ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ยอดติดเชื้อโควิดทั่วโลกประจำวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 ติดเชื้อสะสม 14,852,700 รายเสียชีวิตสะสม 613,213 ราย

    #ผู้ติดเชื้อรายใหม่ใน1 วัน +205,348 ราย
    #เสียชีวิตใน 1 วัน - 4046 ราย

     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อไหร่ไต้หวันจะเปิดประเทศ?? เฉินสือจง : จนกว่าโควิดจะลดลงทั่วโลก หรือมีวัคซีน....

    ทั่วโลกยังคงเผชิญกับโควิดและยังคงสู้อยู่ บางประเทศถูกโจมตีรอบ2 หลังจากผ่อนคลายมาตรการลง หลายคนคาดเดามันจะยังคงเป็น lockdown-release และ lockdown-release (ปิดเมือง-ผ่อนปรน และปิดเมือง) ไปเรื่อยๆหากยังคงไม่มีวัคซีนหรือยารักษา

    หากถามว่าเมื่อไหร่ไต้หวันจะเปิดประเทศ (คนในออกเที่ยว คนนอกมาได้) นายเฉินสือจงตอบว่า “ไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้แน่นอน หากโควิดยังไม่ลดลงทั่วโลก และยังไม่มีวัคซีน เพราะสิ่งที่ป้องกันมาจะสูญเปล่า ไม่คุ้มที่จะเสี่ยง”

    สื่อถามต่อ: ญี่ปุ่นเริ่มมีการลิสรายชื่อรอบ2 คาดว่าน่าจะมีไต้หวันที่จะเปิดให้เข้าญี่ปุ่นได้...

    นายเฉินสือจงกล่าวว่า: ถือว่าเครียดพอสมควร เพราะการเปิดให้เราเข้านั้นหมายถึงอีกฝ่ายก็หวังให้เราผ่อนปรนแก่เขาเช่นกัน และถ้าเปิดจริงทางคนไต้หวันเองก็อยากจะออกไปเที่ยวแน่นอน ซึ่งเราจะสั่งห้ามออกก็ไม่สามารถทำได้ จึงจำเป็นต้องเตรียมรับมือ หากไปเที่ยวกลับมาก็ต้องยอมรับมาตรการต่างๆที่รัฐกำหนด ต้องโดนตรวจสอบ กักตัว รวมไปถึงจะมีการจับตรวจระดับชุมชนเป็นต้น

    ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็ขอความร่วมมืออย่าออกเที่ยวต่างประเทศ เว้นแต่จำเป็นคืองานหรือธุรกิจ หรือทางการฑูต

    ทางญี่ปุ่นเองได้เสนอแนวทางมาตรการป้องกันการตรวจสำหรับระหว่างไต้หวัน-ญี่ปุ่น ทางไต้หวันเองได้ดูแล้วถือว่ามีความเข้มงวดมาก แต่บางอย่างยังคงมีปัญหาอยู่ต้องตรวจสอบกันต่อไป

    ส่วนเที่ยวภายในประเทศนั้นเราสนับสนุนเต็มที่ การเที่ยวในประเทศ ในสถานที่ต่างๆไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ หรือเกี่ยวกับแหล่งศิลปะต่างๆ เราได้เปิดให้มีการจัดกิจกรรมได้

    #หนีห่าวไต้หวันฉันมาแล้ว #ไต้หวัน
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รวมข่าวเด่นไต้หวัน เช้าวันที่21 ก.ค.2020

    ข่าวแรก : ไต้หวันถูกจัดอันดับให้เป็นชาติที่จัดการโควิดดีที่สุดในโลก

    สำนักพิมพ์ชื่อดังบลูมเบิร์กของสหรัฐได้จัดอันดับทั้งหมด75ประเทศ+เขตเศรษฐกิจ ทั่วโลก สำหรับชาติที่มีการจัดการกับโควิดได้ดี โดนดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อต่อจำนวนประชากร, ดูจากวิธีการรับมือ, ดูจากนโยบายเศรษฐกิจ และด้านต่างๆ รวมถึงการฟื้นฟูให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

    ทำให้ไต้หวันได้ที่1 มาครอง ส่วนที่2 เป็นของบอตสวานา และที่3 เกาหลีใต้ ส่วนไทยเราได้อันดับที่4

    ===========================

    ข่าวที่2: เหวยลี่ไฉ ล๊อตเตอรี่รางวัลที่1 ยังคงไม่มีคนถูกยอดสะสมสูงพุ่งไปถึง 2,500ล้านดอลล่าร์ไต้หวัน

    =============================

    ข่างที่3 : ชายหนุ่มท้องหิว แอบขโมยอาหารและเครื่องดื่มจากคนขับรถราคาแค่60บาท แต่ถูกปรับถึง6,000

    ชายคนหนึ่งหิว เดินผ่านรถบรรทุกส่งของที่จอดอยู่ริมถนน เห็นอาหาร1กล่อง และเครื่องดื่ม1 แก้ววางอยู่ที่นั่งด้านข้างคนขับ จึงแอบหยิบไป

    คนขับรถกลับมา งงว่าทำไมอาหารที่เพิ่งซื้อกลับหายไป ถึงกับโกรธจึงแจ้งความ ตำรวจตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบชายคนหนึ่งได้ส่องภายในรถและหยิบไปจึงตามจับ

    ชายคนดังกล่าวถูกแจ้งข้อหาลักขโมย (กฎหมายฉบับล่าสุด ข้อหาเล็กน้อยและภายใน5ปีไม่มีเคยกระทำความผิดมาสามารถจ่ายค่าปรับแทนการติดคุกได้ คิดเป็นคดีสะสม) ศาลตัดสินจ่ายค่าปรับจำนวน 6,000ดอลล่าร์ (ราคาอาหารที่ขโมยแค่60บาท)

    อันนี้ทำให้เห็นว่ากฎหมายไม่มีความยกเว้นใดๆ อ้างความจนและหิวไม่ได้ ถ้าหิวควรไปขอร้านอาหารดีๆ หรือศูนย์ช่วยเหลือ ไม่ใช่ขโมยของจากในบ้านหรือรถของคนอื่น

    ทำให้ไต้หวันนั้นไม่ค่อย (แอดใช่คำว่าไม่ค่อย เพราะไม่ใช่100%) เจอคนฉกชิง วิ่งราว หรือขโมย ทำให้ประชาชนรู้สึกปลอดภัย เพราะตำรวจตามได้ไวมาก เล็กๆน้อยๆตามได้หมด

    แอดเคยลืมของไว้ที่หน้าร้านอาหาร แอดเดินกลับไปของยังอยู่ครบ, มีคนทำเงินตกปลิวบนถนนเพราะขี่รถไม่รู้ว่ากระเป๋ารั่ว สุดท้ายก็ได้คืน เพราะมีกล้องทุกที่จริงๆ หยิบปุ๊ปไม่แจ้งความคือขโมย รับโทษทันที

    ปอลอ คำว่าขอโทษ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ใช้กับไต้หวันไม่ได้

    #หนีห่าวไต้หวันฉันมาแล้ว #ข่าวเด่น

     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว ตีแผ่ความจริง!!! ล่าสุด FTA Watch รายงานว่า ผศ.ดร.ภญ.รุ่งเพ็ชร สกุลบำรุงศิลป์ คณบดีคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้นำเสนอผลการวิจัยเบื้องต้นในเรื่อง CPTPP Impact on Access to Medicines ต่อ คณะอนุกรรมาธิการศึกษาผลกระทบด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยระบุว่า หากไทยเข้าร่วม CPTPP จะทำให้ค่าใช้จ่ายด้านยาของประเทศแพงขึ้น มีสัดส่วนการนำเข้ายาจากต่างประเทศสูงถึง 85% และส่วนแบ่งตลาดของอุตสาหกรรมยาในประเทศลดลง

    ** "ในภาพรวมของการศึกษาสามารถบอกได้ว่า หากเข้าร่วม CPTPP ค่าใช้จ่ายในด้านยาจะสูงขึ้น หมายความว่าเราจะกินยาที่แพงขึ้น ต้องพึ่งพายานำเข้ามากขึ้น และมูลค่าตลาดของอุตสาหกรรมยาในประเทศมีแนวโน้มลดลง"

    ผศ.ดร.ภญ.รุ่งเพ็ชรขยายความว่า เนื้อหาของ Patent Linkage จะส่งผลกระทบในแง่ที่ทำให้อุตสาหกรรมยาของประเทศผลิตยาสามัญเลียนแบบได้ช้าลง จากปัจจุบันที่หากยาต้นแบบหมดสิทธิบัตรวันนี้-พรุ่งนี้สามารถวางจำหน่ายยาสามัญเลียนแบบได้เลย แต่ถ้ามีเรื่อง Patent Linkage เพิ่มเข้ามาจะทำให้การขอขึ้นทะเบียนยาสามัญเลียนแบบก่อนสิทธิบัตรหมดอายุยากขึ้น ส่วนใหญ่จะต้องรอให้สิทธิบัตรหมดอายุแล้วค่อยขึ้นทะเบียน ทำให้ผลิตยาสามัญเลียนได้ช้าลงประมาณ 2 ปี (ในกรณีที่กระบวนการขึ้นทะเบียนไม่มีอุปสรรคใดๆ เลย) แต่ถ้ามีการฟ้องร้องเกิดขึ้นก็จะใช้เวลานานขึ้นไปอีก นอกจากนี้ เมื่อดำเนินการจนถึงขั้นขึ้นทะเบียนยาได้จะทำให้บริษัทยาหลายๆ บริษัทขึ้นทะเบียนยาได้ในจังหวะที่พร้อมๆ กัน ทำให้เกิดการแข่งขันในตลาดสูง ราคายาก็จะถูกลง แต่อย่าลืมว่ากว่าราคายาจะถูกลง กระบวนการต่างๆ จะต้องใช้เวลานานขึ้นมากกว่าในปัจจุบัน เช่นเดียวกับเนื้อหาในส่วนของ Government Procurement จะส่งผลกระทบกับองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ซึ่งปัจจุบันได้รับสิทธิพิเศษว่า เมื่อผลิตยาตัวไหน โรงพยาบาลของรัฐต้องซื้อยาของ อภ.ก่อน ซึ่งในอีกมุมหนึ่งก็คือการรักษาเสถียรภาพราคายาในตลาดไม่ให้สูงเกินไป แต่ถ้าเปิดให้โรงพยาบาลมีสิทธิเลือกซื้อยาจากบริษัทใดๆ ก็ได้ อภ.ก็อาจต้องปรับตำแหน่งทางการตลาดใหม่.
    -------------------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://prachatai.com/journal/2020/07/88654

     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #มอร์มูฟเป็นข่าว มหันตภัยไมโครพลาสติกปนเปื้อน!!! ภายหลังจากภาพ 'หาดบางแสน' ชายหาดตากอากาศยอดนิยมของชาวไทยใน จ.ชลบุรี ที่เต็มไปด้วยขยะได้ถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางในโลกโซเชียลมีเดียเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ล่าสุด ผศ.ดร.ถนอมศักดิ์ บุญภักดี อาจารย์จากภาควิชาวาริชศาสตร์ ม.บูรพา กล่าวว่า ขยะที่พบเกลื่อนกลาดหาดบางแสนเมื่อไม่นานมานี้ แท้จริงแล้วส่วนใหญ่เป็นขยะจากพื้นที่อื่นที่รั่วไหลมาตามแม่น้ำและถูกกระแสน้ำและลมทะเลพัดมาเกยตื้นที่หาดบางแสน

    ** “ต้นกำเนิดขยะทะเลเหล่านี้ยืนยันชัดเจนว่ามาจากบนบก ขยะที่ถูกทิ้งเกลื่อนกลาดตามถนนพอมีลมก็จะพัดขยะลงท่อระบายน้ำ ไหลสู่คลองธรรมชาติ สุดท้ายก็ลงสู่ทะเล นี่แหละแหล่งที่มาของขยะที่เกิดขึ้น”

    ผศ.ดร.ถนอมศักดิ์ชี้ว่า ขยะเหล่านี้ยังนำไปสู่ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่กว่า โดยหลังจากล่องลอยอยู่ในทะเลระยะหนึ่ง ขยะพลาสติกจะถูกย่อยสลายโดยแสง UV กลายเป็นเศษพลาสติกขนาดจิ๋วจำนวนมาก (ไมโครพลาสติก) ซึ่งนอกจากจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศในทะเล ยังสามารถปนเปื้อนเข้าสู่ห่วงโซ่อาหารถึงมนุษย์ผ่านการบริโภคอาหารทะเล และอาจสะสมในร่างกายจนก่อความเสี่ยงต่อสุขภาพของผู้บริโภคได้

    ** ไมโครพลาสติกมีคุณสมบัติเป็น ไฮโดรโฟบิก (Hydrophobic) ที่จะไม่ละลายน้ำ และสามารถจับกับสารเคมีชนิดอื่นที่ก็เป็นไฮโดรโฟบิก เช่น อนุพันธ์ปิโตรเลียม ดังนั้น ไมโครพลาสติกอาจทำหน้าที่เป็นนิวเคลียสที่มีสารละลายอื่นๆ มาเกาะ และหากไมโครพลาสติกเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยไมโครพลาสติกก็อาจพาสารพิษอันตรายข้างต้นเข้าสู่ร่างกายได้ “ไมโครพลาสติกยังมักมาคู่กับสาร BPA หรือ Bisphenol A ซึ่งเป็นที่ใช้ในการผลิตขวดพลาสติก สารชนิดนี้ถือเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง มีฤทธิ์รุนแรงและสามารถยับยั้งการทำงานของต่อมไร้ท่อได้”

    “ด้วยสภาพภูมิศาสตร์ของอ่าวไทยตอนบนที่เป็นทะเลกึ่งปิด ทำให้เกิดการหมักหมมขยะและมลพิษในทะเลได้ง่าย ดังนั้นอาหารทะเลแทบทุกชนิดจึงมีความเสี่ยงที่จะปนเปื้อนไมโครพลาสติก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สัตว์จำพวกหอย” ผศ.ดร.ถนอมศักดิ์ กล่าว.
    --------------------------------------------------
    อ่านต่อ : https://greennews.agency/?p=21427&f...JSzMWfSKfPNBlDT7Fu95zcCrQtjskmNdzWd5-bwO7cGd0
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    July 21, 2020 องค์การอนามัยโลกยกนิ้วโป้ง วัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 จากม.อ็อกซ์ฟอร์ดและแอสตราเซเนก้า
    .
    ดร.ไมค์ ไรอัน กรรมการบริหาร องค์การอนามัยโลก หรือ WHO เปิดเผยว่า นับเป็นข่าวดีกับการพัฒนา และทดสอบวัคซีนสร้างภูมิคุ้มกันโรคโควิด-19 ซึ่งเกิดขึ้นจากการพัฒนาร่วมกันระหว่างมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และแอสตราเซเนก้า ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเวชภัณฑ์ชื่อดังระดับโลก วัคซีนดังกล่าวสามารถสร้างเซลล์ที่มีชื่อว่า ที-เซลล์ ซึ่งเป็นตัวกำจัดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในร่างกายมนุษย์ ในเวลาเดียวกันวัคซีนดังกล่าวสามารถสร้างแอนตี้บอดี้ทางธรรมชาติในร่างกายของอาสาสมัครที่เข้ารับการทดลองวัคซีนในครั้งนี้ โดยสามารถอยู่ในร่างกายนานถึง 2 สัปดาห์ ถือว่าผลการทดสอบออกมาเป็นผลบวก อย่างไรก็ตาม ยังต้องใช้เวลาอีกนานในการผ่านการรับรอง และผลิตจำนวนมากในเชิงพาณิชย์
    .
    การแถลงขององค์การอนามัยโลกมีขึ้น หลังจากกลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด อังกฤษ ได้ร่วมมือพัฒนาวัคซีนกับบริษัท แอสตร้าเซเนก้า ซึ่งผลิตเวชภัณฑ์ชื่อดังระดับโลก เพื่อเป้าหมายในการพัฒนาวัคซีนที่สามารถกำจัด และต่อต้านโรคระบาดโควิด-19 ผลการทดลองฉีดวัคซีนดังกล่าวกับอาสาสมัครจำนวน 1,077 คน พบว่า ร่างกายของอาสาสมัครแต่ละคนนั้น สามารถสร้างแอนติบอดี และเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในร่างกายได้
    .
    ทั้งนี้ ความร่วมมือในการพัฒนาวัคซีนมีขึ้นตั้งแต่เมษายนที่ผ่านมา ตั้งชื่อวัคซีนนึ้ว่า ChAdOx1 nCoV-19 ซึ่งเป็นการพัฒนาต่อยอดจากไวรัสที่ทำให้เกิดไข้หวัดในลิงชิมแปนซี ความน่าสนใจที่สุดของวัคซีนที่ถูกพัฒนาขึ้นมาในครั้งนี้ คือ เมื่อฉีดวัคซีนนี้เข้าไปในร่างกายของอาสาสมัครแล้ว พบว่าร่างกายของอาสาสมัครแต่ละคนสามารถพัฒนาความสามารถในการต่อสู่กับเชื้อไวรัสได้
    .
    #อังกฤษ #วัคซีน #ไวรัสโควิด19 #Misterban

     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    July 21, 2020 โควิด-19 ติดทั่วโลกทะลุกว่า 14.8 ล้านคน ยอดเสียชีวิตทะลุกว่า 610,000 คน The Covid-19 infected globally toll surpassed 14.8 million

    เวลา 6.05 น. รายงานสถานการณ์จำนวนผู้ติดโรคปอดอักเสบไวรัสโคโรนา 2019 ทั่วโลก เพิ่มเป็น 14,832,104 ราย ซึ่ง 10 อันดับแรกของโลก คือ สหรัฐอเมริกา 3,957,609 ราย บราซิล 2,118,646 ราย อินเดีย 1,154,917 ราย รัสเซีย 777,486 ราย แอฟริกาใต้ 373,628 ราย เปรู 357,681 ราย เม็กซิโก 344,224 ราย ชิลี 333,029 ราย สเปน 311,916 และสหราชอาณาจักร 295,372 ราย

    สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตทั่วโลกเพิ่มเป็น 612,266 ราย ซึ่ง 10 อันดับแรก คือ สหรัฐอเมริกา 143,734 ราย บราซิล 80,120 ราย สหราชอาณาจักร 45,312 ราย เม็กซิโก 39,184 ราย อิตาลี 35,058 ราย ฝรั่งเศส 30,177 ราย สเปน 28,422 ราย อินเดีย 28,099 ราย อิหร่าน 14,405 ราย และเปรู 13,384 ราย

    ในส่วนจำนวนผู้ติดเชื้อในอาเซียน และเสียชีวิต(ตัวเลขในวงเล็บ) พบว่า อินโดนีเซีย 88,214 ราย(4,239) ฟิลิปปินส์ 68,898 ราย(1,835) สิงคโปร์ 48,035 ราย(27) มาเลเซีย 8,800 ราย(123) ไทย 3,250 ราย(58) เวียดนาม 384 ราย เมียนมา 341 ราย(6) กัมพูชา 171 ราย บรูไน 141 ราย(3) และลาว 19 ราย

    #ไวรัสโคโรนา #ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ #โรคปอดอักเสบ #โควิด19 #covid19 #Misterban #coronavirus #btimes

     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 21 , 2020 ยอดจองห้องพัก “เราเที่ยวด้วยกัน”พุ่งกว่า 1 แสนห้อง ด้านยอดลงทะเบียน 4.26 ล้านคน
    .
    นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการเปิดรับลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ “เราเที่ยวด้วยกัน” ที่เว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัhttp://xn--q3c.com/ มีผู้มาลงทะเบียนแล้ว 4.26 ล้านคน (วันที่ 20 ก.ค. 2563 เวลา 12.00 น.) ลงทะเบียนสำเร็จ 4.03 ล้านคน ขณะนี้กำลังทยอยแจ้งผลทาง sms และลงทะเบียนไม่สำเร็จ 2.2 แสนคน กรณีนี้สามารถลงทะเบียนใหม่ได้
    .
    ส่วนยอดลงทะเบียนจองสิทธิ์โรงแรมอัพเดทแบบเรียลไทม์ ผ่านหน้าเว็บไซต์ ล่าสุดอยู่ที่ 116,817 ห้อง/คืน จากทั้งหมด 5 ล้าน ห้อง/คืน มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการรวม 34,434 แห่ง แบ่งเป็นโรงแรม 5,713 โรง , ร้านอาหาร 27,593 ร้าน และ สถานที่ท่องเที่ยว 1,128 แห่ง
    .
    สำหรับการลงทะเบียนเว็บไซต์ เป็นขั้นตอนแรกเพื่อแสดงความประสงค์เข้าร่วมรับสิทธิตามมาตรการ โดยระบบจะตรวจสอบข้อมูลและแจ้งผลการลงทะเบียนทาง SMS ภายใน 3 วัน เมื่อได้รับ SMS แจ้งผลแล้ว จึงสามารถเริ่มยืนยันตัวตนบนแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ได้ สำหรับการจองห้องพักสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 18 ก.ค. 2563 เป็นต้นไป โดยจะต้องจองล่วงหน้า 3 วันก่อนเข้าพัก
    .
    ทั้งนี้ การได้รับสิทธิจะเกิดขึ้นเมื่อมีการจองห้องพักและชำระเงิน (60%) เรียบร้อยแล้ว และสามารถดูจำนวนสิทธิคงเหลือจากจำนวนรวมทั้งมาตรการที่กำหนดไว้ 5 ล้านสิทธิได้แบบเรียลไทม์ที่หน้าเว็บไซต์ www.เราเที่ยวด้วยกัhttp://xn--q3c.com/
    .
    อย่างไรก็ตามขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจที่พักที่เข้าร่วมโครงการฯ ส่วนน้อยบางราย ซึ่งอาศัยโอกาสปรับราคาสูงขึ้นในช่วงนี้ ขอให้เว้นจากการดำเนินธุรกิจตามแนวทางดังกล่าว เนื่องจากผลประโยชน์ในระยะสั้นอาจได้ไม่คุ้มเสียทั้งชื่อเสียงและโอกาสธุรกิจในอนาคต
    .
    #เราเที่ยวด้วยกัน #คลัง #Misterban

     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 21, 2020 ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เผยพบผู้ติดเชื้อโควิดรายใหม่ 5 ราย รวมยอดติดเชื้อสะสม 3,255 ราย ไม่มีเสียชีวิตเพิ่ม
    .
    โดยขณะนี้มีผู้ป่วยในโรงพยาบาล 92 ราย รักษาหายแล้ว 3,105 ราย เสียชีวิต 58 ราย
    .
    โดยผู้ติดเชื้อใหม่ทั้ง 5 ราย เดินกลับจากต่างประเทศ เข้าพักอยู่ในพื้นที่ State Quarantine
    .
    เดินทางกลับจากญี่ปุ่น 1 ราย ตรวจหาเชื้อวันที่ 18 ก.ค. ผลพบเชื้อ มีอาการจมูกไมได้รับกลิ่น
    .
    เดินทางกลับจากอียิปต์ 3 ราย ตรวจหาเชื้อวันที่ 19 ก.ค. ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ
    .
    เดินทางกลับจากซูดาน 1 ราย ตรวจหาเชื้อวันที่ 18 ก.ค. ผลพบเชื้อ ไม่มีอาการ
    .
    #โควิด19 #Covid19 #Misterban

     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    SOCIETY: ประเทศใดต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวมากที่สุด
    .
    ปี 2020 โลกโดนถล่มด้วยโรคโควิด-19 ประเทศต่างๆ พร้อมใจกัน ‘ปิดประเทศ’ และ ‘ล็อกดาวน์’ กันอย่างพร้อมเพรียง ส่งผลให้การท่องเที่ยวชะงักงันโดยสิ้นเชิง
    .
    ธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวต้องสะดุด บ้างพังราบ สายการบินและโรงแรมเรียกว่า ‘เละ’ ธุรกิจเล็กใหญ่ที่เน้นขายนักท่องเที่ยวต่างร่อแร่และสาหัส
    .
    นี่คือภาพที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่ขึ้นชื่อว่า ‘เศรษฐกิจพึ่งพาการท่องเที่ยว’ สูงมาก ซึ่งตัวเลข GDP ปกติประมาณ 10% มาจากการท่องเที่ยว
    .
    แน่นอน เศรษฐกิจบ้านเราเจ็บหนัก ประเมิน GDP ปีนี้ ยิ่งประเมินก็ยิ่งปรับลดลงเรื่อยๆ จนตอนนี้ถึงจุด ‘ติดลบ’ และต้องลุ้นให้ติดลบไม่เกิน 10%
    .
    คำถามคือ ถ้าเทียบกับประเทศอื่น เราเจ็บแค่ไหน?
    .
    1.
    ถ้าจะว่ากันที่ประเทศขนาดใหญ่หน่อย (ใหญ่ที่ว่าก็คือประชากรเกิน 50 ล้านคน) ไทยเป็นประเทศที่พึ่งพาการท่องเที่ยวมากที่สุดแล้ว
    .
    แต่ถ้าเทียบแบบ ‘ข้ามรุ่น’ ไปดูประเทศที่มีประชากรไม่กี่ล้านคน ไปจนถึงประชากรหลักแสนคน จะเห็นได้ว่า ประเทศที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวมากกว่าไทยมีมากมายมหาศาล
    .
    แล้วประเทศที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวมากๆ คือประเทศแบบไหน?
    .
    คำตอบคือ ‘ประเทศเกาะ’ ทั้งหลายนั่นเอง ไม่ว่าจะเป็นเกาะในมหาสมุทรอินเดียอย่าง ‘มัลดีฟส์’ หรือ ‘เซย์เชลส์’ หรือเกาะในมหาสมุทรแอตแลนติกอย่าง ‘กาบูร์เวร์ดี’ เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิกอย่าง ‘วานูอาตู’ เกาะแถบทะเลแคริบเบียนอย่าง ‘หมู่เกาะบริติชเวอร์จิน' อารูบา จาไมกา บาฮามาส โดมินิกา ฯลฯ
    .
    ประเทศเกาะเหล่านี้พึ่งพาการท่องเที่ยวอย่างมาก เรียกว่าถ้านักท่องเที่ยวหาย แทบไม่ต้องทำมาหากินอะไรเลย
    .
    ขณะที่ประเทศไทยยังมีการส่งออกอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ชิ้นส่วนรถยนต์ และอาหารทะเลแปรรูป รวมถึงสามารถผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคใช้เองได้หลายๆ อย่าง
    .
    แต่ประเทศเกาะเล็กๆ แทบจะไม่มีสิทธิ์ทำอะไรแบบนี้เลย เพราะเศรษฐกิจล้วนขับเคลื่อนด้วยการหาเงินด้วยการท่องเที่ยวเป็นหลัก แล้วก็เอาเงินเหล่านี้มาซื้อสินค้าต่างๆ ที่ประเทศอื่นๆ ผลิตเอาไว้ใช้
    .
    2.
    เมื่อรายได้หลักจากการท่องเที่ยวหายไป ประเทศเกาะเหล่านี้ทำอย่างไร?
    .
    คำตอบคือ “ทำอะไรไม่ได้” แต่ทุกชาติก็ต้องการให้การท่องเที่ยวกลับมาเร็วที่สุด ส่วนจะใช้มาตรการจูงใจหรือ Travel Bubbles อะไรก็ว่าไป
    .
    ทั้งนี้ ประเด็นที่ต้องเข้าใจก็คือ การเอา ‘การท่องเที่ยว’ มานำเศรษฐกิจ ไม่ใช่ประเทศไหนอยากทำก็ทำได้ คือต้องมี ‘ทรัพยากรธรรมชาติ’ ไปจนถึงแหล่งอารยธรรมอะไรบางอย่างที่เอามา ‘ขาย’ ได้ (กรณีของ ‘มาเก๊า’ ที่ทุกอย่างสร้างขึ้นใหม่หมด แล้วคนยังมาเที่ยว ถือเป็นข้อยกเว้น เพราะประเทศอื่นทำแบบนี้ไม่ได้)
    .
    อย่างไรก็ดี เราต้องไม่ลืมเช่นกันว่า หลายๆ ประเทศที่แต่เดิมไม่ได้พยายามจะขายการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวก็อาจเป็น ‘ไม้ตายสุดท้าย’ ที่จะเอาไว้กอบกู้เศรษฐกิจที่ตกต่ำหรือชะงักงัน
    .
    ซึ่งเราจะเห็นเทคนิคแบบนี้จากไอซ์แลนด์ไปจนถึงญี่ปุ่น เพราะสุดท้าย เทคนิคบูสต์การท่องเที่ยวพื้นฐานที่สุด คือ ปล่อย ‘ฟรีวีซ่า’ กับออกแคมเปญเสริมการท่องเที่ยวไปสักพัก รับรอง ‘ได้เรื่อง’ แน่ๆ ถ้าประเทศมีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่แล้ว
    .
    3.
    แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในปี 2020 เรียกได้ว่าเกินความคาดหมายจริงๆ
    .
    เพราะเหตุการณ์แบบที่การท่องเที่ยวต้องหยุดชะงักเป็นเดือนๆ ทั้งโลก ไม่น่าจะเคยเกิดขึ้นมาก่อนแน่ๆ ตั้งแต่มนุษย์มีเครื่องบินพาณิชย์ และเหตุการณ์ที่คนเดินทางข้ามประเทศไม่ได้ในระดับนี้ก่อนหน้านั้น น่าจะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เลย
    .
    ดังนั้น สิ่งที่เราเจออยู่ตอนนี้เป็น ‘สภาวะยกเว้น’ จริงๆ และก็ไม่แปลกที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งโลกพังระนาว เพราะไม่มีที่ไหนเตรียมรับกับสถานการณ์แบบนี้ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน และ “เกินจินตนาการ” คนก่อนปี 2020 ด้วยซ้ำ
    .
    เรียกว่า ถ้าปีที่แล้ว คนถามว่าเชื่อมั้ยว่า ปีหน้าเครื่องบินทั่วโลกจะบินไม่ได้ 3 เดือน คงไม่มีใครเชื่อ
    .
    แต่วันนี้เกิดขึ้นแล้ว และประเทศที่เจ็บหนักกว่าชาวบ้าน ก็คือประเทศที่ต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวที่เล่าๆ มานั่นเอง

    อ้างอิง: Business Insider. These are the places that rely the most on tourism around the world, and could be the worst-hit as travel collapses. https://bit.ly/2ZMy2Ox
    QZ. These are the countries most reliant on your tourism dollars. https://bit.ly/3eP2X0B

    #Tourism #BrandThink
    #แชร์สิ่งเล็กๆให้ยิ่งใหญ่
    #sharingIsEmpowering
    อัปเดตและติดตามข่าวสารได้ที่
    Line: @brandthink (มี @ ด้วยนะครับ)
    Instagram: instagram.com/brandthink.me
    Website: www.brandthink.me
    Twitter: twitter.com/BrandThinkme

     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เมื่อวานนี้ กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐ ผลิตสื่อภาพ ออกมารัวๆ ตามคำกล่าวของ Mike Pompeo รมว.กต.ของสหรัฐ โดยที่โจมตีไปยังประเด็นฮ่องกงและทะเลจีนใต้
    .
    ทั้งนี้ท่าทีของสหรัฐฯ นับตั้งแต่การออกแถลงการณ์จุดยืนทะเลจีนใต้ในสัปดาห์ก่อน นับว่าขยี้ต่อเนื่อง ในการแข่งขันกันระหว่างมหาอำนาจ
    .
    แต่นักวิชาการในสำนักเสรีนิยมระหว่างประเทศกพลังมองว่า สหรัฐฯ กำลังหลงทางในการแข่งขันมหาอำนาจ ทำให้สหรัฐเองเสื่อมถอยลง และระเบียบโลกเสรีนิยมที่สหรัฐวางเอาไว้นั้นเสื่อมคลาย
    .
    แต่การเสื่อมถอยและเสื่อมคลายนี้ไม่ได้หมายความว่า ขีดความสามารถของสหรัฐฯนั้นลดน้อยถอยลง หรือสหรัฐฯจะแพ้สงคราม แต่โลกที่มีเสถียรภาพ ด้วยระเบียบโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มันจะถูกทำลายและกลายเป็นการกลับไปสู่ความไม่แน่นอนทางยุทธศาสตร์ เน้นเรื่องการถ่วงดุลอำนาจ สร้างพันธมิตร และอาจนำไปสู่สงครามใหญ่ แบบที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต ก็เป็นได้
    .
    เอวัง
    .
    รอติดตามบทความชิ้นต่อไปของเราได้ในชื่อ [ The Great Power Competition The Zries ] "สหรัฐอเมริกากำลังหลงทาง " ซึ่งจะเป็นบทความวิเคราะห์ผ่านมุมมองแนวคิดทฤษฎีพื้นฐาน ได้เร็วๆนี้ ครับ
    .
    สำหรับในสัปดาห์นี้ Youtube #BFSS Talk เราจะมาในเรื่องของ "ญี่ปุ่นมีทหารหรือไม่มีทหาร"
    และ
    Podcast เป็นคิวของ The Opinion เราจะมาในเนื้อหาเดียวกับบทความที่เรากำลังจะออกครับคือ "สหรัฐอเมริกากำลังหลงทาง" ติดตามกันได้เช่นเคยตามช่องทางต่างๆของเรานะครับ

     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สหรัฐแถลงประกาศจุดยืนต่อปัญหาทะเลจีนใต้
    ---------
    ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมานี้เอง กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา โดย นาย Mike Pompeo รัฐมนตรีว่าการ ได้ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนของสหรัฐอเมริกาต่อปัญหาทะเลจีนใต้..
    ..
    โดยใจความของแถลงการณ์ คือการไม่ยอมรับการอ้างสิทธิ์ของจีน และกล่าวว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายระหว่างประเทศ และเป็นการข่มขู่ประเทศอื่น
    ..
    ทั้งนี้สหรัฐยืนยันที่จะรักษาและธำรงไว้ซึ่งสันติภาพและเสถียรภาพ และเสรีภาพในการปฏิบัติที่ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ
    ....
    สหรัฐยังกล่าวอีกว่าการกระทำของสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นการบั่นทอนอำนาจอธิปไตยของรัฐชายฝั่งในอาเซียนบริเวณทะเลจีนใต้และต้องการครอบครองทรัพยากรแต่เพียงผู้เดียว
    ...
    สหรัฐจึงประกาศจุดยืนที่จะยึดถือเอาคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศในปี 2016 ในกรณีพิพาท ระหว่างจีนกับฟิลิปปินส์ ที่โดยรวมคือการตัดสินว่า จีนไม่สามารถอ้างสิทธิ์เหนือทะเลจีนใต้ได้ (ในรายละเอียด ท่านสามารถอ่านเพิ่มเติมจากแถลงการณ์ที่ใส่ไว้ในอ้างอิงได้ ครับเนื่องจากเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับกฎหมายทะเลซึ่งค่อนข้างยาว) โดยเฉพาะประเด็นที่จีนไม่สามารถรุกล้ำเขตEEZ ของฟิลิปปินส์ ตั้งแต่ Scarborough Reef มายัง Spratly
    .
    ไม่ยอมรับการอ้างสิทธิใดๆ ไปไกลกว่า 12 ไมล์ทะเลจากเกาะที่จีนอ้างสิทธิในหมู่เกาะSpratly ว่าเป็นทะเลอาณาเขต ซึ่งไปกระทบกับ บรูไน อินโดนีเซีย เวียดนาม
    .
    ไม่ยอมรับการอ้างสิทธิ์ในโขดหินใต้ทะเล ว่าเป็นดินแดนใต้สุดของจีน
    ....
    และสุดท้ายสหรัฐย้ำการยืนหยัดเคียงข้างพันธมิตรในอาเซียนและทะเลจีนใต้ที่จะปกป้องสิทธิ์ในอำนาจอธิปไตยและทรัพยากรนอกชายฝั่ง "โลกจะไม่ยอมให้จีนข่มขู่ในทะเลจีนใต้ประหนึ่งเป็นจักรวรรดิทางทะลของจีนอีกต่อไป"
    ...
    "เรายืนหยัดเคียงข้างประชาคมระหว่างประเทศที่จะปกป้องเสรีภาพและปฏิเสธการกระทำการใช้อำนาจเปลี่ยนผิดให้กลายเป็นถูก เพื่อแสวงหาอำนาจในทะเลจีนใต้และภูมิภาคอื่นๆ"
    -------
    [ความคิดเห็น] แถลงการณ์ครั้งนี้นับว่าเป็นการแสดงจุดยืนของสหรัฐเป็นครั้งแรกอย่างตรงไปตรงมาต่อการปฏิเสธการอ้างสิทธิ์ทะเลจีนใต้ของจีน ที่ผ่านมาจะเป็นการประณามการเข้าไปรุกล้ำหรือปฏิบัติการทางทหารของจีนในเขตพื้นที่บริเวณดังกล่าว
    ..
    เป็นการขยับขั้นในการสกัดกั้นการขยายอำนาจและอิทธิพลของจีนไปอีกหนึ่งขั้น หลังสหรัฐโปรโมทแคมเปญ Free and Open Indo-Pacific มาระยะนึง ในฐานะยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯในภูมิภาคนี้
    ..
    ตอกย้ำด้วยการให้พันธะสัญญาและแสดงให้เห็นว่า"สหรัฐฯ เอาจริง" ในประเด็นนี้ เพื่อความเชื่อมั่นและไว้วางใจ ของพันธมิตรในอาเซียนและทะเลจีนใต้ นัยยะหนึ่งอาจเพื่อให้รัฐที่ยังลังเล และไม่มั่นใจในความตั้งใจของสหรัฐฯ ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เช่นกรณีฟิลิปปินส์ที่ก่อนหน้านี้ มีท่าที"ยอม" หรืออ่อนข้อให้"จีน" แม้ตนเองจะมีสิทธิ์ถูกต้องตามคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศก็ตามม
    ..
    ก่อนหน้านี้มีข่าวลือในหมู่นักวิเคราะห์สถานการณ์ในสหรัฐ มา1-2 วัน ว่าสหรัฐฯ กำลังจะออกแถลงการณ์บางอย่างที่จะสร้างความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ให้เพิ่มมากขึ้น ถึงกับมีการล้อกันว่า หรือสหรัฐฯโดยทรัมป์ อาจจะหยิบแผนที่ของสหรัฐฯปี 1946 ที่ยังครอบครองฟิลิปปินส์อยู่มาใช้ต่อสู้กับจีนว่า เขตทะเลจีนใต้เป็นของสหรัฐอเมริกาตะหาก ไม่ใช่ของจีน
    ..
    เมื่อสถานการณ์พัฒนาไปอีกหนึ่งขั้น "เวลาก็นับถอยหลังลงไปทุกทีๆ"
    ..
    เอวัง
    ..

    อ้างอิง
    https://www.state.gov/u-s-position-on-maritime-claims-in-the-south-china-sea/

     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    8 ข้อสรุป #มุมมองเศรษฐกิจไทย จาก ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย

    เมื่อวานนี้มีงานสัมมนาวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทยสำนักงานภาคประจำปี 2563 และ นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ให้มุมมอง #ทิศทางเศรษฐกิจไทยหลังยุคโควิดภิวัฒน์ โดยสรุปได้ดังนี้

    1️⃣ #เศรษฐกิจไทยจะค่อยๆฟื้นตัว แบบ Nike Shaped ✔️ หรือ Swoosh Shaped จะไม่ได้เป็นการเด้งกลับมาอย่าง V-Shape อย่างที่หลายคนอาจหวังไว้

    2️⃣ ข่าวดีคือ #เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจหยุดชะงักกันทั่วโลกจากมาตรการล็อกดาวน์

    3️⃣ #แต่ คาดว่าอาจจะใช้เวลาถึง #2ปี กว่าเศรษฐกิจไทยหรือ GDP รวมจะปรับตัวกลับไปอยู่ในระดับเดิมก่อนเกิดไวรัสโควิดระบาด

    4️⃣ #ระบบการเงินไทยยังแข็งแรง ไม่ได้มีปัญหาเหมือนวิกฤติปี 2540 และหรือวิกฤกติแฮมเบอร์เกอร์

    5️⃣ ทำให้ #ไทยไม่มีความจำเป็น ที่จะต้องขอรับความช่วยเหลือจาก IMF เหมือนกว่าอีก 102 ประเทศทั่วโลก หรือเกินครึ่งของสมาชิก IMF ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านการเงิน

    6️⃣ คาดว่าดอกเบี้ยนโยบายจะยัง #คงอยู่ในระดับต่ำต่อไปเรื่อยๆ ที่ 0.50% ต่อปี เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยให้ภาคธุรกิจลดต้นทุนและสถาบันการเงินสามารถช่วยพักหนี้และปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้ลูกค้าต่อไป

    7️⃣ มุมมองเศรษฐกิจที่กล่าวมาทั้งหมดนี้อยู่บนสันนิษฐานว่า #ถ้าไม่มีการระบาดของโควิดรุนแรง อีกรอบ

    8️⃣ เพราะฉะนั้นขอให้คนไทยทุกคน #การ์ดอย่าตก เพื่อที่เศรษฐกิจเราจะได้ฟื้นฟูได้ตามแผน

    ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจของเราฝาก Like และ Share เป็นกำลังใจให้แอดด้วยหากข้อมูลนี้มีประโยชน์ ขอบคุณมากๆครับ

    #ทันโลกกับTraderKP

     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Jul 21 , 2020 โฆษก ศบค.ยืนยันไทยจะไม่ปิดประเทศ พร้อมเร่งหารือรองรับผู้ป่วยโควิดวันละ 30 – 50 คนต่อวัน ว่าไทยรับมือไหวหรือไม่
    .
    นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค.กล่าวถึงความคืบหน้าการผ่อนคลายกิจการและกิจกรรมในระยะถัดไป และจะมีชาวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจว่า แม้จะมีประชาชนบางส่วนมองว่าควรปิดประเทศไปก่อนเพื่อควบคุมโรค แต่ยืนยันว่าไม่สามารถทำได้ ปิดประเทศไม่ได้ในขณะนี้ เพราะไทยต้องทำการค้า ยังต้องมีการเดินทาง
    .
    แต่อาจมีการปิดบางพื้นที่ หรือเฉพาะพื้นที่ เช่นกรณีเคสทหารอียิปต์และคณะทูตซูดาน ที่มีการติดเชื้อ แต่ยังไม่ระบาด ไทยจำกัดขอบเขตได้ ถ้าดำเนินการได้เร็วก็ยิ่งแก้ไขได้เร็วขึ้น
    .
    เบื้องต้นทางทีมคณะกรรมการวิชาการด้านการแพทย์ จะมีการหารือกันว่าไทยสามารถรับมือผู้ป่วยโควิดได้ 30 – 50 คนต่อวันหรือไม่ เพราะระยะเวลาของโรคจะอยู่ที่ 14 วัน ถ้าเกิดมีการหมุนเวียนเตียงจะเป็นอย่างไร มากเกินไปหรือไม่ เพราะขณะนี้ต้องควบคุมสมดุลทั้งสองระบบ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการควบคุมโรค
    .
    ส่วนความคืบหน้าการตรวจหาเชื้อกลุ่มเสี่ยงเคสทหารอียิปต์ จ.ระยองและคณะทูตซูดานในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 7,144 รายไม่พบเชื้อ แบ่งเป็นจ.ระยอง 6,780 ราย และพื้นที่กทม. 364 ราย
    .
    #กทม #ระยอง #ศบค #กลุ่มเสี่ยง #ไวรัสโควิด19 #Misterban

     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สื่อของทางการจีนรายงานว่า เจ้าหน้าที่ได้ตัดสินใจ
    “ระเบิดเขื่อน” ที่ตั้งอยู่ในมณฑลอานฮุย ทางภาค
    ตะวันออกของประเทศ เพื่อบรรเทาความเสี่ยงจาก
    อุทกภัยที่อาจมีผลกระทบต่อประชาชนในภายหลัง
    ขณะที่ฝนยังคงตกหนักอย่างต่อเนื่อง ทำให้แม่น้ำ
    หลายสายของจีนเอ่อล้นอยู่ในขณะนี้
    .
    เจ้าหน้าที่ได้ใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น การผันกระแสน้ำ
    ไปยังอ่างเก็บน้ำเพื่อรักษาระดับให้สามารถจัดการได้
    เพราะแม่น้ำสายสำคัญและทะเลสาบใหญ่ๆของจีน
    ในตอนนี้ได้มีระดับน้ำที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์
    ดังนั้น เจ้าหน้าที่ในมณฑลอานฮุยจึงต้องทำลายเขื่อน
    ที่กั้นแม่น้ำฉู (ฉูเหอ) เนื่องจากระดับน้ำอยู่ใกล้กับ
    จุดสูงสุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา
    .
    เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นได้กล่าวกับสื่อว่า การระเบิดเขื่อน
    มีจุดประสงค์เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
    ที่อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
    .
    ผลกระทบจากฝนที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่องทำให้
    ระดับน้ำของแม่น้ำฉูซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของแม่น้ำแยงซี
    ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจนอยู่ในระดับที่เป็นอันตราย
    ซึ่งการระเบิดเขื่อนในครั้งนี้ คาดว่าจะสามารถลด
    ระดับน้ำของแม่น้ำฉูลงได้ประมาณ 70 เซนติเมตร
    และน้ำที่ปล่อยออกมาจะถูกผันไปยังแก้มลิงเก็บน้ำ
    สองแห่งที่ได้เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้
    .
    ปัจจุบันแม่น้ำและทะเลสาบ 35 แห่งในมณฑลอานฮุย
    กำลังเอ่อล้นขึ้นมาเกินกว่าระดับที่น่าเป็นห่วงแล้ว
    รวมถึงแม่น้ำหลักอย่างแยงซีและแม่น้ำไหวเหอ
    นั่นทำให้ทางการจีนต้องตัดสินใจทำทุกวิถีทาง
    ที่จำเป็นในการบรรเทาอุทกภัยครั้งนี้
    .
    ***รูปภาพที่นำมาเป็นเพียงภาพประกอบจากหนัง
    เรื่อง San Andreas เท่านั้น***
    .
    เพื่อให้ท่านไม่พลาดทุกสิ่งที่น่าสนใจ
    จากเพจ Thailand State กด Like เพจ
    และตั้งค่า See First ⭐️ เพื่อติดตามข้อมูลดีๆได้เลยครับ
    .
    Source : https://www.ctvnews.ca/world/china-blasts-dam-to-release-floodwaters-as-death-toll-rises-1.5030124
    .
    #ThailandState #ThailandStateUpdate

     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ย้อนกลับไปในช่วงปลายยุค 1960 คนเกาหลีใต้และคนไทย มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนพอๆ กันที่ 440 บาท

    จนกระทั่งในปัจจุบัน...

    ประชากรชาวเกาหลีใต้มีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 84,000 บาท

    ขณะที่คนไทยมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 20,000 บาท

    ถ้ามองโดยผิวเผิน ตัดเรื่องการกระจายรายได้ ความเหลื่อมล้ำ หรือปัจจัยอื่นๆ ตัวเลขนี้ก็ห่างกัน 4 เท่า!!

    จากประเทศซึ่งถูกแบ่งแยกเป็นเหนือ-ใต้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง

    จากประเทศที่พึ่งพาผลผลิตทางการเกษตรเป็นหลัก

    จากประเทศถูกจัดว่ายากจนมากที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออก

    กลายมาเป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาระดับชั้นนำของเอเชียได้สำเร็จ... พวกเขาทำได้อย่างไร??


    1. พัฒนาทักษะแรงงาน จากประเทศเพาะปลูก สู่อุตสาหกรรม

    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง แต่เดิมแล้วคนทั่วไปในชนบท ก็จะทำการเกษตรเลี้ยงตัวเองตามมีตามเกิด

    การเกษตรแม้จะเป็นพื้นฐานเดิมของประเทศ และทุกชีวิตต้องกินอาหาร

    แต่ข้อเสียสำคัญก็คือ.. เกษตรกรรมในยุคนั้นใช้แรงงานเยอะ แรงงานคุณภาพต่ำ ใช้เวลาและทรัพยากรสูง แต่ผลผลิตที่ได้กลับไม่ได้สูงตามไปด้วย

    ในยุค 1950 เกาหลีใต้จึงวางแผนจะเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรม ไปสู่ประเทศอุตสาหกรรม ตามเทรนด์ประเทศพัฒนาอื่นๆ

    แต่การจะทำแบบนั้น ต้องทำให้คนในประเทศมีการศึกษาเสียก่อน

    พอคนมีความรู้ ก็มาทำงานในระบบ ผลิตสินค้าออกสู่ตลาดภายในประเทศได้

    และเนื่องจากแรงงานเกาหลีในยุคนั้น ไม่ได้มีค่าจ้างที่สูงนักเมื่อเทียบกับประเทศเอเชีย ที่มีความพร้อมทางพื้นฐานใกล้เคียงกัน (ยกตัวอย่างไทย)

    เกาหลีใต้เลยเป็นอีกหนึ่งฐานการผลิตที่น่าสนใจสำหรับบริษัทต่างชาติ ให้มาลงทุนตั้งโรงงาน

    ภาคอุตสาหกรรมนั้นยังช่วยทำให้ทรัพยากรที่มีจำกัด สามารถเกิดเป็นผลผลิตที่มีมูลค่ามากขึ้นกว่าเดิม

    ซึ่งลองคิดเล่นๆ ว่าข้อดีจะตกไปตรงไหนอีก..!?

    ความรู้ด้านอุตสาหกรรม จะได้ประโยชน์กับภาคการเกษตร นำไปสู่การแปรรูปและส่งออกสินค้าเกษตรที่มากขึ้น ส่งผลให้อีกฝั่งหนึ่งเติบโตตามไปด้วย


    2. พัฒนาการค้าขายกับต่างประเทศ

    ภายในช่วงปี 1970 การเติบโตของยอดการส่งออกขยับขึ้นจาก 18% เป็น 35%

    พูดง่ายๆ ว่า ในช่วง 10 ปีหลังจากการปรับเปลี่ยนนโยบายประเทศตอนนั้น การส่งออกโตขึ้นเกือบ 2 เท่า!!


    ซึ่งการพัฒนาด้านการค้าระหว่างประเทศ ยิ่งเห็นผลอย่างมากในช่วงหลัง เมื่อบริษัทเกาหลีใต้สามารถเติบโตสร้างแบรนด์ได้อย่างแข็งแกร่ง

    โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 1995 ซึ่งเกาหลีใต้พึ่งพาการส่งออก 25% ของจีดีพี

    ขยับขึ้นมาเป็น 56% ของจีดีพีในปี 2012 เท่ากับว่าเกินกว่าครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจเกาหลีใต้ เป็นรายได้จากการส่งออกแล้ว

    ซึ่งมูลค่าการส่งออกยุคปัจจุบัน จะไม่สามารถสูงได้ขนาดนี้ หากขาดเหตุผลในข้อถัดไป

    นั่นก็คือ...


    3. ส่งเสริมงานวิจัย และสร้างภายในประเทศให้แข็งแกร่ง

    ในยุค 1960 เกิดการเติบโตของธุรกิจ "แชโบล" ซึ่งใช้เรียกกลุ่มธุรกิจใหญ่ยักษ์ของเกาหลีใต้ เช่น Samsung Hyundai

    นอกจากจะมีอิทธิพลต่อคนในประเทศ ยังมีอิทธิพลต่อด้านการเมือง และอำนาจในหลายทาง

    จนถึงขั้นบางครั้งยังมีข้อถกเถียงในทางลบว่า กลุ่มธุรกิจนี้ผูกขาด และมีอำนาจแทรกแซงภาครัฐมากเกินไปในบางครั้ง

    แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลุ่มบริษัทเหล่านี้ มีส่วนช่วยขับเคลื่อนประเทศเกาหลีใต้ด้วยเช่นกัน


    ทางด้านรัฐบาลเกาหลีใต้ยังเป็นหนึ่งในประเทศที่ทุ่มงบให้การวิจัยสูงมากตั้งแต่อดีต

    ควบคู่กับการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ จากนั้นใช้วิธีศึกษา(ลอกเลียน) เทคโนโลยีเหล่านั้น

    จนเปลี่ยนจากประเทศนำเข้า กลายเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้าทางด้านเทคโนโลยีได้เอง

    ไม่ว่าจะเป็น เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์โรงงาน รถยนต์ ชิ้นส่วนเรือ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ หรือกระทั่งโทรศัพท์มือถือ


    ปัจจุบัน ประเทศเกาหลีใต้มีสัดส่วนเงินลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาสูงถึง 1.8 ล้านล้านบาทต่อปี คิดเป็น 4% ของจีดีพี เลยทีเดียว


    4. ต่อยอดเทคโนโลยีสู่โลกอนาคต

    ภาคอุตสาหกรรมของเกาหลีใต้ที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำมาหลายสิบปี กำลังสั่นสะเทือนจากการเติบโตของ "จีน"

    มีการวิเคราะห์ว่าจีนนั้นใช้โมเดลเดียวกับเกาหลีใต้ นั่นคือการรับจ้างผลิต วิจัยและพัฒนา จนในปัจจุบัน จีนสามารถสร้างแบรนด์ได้เอง

    แต่จีนมีทรัพยากรมากกว่า กำลังคนมากกว่า ที่สำคัญคือจีนเป็นลูกค้าใหญ่ของเกาหลีเช่นกัน

    ถ้าจีนทำได้เองทุกอย่าง จนเลิกนำเข้าจากเกาหลีใต้ รายได้ของเกาหลีก็หดหายแน่ๆ


    ทางแก้ปัญหาของเกาหลีใต้ จึงดำเนินไปใน 2 ทาง

    ด้านแรก คือการส่งเสริมวัฒนธรรม ขายความเป็นเกาหลีออกไปยังชาวโลกตั้งแต่หลังปี 2000 เป็นต้นมา ให้แบรนด์ของเกาหลีใต้ติดตลาดมากยิ่งขึ้น

    เพราะหากสินค้ามีประสิทธิภาพพอๆ กัน สินค้าที่แบรนด์ดีกว่า ย่อมได้รับผลตอบรับมากกว่า


    อีกด้านก็คือ พัฒนาไปทางด้านอินเตอร์เน็ตและเทคโนโลยีอย่างมากในช่วงหลังจากปี 2010

    ด้วยการสร้างศูนย์กลางไอทีภายในประเทศ สร้างเมืองอัจฉริยะเป็นต้นแบบ ก่อนที่จะกระจายไปยังภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป

    ด้านนี้ พวกเขาหวังจะเป็นอีกหนึ่งผู้นำในยุคอนาคต ที่พึ่งพาระบบเครือข่ายพื้นฐาน 5G ซึ่งระบบ AI และหุ่นยนต์จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนเรา


    ย้อนกลับมามองประเทศไทย

    เกาหลีใต้และไทย ค่อนข้างมีความคล้ายคลึงกันในฐานะประเทศเกษตรกรรมเมื่อ 40-50 ปีก่อน

    และหลังจากนั้น ทั้งสองชาติก็เป็นประเทศที่พึ่งพาภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการรับจ้างผลิตเช่นกัน

    แต่สิ่งที่จะต่างไปอย่างเห็นได้ชัดก็คือ "การศึกษาวิจัย" มาต่อยอดกับบริษัทในประเทศ

    การเปลี่ยนจากผู้รับจ้าง กลายเป็นผู้ผลิต สร้าง "แบรนด์" ของตัวเอง แล้วส่งออกไปแทน

    ทุกวันนี้เกาหลีใต้มีแบรนด์ทีวี LG รถยนต์ Hyundai หรือสมาร์ทโฟน Samsung ไปตีตลาดในต่างแดนหลายๆ ประเทศ


    ในยุค 2020 นี้ ยังสายเกินไปไหม ที่ไทยจะเริ่มพัฒนาแบรนด์ของตนเอง??

    เพราะในยุคนี้ ประเทศอย่างเกาหลีใต้กำลังเปลี่ยนจากอุตสาหกรรม ไปสู่ประเทศนวัตกรรม

    เกิดเป็นคำถามที่ว่า เราควรเดินตามแนวทางที่เกาหลีใต้ทำไว้เมื่อ 30-40 ปีก่อนหรือไม่??

    หรือเราควรจะเดินหน้าไปอีกทาง พัฒนาไทยสู่ประเทศนวัตกรรมและด้านไอที เพื่อแข่งกันอีกด้านไปเลย

    พร้อมกับนำนวัตกรรมเหล่านั้น มาส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ซึ่งเป็นรายได้หลักของประเทศในตอนนี้

    คำถามดังกล่าว คงเป็นการตัดสินใจสำคัญทั้งของภาครัฐและบริษัทเอกชน ที่ไทยต้องนำมาขบคิดอย่างหนัก...

    แล้วคุณเองล่ะครับ คิดว่าเราควรจะพัฒนาไปในทิศทางไหนดี??


    -----------------------------------------


     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #รถพลังงานไฟฟ้าที่คุณไม่ต้องชาร์จไฟเอง!?

    คำถามที่มักจะทำให้เราหนักใจ เวลาต้องซื้อรถยนต์ไฟฟ้าสักคัน นอกจากเรื่องราคาก็คือ...

    จะใช้งานในชีวิตได้จริงเหรอ!? วิ่งได้ไกลแค่ไหน!? หาที่ชาร์จไฟได้รึเปล่า? และศูนย์บริการจะมีเพียงพอหรือไม่!?

    แต่.. มีแบรนด์มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่เข้ามาตอบโจทย์ แก้ปัญหาต่างๆ เหล่านั้นให้หมดไป

    จนทำให้มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของพวกเขา กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในไต้หวัน

    พูดง่ายๆ กว่ายอดขายมอเตอร์ไซค์ทุกรุ่นในไต้หวัน ช่วงครึ่งปี 2019 ที่ผ่านมาอยู่ที่ราวๆ 425,000 คัน

    แต่เฉพาะมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าของ Gogoro เพียงเจ้าเดียว ก็ขายได้กว่า 50,000 คัน คิดเป็น 11% ของตลาดทั้งหมดเลยทีเดียว

    Gogoro คืออะไร!? และพวกเขาทำได้อย่างไร!? เราจะพาคุณไปรู้จักให้มากขึ้นครับ

    จุดกำเนิดของ Gogoro

    ไต้หวันมีมอเตอร์ไซค์และสกูตเตอร์รวมกันกว่า 16 ล้านคัน ซึ่งในแต่ละปีก็จะก่อมลพิษขึ้นมหาศาล

    ในปี 2011 เมื่อ Horace Luke และ Matt Taylor มีไอเดียอยากจะผลิต "สกูตเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้งานได้จริง" มาทำตลาดในไต้หวัน

    เป็นจังหวะเดียวกับที่กระแสของการก่อตั้งบริษัทแบบสตาร์ทอัปเริ่มเป็นที่รู้จัก

    แม้ไม่มีเงินทุน ขอเพียงมีไอเดีย มีแผนงานที่เป็นไปได้ ก็จะสามารถดึงดูดเหล่านักลงทุนที่สนใจมาร่วมทุนด้วย

    พวกเขาออกแบบสกูตเตอร์ไฟฟ้า ที่วิ่งได้ไกลกว่า 100 กิโลเมตร ทำความเร็วได้ถึง 90 กม./ชม.

    ที่สำคัญคือระบบสถานีแบตเตอรี่ ที่ผู้ใช้ไม่ต้องจอดชาร์จไฟให้เต็มซึ่งนั่นจะใช้เวลารอชาร์จไฟนานมาก

    แต่กลับกัน ผู้ใช้สามารถสลับแบตเตอรี่ก้อนใหม่ที่สถานี ซึ่งนั่นเร็วกว่าการเติมน้ำมันที่ปั๊มน้ำมันแบบเดิมๆ ซะอีก

    ในที่สุดไอเดียดังกล่าวก็ได้รับความสนใจ จนได้เงินทุนก้อนแรกกว่า 1,500 ล้านบาท

    การเปิดตัว Gogoro รุ่นแรก

    หลังจากนั้นพวกเขาต้องใช้เวลาราวๆ 4 ปี ในการพัฒนาและตั้งโรงงานผลิตสกูตเตอร์ไฟฟ้าที่พวกเขาคิดไว้

    จนกระทั่งในปี 2015 บริษัทก็เปิดตัว Gogoro 1 สกูตเตอร์ไฟฟ้ารุ่นแรก พร้อมกับเครือข่ายสถานีแบตเตอรี่ Gogoro Energy Network

    ซึ่งลูกค้าที่ซื้อรถไป ไม่จำเป็นต้องสมัครเข้าเครือข่าย จะเลือกชาร์จไฟที่บ้านของตนเองหลังจากใช้งานเสร็จในแต่ละวันก็ได้

    แต่ลูกค้าที่สมัครเข้าเครือข่าย ซึ่งจะมีค่าบริการรายเดือนแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่เดือนละ 299 ไปจนถึงหลักพัน ขึ้นอยู่กับว่าวิ่งเยอะแค่ไหน

    พวกเขาจะสามารถใช้บริการสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ ซึ่งมีรูปร่างและการทำงานคล้ายกับตู้ขายของอัตโนมัติ

    เพียงนำรถมาจอด ถอดแบตเตอรี่ที่อยู่ใต้เบาะออก เอามาคืนที่ตู้แบตเตอรี่

    จากนั้นทำการสแกนผ่านแอปพลิเคชั่น ระบบจะบันทึกระยะทางที่ใช้งาน พร้อมปลดล็อคแบตเตอรี่ก้อนใหม่ให้หยิบไปเปลี่ยน โดยไม่ต้องรอเสียเวลาชาร์จไฟเลย

    และเพื่อให้คนหันสนใจ รถรุ่นแรกของพวกเขาออกแบบให้โฉบเฉี่ยว ทันสมัย เพื่อให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าได้ขับรถแห่งอนาคต

    นอกจากนี้ ยังเติมความสมาร์ทเข้าไป ให้รถสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชั่นในมือถือ

    ทั้งใช้ในการสตาร์ทเครื่อง ล็อครถ บอกสถานะของรถ หรือกระทั่งใช้ค้นหาสถานีแบตเตอรี่ที่อยู่ใกล้เคียงอีกด้วย

    การรู้จักปรับปรุงและพัฒนา

    การเปิดตัวในช่วงแรกตะกุกตะกักอยู่เล็กน้อย เนื่องจากเครือข่ายสถานีแบตเตอรี่อาจจะยังไม่ครอบคลุมเพียงพอ

    รวมถึง "ราคา" ของรถที่อยู่ในระดับ 100,000 บาท นั่นจึงยังเข้าไม่ถึงกลุ่มลูกค้าทุกระดับ

    แต่พวกเขาก็รู้จักปรับปรุงและพัฒนา อย่างเช่น การเปลี่ยนชิ้นส่วนอลูมิเนียม เป็นชิ้นส่วนเหล็กและพลาสติก ทำให้ราคาถูกลง

    Gogoro 2 จึงมีประสิทธิภาพไม่ต่างกับรุ่นแรกมากนัก แต่ก็มีราคาประมาณ 75,000 บาท

    ซึ่งราคานี้เป็นราคาที่พอๆ กับรถสกูตเตอร์รุ่นอื่นๆ ที่ใช้น้ำมัน ทำให้คนทั่วไปเริ่มจับต้องได้มากขึ้น และอยากเปลี่ยนมาใช้งานรถที่รักษ์โลกยิ่งขึ้นกว่าเดิม

    รวมไปถึงการจับมือกับร้านสะดวกซื้อ เช่าพื้นที่ด้านหน้าเพื่อสร้างเครือข่ายสถานีเปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ครอบคลุมมากขึ้น

    จนกระทั่งปัจจุบัน พวกเขาระบุว่าในปัจจุบันนี้มีสถานีแบตเตอรี่ทุกๆ 1.3 กิโลเมตรในไทเป และมากกว่า 1,000 จุดทั่วไต้หวัน

    ซึ่งนั่นเป็นเครื่องการันตีว่า ผู้ใช้งานไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด หรือหาที่เปลี่ยนแบตไม่ได้อีกต่อไป

    ความสำเร็จของ Gogoro

    อย่างที่เกริ่นไปตอนแรกว่า Gogoro สามารถครองส่วนแบ่งมากถึง 11% ของตลาดมอเตอร์ไซค์ในไต้หวันได้แล้ว

    ที่น่าสนใจก็คือ ยอดขายของมอเตอร์ไซค์ธรรมดาต่างก็ลดลง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าใหญ่ Kymco ตกลง -5% หรือ Yamaha ลดลง -26%

    แต่ Gogoro กลับสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา

    และพวกเขาก็เพิ่งประกาศว่ามีผู้ใช้งานในระบบสมาชิกรายเดือน เพิ่มขึ้นสูงถึง 200,000 คนอีกด้วย

    (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ตอนนี้พวกเขาขายรถไปได้มากกว่า 200,000 คันแล้ว หลังเปิดตัวมา 4 ปี)

    แม้แต่ละคนจะจ่ายค่าบริการรายเดือนแตกต่างกันไป แต่ลองคิดเล่นๆ ว่าเฉลี่ยจ่ายคนละ 500 บาทต่อเดือน

    เท่ากับว่าในแต่ละเดือนบริษัทจะมีรายได้เข้ามา 100 ล้านบาท หรือประมาณปีละ 1,200 ล้านบาท จากเฉพาะค่าสมาชิกเท่านั้น!!

    และนี่ก็คือเรื่องราวของ Gogoro จากสิ่งที่เป็นเพียงไอเดียเมื่อ 9 ปีก่อน...

    ในวันนี้ ไอเดียสกูตเตอร์ไฟฟ้านั้นเป็นจริง ไม่เพียงแต่ใช้งานได้จริงอย่างเดียว แต่ยังแก้ปัญหาและคลายความกังวลที่ลูกค้ามีต่อยานยนต์ไฟฟ้าได้อีก

    นั่นทำให้สินค้าประสบความสำเร็จ และมีลูกค้าเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

    กลายป็นบริษัทมูลค่ามหาศาลนับหมื่นล้าน และกำลังจะก้าวข้ามจากไต้หวันไปทำตลาดต่างประเทศ

    สำหรับ "ประเทศไทย" ก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มียอดการใช้งานรถมอเตอร์ไซค์สูงมาก

    ในอนาคตอันใกล้ คุณคิดว่าคนไทยจะหันมาใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แทนมอเตอร์ไซค์ธรรมดาหรือไม่!?

    โมเดลธุรกิจแบบ Gogoro จะสามารถเกิดขึ้น และประสบความสำเร็จในไทยมากเพียงใด!?

    ร่วมพูดคุย แชร์ประสบการณ์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องราวเหล่านี้ ได้ในช่องคอมเมนต์เช่นเคยครับ...


    -----------------------------------------

     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เปิดประวัติ Henry Ford จากลูกชาวนาบ้านนอก สู่ผู้ปฏิวัติวงการยานยนต์โลก!! #ชายผู้สร้างอเมริกาคนที่5

    เรื่องราวของ Henry Ford เริ่มต้นขึ้นเมื่อเขาลืมตามาดูโลกในปี 1863

    เขาเติบโตขึ้นมาในครอบครัวชาวไร่แห่งรัฐมิชิแกน และถูกคาดหวังว่าจะสืบทอดกิจการไร่นาของครอบครัวต่อ

    อย่างไรก็ตาม งานทำไร่ทำนานั้น กลับเป็นสิ่งที่เขาไม่ค่อยจะชอบ เขาไม่มีความหลงใหลในการดูพืชผลเติบโตขึ้นมา

    ในอีกมุมหนึ่ง Henry กลับหลงใหลในโลกของเครื่องยนต์กลไกเป็นอย่างมาก

    ตั้งแต่เด็ก เขามักจะนำของรอบตัวมาถอดประกอบเล่น ยืมนาฬิกาเพื่อนบ้านมาถอด ดูกลไก แล้วก็ใส่กลับเข้าไปใหม่

    หรือกระทั่งเมื่อครอบครัวซื้อเครื่องจักรไอน้ำมาทำการเกษตร เขาก็ศึกษามันอย่างจริงจัง ถึงขั้นซ่อมอุปกรณ์เหล่านั้นเป็น

    ความชอบในกลไก มากกว่าการทำเกษตรนี้ ทำให้ในวัย 16 ปี เขาตัดสินใจเดินทางเข้าเมืองดีทรอยต์เพื่อหางานทำ

    ซึ่งเมืองดีทรอยต์ในยุคนั้น กำลังเริ่มตั้งตัวด้านอุตสาหกรรม เป็นที่ตั้งของโรงงานผลิตเครื่องจักร ซิการ์ ยา และอาหาร

    แถมยังอยู่ใกล้กับเหมืองถ่านหิน เหล็ก และทองแดงขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ

    ที่สำคัญ การเดินทางสะดวกทั้งทางรถไฟและทางเรือ ทำให้มันช่างเหมาะกับการเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ที่กำลังจะมาถึงในอนาคต


    หลังจากนั้น Henry มีโอกาสได้ทำงานในบริษัทของ Thomas Edison เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับระบบไฟฟ้า

    หน้าที่ของเขาคือการดูแลเครื่องยนต์ไอน้ำที่ใช้ผลิตไฟฟ้า ให้เครื่องยนต์ดังกล่าวทำงานได้ตามปกติ

    ถ้าทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี ตัวของ Henry ก็มีเวลาว่างสามารถจะทำอะไรก็ได้

    ในตอนนั้นเขามีความหลงใหลในเครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมัน แล้วก็มองว่ามันน่าจะมาแทนเครื่องจักรไอน้ำได้ ทั้งการทำงานที่เร็วว่า เสถียรกว่า และมีขนาดเล็กกว่า

    ซึ่งก็แน่นอนว่า เขาใช้เวลาในจุดนี้ทดลองกับเครื่องยนต์น้ำมัน เพื่อสร้าง "รถม้า" ที่วิ่งได้โดยไม่ต้องใช้ม้า

    จนกระทั่งเขาสามารถสร้างเจ้า "Quadricycle" รถติดล้อจักรยาน 4 ข้างที่วิ่งด้วยน้ำมันได้จริงๆ


    พอสามารถทำรถยนต์น้ำมันคันแรกได้แล้ว Henry เลยตัดสินใจออกมาทำบริษัทรถยนต์ของตัวเอง ด้วยการระดมทุนจากเหล่านักลงทุนที่สนใจ

    ในตอนแรก Henry ต้องใช้เวลาถึง 6 เดือนในการสร้างรถคันแรกของบริษัท

    และผ่านไปอีก 2 ปี เขาก็สร้างรถได้ประมาณ 10 คันเท่านั้น

    การไร้ความคืบหน้าของผลงานเช่นนี้ ทำให้เขาถูกผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ไล่ออกจากบริษัทที่สร้างขึ้นเอง

    แต่แทนที่จะเลิกล้มความตั้งใจ การโดนไล่ออกจากบริษัท กลับทำให้ Henry ได้คิดทบทวนอะไรบางอย่าง...


    แทนที่จะทำ "รถยนต์ราคาแพง" ให้คนรวยใช้งาน ทำไมจึงไม่ทำรถยนต์ราคาถูกลง ที่คนทั่วไปเข้าถึงได้แทนล่ะ!?

    แน่นอนว่าการทำแบบนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก และ Henry เองก็ต้องลองผิดลองถูกกับรถของเขาอยู่ถึง 20 รุ่น

    และในที่สุด เขาก็สามารถสร้างรถยนต์แบบที่ตัวเองต้องการได้

    แต่อีกปัญหาหนึ่งคือเรื่องของการผลิต จะทำยังไงให้ผลิตรถยนต์ได้ทันล่ะ!?

    ในที่สุดหลังจากขบคิด และได้ไอเดียระบบ "สายพาน" ที่เห็นในโรงฆ่าสัตว์ เขาจึงนำมันมาประยุกต์เข้ากับการผลิตรถยนต์

    แทนที่จะให้คนคนเดียวสร้างรถยนต์ เราก็ทำเป็นสายพานลำเลียงเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพงานมากที่สุดสิ!!


    วิธีการผลิตแบบใหม่ ทำให้ Ford สามารถเปลี่ยนรถยนต์จากสินค้าราคาแพงสำหรับคนรวย กลายมาเป็นสินค้าที่คนทั่วไปเอื้อมถึงได้

    ในปี 1903 เขาก่อตั้ง Ford Motor Company และโรงงานรถยนต์แห่งใหม่ขึ้นในเมืองดีทรอยต์

    ในปี 1905 โรงงานใหม่ของเขาสามารถผลิตรถได้ถึงวันละ 25 คัน และมากถึงราวๆ 1,600 คันต่อปี

    ในปี 1906 บริษัทก็ประสบความสำเร็จในการใช้ระบบผลิตแบบสายพาน จนพวกเขาสามารถผลิตรถได้ร่วม 8,400 คันต่อปี

    ในปี 1909 รถ Model T ได้รับความนิยม มียอดสั่งซื้อเข้ามาถึง 25,000 คัน

    ซึ่งนั่นมากกว่ากำลังการผลิตของบริษัทที่ราวๆ ปีละ 17,000 คัน

    ในปี 1910 เขาจึงสร้างโรงงานเพิ่มอีกแห่งเพื่อเพิ่มกำลังการผลิต ทำให้พวกเขาผลิตรถได้ถึง 20,000 คัน และสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกในปีต่อๆ ไป

    ต่อมาในปี 1916 พวกเขาก็สามารถผลิตรถได้มากถึงปีละกว่า 580,000 คัน

    กำลังการผลิตที่มหาศาลขนาดนั้น ทำให้ Ford สามารถลดราคาสินค้าของเขาได้กว่า 55%

    จากตอนแรกขายรถในราคา 800 ดอลลาร์ แต่ตอนนี้ รถยนต์ของเขาลดราคามาเหลือ 350 ดอลลาร์แล้ว ยิ่งทำให้ลูกค้าสนใจรถยนต์มากขึ้นไป

    ว่ากันง่ายๆ ก็คือ เขาคือต้นแบบแห่งการผลิตยานยนต์เชิงอุตสาหกรรมของโลก ที่ภายหลังค่ายจากยุโรปและญี่ปุ่น ก็ได้เรียนรู้งานเอาไปทำตามด้วย!!


    Henry Ford กลายเป็นคนที่ทำให้ชาวอเมริกันได้ใช้รถยนต์กันอย่างแพร่หลาย และก้าวเข้าสู่ยุคแห่งรถยนต์อย่างเต็มตัว

    เมืองดีทรอยต์ ก็มีค่ายรถยนต์อื่นๆ เข้ามาเปิดกิจการอีกมากมาย ทั้ง General Motors, Dodge และ Chrysler Corp

    เชื่อหรือไม่ว่าตอนที่ Ford ตั้งโรงงาน เมืองแห่งนี้ยังมีคนอยู่อาศัยเพียง 286,000 คน

    แต่ในยุคอุตสาหกรรมยานยนต์เฟื่องฟูที่สุดในปี 1950 มีคนย้ายเข้ามาทำงาน และอาศัยในเมืองแห่งนี้เกือบ 2 ล้านคน!!


    บริษัท Ford ของเขาก็สามารถเป็นเจ้าแห่งตลาดรถ ที่ทำกำไรได้มหาศาลอยู่เป็นสิบๆ ปี

    และกว่าที่บริษัทรถอื่นๆ ในยุคนั้น จะไล่ตามเทคโนโลยีและกำลังการผลิตของบริษัท Ford ทัน

    เขาก็ครองโลกยานยนต์ กลายเป็นเศรษฐีที่มีมูลค่าทรัพย์สินกว่า 6.2 ล้านล้านบาทไปแล้ว (เมื่อเทียบเป็นค่าเงินในปัจจุบัน)


    Henry Ford ไม่ใช่คนแรกของโลก ที่ผลิตรถยนต์น้ำมันออกมาได้

    แล้ว Henry Ford ก็ไม่ใช่ผู้คิดค้นระบบสายพานการผลิตคนแรกอีก

    แต่ Henry Ford คือคนที่นำทั้งสองอย่างมารวมกัน แล้วก็สามารถปฏิวัติวงการยานยนต์ของโลก ได้สำเร็จในที่สุด..


    -----------------------------------------



     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    [นี่คือผลข้างเคียงที่ปรากฏขึ้นในเบื้องต้น "ในทางตรงกันข้าม 70% ของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน บอกว่าปวดศีรษะและอ่อนเพลีย"]

    #ข่าวร้อนในญี่ปุ่น สื่อญี่ปุ่นเผย มหาวิทยาลัยในอังกฤษ สหราชอาณาจักรได้ยืนยันว่าปริมาณของ "แอนติบอดี" ที่มีบทบาทในการสร้างภูมิคุ้มกันเพิ่มขึ้นหลังจากการฉีดวัคซีน ซึ่งเป็นผลจากการทดลองทางคลินิกในมนุษย์ สำหรับโควิด-19 ที่พัฒนาโดย บริษัท ยา สรุปจาก เฟส 1/2
    .
    มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดกำลังพัฒนาวัคซีนสำหรับโควิด-19 ร่วมกับทาง AstraZeneca ยักษ์ใหญ่ด้านเภสัชกรรม และผลการทดลองทางคลินิกในระยะแรก ได้ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ของอังกฤษ Lancet
    .
    เมื่อตรวจปริมาณแอนติบอดีใน 127 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีน ยืนยันว่าจำนวนแอนติบอดีนั้นสูงกว่าของผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และสูงที่สุดใน 28 วันหลังการฉีดวัคซีน
    .
    นอกจากนี้ปริมาณของแอนติบอดียังคงอยู่ในระดับสูง หลังผ่านไป 56 วัน ในทางตรงกันข้าม 70% ของผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีน บอกว่าปวดศีรษะและอ่อนเพลีย
    .
    ทีมพัฒนาระบุว่า "ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพที่ร้ายแรง" และกำลังทดลองทางคลินิก เพื่อยืนยันความปลอดภัยและประสิทธิภาพให้ดีขึ้น
    .
    นอกจากนี้วารสารทางการแพทย์ฉบับเดียว ก็ตีพิมพ์ผลการทดลองทางคลินิกระยะที่สอง ซึ่งยืนยันการผลิตแอนติบอดีและความปลอดภัยของวัคซีนตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในประเทศจีนอีกด้วย
    .
    นายกรัฐมนตรีจอห์นสันของอังกฤษกล่าวว่า "นี่เป็นก้าวสำคัญ เป็นข่าวดีที่ยังไม่รับประกัน แต่เป็นก้าวสำคัญในทิศทางที่ถูกต้อง”
    .
    องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า “ความท้าทายต่อไป คือการผลิตเพียงที่เพียงพอต่อความต้องการโลก เมื่อวัคซีนมีประสิทธิภาพดีขึ้น โดยอยากให้ทุกประเทศช่วยกันผลิต”
    .
    ขอบคุณข้อมูลจาก https://bit.ly/3eOWLpz

     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,797
    ค่าพลัง:
    +97,150
    #อัพเดทญี่ปุ่น วันนี้ 21 ก.ค. เวลา 12.00 กรุงโตเกียว ประกาศมีผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มอีก 237 ราย ทำให้ตอนนี้มียอดรวมผู้ติดเชื้อโควิด-19 เฉพาะกรุงโตเกียวอยู่ที่ 9,816 รายแล้ว
    .
    15.30 อัพเดทจาก 230 เป็น 237 ราย
    .
    ขอบคุณข้อมูลจาก https://bit.ly/39hGDvq
    แค่กด see first หรือ “ดูเป็นอันดับแรก” ก็จะไม่พลาดทุกข่าวสาร

     

แชร์หน้านี้

Loading...