@@..คำครู ผู้ชี้-นำ-อุปถัมภ์ สู่พระโพธิญาณ & เรื่องเล่าจากกัลยาณมิตร.@@

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 10 กรกฎาคม 2015.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    oBihhl8GpPE3KA05tAP13swHlYIMWqrvoerA5rsZMk6HOx1QShFJcE16f__TolFfc7OKKJft&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ⚜️ #แนะนำให้คนรู้จักพระนิพพานได้แม้แต่คนเดียวถือว่าคุ้ม⚜️

    พระอาจารย์กล่าวว่า "#สมัยก่อนหลวงพ่อวัดซุงท่านถามว่า "เล็ก...ไปอเมริกาด้วยกันไหม ?" อาตมาตอบว่า "ไม่ไปครับหลวงพ่อ" ท่านถามว่า "ทำไมวะ ?" กราบเรียนว่า "ค่าเครื่องบินตั้ง ๔ หมื่นกว่าบาท #ผมกลัวไปแล้วทำงานไม่คุ้มครับ"

    หลวงพ่อกลับจากอเมริกา อาตมาก็มารับท่าน คณะที่ไปกับหลวงพ่อ ๓๒ คน #ก็แปลว่าหลวงพ่อต้องจ่ายค่าเครื่องบินทั้งคณะล้านกว่าบาท กราบเรียนหลวงพ่อด้วยความคับข้องใจมากว่า "หลวงพ่อครับ #จ่ายเงินทีเป็นล้านคุ้มแบบนี้หรือครับ ?" ท่านบอกว่า "#ถ้าแนะนำให้คนรู้จักพระนิพพานได้แม้แต่คนเดียวถือว่าคุ้ม #เพราะว่าเงินล้านซื้อพระนิพพานไม่ได้..!" จริงของท่าน แต่ตอนนั้นอาตมามองไม่ถึง มองไม่เห็น กลัวว่าไปแล้วทำประโยชน์ไม่สมกับค่าของเงิน"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.(หลวงพ่อเล็ก สุธัมมปัญโญ)
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนเมษายน ๒๕๖๐
     
  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ng9gurN0e7uvUSrWvvIvEihjCNc-eL9slfv6Ia4sN2-AtolBxz85jfsxyBet22VLOtYlNvuL&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    พระอาจารย์เล่าเรื่องผี

    พระอาจารย์กล่าวว่า "อวิชชา ความไม่รู้ ถ้ามีอยู่เราก็โง่เขลางมงาย หลงเชื่อผิด ๆ พอวิชชาคือความรู้เกิดขึ้น เหมือนกับแสงสว่างก็คือแสงแห่งดวงปัญญา มาขับไล่ความมืดออกไป เราก็จะรู้เห็นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของสถานการณ์บ้านเมือง อุเบกขาเป็นไทยเฉยไว้จะปลอดภัยที่สุด ไม่อย่างนั้นคุณอยู่ต่างประเทศก็ต้องมารายงานตัววันนี้

    จะเล่าเรื่องเมื่อคืนที่ถูกผีหลอกให้ฟัง ปกติอาตมาบ้าจนผีไม่หลอกมาหลายสิบปีแล้ว ปรากฏว่าด้วยความป่วย ก็คงทำให้สภาพจิตอ่อนแอลงไปหน่อย เมื่อคืนก็เลยมีผี ๓ ตัวโผล่มา เป็นเด็กนักเรียน ๒ คนกับเด็กวัยรุ่นไม่ได้แต่งชุดนักเรียนคนหนึ่ง คาดว่าเป็นเพื่อนของนักเรียนนั่นแหละ เขาตกน้ำตายตายแถว ๆ นี้ ที่รู้ว่าเป็นตรงจุดนี้ เพราะความเป็นทิพย์บอกว่าเขาตกน้ำตายแถวนี้

    แต่คราวนี้พอถามว่าเป็นใคร ? มาธุระอะไร ? ถามอย่างไรก็ไม่ตอบ ยืนก้มหน้าเงียบ อาตมาเองสมัยนี้ไม่เหมือนสมัยก่อน สมัยก่อนที่ยังปรารถนาพุทธภูมิอยู่ พอรู้ว่าเขาลำบากก็จะตะเกียกตะกายไปช่วย ต่อให้เขาว่าเสือกก็ยังจะช่วย แต่สมัยนี้ไม่ใช่ สมัยนี้ไม่เอาแล้วพุทธภูมิ เพราะว่าเหนื่อย เอาแค่เหตุการณ์เฉพาะหน้า เคยประกาศไว้นานแล้วว่า ถ้าไม่ได้มาล้มทับตีนจนอาตมาเดินหนีไม่ได้นี่ไม่ช่วยหรอก

    ในเมื่อพูดแล้วไม่คุยก็เรื่องของเอ็งเถอะ จะไปไหนก็ไป เมื่อคืนก็ยังมีความรู้สึกเหมือนเดิมว่าเวลาผีมาแล้วขนสันหลังลุก เคยถามตัวเองมานานเนกาเลแล้วว่า นี่เรายังกลัวอยู่ใช่ไหม ? สรุปได้ว่าไม่ใช่กลัว เกิดจากเวลาผีเขาจะแสดงตัวตนให้เราเห็น เขาต้องดึงเอาธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เข้ามารวมกัน เพื่อปรากฏเป็นกายให้เราสามารถรู้เห็นได้ ตอนที่เขาดึงเอาสิ่งต่าง ๆ ไปทำให้อุณหภูมิลดลง เราจะขนลุกเหมือนตอนกำลังหนาว

    ฉะนั้น..ถ้ารู้สึกเย็นยะเยือกแล้วขนลุกเกรียว ๆ ก็อาจจะมีอะไรมาอยู่ใกล้ ๆ แล้ว เขาพยายามแล้วแต่ยังโผล่มาไม่ได้ พวกฝีมือไม่ถึงนี่บางทีมาได้แต่กลิ่น มาได้แต่เสียง บางทีก็เห็นแวบ ๆ แล้วก็หายไปเพราะกำลังไม่พอที่จะทำได้นาน ส่วนที่ปรากฏได้ชัด ๆ นั่นไม่ค่อยลำบากหรอก เพียงแต่ว่าถ้าคุณไม่ค่อยลำบาก อยากได้ดี แต่ถามอะไรไม่พูดด้วยก็เรื่องของคุณเถอะ..!

    อาตมาขอยืนยันว่าปัจจุบันนี้ถ้าผีฝีมือไม่ถึงจะหลอกยากมาก เนื่องจากว่าแสงไฟฟ้าของเรากะพริบด้วยความถี่ประมาณ ๕๐ รอบต่อวินาที ในเมื่อมีการกระพริบกระแทกอยู่ตลอดเวลา เวลาผีเขาพยายามรวบรวมอณูของ ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ามา ก็ถูกกระแทกกระจายหมด ทำให้ไม่สามารถที่จะปรากฏตัวได้ พวกที่เปิดไฟนอนเพราะกลัวผีถือว่าถูกต้อง แต่ใช้ได้แค่ผีบางจำพวกเท่านั้น ผีระดับอนุบาลนะ ถ้าหากผีระดับมัธยม ระดับปริญญาความรู้เขาสูง เขาหลอกจนได้แหละ ถ้าระดับด็อกเตอร์ก็มาเที่ยง ๆ เลย แดดกูก็ไม่กลัว อาตมาโดนมาเยอะแล้ว"

    "แล้วบางท่านหนักกว่านั้นอีก แดดเปรี้ยง ๆ แท้ ๆ กลัวจะเล่นเราไม่ถนัด ทำให้มืดฟ้ามัวฝนได้ด้วย ถ้าประเภทนั้นต้องระวังนะ ส่วนใหญ่จะเป็นมหิทธิกาเปรตหรือกาลกัญจิกอสุรกาย ถ้าเจรจากันไม่รู้เรื่องนี่เรามีสิทธิ์เดี้ยง กำลังเขาสูงมาก คล้าย ๆ เทวดาเลย

    พวกนี้ส่วนใหญ่เคยเป็นพ่อมดหมอผีมาก่อน แต่เมื่อเป็นมิจฉาทิฐิ ตายแล้วไปเสวยทุกข์ในนรก พ้นขึ้นมาก็มาเป็นมหิทธิกาเปรตหรือกาลกัญจิกอสุรกาย มิจฉาทิฐิเต็มหัวอยู่ ถือตนเป็นใหญ่ ก็มักจะตั้งตนเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่ พอเราไปในเขตของเขาถ้าไม่ชอบใจนี่เขาก็เล่นงานเลย

    ถ้าเจอผีระดับนั้นเที่ยง ๆ ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก อาตมาเจอนี่..เที่ยง ๆ เดินทะลุข้างฝามาเลย ตัวใหญ่เกือบเท่าภูเขา เอื้อมมือกำอาตมาอย่างกับเด็กกำตุ๊กตา ไปนึกถึงตุ๊กตาขอฝนของญี่ปุ่น เหมือนตัวเราเหลือประมาณแค่นั้นเอง แล้วตัวเขาจะใหญ่แค่ไหน ? พยายามใช้อะไรก็สู้เขาไม่ได้ เพราะเขาอยู่ในความเป็นทิพย์ มีความคล่องตัวมากกว่า

    ท้ายสุดก็ตัดสินใจว่า “ตายก็ตายละวะ ในเมื่อตายก็ควรตายอย่างผู้ที่มีจิตใจบริสุทธิ์” จึงแผ่เมตตาให้เขา ปรากฏว่าไปขี้ตรงร่องท่าไหนก็ไม่รู้ เขาแพ้เราตรงนี้ พอแผ่เมตตาตัวเขาก็หดเล็กลง ๆ ท้ายสุดเราก็ใหญ่กว่า แบบนี้เอ็งก็เสร็จข้าแหละ..!

    ฉะนั้น..พวกเราไปลองดูได้นะ ถ้าเราแผ่เมตตาด้วยความจริงใจ บางทีก็ชนะได้ทุกอย่าง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านยืนยันว่าเป็นอาวุธของท่าน ท่านเรียกว่า "อาวุธพระพุทธเจ้า" หลวงปู่ดู่ท่านเรียก "พระขรรค์เพชรพระพุทธเจ้า" ก็คือบท เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิง มานะสัมภาวะเย อะปริมาณังฯ เรียกง่าย ๆ ว่าบทกรณีฯ ที่ขึ้นด้วย กะระณียะมัตถะกุสะเลนะ ยันตัง สันตัง ปะทัง อะภิสะเมจจะฯ นั่นแหละ ไปไหนให้ภาวนาเอาไว้จะปลอดภัย อาตมาเสกพระขรรค์โสฬสก็ด้วยบทนี้แหละ ไม่มีคาถาอะไรมากกว่านี้หรอก"
    __________________
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    j3IVhe7nS4tb7S9jCJjXjwSwUd2ufw4MmJmUpaux_gpUUyV-iO2P0ExZegacpFps6OiZs6nz&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    อาตมาเองโดนเพื่อนพระบางท่านที่อยู่ในกลุ่มไลน์สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดตำหนิมา บอกว่าไปเที่ยวเสกวัตถุมงคล ไม่ใช่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน ควรที่จะเอาธรรมะบริสุทธิ์ไปให้แก่ญาติโยม.

    อาตมาก็บอกว่า คนเข้าร้านข้าวแกงมากกว่า หรือเข้าร้านขายเพชรมากกว่า ? ก็ต้องคนเข้าร้านข้าวแกงมากกว่า เพราะว่าเขาต้องกินอยู่ทุกวัน เนื่องจากเงินยังมีไม่เพียงพอ ไม่เหลือเฟือขนาดจะไปซื้อเพชร สำคัญอยู่ที่เราว่าทำอย่างไรที่จะแนะนำคนขายข้าวแกงว่า มีเพชรซึ่งมีคุณค่ามหาศาลอยู่ ถ้าหากว่าคุณรวบรวมเงินได้เพียงพอแล้วก็ควรที่จะซื้อติดตัวเอาไว้บ้าง.

    แบบเดียวกับหลักธรรมของพระพุทธเจ้าก็คือเพชร แต่คนส่วนใหญ่กำลังใจไปไม่ถึง ก็ไปได้แค่ขั้นต้น โบราณจารย์ท่านฉลาด ท่านให้เรายึดวัตถุมงคล โดยไม่ให้ห่างจากทาน ศีล ภาวนา เราจะเห็นว่าวัตถุมงคลบางชิ้นเราต้องภาวนาคาถาเงินล้าน ต้องใส่บาตรประจำ วัตถุมงคลบางชิ้นเราต้องรักษาศีลอย่างน้อยสองข้อ ก็คือ ต้องไม่ลักขโมย ต้องไม่กินเหล้า เป็นต้น".

    "ถึงเวลาก็ต้องมีการอาราธนา ก็คือการภาวนา ก็แปลว่าโบราณาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านมีความฉลาด กำลังใจของเรายังต่ำอยู่ ไม่สามารถที่จะกอบโกยเอาเพชรมาได้ ท่านก็พยายามที่จะต่อ ก็คือต่อบุญต่อกำลังใจของเรา หาทางเสริมบุญของเราให้เพียงพอ เหมือนอย่างกับสร้างต้นทุนให้เราพอที่จะซื้อเพชรนั้นได้ ไม่ใช่ไปยืนตำหนิชี้หน้าด่าคนอื่น ว่าดีแต่ชวนชาวบ้านเขากินข้าวแกง ไม่ใช่ชวนชาวบ้านซื้อเพชร เขาไม่มีสตางค์นี่คุณ จะได้พูดเต็มปากเต็มคำว่าเศรษฐกิจดี แล้วดีอยู่กี่คน เรื่องนี้เกี่ยวกันหรือเปล่า ? ไม่เกี่ยวนะ..บ่นแล้วก็พูดเลยไป.

    เรื่องพวกนี้ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกัน พอตนเองทำไปถึงระดับหนึ่ง จะเกิดมานะ เกิดทิฐิ เห็นว่าตนเองทำดีแล้ว ถูกแล้ว ถ้าคนอื่นไม่ทำแบบนี้ก็คือใช้ไม่ได้ ถ้าลักษณะอย่างนี้ต้องบอกว่าโลกทัศน์คับแคบมาก ไม่มองบริบทและความเป็นจริงในสังคมของเรา ในสังคมที่คนยังไปถูท่อนไม้ ยังไปไหว้หมาหน้าเป็นลิง ยังไปไหว้ต้นกล้วยออกปลีกลางต้น ยังไปไหว้ต้นมะพร้าวออกจั่นเหมือนหงอนพญานาค แล้วคุณจะไปเอาธรรมะบริสุทธิ์ที่ไหนมาให้เขาได้ ?.

    ใคร ๆ ก็รู้ว่าปริญญาเอกเป็นความรู้สูงสุดที่บ้านเรามี เด็กไม่ทันจะจบ ป.๔ แล้วบอกให้ไปเรียนปริญญาเอก เขาจะเรียนไหวไหม ? ท่านไม่ค่อยจะนึกถึงตรงนี้กัน ในเมื่อเกิดทิฐิมานะขึ้นมาก็แบก แบกความรู้ แบกความดี วาระสุดท้ายแม้แต่ดีชั่วก็แบกไม่ได้ ต้องวางหมด เพราะถ้าไม่วางก็ไปไหนไม่ได้ แต่ทีนี้เรายังแบกดีอยู่ จะไปเอาดีได้อย่างไร ? เพราะว่าดีแท้ต้องเลิกแบก.

    แต่บางทีอาตมาเองก็ดูแล้ว ในเมื่อท่านกำลังใจเป็นแบบนี้ ก็อยู่ในประเภทน้ำชาล้นถ้วย เทลงไปก็ล้นทิ้งเสียเปล่า ๆ ดีไม่ดีก็ขัดคอกันด้วย จึงต้องเงียบไว้ก่อน ปล่อยท่านแสดงทัศนคติของท่านไป โดยที่คิดว่าเอาที่ท่านสบายใจก็แล้วกัน"
    ___
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    "...ในเมื่อพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ยังเหลือแต่เจดีย์ 4 เหล่า คือ บริโภคเจดีย์ ธาตุเจดีย์ ธรรมเจดีย์ อุทเทสิกเจดีย์ พุทธศาสนิกชนไปถึงที่เช่นนั้นเข้าแล้ว ในเมื่อกั้นร่ม ควรลดร่มลง ห่มผ้าปิด 2 บ่า ควรลดออกเสียบ่าหนึ่ง ในเมื่อสวมรองเท้าเข้าไป ควรถอดรองเท้าเสีย และเข้าไปในที่นั้นไม่ควรแสดงอึงคะนึงและไม่เคารพ แต่อย่างใดอย่างหนึ่ง

    ต้องแสดงเคารพอย่างจริงใจ ไม่ทิ้งของที่สกปรกลงไว้ เช่น ก้นบุหรี่ หรือชานหมาก น้ำลาย น้ำมูก อุจจาระ ปัสสาวะ ในที่บริเวณนั้น เมื่อเข้าไปในที่นั้นเห็นรกปัดกวาดเสีย ถากถางเสีย เห็นไม่สะอาด ทำให้สะอาด เห็นผุพัง ควรแก้ไข ซ่อมแซมปฏิสังขรณ์ได้ก็ยิ่งดี ดังนี้เป็นความนอบน้อมพระผู้มีพระภาคด้วยกาย โดยบุคลาธิษฐาน

    อนึ่ง นำเรื่องของพระรัตนตรัยไปสรรเสริญในที่นั้น แก่บุคคลนั้นอยู่เนืองๆ ดังนี้ ก็ชื่อว่า นอบน้อมด้วยวาจา

    และคิดถึงพระรัตนตรัยอยู่เนืองๆ ไม่ยอมให้ใจไปจรดอยู่กับอารมณ์สิ่งอื่นมากนัก คอยบังคับใจให้จรดอยู่กับพระรัตนตรัยเนืองๆ ดังนี้ ชื่อว่า นอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยใจ

    " ความนอบน้อมของข้าพเจ้าจงมีแด่พระผู้มีพระภาคผู้เป็นองค์อรหันต์ ตรัสรู้แล้วเองโดยชอบ "

    บรรดาพุทธศาสนิกชนทั้งหลายต้องว่าดังนี้ ทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลายในเวลาทำศาสนกิจทุกครั้ง เช่น พระเถรานุเถระกระทำสังฆกรรม และอุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายจะสมาทานศีล ก็ต้องว่า “นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส” ถึง 3 หน

    จะว่าแต่เพียงหนหนึ่งหรือสองไม่ได้ หรือได้เหมือนกันแต่ว่าไม่เต็มรัตนตรัยทั้ง 3 กาล จะให้เต็มหรือถูกรัตนตรัยทั้ง 3 กาลแล้ว ต้องว่าให้เต็ม 3 หน

    หนที่ 1 นอบน้อมพระรัตนตรัยในอดีต
    หนที่ 2 นอบน้อมพระรัตนตรัยในปัจจุบัน
    หนที่ 3 นอบน้อมพระรัตนตรัยในอนาคต

    ทั้งหมดต้องว่า 3 หน จึงครบถ้วนถูกพระรัตนตรัยทั้ง 3 กาล

    รัตนตรัย แบ่งออกเป็น 2 คือ
    รัตนะ 1 ตรัย 1,
    รัตนะ แปลว่า แก้ว ตรัย แปลว่า 3
    รัตนตรัยรวมกันเข้า แปลว่า แก้ว 3

    พุทธรัตนะ แก้วคือพระพุทธ
    ธรรมรัตนะ แก้วคือพระธรรม
    สังฆรัตนะ แก้วคือพระสงฆ์

    ทำไมจึงต้องเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มาเปรียบด้วยแก้ว

    ที่ต้องเปรียบด้วยแก้วนั้น เพราะแก้วเป็นวัตถุทำความยินดีให้บังเกิดแก่เจ้าของผู้ปกครองรักษา ถ้าผู้ใดมีแก้วมีเพชรไว้ในบ้านในเรือนมาก ผู้นั้นก็อิ่มใจ ดีใจ ด้วยคิดว่าเราไม่ใช่คนจน ปลื้มใจของตนด้วยความมั่งมี

    แม้คนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของเล่า เห็นแก้วเห็นเพชรเข้าแล้ว ที่จะไม่ยินดีไม่ชอบนั่นเป็นอันไม่มี ต้องยินดีต้องชอบด้วยกันทั้งนั้น ฉันใด

    รัตนตรัยแก้ว 3 ดวง คือ พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ทั้ง 3 นี้ ก็เป็นที่ยินดีปลื้มใจของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ฉันนั้น
    พระรัตนตรัยเป็นแก้วจริงๆ หรือเปรียบด้วยแก้ว

    ถ้าเป็นทางปริยัติเข้าใจตามอักขระแล้ว เป็นอันเปรียบด้วยแก้ว

    ถ้าเป็นทางปฏิบัติเข้าใจตามปฏิบัติแล้ว เป็นแก้วจริงๆ ซึ่งนับว่าประเสริฐ เลิศกว่าสวิญญาณกรัตนะและอวิญญาณกรัตนะ ซึ่งมีในไตรภพ ลบรัตนะในไตรภพทั้งหมดสิ้น..."

    คัดลอกบางส่วนจาก
    พระธรรมเทศนา เรื่อง รตนัตตยคมนปณามคาถา
    เทศน์เมื่อ ๖ มีนาคม ๒๔๙๒
    โดย พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

    wcR5sxMCbVqKH7PDEGzS1PzsO1y4LyDc3YuJy7DmhDuGs7DvM7h0QS3RnXnqFT7wH-BNkDOo&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    aN0_OQ9_wzWStwZVrVIl2gQVrQliRHSuzJVQw3gyRaO0689elp2K04BqEcwHj_22wBVVwtGz&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    XzvhqhB69af7lrqxTXcjO_3JIL4VrcpI7BozGnd_mO1JVcNQC3e6GarQ4g6CH5T6ODjPvYYr&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    หลวงปู่เคยกล่าวถึงบารมีของพระอรหันต์ว่า แม้ท่านจะมีความบริสุทธิ์จากกิเลสเหมือนกัน แต่ความสามารถของแต่ละท่านอาจไม่เหมือนกัน ถ้าพูดกันทางโลกอย่างผู้เรียนจบปริญญาจากต่างมหาลัยเมื่อสำเร็จแล้วก็มีศักดิ์และสิทธิแห่งปริญญาที่ได้และในปริญญาที่จบนั้นก็ยังแยกออกไปถึงความสามารถ หรือความฉลาดในระดับคะแนนที่ต่างกัน พระอรหันต์ก็เช่นเดียวกัน มีทั้งสุกขวิปัสสโก คือ สำเร็จพ้นทุกข์ แต่ความสามารถพิเศษในสิ่งลึกลับมีไม่เท่ากัน พระที่ได้วิชชา ๓ อภิญญาและพระปฏิสัมภิทาญาณ
    สำหรับในเรื่องนี้ อาจารย์ศุภรัตน์ได้รับความรู้ด้วยความบังเอิญ สาเหตุเกิดจากพระที่สร้างขึ้นโดยหลวงปู่ เป็นรูปหลวงปู่ใหญ่ วัดสะแก โดยมีลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นผู้ตรวจสอบ เห็นองค์พระมีฉัพพรรณรังสี คือ รัศมี ๖ ประการเกิดขึ้น จึงมาขอความเห็นจากอาจารย์ ศุภรัตน์เมื่อได้ปรึกษากันจนเป็นที่เข้าใจแล้ว อาจารย์จึงมากราบเรียนถามหลวงปู่ ดังนี้
    อาจารย์ : หลวงปู่ครับ พระสงฆ์ที่มีรัศมี ๖ ประการนั้นมีหรือเปล่าครับ
    หลวงปู่ : มี พระอรหันต์ที่ได้จตุปฏิสัมภิทาญาณมีได้ ดูจากรูปหรือไง
    อาจารย์ : ครับ ผมหลงเข้าใจผิดเสัยนานว่าพระสงฆ์มีไม่ถึง
    หลวงปู่ : มีได้ บางพวกสำเร็จไปแล้วกิเลสเหี่ยวแห้งไปเฉยๆบางองค์ก็มีสีไม่ครบ แล้วแต่บารมี
    อาจารย์ : อย่างหลวงพ่อเกษม ผมว่าท่านมีครบนะครับ
    หลวงปู่ : มีครบ มีคนมาหาเพชรตาแมว ข้าบอกว้าถ้าอยากเจอคนตาเพชร ก็หลวงพ่อเกษมไง
    อาจารย์ : การอธิษฐานเสกพระจนมีสีครบทั้ง ๖ ประการนั้นทำยากไหมครับ
    หลวงปู่ :สมัยโบราณเขารำลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง ต้องขอบารมีท่าน มีบทหลายบทที่ต้องว่าอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าใครจะไปเสกท่านได้ ต้องให้ท่านทำเอง พระอรหันต์นั้นท่านรู้ธรรม ทำให้ท่านได้ถึงพระพุทธเจ้า มีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในใจ คือ มีพุทธัง ธัมมัง สังฆัง อยู่ในใจท่านจึงได้พบพระโบราณจริงๆไม่ใช่พระหลอก
    อาจารย์ : พระจตุปฏิสัมภิทาญาณ ท่านได้ภูติพระพุทธเจ้าใช่ไหมครับ
    หลวงปู่ : ได้ดูอย่างพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ที่มาโดยไม่นัดหมาย ถ้าท่านไม่ได้จะมาพร้อมกันได้อย่างไร พระอรหันต์ท่านไม่จำเป็นต้องใช้แล้ว ภูตพระพุทธเจ้าน่ะ
    อาจารย์ : หลวงปู่รู้จักหลวงพ่อไวทย์ วัดบรมวงศ์ไหมครับ
    หลวงปู่ : เคยได้ยินชื่อ ไม่เคยพบตัว
    อาจารย์ : ท่านมรณภาพแล้วเมื่อวันพุธที่ ๒๔ กุมภา นี้เอง
    หลวงปู่ : ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ข้าได้ยินกิตติคุณท่านว่าไม่เอาอะไรกับใคร
    อาจารย์ : หรือครับ แสดงว่า อยุธยานี้คงจะมีหลายองค์
    หลวงปู่ : มีแต่ท่านหลบซ่อนกันอยู่
    อาจารย์ : เขาถึงพูดว่าศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี
    หลวงปู่ : ข้าก็ไม่รู้ ข้าไม่ใช่พระอรหันต์ ยังกินอยู่ หันไม่หันก็ดูกันเอาเอง
    หลวงปู่ท่านหันไปชี้พระที่หลวงปู่บุดดา ถาวรโรฝากอาจารย์ให้มาถวายหลวงปู่ ท่านบอกว่าฝากพระทองไปถวายท่านด้วยแล้วหลวงปู่ท่านพูดว่า
    ที่ท่านถวายพระมาให้ข้านี้ก็คิดไม่ตกว่าท่านมีจุดประสงค์อะไร เพราะเป็นของลึกซึ้งเกินกว่าที่ปัญญาอย่างเราจะคิดตามได้ทัน
    อาจารย์ : หลวงปู่มีความคิดเห็นอย่างไร เอาแบบไม่ลึกก็ได้ ผมอยากฟังครับ
    หลวงปู่ : ข้าคิดว่าสักวันหนึ่งข้าคงได้กลับมาเป็นอย่างพระองค์นี้
    หลวงปู่ชี้ไปที่พระพุทธรูปนาคปรกของหลวงปู่บุดดา
    อาจารย์ศุภรัตน์ยกมือสาธุโดยไม่ทันจะตอบอะไร
    หลวงปู่ : (ท่านตัดบทว่า ) แต่ตอนนี้ข้าไม่เปิด ยังไม่สว่างเลยไม่รู้จะบอกอย่างไร
    บทสนทนา ระหว่าง หลวงพ่อดู่ กับ อาจารย์ศุภรัตน์
    คัดลอกจากหนังสือ นพรัตน์ ปี ๒๕๓๑
     
  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
     
  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    RencBwLTQNCbGPi1pvUgp2efkKJ6F-BCSGfjthINxRnas2qu5lFtheTOk3V1wEw0LQPTHjBu&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    +++ "เขา" ยังไม่ต้องการให้ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ +++

    พระอาจารย์เล่าว่า "เคยมีโยมคนหนึ่ง พอได้ยินว่าวัตถุมงคลทำด้วยโลหะที่มีค่ามากเท่าไร #เทวดาที่รักษาก็ยิ่งมีศักดานุภาพมากเท่านั้น เขาจึงไปรีดแผ่นทองคำขาวมาให้อาตมาเขียนตะกรุด ท้ายสุดเหล็กจารไม่ยอมกินโลหะ เพราะว่าโลหะแข็งกว่ามาก ก็เลยต้องเขียนด้วยปากกาเมจิกแทน เหล็กจารไม่กินเนื้อทองคำขาว ถึงเวลาก็ลื่นไปเฉย ๆ เขียนไม่ได้

    เสียดายว่าระยะนี้ไม่มีอารมณ์ที่จะไปบุกป่าฝ่าดงอีก #ไม่อย่างนั้นจะไปค้นให้ได้ว่าแร่เพรียงไฟคืออะไร #จะได้ผสมทองคำใช้เอง เพราะตอนนี้ส่วนผสมทองคำนั้นขาดอยู่อย่างเดียว มีทองแดงเถื่อน ตะกั่วเถื่อน สารปากนกแก้ว แร่เพรียงไฟ

    ทองแดงเถื่อน ตะกั่วเถื่อน สารปากนกแก้ว ใช้อย่างละ ๑ ส่วน #แร่เพรียงไฟใช้ #หนึ่งในสี่ส่วน คาดว่าแร่เพรียงไฟน่าจะเป็นตัวลดจุดหลอมเหลวของโลหะอื่น #เพราะโบราณเขาใช้กระทะใบบัวในการหลอมทองคำ ด้วยปกติถ้าหลอมด้วยกระทะใบบัว ทองแดงเถื่อนจะต้องใช้อุณหภูมิสูงเกินกว่าที่จะกระทะใบบัวจะทนได้

    ตะกั่วเถื่อนบ้านเราเรียกว่าดีบุก ทองแดงเถื่อนไม่ต้องกังวล สั่งทองแดงนอกมาแทนก็ได้ ส่วนสารปากนกแก้วลักษณะคล้าย ๆ กับสารส้ม แต่เป็นสีแดงแปร๊ดคล้ายปากนกแก้วจริง ๆ ตอนที่ได้มา เอาไปให้วิทยาศรมเขาตรวจสอบว่าเป็นแร่ธาตุชนิดไหน ปรากฏว่าเป็นโพแทสเซียมไดโครเมต ราคาต่างประเทศปอนด์ละแปดบาทเอง จะซื้อสักเท่าไรก็ได้ #เหลือแต่แร่เพรียงไฟที่หาเท่าไรก็ไม่เจอ บุกเข้าไป ๔ ครั้ง เป็นเรื่องแปลกที่ว่าหลงทางทั้ง ๔ ครั้ง

    คนที่สอบวิชาแผนที่เข็มทิศของทหารได้ที่ ๑ จะหลงทางได้อย่างไร ? ขนาดเอาภาพถ่ายทางอากาศมาวัดลงในแผนที่ ๑ : ๕๐,๐๐๐ มาร์กจุดเรียบร้อยแล้ว เดินขึ้นไป ๔ ครั้งก็หลงทั้ง ๔ ครั้ง ขึ้นไปทุกครั้งก็มั่นใจว่าถูกเป้าหมาย บางทีก็ขุดกันแหลกลาญ #แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ทุกที #ไปขุดไม่เจอแร่เพรียงไฟ #แต่ไปเจอหินหยกแทน คิดว่าถ้าขนเอามาขายจริง ๆ ก็คุ้ม แต่คาดว่ายังไม่ใช่เวลาที่สมควร เพราะถ้าเป็นเวลาที่สมควรต้องหาเจอแล้ว #หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านยืนยันว่าขุดลึกไม่เกิน ๑ เมตร อาตมาขุดลึกท่วมหัวยังไม่เจอเลย"

    ไป ๔ ครั้งหลง ๔ ครั้ง เพื่อนร่วมคณะเกือบโดนเสือสมิงพาไปรับประทานด้วย เขาเห็นเป็นผู้หญิงเรียกก็เลยตามไป #เวลาคนเราโดนกรรมบังมักจะเป็นอย่างนั้น อยู่ ๆ ก็ลุกพรวดพราดเดินไป อาตมาเห็นผิดสังเกตก็วิ่งไล่ตาม พอพ้นโค้งเห็นจ้ำอ้าว ๆ อยู่ก็คว้าหมับ ถามว่าจะไปไหน ? เขาบอกว่าเห็นผู้หญิงชาวบ้านมาเรียก แสดงว่ามีทางออก กำลังจะตามเขาไป นี่แปลว่าเราอีก ๓ คนไม่ต้องไปไหนสิ ? เขาไม่เรียกพวกเราเลย จ้ำอ้าวไปคนเดียว

    #ก็เลยชี้ให้ดูว่ารอยเท้าที่เอ็งตามคือรอยอะไร ? เพราะว่าเดินเลาะไปริมห้วย รอยที่เหยียบน้ำเปียก ๆ บนหินแห้ง ๆ #เห็นชัด#เลยว่าเป็นรอยเท้าเสือ เสียดายที่อาตมาไม่ได้เห็นตอนที่แปลงเป็นคน ตอนที่เป็นเสือก็ไม่ได้เห็น #เห็นแต่รอยเท้า ดังนั้น..คาดว่าถ้าไม่ใช่อาตมาที่เข้าใจเรื่องผีบัง ก็คงได้ตายไปแล้ว

    หลงด้วยกันแท้ ๆ ถึงเวลารู้ว่ามีคนจะพาไปทางออก ดันไปคนเดียว แล้วก็เป็นเรื่องแปลก เพราะบทที่จะทำให้หลงก็หลงจริง ๆ #หลงชนิดที่ว่าเราตั้งใจเดินกลับหลังไปคนละทิศกับทางข้างหน้า เดิน ๆ #ไปหลายชั่วโมงก็ไปสู่ที่เดิม #ขึ้นเหนือไปตรง#ก็ไปโผล่ตรงนั้น #ลงใต้ไปตรง#ก็ไปโผล่ตรงนั้น ตะวันออกก็ลงตรงนั้น ตะวันตกก็ลงตรงนั้น เดินเสียจนกระทั่งพอเห็นรอยเท้าคนก็ดีใจมาก ตามไปตามมาปรากฏว่าเป็นรอยเท้าตัวเอง ก็แปลว่า "เขา" #ยังไม่ต้องการให้ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๕๗
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    -UlrsBH9bci2yN1WUm_yWIwCX64--4K62R_i3_ADcrgwSbjLRHhChLHBGy0nsKSmKhUWvyGZ&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    #มาโดยถือรับสั่ง

    พระอาจารย์ กล่าวว่า พวกเจ้าพ่อเจ้าปู่ทั้งหลายส่วนใหญ่ถ้าไม่ใช่ มหิทธิกาเปรต ก็จะเป็น กาลกัญจิกอสุรกาย แล้วก็จะมีพวกกระจิ๊บกระจ๊อยเป็นบริวาร #อาตมาไปที่หาดใหญ่ #พอดีตรงกับช่วงกินเจ เขาก็มีแห่เจ้า น่าจะชื่อ หมู่บ้านจันทร์วิโรจน์ กระมัง ? เขามี ศาลเจ้าแม่กวนอิม อยู่ ปรากฏว่านอกจากแห่เจ้าแม่กวนอิมแล้ว ยังมีเจ้าพ่อเสือ มีกวนอู มีนาจา ขบวนรถเป็น ๑๐ คัน #อาตมาก็ไปยืนดูว่าเขาจะลงทรงอย่างไร ยืนดูอยู่ครึ่งค่อนชั่วโมงก็ไม่ทรงสักที อาตมาก็คิดว่า "เมื่อไรจะทรงวะ ? ร้อนจะตายชัก จะ ๑๐ โมงอยู่แล้ว ตูไม่รอแล้ว.."

    #ท้ายสุดก็เลยตั้งใจกำหนดใจดู ปรากฏว่าเห็น เจ้าที่ ยืนอยู่ไม่ไกล ก็ถามว่าเมื่อไรจะลงทรงสักที ? เจ้าที่ก็บอกว่า "#พวกเขาเกรงใจท่านครับ" เลยบอกเจ้าที่ว่า "#ช่วยบอกเขาว่าลงๆ #สักทีอยากดู.." โอ้โห..คราวนี้ลงกันเป็นสิบเลย ลงกันใหญ่ ปรากฏว่าดันไปลงเจ้าของหมู่บ้านเองด้วย พออนุญาตให้ลง เลยลงกันฉิบหายวายป่วง คราวนี้ร่างทรงเจ้าแม่กวนอิมรู้เข้าว่าคนนี้คุมขบวน ไปลงเข้าแล้วใครจะคุม ? ก็เลยไปขอร้องให้ออกแล้วลงคนอื่นแทน แต่เขาแทงปากไปแล้ว เหล็กตั้ง ๓ - ๔ อัน #ร่างทรงแกดึงออก #เอาผ้ายันต์จีนรูดปื๊ดเดียวแผลหายหมดเลย ไม่มีเหลืออะไรเลย เออ..เข้าท่าดี ไม่ต้องเสียเวลาเย็บ ไม่ต้องเสียค่าทำแผล

    เลยตั้งใจถามเทวดาว่าทำไมมีแต่พวกนี้ ? ส่วนใหญ่เป็นผีทั่วๆ ไป #ท่านบอกว่า จริงๆ #แล้วมีท่านคุมขบวนคนเดียวก็พอ ลักษณะมาโดยถือรับสั่ง คือเจ้าแม่ท่านอนุญาต ก็มาโดยถือรับสั่ง มาแล้วพวกนี้แสดงให้คนเห็นแล้วศรัทธา #จัดเป็นอนุสติอย่างหนึ่ง ก็เลยอนุญาตให้ลงได้ #ไม่อย่างนั้นไม่ได้ลงหรอก #เพราะเทวดาก็อยู่ตรงนั้น อาตมาถึงได้เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้เอง ปรากฏว่าไปดูๆ ในขบวนแห่แล้วก็ขำ มีเจ้าแม่กวนอิมไม่พอ มีตั่วเหล่าเอี้ย (เจ้าพ่อเสือ) ด้วย ตั่วเหล่าเอี้ย คือ พระอินทร์ เวรแล้วกู มิน่าล่ะ..ถึงไม่กล้าลง #อาตมาเป็นเด็กเส้นใหญ่ #เป็นลูกเป็นหลานท่าน ไปแล้วใครจะไปกล้าลง

    ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกสัมภเวสี เปรต อสุรกาย พวกนี้ก็อาศัยบารมี อย่างบางทีเจ้าพ่อเจ้าแม่ท่านไม่ได้ทำอะไรเราหรอก ท่านเป็นเทวดา #แต่ว่าพวกบริวารโกรธ #จึงเล่นแทน อย่างบางคนไปดูถูกเหยียดหยามไม่ให้ความเคารพท่าน พวกนี้ลงมือแทน #ศาลไหนที่เซ่นด้วยเหล้า #พวกนี้จัดการแทนหมด เทวดาเขาไม่ยุ่งกับเหล้าหรอก แต่นี่เจ้าที่มาคุมขบวนไม่ให้แตกแถว เวลาไปเจอพวกนี้ บางทีของบางอย่างที่เราไม่รู้ก็จะได้รู้
    ........................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    ผู้ก่อตั้งสำนักสงฆ์เกาะพระฤๅษี
    ........................................
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    yS9tpv6nksuOmboCU-LCeYObfsMocvlYsSQ271ee6ZGSTZXwjxpB0e60p7tVa_bWBBvn7n6e&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม : เคยภาวนาพระคาถาเมสัมมุกขา สัพพาหะระติ เตสัมมุกขา ได้ผล ต่อมาจึงได้ภาวนาอีกครั้ง แต่ตัวเองทรุดป่วย จึงหยุดภาวนาพระคาถานี้ ตอนนั้นยังไม่สำเหนียกรู้สาเหตุ ภายหลังประมาณหนึ่งอาทิตย์ มาพิจารณาพบว่าความจริงจิตเราในความลึกมีความโกรธ หมั่นไส้ จึงภาวนาพระคาถาเพื่อหวังให้คนนั้นได้รับผลร้ายเป็นผลให้ตัวเราทรุดป่วยเองแทน นอกจากไม่รู้สึกตัวแล้ว ยังหลอกตัวเองอีกว่า เราไม่โกรธ เราวางใจดีมีเมตตา ซึ่งตรงข้ามกับความจริง การไม่รู้ตัวกับการหลอกลวงตัวเองขนาดนี้ คืออะไร ? ทำไมถึงหลอกตัวเองได้แนบเนียนเช่นนี้ ?
    ตอบ : เขาเรียกว่ากิเลส โดยเฉพาะกิเลสมารในใจของเรา มักจะชักนำให้เราคิดว่าสิ่งที่เราทำนั้น ดีแล้ว ถูกแล้วอยู่เสมอ เพื่อที่ให้เราหลงยึดติดอยู่แค่นั้น ไม่เสาะหาความดีที่ยิ่ง ๆ ขึ้นไป

    ถาม : ทำอย่างไรจึงจะรู้ทันเร็ว ๆ ?
    ตอบ : ปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาให้มากยิ่งขึ้น เข้มข้นยิ่งขึ้น
    __________________
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๒
    ภาพและที่มา : เว็บวัดท่าขนุน
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ทรงเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อตรัสรู้
    …………
    [๑๓๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคแรกตรัสรู้ประทับอยู่ที่ต้นอชปาลนิโครธใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลา ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหลีกเร้นอยู่ในที่สงัดเกิดความรำพึงอย่างนี้ว่า “เราเป็นผู้พ้นแล้วหนอจากทุกกรกิริยานั้น เราเป็นผู้พ้นดีแล้วหนอจากทุกกรกิริยาอันไม่ประกอบด้วยประโยชน์นั้น เราเป็นผู้บรรลุโพธิญาณแล้ว”

    ครั้งนั้น มารผู้มีบาปได้ทราบความรำพึงของพระผู้มีพระภาคด้วยใจ จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

    มาณพทั้งหลายบริสุทธิ์ได้
    ด้วยการบำเพ็ญตบะใด
    ท่านหลีกจากการบำเพ็ญตบะนั้นแล้ว
    เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ สำคัญว่าเป็นผู้บริสุทธิ์
    ท่านพลาดจากทางแห่งความบริสุทธิ์แล้ว

    ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า “นี้คือมารผู้มีบาป” จึงตรัสกับมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า

    เรารู้แล้วว่าตบะอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง
    ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
    ตบะทั้งปวงหาอำนวยประโยชน์ให้ไม่
    ดุจไม้พายหรือไม้ถ่อ ไม่อำนวยประโยชน์บนบก ฉะนั้น
    จึงเจริญมรรค คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อตรัสรู้
    เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์อย่างยอดเยี่ยมแล้ว
    มารผู้กระทำซึ่งที่สุด เราได้กำจัดท่านเสียแล้ว

    ครั้งนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า “พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา” จึงหายตัวไป ณ ที่นั้นเอง
    ............
    ตโปกัมมสูตร สังยุตตนิกาย สคาถวรรค พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๕
    https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=15&siri=137

    ครั้นทรงละตบะอย่างอื่นๆ นั้นแล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงทางที่เกิดเป็นพระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า สีลํ เป็นต้น.

    ในคำว่า สีลํ เป็นต้นนั้น ทรงถือเอาสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ และสัมมาอาชีวะ ด้วยคำว่า สีลํ. ทรงถือเอาสัมมาวายามะ สัมมาสติและสัมมาสมาธิ ด้วยสมาธิ. ทรงถือเอาสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ ด้วยปัญญา.

    บทว่า มคฺคํ โพธาย ภาวยํ ได้แก่ ทรงเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้ เพื่อตรัสรู้.

    ก็ในคำนี้ บทว่า โพธาย ได้แก่ เพื่อมรรค เหมือนอย่างว่า คนทั้งหลายต้มข้าวต้มอย่างเดียว ก็เพื่อข้าวต้ม ปิ้งขนมอย่างเดียว ก็เพื่อขนม ไม่ทำกิจไรๆ อย่างอื่นฉันใด บุคคลเจริญมรรคอย่างเดียว ก็เพื่อมรรคฉันนั้น.

    ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า มคฺคํ โพธาย ภาวยํ ดังนี้.

    บทว่า ปรมํ สุทฺธึ ได้แก่ พระอรหัต.

    บทว่า นีหโต ได้แก่ ท่านถูกเราตถาคตขจัดออกไป คือทำให้พ่ายแพ้ไปแล้ว.
    …………
    ข้อความบางตอนใน อรรถกถาตโปกรรมสูตร https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=416
    #ศีล #สมาธิ #ปัญญา

    0i-lRZiB015ds6aRlxmKrxu2EJFUagyH3lgn3_5-D-EzCi-z_OQjmQ6xHnEhXsP7NbqoUH7F&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    7Iq4QTmVtTpXzgJ5Cs66U4g7Om_TCnCHO-nzz0a2twpoCv555VmyIv5yhjWA2pqNlyslZ1PP&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    +++ อธิษฐานตอนเริ่มพุทธาภิเษก +++

    พระอาจารย์กล่าวว่า "#ตอนทำพิธีบวงสรวงให้ญาติโยมทุกคนตั้งใจถวายเครื่องบวงสรวงนี้เป็นพุทธบูชา ธัมมบูชา สังฆบูชา บูชาคุณครูบาอาจารย์ พรหมเทวดาทั้งหมด เมื่อถึงเวลาการพุทธาภิเษก จะมีการสวดอิติปิ โส ฯ ตามกำลังวัน ซึ่งวันนี้เป็นวันเสาร์ ก็จะสวด ๑๐ จบ

    ในช่วงนี้ถ้ามีกิจกรรมเหล่านี้ ก็ให้กำหนดใจตามกันไป #เมื่อเริ่มการพุทธาภิเษกให้ทุกคนตั้งใจอธิษฐานว่า บารมีใดที่พระท่านสงเคราะห์ลงมา เราขอรับไว้ทั้งหมด #ขอให้กระดูกทุกชิ้นในร่างกายของเรา #มีอานุภาพเหมือนกับวัตถุมงคลที่ท่านพุทธาภิเษกในวันนี้ เชื่อว่าถ้าเราลืมวัตถุมงคลได้ ไปไหนก็คงไม่ลืมกระดูกในร่างกายตัวเอง..!"

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    (หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน)
    เก็บตกจากงานเป่ายันต์เกราะเพชร วันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๒
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    5TKDeiNMdi8SVZr6QKgOJdt7En47eQUJWbz1B2vCMrJDnCWO07oDWBEZ2g_WsmWBv1VphgcW&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg

    #ชวนเทวดา #นางฟ้า #พรหม #ไปพระนิพพาน

    ".บันทึกเสียงเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ย้อนไปพูดถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕
    วันนั้นปรากฏว่าป่วยหนักมีอาการไข้ซ้อน ท้องก็เสีย ปรากฏว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืดไม่สามารถจะไปพระนิพพานได้ มีอาการเป็นอย่างนี้อยู่ถึง ๒ วัน ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่งไข้ลดตัวลง จึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับ
    กราบทูลถามท่านว่า "ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้และไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ถ้าตายจะพลาดนิพพานไหม
    องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า "ภิกขุ ดูก่อนภิกขุ #จิตมีสภาพจำ ถึง
    #แม้ไม่ได้คิดถึงนิพพาน #แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ #ถ้าเธอตายเวลานั้นก็ไม่สามารถจะพลาดนิพพานได้ #ต้องมานิพพานได้แน่นอน

    หลังจากนั้นก็นมัสการกราบทูลถามพระองค์เรื่องของกระแสจิต ท่านก็ตรัสว่า #เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนก็ดี ยามปกติก็ตามให้ถือว่าเราต้องการนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ถึงแม้ว่าอาการป่วยเกิดขึ้นจิตจะมัวไปบ้างจิตไม่เกาะนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตก็สามารถจะไปพระนิพพานได้ทันทีในเมื่อออกจากร่าง
    ต่อจากนั้นก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า "ข้าพระพุทธเจ้าจะไปเทวสภาก่อน #สมเด็จองค์ปฐมก็ตรัสว่า #ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย #พระพุทธเจ้าก็เสด็จ #อาตมาก็ตามเสด็จพระ
    #พุทธเจ้ามาที่เทวสภา

    พอมาถึงที่ประทับพระองค์ก็ประทับบนธรรมมาสน์สูง ออาตมานั่งแท่นต่ำแต่รู้สึกว่าจะสูงกว่า เทวดานิดหน่อย เวลานั้นปรากฏว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ทุกชั้นมาหมด เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาด้วย เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งพนมมือหันหน้าไปทางเทวดานางฟ้ากับพรหมบอกว่า "ท่านทั้งหลายที่มีพระคุณ ที่เคยเป็นบิดามารดาบ้าง เป็นญาติผู้ใหญ่บ้าง เป็นผู้มีคุณต่างๆบ้าง เป็นครูบาอาจารย์บ้าง และก็ทุกองค์ทุกท่านที่มีคุณกับอาตมาทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะว่างานการทุกอย่าง ท่านช่วยทุกอย่างการสร้างวัด การจะไปไหนก็ตาม ทุกท่านเมตตาปรานี พยายามป้องกันภยันตรายต่าง ๆ อาตมาขอขอบคุณทุกท่าน"

    หลังจากนั้นเทวดากับพรหมทั้งหมดก็กราบพระพุทธเจ้าก็หันไปทางพระพุทธเจ้าเหมือนกันยกมือพนม ท่านก็เทศน์ว่า "ดูก่อน ท่านทั้งหลายที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงการจุติ เพราะว่าเวลานี้ยังมีเทวดากับนางฟ้าบางส่วนมีความเพลิดเพลินในทิพยสมบัติเกินไปหลังจากที่มาจากมนุษย์ อยู่ที่เมืองมนุษย์มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่เมื่อมาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้นหมายความว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นเป็นปกติ
    ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง หมายความว่าจะไปทางไหนก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะว่าอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี
    ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติคือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดแม้แต่ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัว
    อยู่ เมื่อการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย" พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดา นางฟ้าก็พรหม เห็นเงาบาปอยู่ภายในหนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ต่างคนต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า มาเป็นพรหมได้ และก็ดูตัวเอง เวลานั้นร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน

    ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสว่า "ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อนจึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน้นนรก" ท่านชี้พระหัตถ์ลง เห็นนรก ไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด "ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรกเพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ต้องชำระหนี้บาปกว่าจะเกิดมาเป็นคนก็นานหนักหนา ถ้ามาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะเป็นคนแล้วอาจจะทำบาปใหม่ กลับลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่บนสวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของพระนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน" เวลานั้น เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพานใสสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกัน
    คือสีแก้วแพรวพราวเป็นระยิบระยับคือแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุขขนาดใหน
    มีความเข้าใจหมด รู้หมด เห็นหมด และองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ตรัสกับเทวดา นางฟ้าใหม่ว่า

    "ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีขึ้นคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สั้นสุด เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่เกิดเป็นพรหม
    เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปพระนิพพานนี้ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดา นางฟ้าเก่า ๆ ก็ดี ตถาคตไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงพรหม เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ ๆ อย่าหลงความเป็นทิพย์ หมายความว่ายังมีความเพลิดเพลิน
    ในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าอยากจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพานนั่นคือ

    ๑) จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ เรื่องอาการของชีวิตเป็นของไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง

    ๒) เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธา มีความเคารพ
    ในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่ ๒ ที่ท่านจะไปนิพพานได้

    ๓) หลังจากนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม

    พอท่านพูดมาถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า "ฤาษี เทวดาไม่ต้องบวชอย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ถึง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่มีอาบัติ สิ่งที่เป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี และท่านก็หันหน้ากลับไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหม ตรัสว่า "ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งใจเฉพาะศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดในศีล

    ๔) หลังจากนั้นจงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยงและจะต้องมีการจุติในวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้นอารมณ์อย่าเป็นทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วทรงชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายใน แต่ว่าเมื่อตายแล้วถ้ากลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิมท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลยทั้ง ๆ เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ทำเอาไว้ทุกอย่าง ท่านยังไม่มีสิทธิ์ ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องตะเกียกตะกาย ดูภาพมนุษย์ทั้งหลายไม่มีใครหยุดต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวันเพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียวคือเงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน

    ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็ตรัสต่อว่า "จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายของมนุษย์ เห็นว่ามนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีความทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุดและจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นาง
    ฟ้า และพรหมก็อยู่ในสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้นก็มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา และมีการจุติในที่สุด ทุกคนหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มี
    ศีล เราจะนับถือพระไตรสรณาคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็เราจะต้องจุติในวันหน้า"

    "ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดา นางฟ้า พรหมเก่า ๆ มีความเข้าใจดีแล้ว หมายถึง ปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป
    อย่ามีความสุขเกินไปแล้วมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี้เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และก็บาปใหญ่ที่ขังอยู่ในตัวของเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติจากความเป็นเทวดาในภพนี้ สรุปแล้วทุกคนต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่ามีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่ น่ารัก มันไม่น่าอยู่ ไม่น่ารัก จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานนอกจากจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์แล้ว ก็ดูเทวดา นางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์เคยเป็นเทวดา นางฟ้าและเคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้เฉพาะ จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด"

    พระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ก็จบ อาตมาจึงกราบพระองค์ท่านแล้วทูลว่า จะไปพระนิพพาน" ท่านตรัสว่า "ถ้าอย่างนั้นก็ชวนเทวดากับพรหมไปด้วยซิ เขาจะได้รู้ว่าพระนิพพานมีความสุขอย่างไร แต่
    เทวดา นางฟ้า พรหมก็มีหลายท่านที่เคยไปเที่ยวพระนิพพานมาแล้วและที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านรู้ แต่ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้าจะยังไม่ทราบ" อาตมาจึงหันหน้ามาชวนเทวดา นางฟ้ากับพรหม หลัง
    จากนั้นก็ตามพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน เห็นวิมานแพรวพราวเป็นระยับ จึงคิดในใจว่า "วิมานขององค์อื่นมีหลังเดียว แต่ทำไมของเราจึงต้องมี ๓ หลัง

    ท่านสหัมบดีพรหมเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า "วิมาน ๓ หลังต้องใช้อย่างนี้ วิมานหลังหนึ่งที่คุณมาทุกวันคุณใช้เป็นปกติ อันนี้เป็นวิมานประจำตัว วิมานหลังตรงหน้าออกไปที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกันนั้นเป็นวิมานที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับวิมานหลังใหญ่ยาวหลังนั้นเป็นวิมานที่ประทับหรือเป็นที่นั่งของเทวดา นางฟ้า พรหม และพระอรหันต์ที่มาประชุมกัน" อาตมามองดูเทวดา นางฟ้า และพรหม รู้สึกว่ามีจำนวนนับเป็นสิบ ๆ ล้าน เมื่ออยากจะทราบว่าวิมานหลังนั้นโตก็จริง แต่ถ้าเทียบกับเทวดา นางฟ้ากับพรหมที่มา เทียบกันไม่ได้

    ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า "ประเดี๋ยวก็รู้" เมื่อขึ้นไปถึงที่ก็ปรากฏว่าวิมานที่ตั้งอยู่เคยมีฝาทึบก็โปรง เคยเล็กไปหน่อยก็ใหญ่ยาว กว้าง ลึกมาก มีแท่นเป็นที่ประทับของเทวดา นางฟ้าและพรหมทั้งหมด เป็นแท่นแก้วแพรวพราวเป็นระยิบระยับเท่ากับสภาพเป็นทิพย์ของเทวดา นางฟ้ากับพรหม วิมานหลังหน้าสมเด็จองค์ปฐมเป็นหัวหน้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็เสด็จประทับสวยงามเป็นระยับ สง่าผ่าเผยใหญ่โตมาก จับใจ อาตมาก็มานั่งที่วิมานบนแท่นแก้วแต่ต่ำกว่าแท่นของพระพุทธเจ้า

    หลังจากนั้นสมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า "ฤาษี ที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เมื่อตอนต้นเธอถามว่า ถ้าจิตมัวไม่นึกถึงพระนิพพานก่อนตาย เธอจะมาพระนิพพานได้ไหม ขอให้เธอปฏิบัติตามนี้ คือทุกครั้งที่มีความว่างจากการงาน จงมาที่นิพพานมานั่งที่ที่ประทับของเธอ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านว่างท่านก็จะมาสงเคราะห์เธอ
    ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ว่างก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสีมาแทนพระองค์ก็เหมือนกับพระองค์มาเอง นอกจากนั้นบริวารของเธอที่มานิพพานแล้วมากมาย เขาก็จะได้มาคุยมาสนทนาด้วย จิตใจของเธอก็จะมีแต่ความชุ่มชื่น พระนิพพานมีแต่อารมณ์แห่งความสุข ไม่มีอารมณ์ความทุกข์ ไม่มีความวุ่นวาย พระนิพพานมีความสุขมาก เวลานี้เธอมีความรู้สึกอย่างไร"

    ก็ตอบท่านว่า "ไม่มีกังวล คำว่ากังวลคือความห่วงใยใด ๆ ทั้งหมดไม่มี แต่ความจริงอยากจะมานิพพานนานแล้ว" สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสว่า "ช้าก่อน รอเวลานิดหน่อย ให้การงานของฉันเสร็จและคนที่จะพึงช่วยเหลือได้ยังมีอยู่ที่เขายังไม่มายังมีอยู่ จงอยู่รอการช่วยเหลือเขาก่อน เมื่อช่วยเหลือเขาเสร็จแล้วเมื่อไหร่ ก็จะมานิพพานได้เมื่อนั้น ให้มีความสุขใจว่า ถ้าเราตายจากความเป็นคน เราจะมีความสุขที่สุดคือนิพพาน ในระหว่างที่เราเป็นคนอยู่ เราก็จะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคนอื่น" ท่านหมายความว่าเป็นความสุขของคนอื่นไม่ใช่ความสุขของตัวเอง

    พระองค์ตรัสต่อว่า "เธอทั้งหลายจงดูเทวดา นางฟ้ากับพรหมที่สวยสดงดงามทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าจะเคยมานิพพานแล้วทุกองค์ มีบางส่วนเท่านั้นที่รู้จักนิพพานคือขึ้นมาได้นั่นคือความเป็นพระอริยเจ้า ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าจะมาไม่ได้ นี่อาศัยความดีของเธอ ท่านสงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่าน เธอชวนมานิพพานท่านจึงมากันได้ การกระทำอย่างนี้จงทำเป็นปกติ จงสงเคราะห์ทั้งมนุษย์ ทั้งเทวดา ทั้งนางฟ้าและพรหม เทวดานางฟ้าและพรหมท่านก็สงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่าน เป็นการตอบสนองกัน เป็นความดีเข้าหากัน สำหรับวันนี้ฤาษี จวนจะเพลแล้ว ฉันก็จะกลับที่อยู่
    เธอก็จงกลับเมืองมนุษย์ เทวดา นางฟ้าและพรหมก็จงกลับวิมานของเธอ" หลังจากนั้นท่านก็ลุก พวก
    เราก็กราบท่าน

    เป็นอันว่าเรื่องการมานิพพานเป็นปกติของอาตมา ถ้ายามว่างเมื่อไรแม้แต่มีเวลาเพียง ๕ นาที ๑๐ นาที ก็จะมานิพพานทันที เพื่อความอยู่เป็นสุขของจิต เมื่อเข้าถึงพระนิพพานเมื่อไรจิตก็มีความสุขเมื่อนั้น

    ️หนังสือ(ตายไม่สูญ..แล้วไปไหน)
    หน้าที่ ๘๘~๙๓
    พระธรรมคำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดจันทาราม (ท่าซุง) ต.น้ำซึม อ.เมือง จ.อุทัยธานี
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
     
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    ujv7UcyunLyFv6pyELB5b34n7PYWMjDvVpZrBWRmjyMa&_nc_ohc=sRN0Vvc4-nIAX8oGq_O&_nc_ht=scontent.fcnx3-1.jpg
    ถาม : เวลาที่เราอาราธนาบารมีของครูบาอาจารย์ จะอาราธนาได้มากหรือน้อย เกี่ยวกับตัวเราเองไหมครับ ?

    ตอบ : อยู่ที่ว่าเรารู้จักท่านและให้ความเคารพจริงไหม ? เหมือนกับว่าโยมจะไปเชิญนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในงาน ถ้าไม่รู้จักท่านแล้วจะไปเชิญกันท่าไหน ? ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักท่านแต่เข้าไปหาด้วยความเคารพ แล้วท่านเห็นใจและเมตตา ท่านก็รับเชิญ เราก็เชิญท่านได้เหมือนกัน

    ดังนั้น...เรื่องของการอาราธนาบารมีพระ สำคัญที่ว่าเรารู้จักท่านหรือเปล่า ? เราอาราธนาด้วยความเคารพหรือเปล่า ? ไม่ใช่อย่างปัจจุบันนี้เห็นมากต่อมากด้วยกัน นึกอยากจะสร้างรูปท่านก็สร้าง นึกอยากจะสร้างเหรียญก็สร้าง ประเภทที่ว่าทำก่อนบอกทีหลัง อย่างนั้นไม่ใช่การขออนุญาต แต่เป็นการแจ้งเพื่อทราบ เป็นลักษณะของผู้ใหญ่ทำกับเด็ก แล้วเราจะไปใหญ่กว่าพระได้อย่างไร ?

    ถาม : เวลาที่เราอาราธนาบารมีพระครอบตัว ?
    ตอบ : อยู่ที่เรา ขอทุกที่ทุกเวลาแต่ใจเราไม่ได้นึกถึงท่านก็เท่านั้นแหละ เราต้องนึกถึงพระด้วย

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนกรกฎาคม ๒๕๕๙
    ที่มา : www.watthakhanun.com

    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมฯวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
     
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,388
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,121
    ค่าพลัง:
    +70,469
    "เฮ้ย.. สว่างแล้วหรือ ? เอ๊ะ..สว่างแบบนี้..???"

    ลืมตาขึ้นมานึกว่าดวงอาทิตย์อยู่ในกุฏิ สว่างไสวเจิดจ้าแต่เย็นสบายตา กึ่งกลางความสว่างนั้น นักบวชในชุดขาว มุ่นมวยผมและเครายาวขาวสะอาด มือถือไม้เท้าเถาวัลย์ยืนเด่นเป็นสง่า ผิวพรรณสีน้ำตาลผ่องใสเต่งตึงประมาณอายุไม่ถูก...

    "พ่อปู่เป็นใคร ? มาจากไหนครับ ?"

    "ความจริงเจ้าเคยได้ยินชื่อปู่แล้วนะ ลองเดาดูสักนิดไหม ?"

    "พระเจ้าตาของสุดสาคร"

    "ไปถึงโน่น...ลองนึกถึงบรรดาฤๅษีที่เจ้าคุ้นเคยนามสักหน่อยสิ"

    "ฤๅษีตาวัว ฤๅษีตาไฟ ฤๅษีกไลโกฎิ ฤๅษีโคบุตร ฤๅษีโคดม ?"

    "ใกล้แล้ว..ที่เอ่ยชื่อมาหลายท่านเป็นเพื่อนของปู่เอง แต่ท่านสุดท้ายปรินิพพานไปแล้ว..!"

    "หา..ปรินิพพาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ??"

    "ถูกต้อง..สมัยออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงอธิษฐานเพศนักบวช เป็นที่รู้จักกันในพระนามฤๅษีโคดม ส่วนปู่เองเป็นหัวหน้าหมู่ฤๅษี ๑๐๘ ปัจจุบันอยู่พรหมชั้นที่ ๑๖ มีชื่อว่าพิมพิลาไลย"

    "แสดงว่าในหมู่พระฤๅษี ๑๐๘ นั้น มีพระอริยเจ้าอยู่เป็นจำนวนมากสิครับ ?"

    "ถูกแล้ว..ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระฤๅษีโคดม เมื่อพระองค์ท่านบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ได้เสด็จไปโปรดในหมู่นักบวชต่าง ๆ ซึ่งอินทรีย์แก่กล้าแล้ว จึงเข้าถึงธรรมกันเป็นจำนวนมาก เช่น กัสสปฤๅษีทั้ง ๓ พี่น้อง เป็นต้น"

    "พ่อปู่มาวันนี้มีกิจธุระอันใดครับ ?"

    "ปู่มาด้วยความเอ็นดูในหมู่สัตว์ ที่จะประสบภัยพิบัติต่าง ๆ จากธรรมชาติ ทั้งการแปรปรวนของ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งการล้มตายจากมือมนุษย์ด้วยกัน จงแจ้งให้พวกเขาเร่งปฏิบัติใน ศีล สมาธิ ปัญญา ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอย่างสม่ำเสมอ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่เทพเจ้าเหล่าเทวาทั้งหลาย ขอให้ท่านช่วยคุ้มครองให้อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ จะระลึกถึงปู่และคณะฤๅษีทั้ง ๑๐๘ รูปให้อยู่ช่วยด้วยก็ได้"

    "กราบขอบพระคุณในความเมตตาของพ่อปู่ที่มีต่อลูกหลานเป็นอย่างยิ่งครับ ผมสงสัยมานานแล้วว่า หลวงปู่หลวงพ่อครูบาอาจารย์หลายรูป สร้างรูปพ่อปู่พระฤๅษีเป็นที่เคารพบูชา วันนี้เพิ่งมองตลอดไปได้ว่า พ่อปู่พระฤๅษีส่วนใหญ่ก็คือพระอริยเจ้าระดับสูงมาก และสูงสุดระดับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มี ผมจะได้รำลึกถึงได้อย่างถูกต้องเวลาบูชาท่านครับ"

    "ดีแล้ว ปู่ขออนุโมทนา อย่าลืมบอกลูกหลานทุกคนให้เร่งสร้างความดีไว้ให้มาก พระรัตนตรัยเท่านั้นจะเป็นที่พึ่งที่ระลึกอย่างแท้จริง บุญกุศลเท่านั้นจะเป็นเครื่องนำไปสู่สุคติของสรรพสัตว์ ปู่ขอลาแล้วนะ พวกเจ้าระลึกถึงเมื่อใด ปู่และคณะจะมาช่วยทันที"

    น้อมกราบส่งพ่อปู่พระฤๅษีพิมพิลาไลย พ่อปู่ช่างมีจิตใจที่งดงาม สมรูปสมนามเป็นที่ยิ่ง ลูกหลานจะระลึกถึงท่านทั้งหลายในนามพระอรหัตมรรค ผู้รอการปลดจิตครั้งสุดท้ายไปสู่แดนพระนิพพาน...

    เก็บตกบ้านเติมบุญ เดือนมิถุนายน ๒๕๖๓
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...