ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 23 , 2020 ออมสินยืดพักชำระหนี้ถึงสิ้นเดือนธ.ค.63 จากเดิมแค่เดือนก.ย.63 หวังลดผลกระทบจากโควิด 19
    .
    นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมขยายมาตรการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ไปจนถึงสิ้นเดือนธ.ค.นี้ จากเดิมมาตรการดังกล่าวจะสิ้นสุดในเดือนก.ย. นี้ เนื่องจากผลกระทบจากโควิด-19 ยังคงมีอยู่ ทำให้รายได้ต่างๆ ของลูกค้ายังไม่กลับเข้าสู่ภาวะปกติ จึงเห็นว่าควรขยายมาตรการดังกล่าวออกไป แต่จะให้เลือกได้ว่าจะพักชำระหนี้ในลักษณะไหน ทั้งพักทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย หรือจะชำระเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งจะทำให้เกิดความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีลูกค้าที่พักชำระหนี้ทั้งหมด 3.1 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 1.14 ล้านล้านบาท
    .
    ส่วนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำหรือ ซอฟต์โลน วงเงิน 150,000 ล้านบาท ขณะนี้ได้ปล่อยไปแล้ว 14,800 ราย คิดเป็นวงเงิน 136,800 ล้านบาท ส่วนความคืบหน้ามาตรการสินเชื่อซอฟต์โลน ก้อนใหม่วงเงิน 100,000 ล้านบาท สำหรับกลุ่มท่องเที่ยว ขณะนี้ได้ส่งเรื่องให้กับกระทรวงการคลังพิจารณาแล้ว
    .
    แต่มาตรการช่วยเหลือลูกค้า และการลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง ทำให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 12,000-13,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิประมาณ 5,229 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่มีกำไร 24,208 ล้านบาท
    .
    ส่วนเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ จะเน้นบรรเทาภาระลูกหนี้กลุ่ม Non-Bank ด้วยการลดดอกเบี้ยลงเหลือ 8-10% จากปัจจุบันที่คิดอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 24-28% เพื่อเป็นการบรรเทาภาระให้กับลูกหนี้ โดยจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน เพื่อให้มีผลในปีหน้า ซึ่งปัจจุบันลูกหนี้กลุ่ม Non-Bank มีอยู่ 25.38 ล้านราย คิดเป็นมูลหนี้ 481,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นสินเชื่อบุคคล บัตรกดเงินสด 48% บัตรเครดิต 31% และสินเชื่อจำนำทะเบียนรถ 21%
    .
    #ออมสิน #พักชำระหนี้ #Misterban

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ไทยเนื้อหอมจริงๆ เว็บไซต์นิกเกอิ เอเซียน รีวิว ของญี่ปุ่น รายงานเมื่อวันพุธ (22 ก.ค.) ว่า ขณะนี้มีชาวต่างชาติราว 1,200 คนจาก 34 สัญชาติ ซึ่งรวมถึงชาวจีนกว่า 300 คน เตรียมเดินทางเข้าประเทศไทยเพื่อรับการรักษาทางการแพทย์ ตามมาตรการผ่อนคลายเฟส 6 ของรัฐบาลไทย

    เมื่อไม่นานนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แถลงว่า จะอนุญาตให้ 4 กลุ่มชาวต่างชาติ ซึ่งรวมถึงกลุ่มที่ต้องการรักษาพยาบาลและศัลยกรรม เข้าประเทศได้ภายใต้มาตรการคัดกรองอย่างเข้มงวด คาดว่าโครงการทัวร์สุขภาพในไทยจะเปิดรับชาวต่างชาติอีกครั้งภายในเดือนนี้

    ทั้งนี้ การเดินทางเข้าประเทศไทยของชาวต่างชาติ จะมีค่าใช้จ่ายในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จำนวน 3 ครั้งและค่าใช้จ่ายในการกักตัวเป็นเวลา 14 วัน รวมประมาณ 500,000 บาท

    “ชาวต่างชาติชอบมาประเทศไทยเพื่อทำศัลยกรรมตาและจมูก และค่าทำฟันในไทยก็ค่อนข้างถูกกว่าด้วย” นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. เผย

    นิกเกอิ ระบุว่า ชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้าไทยตามโครงการทัวร์สุขภาพ ประกอบด้วย เมียนมา เวียดนาม กัมพูชา ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และจีน แต่นักเดินทางจีนซึ่งรวมถึงคู่สามีภรรยาที่ต้องการทำเด็กหลอดแก้ว หรือ IVF ยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญในอุตสาหกรรมเฮลธ์แคร์ของไทย

    สื่อทางการจีน คาดว่า กลุ่มคู่รักชาวจีนที่มีบุตรยากจ่ายค่าทำ IVF รวม 8,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี โดยในจำนวนนี้ 1,000 ล้านดอลลาร์เป็นการใช้จ่ายในต่างประเทศ

    อย่างไรก็ดี ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางหลักสำหรับชาวจีนที่ต้องการรักษาภาวะมีบุตรยากหรือเลือกเพศของบุตรด้วยวิธีการ IVF ในต่างแดน เพราะมีค่าบริการที่ถูกกว่าโดยอยู่ระหว่าง 400,000-800,000 บาท และจำนวนโรงพยาบาลที่ได้รับการรับรองด้าน IVF ในจีนแผ่นดินใหญ่มี 460 แห่ง ไม่เพียงพอกับความต้องการที่ล้นหลาม

    ข้อมูล ณ วันที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา พบว่า ประเทศไทยมีโรงพยาบาลเอกชนและคลินิกทั้งสิ้น 85 แห่งที่ลงนามต้อนรับชาวต่างประเทศสำหรับโครงการทัวร์สุขภาพแล้ว

    https://asia.nikkei.com/Business/He...acts-hordes-of-Chinese-patients-despite-COVID

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com

     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    23 กรกฎาคม 2563 ที่โรงแรมพูลแมน ซ.รางน้ำ กรุงเทพฯ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในงานเสวนา "ลงทุน 2020 ฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างคน สร้างชาติ" จัดโดย บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน)

    นายอนุทิน กล่าวว่า มีหลายฝ่ายกังวลเรื่องเศรษฐกิจไทย ซึ่งส่วนตัว ขออธิบายในส่วนของสภาพคล่อง เชื่อว่า คนไทยมีเงินในกระเป๋า ปัญหาคือไม่กล้านำมาใช้ แต่วันหนึ่ง การจับจ่ายจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ประเทศไทย ยังมีอนาคตที่ดีรออยู่

    อย่างไรก็ตามในช่วงของการฟื้นฟู อยากย้ำความสำคัญของนโยบาย Thailand First หรือการใช้ของในประเทศก่อน จ้างงานคนในประเทศก่อน

    ประเทศไทย สามารถผลิตสิ่งต่างๆได้เอง เมื่อทำได้ขนาดนี้ เม็ดเงินก็ไม่ควรไหลออกจากประเทศ ควรจะตั้งต้นหมุนเวียนกันในไทยเป็นลำดับแรก สร้างสภาพคล่องสูงสุด เมื่อเศรษฐกิจไทยดีขึ้น เงินจากต่างประเทศจะไหลเข้ามาเอง

    ทั้งนี้ หากจำเป็นต้องใช้ของจากต่างประเทศ ขอให้ไทยอยู่ในสถานะของผู้ซื้อ และเป็นผู้กำหนด ตนไม่อยากเห็นว่าเราซื้อของต่างชาติ และยังต้องถูกกำหนดด้วยเงื่อนไขต่างๆ โดยต่างชาติ จนคนไทยไม่ได้ประโยชน์ เพราะไม่จ้างงานคนไทย ไม่อุดหนุนของไทย จากนี้ ขอให้ไทย เป็นผู้ซื้อ ผู้กำหนด และเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันเต็มที่ เพื่อให้ไทยมีตัวเลือกมากขึ้น

    ตนเชื่อในเรื่องของเม็ดเงินหมุนเวียน ถ้ามีแหล่งกู้เงินดอกเบี้ยต่ำมาให้กู้ ก็ต้องกู้ แต่ต้องนำมาใช้ในเรื่องที่เป็นประโยชน์ หากทำได้ เงินกู้นั้น จะกลายเป็นผลประโยชน์มหาศาล

    ขอย้ำว่า ประเทศไทย มีเสน่ห์ น่าลงทุน แต่ขอให้แก้ไขกฎกรอบ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักลงทุน สมมุติว่าถ้าเราเก็บภาษีการลงทุนที่สูง เราเชื่อว่า ผลตอบแทนที่ได้รับย่อมสูงตาม แต่มันไม่มีประโยชน์ ถ้าเงื่อนไขนั้น ไม่ทำให้เกิดการลงทุนที่แท้จริง

    ในฐานะที่เป็นรองนายกฯ กำกับดูแลกระทรวงคมนาคม ขอย้ำว่า การดำเนินนโยบาย เป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ การลงทุน ภาครัฐ และประชาชน ต้องได้รับประโยชน์สูงที่สุด ที่สุดแล้ว กระทรวงคมนาคม สามารถประมูลสร้างรถไฟความเร็วสูงจากกรุงเทพฯ - อู่ตะเภา ในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางถึง 50,000 ล้านบาท บางโครงการ สามารถสร้างผลประโยชน์ให้ประเทศชาติประมาณ 200,000 ล้านบาท โครงการมอเตอร์เวย์ ประเทศไทย ได้ผู้ประมูลต่ำกว่าราคากลางถึง 36% ถามว่า ผู้ลงทุน ทำไมยอมเสนอราคาที่ต่ำขนาดนี้ คำตอบ คือ ผู้ลงทุนมองเห็นโอกาส เพราะมั่นใจว่าประเทศไทยเติบโตต่อไปได้

    นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ในเรื่องของโควิด-19 ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยได้เสียสละมากมาย ในการรับมือ แต่หลังจากนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่ต้องเรียกสิ่งที่เคยเสียไปกลับคืนมา ผู้ชนะมักจะมองเห็นโอกาสในปัญหา แต่ผู้แพ้มักจะมองเห็นปัญหาในโอกาส แต่คนไทยคือผู้ชนะมาตลอด คนไทยไม่เคยแพ้

    สถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ประเทศไทย ได้เรียนรู้การรับมือกับโรคระบาด และพัฒนาการรับมือ จนได้รับการยอมรับในระดับโลก

    ขอย้ำว่า เป็นเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดขึ้น กับความตั้งใจกดยอดผู้ติดเชื้อให้เหลือ 0 ได้ทุกวัน แต่ต้องแลกมาด้วยการที่เศรษฐกิจเดินต่อไม่ได้ ประชาชนเดือดร้อนหนัก วันนี้ ต้องคลายล็อก บนความระมัดระวัง ให้ประชาชน ทำมาหากินได้ มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น แต่หากปรากฏพบผู้ติดเชื้อ มั่นใจว่า กระทรวงสาธารณสุข มีความสามารถในการจัดการ เพราะได้สำรองยา สำรองเตียง สำรองคนไว้หมดแล้ว ยาบางชนิด ที่เคยต้องใช้กับผู้ป่วยอาการหนัก ตอนนี้มีสต็อกไว้จำนวนมาก สามารถเริ่มต้นใช้กับผู้ป่วยได้เร็วขึ้น จนทำให้ ไม่มีผู้ป่วยหนัก และไม่มีผู้เสียชีวิต เรามีความมั่นใจในการรับมือกับโรคไปจนกระทั่งค้นพบวัคซีน

    ซึ่งไทย ได้เดินหน้าเรื่องนี้ไปแล้ว มีองค์ความรู้ มีงบสนับสนุน ที่ผ่านมา นอกจากการสนับสนุนทีมวัคซีนของไทยแล้ว ไทยยังไปสนับสนุนการศึกษาวิจัยของชาติอื่นด้วย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนเร็วที่สุด

    ระบบสาธารณสุขไทย มีความเข้มแข็งมาก ในอนาคตประเทศที่น่าลงทุน ไม่ได้มีเพียงปัจจัยเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน, กฎระเบียบการลงทุน แต่ยังต้องคำนึงไปถึงเรื่องระบบสาธารณสุขด้วย ซึ่งไทยมีจุดแข็งครบทุกเรื่องโดยเฉพาะระบบสาธารณสุข ที่ได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วโลก และตรงนี้ จะเป็นจุดเด่นใหม่ ที่ช่วยสร้างเสน่ห์ให้กับประเทศไทย โควิด-19 เป็นวิกฤติของโลก แต่จะกลายเป็นโอกาสของไทยในอนาคต ที่ช่วยทำให้นักลงทุนทั่วโลก ได้เห็นจุดแข็งด้านการสาธารณสุขของไทย

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    หลังจากที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ได้ส่งเสริมให้คนทั่วโลกหันมาบริโภคจิ้งหรีด เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ราคาถูก และหาได้ง่ายในท้องถิ่น ทำให้ตลาดส่งออกจิ้งหรีดของไทยไปต่างประเทศได้รับความนิยมและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เติบโตถึงร้อยละ 23 ต่อปี โดยเฉพาะในสหรัฐฯ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และ จีน โดยสามารถนำมาผลิตหรือแปรรูปได้หลากหลาย ทั้งจิ้งหรีดสด ทอด แช่แข็ง คั่วกรอบ หรือ บรรจุกระป๋อง

    นายระพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า สศก. ได้ร่วมเสวนาในการประชุมวิชาการ “อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต : อนาคตของอีสาน” ครั้งที่ 1 ประจำปี 2563 จิ้งหรีดอีสานสู่อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต พร้อมด้วยผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ และ กรมปศุสัตว์ ณ โรงแรมโฆษะ จังหวัดขอนแก่น

    โดย นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีนโยบายส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งหรีดให้แก่เกษตรกรเพื่อสร้างรายได้ โดยได้มอบหมายหน่วยงานในสังกัด ส่งเสริมและยกระดับมาตรฐานฟาร์มเลี้ยงจิ้งหรีด พัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในผลผลิตให้ผู้บริโภค

    ขณะที่กระทรวงเกษตรฯ มีเป้าหมายขยายพื้นที่ในการผลิตจิ้งหรีดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภายใต้ “โครงการเกษตรฐานชีวภาพแมลงเศรษฐกิจใหม่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” และคาดว่าจะส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (GRP) เพิ่มขึ้น

    ปัจจุบัน เกษตรกรมีการรวมตัวเป็นกลุ่มแปลงใหญ่เพาะเลี้ยงจิ้งหรีด นิยมสายพันธุ์ทองคำ ทองแดง และสะดิ้ง แหล่งสำคัญที่จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ นครพนม บุรีรัมย์ และมหาสารคาม ซึ่งในปี 2561 มีการเพาะเลี้ยงจิ้งหรีดทั่วประเทศกว่า 20,000 ฟาร์ม มีกำลังการผลิตกว่า 700 ตัน/ปี รวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท/ปี

    #roundtablethailand
    Roundtablethailand.com

    ที่มา https://www.posttoday.com/economy/news/628882

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    22 ก.ค. 63 นายโจเซฟ ไบเดน ว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครต กำลังพิจารณาเพื่อคัดเลือก นักการเมืองหญิงผิวสี 4 คน เป็นผู้สมัครตำแหน่งรองประธานาธิบดี คู่ชิงกับเขา ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 2020 ที่กำหนดจะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย. ปลายปีนี้

    ไบเดน วัย 77 ปี เผยในระหว่างการให้สัมภาษณ์ จอย รีด พิธีกรรายการ “เดอะ รีด เอาท์” ของสถานีโทรทัศน์เอ็มเอสเอ็นบีซี (MSNBC) เมื่อวันจันทร์ ว่า เขายังไม่ตัดสินใจเลือกผู้สมัครคู่ชิงคนใด แต่เขาและทีมงานหาเสียง ได้รับรายชื่อพร้อมประวัติจากพรรคแล้ว และกำลังอ่านคัดกรอง เป็นนักการเมืองหญิงผิวสีหมดทั้ง 4 คน

    ไบเดนซึ่งจะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี สู้กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนพรรครีพับลิกัน เขาจะเชิญนักการเมืองหญิงผิวสีทั้ง 4 คน เข้าสัมภาษณ์เป็นการส่วนตัว ก่อนจะตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่ง โดยก่อนหน้านี้ แหล่งข่าวบอกว่า มีชื่อของ ลัดดา แทมมี ดักเวิร์ธ ลูกครึ่งไทย-อเมริกา วุฒิสภาจากรัฐอิลลินอยส์ รวมอยู่ด้วย

    การสรรหาคู่ชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี กลายเป็นประเด็นหลักของการหารือถกเถียงภายในพรรคเดโมแครต ในระยะหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายเสนอให้เลือก “สตรีผิวสี” หลังเกิดกระแสประท้วงรุนแรง ลุกลามทั่วสหรัฐ จากการเสียชีวิตของนายจอร์จ ฟลอยด์ ชาวผิวสี ด้วยฝีมือของตำรวจผิวขาว ในรัฐมินนิโซตา

    สำหรับนักการเมืองหญิงหลายคน ที่อาจจะได้รับการคัดเลือกจากไบเดนและคณะกรรมการบริหารพรรคเดโมแครต คาดว่าน่าจะมีรายชื่อของสตรีผิวสีอีก 4 คนได้แก่ นางวาล เดมิงส์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐฟลอริดา นางเกอิชา แลนซ์ บอตทอม นายกเทศมนตรีเมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย นางซูซาน ไรซ์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ ในรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามา และนางคาเรน เบส สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากรัฐแคลิฟอร์เนีย

    https://www.newtv.co.th/news/60841

    #RoundtableThailand
    roundtablethailand.com
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 23 , 2020 ฟิลิปปินส์ประกาศระงับการเดินทางออกนอกประเทศ ป้องกันการระบาดโควิด 19
    .
    สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ได้รายงานว่า นายแฮร์รี่ โรเก้ โฆษกของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ได้ประกาศระงับการเดินทางออกประเทศ ยกเว้นกรณีที่จำเป็นออกไปแบบไม่มีกำหนด หลังยอดผู้ติดเชื้อโควิด19 ในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และพบว่ามีบริษัทประกันภัยเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่มีทำข้อตกลงด้านประกันสุขภาพกับผู้โดยสารที่เดินทางออกนอกประเทศ
    .
    ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดขยายตัวออกไปเป็นวงกว้าง รัฐบาลจะให้สิทธิสำหรับผู้ที่จองบัตรโดยสารภายในวันที่ 20 ก.ค.เป็นประชาชนฟิลิปปินส์กลุ่มสุดท้ายที่สามารถเดินทางออกนอกประเทศโดยไม่มีเหตุจำเป็น
    .
    #ฟิลิปปินส์ #ไวรัสโควิด19 #ห้าม #นอกประเทศ #Misterban

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    นักระบาดฯ ไม่เชื่อเจอ ‘โควิด’ ในสเปนก่อนจีน
    .
    .
    สัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักข่าว Global Times กระบอกเสียงของรัฐบาลจีน ลงรายงานข่าว อ้างอิงคำสัมภาษณ์ของนักระบาดวิทยาชาวจีน อ้างอิงงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยบาเซโลนา ว่ามีการพบเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ใน “ท่อน้ำทิ้ง” ตั้งแต่เดือน มี.ค. 2019 ก่อนการระบาดใหญ่ ที่เริ่มต้นในอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน นานกว่า 8 - 9 เดือน
    .
    งานวิจัยดังกล่าว เกิดขึ้นจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยบาร์เซโลนา และจากสมมติฐานของ นพ.ทอม เจฟเฟอร์สัน แพทย์ด้านไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เทเลกราฟก่อนหน้านี้ โดยอาศัยการตรวจสอบย้อนกลับไปพบโครงสร้างทางพันธุกรรมของไวรัส ในเดือน มี.ค. 2019 รวมถึงยังพบเชื้อในตูริน อิตาลี และในบราซิล ก่อนที่จะพบการระบาดในจีน
    .
    สมมติฐานนี้ เชื่อว่าในเวลาดังกล่าว เชื้อไวรัสอาจเริ่มติดต่อไปยังมนุษย์แล้ว แต่ความรุนแรงไม่ได้มากนัก ซ้ำยังถูกกลบด้วยโรคไข้หวัดทั่วไปจนมิด ทว่า หลังจากนั้น มีการ “กลายพันธุ์” จนรุนแรงมากขึ้น และเริ่มปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรกในจีนอีกหลายเดือนต่อมา
    .
    หากสมมติฐานนี้เป็นจริง ก็หมายความว่าจะหักล้างทั้งทฤษฎีที่ว่าด้วยมนุษย์บริโภคค้างคาวในตลาดซีฟู้ดอู่ฮั่น ทฤษฎีไวรัส “หลุด” จากแล็บในอู่ฮั่น ตามที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกา กล่าวหาจีน ก่อนหน้านี้ และทฤษฎีที่ว่าไวรัสหลุดจากฟอร์ทเดทริค มลรัฐแมรีแลนด์ ตามที่สำนักข่าวของจีน เคยกล่าวหาสหรัฐฯ
    .
    อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าความเชื่อของมาเนซ จะไม่ได้รับการยอมรับเท่าไหร่นัก เพราะนักไวรัสวิทยาจำนวนมากยืนยันว่า “ผลแล็บ” ที่มาเนซตรวจพบนั้น มีความ “ไม่แน่นอน” สูง และรายงานฉบับเต็มของมาเนซ ก็ยังไม่ได้ผ่านกระบวนการ Peer Review หรือตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขา
    .
    เจนส์ ลุนด์เกรน ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยา จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Euronews ยืนยันหลักฐานบ่งชี้ว่า จุดเริ่มต้น และจุดศูนย์กลางของโควิด – 19 ตามหลักฐานที่มีขณะนี้ ยังคงอยู่ที่อู่ฮั่น ขณะเดียวกัน ก็เป็นไปได้ยากที่จะเริ่มต้นจากจุดอื่นนานหลายเดือน หรือนานเป็นปี
    .
    ลุนด์เกรน บอกอีกว่า ด้วยหลักฐานตอนนี้ ยังบ่งชี้หนักแน่นว่าจุดเริ่มต้นนั้นเริ่มในค้างคาวใน “อู่ฮั่น” ผ่าน “ตัวกลาง” หรือ Host ในการแพร่เชื้อต่อ ไวรัส สามารถอยู่ในธรรมชาติได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง และต้องการ Host ในการแพร่เชื้อต่อ เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปได้ยากที่จะอยู่ในน้ำเสีย หรือท่อน้ำทิ้ง
    .
    หากเทียบกับเชื้อไวรัสใกล้เคียงกันอย่างเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ หรือ Influenza นั้น จะเห็นได้ว่าไข้หวัดใหญ่ ก็ต้องอาศัยตัวกลางอย่างนก หรือหมู และแม้จะมีความคงทน สามารถอยู่นอกตัว Host คืออยู่ในผิวสัมผัส อยู่ในดิน ได้นานหลายชั่วโมง หรือนานเป็นวัน แต่มนุษย์ ก็ไม่สามารถติดต่อไข้หวัดใหญ่ได้ผ่านดิน หรือผ่านผิวสัมผัส ทั้งหมดนี้ ต้องอาศัยตัว Host ล้วนๆ
    .
    นักระบาดวิทยาผู้นี้ ยังยืนยันด้วยว่า ตัวอย่างที่พบในสเปน ในอิตาลี และในบราซิลนั้น ไม่ใช่ โคโรนาไวรัส 2019 อย่างที่เข้าใจกันตั้งแต่ต้น เพียงแต่เป็นเชื้อไวรัสอย่างอื่น ที่มีโมเลกุลบางอย่าง ซึ่งมีสารพันธุกรรมใกล้เคียงกับโคโรนาไวรัส 2019 เท่านั้น
    .
    “การศึกษาดังกล่าวไม่ได้มีข้อค้นพบอะไรใหม่ มากไปกว่าการบอกว่ามีไวรัสอื่น ที่มีสารพันธุกรรมทับซ้อนกัน อยู่ในสถานที่ที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกัน ผลพิสูจน์ทางแล็บ ก็น่าตั้งข้อสังเกตว่ามีความคลาดเคลื่อนหรือไม่ ซึ่งยังต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกมาก” ลุนด์เกรน ระบุ
    .
    เขายังชี้ให้เห็นอีกว่า สิ่งที่ต้องเร่งพิสูจน์ เพื่อหาทางรักษาโรคนี้ คือการหาว่าเชื้อโคโรนาไวรัส 2019 นั้นเดินทางจากค้างคาวสู่คนได้อย่างไร ไม่ใช่การหาว่าเชื้อไวรัส เปลี่ยนรูปจาก “น้ำเสีย” ในท่อน้ำทิ้ง ไปสู่คนได้อย่างไร ซึ่งยังไม่มีข้อพิสูจน์
    .
    “การเปลี่ยนรูปจากค้างคาวไปสู่คนนั้นสำคัญมาก ถ้าเราสามารถหาเส้นทางของโรคได้ เราจะสามารถป้องกันโคโรนาไวรัสที่ใกล้เคียงกัน ไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำได้อีก” นักระบาดวิทยาชาวเดนมาร์ก ให้สัมภาษณ์
    .
    วันที่ 10 ก.ค. ที่ผ่านมา องค์การอนามัยโลก เพิ่งส่งทีมเข้าไปหาต้นตอของโรคโควิด – 19 เพิ่มเติมในประเทศจีน โดยครั้งนี้ เป็นส่วนผสมระหว่างนักระบาดวิทยา และนักสัตววิทยา โดยจุดมุ่งหมาย เพื่อจะหาคำตอบหักล้าง “ทฤษฎีสมคบคิด” ทั้งเรื่องไวรัสหลุดจากแล็บ และไวรัสมีมาก่อนหน้าแล้ว จากท่อน้ำทิ้ง
    .
    ไมค์ ไรอัน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษจากองค์การอนามัยโลก ยืนยันว่า การหาต้นตอมีความสำคัญมาก เพราะจะทำให้หาทางรักษาได้ง่ายขึ้น และหาทางป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่คล้ายกันได้อีกในอนาคต
    .
    รอบนี้ ทีมสนใจเรื่อง “ค้างคาว” เป็นพิเศษ โดยอ้างอิงจากรายงานฉบับแรกของ ฉี เจิง-ลี่ ที่เก็บข้อมูลเชื้อไวรัสจากค้างคาวมานานกว่า 15 ปี และยืนยันว่าเชื้อ SARs-CoV-2 ของโคโรนาไวรัส 2019 นั้น มีความคล้ายคลึงกับโคโรนาไวรัสในค้างคาว กว่า 96.2%
    .
    อย่างไรก็ตาม เส้นทางยังอีกยาวไกล เพราะต้นตอของโรค ไม่สามารถสืบได้ง่ายนัก ทุกวันนี้ โรคซาร์ส ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2545 ก็ยังไม่ได้คำตอบว่ามีเส้นทางมาจากไหนชัดเจน รวมถึงหลังจากนี้ จะมีอีกหลายทฤษฎี อีกหลายเส้นทางที่ “ผุด” ขึ้นมา เป็นปมใหม่ให้ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต้องหาคำตอบเสมอ

    #COVID19 #โควิด19

    อ้างอิงจาก

    https://www.euronews.com/2020/07/10...europe-last-year-is-highly-unlikely-says-prof

    https://www.sciencemag.org/news/202...-pandemic-s-origin-here-are-key-questions-ask

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Second Wave ที่ออสเตรเลีย - ฮ่องกง
    คำถามไม่ใช่จะมาไหม
    แต่คือจะมาเมื่อไหร่?


    จนถึงตอนนี้ แทบไม่มีประเทศไหนที่เรียกได้ว่า “รอดพ้น” จากการระบาดของโรคโควิด – 19 ระลอกที่ 2 หรือ Second Wave ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะเดือนที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจีน ไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ซึ่งสงบ และมีผู้ติดเชื้อเป็น 0 ติดต่อกันนานเกือบ 2 เดือน ระยะเวลาใกล้เคียงกับประเทศไทย มั่นใจ จนเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็นปกติกันเกือบหมดแล้ว ต่างก็เผชิญหน้ากับการระบาดระลอกที่ 2 กันทั้งคู่
    .
    อย่างไรก็ตาม ที่น่าสนใจก็คือทั้ง 2 ประเทศ สามารถจัดการได้อยู่หมัด ตัวเลขไม่พุ่งเป็น 2 เท่า 3 เท่าเหมือนรอบแรก ไปจนถึงจำกัดวงการระบาดได้ ไม่ต้องกลับไป “ล็อคดาวน์” เข้มข้น โรงพยาบาล ไม่ต้องเผชิญหน้ากับวิกฤต จนขาดเตียง ขาดเครื่องช่วยหายใจ ผู้ติดเชื้อรายวันในเกาหลี และจีน อยู่ที่ 2 หลักเท่านั้น เช่นเดียวกับตัวเลขผู้เสียชีวิต ก็อยู่ในระดับที่ต่ำ จนแทบไม่มีอะไรผิดปกติ
    .
    กระนั้นเอง สิ่งที่กระทบหนักที่สุด กลับกลายเป็นการ “เปิดประเทศ” ซึ่งทำให้นานาชาติ ที่สนใจ “จับคู่” เปิด Travel Bubble เพื่อให้ข้ามไปข้ามมาได้กับทั้ง 2 ประเทศอย่างไทย ต้องกลับไปตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ดับความหวังที่จะฟื้นฟูการท่องเที่ยวไปอีกยาว..
    .
    อย่างไรก็ตาม การระบาด Second Wave ในออสเตรเลีย ดูจะเป็นหนังเรื่องยาว ก่อนหน้านี้ ออสเตรเลีย ถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จในการจัดการกับโควิด – 19 มากที่สุดในโลก ด้วยการปิดชายแดน ปิดประเทศ ห้ามนักท่องเที่ยวจากภายนอกเข้าประเทศอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยการล็อคดาวน์อย่างเข้มข้น กิจการทุกอย่างถูกปิด จนสามารถหยุดตัวเลข “พีค” ของผู้ติดเชื้อไว้ได้ที่ 528 คน ก่อนจะลดลงเหลือเลขตัวเดียว และไร้ผู้ติดเชื้อในประเทศในเดือน มิ.ย.
    .
    ในเวลานั้นทุกคนคิดว่าประเทศเกาะอย่างออสเตรเลีย น่าจะจบแล้ว ไม่มีวิกฤตใหม่อีกต่อไป จนออสเตรเลีย “มูฟออน” เริ่มเจรจา Travel Bubble กับนิวซีแลนด์ ผ่อนปรนล็อคดาวน์ จนกลับมาเป็นปกติ ชายหาดที่ซิดนีย์ และเมลเบิร์น เมืองใหญ่อันดับ 1 และอันดับ 2 คลาคล่ำไปด้วยผู้คนอีกครั้ง พร้อมกับเตรียมเปิดพรมแดนให้ต่างชาติบินเข้ามาอีกรอบ เพราะเศรษฐกิจของประเทศที่มีประชากร 24 ล้านคนแห่งนี้ ต้องพึ่งพิงการลงทุนต่างชาติ การท่องเที่ยว และไม่อาจอยู่โดยลำพังได้
    .
    อย่างไรก็ตาม วันที่ 30 มิ.ย. รัฐบาลรัฐวิคตอเรีย ซึ่งมีเมืองหลวงอย่าง เมลเบิร์น เมืองใหญ่อันดับ 2 ของออสเตรเลีย กลับต้องตัดสินใจเริ่ม “ล็อคดาวน์” อีกครั้ง โดยเริ่มปิดเป็นชั้นๆ ตามรหัสไปรษณีย์ ปิดร้านค้าที่ไม่จำเป็น ยกเว้นซุปเปอร์มาร์เก็ตอีกครั้ง หลังพบตัวเลขผู้ติดเชื้อภายในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างหาสาเหตุไม่ได้ต่อเนื่องนานเกือบ 1 สัปดาห์ จาก 29 คน ในวันที่ 24 มิ.ย. เป็น 81 คน ในวันที่ 30 มิ.ย.
    .
    ในเวลานั้น ไม่มีใครรู้สาเหตุแน่ชัดว่าการติดเชื้อเพิ่มจากคนสู่คนนั้นมาจากไหน แต่ข้อสันนิษฐานสำคัญก็คือมีเคส “หลุด” จากโรงแรมที่ใช้เป็นสถานกักกันตัวผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศของรัฐ มีการแลกบุหรี่ระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของโรงแรมกับแขกของโรงแรม เลยเถิดไปจนถึงการมีความสัมพันธ์ทางเพศระหว่างเจ้าหน้าที่โรงแรมและแขก กับอีกส่วนหนึ่งคือการติดเชื้อที่หาต้นตอไม่ได้จริงๆ ซึ่งกว่ารัฐบาลจะพบก็เลยเถิดไปยังการติดในชุมชนระหว่างคนสู่คนเรียบร้อยแล้ว
    .
    นอกจากนี้ การระบาด Second Wave ยังมีสตอรี่คล้ายๆ กับสิงคโปร์ ก็ตรงที่ Second Wave มุ่งตรงไปยังชุมชนแรงงานข้ามชาติ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษ ซึ่งมีทั้งแรงงานผิวสีจากแอฟริกา ละตินอเมริกา บังกลาเทศ และอินเดีย ซึ่งคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ไม่ได้ดีนัก รวมถึงเป็นเรื่องยากที่จะจับคนกลุ่มนี้ “เว้นระยะห่างทางสังคม” หรือให้ใส่หน้ากากอนามัยอย่างเข้มข้น
    .
    นั่นทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อของออสเตรเลียรายวันของออสเตรเลีย พุ่งเป็นวันละกว่า 300 คน และทำให้รัฐข้างเคียงอย่างนิวเซาท์เวลส์ ตัดสินใจปิดชายแดนกับรัฐวิคตอเรีย เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีเหตุการณ์ไข้หวัดสเปน เมื่อ 102 ปีที่แล้ว และหลังจากปิดได้ไม่นาน ซิดนีย์ ก็กลับมาพบผู้ติดเชื้อที่ไม่ทราบสาเหตุจากบาร์ในซิดนีย์ ซึ่งทำให้เรื่องไม่จบง่ายๆ เช่นกัน ผลพวงสำคัญ ยังทำให้การเจรจาเปิด Travel Bubble ระหว่างออสเตรเลีย กับอีกหลายประเทศ รวมถึงไทย ล่มไม่เป็นท่า อย่างไม่มีจุดจบ
    .
    หากออสเตรเลีย เป็นเรื่องของความหละหลวม และ “การ์ดตก” ฮ่องกง ดูจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้เดือน ก.พ.-พ.ค. ฮ่องกง แทบจะเป็นพื้นที่ตัวอย่างที่สามารถจัดการกับโควิด – 19 ได้ดีที่สุดในโลก จากบทเรียนการรับมือโรคซาร์ส ด้วยตัวเลขผู้ติดเชื้ออยู่ในหลัก 1,000 คน และมีผู้เสียชีวิตเพียง 4 คนเท่านั้น ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ห้างสรรพสินค้า แหล่งท่องเที่ยว และโรงเรียน เริ่มกลับมาเปิดทำการตามปกติอีกครั้ง ท่ามกลางการประมาณการณ์ว่าปีนี้ เศรษฐกิจฮ่องกงจะย่ำแย่ที่สุด เนื่องจากต้องพึ่งพาการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวจากต่างประเทศค่อนข้างมาก
    .
    แต่วันพฤหัสบดีที่ 9 ก.ค. ที่ผ่านมา ฮ่องกงกลับเจอเรื่องซับซ้อนขึ้นอีกครั้ง ผู้ติดเชื้อใหม่ 42 คน มีมากกว่า 34 คน ที่ติดจากคนสู่คนภายในประเทศ จำนวนหนึ่งสามารถทำ Contact Tracing ย้อนกลับไปถึงบ้านพักคนชรา คนขับแท็กซี่ ตลาดในเขตซือ วานชาน ฝั่งเกาลูน ร้านโจ๊ก ศูนย์อาหาร และอพาร์ทเมนท์ในย่านชุมชนหนาแน่น แต่เมื่อไปเจอ “ฝูงชน” ที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ การทำ Contact Tracing ก็ยากลำบาก ต้นตอเลือนรางลงไปทุกที สรุปรวมแล้วสัปดาห์ที่ 2 ของเดือน ก.ค. ฮ่องกงมีผู้ติดเชื้อรวมกว่า 200 คนแล้ว และในวันที่ 19 ก.ค. ฮ่องกง เผชิญกับผู้ติดเชื้อสูงสุดเป็นหลักร้อยอีกครั้ง ที่ 108 ราย
    .
    จนทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาเตือนไว้ล่วงหน้าว่าฮ่องกงจะเจอกับวิกฤตใหม่ที่หนักหนากว่า Wave ที่แล้ว เพราะเพียงไม่กี่วันหลังการระบาดระลอก 2 จำนวนผู้ติดเชื้อก็ปาเข้าไปครึ่งหนึ่ง ของการระบาดระลอกแรก ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ตัวเลขการระบาดรายวันรอบแรกนั้น ส่วนใหญ่เป็นเคส “นำเข้า” แต่รอบนี้เป็นการติดกันเองในประเทศล้วนๆ
    .
    นั่นทำให้รัฐบาลฮ่องกงตัดสินใจกลับมา “ปิดโรงเรียน” ทุกระดับชั้นอีกครั้ง ร้านอาหารที่เปิดตามปกติ กลับมาจำกัดจำนวนคนที่ 60% และเริ่มมาตรการใหม่ ด้วยการให้ร้านอาหาร ปิดตั้งแต่ 6 โมงเย็น - ตี 5 โดยหลังจาก 6 โมงเย็น ให้เปิดเฉพาะ “ซื้อกลับบ้าน” เท่านั้น และให้นั่งเพียงเต๊ะละไม่เกิน 4 คน ส่วนผับ-บาร์ คาราโอเกะ ก็ต้องกลับไปปิดอีกระยะ กลายเป็นอุปสรรคใหม่อีกรอบของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ซบเซาไปนานก่อนหน้านี้
    .
    ทั้ง 2 ที่ สะท้อนให้เห็นว่า ความสงบ ปลอดเชื้อไวรัสระยะยาวนั้นไม่มีอยู่จริง และไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าการ์ดตกหรือไม่ แต่เชื้อไวรัสยังจะไม่หายไปง่ายๆ หากยังไม่มีวัคซีนที่ใช้กำจัดที่มีประสิทธิภาพจริง
    .
    เพราะฉะนั้น เงื่อนไขจึงไม่ใช่ว่าจะมาหรือไม่ แต่คือจะมาเมื่อไหร่? และมาตรการที่ใช้ในการจัดการกับ Second Wave ควรเป็นอย่างไร จะทำอย่างไรให้คนในประเทศไม่ “ตื่นตระหนก” จนเกินเหตุ แล้วถ้ากลับมาปิดทุกอย่างเข้มอีกรอบ ห้ามเดินทางระหว่างจังหวัด ประเทศจะเดินต่อได้หรือไม่ โดยเฉพาะในวันที่รัฐบาลพยายามกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ และกระตุ้นการท่องเที่ยว เพื่อให้ผู้ประกอบการหลีกหนีสภาวะ “ปิดกิจการ”
    .
    ทั้งหมดนี้ อาจเป็นเรื่องที่ศูนย์โควิด – 19 ของรัฐบาลต้องเตรียมแผนไว้ เพราะโควิด – 19 อาจโผล่ขึ้นมาวันนี้ หรือพรุ่งนี้ ก็เป็นได้

    #COVID19 #โควิด19 #SecondWave #ออสเตรเลีย #ฮ่องกง

    อ้างอิงจาก

    https://www.vox.com/2020/7/10/21317918/australia-melbourne-victoria-coronavirus-covid-19-lockdown

    https://edition.cnn.com/2020/07/08/asia/australia-hong-kong-coronavirus-intl-hnk/index.html

    https://www.scmp.com/news/hong-kong...92767/hong-kong-third-wave-least-20-new-cases

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #สรุปประวัติศาสตร์ของทองคำ #ให้คุณเข้าใจง่ายๆ

    สำหรับมนุษย์เราแล้ว “ทองคำ” คือโลหะมีค่า และถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของความร่ำรวย

    แต่สงสัยไหมว่า ทำไมมนุษย์ส่วนใหญ่ถึงให้ค่ากับทองคำ ถึงขั้นทุกประเทศยอมรับให้มันเป็น “ทุนสำรองระหว่างประเทศ” กันล่ะ!?

    เจ้าแร่วิบวับเหล่านี้มาจากไหน? มนุษย์ให้คุณค่ากับมันตั้งแต่เมื่อไร?

    เราจะพาคุณไปเปิดประวัติศาสตร์ของ “ทองคำ” ในบทความนี้ครับ..


    1. ต้นกำเนิดของทองคำ

    ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจที่มาของทองคำกันสักเล็กน้อย...

    เพราะแม้ว่าแร่ชนิดนี้สามารถขุดพบบนโลก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้เป็นของที่อยู่บนโลกมาตั้งแต่ต้น แต่มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในอวกาศต่างหาก

    โดยทองคำ จะเกิดขึ้นได้ภายใต้แรงดันมหาศาล อย่างการระเบิดของดวงดาว หรือการชนกันของดาวนิวตรอนเท่านั้น

    และก็เป็นไปได้ว่าทองคำที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์นั้น ส่วนหนึ่งจะปลิวตามแรงระเบิด หรือไม่ก็ติดมากับอุกกาบาตมายังโลก

    ทำให้โลกของเราได้รับสายแร่ทองคํามานั่นเอง


    2. มนุษย์เราให้คุณค่ากับทองคำตั้งแต่เมื่อไร?

    หลักฐานเก่าแก่ที่สุด ที่แสดงความเกี่ยวข้องระหว่างมนุษย์กับทองคำ คือเมื่อราวๆ 40,000 ปีก่อน

    มันถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในสภาพของ “เกล็ดทอง” ภายในถ้ำของมนุษย์ยุคหินเก่า

    แต่นั่นก็ยังไม่ได้ยืนยันว่า มนุษย์ในยุคนั้นให้ค่ากับมันมากนัก พวกเขาอาจจะแค่เอามาเก็บไว้ เนื่องจากคิดว่ามันแปลกดีก็ได้


    ส่วนหลักฐานว่ามนุษย์มีการนำทองไปให้งานจริงๆ ก็คือในช่วงอารยธรรมเมโสโปเตเมียเมื่อราวๆ 4,600 ปีที่แล้ว

    โดยในช่วงเวลานั้นเราจะมีการใช้ทองในการทำเครื่องประดับ หรือเป็นของตกแต่งบ้านเป็นหลัก

    อาจเพราะว่าทองคือสิ่งของหายาก มีสีสันเอกลักษณ์และดึงดูดสายตา


    นับตั้งแต่ช่วงเวลานั้นมา คุณค่าของทองในสายตาของมนุษย์ก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

    จนกระทั่งเมื่อราวๆ 2,700 ปีก่อนมนุษย์เราก็เริ่มที่จะใช้เหรียญทองและเหรียญเงิน เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งของ

    ผ่านมาไม่นานนัก 2,500 ปีก่อน กษัตริย์โครซัสแห่งอาณาจักรลิเดีย (แถบตุรกีในปัจจุบัน) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเวลานั้น

    พวกเขาประสบความสำเร็จในการใช้ “ทองคำ” เป็น “สกุลเงินระหว่างประเทศ” ซื้อขายแลกเปลี่ยนสิ่งของได้ในที่สุด


    3. ทำไมทองคำ ถึงมีค่ากับมนุษย์

    อันที่จริงไม่เพียงมนุษย์ แต่ในทางวิทยาศาสตร์นั้น สัตว์โลกหลายชนิดก็ยังให้ความสนใจกับ “ของมันวาว” อยู่แล้ว

    และยิ่งมันเป็นโลหะที่หายากกว่าโลหะอื่นๆ มนุษย์ในอดีตจึงหลงใหลในแร่ชนิดนี้

    แต่ต่างไปจากของมันวาวอื่นๆ อย่าง พลอย หรือทับทิม ที่ดัดแปลงรูปร่างได้ยากมาก

    หรือโลหะอย่างแพลตตินัม แม้จะหายากกว่าทอง แต่อาจจะเพราะมันหายากเกินไป และดูไม่ต่างอะไรกับแร่เงิน(สำหรับคนยุคนั้น) มันก็เลยไม่ถูกยอมรับในการแลกเปลี่ยน

    ขณะที่ “ทองคำ” นั้นถือเป็นแร่ที่หาได้ยากแบบพอดีๆ แถมยังมีความอ่อนและเหนียวสูง

    ทำให้มนุษย์สามารถดัดแปลงมันให้เป็นรูปร่างที่ต้องการ โดยไม่สร้างความเสียหายให้ตัวแร่ได้

    นอกจากนี้ ทองยังไม่สึกกร่อนหรือขึ้นสนิม ไม่ว่าจะไปประกอบอยู่ในอะไรก็ตาม เราก็สามารถแยกทองออกมาได้

    "ทองคำ" จึงมีค่าเท่าเดิมอยู่เสมอ

    และทำให้เกิดความนิยมทองคำ ส่งต่อในมนุษย์จากรุ่นต่อรุ่น ตั้งในยุคโบราณ มาจนถึงยุคสมัยใหม่


    4. ทำไมทองคำถึงได้แพงขนาดนี้

    ทองมีเกลื่อนโลก ร้านทองมีแทบทุกมุมเมือง คุณอาจจะสงสัยว่าทองมีตั้งเยอะ ทำไมมันจึงมีราคาแพงอีก!?

    ในความเป็นจริงแล้ว ทองคำบริสุทธิ์บนโลกนั้นมีอยู่แค่ราวๆ 190,000 ตัน

    เทียบให้เห็นชัดๆ คือ หากเราหลอมทองทั้งหมดที่มนุษย์ขุดได้ ลงในสระว่ายน้ำโอลิมปิก เราจะได้สระน้ำทองคำแค่ 3 สระเท่านั้น


    แต่ปริมาณของทองทั้งหมดบนโลก ก็ไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้ทองมีราคาแพง

    เพราะอีกหนึ่งในปัจจัยที่หลายๆ คนนึกไม่ถึง ก็คือทองนั้น “ขุดยากกว่าที่เราคิด”

    เพราะแม้ว่ามนุษย์เราจะมีการขุดทองมาเป็นร้อยเป็นพันปีแล้วก็ตาม และแม้จะมีเครื่องจักรมาช่วยในการสำรวจ-ขุดทองคำ

    แต่สุดท้ายและกระบวนการหลักๆ ของการขุดและแปรรูป ก็ยังคงรูปแบบเดิมจากเมื่อสมัยก่อน

    นักสำรวจอาจต้องใช้เวลาเป็น 10 ปี ในการตามหาจุดที่อาจจะมีเหมืองแร่ใหม่ๆ อยู่

    และต่อให้หาเจอมันก็มีโอกาสแค่ 10% ที่เหมืองแร่ที่ว่าจะมีทองมากพอ ต่อการลงทุนขุดจริงๆ อีก

    ความที่มันหายาก แถมยังขุดมาใช้งานยากนี้ ทำให้มันยังคงมูลค่าในตัวเองได้ถึงปัจจุบัน


    5. แต่มนุษย์ก็สามารถสร้างทองขึ้นมาได้…!?

    คุณอาจจะไม่รู้ว่า ในปัจจุบันมนุษย์เลียนแบบวิธีที่จักรวาลสร้างทองได้แล้ว

    ด้วยการใช้เครื่องเร่งอนุภาค ยิงอนุภาคใส่ตะกั่วเพื่อเปลี่ยนใช้มันกลายเป็นทอง

    อย่างไรก็ตาม เจ้าเครื่องเร่งอนุภาคที่ว่านี้ ในปัจจุบันสามารถสร้างทองขึ้นมาได้ทีละหนึ่งอะตอมเท่านั้น

    กว่าที่เราจะได้ทองมามากพอที่จะใช้งานได้ เราก็อาจจะต้องใช้ทั้งเวลา และทรัพยากรไปมากกว่าคุณค่าของทองที่ได้มาเสียอีก

    ดังนั้น หากว่าทองบนพื้นโลกหมดไปจริงๆ สถานที่ต่อไปที่คนจะไปหาทอง ก็ยังไม่ใช่ในห้องแล็บ

    แต่อาจจะเป็นท้องทะเลที่มีทองละลายปนอยู่ในปริมาณมาก หรือไม่ก็ดาวดวงอื่นมากกว่า


    จนกว่าจะถึงวันที่มนุษย์สร้างทองได้เองอย่างมีประสิทธิภาพ หรือมีอุกกาบาตที่เต็มไปด้วยทองคำโผล่มา หรือหันไปนิยมแร่อื่นๆ ซึ่งสองข้อหลังนั้นเกิดขึ้นยากยิ่ง

    มนุษย์เราก็จะยังคงให้ค่าในโลหะแวววาวนี้

    และทำให้ “ทองคำ” ยังคงเป็นสิ่งมีค่าสำหรับมนุษย์ ไปอีกนานแสนนาน


    -----------------------------------------------------

    ไม่พลาดทุกสาระน่าสนใจจาก Billion Mindset - แนวคิดพันล้าน

    กด Like และตั้งค่าติดดาว See First ไว้ด้วยนะ

    หรือติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

    - เว็บไซต์ https://www.BillionMindset.com/

    - อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

    - ทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 23 , 2020 ไทยติดอันดับ 1 ที่เหมาะเริ่มต้นธุรกิจที่สุดในโลก
    .
    เว็บไซต์ U.S. News & World Report ได้เผยผลการจัดอันดับประเทศที่เหมาะในการเริ่มต้นธุรกิจมากที่สุดในโลกประจำปี 2020 (Best Countries to Start a Business) เเละะได้พบว่า ประเทศไทย ยังคงรักษาการเป็นอันดับ 1 ประเทศที่เหมาะสมในการเริ่มต้นธุรกิจที่สุด จากประเทศที่สำรวจทั้งหมด 73 ประเทศ
    .
    ซึ่งทาง U.S.News ได้ใช้รายงานของธนาคารโลกในการจัดอันดับ ซึ่งไทยยังรักษาอันดับหนึ่งของการจัดอันดับมาตั้งแต่ปี 2019 โดยการเริ่มต้นทำธุรกิจในไทยใช้เวลาเเค่เพียง 6 วันกับ 5 ขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อน เเละยังมีค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมต่ำกว่าประเทศอื่นๆ นอกจากไทยแล้วยังมีประเทศในเอเชียที่ติดอันดับท็อป 5 ด้วย เช่น มาเลเซีย เป็นอันดับ 2 ซึ่งการเริ่มต้นทำธุรกิจในมาเลเซียต้องใช้เวลา 17 วันครึ่ง กับ 8.5 ขั้นตอน
    .
    ได้มีประเทศจีนเป็นอันดับ 3 ใช้เวลา 9 วัน กับ 4 ขั้นตอน เเต่เนื่องจากปีที่แล้ว รัฐบาลจีนได้เริ่มอำนวยความสะดวกในการเริ่มต้นธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นบริการจดทะเบียนบริษัทผ่านช่องทางออนไลน์ และทำให้การจดทะเบียนประกันสังคมง่ายขึ้น เเละประเทศสิงคโปร์ได้อยู่ในอันดับ 4
    .
    ทั้งนี้ การวิจัยชิ้นนี้ทำการสอบถามบุคคลในวงการธุรกิจเกือบ 6,000 คนทั่วโลก โดยพิจารณาจากระบบราชการ ต้นทุนการผลิต การเชื่อมต่อกับประเทศอื่นๆ ในโลก และการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
    .
    #ไทย #อันดับ1 #เริ่มต้นธุรกิจ #Misterban

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ฟิลิปปินส์ปล่อยนักโทษเพิ่มอีกกว่า 2 หมื่นราย หลังพบความแออัดเสี่ยง COVID-19 ระบาดเพิ่ม

    นาย Eduardo Ano รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยของฟิลิปปินส์ เผยว่ารัฐบาลได้สั่งปล่อยตัวนักโทษรวม 21,858 ราย จากเรือนจำ 470 แห่งทั่วประเทศในสังกัดสำนักงานดูแลเรือนจำ การบริหารจัดการและทัณฑวิทยา (BJMP) เพื่อลดความแออัดในเรือนจำของประเทศและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ในกลุ่มนักโทษด้วยกันเอง ในจำนวนดังกล่าว แยกเป็น 5,102 รายที่ถูกปล่อยตัวโดยมีการประกันตัว การต่อรองคำรับสารภาพ การคุมประพฤติหรือภาคทัณฑ์ ขณะที่ 6,756 รายถูกปล่อยตัวเพราะพ้นผิดหรือไม่ก็จำคุกครบตามคำพิพากษาแล้ว

    https://www.tcijthai.com/news/2020/7/asean/10707

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยูดีดีซี เสนอ 3 ยุทธศาสตร์ 8 มาตรการ เสริมภูมิคุ้มกันเมืองท่องเที่ยว พลิกวิกฤตเป็นโอกาส

    ศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UddC-CEUS) เสนอ 3 ยุทธศาสตร์ฟื้นฟูเมืองท่องเที่ยวในวิกฤตโควิด พลิกวิกฤตเป็นโอกาสของเมืองอย่างยั่งยืนในภาวะโรคระบาด สร้างแบรนด์เมืองปลอดเชื้อ / ตรวจโรคเข้มเมืองต้นทางถึงเมืองปลายทาง / เชื่อมต่อเมืองกับบริการสาธารณสุขคุณภาพ ชี้ทุกภาคส่วนต้องร่วมมืออย่างเร่งด่วนแข่งกับเวลา ป้องกันธุรกิจที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมและลูกจ้างได้รับผลกระทบ ย้ำเมืองท่องเที่ยวต้องพร้อมเป็นเมืองล้มลุก ที่สามารถตอบสนองต่อสภาวะแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและฉับพลันได้เสมอ

    https://www.tcijthai.com/news/2020/7/current/10683

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    “อยากซื้อหุ้น จะต้องเริ่มต้นยังไง!?”

    หลังจากเขียนบทความด้านการลงทุนไปหลายบทความ ก็มีคำถามเรื่องของการเริ่มต้นลงทุน หรือเริ่มต้นซื้อหุ้นเข้ามาอยู่เสมอ

    หุ้นมันคืออะไรกันแน่?? แล้วทำไมราคามันต้องขึ้นๆ ลงๆ??

    อยากจะซื้อหุ้น อยากจะลงทุนต้องเริ่มยังไง??


    เลยเป็นที่มาของซีรีส์นี้ ที่จะช่วยให้คนที่ไม่มีความรู้เลย หรือคนที่เคยซื้อขาย-หุ้นมาแล้วบ้าง สามารถเริ่มต้นลงทุนได้แบบที่เข้าใจเกี่ยวกับหุ้นมากขึ้นนะครับ

    ซีรีส์นี้อาจจะเป็นเรื่องพื้นฐานหน่อย แต่ก็หวังว่าจะเข้าใจกันได้ไม่ยากครับ

    เรามาเริ่มจากตอนแรก ทำความเข้าใจเกี่ยวกับ "หุ้น" ที่ซื้อขายอยู่ในตลาดหุ้น กันสักเล็กน้อย..

    1. หุ้นคืออะไร!?

    หุ้น พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่แสดงความเป็นเจ้าของในบริษัทต่างๆ ซึ่งถ้าใครมีหุ้นในบริษัทมาก ก็มีความเป็นเจ้าของมาก

    เช่น คุณลงทุนกับเพื่อน คุณถือหุ้น 90% เพื่อนอีกคนมีหุ้น 10% เวลาได้กำไร ขาดทุน หรือตัดสินใจอะไรต่างๆ คุณก็มีสิทธิมากกว่านั่นเอง

    จากตัวอย่างนะครับ..

    สมมติกลุ่มเพื่อน 4 คน ตู่ ป้อม แดง เอก มาร่วมหุ้นเปิดร้านอาหารกัน ที่ต้องใช้เงินทุน 100 บาท

    ทั้ง 4 เลยตัดสินใจลงทุนเท่ากัน คนละ 25 บาท เท่ากับว่าตอนนี้ทุกคนมีสัดส่วนหุ้นในบริษัทนี้คนละ 25%

    ถ้าเปิดร้านไปปีหนึ่ง ร้านทำกำไรได้ 20 บาท แล้วมาจ่ายปันผลให้กับเจ้าของบริษัทที่ลงทุน

    แต่ละคนก็จะได้ส่วนแบ่งในสัดส่วน 25% ของเงิน 20 บาท เท่ากับได้ปันผลมาคนละ 5 บาทนั่นเอง

    (เราข้ามเรื่องภาษีไปนะ จะได้ไม่ต้องคำนวณอะไรซับซ้อน)

    2. แล้วหุ้นที่เราซื้อขายในตลาดหุ้น มันมาจากไหน!?

    มันก็มาจากบริษัททั่วไปนี่แหละครับ นำบริษัทเข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้น ด้วยเหตุผลต่างๆ กันไป

    บางบริษัทมาระดุมทุนเอาไปใช้หนี้ บางบริษัทระดมทุนไปขยายกิจการ บางบริษัทระดมทุนไปซื้อเครื่องมือใหม่ เป็นต้น

    ทีนี้.. ถามว่าทำไมต้องมาแบ่งหุ้นในบริษัท ให้คนอื่นเป็นเจ้าของด้วยล่ะ!?

    นั่นก็เพราะบางทีแต่ละกิจการ มีความจำเป็นที่จะต้องใช้เงินแตกต่างกันออกไป

    ยกตัวอย่างร้านอาหารแห่งนี้ ที่จะต้องใช้เงินลงทุน 100 บาท เพื่อเปิดร้านใหม่ ถ้ารอกำไรปีละ 20 บาท ก็ต้องรอไป 5 ปี จึงจะมีเงินครบไปเปิดร้านใหม่

    ถ้าจะไปกู้ธนาคาร 100 บาทเลย บางครั้งธนาคารอาจจะคิดดอกเบี้ยแพง หรือไม่ให้กู้เสียอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นการเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น ก็เป็นอีกช่องทางในการได้เงินลงทุนก้อนใหญ่ เพื่อนำไปลงทุนขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว

    3. การเข้าระดมทุนในตลาดหุ้น

    จากตอนแรกที่เจ้าของเดิมมีหุ้นรวมกันเต็ม 100% แล้ว

    เมื่อบริษัทเข้าตลาดหุ้น เพื่อให้นักลงทุนคนอื่นๆ มาซื้อหุ้นในบริษัทได้ บางครั้งก็จะใช้วิธีออกหุ้นใหม่ให้คนมาจับจอง หรืออีกวิธีคือตัดขายจากหุ้นของเจ้าของเดิม

    ยกตัวอย่างร้านอาหารของเรา..

    ตอนแรกทุกคนถือหุ้นคนละ 25% รวมกันก็ 100%

    ถ้าอยากระดมทุนเพิ่มอีก 100 บาท ก็จะใช้วิธีเพิ่มหุ้นขึ้นมาอีก 100 หุ้น มาขายหุ้นละ 1 บาท ก็ได้เงินครบพอดี

    (ตัวอย่างค่อนข้างยกตัวเลขมาเยอะหน่อยนะ เพื่อให้คำนวณง่าย ความจริงอาจกระจายหุ้น IPO กันแค่ 20-30% เท่านั้น)

    ฟังดูเป็นเรื่องดีใช่ไหม ที่ได้เงินก้อนใหญ่มาในทันที

    แต่นั่นก็ทำให้ความเป็นเจ้าของบริษัทน้อยลงไปด้วย ในภาพต่อไปครับ..

    4. ความเป็นเจ้าของบริษัท ที่มีสัดส่วนน้อยลง

    พอเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น มีนักลงทุนคนอื่นๆ มาซื้อด้วย ก็จะทำให้ความเป็นเจ้าของบริษัทเดิมนั้น มีสัดส่วนที่น้อยลงไป

    สมมติว่ายังคงทำกำไรได้ 20 บาทเท่าเดิม

    แต่ผู้ถือหุ้นทั้ง 4 คนของเรา แทนที่จะได้ส่วนแบ่งคนละ 5 บาท ตอนนี้ลดลงครึ่งหนึ่งเหลือ 2.50 บาทแล้ว

    เพราะกำไรนั้นก็ต้องแบ่งไปให้กับผู้ถือหุ้นรายใหม่คนอื่นๆ ที่เข้ามาจับจองซื้อหุ้นของบริษัทนี้

    (มีตัวหารมากขึ้นกว่าเดิมนั่นเองครับ)

    5. นี่แหละ คือที่มาของ "หุ้น" ที่เราซื้อขายในตลาดหุ้น

    พอบริษัทเสนอขายหุ้นในตอนแรก (IPO) ไปแล้ว ก็จะกลายเป็น "หุ้น" ที่ถูกนักลงทุนเอามาซื้อขายแลกเปลี่ยนกันในตลาดหุ้น

    ซึ่งเจ้าหุ้นพวกนี้ ก็จะขึ้นๆ ลงๆ ตามความต้องการซื้อ หรือความต้องการขายของนักลงทุนในตลาด

    ไล่ตั้งแต่รายย่อย รายใหญ่ นักลงทุนสถาบัน ไปจนถึงนักลงทุนต่างชาติกันเลยทีเดียว

    ยกตัวอย่างเช่น..

    ถ้าคนมองว่าอนาคต ผลประกอบการบริษัทนี้จะดี ก็จะเข้ามากว้านซื้อหุ้นจำนวนมาก พอมีคนต้องการซื้อมาก หุ้นที่มีอยู่อย่างจำกัดก็จะราคาสูงขึ้น

    ในทางตรงข้าม สมมติบริษัทขาดทุนติดๆ กัน หรือผู้บริหารมีข่าวเสียหาย หุ้นก็จะถูกขายขายอย่างหนัก เป็นผลทำให้ราคาตกลงอย่างรวดเร็ว

    ----------------------------------

    ซึ่งกลุ่มเจ้าของเดิม ก็มีสิทธิ์ซื้อหุ้นกลับคืนด้วยเช่นกันนะ ถ้าพวกเขาเห็นว่ากิจการมีแนวโน้มที่ดีในอนาคต

    (และพวกเขาก็มีสิทธิ์ขายหุ้นได้ ตามเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนด)

    เพราะฉะนั้น จะพูดง่ายๆ ว่าราคาหุ้นขึ้นหรือลงนั้น ก็ตามแต่ความต้องการซื้อขายของคนในตลาดล้วนๆ

    โดยที่มีเหตุผลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น ผลประกอบการ สถานการณ์เศรษฐกิจ อะไรพวกนี้มารองรับเพื่ออธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นนั่นเอง

    หวังว่าชุดภาพนี้จะทำให้หลายคนเข้าใจพื้นฐานที่มาของ "หุ้น" ที่เราซื้อๆ ขายๆ กันได้มากยิ่งขึ้นนะครับ

    ถ้ามีผลตอบรับดี ซีรีส์ภาพนี้คงจะได้ทำต่อไป โดยจะเป็นการนำเสนอถึงวิธีการเปิดพอร์ตและเลือกโบรกเกอร์ เพื่อเริ่มต้นซื้อขายหุ้น

    ว่ามีขั้นตอนอย่างไร!? มีบริษัทไหนให้เราเลือกเปิดพอร์ตได้บ้าง!? แล้วเลือกเปิดกับที่ไหนดี??

    รอติดตามกันได้เลยครับ..

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สถานทูตจีนประจำประเทศไทยประกาศรายชื่อโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในไทยที่สามารถตรวจ COVID-19 ได้ และทางสถานทูตจีนยอมรับ

    .
    หลังจากวันก่อนมีประกาศจากการบินพลเรือนจีนเรื่องต้องตรวจ COVID-19 ก่อนเช็คอินขึ้นเครื่องเดินทางเข้าจีน และก็ใช้สำหรับทั้งคนจีนและคนต่างชาติ(ที่ได้รับอนุญาตให้เข้าจีนได้บางกรณี โดยตอนนี้ยังไม่มีอัปเดตเรื่องวีซ่าจากทางกระทรวงต่างประเทศจีน)

    ตอนนี้สถานทูตจีนประจำประเทศไทยประกาศรายชื่อโรงพยาบาลและสถานพยาบาลในไทยที่สามารถตรวจ COVID-19 ได้ และทางสถานทูตจีนยอมรับ ใครมี่มีแฟน มีเพื่อน มีคนรู้จัก ที่เป็นคนจีนและอยู่ในไทยตอนนี้ ส่งให้เขาได้นะครับ

    Link -> http://www.chinaembassy.or.th/chn/sgxw/t1799768.htm

    #อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    การบินพลเรือนจีนประกาศกฎสำหรับคนจีนและต่างชาติเดินทางจากต่างประเทศเข้าจีน แต่สำหรับเรื่องวีซ่า ยังไม่มีอัปเดตจากทางกระทรวงการต่างประเทศจีน
    .
    ทางการบินพลเรือนจีนประกาศกฎระเบียบของชาวจีนและชาวต่างชาติที่เดินทางจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศจีน โดยประกาศออกมาเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่อ้ายจงต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่ประกาศจากกระทรวงการต่างประเทศจีนเรื่องวีซ่า ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดอัปเดตออกมานะครับ
    .
    ใจความสำคัญของประกาศจากทางการบินพลเรือน สรุปประมาณนี้

    - ชาวจีนและชาวต่างชาติที่เดินทางจากนอกจีน ต้องมีใบรับรองการตรวจ COVID-19 ว่า ผลเป็น Negative

    – เป็นลบ ภายใน 5 วันก่อนที่จะขึ้นเครื่อง และจะต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือสถาบันทางการแพทย์ที่ได้รับการยอมรับจากสถานทูตจีนในแต่ละประเทศ

    - สำหรับชาวจีนให้ถ่ายรูปผลตรวจและอัปโหลดเข้าสู่ระบบ Health Code ของคนจีน ส่วนชาวต่างชาติให้เอาผลการตรวจไปรับรองที่สถานทูตจีน ณ ประเทศนั้น

    - ประกาศฉบับนี้ยังย้ำให้สายการบินดำเนินการตรวจ Health Code และ ใบรับรองผลตรวจของผู้โดยสารอย่างเข้มงวด หากใครไม่มีใบรับรองการตรวจ COVID-19 ห้ามให้ขึ้นเครื่องโดยเด็ดขาด ซึ่งถ้าหากผู้โดยสารคนไหนปลอมแปลงเอกสาร มีความผิดตามกฎหมายจีน

    .
    ทั้งนี้ ประกาศจากทางการบินพลเรือนจีน เป็นระเบียบการเดินทางเข้าจีน ยังไม่ได้มีรายละเอียดเรื่องวีซ่า ที่ทางกระทรวงการต่างประเทศของจีนระงับไปเมื่อปลายเดือนมีนาคม

    เรื่องวีซ่าตอนนี้เท่าที่อ้ายจงเช็ค ยังไม่ได้มีประกาศอะไรออกมาอีก

    .

    ตั้งแต่ปลายมีนาคมเป็นต้นมา ชาวต่างชาติที่สามารถเดินทางเข้าจีนได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีความจำเป็นและได้รับการยกเว้นจากการระงับวีซ่าในครั้งนั้น และได้รับการออกวีซ่าจากทางสถานทูตเป็นแต่ละกรณีไป รวมถึงการทำข้อตกลงระหว่างจีนกับบางประเทศ เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ให้คนของประเทศนั้นเดินทางได้ ในบางกรณี เช่น ติดต่อธุรกิจ
    .
    การออกวีซ่าแบบปกติ ยังคงต้องรอประกาศ แต่ถือว่ามีสัญญาณที่ดี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีประกาศจากทางสถานทูตจีนประจำประเทศไทย ‘กรอกข้อมูลและแจ้งความประสงค์ทำวีซ่าจีน ผ่านทางระบบออนไลน์ เริ่ม 1 สิงหาคม 2563’ ก็คงจะมีข่าวดีและความชัดเจนเรื่องการทำวีซ่าของต่างชาติเพื่อเดินทางเข้าจีนในอีกไม่นานนี้
    .
    อ้ายจงอ้างอิงประกาศจากทางการบินพลเรือนจีน
    http://www.caac.gov.cn/XXGK/XXGK/TZTG/202007/t20200721_203688.html

    #อ้ายจง #เล่าเรื่องเมืองจีน #ชีวิตในจีน

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับการหมิ่นประมาท เราไม่ควรทำแบบนี้ไม่ว่ากับใครทั้งสิ้น สมมุติเราเดินออกไปนอกบ้านไปด่าคนที่เราพบข้างนอก คิดว่าเรามีสิทธิโดนฟ้องข้อหาหมิ่นประมาทไหม
    ----
    ช่วงนี้ถือว่าเป็นกระแสที่ร้อนแรงในโลกออนไลน์เป็นอย่างมากสำหรับ ม็อบนักศึกษา หรือม็อบมุ้งมิ้ง ที่ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภา เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ในขณะเดียวกันมีบางบุคคลในม็อบดังกล่าวได้มีการ จาบจ้วงถึงสถาบัน มีการชูป้ายข้อความในการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างรุนแรง
    .
    ทำให้นายสาธิต เซกัล นักธุรกิจชาวอินเดียวัย 70 ปี ที่อยู่อาศัยในเมืองไทยมาเป็นระยะเวลานานได้ออกมาโพสต์ข้อความในเฟสบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า จะรักหรือไม่รักก็สุดแต่ แต่อย่ามาจาบจ้างสถาบันที่พวกผมรัก และเคารพ ราชอาณาจักรไทย อยู่รอดมาได้ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์
    .
    ซึ่งภายหลังจากที่โพสต์ข้อความดังกล่าว ก็มีข่าวรายงานออกมาว่า นายสาธิต เซกัล พร้อมมวลชนที่สนับสนุน เตรียมเดินทางมาพบ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก ในวันพรุ่งนี้ เพื่อปรับทุกข์ และหาแนวทางแก้ไขเกี่ยวกับปัญหาการถูกม็อบดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเบื้องต้นทางสำนักงานเลขานุการ กองทัพบก ได้มอบหมายให้หัวหน้าแผนกกองประชาสัมพันธ์ให้การต้อนรับ และรับมอบหนังสือร้องเรียน บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพบกแล้ว
    .
    ในขณะที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก อยู่ระหว่างการพิจารณาว่า จะให้ส่งตัวแทนเข้าพบ หรือให้ยื่นหนังสือผ่านผู้แทนสำนักงานเลขานุการ กองทัพบก เนื่องจากมีมวลชนเดินทางมาร่วมด้วยจำนวนหนึ่ง แม้ในพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ จะไม่ห้ามเรื่องการห้ามชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไป แต่ก็ถือว่ายังมีความผิดตามพ.ร.บ.ควบคุมโรค อีกทั้งกังวลว่า จะกลายเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มผู้ชุมนุมนำไปขยายผลต่อไป
    .
    ส่วนในกรณีของ นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และแกนนำสหภาพนักเรียน นิสิต นักศึกษาแห่งประเทศไทย ฉีกรูป พล.อ.อภิรัชต์ ในระหว่างขึ้นอภิปรายตอบโต้กรณี พ.อ.หญิง นุสรา วรภัทราทร นายทหารประจำกรมยุทธการทหารบก โพสต์เฟซบุ๊ก เรียก“ ม็อบมุ้งมิ้ง” บริเวณหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เมื่อวันที่ 20 ก.ค.ที่ผ่านมา ก็ไม่ได้มีการแจ้งความเอาผิดแต่อย่างใด

    -------------------------------
    แหล่งข่าว

    https://www.naewna.com/politic/507221

    https://www.naewna.com/politic/507220
    -------------------------------

     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รัฐสภาไต้หวันผ่านร่างกฎหมายเพื่ออนุญาตให้เปลี่ยนชื่อสายการบินไชน่าแอร์ไลน์สซึ่งเป็นสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนกับสายการบินจากจีนแผ่นดินใหญ่

    อ่านต่อ >https://news1live.com/detail/9630000075758
    ............................................

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อ่านแล้ว ไม่ได้ยอมรับอะไรเลย แต่ผมเข้าใจว่าถ้ายังคิดว่าปัญหาที่เกิดมองเห็นเพียงแค่ว่า ผู้เป็นอนาคตของชาติเหล่านั้น เป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นนั้น ประเทศก็จะไม่มีทางออก ไม่มีอนาคต เพราะพวกเราช่วยกันฆ่าอนาคตของประเทศด้วยมือของพวกเราเองแล้ว เขาก็พูดถูก ควรมองต่างมุม แล้วหาทางแก้ไขในทางด้านอื่นๆ น่าจะแก้ปัญหาของประเทศไปได้ด้วยดี

    -----

    สาระสำคัญระบุว่า “สุดท้ายผมไม่แน่ใจว่าถึงวันนี้ พวกเราและสังคมไทยทั้งหมดพร้อม หรือต้องการ ที่จะรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่จริงๆ หรือไม่ ผมคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราควรหยุดแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น เราต้องยอมรับความเป็นจริงว่า นอกเหนือจากข้อเรียกร้อง 3 ข้อ ของกลุ่มเยาวชนนั้น ในการชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมา รวมทั้งการแสดงออกในโลกออนไลน์ ยังมีเยาวชนและประชาชนอีกมากมาย ที่ได้แสดงออกถึงประเด็นอื่นๆ ที่เป็น Inconvenient Truth หรือ ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจสำหรับสังคมไทย

    ไม่ว่าเราจะชอบใจหรือไม่ชอบใจ ถึงเวลาแล้วครับที่เราต้องยอมรับว่า ความจริงอันน่ากระอักกระอ่วนใจเหล่านั้น เป็นความรู้สึกแห่งยุคสมัย เป็นผลผลิตของปัญหาที่พวกเราล้วนมีส่วนร่วมสร้างขึ้นมาและหมักหมมเอาไว้ให้ลูกหลาน

    ถ้าพวกเราพร้อมและต้องการที่จะรับฟังเสียงของคนรุ่นใหม่จริงๆ ผมขอเชิญชวนให้ตั้งสติเสียใหม่ เปิดใจ ปรับมุมมอง แล้วลงมือหาทางออกของประเทศไปด้วยกัน

    แต่ถ้าเราไม่พร้อม เราก็จะมองเห็นเพียงแค่ว่า ผู้เป็นอนาคตของชาติเหล่านั้น เป็นภัยต่อความมั่นคง เป็นภัยคุกคามต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่นนั้น ประเทศก็จะไม่มีทางออก ไม่มีอนาคต เพราะพวกเราช่วยกันฆ่าอนาคตของประเทศด้วยมือของพวกเราเองแล้ว”

     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    กัมพูชายิ้มเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีจีนราบรื่น จ่อลงนามภายในปีนี้
    .
    กัมพูชา 22 ก.ค. - รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กัมพูชากล่าวแสดงความเห็นหลังกัมพูชาและจีนสรุปการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างกันเมื่อวันจันทร์ (20) ที่ผ่านมาว่าข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกัมพูชาและจีนจะช่วยให้สินค้าของประเทศเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น และนำมาซึ่งประโยชน์ต่อประชาชนทั้งสองฝ่าย
    .
    “ข้อสรุปของการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีที่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันสั้นนี้สะท้อนอย่างชัดเจนถึงความมุ่งมั่นของผู้นำทั้งสองชาติที่จะสร้างความสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น และข้อตกลงการค้าเสรีนี้จะสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมากต่อประชาชนสองฝ่าย” กระทรวงพาณิชย์กัมพูชา ระบุในคำแถลง
    .
    นายจง ซาน รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์จีน และนายปาน สรศักดิ์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา ได้ประกาศอย่างเป็นทางการถึงข้อสรุปการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีจีน-กัมพูชา ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์วานนี้ (20) และข้อตกลงดังกล่าวคาดว่าจะลงนามกันภายในปีนี้
    ..
    โฆษกกระทรวงพาณิชย์กัมพูชา กล่าวกับสำนักข่าวซินหวา ว่า กัมพูชามองจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรของประเทศ เช่น ข้าว มันสำปะหลัง กล้วย และมะม่วง เป็นต้น
    .
    “เมื่อลงนามข้อตกลงแล้ว ข้อตกลงนี้จะทำให้เราเข้าถึงตลาดได้มากขึ้น และแน่นอนว่า ปริมาณการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศจะขยายตัวมากขึ้นไปอีก” โฆษกกระทรวง กล่าว และย้ำว่าข้อตกลงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับกัมพูชาและจีน
    .
    การค้าสองทางระหว่างสองประเทศมีมูลค่าอยู่ที่ 9,240 ล้านดอลลาร์ในปี 2562 ตามข้อมูลของสถานทูตจีนในกัมพูชา
    .
    กัมพูชาและจีนเริ่มหารือถึงความเป็นไปได้ของข้อตกลงการค้าเสรีทวิภาคีเมื่อเดือน ธ.ค.2562 และเริ่มเจรจารอบแรกในเดือน ม.ค.2563.

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สวัสดียามเช้า วันนี้เรามี #ดาวหางนีโอไวส์ มาฝากคร้าบบบบบ

    หลายท่านถามไถ่กันมามากมายว่า #TeamNARIT ได้ภาพดาวหางนีโอไวส์มากันบ้างหรือยัง
    วันนี้เราจัดมาให้ชมกันอย่างจุใจครับ แม้เมฆจะมาก ฝนจะเยอะ แต่เราก็เสาะแสวงหา สอยดาวหางนีโอไวส์ มาฝากคนไทยทุกคนครับ

    22.07.2020 เย็นๆ ตามเวลานัดหมายของดาวหางนีโอไวส์ หรือ C/2020 F3 (NEOWISE) ที่จะปรากฏในช่วงหัวค่ำ หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เราแบ่งทีมออกเป็น 3 ทีม ออกตามล่าดาวหางหลายๆ มุมของเชียงใหม่ เลือกทำเลที่เหมาะๆ และแน่นอนครับว่าต้องเป็นที่สูงสักนิด สามารถเห็นท้องฟ้าเป็นมุมกว้างทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อเลือกทำเลกันได้แล้ว ก็ขนอุปกรณ์แยกย้ายออกไปปฏิบัติภารกิจกันครับ

    วันนี้ฟ้าใส เป็นใจ ไม่มีฝนครับ มีเมฆเป็นระยะๆ แต่เราก็เก็บภาพมาฝากคนไทยได้สำเร็จ

    ในเย็นวันนี้ (23 กรกฎาคม 2563) ยังเป็นอีกหนึ่งวันที่เรามีโอกาสเก็บภาพดาวหางดวงนี้ก่อนที่ความสว่างจะะเริ่มลดลงและแสงดวงจันทร์จะเริ่มสว่างรบกวน ใครที่ยังไม่มีโอกาสเก็บภาพเรียนเชิญครับ

    เทคนิคและวิธีตามล่าดาวหางดวงนี้ ทั้งการหาตำแหน่ง และเทคนิคการถ่ายภาพดาวหางเบื้องต้น โดย อ.แจ็ค ศุภฤกษ์ คฤหานนท์ ตามไปอ่านกันได้เลยที่ http://www.narit.or.th/…/astro-ph…/1200-neowise-photo-artcle

    ข้อมูลเกี่ยวกับดาวหางนีโอไวส์

    ดาวหางนีโอไวส์ หรือ C/2020 F3 (NEOWISE) เป็นดาวหางคาบยาว จากข้อมูลล่าสุดพบว่าโคจรรอบดวงอาทิตย์หนึ่งรอบใช้เวลาประมาณ 6,767 ปี ค้นพบโดยกล้องโทรทรรศน์อวกาศไวส์ (Wide-field Infrared Survey Explorer : WISE) ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์ในช่วงคลื่นอินฟราเรด ในโครงการสำรวจประชากรดาวเคราะห์น้อยและวัตถุใกล้โลก ถูกค้นพบเมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2563 เคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุดเมื่อ 3 กรกฎาคม 2563 ที่ผ่านมา ระยะห่าง 43 ล้านกิโลเมตร และจะเคลื่อนที่เข้าใกล้โลกที่สุด ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ที่ระยะห่าง 103 ล้านกิโลเมตร

    #สำหรับประเทศไทย ในช่วงครึ่งแรกของเดือนกรกฎาคม 2563 ดาวหางนีโอไวส์ จะปรากฏในช่วงรุ่งเช้า ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ตำแหน่งใกล้ขอบฟ้ามาก และยังเพิ่งโคจรผ่านจุดที่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด จึงถูกแสงอาทิตย์กลบ สังเกตได้ค่อนข้างยาก แต่ในช่วงครึ่งหลัง ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นไป จะดาวหางนีโอไวส์จะเปลี่ยนมาปรากฏในช่วงหัวค่ำ หลังดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และความสว่างจะลดลงเรื่อยๆ แต่ยังคงสว่างในระดับที่ยังสามารถสังเกตการณ์ได้ด้วยตาเปล่า จึงเป็นโอกาสดีที่คนไทยจะได้ยลโฉมและบันทึกภาพความสวยงามของดาวหางดวงนี้

    #ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับสังเกตการณ์ดาวหางนีโอไวส์ ประมาณวันที่ 18-22 กรกฎาคม 2563 เนื่องจากดาวหางเคลื่อนที่ห่างจากดวงอาทิตย์พอสมควรแล้ว และคาดว่าจะมีค่าอันดับความสว่างปรากฏประมาณ 5 แม้เป็นช่วงแสงสนธยาก็มีโอกาสที่จะมองเห็นดาวหางดวงนี้ได้ด้วยตาเปล่า หากท้องฟ้าบริเวณขอบฟ้าใสเคลียร์

    ส่วนวันที่ 23 กรกฎาคม เป็นช่วงที่ดาวหางเข้าใกล้โลกที่สุด สามารถสังเกตได้ตั้งแต่หลังดวงอาทิตย์ตก ถึงประมาณสามทุ่ม หากฟ้าใส ไร้เมฆ สามารถสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า คืนดังกล่าวตรงกับคืนดวงจันทร์ขึ้น 2 ค่ำ อาจมีแสงจันทร์รบกวนเล็กน้อย ทั้งนี้ ประเทศไทยอยู่ในช่วงฤดูฝนที่มีเมฆมาก บริเวณใกล้ขอบฟ้ามีเมฆปกคลุมค่อนข้างหนา จึงเป็นอุปสรรคสำคัญในการสังเกตการณ์ดาวหางดังกล่าว และหลังจากนั้นความสว่างจะลดลงเรื่อย ๆ จนไม่สามารถสังเกตเห็นได้

     

แชร์หน้านี้

Loading...