ปกิณณกะธรรม

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย กระร่อน, 22 กรกฎาคม 2020.

  1. ล่อนจ้อน

    ล่อนจ้อน ยถาวารี ตถาการี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    4,665
    ค่าพลัง:
    +2,579
  2. rachotp

    rachotp เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2020
    โพสต์:
    1,218
    กระทู้เรื่องเด่น:
    252
    ค่าพลัง:
    +23,821

    …โอยอันนี้ดี…ผมไม่ค่อยได้เห็นด้านนี้จากหลวงพี่เลยครับ อนุโมทนา สาธุครับ จะพยายามนำไปปฏิบัติครับ ขอบพระคุณครับ
     
  3. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,611
    ค่าพลัง:
    +3,015
    ถึงว่า เมื่อคนไอทั้งคืนเลย นอนต่อไม่ได้เลย
    นึกอยู่ว่า ใครมาทำอะไรหว่า สงสัยแซวแรงไปหน่อย
     
  4. ฐานธมฺโม

    ฐานธมฺโม ทำลายเพื่อสร้างใหม่ ให้ดี ให้งาม..

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2019
    โพสต์:
    12,898
    ค่าพลัง:
    +4,609
    ประกาศ แจ้งข่าวการมรณภาพ
    เจ้าประคุณ สมเด็จพระญาณวชิโรดม
    (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร)
    เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล/ประธานกรรมการคณะสงฆ์ธรรมยุตในประเทศแคนาดา ได้ถึงแก่การมรณภาพ ในวันอังคาร ที่ ๒๒ เดือนธันวาคม พ.ศ.๒๕๖๓ เวลา ๐๗.๓๒ น. สิริอายุ ๑๐๐ ปี ๑๑ เดือน ๑๕ วัน ๘๐ พรรษา

    วัดธรรมมงคลและคณะแพทย์ผู้ดูแลรักษา จึงขอประกาศแจ้งข่าวการมรณภาพของเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณวชิโรดม (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) ให้ได้ทราบโดยทั่วกัน ทั้งนี้ กำหนดการอื่นๆ ทางวัดจักแจ้งให้ทราบในโอกาสต่อไป
    • •••••••••••••••••••••••••••••••••••••• •
    #ชีวประวัติย่อหลวงพ่อวิริยังค์_สิรินฺธโร
    หลวงปู่วิริยังค์สมัยท่านเริ่มบวชใหม่ๆ ยังเป็นพระหนุ่มน้อยอยู่ ท่านได้เดินธุดงค์ติดตามหลวงปู่กงมา จิรปุญฺโญ ผู้เป็นอาจารย์ไปในที่ต่าง ๆ เป็นระยะเวลา ๘ ปี และท่านพระอาจารย์วิริยังค์ ได้รับเลือกให้เป็นอุปัฎฐากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต นานอยู่ถึง ๔ ปี ท่านได้เดินธุดงค์ติดตามร่วมกับหลวงปู่มั่น เรียนธรรมะ อันลึกซึ้ง ครั้งนึงขณะธุดงค์อยู่ หลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า “วิริยังค์ ทำไมจึงมาบวช”
    พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “เพราะภาวนาเห็นทุกข์”
    หลวงปู่มั่น ท่านถามว่า “ใครสอนให้ครั้งแรก”
    พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “ไม่มีใครครับ”
    หลวงปู่มั่น ท่านก็ถามว่า “ทำยังไงจึงเป็นสมาธิ”
    พระอาจารย์วิริยังค์ ตอบว่า “เป็นขึ้นมาเองครับกระผม วันหนึ่งเพื่อนกระผม ชวนไปวัด เพราะจะบวช กระผมเองไม่อยากไป แต่ก็จำใจ วันนั้นต้องอยู่ถึงเที่ยงคืน กระผมก็กลับบ้านคนเดียวไม่ได้เพราะกลัวผี จำเป็นต้องอยู่ อยู่ไปนั่งไป นึกในใจอย่างเดียวว่า (ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ ) อย่างนี้ ไม่ช้าเท่าไรปรากฏว่า ตัวของกระผมหายไปเลย เบาไปหมด...ถึงกับอุทานออกมาเองว่า คุณของพระพุทธศาสนา มีถึงเพียงนี้เทียวหรือ”
    หลวงปู่มั่น ก็ได้พูดว่า “มันแม่นแล้ว เธอมีความเป็นต่าง ๆ มีบารมีพอสมควร มิฉะนั้นจะได้บวชหรือ”
    “..ร่างกายอันนี้เกิดมา ร่างกายอันนี้แก่ ร่างกายอันนี้เจ็บ ร่างกายอันนี้ตาย ทีนี้คนที่จะหลงรักหลงชังกันก็ต้องมีร่างกายนี้เป็นสื่อสัมพันธ์ มองเห็นตา มองเห็นศีรษะ แขน ขา มองเห็นร่างกายต่างๆ แล้วเกิดความชอบ หรือเรียกว่าเกิดความพอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ร่างกายอันนี้ก็เป็นตัวสำคัญที่จะต้องจัดการในอันดับแรกของวิปัสสนา จัดการอันดับแรกก็คือ หั่นร่างกายนี้ออกมาเป็นชิ้นๆ ให้เห็นว่าร่างกายนี้เป็นเพียงธาตุทั้ง ๔ ถ้าหากว่าพลังจิตเพียงพอนั้น พิจารณาเห็นได้ ถ้าพลังจิตไม่เพียงพอนั้น มองเข้าไปเท่าไหร่ มันก็ไม่เห็น คือมันเห็นเหมือนกัน แต่มันเห็นไปด้วยอำนาจกิเลส แต่ถ้าพลังจิตเพียงพอนั้นมองเข้าไปแล้วก็เห็นชัดว่า อันนี้เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เกิดอะไรขึ้น เมื่อมองเห็นชัดเจนขึ้นมา เมื่อมองเห็นชัดเจนขึ้นมาก็เกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่าย มันน่าเบื่อหน่ายจริงๆ อย่างนี้..” โอวาทธรรมคำสอนหลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโร
    #ชีวประวัติปฏิปทาหลวงปู่วิริยังค์_สิรินฺธโร
    นามเดิมชื่อ วิริยังค์ บุยฑีย์กุล เป็นบุตรขุนเพ็ญภาษชนารมย์ กับนางมั่น บุญฑีย์กุล (อุบาสิกามั่น ถึงแก่กรรม พ.ศ.๒๕๒๐) เกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๗ มกราคม ๒๔๖๓ ณ สถานีรถไฟปากเพรียว จังหวัดสระบุรี ต่อมาย้ายมาตั้งหลักฐานที่บ้านใหม่สำโรง อำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมามีพี่น้อง ๗ คน
    วันหนึ่งขณะที่ท่าน มีอายุประมาณ ๑๓ ปี เพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง ชวนให้ไปวัดเป็นเพื่อน ขณะที่รอเพื่อนไป ต่อมนต์ (ท่องบทสวดมนต์) กับพระอาจารย์กงมา ท่านก็รออยู่ด้วยความเบื่อหน่ายเพราะไปตั้งแต่ ๒ ทุ่มกลับเที่ยงคืน จะกลับบ้านเองก็ไม่ได้ เพราะเส้นทางเปลี่ยวและกลัวผี ได้แต่คิดอยู่ในใจว่า "ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่มาอีกแล้ว ๆ ๆ " ไม่ช้าก็เกิดความสงบขึ้น ตัวหายไปเลย เบาไปหมด เห็นตัวเองมี ๒ ร่าง ร่างหนึ่งเดินลงศาลาไปยืนอยู่ที่ลานวัด มีลมชนิดหนึ่ง พัดหวิวเข้าสู่ใจ รู้สึกเย็นสบายเป็นสุขอย่างยิ่ง ถึงกับอุทานออกมาเองว่า "คุณของพระพุทธศาสนา มีถึงเพียงนี้เทียวหรือ" แล้วเดินกลับไปที่ร่าง กลับเข้าตัว พอดีเป็นเวลาเลิกต่อมนต์ จึงเล่าให้กับ พระอาจารย์กงมาฟัง พระอาจารย์ก็ว่า "เด็กนี่ เรายังไม่ได้สอนสมาธิให้เลยทำไม จึงเกิดเร็วนัก " ตั้งแต่นั้นมาก็จึงเรียนรู้เกี่ยวกับการทำสมาธิ
    อยู่มาวันหนึ่งท่าน ทำงานหนักเกินตัวจึงล้มป่วยเป็นอัมพาต บิดาพยามหาหมอมารักษา แต่ก็รักษาไม่ได้ แพทย์แผนปัจจุบันบอกว่า หมดหวังในการรักษา ท่านได้แต่นอนอธิษฐานอยู่ในใจว่า " ถ้ามีผู้ใดมารักษาให้หาย จากอัมพาตได้ จะอุทิศตน เพื่อพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น "
    ไม่นานก็ปรากฏว่ามีชีปะขาวหนวดรุงรังตนหนึ่ง มาถามบิดาของท่านว่า "จะรักษาลูกให้เอาไหม" บิดาก็บอกว่า "เอา"
    ชีปะขาวก็เดินมาหาท่านซึ่งนอนอยู่ พร้อมทั้งกระซิบถามว่า “อธิษฐานดังนั้นจริงไหม” ท่านก็ตอบว่า “จริง”
    จึงให้พูดให้ได้ยินดัง ๆ หน่อย ท่านก็พูดให้ฟัง ชีปะขาวก็เอาไพลมา เคี้ยว ๆ แล้วก็ พ่นใส่ตัวของท่านจนเหลืองไปหมด แล้วก็จากไป เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าท่านรู้สึกว่าจะ กระดิกตัวได้ ทดลองลุก ขึ้นเดินก็ทำได้เป็นที่อัศจรรย์ใจ
    ๗ โมงเช้า ปรากฏว่าชีปะขาว มายืนหลับตาบิณฑบาตอยู่ ที่ประตูบ้าน ท่านจึงนำอาหารจะไปใส่บาตร ชีปะขาว กลับขอให้ท่านพูดถึงคำ อธิษฐานของท่านให้ฟัง เมื่อพูดแล้ว จึงยอมรับบาตร แล้วบอกให้ท่านไปหาที่ ใต้ต้นมะขาม วัดสว่างอารมณ์ เมื่อไปถึงชีปะขาวก็ให้พูดคำอธิษฐาน ให้ฟังอีก แล้วก็พาเดินไปหลังวัด คว้าเอา มีดอันหนึ่งออกไปตัดหางควาย มาชูให้ดู แล้วก็ต่อหางคืนไปใหม่ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พร้อมกับถามว่า "ลุงเก่งไหม" ท่านก็ตอบว่า "เก่ง"
    ลุงจะสอนคาถาให้ แต่ต้องท่องทุกวัน เป็นเวลา ๑๐ ปีจึงใช้ได้ ท่านก็ได้เรียนคาถานั้น แล้วก็บอกว่าพรุ่งนี้ให้ เตรียมใส่บาตร วันรุ่งขึ้นปรากฏว่า ไม่พบ ตาชีปะขาวแล้ว ตั้งแต่นั้นมาท่านก็ไม่ เคยพบกับตาชีปะขาวอีกเลย
    ในร่มกาวพัสตร์
    เมื่ออายุประมาณ ๑๕ ปี พ.ศ.๒๔๗๗ ก็ได้บวชเป็นผ้าขาว บรรพชาเมื่อ ๒๒ พฤษภาคม ๒๔๗๘ ณ วัดสุทธิจินดา ต.โพธิ์กลาง อ.เมือง จ.นครราชสีมา โดยพระธรรมฐิติญาณ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลังจากบรรพชาได้ ๑๐ วัน ก็ตามพระอาจารย์กงมาออกธุดงค์ ตามป่าเขา ลำเนาไพร เพื่อแสวงหาที่วิเวก เมื่อพบที่สงบ ก็จะหยุดอยู่ทำความเพียร แม้บางครั้งอดอาหารกันอยู่หลายวัน บางครั้งเจอสัตว์ร้าย เจออันตราย หรือหนทางอันยาวไกล เช่นในบางวันเดินธุดงค์ข้ามเขาเกือบ ๕๐ กิโลเมตร ก็ไม่ย่อท้อ โดยถือคติที่ว่ารักความเพียร รักธรรมะมากกว่าชีวิต ครั้งหนึ่งเมื่อออกจากดงพญาเย็น พบโจรกลุ่ม หนึ่งมีอาวุธครบมือมาล้อมไว้ พระอาจารย์กงมาได้เทศน์ สั่งสอนโจร มีอยู่ตอนหนึ่งเทศน์ว่า
    " พวกเธอเอ๋ย แม้พวกเธอจะมาหาทรัพย์ ตลอดถึง การผิดศีลของพวกเธอนั้น ก็เพื่อเลี้ยงชีวิตนี้เท่านั้น แต่ชีวิตนี้ก็ไม่ใช่ของ พวกเธอเลย มันจะสิ้นกัน ไม่รู้วันไหน เป็นเช่นนี้ทุกคน ถึงพวกเธอ จะฆ่าไม่ฆ่าเขาก็ตาย เธอก็เหมือนกัน มีความดีเท่านั้นที่ใคร ๆ ฆ่าไม่ตาย อย่างเรานี้จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่อนาทรร้อนใจ เพราะความดีเราทำมามากแล้ว "
    ปรากฏว่าพวกโจรวางมีด วางปืนทั้งหมด น้อมตัวลงกราบพระอาจารย์กงมาอย่าง นอบน้อม หัวหน้าโจรมอบตัว เป็นศิษย์ และได้บวชเป็น ตาผ้าขาวถือศีล ๘ เดินธุดงค์ไปด้วยกัน จนกระทั่งหมดลมหายใจ ในขณะทำสมาธิ
    ในวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๔๘๔ ท่านมีอายุ ๒๑ ปี ได้อุปสมบท ณ วัดทรายงาม (อุทกสีมากลางทะเล) บ้านหนองบัว อ.เมือง จ.จันทบุรี โดยพระปัญญาพิศาลเถระ (หนู) เจ้าอาวาสวัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์กงมา จิรปุญโญ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาทองสุข สุจิตโต เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลวงพ่อได้เดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์กงมาไปในที่ต่าง ๆ เป็นเวลา ๘ ปี วันหนึ่ง พระอาจารย์กงมาก็พาท่านเดินธุดงค์จากจังหวัดจันทบุรีไปจังหวัดสกลนคร เพื่อไปพบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงพ่อวิริยังค์ได้รับเลือกให้เป็นอุปัฎฐากอยู่ ๔ ปี ได้เดินธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์มั่น เรียนธรรมะ อันลึกซึ้ง ได้จดคำสอนของหลวงปู่มั่นบางตอนไว้ (ปกติท่านห้ามผู้ใดจดเด็ดขาด เมื่ออ่านให้ท่านฟังภายหลัง ท่านกลับรับรองว่าใช้ได้) ต่อมาท่านได้เผยแพร่คำสอนนี้แก่สาธารณะชน ในหนังสือที่ชื่อว่า "มุตโตทัย"
    จากนี้จะขอยกเรื่องสมัยที่หลวงปู่วิริยังค์ ได้อุปัฏฐาก และร่วมธุดงค์ไปกับองค์พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต มาเผยแพร่ ซึ่งคัดมาจากหนังสือ “ใต้สามัญสำนึก” เขียนโดย หลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโร ดังมีรายละเอียดดังนี้...
    “..ผู้เขียน(หมายถึงหลวงปู่วิริยังค์) คิดถึงความเป็นอัจฉริยะของท่านอาจารย์มั่น ฯ มิใช่ว่าจะเยินยอท่านจนเกินความจริง แต่ท่านเป็นอัจฉริยะจริง ๆ เพราะผู้เขียนก็ชอบตรงไปตรงมาอยู่แล้ว คนจะมาพูดเกินความจริง หรืออ้อมค้อมไม่ชอบ การอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ฯ ในพรรษานี้จึงเป็นการศึกษาทั้งธรรมและศึกษาทั้งตัวของท่านอาจารย์ด้วย มีอะไรแปลกๆ ใหม่ ๆ ให้พวกเราได้ศึกษาอยู่ตลอดเวลา ทุก ๆ องค์ที่มาอยู่กับท่านต่างก็ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด ถึงความสามารถทั้งภายนอกภายใน นี่ก็เป็นปัจจัตตัง รู้เฉพาะตัว ๆ ของผู้ที่อยู่ร่วมกับท่าน ผู้ที่ไม่ได้อยู่ร่วมกับท่าน หรือเพียงแต่ได้ยินได้ฟัง ได้อ่านเรื่องราวของท่าน ย่อมจะไม่เป็นปัจจัตตัง บางทีก็เกิดความสงสัย แต่บางคนก็เลื่อมใส จึงเป็นของยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้
    ออกพรรษาแล้ว จะมีการตัดเย็บจีวรให้แก่องค์ที่ขาดแคลน เพราะต่างก็ช่วยกันตัดเย็บด้วยมือ กว่าจะเสร็จแต่ละตัวๆ ใช้เวลาหลายวัน ตามปรกติแล้ว ของที่ได้จากกฐิน ผ้าป่า ของที่เขามาถวายท่านก็จะถูกแจกออกไปแก่พระภิกษุสามเณรทั้งหลายโดยทั่วกัน
    หลังจากธุรกิจ มีการแจกจีวรและทำจีวรเสร็จแล้ว ท่านปรารภที่จะออกไปจากวัดป่าบ้านนามน เพื่อความสงบตามอัธยาศัย ในที่ไม่ไกลจากวัดบ้านป่านามนนี้เท่าไรนัก มีบ้านหนึ่งชื่อบ้านนาสีนวล อยู่ใกล้เขาภูพาน บ้านนี้มีวัดร้างอยู่วัดหนึ่งไม่ไกลจากบ้าน มีกุฏิหลังเดียว ท่านได้เลือกเอาวัดร้างนี้เป็นที่พัก ได้ออกจากวัดป่าบ้านนามนกับผู้เขียนและมีพระติดตาม ๒ องค์ ตาผ้าขาว ๑ คน
    การมาอยู่วัดบ้านนาสีนวลนี้ถือว่าเป็นการพักผ่อนของท่าน ตามธรรมดาท่านก็พักผ่อนอยู่แล้วไม่ว่าอยู่ที่ไหน แต่การอยู่ในหมู่บ้านใหญ่ พระภิกษุสามเณรก็จะมาพักเพื่อศึกษามาก เป็นการกังวลในการดูแลแนะนำสั่งสอน เมื่อมาอยู่บ้านนาสีนวล พระภิกษุสามเณรมาอยู่มากไม่ได้ เพราะเป็นบ้านเล็ก จึงถือว่าเป็นการพักผ่อน ในกาลบางครั้ง พระภิกษุสามเณรผู้อยู่โดยรอบไม่ไกลนัก ก็ถือโอกาสเข้ามานมัสการเพื่อรับโอวาทจากท่านเป็นครั้งคราว
    ณ โอกาสนี้เองเป็นโอกาสที่เหมาะที่สุดสำหรับผู้เขียน เวลาว่างมาก นับเป็นโชคในชีวิตครั้งสำคัญครั้งหนึ่งที่ผู้เขียนได้มาอยู่กับท่านอาจารย์มั่นฯ ผู้เขียนมิได้ทิ้งโอกาสอันมีค่านี้ให้เสียไปเลย พยายามไต่ถามประวัติความเป็นมาของท่านอย่างละเอียด ความรู้พิเศษต่างๆ ที่ได้จากสถานที่นี้มากจริง ๆ และทั้งยังได้ความคุ้นเคยสนิทสนมกับท่านอย่างที่ใคร ๆ จะได้ยาก
    วันหนึ่งตอนเช้าขณะที่ผู้เขียนเตรียมคลี่สังฆาฏิซ้อนจีวร หลังจากถวายการครองจีวรให้ท่านเสร็จแล้ว ท่านได้เหลือบมองเห็น สังฆาฏิของผู้เขียนแตกตะเข็บหลายแห่ง และผู้เขียนเย็บชุนเอาไว้ ท่านถามว่า
    “สังฆาฏิขาดแล้วใช่ไหม”
    “ยังไม่ขาดเป็นแต่เพียงแตกตะเข็บครับผม” ผู้เขียนตอบ
    “นั่นแหละมันขาดแล้ว เออ วิริยังค์ ถ้าคุณเป็นผู้มีบุญได้ทำไว้แต่ปางก่อน พรุ่งนี้คงจะมีใครสักคนนำผ้ามาถวาย เราจะตัดสังฆาฏิให้”
    ท่านอาจารย์ท่านพูด ทำเอาผู้เขียนขนลุกขนพอง ไม่นึกเลยว่าท่านจะพูดกับข้าพเจ้าอย่างนี้
    ต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็นำบาตรออกเดินไปรอท่านที่ริมละแวกบ้าน ถวายบาตรแก่ท่านเมื่อท่านไปถึง เดินตามหลังท่านไป อันความคิดที่จะต้องคิดติดอยู่ในใจขณะนี้คือ คำพูดของท่านอาจารย์บอกว่า “ถ้าเธอมีบุญ พรุ่งนี้ก็จะมีคนนำผ้ามาถวาย” ทำให้ใจของผู้เขียนต้องกังวลหนักขึ้นว่า ท่านอาจารย์จะเอาตัวเรามาเสี่ยงบารมีเสียแล้ว นี่ถ้าหากไม่ได้ผ้าไม่มีใครมาถวาย เราอาจจะต้องเป็นคนอาภัพ จนถึงกับท่านไม่อาจจะรับเอาเราเป็นศิษย์ของท่านก็เป็นได้ ขณะที่เราก็พึ่งจะมาอยู่กับท่านเพียงปีเศษเท่านั้น ท่านจะเอาผ้าสังฆาฏิมาเสี่ยงบารมีเสียแล้ว เห็นทีจะแย่เสียละกระมังคราวนี้ และขณะนี้เป็นระยะเวลาของสงคราม (สงครามโลกครั้งที่ ๒) ยังไม่สงบ ผ้าที่จะใช้หายากจริง ๆ กว่าจะได้แต่ละผืนนานนัก ชาวบ้านต้องนุ่งผ้าขาดหน้าขาดหลัง เด็กนักเรียนไปโรงเรียนไม่มีเสื้อใส่ แม้จะมีบ้างก็ปะหน้าปะหลัง พระภิกษุสามเณรตามวัดต่าง ๆ จะได้จีวรแต่ละตัวนั้นนานเต็มที ต้องปะชุนเช่นเดียวกัน
    อันเราก็มาถูกท่านอาจารย์เสี่ยงบารมีด้วยผ้าสังฆาฏิ ๑ ผืน ดูก็เป็นเรื่องใหญ่ มิใช่เป็นเรื่องเล็กเลย (ถ้าเป็นขณะนี้ ๒๕๑๕ คงไม่ต้องนึกให้ลำบาก) ค่ำคืนนี้ก็ล่วงไปอย่างฝันดีเป็นที่สุด ท่านอาจารย์ท่านพูดทิ้งคำไว้แต่ตอนเช้าแล้วท่านก็มิได้เอ่ยถึงคำนั้นอีกเลย ผู้เขียนว่าฝันดีนั้นก็คือ ยังไงเสียเราคงจะต้องได้รับผลแห่งความจริงที่ว่า เราจะเป็นผู้มีบุญ - หรือเป็นคนบาป ก็จะต้องรู้กันในวันพรุ่งนี้แน่นอน เลยทำให้ผู้เขียนทำความเพียรนั่งสมาธิกัมมัฏฐานเป็นการใหญ่ ไม่ต้องหลับนอนกันละ ก็รู้สึกว่าได้ผล หันกลับไปคิดถึงท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้ทรมานคนเพื่อเป็นคนดีทุกวิถีทาง ทุกอย่างที่ท่านออกอุบายแต่ละครั้ง ได้ผลเกินคาด ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันกับที่แล้วมาหลาย ๆ ครั้งที่บังเกิดผลจากอุบายวิธีของการทรมานที่ได้ผลอย่างสุขุมลุ่มลึก ในขณะที่ผลทางภายในก็กำลังเกิดขึ้นแก่ผู้เขียนอย่างเยือกเย็นสว่างไสว สบาย ผ่องใสอย่างที่จะพูดยากทีเดียว นี้เกิดจากอุบายวิธีอันชาญฉลาดของท่านอาจารย์มั่น ฯ
    รุ่งขึ้นเวลาบ่ายโมง เสียงคนหลายคนทั้งแบกทั้งหามทัพพสัมภาระ ตีเกราะเคาะไม้ ได้ยินมาแต่ไกล ผู้เขียนกำลังเดินจงกรมอยู่ใต้ต้นไม้ ไม่ห่างจากกุฏิเท่าใดนัก ได้ยินเสียงก็สงสัย รีบออกมาคอยดู ซึ่งขณะเดียวกันท่านอาจารย์ก็เปิดประตูออกมา ก็พอดีกระบวนผู้คนได้มาหยุดอยู่ที่ริมวัด เอาของวางไว้เรียบร้อย มีหัวหน้าคนหนึ่งเข้ามาหาท่านอาจารย์ นิมนต์ให้ไปชักบังสุกุล ท่านก็เดินตามเขาไป แต่ผู้เขียนไม่ไปเพียงแต่จัดที่ต้อนรับเขาอยู่ที่กุฏิ
    ในไม่ช้าพวกเขาก็พากันนำเอาของมากองไว้ที่ชานกุฏิ ผู้เขียนไม่สนใจของอื่นนอกจากผ้า จะมีหรือไม่หนอ พอจะทำสังฆาฏิได้ ผู้เขียนก็ต้องอุทานขึ้นมาในใจว่า
    “โอ ผ้าทำสังฆาฏิมีแล้ว นี่ยังไง”
    แต่นึกยิ้มอยู่ในใจไม่พูดอะไรเลย ท่านอาจารย์เหลือบมองมายังข้าพเจ้ายังกับจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ท่านก็ไม่พูด หลังจากท่านได้ให้พรโยม โยมกลับกันหมด และสั่งให้เณร-ตาผ้าขาวเก็บของอื่น ๆ ไป ส่วนผ้าขาวท่านสั่งให้ผู้เขียนเก็บมาดูจึงเห็นว่าเป็นผ้าบางเนื้อดี พอที่จะตัดได้สังฆาฏิผืน ๑ อย่างสบาย ท่านจึงพูด
    “เอ้า ผู้มีบุญเอาผ้านี้ไปตัดสังฆาฏิเสีย”
    เป็นคำพูดที่สั้น ๆ ฝังใจน่าดู
    ข้าพเจ้าไม่ใช่นักเขียนนักประพันธ์ ถ้าเป็นนักเขียนนักประพันธ์คงจะพรรณนาของจริงได้กว้างขวางและแนบเนียนกว่านี้มาก แต่นี่ก็เอาเพียงความเข้าใจก็ดีแล้ว ข้าพเจ้าก็พอใจแล้วที่ยังเขียนได้ถึงเพียงนี้
    ผู้เขียนจะดีใจหรือปีติหรือถูกอาจารย์ยกยอหรืออะไร ก็พูดไม่ถูกอีกเหมือนกัน ในเหตุการณ์เกิดขึ้นในครั้งนี้ทำเอาผู้เขียนต้องยิ้มข้างในอยู่หลายวัน แต่ก็ไม่ประมาทในการที่จะพยายามเพี่อการปฏิบัติจิตอย่างไม่ให้เวลาล่วงเลยไปเปล่า ๆ ขณะที่เรามาอยู่กับท่านผู้ประเสริฐแล้วจะมัวประมาทอยู่ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะการได้อาจารย์เช่นนี้ยากนักที่จะมีบุญได้อยู่กับท่าน ข้าพเจ้าหมายถึงว่ามีบุญอยู่กับท่านผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ยิ้มก็เพราะได้อยู่ปฏิบัตินั่นเอง แต่ว่าอยู่กับผู้หวังดีต่อเรานั้น แม้จะถูกโขกถูกสับก็ยินดีรับเสมอ บางครั้งถูกยกยอเช่นคราวนี้ บางครั้งถูกโขกสับเช่นคราวก่อน แต่เราก็ยินดีให้ท่านทำเช่นนั้น เพื่อความเจริญก้าวหน้าแห่งการปฏิบัติของเรา พร้อมเสมอที่จะให้ท่านทำทุกอย่างเพื่อความเจริญก้าวหน้า
    ขณะที่มาอยู่ที่วัดร้าง (บ้านนาสีนวล) นี้เป็นเวลาหลายวันต่อมา ผู้เขียนชอบเล่าความฝันให้ท่านฟังบ่อย ๆ เพราะความฝันนั้นแปลก ๆ เนื่องจากอยู่ในที่สงบสบาย ซึ่งบางครั้งก็เห็นพระสาวกแต่ครั้งพุทธกาล มีพระอานนท์บ้าง พระกัสสปะบ้าง พระเรวัตตะบ้าง หรือบางครั้งก็ฝันเห็นพระพุทธเจ้าเลย ซึ่งก็ต้องเล่าถวายท่านฟังทุกคราว
    วันหนึ่งขณะที่ผู้เขียนเล่าความฝันให้ท่านฟังนั้น เข้าใจว่าท่านคงรำคาญ หรืออาจจะแนะนำผู้เขียนว่าเรื่องฝันนั้นเป็นเรื่องไร้สาระ ท่านจึงว่า
    “เอ้อ ฝันหยังบู๋ ฝันป่นฝันปี้ ฝันคืนนี้ฝันว่าได้สี่แม่ยาย” เป็นอันว่าท่านได้ทั้งดุทั้งด่าอย่างลึกซึ้ง และเป็นการแนะนำผู้เขียนอย่างมิได้มีวันลืมอีกครั้งหนึ่ง แม้คำนี้จะเป็นคำหยาบ ผู้เขียนไม่น่าจะนำมาลงไว้ ณ ที่นี้เลย แต่ก็ไม่ทราบจะเอาคำอะไรมาพูดมาแปลให้ถูก ถ้าเอาคำอื่นมาลงกลัวจะผิดสำนวน เสียรสชาติไป ผู้เขียนก็ไม่ขอแปลด้วย สุดแล้วแต่ผู้อ่านจะแปลเอาเองก็แล้วกัน
    แต่จะอย่างไรก็ตาม เป็นคำสอนที่แนบแน่นที่สุดสำหรับผู้เขียน เพราะความฝันนี้เป็นเรื่องลุ่มหลงกันมานานแสนนานแล้ว ถึงกับมีตำรับตำราทายความฝันกันทีเดียว แต่ท่านอาจารย์ท่านก็พูดไว้เป็นคำแปลบางตอนว่า เป็นเรื่องไร้สาระ ถ้าใครลุ่มหลงอยู่ในความฝันจะทำให้เป็นคนโง่เง่า ทั้งนี้ก็หมายความได้หลายอย่างว่า ผู้หลงในความฝันเท่ากับยอมตัวลงอยู่ใต้ลม ๆ แล้ง ๆ อันนี้คงจะเป็นคติลำหรับผู้หลงละเมอเพ้อฝัน ซึ่งไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะให้มีขึ้นแก่ผู้อบรมจิตดีแล้ว แต่ว่าขณะในที่จิตบริสุทธิ์อารมณ์ต่าง ๆ ไม่ค่อยหนาแน่น การฝันนั้นกลายเป็นนิมิต คำว่านิมิต คือเครื่องหมาย แสดง เครื่องหมายปริศนา ทำให้เกิดความจริงบางประการขึ้นได้ ซึ่งในวันต่อมา ท่านอาจารย์มั่น ฯ ท่านได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อพระนางเจ้าสิริมหามายาสุบินนิมิตก็ดี เมื่อพระพุทธองค์สุบินนิมิตในตอนก่อนจะตรัสรู้ก็ดี นี้เป็นนิมิตไม่ใช่ละเมอเพ้อฝัน ก็เป็นอันว่า ผู้เขียนได้ความรู้เพิ่มเติมในเรื่องนี้อีกมากทีเดียว
    วันหนึ่งข้าพเจ้านั่งสมาธิอยู่โคนไม้ใกล้ ๆ กับกุฏิของท่าน ได้รำพึงในใจว่า อันการอยู่ร่วมกับปราชญ์นี่ เป็นผลประโยชน์มากจริงๆ เป็นผลทุกตารางนิ้วเลยทีเดียว สมกับคำว่า ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา การคบหาบัณฑิต เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เป็นมงคลอันอุดมสูงสุด ผู้เขียนมาซาบซึ้งถึงมงคลคาถาข้อนี้อย่างยิ่งในเมื่อมาอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ฯ ในครั้งนี้
    ความรำพึงของผู้เขียน ได้เป็นไปอย่างความบริสุทธิ์ใจ และได้มีความกระตือรือร้นต่อความเพียรเป็นอย่างยิ่ง ที่จะทำให้มากขึ้นจากการได้รับธรรมเทศนาของท่าน
    ไม่ว่าจะอยู่กันเพียงองค์หนึ่งสององค์ท่านก็แสดงธรรมให้ฟัง โดยการให้โอวาทแนะนำตื้นลึกหนาบางของข้อปฏิบัติต่าง ๆ ถ้าหากว่าเราถามถึงธรรมโดยความบริสุทธิ์ใจแล้ว ท่านจะอธิบายให้หายสงสัยได้อย่างมหัศจรรย์ทีเดียว
    ท่านพระอาจารย์วิริยังค์ท่านได้รับเลือกให้เป็นอุปัฎฐากหลวงปู่มั่นอยู่ถึง ๔ ปี ท่านได้เดินธุดงค์ร่วมกับท่านพระอาจารย์มั่น เรียนธรรมะ อันลึกซึ้ง ได้จดคำสอนของหลวงปู่มั่นบางตอนไว้ (ปกติท่านห้ามผู้ใดจดเด็ดขาด เมื่ออ่านให้ท่านฟังภายหลัง ท่านกลับรับรองว่าใช้ได้) ต่อมาท่านได้เผยแพร่คำสอนนี้แก่สาธารณะชน ในหนังสือที่ชื่อว่า "มุตโตทัย"
    นอกจากการได้รับโอกาสให้เป็นพระอุปัฏฐากแล้ว พระวิริยังค์ยังได้รับโอกาสครั้งสำคัญสุดในชีวิตของท่านเอง นั้นคือ การได้ออกเดินธุดงค์ กับหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ สองต่อสอง โดยมีจุดหมายปลายทางที่วัดเลียบ (วัดบูรพาราม) จังหวัดอุบลราชธานี อันจะเป็นสถานที่ถวายพระราชทานเพลิงศพ หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล พระมหาเถระผู้เป็นพระอาจารย์ของ หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ นั้นเองการเดินธุดงค์ร่วมกับหลวงปู่มั่นในครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสอันสำคัญที่พระวิริยังค์ จะได้ปฏิบัติสมาธิให้พัฒนามากยิ่งขึ้น รวมถึงได้มีโอกาสเรียนถามปัญหาข้อธรรมและข้อปฏิบัติต่างๆ ทั้งตื้น ลึก หนา บาง ที่ได้นำมาสั่งสอนอบรมศิษย์ ทั้งพระภิกษุ สามเณร และฆราวาสจนถึงปัจจุบัน นับเป็นการธุดงค์ที่ล่ำค่าสุดจะประมาณนำมาพรรณนาความได้เลย
    นับเป็นเวลากว่า ๔ ปี ที่พระวิริยังค์ ได้อยู่อุปัฏฐากรับใช้ใกล้ชิด “หลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ” และที่เคยได้อุปัฏฐากรับใช้ “พระอาจารย์กงมา จิรปุญฺโญ” ผู้ที่ท่านนับถือว่าเป็น พระอาจารย์องค์แรก เป็นเวลา ๘ ปี รวมเป็นเวลากว่า ๑๒ ปี ท่านได้ใช้โอกาสที่ได้รับนี้ พยายามศึกษาพระธรรมวินัย ข้อวัตร และหลักการปฏิบัติสมาธิ ทั้งอย่างหยาบ อย่างละเอียด ตื้น ลึก หนา บาง จนเป็นที่แน่ใจแล้วในหลักการและแนวทางการปฏิบัติ จึงได้กราบลาพระอาจารย์แสวงหาความวิเวกส่วนตัวตามแต่โอกาสจะอำนวย แม้พระอาจารย์ก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เช่นกัน วิชาสมาธินี้ เป็นวิชาที่เลิศและประเสริฐโดยแท้ แต่หากจะรู้เพียงคนสองคนแม้เป็นสิ่งที่มีค่ามากเพียงใด ก็คงต้องหายไปจากโลกนี้ไปสักวัน เมื่อมานึกถึงสิ่งนี้หลวงพ่อวิริยังค์ ก็บังเกิดจิตเมตตาอยากที่จะเผยแผ่วิชาสมาธินี้ให้แก่ชาวโลก สมดังปณิธานที่มั่นคงตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
    ในระหว่างปี พ.ศ.๒๕๒๙ – พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่านได้พัก ณ วิทยาลัยสงฆ์น้ำตกแม่กลาง (วัดเทพเจติยาจารย์ ในปัจจุบัน) อำเภอจอมทอง จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ท่านได้มีเวลาทบทวนหลักการต่าง ๆที่ได้เคยไตร่ถามอัตถปัญหาสมาธิ พร้อมทั้งคำแนะนำจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺตเถระ จึงได้เขียนเป็นตำราสมาธิขึ้นมา เรียกชื่อว่า “หลักสูตรครูสมาธิ” เป็นจำนวนทั้งสิ้น ๓ เล่ม โดยรวมหลักการปฏิบัติอันเป็นทฤษฎี นับตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ขั้นกลาง และขั้นสูง ตามลำดับ อันแพร่หลายไปทั่วประเทศไทยแล้วกว่า ๑๑๐ สาขา ในปี พ.ศ.๒๕๕๗ ภายใต้นาม “สถาบันพลังจิตตานุภาพ” และ ขยายไปยังต่างประเทศถึง ๘ สาขา ทั้งใน ประเทศแคนาดา และสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันหลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโร จำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมมงคล บางจาก พระโขนง กรุงเทพมหานคร
    "...ถึงว่าเราจะลำบากในการบำเพ็ญสมาธิ
    ก็ได้ผลคุ้มค่า เรียกว่าคุ้มค่าเหลือที่จะคุ้ม
    เพราะคนเรานั้นถ้าหากว่า จากชาตินี้
    คือ ตายแล้วเราไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานทันทีนี่.. มันจะเกิดอะไรขึ้น ก็เกิดความเสียหายในชาติ ในชาติของเรานี่ที่เกิดต่อไปมันกลายเป็นเช่นนั้นไป มันเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล เรียกว่า แก้ไม่ได้ เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ต้องอยู่เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นชาติๆ มันก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเป็นแก่พวกเราชาวพุทธที่ได้พบพระพุทธศาสนา
    เพราะฉะนั้นเมื่อเราพากันมาทำ "สมาธิ"
    โอกาสที่จะได้ไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือนรกนั้น เรียกว่า น้อยมาก หรือว่าปิดนรกได้เลย หรือว่าปิดอบายภูมิได้เลย เพราะอะไร..? เพราะว่า เมื่อเวลาที่เราจะตายนั้น ก็ "จิต" นี้เองที่จะออกจากร่าง ร่างกายอันนี้ ในเมื่อจิตนี้เตรียมที่จะออกจากร่าง ทุกอย่างที่มีอยู่จิตก็ต้องพร้อม เรียกว่า เตรียมพร้อมชั่วระยะวินาทีเท่านั้นเอง จิตจะพร้อมหมดทุกอย่าง
    สมาธิที่เราได้กระทำมาแล้ว จะเป็นสิบครั้งร้อยครั้ง หรือจะเป็นกี่ครั้งก็ตาม ทำไว้ที่ไหน?..ก็ทำไว้ที่ใจของเรานี่เอง เพราะฉะนั้น เวลาใจจะออกจากร่างไปนี้ สมาธิทั้งหมดมันก็เก็บเอาไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ เรียบ..เก็บเพรียบพร้อม เมื่อพร้อมแล้วในชั่ววินาทีนั่น สมาธิย่อมจะต้องเกิดขึ้นกับเรา เมื่อสมาธิเกิดขึ้นกับเรา เราก็ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เราก็ไม่ต้องไปเกิดในอบาย
    เรียกว่า ปิดได้แน่นอน เพราะว่าอะไร?
    เพราะว่า เมื่อเราทำจิตนั้น เราก็ได้ทำและเราก็จำได้ ไม่มีการหลงลืม เรานั่งสมาธิกี่ครั้ง เราก็ไม่ได้ลืม เรายังทรงจำอยู่ภายในจิตนั้น ไม่มีเวลาที่จะลืม ใครจะมาทำให้ลืมก็ไม่ได้ อะไรจะมาทำให้ลืมก็ไม่ได้ อะไรจะมาพรากสมาธินี้ไปจากจิตก็ไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่า มันอยู่กับจิตอยู่แล้ว เราทำแล้ว มันก็อยู่ในใจของเราอยู่แล้ว มันจึงเรียกว่า ไม่มีอะไรมาพรากได้ จึงเรียกว่า สามารถที่จะปิดอบายภูมิได้เพราะฉะนั้น จึงเป็นการคุ้มค่าจริงๆที่บุคคลทั้งหลาย ได้พากันมีการเสียสละมาปฏิบัติความดีเหล่านี้ให้เกิดขึ้น..." โอวาทธรรมคำสอนของหลวงปู่วิริยังค์ สิรินฺธโร
    _/\_ _/\_ _/\_
     
  5. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,907
    ค่าพลัง:
    +2,252
    upload_2020-12-22_12-39-6.png

    #ตำรวรจซ้อมออกวิ่งพลัดจับศึก
     
  6. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,907
    ค่าพลัง:
    +2,252
    มุตโตรงหนัย !? <-- กาว้อง only
     
  7. ล่อนจ้อน

    ล่อนจ้อน ยถาวารี ตถาการี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    4,665
    ค่าพลัง:
    +2,579
    ตำรวจกะขยันเกิน
     
  8. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,907
    ค่าพลัง:
    +2,252
    dark-tattoo-05.jpg

    สิงบุหรี่
    อุทัย
    สถาณีปุณวิถี

    เหลือ อีกที่เดียว คลองแสม

    แผ่นดินไทยจะได้สูง ฟ้าฝนจะได้ตก
    ถูกต้องตามฤดูกาลเสียที
     
  9. ล่อนจ้อน

    ล่อนจ้อน ยถาวารี ตถาการี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    4,665
    ค่าพลัง:
    +2,579
    กะพอใจจะเป็นคนแบบนี้พร้อมบวก55
     
  10. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,907
    ค่าพลัง:
    +2,252
    1397360781.jpg

    นี่อุกส่าเว้ง "ตกปากน้ำ" ให้แล้วนะ
    อีกมะนานแล้วการ้อง

    ขนาด ลพ.รบร ขดญ ยังตะโกนเลย "ถึงเวลา!!!"
     
  11. I sea you

    I sea you Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2020
    โพสต์:
    639
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,115
    ดีที่การ้องมาคุยกับลุงเมานะ ไม่งั้นแย่เลย ไม่รู้จะคุยกับใคร เพราะเลิกคบเขาหมด จะไปคุยกับเค้าตรงๆ ก็กลัวเสียฟอร์ม

    อีกอย่างพยามขวางไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก การตัดสินใจจะให้เป็นอย่างไร ไปทางไหน ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ที่เจ้าตัว ไม่ใช่จากลุงเมา
     
  12. ล่อนจ้อน

    ล่อนจ้อน ยถาวารี ตถาการี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    4,665
    ค่าพลัง:
    +2,579
    กะถูกเบรกอยู่55
    ผมเซงเรื่องโควิทเฉยๆมาถึงอำเภอละงงมาเร็วมาก
     
  13. ล่อนจ้อน

    ล่อนจ้อน ยถาวารี ตถาการี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    4,665
    ค่าพลัง:
    +2,579
    มาเร๊วมากงงเลยผม
     
  14. ล่อนจ้อน

    ล่อนจ้อน ยถาวารี ตถาการี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    4,665
    ค่าพลัง:
    +2,579
  15. I sea you

    I sea you Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2020
    โพสต์:
    639
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,115
    โซนบ้านข่อย รองต่อจากสมุทรสาคร เมื่อวานเขาปิดตั้งหลายเขต ถนนงี้โล่งเลย
     
  16. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    ต้อง ออกเสต็บที่บ้านแทน

     
  17. I sea you

    I sea you Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2020
    โพสต์:
    639
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,115
    พี่ณุ ที่เขียนคำ ลป.หล้า ที่ว่า
    จิตเด็กอะไรนั่นหมายถึงอะไรคะ
     
  18. ล่อนจ้อน

    ล่อนจ้อน ยถาวารี ตถาการี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    4,665
    ค่าพลัง:
    +2,579
    จิตแบบที่เจ้เป็นตอนนี้ละ55
    เดาล้วนๆ55
     
  19. maokvid-1800

    maokvid-1800 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,907
    ค่าพลัง:
    +2,252
    blog-5-1-600x405.jpg
     
  20. ปราบเทวดา

    ปราบเทวดา ลอยลำ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    6,258
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +4,762
    งง กะจิตเด้ก

    หลวงปู่หล้า ท่านอุปมาเกี่ยวกับจิตพระอรหันต์

    ท่านบอกว่า จิตพระอรหันต์ จะไปบัญญัติ เรียกว่าจิต
    มันไม่ถูกต้อง

    เหมือนกับว่า แก่จะตายอยู่แล้ว มาเรียกว่า คุณหนู คุณหนู
     

แชร์หน้านี้

Loading...