ไม่รู้จักกัน

ถ้ารู้ จะทำก็ได้
ไม่ทำก็ได้
แต่จะรู้ที่มารึ ละตกมา จะจำได้รึ
อย่าลืมนะ เราไม่รู้ที่มา สักวันนึงก็อาจหาย
.
.


.

 

ธรรมดา ที่โรคลืม สัญญา.. 55

 

ลืมว่าเคยทำมา...

 

บทจะทวน ก็จะมาไว ไปไว ...

 

ที่มา มาจากตรงไหน เราก็ไม่รู้ เดียวไปหาที่มาก่อน

 

ไม่ต้องหา .. อยากบอกให้มาบอกเอง..

แต่รู้เอง ดีที่ซู้ด..

นะ นะ นะ

สั้น ๆ บรรทัดเเดียว

 

หาไป.. จะได้ความสงสัย และอยากกลับมา
นะ นะ นะ

 

หลอกให้อยากแล้วจากไป..

 

อืม 3ทุ่มละ ไปนอนไหม

 

มีชวนไปนอนด้วย.. เขิลนะ..

คนสมัยนี้ ใจง่ายจัง อิอิ

 

ถ้าคืนนี้ไม่มีใครมา
สบายไป ถ้้ามี เดรยวมสลบโพสหมดละ

 

จะไปนั่งสมาธิ ก็ว่ากันไปน้าาา..

ไม่ได้ว่าอะไรหรอก.. ครับ

เอาที่สะดวก สบายใจครับ..

 

เห็นเตรียมตัวพร้อมแล้ว..
รอไรอยู่ล่ะ คร้าบบ..

 

คืนนี้ ท่องเที่ยวให้ฟิน นะครับ..

 

คืนนี้ สงสัยต้องนั่งสมาธิ.. มโน ฟิน.หลอน ฮา กะเขาบ้าง

เดี๋ยวจะคุยกะเขาไม่รู้เรื่อง 555

 

หรือ ลองดูสิ ทำสมาธิ ปกติ ก็ดียุ่นะ
ไม่รุ้มาไง เป็นแบบนี้ ฮ่าๆๆ
หลอนไปใหญ่
.
.
.
.

 

ขึ้น ฌาน 1
ฟุ้ง ฌาน 2
มโน ฌาน 3
หลอน ฌาน 4
ฮา ๆ.ๆ กลับมาตื่นซะก่อน 55

 

ขึ้นอวกาศรึ
ฌาณ1ก็ะพอละ

 

กรุณารัดปะคด..

ก่อนออกเดินทาง นะ

 

ความรู้โดยปกติพวกเราได้ยิน
ได้ฟังกันมามาก ได้ศึกษา กันมามาก
อันนี้เรียกว่า ความรู้
แต่ไม่ใช่ความเห็นภายในจิต
จากความรู้นั้น เราทําให้เกิด
ความเห็นภายในจิตขึ้นมา
ด้วยการดําเนินในศีล ในสมาธิ ในปัญญา
ความเห็นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ
มีสติ มีปัญญาพิจารณาร่างกายภายในกายตน
ให้เห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน
มีสติ มีปัญญาพิจารณาอารมณ์ภายในใจเรา
เห็นความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของอารมณ์
แต่ละอารมณ์ที่เกิดดับ
มีสติ มีปัญญาพิจารณาเห็นแบบนี้แหละ
เห็นความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตนอยู่เสมอๆ
จึงเรียกว่าเห็น เห็นภายในใจของเรา
เห็นแล้วเกิดความสลดสังเวช เกิดปีติ
เกิดความปล่อยวางขึ้นมา เรียกว่า ความเห็น
.
เมื่อสติปัญญาพิจารณาเห็นบ่อยๆ
จนชัดประจักษ์ขึ้นที่ใจ นั่นแหละ
จึงจะเป็นธรรมขึ้นมา ในการละกิเลส
ปล่อยวางออกไป ทีละเล็ก ทีละน้อย
ทีละขั้น ทีละตอน จึงเรียกว่าเป็นธรรมขึ้นมา
สิ่งที่เรียกว่าธรรม คือ
พระโสดาปัตติผลก็เป็นธรรมในระดับหนึ่ง
พระสกิทาคามีผลก็เป็นธรรมระดับสอง
พระอนาคามีผลก็เป็นธรรมระดับสาม
พระอรหัตผลก็เป็นธรรมระดับสี่
อันนั้นก็...เป็นธรรม ขึ้นมา
ถ้าเป็นพระอรหัตผลก็เป็นธรรมทั้งดวง
จิตใจบริสุทธิ์ ปราศจากความโลภ
ความโกรธ ความหลง ดับสนิทโดยสิ้นเชิง
จึงเป็นบรมสุข ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี หมายถึง
สงบจากกิเลสภายในจิตใจของแต่ละบุคคล
ความสงบเยือกเย็นก็เกิดขึ้นเป็นบรมสุข
.
ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนาเรื่อง
"นี่คือหนทาง"
วันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๗
พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) ถิรจิตฺโต
วัดบุญญาวาส ต.บ่อทอง อ.บ่อทอง จ.ชลบุรี