ้งตื่นจากบรรทมคิดหวาดกลัวว่าอันตรายอะไรจักเกิดมีแก่ตัวเรา จึงรับสั่งให้ พราหมณ์ปุโรหิตหลวงเข้าเฝ้าแต่เช้าตรู่ พวกพราหมณ์โหรหลวงพอได้ฟังคำบอกเล่าเรื่องพระสุบินจบ ก็พากันกราบทูลว่าจักมีอันตราย ๓ อย่างเกิดขึ้น คืออันตรายแก่ราชสมบัติ ๑ โรคภัยเบียดเบียน ๑ อันตรายแก่ชีวิต ๑ อย่างใดอย่างหนึ่ง พระองค์พอได้รับฟังยิ่งตระหนกพระทัย จึงถามหาวิธีแก้ไข พวกโหรหลวงจึงทูลว่า "ขอเดชุ พอมีทางแก้ไขอยู่นั่นคือ ต้องบูชายัญด้วยสัตว์มีชีวิต ๔ อย่าง พระเจ้าค่ะ"

พระราชรับสั่งให้รับกระทำตามนั้น พวกโหรหลวงรีบพากันไปทำหลุมบูชายัญที่นอกเมือง จับฝูงสัตว์ ๔ เท้ามัดไว้ที่หลักยัญกำลังรวมฝูงนกสั่งทหารให้นำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาอยู่ ลำดับนั้นพระนางมัลลิกาเทวีทรงทราบเรื่อง จึงรีบเข้าเฝ้า พระราชทานทูลถามถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้น เมื่อทราบสาเหตุแล้ว จึงทูลว่า "ข้าแต่มหาราชเจ้า พระองค์ได้ทูลถามยอดพราหมณ์ในโลกและเทวโลกแล้วหรือเพคะ" ทรงรับสั่งว่า "ใครกันเล่า" พระนางจึงทูลว่า "พระองค์ไม่ทรงรู้จักมหาพราหมณ์โคดมผู้ตถาคต ผู้สัพพัญญูดอกหรือเพคะ" จึงได้สติเสด็จไปวัดเชตวันทันที

พระพุทธองค์เมื่อทรงทราบเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงพยากรณ์พระสุบินเป็นข้อ ๆ ดังนี้

ข้อที่ ๑ ที่พระสุบินเห็นวัวผู้มีสีเหลืองดอกอัญชัญ ๔ ตัว วิ่งมาคนละทิศ จะชนกันที่ท้องพระลานหลวง เมื่อมหาชนชุมนุมกันดูแล้วกลับไม่ชนกัน ถอยวิ่งกลับไป นั้นคือ เหตุจักไม่มีในรัชกาลของพระองค์และจักไม่มีในศาสนาของพระตถาคต ในอนาคตเมื่อโลกหมุนไปถึงจุดเสื่อม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม เหล่าประชาราษฎร์ไม่ตั้งอยู่ในธรรม กุศลกรรมลดน้อยถอยลง อกุศลกรรมหนาแน่นขึ้น เมื่อนั้นโลกจักเกิดฝนแล้ว ทุพภิกขภัยเมฆฝนตั้งเค้าขึ้นทิศทั้ง ๔ ครางกระหึ่ม ฟ้าแลบเหมือนฝนจะตกพอชาวบ้านเก็บสิ่งของหนีฝนแล้วเท่านั้น ก็ไม่ตกลอยหายไป

ข้อที่ ๒ ที่พระสุบินเห็นต้นไม้เล็ก ๆ และกอไผ่ พอแตกหน่อได้คืบหนึ่งบ้าง ศอกหนึ่งบ้าง แล้วก็ผลิตดอกออกผลเสียแล้ว นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์มีอายุน้อยลงมีราคะกล้า เด็กหญิงจักมีสามีตั้งแต่เด็ก ตั้งครรภ์ มีบุตรธิดาตั้งแต่อายุยังน้อย

ข้อที่ ๓ ที่พระสุบินเห็นแม่วัวพากันดูดกินนมลูกวัวที่เพิ่งเกิดในวันนั้น นั้นคือในอนาคต เมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์จะพากันละทิ้งความประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ (เชษฐาปจายิกธรรม)ลูกไม่เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ ปู่ ย่า ตา ยาย คนเฒ่าคนแก่หมดที่พึ่งอาศัยต้องง้อเด็ก ๆ เลี้ยงชีพ

ข้อที่ ๔ ที่พระสุบินเห็นฝูงชนไม่เทียมแอกวัวใหญ่ที่เป็นงานกลับไปเทียมวัวหนุ่มที่ไม่เป็นงาน ต่างสลัดแอกทิ้งยืนเฉยอยู่ลากเวียนไปไม่ได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม บัณทิตผู้มีศีลธรรมจักไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ตัดสินคดี (ศาล) ข้าราชการและปกครองบ้านเมือง ผู้ไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นใหญ่บริหารบ้านเมือง จักละทิ้งงาน ความเสื่อมจักมีแก่ประเทศชาติ

ข้อที่๕ ที่พระสุบินเห็นม้าตัวหนึ่งมีปากสองปาก ฝูงชนพากันให้หญ้าที่ปากสองข้างของมัน นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม คนไม่มีศีลธรรมจักได้เป็นผู้ตัดสินคดี (ศาล) ก็จักรับสินบนจากมือคู่คดีทั้งสองฝ่ายมากิน

ข้อที่ ๖ ที่พระสุบินเห็นมหาชนขัดถูถาดทองราคาแพงแล้วนำไปให้หมาจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่งปัสสวะใส่ถาดทอง นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม ไม่ตั้งผู้มีศีลธรรมบริหารประเทศ กลับตั้งผู้คนไม่มีสกุลแทน เมื่อเป็นเช่นนี้ ตระกูลใหญ่จักตกยาก ตระกูลเลว ๆ จักพากันเป็นใหญ่ เพื่อความอยู่รอดตระกูลใหญ่พากันยกธิดาให้แก่ผู้ไม่มีสกุลนั้น

ข้อที่ ๗ ที่พระสุบินเห็นชายคนหนึ่งนั้งฟั้นเชือกหย่อนลงไปใกล้เท้า มีแม่หมาจิ้งจอกอดโซตัวหนึ่ง นอนกัดกินเชือกนั้นอยู่ใต้ตั่งที่ชายคนนั้นนั่งอยู่ โดยที่เขาไม่รู้เลย นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม หมู่สตรีจักพากันเหลาะแหละในชาย ดื่มสุรา เอาแต่แต่งตัว ชอบเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้ ไม่มีศีลธรรม จักพากันนำทรัพย์ที่สามีหามาได้อย่างยากลำบากไปซื้อสุรา คบชู้สู่ชาย ซื้อเครื่องประดับ และเที่ยวเตร่ เห็นแก่ได้ แม้จะไม่มีข้าวกินก็ตาม

ข้อที่ ๘ ที่พระสุบินเห็นตุ่มน้ำเต็มเปี่ยมลูกใหญ่ใบหนึ่ง ตั้งอยู่ประตูวัน มีตุ่มเปล่าตั้งอยู่เรียงรายโดยรอบ ผู้คนนำน้ำมาจากทิศทั้ง ๔ เทใส่ตุ่มที่เต็มแล้วนั้นล้นแล้วล้นอีก ไม่มีใครสนใจตุ่มที่ว่างเลย นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ทุศีลจักปกครองบ้านเมือง เมื่อเกิดทุพภิกขภัย จักเกณฑ์ชาวบ้านช่วยกันนำทรัพย์เพาะปลูกเพื่อผู้ปกครองอย่างเดียว จนชาวบ้านจะไม่มีอยู่มีกิน สร้างความเดือดร้อนให้

ข้อที่ ๙ ที่พระสุบินเห็นสระน้ำสระหนึ่งมีดอกบัว ๕ สี น้ำลึก มีท่าขึ้นรอบด้าน ฝูงสัตว์สองเท้าสี่เท้าพากันลงดื่มกินน้ำในสระโดยรอบ น้ำอยู่กลางสระขุ่นมัว แต่น้ำที่อยู่ตรงเท้าสัตว์เหยียบย่ำ กลับใสสะอาด นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่มีศีลธรรม เห็นแก่สินบน ขูดรีดภาษีชาวบ้าน สร้างความเดือดร้อนแก่ชาวบ้าน พวกชาวบ้านไม่สามารถจะให้อะไรได้จึงพากันหนีอพยพไปอยู่ชายแดนเสียส่วนมากศูนย์กลางเมืองจักว่างเปล่า ชนบทชายแดนจักเป็นปึกแผ่นแน่นหนาดี

ข้อที่ ๑๐ ที่พระสุบินเห็นข้าวสุกที่หุงในหม้อเดียวกัน แต่สุกไม่เท่ากัน มีแฉะ ดิบ และสุกพอดี คือ อนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ชาวโลกไม่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม ฝนจักไม่ตกอย่างทั่วถึงแม้กระทั่งในสระลูกเดียวกัน ข้าวกล้าที่หว่านในนาไร่เดียวกัน ก็จะมีผลเก็บเกี่ยวไม่เหมือนกัน มีตายแล้ง น้ำท่วม และได้เก็บเกี่ยวพอดี

ข้อที่ ๑๑ ที่พระสุบินเห็นผู้คนเอาแก่นจันทร์ที่มีราคาแพงขายแลกกับเปรียงเน่า (นมส้ม) นั้นคือในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม พวกนักบวชรวมทั้งภิกษุจักแสดงธรรมเพื่อปัจจัยและอามิสบูชา มิได้แสดงธรรมเพื่อพระนิพพาน นำเอาพระธรรมที่มีค่าควรแก่พระนิพพานไปแลกกับปัจจัย ๔ หรือเงินตราเท่านั้น

ข้อที่ ๑๒ ที่พระสุบินเห็นกระโหลกน้ำเต้าจมน้ำได้ นั้นคือในอนาคนเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในธรรม คำพูดของผู้ทุศีลจะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนัก ผู้คนจะเชื่อถือแม้แต่ในที่ประชุมสงฆ์ ผู้ทุศีลจะเป็นผู้ชนะอธิกรณ์ ทำสิ่งที่ผิดให้เป็นสิ่งที่ถูกได้

ข้อที่ ๑๓ ที่พระสุบินเห็นก้อนหินแท่งทึบใหญ่ขนาดเท่าเรือนลอยน้ำได้ นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรมแล้วคำพูดของผู้ทุศีลจะมีค่ามีน้ำหนัก พูดในสิ่งผิดให้ถูกได้ พูดสิ่งที่ถูกให้กลับผิดได้

ข้อที่ ๑๔ ที่พระสุบินเห็นฝูงเขียดตัวเล็ก ๆ วิ่งไล่ทำร้ายงูเห่าตัวใหญ่ นั่นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม มนุษย์จะตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสราคะ บุรุษเพศจักตกอยู่ภายใต้อำนาจของสตรีเพศ สามีจักอยู่ในอำนาจของภรรยา ภรรยาจะกดสามีไว้ดังทาสและคนรับใช้

ข้อที่ ๑๕ ที่พระสุบินเห็นฝูงพญาหงส์ทองแวดล้อมกาเที่ยวหากินตามบ้าน นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรมผู้ปกครองบ้านเมืองจักไม่ฉลาดในศิลปะและเก่งกล้าในการรบ จักมอบความเป็นใหญ่ให้ผู้ที่ใกล้ชิด เช่นช่างตัดผม เป็นต้น ไม่เหลียวแลสกุลสูง ๆ สกุลเหล่านั้นจะหันไปคบค้าสมาคมกับพวกช่างตัดผมเหล่านั้นเหมือนหงส์ทองแวดล้อมกา

ข้อที่ ๑๖ ที่พระสุบินเห็นผูงแกะพากันไล่กัดกินฝูงเสือเหลือง เสืออื่น ๆ มีเสือดาว เสือโคร่งเห็นเช่นนั้น ต่างวิ่งจาละหวั่นหลบเข้าไปพุ่มไม้และป่ารกไป นั้นคือ ในอนาคตเมื่อโลกเสื่อมจากศีลธรรม ผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ตั้งอยู่ในหลักธรรม ไม่คบค้าสมาคมกับผู้มีสกุลสูง เพราะเกรงกลัวต่ออำนาจ ผู้มีสกุลสูงจะพากันยินยอมให้ที่ของตนแล้วหลบหนีเข้าบ้านนอนผวาไปตาม ๆ กัน พวกภิกษุผู้ทุศีลจะเบียดเนียนภิกษุผู้มีศีล ภิกษุผู้มีศีลเมื่อไม่มีที่พักก็จะเข้าป่าไป

เมื่อพยากรณ์พระสุบินให้พระเจ้าโกศลมหาราชทราบถึงความไม่มีอันตรายใด ๆ แล้ว พระพุทธองค์ก็ตรัสอดีตนิทานมาสาธกทำนองเดียวกัน และตรัสให้ยกเลิกการบูชายัญพระราชทานชีวิตแก่สรรพสัตว์ทุกตัวเสีย พระราชาได้รับสั่งให้กระทำตามนั้น

ที่มา http://www.dhammathai.org/chadoknt/chadoknt34.php

 

ขอบคุณมากๆ ค่ะ

ปกติไม่ค่อยตกใจเรื่องฝัน นาน ๆ จะมีสักที แล้วไม่ค่อยคิดอะไร เพราะเป็นลูกอีช่างฝัน
ฝันแต่เด็ก ตื่นมาก็จะเล่าความฝัน เป็นซีรีย์ต่างๆ ไป เยอะแยะจนคนในครอบครัวเบื่อฟัง
55555555

มาสงสัยอีตรงกระทู้ก่อนหน้า คือมีเป็นจริง 2 เรื่อง ในต้นเมษา 64 กระทู้ก่อน
แล้วดันมาฝันล่าสุดอีก ในฝันไม่ได้ตกใจมากค่ะ ตื่นมาก็ไม่ได้วิตกอะไรมาก
ฝันบ่อย ในฝันก็แค่ยืนดูเรื่องราวต่างๆ เห็นไป
ตื่นมาแล้ว ก็ใครจะไปคิด รถไฟฟ้าจะมาตกรางจากข้างบนง่ายๆ

มาฟังข่าวอัมรินทร์เมื่อคืนก็เฮ้ย มีรถไฟฟ้าตกรางจริงด้วย
ในฝันคือสะพานหัก รถไฟฟ้าพุ่งตรงมาหาเราค่ะ หัวทิ่มลงพื้น แต่ไม่ได้โดนเรา
ตัดฉับไปเรื่องถัดไป แบบนี้เลย
จบเรื่องนึง ไปเรื่องนึง เพียงแต่สายวันที่ฝันหลายเรื่องติดกันมากกก แล้วดันจำได้
รีบมาบันทึกไว้

อีกฝันที่คิดว่า เราจะต้องไปทำบุญให้ผู้หญิงอายุมากคนหนึ่งไหม แกขอยาหอมค่ะ 5555
ในฝันบอกเป็นญาติเจ้าของตึก ตายเพราะถูกไฟช็อตที่ห้องไม้เก่า
เราก็แบบตื่นมา เข้าห้องน้ำ งัวเงีย น้ำไม่ไหล เลยต้องโทรสอบถามว่า ทำไมน้ำไม่ไหล
เลยถามว่า มีญาติผู้หญิงอายุมากหน่อยผอมเพรียว ตายเพราะไฟช็อตไหม ก็ว่าไม่มี
แล้วไป แต่ในฝัน แกขอยาหอมนี่สิ ก่อนแกและเพื่อนๆ จะลอยขึ้นฟ้าไป
แต่จะเรียกว่าวิญญาณเหรอ ปกติถ้ามีมาฝันขอให้ทำบุญ มาแบบตรงๆ

แต่หนนี้คือ ฝันมองออกไปบนท้องฟ้า เห็นกลุ่มคนลอยบนท้องฟ้า นี่ไปเอามือคว้าป้าคนนี้ลงมา เลยลงมาเที่ยวกันหลายคน ขากลับก็เลยลอบกลับขึ้นไป แต่งตัวปกติ
ฝันบันเทิง
เหมือนเราได้ดูหนังทุกวัน 55555555
ปกติถ้าฝันมาขอส่วนบุญจะตื่นใส่บาตรค่ะ แต่นี่งง เขาไม่ได้มาขอเอง เราไปดึงลงมา

ควรไปใส่บาตรให้ไหมละเนี่ย ป้าคนนี้ เพราะรับปากเขาไว้ ในฝันว่าจะส่งไปให้

 

ก็เหมือนกับ วัดธรรมกาย ที่เค้าเรียกว่า ฝันในฝัน
ก็คือ ตัวเองฝันนั่นแหละ แต่สามารถบังคับบัญชาฝันนั้นได้
จะให้เป็นอย่างนั่นอย่างนี้ได้ เป็น การบังคับฝัน นั่นเอง
ผู้ที่มีสติระดับหนึ่ง สามารถทำได้ทุกคน
จนบางครั้ง ตัวเราเองยังงงว่า อันไหนคือตัวเรา อันไหนคือความฝัน
เพราะ ความฝัน นั้น มันชัดเจนยิ่งกว่า ตัวเรา เสียอีก
ฝันอย่างนี้ จะไม่มีอาการเหนื่อยออกมาให้เห็น จึงไม่มีโทษนั่นเอง

 

ข้อ 1-3 เป็นปิติค่ะ
ส่วนข้อ4. บ่งบอกว่าคุณทำสมาธิจากการเพ่งกสิณ จนจิตตั้งมั่น
ข้อ 5. สภาวะจิตอยู่ในสมาธิระดับอุปจารสมาธิ

เป็นสภาวะที่เกิดสืบเนื่องจากการทำสมาธิ จิตเคยถูกสั่งสมเหตุปัจจัยด้านสมาธิมาในอดีต พอมาสวดมนต์ นั่งสมาธิ ก็เกิดสภาวะไปตามลำดับขององค์ฌาน

ลองศึกษาเรื่องสมาธิ ฌาน ดูนะคะ

 

นานๆ จะเห็น.... คุณ อนัตตา.. เข้ามาเยี่ยม .. ห้องยุทธภพ.. ซะที
แถมมาที.. มาดึก.. ซะด้วย 55 ...

 

มาตามเหตุค่ะ
ปกติห้องยุทธภพจะมีอาจารย์ประจำวิชาอยู่แล้ว
เราแค่ขาจร

 

ช่วงแรกก็จะมึนกับคำศัพท์ที่ไม่เคยพบเจอ แบบนี้ล่ะครับ

แล้วถ้าคำสอนแบบนี้ล่ะ

การไม่ทำบาปทั้งสิ้น
การยังกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องใส
นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

พอไหวไหม ง่ายๆ แต่ต้องมีสติ สมาธิ ปัญญาพอควร ถึงจะทำได้

 

คุณเบเนโตะสายแว้นก็หายไปนานเลย... คิดว่าไปไปกอดหลักกิโล..อยู่โค้งไหนซะอีกฮับ555

 

ขอบคุณมากๆ ค่ะ
ไปตามอ่านมาหน่อยนึง แรกๆ พอจำได้ แล้วศัพท์แสงก็ค่อยๆ มา ก็แบบ มึนตีบ 55
แต่อ่านไป มี 4 คำที่ชิน ก็ไปไล่หาเจอในบทสวด ยอดพระกัณฑ์นั่นเอง

 

จริงๆ แล้ว.. คำตอบที่ จขกท. อยากทราบ ก็แค่...

“แบบนี้เรียกว่านิมิตแบบไหนคะ”

...??

แซว..เล่น ครับ

 

ขอบคุณค่ะ
แบบนี้ง่ายเลยค่ะ บาปไม่ค่อยทำอยู่แล้ว ยกเว้นจำเป็นแบบเลี่ยงไม่ได้ เช่นตะขาบจะเข้าห้อง กำลังวิ่งๆ นี่ต้องตี ปล่อยไม่ได้เลย
ล่าสุดดักหนูแล้วเอาไปปล่อย แรกๆ ก็โกรธ พอจับได้ ก็กะเอาไปปล่อย
บอกมันว่าจะเอาไปปล่อย ไม่ต้องกลัว รอค่ำๆ จากตอนแรกหนูตกใจ วิ่งใหญ่
มันก็หยุด เลยเดินคุยกับหนูเกือบตลอด เวลาเดินผ่าน
แฟนกลับจากทำงาน ตกใจหนูตัวใหญ่ แล้วถามว่า ทำไมมันไม่ดิ้นตกใจ
ก็บอกแฟนว่า ก็คุยกับมันไง บอกมันไม่ต้องกลัว ตอนจะเอาไปปล่อยก็แทบไม่ตกใจเลย

ช่วยอะไรใครเล็กๆ น้อยๆ ได้ก็ทำ ไปกินอาหารร้านไหน ไม่เข้าแอ๊พ หรือขายไม่ดี นี่ไปแนะนำให้เขาลงแอ๊พนะ บอกประโยชน์คร่าวๆ แฟนก็จะแหม บอกคนไปทั่ว
แจกอาหารบ้าง ร่วมทำทาน ทำบุญกับคนอื่นบ้าง

บางทีติดต่อร้านค้า กะฝากเงินไว้ ให้แจกอาหารคนจร บางร้านนี่ไม่รับนะ บอกคนลำบากไม่มี

บางทีก็อยากเอาของไปตะเวณแจกบ้าง แต่แฟนกลัวโควิดหนักเลย อดไป
กำลังคิดทำคูปองอาหาร ติดต่อร้านค้า ที่สนใจ ให้แจกอาหาร แต่ยังคิดไม่จบว่าทำไงต่อ
กำลังคิดอยู่ค่ะวันนี้

ส่วนด้านอารมณ์ เน้นไม่คิดเยอะค่ะ หัวเราะ ไม่พยายามโกรธอะไรใคร คิดเยอะ ใช้อารมณ์เยอะ
เหนื่อยตัวเอง ต้องมาดับอารมณ์ ไม่โต้เถียงกับใครค่ะ
เสียเวลา เสียอารมณ์ เหนื่อยตัวเอง
เอาง่ายๆ เวลามีรอบเดือน ก็ปวดท้องมาก เหนื่อย เพลีย ทรมานมากแล้ว
จะไม่หงุดหงิด หรือมาอารมณ์กับใครเลย เน้นนอนถ้าเพลีย
ไม่อารมณ์เสีย งอแงแทน ขอความช่วยเหลือ แบบไม่โง่ไปหงุดหงิดใส่คนอื่น
เวลานี้คือเราควรจะได้รับการปฏิบัติดูแล ใส่ใจ ตามใจ ด้วยคนทำมีใจบริการเรา
อย่างมีสุข ไม่ต้องมากลัวการอาละวาด ก็อ้อนแทนดีกว่า สบายตัวเรา 555
หัวเราะทุกวัน สนุกดี ไม่ยุ่งกับใครมาก ไม่เดือดร้อนใจ สอนแล้ว บอกแล้ว ไม่ทำ ไม่สน
เราก็วาง ปล่อยวาง หันมาสนใจเรื่องตัวเองค่ะ
ไม่เน้นคุยกับคนคิดลบ ไม่ตามอ่านเรื่องเครียดๆ คิดไม่ดี
เอาตัวเองให้ดี ให้รอด ไม่เบียดเบียนใคร เตรียมตัวเองให้พร้อม
ผิดพลาดอะไรไป ดูตัวเองก่อน ทำอะไรผิด พลาดไปเพราะเราไหม

ก็แก้ไข ปรับปรุง เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ คิดหาทางไปเรื่อยๆ

ไม่รู้ว่าดีพอไหม แต่วันๆ หัวเราะมากกว่า คิดเรื่องลบ คิดเรื่องไม่ดี
คิดเรื่องงาน คิดเรื่องทำให้ตัวเองมีสุข แบบไหน อย่างไร ไปให้ตามเป้า

ถ้าต้องอารณ์เสียก็ถ้าสติรู้ทัน จับได้ว่า เอ๊ย เครียดละ หาทางผ่อน เอ๊ย ฟุ้งซ่านละ คิดเรื่องคนอื่น ไร้สาระ ต้องรีบปล่อย ปล่อยไม่ได้ สวดมนต์

ประมาณนี้ค่า

 

ช่ายยย 55555555555 แบบ อินหนังผีค่ะ Ghost Whisperer คนแปลเรียกนิมิต
ภาษาใช้คำว่า Gift ซึ่งจริง ๆนางบอกว่านางเห็นผี และคุยกับผีได้
ทำไมใช้คำว่า Gift ไม่ใช้คำว่า Talent หรือ อื่นๆ
ดูไปๆ จน Season 5 EP 17 ใกล้จบแล้วค่ะ ก็มานึกได้ เอ๊ะ เราเคยมีแบบ รับสายโทรศัพท์แล้วเกิดภาพนี่นา / แค่คิดจะไปกดเงิน แล้วเกิดภาพบอกมาก่อนนี่นา
ในหนังบอก เด็กๆ ส่วนใหญ่จะเห็นผี คุยกับผีได้นะ แต่พอโตจะหายไป
แต่นางนี่คือไม่หาย กลายเป็นทำหน้าที่ คอยช่วยแก้ปัญหาให้ผี
หรือคนที่โดนผีหลอก หลอน

อินจนคิดว่า อยากมีมั่ง เผื่อจะทำมั่ง แต่คิดอีกที ไม่มีดีกว่า 555555
ตั้งมั่นไว้ว่า ถ้าจะมีผีมาขอส่วนบุญคือ คอมาดีๆ มาร่างกายครบ สมบูรณ์
มาบอกดีๆ ในฝัน เดี๋ยวเช้าไปทำบุญให้ พอ เอาแค่นี้

ถ้าแบบนี้มีมาบ้าง แต่ในฝันเท่านั้นค่ะ
ผีล่าสุด 3 ตัว คือฝันไปเที่ยวไหนไม่รู้ เหมือนตจว. แล้วมีผี 3 ตัว วัยรุ่นชายวิ่งไล่ตาม เหมือนจะแกล้งอะไรเนี่ย เราก็เลย หยุดวิ่งหนี แล้วบอกว่า หยุด มาบอกชื่อเดี๋ยวทำบุญไปให้
แล้ว 3 คนนั้นก็บอกว่า จริงเหรอ ก็ตอบว่า จริง
3 คนนั้นก็พากันบอกชื่อ แล้วก็วิ่งหายไป
แต่ตื่นเราจำชื่อไม่ได้ พอสะดวกไปใส่บาตรก็นึกถึง 3 คนนี้

นานๆ จะเจอสักทีค่ะ

แต่ก็ไม่แน่ใจหรกค่ะ ว่าจริงไหม เคสอื่นๆ
ยกเว้นเคสเด็กผู้ชาย ไม่เกิน 5 ขวบ เจอในห้องตอนฝัน พอถาว่ามาห้องเราได้ไง ปิดห้องอยู่
เด็กบอก พ่อแม่ทำแท้งหนู ในฝันไม่ตกใจค่ะ ในฝันคิดในใจ ก็ผีสิเนี่ย ฮาาาา
ถามต่อพ่อแม่อยู่ไหน บอกเลขห้องมา หวยออกด้วย
เช้ารีบแหกขี้ตา ต้องเรียกงี้จริงๆ เพราะปกตื่นสาย ลืมตาไม่ขึ้น ต้องรีบตื่นให้ทันพระ
เดินแทบจะไม่ได้ ตาไม่เปิด
เคสนี้ชื่อว่าผีแน่ แถมเดินจุงมือเดินมากลางห้อง เจออีกตัวนอนนิ่งๆ กลางห้องด้วย
ไม่พูดไม่บอก ไม่กล่าวอะไรกัน ก็ทำบุญให้พร้อมกันน่ะ

ส่วนใหญ่จะเจอช่วงสวดมนต์ทำสมาธิค่ะ

 

นิมิต ที่เกิดขึ้น และดับไปแล้ว / สอนให้เราเรียนรู้อะไร..?
(ติ๊ก.. ต๊อก .. 12:01 นาฬิกา..)
1. ทางโลก
2. ทางธรรม

** ทำซ้ำ **

..

เมื่อ คุณ หมูไม้.. มา

ครบขา.. /

ก็.. “ มงลง.. ”

ฮา 55